ขอเชิญร่วมทำบุญสงเคราะห์พระภิกษุสงฆ์อาพาธ

ในห้อง 'ตลาด พระเครื่องเพื่อการกุศล' ตั้งกระทู้โดย พันวฤทธิ์, 29 พฤศจิกายน 2007.

  1. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    910
    ค่าพลัง:
    +4,284
    <CENTER>ลักษณะมหาบุรุษ</CENTER>
    พระพุทธองค์ท่านทรงมีลักษณะของบุคคลผู้เป็นมหาบุรุษครบถ้วน ๓๒ ประการ หรือที่เรียกว่า มหาปุริสลักษณะ อันประกอบด้วย

    ๑. มหาบุรุษ มีพื้นเท้าสม่ำเสมอ
    ๒. มหาบุรุษ ที่ฝ่าเท้ามีจักรเกิดขึ้น มีซี่ตั้งพัน พร้อมทั้งกงและดุม
    ๓. มหาบุรุษ มีส้นเท้ายาว
    ๔. มหาบุรุษ มีข้อนิ้วยาว
    ๕. มหาบุรุษ มีลายฝ่าเท้าอ่อนละมุน
    ๖. มหาบุรุษ มีลายฝ่ามือฝ่าเท้าดุจตาข่าย
    ๗. มหาบุรุษ มีข้อเท้าอยู่สูง
    ๘. มหาบุรุษ มีแข้งดุจแข้งเนื้อทราย
    ๙. มหาบุรุษ ยืนไม่ย่อตัวลง แตะเข่าได้ด้วยมือทั้งสอง
    ๑๐. มหาบุรุษ มีองคชาติตั้งอยู่ในฝัก
    ๑๑. มหาบุรุษ มีสีกายดุจทอง คือมีผิวหนังดุจทอง
    ๑๒. มหาบุรุษ มีผิวหนังละเอียด ละอองจับไม่ได้
    ๑๓. มหาบุรุษ มีขนขุมละเส้น เส้นหนึ่ง ๆ อยู่ขุมหนึ่ง ๆ
    ๑๔. มหาบุรุษ มีปลายขนช้อนขึ้น สีดุจดอกอัญชัน ขึ้นเวียนขวา
    ๑๕. มหาบุรุษ มีกายตรงดุจกายพรหม
    ๑๖. มหาบุรุษ มีเนื้อนูนหนาในที่ ๗ แห่ง (คือหลังมือหลังเท้าบ่อคอ)
    ๑๗. มหาบุรุษ มีกายข้างหน้า ดุจราชสีห์
    ๑๘. มหาบุรุษ มีหลังเต็ม (ไม่มีร่องหลัง)
    ๑๙. มหาบุรุษ มีทรวดทรงดุจต้นไทร กายกับวาเท่ากัน
    ๒๐. มหาบุรุษ มีคอ กลมเกลี้ยง
    ๒๑. มหาบุรุษ มีประสาทรับรสอันเลิศ
    ๒๒. มหาบุรุษ มีคางดุจราชสีห์
    ๒๓. มหาบุรุษ มีฟัน ๔๐ ซี่บริบูรณ์
    ๒๔. มหาบุรุษ มีฟันเรียบเสมอ
    ๒๕. มหาบุรุษ มีฟันสนิท (ชิด)
    ๒๗. มหาบุรุษ มีลิ้น (ใหญ่และยาว) เพียงพอ
    ๒๘. มหาบุรุษ มีเสียงดุจเสียงพรหม พูดเหมือนนกการเวก
    ๒๙. มหาบุรุษ มีตาเขียวสนิท (ตานิล)
    ๓๐. มหาบุรุษ มีตาดุจตาวัว
    ๓๑. มหาบุรุษ มีอุณาโลมหว่างคิ้ว ขาวอ่อนเหมือนสำลี
    ๓๒. มหาบุรุษ มีศีรษะรับกับกรอบหน้า

    พระพุทธองค์ตรัสแก่ภิกษุทั้งหลายว่า

    พระมหาบุรุษผู้สมบูรณ์ด้วยมหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการ เหล่านี้ ย่อมมีคติเป็นสองเท่านั้น ไม่เป็นอย่างอื่นได้เลย คือ ถ้าอยู่ครองเรือนจะได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิผู้ทรงธรรม เป็นพระราชาโดยธรรม เป็นใหญ่ในแผ่นดิน มีมหาสมุทร ๔ เป็นขอบเขต ทรงชนะแล้ว มีราชอาณาจักรอันมั่นคง สมบูรณ์ด้วยแก้ว ๗ ประการคือ
    ๑. จักรแก้ว
    ๒. ช้างแก้ว
    ๓. ม้าแก้ว
    ๔. แก้วมณี
    ๕. นางแก้ว
    ๖. คฤหบดีแก้ว
    ๗. ปริณายกแล้ว
    พระราชบุตรของพระองค์มีกว่าพัน ล้วนกล้าหาญ มีรูปร่างสมเป็นวีรกษัตริย์ สามารถย่ำยีทหารของข้าศึกได้ พระองค์ทรงมีชัยชนะโดยธรรม มีมหาสมุทรเป็นขอบเขต ไม่มีหลักตอ ไม่มีเสี้ยนหนาม มีความมั่งคง เบิกบาน เกษม ร่มเย็น ปราศจากเสนียดคือ โจร ทรงครอบครองโดยธรรม อันสม่ำเสมอ มิได้ใช้อาชญาและศาสตรา


    แต่หากพระมหาบุรุษนี้ ถ้าเสด็จออกบวชเป็นบรรพชิต ก็จะได้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า มีหลังคาคือกิเลสอันเปิดแล้วในโลก.....

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE borderColor=#ffffff cellSpacing=1 cellPadding=5 width=250 align=center bgColor=#f4f4f4 border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  2. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    910
    ค่าพลัง:
    +4,284
    สิ่งน่าถวาย แต่คนไม่ค่อยจะถวาย

    สิ่งของที่จำเป็นสำหรับถวายพระ(โดยเฉพาะสาย"กรรมฐาน") ที่บางครั้งหรือหลายๆครั้ง คนไม่ค่อยจะถวาย............
    1. สีย้อมผ้า (ตรากิเลน จะย้อมติดดี) บางวัดใช้อัตราส่วน
    สีเหลืองทอง 2 กระป๋อง ต่อสีกรัก(สีอัลโกโซน) 1 กระป๋อง ถ้าพระมีหลายรูปก็ใช้หลายกระป๋อง<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    2. เทียน (ตราแสงจันทร์ น้ำตาเทียนจะไหลช้า) ท่านจะใช้จุดเดินจงกรม<o:p></o:p>
    3. ถ่านไฟฉาย ทั้งขนาดใหญ่ กลาง เล็ก แล้วแต่ขนาดไฟฉาย<o:p></o:p>
    4. มีดโกน ( ถวายใบมีดเผื่อไว้ด้วย)<o:p></o:p>
    5. ไฟแช็คหรือไม้ขีด<o:p></o:p>
    6. ร่ม กันฝน ถ้าเป็นขนาดใหญ่ (เกือบเท่ากลด) คันละประมาณ 230 -280 บาท<o:p></o:p>
    ถ้าเป็นขนาดธรรมดา สีดำ คันละประมาณ 100 บาท <o:p></o:p>
    สีเหลืองคันละประมาณ 150 บาท<o:p></o:p>
    พระที่อยู่ในป่าในเขาเวลาไปบิณฑบาต เดินไกลประมาณ 4กิโลเมตรก็มี จำเป็นต้องใช้ร่ม (เคยเห็นพระบางรูปใช้กลดกางแทนร่ม อาจเป็นเพราะท่านไม่มีหรืออย่างไรก็ไม่ทราบ)<o:p></o:p>
    การซื้อร่มควรเลือกปลายร่มหรือยอดร่มที่เป็นพลาสติก ไม่ควรเป็นโลหะ เพราะอาจล่อฟ้า ในกรณีที่พระอยู่กลางแจ้งหรือที่โล่ง
    (บอกเล่าให้กันฟังตามประสาโยมอุปัฏฐากพระ)
    <o:p></o:p>

    ที่มา www.luangta.com <o:p></o:p>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE borderColor=#ffffff cellSpacing=1 cellPadding=5 width=250 align=center bgColor=#f4f4f4 border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff><!-- [​IMG] -->[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  3. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    910
    ค่าพลัง:
    +4,284
    วันนี้ขอนำเอาใบโมทนาบัตรของโรงพยาบาล 5 พรรษา มหาวชิราลงกรณ และโรงพยาบาล ศรีนครินทร์ มาให้ได้ร่วมกันโมทนาในบุญที่พวกเราได้ร่วมกันกระทำมาดีแล้ว
    โมทนา สาธุ โมทนา สาธุ โมทนา สาธุ

    [​IMG]

    [​IMG]



    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • Scan.jpg
      Scan.jpg
      ขนาดไฟล์:
      56 KB
      เปิดดู:
      1,507
    • Scan 1.jpg
      Scan 1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      85.7 KB
      เปิดดู:
      1,784
    • Scan 2.jpg
      Scan 2.jpg
      ขนาดไฟล์:
      59.5 KB
      เปิดดู:
      1,672
  4. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    910
    ค่าพลัง:
    +4,284
    เหรียญหลวงพ่อฉุย วัดคงคาราม
    เหรียญอันดับหนึ่งของเมืองเพชรบุรี



    [​IMG]


    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  5. active

    active เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    40
    ค่าพลัง:
    +278
    วันที่ 9 ก.ย.51 เวลา 14.01 น.โอนเงินทำบุญ 400บาท ครับ เเละโอนเข้า 705 2 403272 จำนวน 100บาท ครับ
     
  6. natta_pea

    natta_pea เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    322
    ค่าพลัง:
    +1,515
    วันที่ 7 ก.ย. 2551 เวลา 17.50 น. ผมได้โอนเงินผ่าน ATM.
    ร่วมทำบุญ 200 บาท ขอร่วมอนุโมทนาบุญกับทุกท่านด้วยครับ
     
  7. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,096
    <!-- END WEBSTAT CODE --><TABLE height="95%" width="99%" align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top width="75%"><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=5 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD><TABLE borderColor=white cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" border=2><TBODY><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top><!--Last Update : 19 เมษายน 2551 1:20:08 น.-->พระพุทธประวัติ ตอนที่ ๔๙ : ทรงเสวยวิมุตติสุข ณ โคนไม้จิก
    <!-- Main -->พระพุทธประวัติ ตอนที่ ๔๙ : ทรงเสวยวิมุตติสุข ณ โคนไม้จิก

    ทรงเสวยวิมุตติสุข ณ โคนไม้จิก ในสัปดาห์ที่หก
    ฝนตกพรำพญานาคมาขดขนดปกพระกายกำบังฝน

    ระหว่างที่พระพุทธเจ้ายังไม่ตัดสินพระทัยว่า จะทรงแสดงธรรมโปรดใครเพื่อประกาศพระศาสนานับตั้งแต่ตรัสรู้เป็นต้นมานี้ ได้เสด็จแปรสถานที่ประทับแห่งละ ๗ วัน ทรงย้ายไปประทับที่โคนไม้จิก หรือมุจลินท์ ซึ่งเป็นต้นไม้ที่เกิดอยู่ทั่วไปในประเทศอินเดีย มีชื่อปรากฏอยู่ในวรรณคดี ทั้งประเภทชาดก และอย่างอื่นมากหลาย ในเวสสันดรชาดกก็กล่าวถึงสระมุจลินท์ที่พระเวสสันดรไปประทับอยู่เมื่อคราวเสด็จอยู่ป่า

    ไทยเราแปลต้นมุจลินท์กันว่าต้นจิก เพราะดูตามลักษณะที่เกิดคล้ายกัน คือ ชอบเกิดตามที่ชุ่มชื้น เช่น ตามห้วย หนอง คลอง บึง เป็นไม้เนื้อเหนียว ดอกระย้า มีทั้งสีขาวและสีแดงใบประมาณเท่าใบชมพู่สาแหรก ใบอ่อนรสฝาด ใช้เป็นจิ้มน้ำพริกอร่อย รสเหมือนใบอ่อนของชมพู่สาแหรก ปกติใบดกหนา เป็นต้นไม้ที่ให้ร่มเงาดี

    [​IMG]

    เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จประทับอยู่ที่นี่ ฝนเจือลมหนาวตกพรำตลอดเจ็ดวันไม่ขาดสาย ท่านผู้รจนาปฐมสมโพธิได้แต่งเล่าเรื่องไว้ว่า พญานาคชื่อมุจลินท์ขึ้นจากสระน้ำที่อยู่ในบริเวณแห่งเดียวกันนี้เข้าไปในวงขนด ๗ รอบ แล้วแผ่พังพานปกพระพุทธเจ้าเพื่อปกกันลมฝนมิให้พัดและสาดกระเซ็นมาต้องพระวรกาย ครั้นฝนหาย ฟ้าสาง พญานาคจึงคลายขนดออก แล้วจำแลงแปลงเป็นเพศมาณพยืนเฝ้าพระพุทธเจ้าทางเบื้องพระพักตร์

    พระพุทธองค์ ได้ทรงเปล่งอุทานเป็นภาษิตที่ไพเราะจับใจดังนี้


    "ความสงบสงัดเป็นสุขสำหรับบุคคลผู้ได้เจริญธรรมแล้วยินดีอยู่ในสงัด ทำให้ได้ตามรู้ตามเห็นสังขารทั้งปวง ตามความเป็นจริง ทำให้สำรวมระวังตัว เลิกการเบียดเบียนสัตว์ทั้งหลาย และสิ้นความกำหนัด คือความล่วงกามคุณทั้งหลายเสียได้ ด้วยประการทั้งปวง ความละคลายการถือตน ถือว่ามีตัวมีตนให้หมดได้ เป็นความสุขอย่างยิ่ง"
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  8. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,096
    <TABLE cellSpacing=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top><!--Last Update : 16 กรกฎาคม 2551 19:07:29 น.-->"ผู้นำ ต้องมีสัมมาปัญญา"


    <!-- Main -->[SIZE=-1][​IMG]

    [/SIZE]พระพรหมคุณาภรณ์
    เจ้าอาวาส วัดญาณเวศกวัน อ.สามพราน จ.นครปฐม
    รางวัล "สังข์เงิน" สาขาเผยแพร่พระพุทธศาสนา ปี พ.ศ.๒๕๓๓
    รางวัลการศึกษาเพื่อสันติภาพปีพ.ศ.๒๕๓๗ จากองค์กรยูเนสโก
    .........................................................................................

    ธรรมะวันอาทิตย์ ช่อง ๗ สี วันที่ ๑๓ กรกฎาคม ๒๕๕๑

    "ผู้นำ ต้องมีสัมมาปัญญา"

    เทศนาโดย พระพรหมคุณภรณ์

    ผู้นำ ต้องมีสัมมาปัญญา
    สัมมา เป็น คุณธรรม ปัญญา เป็น ความสามารถ ในการแก้ปัญหา
    สัมมาปัญญา คือ การแก้ปัญหาโดยใช้คุณธรรม
    ผู้นำ ที่ดี ต้องใช้สัมมาปัญญา นี้ เพื่อทำให้ส่วนรวมมีความสุข ยอมเสียประโยชน์แม้ของตนเอง เพื่อส่วนรวมมีความสุข

    ส่วนรวม เมื่อมีปัญหา จะไม่สามารถแก้ปัญหากันเองได้ โดยไม่มีแกนนำ หรือ ผู้นำ การแก้ปัญหาได้

    ผู้นำ จึงต้องเป็นคนมีสัมมาปัญญา ซึ่งจะทำให้ส่วนรวมเกิดศรัทธายอมตาม

    ถ้าเกิดภาวะวิกฤตศรัทธาในผู้นำ ไปพึ่ง ผีสางเทวดา ก็ทำให้หลงทางไปได้

    ตัวอย่าง จากชาดก ทศบารมี เรื่อง พระมหาชนก เมื่อเรือที่โดยสารถูกพายุโหมหนักถึงขั้นจะต้องอับปางลง คนในเรือ ขาดที่พึ่ง ขาดผู้นำ ก็ไปพึ่งการไหว้วอนขอเทวดาช่วยเหลือ ไม่ยอมเชื่อฟังใคร แม้แต่ขอความช่วยเหลือจากพระมหาชนก ซึ่งพระองค์ ทรงใช้ปํญญา แก้ปัญหาด้วยการ เตรียมตัวเมื่อเรือจะล่มอยู่ตำแหน่งใดจะปลอดภัย จึงปีน ขึ้นเสากระโดงเรือให้สูงที่สุด เพื่อกระโดดลงทะเลให้รอดจากการถูกเรือคว่ำทับไว้ เมื่อลอยคอกลางทะเลต้องอาศัยเครื่องช่วยอะไร ก็เตรียมหาให้พร้อมก่อนเรือจะล่ม เมื่อเรือล่มจึงได้มีไม้ให้เกาะลอยคอว่ายน้ำเข้าหาฝั่งพร้อมเสบียงเพื่ออยู่ในทะเลได้นาน ทรงว่ายน้ำโดยไม่ยอมพ่ายแพ้ จนเทวดาผู้ดูแลท้องทะเล คือ นางมณีเมขลา มาเยาะเย้ย ว่าฝั่งก็มองไม่เห็น จะว่ายไปก็ไม่มีทางรอด ยอมตายเสียดีกว่า ไม่ต้องมาว่ายให้เหนื่อยเปล่า
    พระมหาชนก กล่าวว่าถึงแม้เราจะต้องตายเราก็จะไม่หยุดว่าย การว่ายมีโอกาศถึงฝั่งได้ ดีกว่า ยอมตายโดยไม่ ดิ้นรนต่อสู้ และ ทรงว่ายต่อไปไม่หยุดยั้ง

    [​IMG]

    จนนางมณีเมขลา เห็นความเด็ดเดี่ยว ไม่อยากให้พระมหาชนกต้องมาสิ้นพระชนม์ จึงได้อุ้มพระมหาชนกมาขึ้นฝั่งได้

    หรือ เรื่องชาวนากับเกวียนที่ตกหล่ม ได้บนบานเทวดาให้ช่วยเทวดาก็ปรากฏกายออกมาสอนว่า อย่ามัวบนบานเทวดาให้ช่วย จงใช้บ่าของตนเองแบกเกวียนให้ลอยขึ้นจากหล่ม แล้วให้วัวดึงก็สามารถขึ้นได้

    มารมีเครื่องมือคือ เบ็ด และ บ่วง ที่จะล่อผู้โง่เขลาให้ติด
    ผู้มีปัญญา จะไม่ติดเบ็ด และ บ่วงของมาร จะเอาธรรมเป็นประมาณ เอาหลักการเป็นเกณฑ์ เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้น จะสู้ปัญหาด้วยปัญญา ของตนเอง

    แม้แต่พระพุทธองค์ ยังไม่ให้ศรัทธาในพระองค์ ทรงถามพระสารีบุตรว่า แก้ปัญหาใช้ปัญญาตนเองแก้ หรือ ให้พระพุทธองค์สอนให้ พระสารีบุตร ตอบว่าใช้ปัญญาของตนแก้เอง พระพุทธองค์จึงทรงสรรเสริญพระสารีบุตร ว่ากล่าวถูกต้อง ปัญญา ของตนเองเป็นที่พึ่งในการแก้ปัญหา

    ปัญญามี ๒ อย่าง คือ สัมมา กับ มิจฉา ปัญญา ต่างกันที่มุ่งประโยชน์ไม่เหมือนกัน สัมมาปัญญา จะมุ่งประโยชน์ส่วนรวม แม้ตนเองจะเสียประโยชน์ก็ยอมเสียได้ แต่มิจฉาปัญญา จะมุ่งประโยชน์ของตนเอง ถึงแม้ส่วนรวมได้ประโยชน์ถ้าตนเสียประโยชน์ จะไม่ยอม

    ผู้นำที่ดี จึงต้องเป็นผู้นำที่มีสัมมาปัญญา จึงจะนำส่วนรวมให้ได้ประโยชน์
     
  9. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,096
    รวมการถาม-ตอบ ธรรมะ ของหลวงพ่อชา ค่อยๆ เลือกอ่านในหมวดที่สนใจก็แล้วกัน ถ้าอ่านหมดในครั้งเดียว อาจจะสับสนครับ



    หลวงพ่อชา สุภัทโท
     
  10. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,096
    การให้...แค่เพียงคิดจะทำ..ใจก็ยังเป็นสุข..
    <!-- Main -->มือของผู้ให้..อยู่สูงกว่ามือของผู้รับ...
    ชื่อของผู้ให้...น่าจดจำกว่าชื่อของผู้ขอ..
    เกียรติของผู้ให้...กรุ่นหอมอยู่เหนือกาลสมัย..
    ยิ่งกว่าเกียรติศักดิ์ของนักรบ และปวงวีรบุรุษ..


    การให้.
    แค่เพียงคิดจะทำ..ใจก็ยังเป็นสุข..
    ครั้นได้ให้แล้ว...จิตใจก็แช่มชื่นเบิกบาน...
    เมื่อวันเวลาผ่านไป..
    หวนกลับไปรำลึกถึงดวงหน้าอันเปี่ยมสุขของผู้รับ...
    ความปีติสุขก็ย้อนกลับมาทำให้หัวใจอิ่มเอม...

    การให้...
    จึงเป็นความสุขแท้ทั้งเวลาก่อนให้..
    ขณะที่ให้..
    และหลังจากได้ให้ไปแล้ว.


    คนที่ไม่เคยเป็นผู้ให้...ย่อมยากที่จะได้รับ..
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 1212322815.jpg
      1212322815.jpg
      ขนาดไฟล์:
      51.7 KB
      เปิดดู:
      65
  11. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    910
    ค่าพลัง:
    +4,284
    ค้นหาพระในใจ
    ๒๔ ธันวาคม ๒๕๑๖

    วันนี้จะได้มีการปรารภถึงข้อปฏิบัติ ที่ได้มีการดำเนินมา สติที่มีการรู้ติดต่อได้เป็นส่วนมากนี่ มันมีประโยชน์เป็นอย่างยิ่งทีเดียว เพราะว่ามันจะควบคุมจิตใจไม่ให้เผลอเพลินไปกับอารมณ์ต่างๆ ขณะมีการกระทบผัสสะทางตาทางหูเป็นต้น ทีนี้ความควบคุมนี่ไม่ใช่ควบคุมอยู่เฉยๆ มันต้องมีการเพียรพิจารณาประกอบอยู่ด้วย แล้วก็ขอให้สังเกตดูว่า ในขณะที่เรามีการพิจารณาอยู่นี้ มีอะไรเกิดขึ้นก็รู้เท่าทันในระยะใกล้ แต่ถ้าเราเผลอเพลินออกไปตามอารมณ์ในขณะที่ปล่อยสติ แล้วการกระทบผัสสะก็จะมีการหวั่นไหวขึ้นมาตามความเคยชิน
    ความเคยชินเป็นของละยากรู้ยากเหมือนกัน ต้องอาศัยความสังเกตดูความรู้สึกของจิต ที่มันทรงตัวเป็นปกติอยู่ทุกขณะ เมื่อยังไม่ได้พิจารณาให้เป็นการรู้อยู่เห็นอยู่แล้วละก็มันจะเพลิดเพลินไป ข้อสังเกตก็คือว่า เราจะมีการพิจารณาให้เป็นการรู้แจ่มแจ้งขึ้นมาได้อย่างไร ในขณะที่มันกระทบผัสสะ มันไหวตัวรวดเร็วนัก ทีนี้ที่มันรู้สึกอะไรขึ้นมา ถ้ามีสติรู้อยู่ก่อนประจำอยู่มั่นคงแล้ว การกระทบผัสสะมันก็วางเฉยเป็นกลางได้อย่างนี้เป็นสิ่งต้องฝึก เพราะว่าไม่ใช่เรื่องที่จะทำได้เสมอไป ในขณะไหนที่เราเผลอเพลินไปก็เป็นการรู้ว่า การกระทบผัสสะนี่มันจะต้องเพลิดเพลินไปกับความกระทบทั้งนั้น
    ทีนี้เมื่อเรามาควบคุมอยู่ ในขณะที่มีการพิจารณารู้อะไรขึ้นมาตามความเป็นจริงบ้าง มันก็ต้องเพียรประคับประคองเอาไว้เหมือนกัน ถ้าไม่รู้จักรักษาหลัก มันก็เลือนไป คือ มันเพลินไปนั่นเอง การอ่านตัวเองอยู่เป็นประจำทุกอิริยาบถหรือทุกขณะนี้ มันต้องเป็นการฝึกชนิดที่อย่าให้มีการคิดเรื่องอะไรออกไปข้างนอก แล้วความรู้อย่างนี้มันจะทรงตัวได้ติดต่อ มันจะเผลอไปเล็กๆ น้อยๆ มันก็กลับมารู้ใหม่ ตั้งหลัก ปรกติไปใหม่ได้ ความคุ้นเคยต่อลักษณะที่ตั้งหลักเป็นปรกติได้เป็นพื้นๆ นี่ มันเหมือนกับเราจะรักษาความสะอาด พอมีอะไรโผล่ขึ้นมา เราก็กวาดทิ้งได้ทันที เพราะว่าเราไม่ได้เอามายึดมั่นถือมั่น มันก็กวาดทิ้งไปง่าย แต่ว่า ขณะไหนมันไปยึดมั่นถือมั่นเป็นดีชั่วเป็นตัวตนขึ้นมาแล้ว จะต้องรู้ได้ว่า มันปล่อยยากวางยาก กวาดทิ้งมันก็ไม่ค่อยจะเตียน เราก็ต้องรู้ว่า การที่จะคุ้มครองจิตใจของเราให้อยู่ในความสงบความสะอาดอย่างนี้ จะต้องมีความรอบรู้อยู่ เป็นส่วนมากทีเดียว ขณะไหนกระทบผัสสะ จะต้องหยุดดูหยุดรู้อยู่ภายในจิตเสมอทีเดียว แม้ว่ามีเรื่องอะไรที่จะต้องทำต้องคิด ก็ทำได้ชนิดที่มีสติรู้อยู่ได้ เพราะว่าการฝึกหัดอบรมจิต มันไม่ใช่อยู่เฉยๆ ตลอดเวลาที่จะเคลื่อนไหวทำอะไร ต้องหัดไปรู้ไปแล้วก็จะค่อยอ่านออกไปเอง แล้วจะรู้จิตของตัวเองได้มากขึ้น การที่จะไปยึดมั่นถือมั่นอะไรในเรื่องภายนอก มันก็ปล่อยมันก็วางมันก็กวาดทิ้งได้เกลี้ยงๆ ไปได้
    ถ้าเราปฏิบัติกันอย่างนี้ คือกวาดกิเลสกันเกลี้ยงๆ อย่างนี้ไปทุกวัน ข้อปฏิบัติอย่างนี้ไม่ต้องไปถามใคร เพราะว่ามันดับทุกข์ดับโทษอยู่ในตัวเองทั้งหมด แล้วก็มีแต่เรื่องพิจารณาสอบจิตใจของตัวเองอยู่อย่างเดียว เพราะว่ามันไม่ต้องรู้อะไรมาก ไม่ต้องไปจำไปคิดอะไรมาก กวาดมันอยู่เรื่อยไป ปล่อยวางเรื่อยไป พิจารณาเรื่อยไป ใจมันก็สงบสะอาดขึ้นมา แล้วก็ไม่ต้องอยากเอาอยากทำอะไรอีก เพราะบางทีก็จะนึกว่า เรายังไม่ได้ทำบุญทำทานอะไร นี่ตัณหามันสอพลอก่อเกิดขึ้นมาหลอก มันจะให้ทำโน่นนี่เอร็ดอร่อยอะไรสารพัดอย่าง เราก็กวาดทิ้งเรื่อยไปทีเดียว
    ถ้ามันสอพลอก่อเกิดอะไรขึ้นมายุยงส่งเสริมจะเอาอะไรก็กวาดมันทิ้งเสีย สิ่งไหนที่ควรทำก็ทำได้ แต่ว่าอย่าทำด้วยความยึดมั่นถือมั่นก็แล้วกัน คอยกวาดกิเลสตัณหาออกให้เตียนโล่งไปเท่านั้น แล้วข้อปฏิบัติมันไม่ได้ลำบากยากเย็นอะไร แต่ว่าข้อสำคัญต้องหมั่นพิจารณาให้รู้ เพราะว่าจิตนี้มันมีอวิชชาตัณหาเป็นอาสวะสำคัญที่สุด เพราะฉะนั้นต้องหมั่นพิจารณาอยู่เสมอทีเดียว คอยทำลายความยึดมั่นถือมั่นที่มันรู้ผิดเห็นผิดขึ้นมาทำมาคิดมาพูดอะไรสารพัดอย่าง ต้องคอยทำลายมันเรื่อยทีเดียว เราจะต้องมีสติเป็นนายประตูเอาไว้ คอยควบคุมเอาไว้ การควบคุมนี้ก็ควบคุมอยู่ที่จิต เพราะว่าที่จิตนี้มันสำคัญ มันเป็นประตูใน และประตูนอกทางตาทางหูนี่ ถ้ามีการสำรวมด้วยสติเป็นเครื่องสำรวมอินทรีย์อยู่แล้ว ทุกข์โทษอะไรมันก็ผ่านไปผ่านมา หรือว่ามันจะเกิดความพอใจไม่พอใจอะไรบ้างก็เล็กๆ น้อยๆ เพราะจิตที่มีการสำรวมอยู่นี่ มันคอยรู้อยู่ที่นี่ มันอยู่ประตูในนี่ พอมันจะกระทบอะไรมันก็รู้อยู่ในจิตที่เป็นกลางนั่นเอง ให้มันรู้อยู่อย่างนี้เอาไว้ ถึงว่ามันจะมีความเผลอเพลินไปชอบไม่ชอบอะไรขึ้นเป็นครั้งคราวบ้าง มันก็รู้จักกวาดทิ้ง
    การพิจารณานี้เป็นเรื่องสำคัญ จะขาดไม่ได้ เพราะว่ากิเลสนี้มันเหมือนกับของสกปรกนั่นแหละ ที่มันจะปลิวมากระทบ ถ้าเผลอไผลไปยึดมั่นถือมั่นมันเข้า มันก็เกิดเรื่องเกิดราวขึ้นมาเท่านั้นเอง ถ้าสติเป็นนายประตูอยู่เสมอแล้วทุกข์โทษอะไร หรือเชื้อโรคอะไรที่มันจะมาทางผัสสะ มันก็จะไม่มาทำอันตรายได้ เหมือนกับที่เขาป้องกันเชื้อโรคทางกายนั่นแหละ ตัวเชื้อโรคมันมากระทบแล้วมันก็สะท้อนดับ คือว่าสลายตัวตายไป ทีนี้จิตของเรานี้ก็เหมือนกัน ถ้ามีสติคุ้มครองจิตอยู่ทุกขณะที่ผัสสะกระทบมันก็สะท้อนกลับคืน ดับไปอย่างนั้น ดับไปเป็นธรรมชาติของมัน
    การกระทบผัสสะนี่มันเป็นของธรรมชาติ เรามีตาจะไม่ให้เห็นรูป มีหูจะไม่ให้ฟังเสียงอย่างนี้ไม่ได้ เพราะมันต้องรับผัสสะ แต่ว่าเรื่องดีชั่วตัวตนอะไรนี่ อย่าไปยึดถือ แล้วก็ไม่มีเรื่องอะไรหรอก จิตใจมันก็เป็นปรกติอยู่ได้ สงบอยู่ได้ ว่างอยู่ได้ แต่ข้อขัดข้องที่สำคัญคือ มันโง่ไปเที่ยวยึดถือเอามาทุกข์ไปเท่านั้นเอง ถ้าฉลาดขึ้นแล้วมันจะกวาดทิ้งเรื่อยทีเดียว ทีนี้กิเลสจะมาสอพลอล่อลวงอย่างไหน ไม่เอา ไม่คบค้าสมาคมกับมันแล้ว หรือว่าตัวกูชูหัวมาอย่างไร จะเอาอะไรเห็นแก่ตัวในแง่ไหน ขี้เกียจขี้คร้านอะไรสารพัด อย่างนี่แหละ พอมันโผล่หน้ามา เราก็รู้ว่ามันเรื่องของมายา ของความมีตัวมีตนอะไร ที่จะมาก่อเรื่องปรุงคิดไปในแง่ต่างๆ
    การปฏิบัติธรรมนี้จะต้องพิจารณาอยู่ตลอดเวลา มันไม่ใช่ไปเฉยๆ เมยๆ แล้วก็เป็นการนอนหลับใหลไปเป็นตายไม่รู้ไม่ชี้ เพราะจิตใจนี้ต้องมีสติปัญญาควบคุมอยู่เสมอทีเดียว แล้วนั่นแหละจึงจะรู้ว่า เชื้อโรคอะไรโผล่ขึ้นมาในขณะไหน พอรู้ก็ดับได้ กวาดทิ้งไปเรื่อย แล้วจิตใจก็มีความสะอาดขึ้นมาได้ มันไม่ยึดถืออะไรเข้าารกอกรกใจเหมือนแต่ก่อน เพราะมันฉลาดมันก็กวาดทิ้งได้เรื่อยๆ แล้วเครื่องสกปรกรกรุงรังอะไรที่ยังมีตกค้างหมักดองสันดานอยู่นี่ ก็จะต้องพิจารณาค้นคว้าเข้าไปอีก ข้างนอกมันก็ยังรก ข้างในมันยังร้อน เพราะเชื้อมันยังซ่อนอยู่ข้างใน เราจำเป็นต้องค้นคว้าทำลายเชื้อเข้าไปอีก
    เครื่องกระทบภายนอกต้องจัดการป้องกัน ภายในก็ต้องค้นคว้าเข้าไปเรื่อย เพราะมันซ่อนเงื่อนนอนกบดานอยู่ ถ้ายังไม่ถูกกระทบกระทั่งมันก็วางเฉยอยู่ได้ ตัวตนก็ดับหายไปได้ แต่พอมีการกระทบและเผลอไผลไปยึดถือขึ้นมา ตัวกูก็ชูหัวขึ้นทันที แล้วใครจะมาตรวจให้ได้ ก็ต้องใช้สติปัญญาหรือธรรมะเป็นเครื่องตรวจเป็นเครื่องสอบและเป็นเครื่องดับเป็นเครื่องทำลายพร้อมเสร็จอยู่ในตัว
    ข้าศึกภายในมันเป็นของลึกซึ้ง มันคอยก่อเกิดเรื่อยและมันเกิดมาเผาให้ร้อนแล้วร้อนอีก ทุกข์แล้วทุกข์อีก เราก็สอบกันดู ว่าทุกข์ที่เกิดขึ้นมาในใจทำไมเราจึงไม่ค่อยรู้เท่าทัน ที่ปล่อยให้กิเลสเผาเร่าร้อนอยู่นี่เพราะเหตุอะไร
    เราก็เคยเร่าร้อนมามากมายแล้ว ทีนี้จะต้องรู้ละ รู้วิธีที่จะดับทุกข์ดับกิเลสภายในจิตใจของตัวเองได้ ปล่อยวางให้มันว่างเปล่าไปได้ แล้วก็รู้สึกว่าจิตใจนี่มีความว่างมีความสงบ ผู้ปฏิบัติก็รู้แล้วว่าจิตว่างน่ะมีอยู่ แต่ขณะไหนที่วุ่นขึ้นมาจะทำอย่างไร? ก็ต้องพิจารณากวาดทิ้งไปสิ มันก็เหมือนการรักษาบ้านเรือน เราต้องกวาดถูทุกวัน ถ้าไม่ทำก็นั่งไม่ได้ นอนไม่ลง เพราะว่ามันสกปรก ภายนอกก็ยังต้องรักษาความสะอาดทุกวัน แล้วจิตใจนี่สำคัญยิ่งกว่านั้นอีก เพราะความสกปรกรกรุงรังภายในจิตใจนี่มันรู้ได้ยาก มันคอยแต่จะไปเก็บเอาเข้ามายึดถือ เอาเข้ามาให้รกรุงรังแล้วก็นิยมชมชอบ นึกว่าดี
    เรื่องไม่รู้ตัวเอง เที่ยวไปยึดมั่นถือมั่นอะไรเข้ามาเป็นตัวกูของกู มันรกอกร้อนใจขึ้นมาอย่างไร ไม่มีใครจะไปสอบให้ได้ ต้องตรวจสอบเอง จะได้ซักฟอกได้ดับทำลายไป แล้วก็ไม่ต้องเรียกให้พระมาช่วย สติปัญญาของตนนี่เองเป็นไม้กวาด กวาดมันทิ้งออกไป ให้เตียนจากิเลส แล้วก็เป็นพระเสียเอง จะไปจ้างให้คนอื่นมาเป็นพระให้มันก็ไม่พ้นทุกข์ หรือจะไปพึ่งพระข้างนอกมันก็ไม่พ้นทุกข์อีก ต้องทำให้เด็ดขาดลงไปในใจของเราเอง ให้มัน กวาดกิเลสเกลี้ยงๆ ไปทุกครั้งทุกคราวทีเดียว แล้วก็พบพระ คือพระใจนี่ ซึ่งไม่มีตัวไม่มีตน เพราะพระแท้ๆ น่ะไม่ใช่หญิงไม่ใช่ชาย ไม่ได้เป็นอะไรทั้งหมด
    เราจะต้องรู้จักพระข้างในกันเสียที ที่ไปหลงบูชาพระข้างนอกมาแขวนคอนั่นยังเป็นเด็กอยู่ ก็ต้องอาศัยเครื่องเล่นไปอย่างนั้น ที่รู้จักพระในใจนี่ต้องปฏิบัติกันจริงๆ รู้จักดับทุกข์ดับกิเลสของตัวเองได้ แล้วนั่นแหละจะได้เดินตามรอยของพระ กวาดกิเลสให้เกลี้ยงหมดจดบริสุทธิ์ แล้วก็เป็นพระเสียเอง
    การเป็นพระหรือมีธรรมะขึ้นมาภายในจิตในใจมันคุ้มครองอันตรายได้รอบด้านหมด แม้ว่าชีวิตนี้จะแตกดับแต่ว่าสิ่งนั้นไม่มีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างอื่น มันเป็นความคงที่ ไม่มีการเกิด การแก่ การเจ็บ การตาย ไม่มีกิเลสที่เป็นเหตุให้เกิดอีก ไม่มีตัณหามาปรุงจิตให้ไปเกิดอีก นั่นแหละจึงจะพบเข้ากับพระนิพาน เป็นการดับกิเลสตัณหาอุปาทานเด็ดขาดสิ้นเชิง แต่นี่มันยังอยู่กับกองทุกข์กองกิเลส จึงต้องปฏิบัติอยู่ทุกเวลานาทีของชีวิตทีเดียว
    การปฏิบัติธรรมเป็นเรื่องสำคัญของตัวเองด้วยกันทุกคน การถูกกิเลสเผาจิตร้อนเร่าเศร้าหมองไปอย่างไร ก็ต้องสอบได้ ถ้าเป็นฝ่ายเผากิเลสได้ ดับกิเลสได้ จิตใจก็สงบได้ สะอาดได้ ว่างได้ แล้วอย่างนี้จะไม่น่าปฏิบัติกันอย่างไรได้ จะไปทอดธุระ ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ มันก็ทุกข์อยู่ในตัว เพราะฉะนั้นต้องพยายามก้าวหน้าเรื่อยไปทีเดียว ถอยหลังไม่ได้เป็นอันขาด เพราะทุกข์มันจะเกิดใหญ่ กิเลสจะเผาใหญ่ ต้องก้าวหน้าเรื่อย ไป ทวนกระแสของกิเลสเรื่อยไป แม้จะผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะก็ต้องพยายามไป
    การปฏิบัติธรรมก็ไม่ใช่ของง่าย ที่จะไม่ให้มีการพ่ายแพ้นั่นก็ไม่ได้ เพราะกิเลสในสันดานมันยังเสนอหน้าเข้ามาอยู่เรื่อย ฉะนั้นต้องพยายามมองเข้าด้านในตะพึดไปจึงจะได้มีเครื่องมือที่คมเฉียบขึ้นมา เพื่อฝ่าฟันกิเลสตัณหาซึ่งมันก็อยู่ภายในนั่นแหละ มันเป็นข้าศึกลึกลับ ต้องพยายามดับทำลายมันให้ว่างเปล่าไปจากจิตใจให้ได้
    ที่เราได้มีโอกาสมาประพฤติปฏิบัติเพื่อดับทุกข์ดับกิเลสอย่างนี้เป็นของดีที่สุดแล้ว ถ้าเราไม่ปฏิบัติให้ถูกทางแล้วมันจะหลง มันหลงไปชักใยพันตัวเองให้วุ่นวายไปต่างๆ นานา ซึ่งก็มีตัวอย่างอยู่แล้ว เราเองก็หลงมาแย่แล้ว ทีนี้จะต้องออกจากดงหลงเสียที
    ทีนี้เราได้รู้สึกตัวทั่วถึงกันแล้วว่า ต้องอดทนต่อสู้ศัตรูหมู่มารข้างใน ให้มันพ่ายแพ้ยับเยินไปให้ได้ เราเคยพ่ายแพ้มันมามากแล้ว ต่อไปนี้ต้องพยายามแล้วพยายามอีก ตั้งหน้าฝ่าฟันป่ากิเลสให้เตียนโล่งไปให้ได้ แล้วทุกข์โทษทั้งปวงมันจะลดน้อยลงไป เราขุดมันมาเผาเสียเรื่อยๆ การเผาก็หมายถึงการพิจารณานั่นเอง ให้เห็นว่ามันเป็นความว่างจากตัวตนเอาไว้ เพราะว่าจะเผาอย่างอื่นมันก็ไม่ตรง มันยังงอกได้ ตัวกูของกูมันยังงอกได้ เพราะฉะนั้นต้องตรงเข้าขุดรากแก้วตัวตนนี่ให้มันดับทำลายไปเรื่อยๆ มันงอกขึ้นมาทีไรเราต้องสับมันลงไปทันที หรือขุดมันขึ้นมาเผาเสีย พิจารณาแล้วพิจารณาอีก จนเห็นความเป็นธาตุได้นั่นแหละจึงเป็นการเผาได้ ถ้าเห็นเป็นตัวเป็นตนอยู่ มันจะงอกขึ้นมา ทุกข์โทษมากมายนักหนาทีเดียว
    เราเพียรพิจารณาอยู่เรื่อย เผามันเรื่อยทีเดียว มันก็ตายไปเตียนไป อย่างนี้ข้อปฏิบัติก็ใกล้มรรคผลนิพพานแล้ว หรือว่าเป็นมรรคผลนิพพานน้อยๆ เรื่อยไปก็ได้ เพราะเราไม่ต้องไปพึ่งพาอาศัยสิ่งภายนอก แต่เราจะปฏิบัติให้ถูกตรงตามแนวทางของพระพุทธเจ้า ที่ให้เราปฏิบัติด้วยการพิจารณาให้เห็นรูปนามขันธ์ 5 ว่างจากตัวตน เท่านี้ เราต้องพยายามอย่างนี้อย่างเดียว
    กิเลสตัณหาอุปาทานภายในสันดานมันมีหลายชั้น ขั้นหยาบ ขั้นกลาง ขั้นละเอียด สำหรับขั้นหยาบที่พอจะรู้ได้ จับได้ ละได้ ก็เห็นผลกันอยู่แล้ว ส่วนขั้นกลางหรือขั้นละเอียดมันเป็นของลึกซึ้งมาก มันหลอกให้รวนเรเถลไถลไป เพราะมันเห็นว่าเป็นสุขแล้ว การปฏิบัตินี่จะต้องไม่หลงความสุข จะต้องพิจารณาให้เห็นความทุกข์โดยส่วนเดียว และทุกข์นี่มันก็เป็นทุกข์ของธรรมชาติ ไม่ใช่ทุกข์ของเรา ข้อนี้เป็นข้อที่จะต้องพิจารณาซ้ำซาก ให้เห็นชัดๆ ลงไปให้ได้ มันเป็นธรรมชาติจริงๆ ไม่มีตัวเรา ไม่ใช่ของของเราจริงๆ แล้วจิตนี่จะได้ไม่เข้าไปยึดมั่นถือมั่น มันจะได้ปล่อยได้วางออกไป แล้วมันจะได้ว่างจากตัวตน ว่างจากตัวตนให้มากเป็นพิเศษทีเดียว
    การปฏิบัติเป็นเรื่องกวาดทิ้ง ถ้าพื้นความรู้มีแนวของการพิจารณาประกอบอยู่ด้วยแล้ว การกวาดทิ้งจะเป็นไปได้ง่ายๆ คือจิตจะว่างจากตัวตนได้ง่ายเหมือนกัน แต่ถ้าไม่รู้แล้วมันจะยึดมั่นถือมั่นขึ้นมา มันจะวุ่น มันจะวิ่ง ต้องพิจารณาให้เห็นทุกข์โทษทั้งหลายที่มันวุ่นวายอยู่กับอะไร มันยึดมั่น ถือมั่นอยู่กับอะไร ต้องเพียรเพ่งพิจารณาให้เห็นประจักษ์ชัดให้จงได้ ให้มันรู้จริงขึ้นมาว่า มันเป็นสักแต่ว่าธาตุตามธรรมชาติเท่านั่น ไม่ใช่เป็นตัวเรา ไม่ใช่เป็นของเราแน่นอนลงไปให้ชัดใจให้ได้
    เราต้องย้ำแล้วย้ำอีก เพราะเรื่องการพิจารณาที่จะให้เห็นแจ้ง ไม่ใช่เป็นของง่าย ต้องเพียรพิจารณาอยู่ซ้ำซากจนรู้เห็นขึ้นมาจริงๆ ถ้าว่ายังไม่รู้จริงก็ต้องพยายามพิจารณาให้มันรู้จริงขึ้นมาให้ได้ มันจึงจะปล่อยวางว่างเปล่าจากตัวตนไปได้ แล้วมันจะได้โล่งอกโล่งใจขึ้นมา
     
  12. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    910
    ค่าพลัง:
    +4,284
    อิทธิพลของสมาธิ
    โ ด ย : พระราชสังวรญาณ ( พุธ ฐานิโย ) วัดป่าสาลวัน อ.เมือง จ.นครราชสีมา

    ขณะใดที่เราภาวนา แล้วจิตของเราสงบ นิ่ง สว่าง หรือไปรู้สึกนิ่งแจ่มๆ อยู่ในจิตในใจก็ตาม นั่นแสดงว่า จิตใต้สำนึกของเรากำลังเริ่มตื่นขึ้นแล้ว ทีนี้เมื่อเราฝึกต่อเนื่องกันทุกวัน จนคล่อง ชำนิชำนาญ เราสามารถทำจิตให้สงบได้ ตามที่เราต้องการ เมื่อจิตสงบลงนิดหน่อย เราจะน้อมไปใช้ประโยชน์ในทางไหนก็ได้ อยากจะเป็นหมอรักษา คนไข้ ก็สำรวมจิต อธิษฐานแผ่เมตตา ให้คนไข้ แม้เพื่อนฝูงของเราเจ็บไข้ อยู่ในที่ห่างไกล เรานั่งสมาธิสำรวมจิต แล้วอธิษฐานจิตแผ่เมตตาให้เพื่อนของเราที่กำลังป่วยไข้ ก็สามารถที่จะหายได้
     
  13. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,096
    มาหาความรู้เรื่อง "cern" กับการทดลองกำเนิดของจักรวาลบนโลกมนุษย์กันครับ โดยบางคนกล่าวว่า อาจเกิดมหันตภัยอย่างไรหลวงต่อมนุษยชาติก็ได้....


    เยี่ยมครับ ผมชอบการทดลองนี้ เราจะได้ทราบอะไรใหม่ ๆ จากผลการทดลองยิงอนุภาค พวกที่บอกว่าหลุมดำจะสูบโลกเข้าไปทั้งโลกก็กระต่ายตื่นตูมเกิน ถึงมันเป็นจริงก็ไม่เห็นน่ากลัว
    <!--MsgFile=11-->



    <CENTER><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" bgColor=#222244 border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD vAlign=top bgColor=#000000 rowSpan=2><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" bgColor=#442244 border=0><TBODY><TR><TD width=10></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD align=left bgColor=#000000 colSpan=2><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 bgColor=#442244 border=0><TBODY><TR><TD width=10></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></CENTER>
    ดูบทความพร้อมรูปภาพเพิ่มเติมได้ที่

    http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y6981933/Y6981933.html
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 กันยายน 2008
  14. jirautes

    jirautes เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    195
    ค่าพลัง:
    +575
    สวัสดีครับวันนี้ครอบครัวผมร่วมทำบุญสงเคราะสงฆ์อาพาธ 500 บาท*10/09/08 เวลา17:38 น.พร้อมส่งเงิน 100 บาท(พี่โสระ)เวลา17:39น.
     
  15. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,096
    เรื่องเล่าจากย่า ใน blog แห่งหนึ่ง




    <TABLE cellSpacing=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD><!--Last Update : 6 กันยายน 2551 16:23:32 น.-->กำลังใจจากเตียงข้างหน้าต่าง

    <!-- Main -->[SIZE=-1]<CENTER><TABLE style="BORDER-RIGHT: #dfa1a4 1px solid; BORDER-TOP: #dfa1a4 1px solid; BORDER-LEFT: #dfa1a4 1px solid; BORDER-BOTTOM: #dfa1a4 1px solid" cellSpacing=0 cellPadding=0><TBODY><TR><TD><TABLE style="BACKGROUND: url(http://i11.photobucket.com/albums/a171/merrymod/bgsetn1.jpg)" cellSpacing=10 ;cellpadding="0"><TBODY><TR><TD><TABLE style="BORDER-RIGHT: #dfa1a4 1px solid; BORDER-TOP: #dfa1a4 1px solid; BORDER-LEFT: #dfa1a4 1px solid; BORDER-BOTTOM: #dfa1a4 1px solid" cellSpacing=0 cellPadding=0><TBODY><TR><TD><TABLE style="BACKGROUND: url(http://i11.photobucket.com/albums/a171/merrymod/bgsetn2.jpg)" cellSpacing=20 ;cellpadding="20"><TBODY><TR><TD><TABLE style="BACKGROUND: url(http://i11.photobucket.com/albums/a171/merrymod/bgsetn3.jpg)" cellSpacing=0 ;cellpadding="0"><TBODY><TR><TD><TABLE style="BORDER-RIGHT: #dfa1a4 1px solid; BORDER-TOP: #dfa1a4 1px solid; BORDER-LEFT: #dfa1a4 1px solid; BORDER-BOTTOM: #dfa1a4 1px solid" cellSpacing=20 cellPadding=0><TBODY><TR><TD><CENTER>[/SIZE]


    จอห์น และ ทอม ป่วยหนัก และถูกนำมาพักที่ รพ แห่งหนึ่งในห้อง

    เดียวกันห้องนั้นมี2เตียง จอห์นได้นอนเตียงติด ประตู หมอไม่อนุญาติให้

    เขานั่งเขาได้แต่นอนราบ ส่วนทอมได้ เตียงติดหน้าต่าง ทอม หมอ

    อนุญาติให้เขานั่งได้ทุกวันตอนบ่าย เพื่อจะ ระบายน้ำออกจากปอด ของเขา

    เขาจะเล่าเรืองราวที่เขามองเห็นนอกหน้าต่าง ให้ จอห์น ฟังเสมอ ทอมจึง

    เป็นเสมือนดวงตาของ จอห์น ผู้ไม่สามารถ มองเห็นอะไรนอกจากเพดานสี

    ขาว



    ทอม เล่าว่า นอกหน้าต่างเป็นทะเลสาบสีฟ้าแสนสวย มี หงส์สี

    ขาว แหวกว่ายอย่างมีความสุขมีหนุ่มสาวคู่รักเดินควงแขนกันอย่างมีความ

    สุข ตอนนี้เป็นฤดูใบไม้ผลิ ดอกไม้บาน สีสันสดใสไปทั่ว มองออกไป

    ไกลลิบๆ จะเห็น ตึกของดาวน์ทาวน์ และโน่นสุดขอบฟ้าจะเห็น เส้นขอบ

    ฟ้าที่สวยงาม



    ทุกๆวัน ทอมจะเล่าเรืองที่เขาเห็น อย่างวันหนึ่งมีขบวนพาเหรด ผ่าน

    ไป ทอมอธิบายสิ่งที่เขาเห็นถึงแม้จอห์นจะไม่ได้ยินเสียงอะไร แต่เขา ก็ได้

    หลับตา จินตนาการ ไปตาม คำบอกเล่าของทอมทอมมักจะบอกจอห์น

    เสมอๆว่า “นายรีบๆ หายนะ แล้วเราจะได้ออกไปเดินเล่นที่ทะเลสาบกัน”

    มันทำให้เขามีความหวังว่าสักวันเขาจะ

    ได้เห็นภาพที่ทอม เล่าให้เขาฟัง รอให้เขาหายดีก่อนเถอะ



    จากวัน เป็น สัปดาห์ และเป็นเดือน จอห์น รอคอยทุกบ่ายที่จะได้

    ฟังเรืองที่ทอมจะเล่าว่าเขาได้เห็นอะไรผ่านจากหน้าต่างบานนั้น.. วันหนึ่ง

    พยาบาล ได้ เตรียมน้ำเข้ามาเช็ดตัวคนไข้ และพบว่า ทอมได้ตายอย่างสงบ

    แล้ว ใบหน้าเขาเต็มไปด้วยรอยยิ้ม.. พยาบาลจึงได้แจ้งให้ มาช่วยกันย้าย

    ศพทอม ออกไป ผ่านไปสักพักหนึ่งจอห์น ได้ขอกับพยาบาลว่าเขาอยาก

    ไปนอนที่เตียงติดหน้าต่าง พยาบาล ยินดีที่จะทำตามคำขอ



    วันนี้จอห์นได้นอนติดหน้าต่างเป้นครั้งแรก เขาพยายามใช้ศอก ยัน

    ร่างกายอันแสนเจ็บปวดของเขา ขึ้นมองออกไปที่นอกหน้าต่างเป็นครั้ง

    แรก และสิ่งที่เขาเห็นก็คือ....... กำแพง !!!

    ของผนังตึกอีกตึกหนึ่ง



    เขาได้ถามพยาบาล ในเวลาต่อมาว่า ทำไม ทอมถึงได้เล่าภาพ

    ต่างๆ ให้เขาฟัง พยาบาลบอกว่า ทอมนั้นได้สูญเสียการมองเห็นในระยะ

    สุดท้ายของชีวิต เขามองไม่เห็นอะไรด้วยซ้ำไป สิ่งที่เขาเล่าให้จอห์นฟัง

    มาจากจินตนาการ ที่เปี่ยมไปด้วย ความหวังและ

    กำลังใจ เขาพยายามที่จะ ให้กำลังใจกับ จอห์น เพื่อนคนสุดท้ายที่

    เขามี .........



    ชีวิตจะสวยงาม หรือไม่ อยุ่ที่ทัศนะคติ ของเราที่มีต่อมัน และ ปัจจุบันขณะก็

    ถือว่าเป็นสิ่งมีค่าที่สุดภาษาอังกฤษ ถึงเรียก ปัจจุบันว่า “ the

    persent” ที่แปลว่า ..ของขวัญ ไงละ……


    Thers is tremendous happiness in making others happy despite our own situations

    Shared grief is half the sorrow but happiness when shared is doubled



    เรื่องนี้ได้ฟังมานานมากๆแล้ว ถ้าเกิดได้เคยได้ยินมาแล้วขออภัย ด้วย

    ค่ะ แต่สำหรับคนที่ไม่เคย อ่าน คิดว่า ดีค่ะ เพราะย่าก็ประทับใจกับเรือง นี้

    มากค่ะ



    กายเราอาจจะป่วย ร่างกายเรากำลังทรมาน และ... เรากำลังจะตาย..

    แต่เราจะไม่ให้สิ่งเหล่านี้มาทำให้ใจของเราเป็นทุกข์ เราจะทำใจของเราให้

    เป็นสุขตลอดไป....
    </CENTER>

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></CENTER></B></TD></TR></TBODY></TABLE></B>
    http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=qinglincherry&group=21
     
  16. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,096
    บนเส้นทางแห่งพุทธบุตรผู้หาญกล้า...


    [​IMG]

    มุ่งแสวงหามรรคา อันยาวไกล......

    ท่านพุทธทาสฯเคยเทศน์ไว้ว่า
    "มีวงกลมอยู่วงหนึ่ง วนหมุนไปเรื่อย
    "ถ้าอยากให้มันหยุด ก็แค่ทำลายเส้นรอบวงในจุดใดจุดหนึ่ง
    "ให้มันขาดตัวเชื่อมต่อกันเป็นวง เท่านั้นเอง"
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 กันยายน 2008
  17. tanya123

    tanya123 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    197
    ค่าพลัง:
    +544
    Sawadee ka :) 10/09/08:)
    Today I and family transfer money to tumboon ka 400 B,Every body pls sa tue boon with us na ka,we also sa tue boon with every body too ka
    10/09/08 ,Code 499003 153030 3481232459= 400.00 B.Pratom F.
    :)Sa tue boon ka:)
    :)Tanya klyne and family:)
     
  18. โอลีฟ

    โอลีฟ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    42
    ค่าพลัง:
    +257
    เมื่อวันอาทิตย์ที่ 7 กันยายน พ.ศ.2551 มีการโอนเงินทาง internet จำนวน 1,500 บาท มีรายชื่อผู้ร่วมทำบุญดังนี้ค่ะ

    พนักงานปั้มเชลล์บุรีรีมย์ 318 บาท
    นายสืบศักดิ์ โอฬารวณิช 200 บาท
    นายดีเอนก, นางนงลักษณ์ โอฬารวณิช จำนวน 982 บาท

    รวมทั้งสิ้น 1,500 บาทค่ะ
     
  19. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,096
    คุณโอลีฟ

    ขอโมทนาบุญด้วยครับ แต่โอนทาง internet ทำยังไงครับ เป็นบัญชีธนาคารหรือเปล่าครับ สงสัยจริงๆ เพราะการบริจาคเข้าทุนนิธิฯ เรามีช่องทาง 2 ทางคือ ผ่านบัญชีธนาคาร หรือไม่ก็ฝากกันบริจาคมาเป็นเงินสดครับ

    พันวฤทธิ์
    11/9/51
     
  20. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,096
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD><TABLE borderColor=white cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" border=2><TBODY><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top><!--Last Update : 10 กันยายน 2551 23:09:34 น.-->+++ ถ้าท้อเป็นเพียงถ่าน ถ้าผ่านจึงเป็นเพชร +++
    [SIZE=-1]<TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD style="WIDTH: 23px; HEIGHT: 23px" vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD><TD target="_blank" tb02-9.jpg);? table6 thattron69 k11 albums i84.photobucket.com http:>[/SIZE]
    [SIZE=-1][​IMG][/SIZE]

    </TD><TD style="WIDTH: 23px; HEIGHT: 23px" vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD target="_blank" table6 thattron69 k11 albums i84.photobucket.com http: tb08-9.jpg);?>




































































    </TD>
    [SIZE=-1]<TD style="BACKGROUND-IMAGE: url(http://i84.photobucket.com/albums/k11/thattron69/table6/tb09-9.jpg)" vAlign=center align=middle>[/SIZE]
    เพชรมีค่ามากกว่าถ่านหลายล้านเท่า

    ทั้ง ๆ ที่เพชรเป็นธาตุคาร์บอนเหมือนกัน

    ไม้ผ่านการอบการเผา ไม่นานก็กลายเป็นถ่าน

    แต่เพชรผ่านความร้อน ไม่ต่ำกว่า 5,000 องศาฟาเรนไฮน์

    ได้รับความกดดันมากกว่า 1 ล้านปอนด์ต่อตารางนิ้ว

    ด้วยระยะเวลาอันยาวนาน จนกระทั่งกลายเป็นเพชร


    เพชรที่เป็นเครื่องประดับอันงดงาม

    พร้อม ๆ กับเป็นของที่มีความแข็งมากที่สุดในโลก

    ถ้าท่านกำลังได้รับความกดดันอยู่ จงอดทน จงอดทน

    ถ้าท่านกำลังถูกเคี่ยวถูกสับอยู่ ให้คิดว่าเพียงแค่นิ้ว


    จะทำให้เป้าหมายเราสั่นคลอนได้หรือ ?

    ถ้าสถานการณ์กำลังบีบคั้น แสดงว่าชัยชนะกำลังรออยู่ข้างหน้า

    ถ้ายังถูกโหมกระหน่ำอีกให้รู้ตัวว่า

    ท่านกำลังใกล้จะเป็นเพชรเต็มที่แล้ว....


    ในสถานการณ์เช่นนี้ หากหยุดคิดพิจารณาอย่างมีสติ

    ย่อมจะเกิดปัญญาพบหนทางสว่างได้เสมอ

    จงมุ่งมั่นอาจหาญสง่างาม เสมือนดั่งเพชร

    แม้เพชรจะตกอยู่ในสภาวะทุกข์ยากลำบาก อ้างว้างและโดดเดี่ยว

    แต่เพราะเพชรไม่เคยย่อท้อต่อสู้เรื่อยไป


    ให้ถือว่าทุกอย่างเป็นบทเรียนและบทฝึกตัวเองเสมอ จนกาลเวลาผ่านไป

    เพชรจึงภูมิใจในตัวของมันเอง และด้วยความอดทนถึงที่สุดนั่นเอง

    เพชรจึงเป็นอัญมณีล้ำค่า ควรแก่การประดับมงกุฎของพระราชาผู้ยิ่งใหญ่

    จากอดีต.... ปัจจุบัน....ตลอดไปในอนาคต





    เพชรแท้ ย่อมไม่กลัวการพิสูจน์



    </TD>



    </TR></TBODY></TABLE>



    </TD></TR></TBODY></TABLE>http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=pheonix1409&month=10-09-2008&group=12&gblog=8</TD></TR></TBODY></TABLE>



    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 11351861.jpg
      11351861.jpg
      ขนาดไฟล์:
      32.7 KB
      เปิดดู:
      274

แชร์หน้านี้

Loading...