เล่าประสบการณ์ตรง และเทคนิควิธีการฝึกกสิณแสงสว่าง (จนถึงฌานสี่)

ในห้อง 'ประสบการณ์อภิญญา' ตั้งกระทู้โดย ณฐมณฑ์, 12 ตุลาคม 2004.

  1. santosos

    santosos เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    1,165
    ค่าพลัง:
    +3,212
    วิป้สสนาคือหนทางหลุดพ้น พี่อะไรแนะเรื่องนี้บ้าง

    พี่ครับ วิป้สสนาคือหนทางหลุดพ้นวิป้สสนาคือหนทางหลุดพ้น พี่อะไรแนะเรื่องนี้บ้าง
    santosos
     
  2. jorju

    jorju สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    1
    ค่าพลัง:
    +1
    เรียนคุณ ณฐมณฑ์
    ผมส่ง pm ไปแล้วครับช่วยตอบผมหน่อยว่าผมควรจะฝึก
    กองไหนที่ถูกกับจริต
     
  3. คนเก่า

    คนเก่า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    1,355
    ค่าพลัง:
    +15,055
    ขออนุ_าตร่วมด้วยช่วยกัน ด้วยคำสอนของหลวงพ่อนะครับ

    หลวงพ่อแนะนำวิธีลัดให้ลูกหลาน ในการฝึก(ฟื้น)กสิณด้วยฝึกการจับภาพพระพุทธรูปให้แจ่มชัดในมโนทวารให้ และฝึก(ฟื้น)อรูปฌานด้วยการจับรูปพระไว้ในอก

    ผู้ที่ได้สมาบัติแปด คือทรงอรูปฌานสี่ได้ เมื่อได้ภูมิธรรมเป็นพระอนาคามีก็จะทรงจตุปฏิสัมภิทา_าณ
     
  4. ปาริสัชชา

    ปาริสัชชา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2004
    โพสต์:
    255
    ค่าพลัง:
    +2,693
    ผมลงจากเขามาแล้วครับ ขอขอบคุณทุกๆท่านเป็นอย่างสูงครับ....(คุณคนเก่าด้วยครับ) :)

    เรียน คุณจันทร์เจ้าครับ ... การเจริญกรรมฐานขอให้มุ่งพระนิพพานเป็นหลักครับ คือมุ่งทำอาสวะกิเลสให้สิ้นไป ไม่ได้มุ่งสร้างเสริมฤทธิ์อำนาจบารมี หรือให้ใครมายกย่องนับถือแต่อย่างใดนะครับ ถ้าเริ่มต้นผิดแล้วเกรงจะทำให้เสียโอกาสไปหมดเลยนะครับ .... ผมอยากขอให้ตั้งใจใหม่ครับ

    เรียน คุณโยโย่ครับ ... บางทีผมใช้มองภาพพระพุทธรูปองค์ที่ชอบจากรูปภาพครับ ... แต่ครั้งแรกจริงๆผมได้เช่าพระพุทธรูปแก้วใสจากวัดท่าซุงมา ก็รู้สึกชอบมากๆ ก็เลยจำติดตาเรื่อยมา ส่วนโคมไฟก็เป็นแบบให้แสงเหลืองธรรมดา ๒ ดวง ตั้งข้างๆจุดประสงค์ก็เพื่อให้แสงสว่างขับองค์พระให้น่ามองยิ่งขึ้นครับ อีกอย่างหนึ่งเวลาหลับตาจะมีอาการของแสงผ่านเปลือกตาเข้ามาสว่างๆ ถึงแม้ไม่ได้ใช้ตามองก็ตาม แต่ว่าจะมีความสว่างๆจนรู้สึกได้ และจิตก็จะดูผ่องใสด้วยครับ (พระพุทธรูปขอเป็นองค์ที่มองแล้วชอบมากๆจะทำให้จำภาพได้เร็วครับ) ... ขอให้ฝึกสำเร็จได้โดยเร็วนะครับ

    ผมขออนุญาตเล่าประสบการณ์สักเล็กน้อยนะครับ จริงๆแล้วภาพพระที่ติดตาของผมนี่ ครั้งแรกผมได้จากการไปฝึกมโนมยิทธิที่วัดท่าซุงครับ พอกำหนดจิตออกไปกราบพระได้แล้ว หลังจานั้นมาภาพพระก็ติดตามาตลอดครับ แต่จะเป็นภาพพระวิสุทธิเทพ ... ต่อๆมาด้วยความสงสัยของตัวเองเลยวางเรื่องมโนมยิทธิ แล้วฝึกเดินจิตไปตามลำดับสมาธิ ต่อมาจึงฝึกกสินแสงสว่าง และมองดูภาพพระพุทธรูปดังกล่าวไว้แล้วครับ ....
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 พฤศจิกายน 2004
  5. ณฐมณฑ์

    ณฐมณฑ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กันยายน 2004
    โพสต์:
    237
    ค่าพลัง:
    +1,881
    มาขออภัยที่ดิฉันมาช้ากว่าที่คาดไว้กับตนเองนะคะ
    วันนี้ ถ้าไม่มีอะไรฉุกเฉิน ดิฉันจะมาเขียนต่อค่ะ
    ขอบคุณคุณคนเก่ากับคุณปาริสัชชานะคะที่เอื้อเฟื้อ
    และขอโมทนากับคุณปาริสัชชาค่ะที่ปฏิบัติธรรมอย่างเต็มที่บนเขาในสองสามวันที่ผ่านมา
     
  6. ณฐมณฑ์

    ณฐมณฑ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กันยายน 2004
    โพสต์:
    237
    ค่าพลัง:
    +1,881
    การอธิษฐานขอดูนิมิตรหรือฟังเสียงในความเป็นทิพย์จากกสิณ

    กสิณดังกล่าวนี้หมายถึงกสิณที่เอื้อต่อทิพจักขุญาณนะคะ
    คือ กสิณแสงสว่าง กสิณไฟ กสิณสีขาว

    (แต่อันที่จริง จากประสบการณ์นั้น (บางท่าน)เมื่อได้ฌานสี่จากอานาปานสติก็สามารถอธิษฐานดูนิมิตรหลังฌานสี่ได้เช่นเดียวกันค่ะ)

    วิธีอธิษฐานขอดูภาพนิมิตร มีดังนี้

    1.จับภาพกสิณ เช่น ภาพพระพุทธรูป หรือ ภาพดวงกสิณที่ฝึกไว้จนใสสะอาดแล้วใสเป็นประกายพรึก (ฌานสี่ในกสิณ)

    2.อธิษฐานขอดูภาพ (หรือ ฟังเสียง)ที่เราต้องการให้ปรากฏแทนภาพปฏิภาคนิมิตร

    3.ทำแบบข้อ 1 และ ข้อ 2 ซ้ำอีกครั้ง จะช่วยกันอุปาทานได้ดีขึ้นค่ะ

    4.เมื่ออธิษฐานแล้วก็ ละภาพปฏิภาคนิมิตร

    (ไม่จำเป็นต้องอธิษฐานเป็นคำพูดผ่านภาษาการสื่อสารในโลกก็ได้ค่ะ
    ทว่าขอดูภาพโดยนอบน้อมใจทูลถามต่อพระพุทธบารมีโดยเป็นกลุ่มความคิดหรือภาษาแห่งใจก็ได้
    ทั้งนี้ บางท่านจะรู้สึกว่าภาษาแห่งใจนั้นละเอียดปราณีตกว่าการสื่อผ่านภาษาพูดทั่วไป)

    5.ทรงอารมณ์แผ่วๆ ไว้
    5.1ทรงอารมณ์โดยไม่ต้องสนใจลมหายใจค่ะ คือจะหายใจลักษณะใดก็ช่างลมหายใจ
    5.2ไม่คิดนำไปก่อน

    6.ภาพนิมิตรนั้น จะปรากฏให้เห็นเป็นภาพต่างๆ คล้ายๆ ฝัน แต่ผู้ปฏิบัติจะรู้สึกตัวอยู่เพราะไม่ได้หลับ ถ้าปฏิบัติได้คล่องก็จะผุดรู้ประกอบกับการเห็นด้วย
    ในขณะเดียวกัน ภาพนั้นไม่ได้เห็นจากตา เพราะใช้ตาปรับโฟกัสภาพไม่ได้ค่ะ
    6.1ขณะที่ดูภาพต้องไม่มีความลังเลสงสัย ไม่ขุ่นใจ ไม่ตกใจค่ะ
    หากรักษาระดับอารมณ์แผ่วๆ นิ่งๆ ให้คงที่ได้ จะดูภาพได้นานเท่าที่ต้องการ

    หมายเหตุ :
    การได้ยินเสียงก็ใช้วิธีเดียวกันค่ะ แต่เปลี่ยนจากการอธิษฐานขอเห็นภาพนิมิตร เป็นขอฟังเสียงแทน
    แต่ในช่วงที่ญาณยังไม่แจ่มชัด การได้ยินจะเป็นการผุดรู้เป็นกลุ่มความคิด หรือผุดเป็นภาษาก่อนค่ะ โดยจิตแรกที่ผุดขึ้นมานั้นจะถูกต้อง
    ต่อมาเมื่อญาณแจ่มชัดจะได้ยินเป็นเสียง
    ทั้งนี้ การจะได้ยินนานหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับการทรงอารมณ์นิ่งไว้ได้นานเพียงใดเช่นเดียวกันค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 พฤศจิกายน 2004
  7. ณฐมณฑ์

    ณฐมณฑ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กันยายน 2004
    โพสต์:
    237
    ค่าพลัง:
    +1,881
    Re: วิป้สสนาคือหนทางหลุดพ้น พี่อะไรแนะเรื่องนี้บ้าง

    ดิฉันเคยกล่าวถึงวิปัสสนากรรมฐานไว้บ้างในต้นๆ กระทู้นี้
    และได้เชิญคำสอนหลวงพ่อฤาษีฯ ด้วยการทำลิงค์ถึงข้อความที่ท่านสอนเกี่ยวกับการทำวิปัสสนาฯ จากกสิณไว้ที่ต้นกระทู้เช่นกันสำหรับนักปฏิบัติกรรมฐานแบบกสิณทุกท่านนะคะ

    การพิจารณาหรือทำวิปัสสนากรรมฐานนั้นสำคัญมาก
    เพราะเป็น"ทางสายปัญญาสู่การพ้นทุกข์"
    ในขณะที่สมถกรรมฐานเป็น"ทางสายสงบ"เพื่อเป็นทุนของการทำวิปัสสนากรรมฐานค่ะ

    ขอย้ำอีกครั้งว่าต้องปฏิบัติกรรมฐานทั้งสองอย่างดังกล่าวควบคู่กันไป
    ด้วยเหตุผลที่ว่า....
    1.การทำสมถกรรมฐานอย่างเดียวจะเป็นเพียงการกดกิเลสชั่วคราว กิเลสจะไม่ถูกชำระให้หมดไป และบางทีการมีฤทธิ์ก็จะทำให้มีมานะทิฐิเพิ่มขึ้นเสียอีก
    ดังนั้น ต้องอาศัยการพิจารณาแบบวิปัสสนาฯ ด้วยจึงจะขัดเกลากิเลส และป้องกันมานะทิฐิ
    2.ในขณะที่ การเริ่มต้นจับที่การพิจารณา(วิปัสสนาฯ)เลยนั้น จะไม่มีกำลังนำสู่สติพอที่จะนำมาใช้พิจารณาเพื่อตัดกิเลสค่ะ ดังนั้น วิปัสสนาฯ ต้องใช้กำลังจากสมถะฯ เป็นทุน

    ยกตัวอย่าง:
    การพิจารณาไตรลักษณ์(หรือเรียกว่าเป็นการทำวิปัสสนากรรมฐาน)ในสภาวะอารมณ์ทั่วไป-ในสภาวการณ์ทั่วไปนั้นย่อมดีกว่าการไม่พิจารณาเลยแน่นอนค่ะ
    แต่ถ้าเราทำสมาธิให้ใจสงบก่อน(หรือเรียกว่าเป็นการทำสมถกรรมฐาน) เราจะสามารถพิจารณาเห็นความจริงได้ชัด เพราะไม่มีนิวรณ์ ไม่มีความฟุ้งมากวนเหมือนในสภาวะอารมณ์ทั่วไปค่ะ

    และนอกจากนี้ คุณปาริสัชชาเคยตอบคำถามกล่าวเกี่ยวกับวิปัสสนากรรมฐานไว้ที่ข้อความที่ 155
    ซึ่งดิฉันขอคัดมาเพื่อเป็นการทบทวนอีกครั้งนะคะ
    ------------------------------------------------------------------------------
    เรียนคุณ wit ครับ .... ผมขออนุญาตตอบแทนคุณณฐมณฑ์นะครับ ผมอ่านดูแล้วก็เป็นอีกแนวทางหนึ่งที่ดีครับ จริงๆการฝึกที่ว่านี้เป็นการประยุกต์กันเข้ามา โดยเฉพาะท่านหลวงพ่อธรรมธโร แห่งวัดไทรงาม นี้ท่านจะใช้สติปัฎฐานสี่ ซึ่งผมเคยเรียนรู้มาอยู่บ้าง จึงขอกล่าวโดยสรุปย่อๆดังนี้นะครับ ...

    การเจริญกรรมฐานแบบนี้จะใช้กำลังจิตให้สงบนิ่งลงในระดับหนึ่งเริ่มตั้งแต่ ขณิกสมาธิ-อุปจารสมาธิ แล้วพิจารณาการเคลื่อนไหวหรือหยุดอยู่ของ กาย เวทนา จิต ธรรม โดยใช้จิตดักอาการกระทบต่างๆ แล้วพิจารณาให้เห็นการเกิด-ดับ .... อย่างนี้เป็นต้น...

    คุณwit ลองปฎิบัติดูก็ได้ครับว่า ตรงกับจริตหรือไม่ คือปฎิบัติไปแล้วรู้สึกจิตเห็นสภาวะธรรมที่มันเกิด-ดับได้ชัดหรือไม่ ...

    มีอีกวิธีหนึ่งที่พระสายหลวงปู่มั่นท่านใช้ก็คือ การเจริญอานาปานสติจนจิตมีกำลัง(ถึงอัปปนาสมาธิ) แล้วท่านให้พิจารณาลงไปที่ร่างกายให้เห็นถึงสภาวะไตรลักษณ์ หรือลักษณะทั้งสามคือ ๑.มีความไม่เที่ยงและเปลี่ยนแปลงไป(อนิจจัง) ๒.มีความคงทนอยู่ในสภาวะเดิมไม่ได้ (ทุกข์) ๓.มีความแตกดับไปจนไม่มีตัวมีตน (อนัตตา) ....

    ท่านจะเน้นให้จิตสงบด้วยสมถภาวนาก่อน และใช้การพิจารณาธรรมให้หยั่งลงสู่ไตรลักษณ์ ... ซึ่งจริงๆวิธีการนี้ผมเองก็ใช้อยู่ทุกวัน เช่นเมื่อจิตสงบลงและตั้งมั่นดีแล้ว ก็พิจารณาความไม่สวยงามของกาย คือพิจารณาลอกหนังออกเป็นชั้นๆ แยกอวัยวะต่างๆออกไป จนกระทั่งเห็นว่า ตัวตนของเรานี้หายไป คือเห็นอนัตตานั่นเอง และเมื่อเห็นอนัตตา ก็จะเห็นอนิจจัง และทุกขังด้วย คือลักษณะทั้งสามนี้เป็นสิ่งที่ติดตามกันอยู่ ดังนั้นเมื่อพิจารณาเห็นลักษณะอย่างหนึ่ง ก็จะเห็นอีกสองลักษณะตามกันมา และเมื่อพิจารณาในไตรลักษณ์นี้บ่อยๆ จิตก็จะปล่อยวางจากการยึดมั่นในขันธ์ห้า คือรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และเมื่อจิตปล่อยวางในขั้นแรกๆนี้ไปเรื่อยๆ ญาณแห่งวิปัสสนา หรือที่เรียกว่า "วิปัสสนาญาณ" จริงๆจึงจะเกิดขึ้น และลบล้างกิเลสให้หมดไปเป็นขั้นๆ อย่างนี้เป็นต้นครับ...

    การฝึกกสิน หรือเจริญกรรมฐานในแบบอื่นก็เช่นกันครับ ก็คือต้องมาพิจารณาธรรมแบบนี้เพื่อเพิกถอนกิเลสออกไปจนสิ้นให้ได้เช่นกันครับ...

    เอาหล่ะนะครับอธิบายมาก็ยาวมากแล้ว ก็ขอให้คุณ wit เลือกใช้วิธีที่รู้สึกเหมาะกับจริตของตัวเอง และขอให้ถึงที่สุดแห่งธรรมโดยเร็วนะครับ...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 พฤศจิกายน 2004
  8. ณฐมณฑ์

    ณฐมณฑ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กันยายน 2004
    โพสต์:
    237
    ค่าพลัง:
    +1,881
    การอธิษฐานฤทธิ์

    สำหรับกสิณกองที่ให้ฤทธิ์นั้น นักปฏิบัติพึงฝึกให้คล่องแคล่วในการเข้า-ออกฌาน หรือได้นวสี เพื่อให้อธิษฐานฤทธิ์ได้ตามอำนาจกสิณในกองที่ฝึกค่ะ

    วิธีอธิษฐานฤทธิ์ในกรณีที่จับภาพพระพุทธรูปเป็นกสิณ มีดังนี้

    1.ถ้านักปฏิบัติจับภาพพระพุทธรูปเป็นกสิณ ให้จับภาพพระจนใสเป็นประกายพรึก
    แล้วอธิษฐานฤทธิ์ตามต้องการ เช่น ขอให้น้ำในแก้วแข็ง เป็นต้น
    2.ทำซ้ำข้อ 1 อีกครั้ง
    ถ้าสำเร็จ น้ำในแก้วจะแข็ง หรือจะอธิษฐานให้น้ำบางส่วนของแก้วแข็งก็ได้ค่ะ
    แต่ถ้ายังไม่สำเร็จ ก็ฝึกไปเรื่อยๆ อย่างสม่ำเสมอ

    แต่ถ้าฝึกกสิณแบบทั่วไป วิธีอธิษฐานฤทธิ์ในกสิณกองที่ให้ฤทธิ์ มีดังนี้ค่ะ

    1.จับภาพกสิณจนใสเป็นประกายพรึก
    แล้วอธิษฐานฤทธิ์ตามต้องการ
    2.ทำซ้ำข้อ 1 อีกครั้ง
    หากสำเร็จ สิ่งที่อธิษฐานจะปรากฏขึ้น แต่ถ้ายังไม่สำเร็จก็ฝึกให้คล่อง ฝึกอย่างสม่ำเสมอไปเรื่อยๆ ค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 พฤศจิกายน 2004
  9. ณฐมณฑ์

    ณฐมณฑ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กันยายน 2004
    โพสต์:
    237
    ค่าพลัง:
    +1,881
    ดิฉันหายไปจากกระทู้นี้เสียนาน ลืมบอกว่าดิฉันยังไม่ได้อภิญญาแบบ"อิทธิวิธี"นะคะ
    ยังเหาะเหินเดินอากาศไม่ได้ ปัจจุบันได้ทิพจักขุญาณ ทิพยโสตเล็กน้อยค่ะ

    ดังนั้น ส่วนที่ดิฉันเขียนเกี่ยวกับวิธีการของ"อิทธิวิธี"นั้น จดจำและเรียบเรียงมาจากตำราอีกทีค่ะ
    ส่วนประสบการณ์การฝึกทิพจักขุญาณก็ฝึกตามคำสอนพระพุทธองค์กับตามคำสอนหลวงพ่อ
    มีเทคนิคเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น ที่ทราบจากประสบการณ์และจากการระลึกชาติค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 มกราคม 2005
  10. ณฐมณฑ์

    ณฐมณฑ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กันยายน 2004
    โพสต์:
    237
    ค่าพลัง:
    +1,881
  11. ณฐมณฑ์

    ณฐมณฑ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กันยายน 2004
    โพสต์:
    237
    ค่าพลัง:
    +1,881
    เวลาที่ใช้ในการฝึกกรรมฐาน

    มีผู้ถามมาหลายท่านว่าเวลาใดเหมาะแก่การฝึกกรรมฐานที่สุด
    และควรใช้เวลากี่นาทีหรือกี่ชั่วโมงจึงเหมาะสมที่สุด

    ขอตอบว่า ควรใช้ตนเองเป็นเกณฑ์มากกว่าเกณฑ์ของนาฬิกาค่ะ
    กล่าวคือ...
    เวลาที่เข้าฌานนั้น แต่ละท่านใช้เวลาไม่เท่ากันในการเข้าฌานระดับลึกไม่ว่าจะเป็นอานาปานสติ หรือกสิณ
    ดังนั้น ใช้ความรู้สึกของตนเองครั้งนั้นๆ ว่าพอใจกับการเข้าฌาน หรือทำวิปัสสนากรรมฐานในเวลาที่ครบกระบวนในเวลาเท่าใด และมีเวลาทำต่อไปไหม

    ทั้งนี้ อย่าลืมว่าในการฝึกฝนนั้น เราผู้ฝึกจะต้องไม่เปรียบเทียบกับผู้อื่น
    หรือไม่เปรียบเทียบกับตนเองในครั้งอื่นๆ ด้วยนะคะ
    ฝึกครั้งใด ได้เท่าใดก็ให้สบายใจไว้ว่าได้ก่อกรรมดีแก่ตนแล้ว
    โดยไม่คาดหวังกับตนแบบทางโลกนะคะว่าแต่ละครั้งจะให้เป็นไปตามระดับขั้นใด
    เพราะในการฝึกจิตนั้น หากมีความอยากก็จะยิ่งช้าและเป็นอุปสรรคแก่ตนค่ะ

    ควรให้ทำใจให้สบายและปล่อยวางเป็นหลักนะคะ
    แล้วความหมั่นเพียร กับความต่อเนื่องในการฝึกฝนจะทำให้ก้าวหน้าในการฝึกฝนเองตามธรรมชาติ เมื่อฝึกได้ถูกวิธีค่ะ
     
  12. ณฐมณฑ์

    ณฐมณฑ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กันยายน 2004
    โพสต์:
    237
    ค่าพลัง:
    +1,881
    เมื่ออยากได้ฤทธิ์ หรือทิพจักขุญาณขณะฝึกจิต ควรทำอย่างไร?

    หลายท่านคงได้ยินมาเสมอว่า....
    "ในการฝึกจิต-ฝึกกรรมฐานนั้น ต้องไม่โลภที่จะได้ฤทธิ์ หรือได้ญาณ
    มิฉะนั้นแล้วจะเป็นอุปสรรคแก่ความก้าวหน้าของตน"

    ขอยืนยันว่าจริงตามนั้นค่ะ

    แต่จะห้ามไม่ให้อยากได้อย่างไรหรือ?
    สำหรับบางคนนั้นอาจจะไม่ง่ายที่จะห้ามใจนะคะ

    ให้ทำอย่างนี้ค่ะ
    พึงคิดว่า เราฝึกฝนโดยเป็นพุทธบูชา เราปฏิบัติความดี(คือการทำกรรมฐานครั้งนี้)
    ถวายเป็น"การปฏิบัติบูชา" อันเป็นการบูชาพระคุณแห่งพระพุทธองค์โดยปราณีตยิ่งกว่าอามิสบูชา
    ส่วนฤทธิ์ หรือญาณจะมาเมื่อไรก็เรื่องของเขา เขามาตามวาระของเขาที่เนื่องกับจังหวะกุศลของเรา
    เราเป็นมนุษย์ผู้มีหน้าที่ฝึกจิตตนเพื่อความก้าวหน้าในความดี เราก็ทำตามหน้าที่ของเราไป
    จังหวะใดที่กุศลส่งได้จังหวะ สิ่งนั้นจะเกิดแก่ผู้ฝึกฝนอย่างมีอิทธิบาทสี่เองค่ะ

    ฉะนี้แลค่ะท่าน
     
  13. ณฐมณฑ์

    ณฐมณฑ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กันยายน 2004
    โพสต์:
    237
    ค่าพลัง:
    +1,881
    ทำอย่างไรจึงจะมีความกว้างไกล และคมชัดของทิพจักขุญาณ

    ดังเป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปว่า...
    กำลังของโลกียฌานนั้นสู้กำลังของโลกุตรฌานไม่ได้

    ยกตัวอย่าง เช่น
    ตำรากล่าวไว้ว่าบุคคลใดที่ได้ทิพจักขุญาณในฌานโลกีย์ จะระลึกชาติได้ไม่กี่ชาติ
    หรือหากกำลังละเอียดแห่งใจของบุคคลใดๆ ยังไม่ถึงโคตรภูญาณ (คืออารมณ์ใจระหว่างปุถุชนกับพระโสดาบัน)
    หรืออารมณ์ใจไม่ถึงพระโสดาบันก็จะยังไม่เห็นพระนิพพาน

    ในขณะที่ผู้ถึงโคตรภูญาณ หรือพระโสดาบันขึ้นไป (อริยบุคคล) จะเห็นได้ทุกภพ และระลึกชาติได้กว้างไกลไปถึงอสงไขยก่อนๆ ก็ย่อมเป็นไปได้
    นอกจากนี้ ญาณของอริยบุคคลนั้น จะลดความเสี่ยงในเรื่องอุปาทานได้มากค่ะ

    (ทิพจักขุญาณจากกสิณจะสามารถเห็นภพอื่นได้ สื่อสารกับภพอื่นได้
    แต่เห็นแบบเฝ้ามอง ไม่ได้เข้าไปในสถานแห่งนั้น เนื่องจากไม่ได้ถอดอทิสมานกายไปค่ะ)

    สรุปว่า ผู้ฝึกจิตพึงทรงอารมณ์ขั้นต่ำให้ถึงพระโสดาบันเป็นอย่างน้อยไปตลอดชีวิต
    หลวงพ่อสอนว่าให้ปฏิบัติดังนี้ค่ะ
    คือ
    1.มีศีลตามฐานะครบถ้วนและบริบูรณ์ (เช่น ฆราวาสถือศีลห้าสมบูรณ์)
    2.นับถือพระรัตนตรัยด้วยใจจริง
    3.มีมรณานุสติเสมอ
    4.ปรารถนานิพพาน

    ประโยชน์ของทิพจักขุญาณ (เท่าที่นึกได้ตอนนี้) คือ

    1.ทิพจักขุญาณจะช่วยให้เห็นความจริงได้กว้างไกลกว่าตาเนื้อ
    2.นำมาทำความเข้าใจโลกและชีวิตให้เห็นความเป็นธรรมดาได้เร็วขึ้น
    เช่น
    ทำให้สิ้นสงสัยในชาติภพ และเห็นว่าเราเกิดมาแล้วทุกภพภูมิ
    เห็นว่า...ทุกคนเคยเกิดมาแล้วทั้งในนรกจนถึงสวรรค์หรือพรหม และเมื่อเกิดเป็นคน ก็เป็นคนมาแล้วทุกฐานะ
    เห็นว่า...ทุกชีวิตในวัฏฏะสังสารนั้นไม่ต่างกัน เนื่องจากถูกส่งไปด้วยกุศลและอกุศลกรรมต่างๆ ตามวาระของตน
    ซึ่งจะช่วยให้ไม่คิดดูถูกชีวิตอื่น หรือไม่ทระนงในตนนัก ทว่าจะเข้าใจว่าสรรพชีวิตต่างเสวยกุศลกรรม-อกุศลกรรมต่างระดับ และต่างวาระกันค่ะ
    3.กำลังจิตระดับที่ได้ทิพจักขุญาณ และ/หรือได้อภิญญาจะมีกำลังฌานเข้ม
    เมื่อผู้ปฏิบัตินำกำลังฌานที่คล่องนั้นมาพิจารณาแบบวิปัสสนาฯ จะมีกำลังตัดกิเลสได้คม และเร็วค่ะ
    กล่าวคือ จะมีกำลังตัดกิเลสสูงเมื่อทำวิปัสสนาฯ เนื่องด้วยมีกำลังส่งของฌานที่ให้ความคมชัดของสติสูง
    (ฌานทำให้ใจขณะพิจารณานั้นใสชัด และมีสติอย่างยิ่งค่ะ)
     
  14. ณฐมณฑ์

    ณฐมณฑ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กันยายน 2004
    โพสต์:
    237
    ค่าพลัง:
    +1,881
    วิธีการฝึกระลึกชาติ (บุพเพนุวาสานุสติญาณ)

    การฝึกระลึกชาตินั้น ครั้งแรกที่ฝึกควรทำตามขั้นตอนดังต่อไปนี้

    1.เข้าฌานสี่ในอานาปานสติ หรือเข้าฌานสี่ในกสิณแสงสว่าง หรือกสิณไฟ หรือกสิณสีขาวก่อน

    2.เมื่อถึงฌานสี่แล้ว ทรงอารมณ์อุเบกขาไว้สักครู่
    จากนั้นจึงทวนความจำไปสู่เวลาที่ผ่านมาในชั่วโมงก่อน
    แล้วย้อนความจำไปถึงเหตุการณ์เมื่อวาน...
    ย้อนความจำต่อไปถึงสัปดาห์ก่อน... เดือนก่อน... เวลาในช่วงวัยเด็กเล็ก... นึกถึงช่วงอยู่ในครรภ์มารดา...
    ช่วงนี้ถ้าจำเหตุการณ์ไม่ได้ นึกภาพไม่ออกบ้างไม่เป็นไรนะคะ ให้กำหนดจิตไปในอดีตกาลเป็นหลักก็ใช้ได้

    3.แล้วจึงระลึกด้วยความรู้สึกถึงเวลาในชาติล่าสุด
    (การถอยหลังทวนเวลาด้วยความจำนี้ไม่ตายตัวเรื่องเวลาอดีตใกล้หรือไกล เช่น ระลึงถึงสัปดาห์ก่อน แล้วข้ามไประลึกถึงปีก่อน โดยอาจจะข้ามเวลาช่วงเดือนก่อนไปก็ได้ค่ะ)
    หลักการจริงๆ คือย้อนความจำสู่อดีตขึ้นๆ เรื่อยๆ

    4.เข้าฌานสี่อีกครั้ง แล้วอธิษฐานต่อพระพุทธบารมีให้ภาพอดีตชาติปรากฏขึ้นมาแทนภาพอุคหนิมิตรในกสิณ
    ------------------------------------------------------

    เมื่อระลึกชาติได้ครั้งหนึ่งแล้ว ครั้งต่อไปสามารถข้ามขั้นตอนนี้ได้ค่ะ
    โดยการเข้าฌานสี่แล้วขอต่อพระพุทธบารมี
    แล้วขอดูภาพนิมิตรแทนดวงอุคหนิมิตรในกสิณได้เลยค่ะ
     
  15. Kamen rider

    Kamen rider เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2004
    โพสต์:
    3,763
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +1,998
    ขอบคุงค้าบบบบบ คุง คู ยังเข้าใจแบบ ตาเนื้ออยู่ ครับ ยัง ไม่ ปรู๊ด
     
  16. DevilBitch

    DevilBitch เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2005
    โพสต์:
    9,776
    ค่าพลัง:
    +36,838
    NangFah ICU...555!!! UCI...Bravo!!!Sathu...
     
  17. ณฐมณฑ์

    ณฐมณฑ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กันยายน 2004
    โพสต์:
    237
    ค่าพลัง:
    +1,881
    เนื่องจากมีบางท่านสงสัย และไม่เข้าใจประสบการณ์การฝึกกรรมฐานของดิฉัน
    ข้อความนี้จึงขอมาสนทนานอกเรื่องนะคะ

    กระทู้กสิณแสงสว่างนี้ กับกระทู้เกี่ยวกับฌานสี่ของอานาปานสติที่ดิฉันเคยเขียน
    ดิฉันเขียนตามประสบการณ์ที่พบมาจากการฝึกกรรมฐาน
    ยกเว้นเรื่องอิทธิวิธีนั้น เป็นหัวข้อเดียวที่สรุปจากตำราโดยที่ยังไม่ผ่านประสบการณ์ตรง

    ทั้งหมดนี้ เป็นการสังเคราะห์องค์ความรู้จากการรับรู้หลายๆ ทางเป็นให้ความเข้าใจต่อกรรมฐาน
    บางส่วนไม่มีในตำราใดเพราะเป็นเกร็ดเล็กๆ น้อยๆ ที่สังเกตุพบเอง ตรวจสอบด้วยตนเอง-พร้อมๆ กับให้ผู้ทรงฌานบางท่านช่วยตรวจสอบด้วยค่ะ
    เกร็ดความรู้บางส่วนพบจากการระลึกชาติแล้วนำมาทดลองใช้ แล้วพบว่าเหมาะสมและเสริมการพัฒนาการฝึกจิต-ใช้งานได้จริง
    และความรู้บางส่วนดิฉันก็ถามผู้รู้แล้วนำมาปฏิบัติต่อด้วยตนเองค่ะ โดยไม่ลืมตรวจสอบตนให้ตั้งตรงต่อสัมมาทิฐิ
    ทั้งหลายทั้งปวงนี้ เป็นความรู้ที่เดินตามพระศาสดาองค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ชี้ทางสว่าง

    ครูฝึกกรรมฐานส่วนใหญ่ของดิฉัน คือ ตำราหลวงพ่อฤาษีฯ เป็นหลัก
    ยังมีตำราการปฏิบัติกรรมฐานอื่นๆ บ้างที่เสริมความเข้าใจต่อแนวทางปฏิบัติ
    ส่วนมโนมยิทธิเต็มกำลังนั้น ดิฉันอ่านตำราหลวงพ่อฤาษีฯ ผสมกับอ่านขั้นตอนที่คุณคนเมืองบัวเรียบเรียงไว้ แล้วฝึกด้วยตนเอง ซึ่งทำได้ในนาทีแรกที่ฝึกครั้งแรก เนื่องจากเคยฝึกอานาปานสติและกสิณแสงสว่างมาก่อนหน้านั้น
    แต่อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันดิฉันยังชำนาญกสิณแสงสว่างมากกว่าค่ะ

    ดิฉันทำกรรมฐานมา 10 กว่าปี โดยมากฝึกแบบอานาปานสติก่อน
    ต่อมาวิปัสสนากรรมฐานกับพระสงฆ์รูปหนึ่ง
    (แต่เมื่อหลายปีก่อน ความเพียรยังไม่สม่ำเสมอ ส่วนปัจจุบัน พยายามปฏิบัติให้ต่อเนื่องทุกวัน)

    ครั้งแรกในชีวิตที่ฝึกกรรมฐานจริงจัง ดิฉันอธิษฐานก่อนฝึกว่า...
    หากมีวาสนาทางธรรมในชาติปัจจุบัน ขอให้มีสิ่งที่ทำให้กำลังใจดิฉันแนบแน่นต่อพระกรรมฐาน
    สิ่งที่ปรากฏคือ ในการฝึกครั้งแรกนั้น จิตดิฉันเข้าสู่อรูปฌาน
    โดยที่ตอนนั้น ดิฉันยังไม่รู้จักอรูปฌานมาก่อน ยังไม่ทราบว่าที่ได้ขณะนั้นคือกสิณแสงสว่างแล้วก้าวสู้อรูปฌาน
    แต่ต่อมาอ่านตำราพบจึงทราบค่ะ
    (แต่การฝึกอรูปฌานจริงๆ ดิฉันเพิ่งฝึกเมื่อไม่นานนี้)

    ก่อนหน้านี้ ดิฉันมีญาณเก่าติดมาตั้งแต่เด็ก กล่าวคือ ใช้อารมณ์ใจสบายมาสัมผัสรู้บางเรื่อง หรือใช้จิตแรกกระทบขณะที่ใจว่าง เช่น เมื่อก่อนสัมผัสเลขรางวัลเล่นๆ บ้าง (แต่ไม่ได้ซื้อ เพราะถ้าซื้อแล้วใจจะไม่นิ่งด้วยเจือความโลภ) เป็นต้น

    นอกจากนี้ ดิฉันฝันถึงอดีต อดีตชาติ อนาคต ปัจจุบัน ของตนและผู้อื่นบ้าง จิตถอดไปเองบ้าง
    และส่วนใหญ่ พบว่าจิตดิฉันระหว่างใกล้หลับและใกล้ตื่นนั้นมักเป็นฌานและอุปจารสมาธิเอง จะมีอาการเห็นและรู้ความจริงหลายอย่าง ซึ่งตรวจสอบแล้วพบว่าเป็นความจริงเสมอมา
    ความรู้หลายอย่างที่ทราบจากอารมณ์ทิพจักขุญาณระหว่างนั้น สามารถนำมาช่วยพัฒนาทางธรรมแก่ตนได้ตามสมควร

    ปัจจุบันยังฝึกญาณ และน้อมมาพิจารณาเจริญวิปัสสนาญาณเพื่อความเข้าใจความจริงของโลก ชีวิต และวัฏฏะสังสาร แต่ยังไม่คล่องจนถึงขั้นเอกอุ ในอดีตชาติทุกชาติที่ระลึกได้ว่าเป็นมนุษย์ เคยคล่องกว่านี้
    อย่างไรก็ตาม พบว่า ดิฉันเอง และทุกท่านที่ฝึกกสิณและมโนมยิทธิ กำลังทั้งสองอย่างจะเสริมกันและกัน จะสามารถเห็นภาพผุดรู้ในใจ ทั้งอดีต ปัจจุบัน อนาคตได้บ่อยๆ ซึ่งแรกๆ มักจะเป็นภาพสถานที่ก่อนค่ะ

    และถ้าฝึกกสิณหรือมโนมยิทธิแบบลืมตา นอกจากภาพจะผุดในใจเป็นมโนภาพแล้ว เมื่อคล่องขึ้น จะเห็นภาพปรากฏจางๆ ขึ้นต่อหน้าทั้งที่ลืมตา เหมือนดูภาพยนต์กับฝาผนังค่ะ แต่ภาพจะจางกว่าภาพยนตร์นะคะ ความชัดเจนไม่ต่างกับภาพนิมิตรแบบหลับตา คือสามารถเห็นชัดทุกเส้นหญ้า หรือทุกเม็ดทรายได้ในครั้งที่ชัดมากค่ะ
    (แต่ละครั้งมีความชัดไม่เสมอกัน ขึ้นอยู่กับความใสของจิต และกำลังวิปัสสนาญาณ)

    ทั้งหมดนี้ กล่าวได้ว่า ดิฉันยืนยันว่าข้อความแนะนำกรรมฐานที่ดิฉันและคุณปาริสัชชาเขียนและตอบนี้ รวบรวมมาจากความสามารถหลายทาง สามารถนำไปปฏิบัติได้จริงค่ะ และเป็นกำลังสู่วิปัสสนาญาณจริง เมื่อน้อมไปพิจารณาให้ถูกทาง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 กุมภาพันธ์ 2005
  18. ณฐมณฑ์

    ณฐมณฑ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กันยายน 2004
    โพสต์:
    237
    ค่าพลัง:
    +1,881
    มีโอกาสแล้วจะส่ง PM ไปคุยนะคะ คนดี
     
  19. ณฐมณฑ์

    ณฐมณฑ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กันยายน 2004
    โพสต์:
    237
    ค่าพลัง:
    +1,881
    ขยันๆ เข้านะคะ เอาใจช่วยค่ะคุณคาเมนยอดมนุษย์
     
  20. ณฐมณฑ์

    ณฐมณฑ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กันยายน 2004
    โพสต์:
    237
    ค่าพลัง:
    +1,881
    ข้อความลำดับต่อไปจะเป็นหัวข้อดังนี้

    1.ทำอย่างไรเมื่อฝึกกรรมฐานแล้วกลัวผี
    2.ทำไมฝึกเท่าไรก็ยังไม่เป็นฌาน
    (b-flower)
     

แชร์หน้านี้

Loading...