ว่าด้วยเรื่อง "สังฆทาน" สำหรับชาวพุทธที่ยังไม่เข้าใจกับคำๆนี้....

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย vacharaphol, 22 พฤศจิกายน 2005.

  1. vacharaphol

    vacharaphol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    8,849
    ค่าพลัง:
    +27,174

    <TABLE style="BORDER-RIGHT: #000000 1px solid; BORDER-TOP: #000000 1px solid; MARGIN-TOP: 30px; MARGIN-BOTTOM: 30px; BORDER-LEFT: #000000 1px solid; BORDER-BOTTOM: #000000 1px solid; BACKGROUND-COLOR: #000000" cellSpacing=2 cellPadding=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>​


    สังฆทาน


    .......คือ ทานที่ให้แก่หมู่คณะไม่เฉพาะเจาะจง
    ผู้ใดผู้หนึ่ง เมื่อผู้ให้ต้องการถวายปัจจัยไทยธรรม (สิ่งของที่ควร
    ถวายพระ) ก็เต็มใจถวายแก่ภิกษุทั้งนั้น ด้วยความเคารพยำเกรงใน
    สงฆ์ (หมู่คณะ) โดยมิได้เจาะจงผู้ใดผู้หนึ่ง เช่น เมื่อจะนิมนต์พระ
    ไปทำบุญบ้าน ก็เข้าไปหาเจ้าอาวาส หรือเจ้าหน้าที่รับนิมนต์ของวัด
    กราบเรียนท่านว่าจะทำบุญบ้าน ขอนิมนต์พระสงฆ์ไปรับไทยธรรม
    ๙ รูป ทางวัดจะส่งพระรูปใดไปรับไทยธรรม ก็มีความยินดี เต็มใจ
    ถวายทานแก่ท่าน ทานที่ผู้ให้มีเจตนากว้าง ไม่เจาะจงนิมนต์อย่าง
    นี้เรียกว่า " สังฆทาน "


    .......พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสกับพระอานนท์ว่า เมื่อถวาย
    ทานแด่สงฆ์ ๗ ประการนี้ เรียกว่าสังฆทาน

    ได้มีคำอธิบายมาใน ทักขิณาวิภังคสูตร อุปริปัณณาสก์
    มัชฌิมนิกาย ถึงคำว่า " สงฆ์ " ว่า สงฆ์มี ๗ ประเภท คือ


    ๑. สงฆ์ ๒ ฝ่าย ( ภิกษุสงฆ์และภิกษุณีสงฆ์ ) มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
    เป็นประมุข

    ๒. สงฆ์ ๒ ฝ่าย ในเวลาที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าดับขันธปรินิพพานแล้ว

    ๓. ภิกษุสงฆ์

    ๔. ภิกษุณีสงฆ์

    ๕. บุคคลที่ได้รับอนุมัติจากสงฆ์ ๒ ฝ่าย

    ๖. บุคคลที่ได้รับอนุมัติจากภิกษุสงฆ์

    ๗. บุคคลที่ได้รับอนุมัติจากภิกษุณีสงฆ์


    .......สรุปว่า ในปัจจุบันนี้ เราสามารถถวายทานแด่สงฆ์ได้ใน
    ข้อที่ ๓ และ ๖ ( เพราะภิกษุณีสงฆ์ไม่มีแล้ว ) สงฆ์จึงมีอยู่ ๒ แบบ
    คือ


    ๑. พระภิกษุตั้งแต่ ๔ รูปขึ้นไป จัดว่าเป็นสงฆ์ในพระวินัย
    การถวายทานแด่หมู่ภิกษุที่ไม่เจาะจง ตั้งแต่ ๔ รูปขึ้นไป ก็จัดเป็น
    สังฆทาน

    ๒. ภิกษุรูปใดรูปหนึ่ง ที่ได้รับอนุมัติจากสงฆ์ให้ไปรับ
    ไทยธรรม เช่น เราไปนิมนต์ โดยขอภิกษุกับคณะสงฆ์ว่า " ขอจง
    ส่งภิกษุรูปหนึ่งไปรับสังฆทานที่บ้านด้วยครับ " ครั้นได้ภิกษุรูปใด
    รูปหนึ่ง ก็มีความเคารพยำเกรงในภิกษุรูปนั้น ยินดีว่าได้สงฆ์
    มาแล้ว ก็เต็มใจถวายทานนั้น ลักษณะเช่นนี้เรียกว่า สังฆทาน
    เหมือนกัน ดังมีเรื่องเล่าว่า


    กุฎุมพีผู้เคารพสงฆ์


    .......กุฎุมพีคนหนึ่งเป็นเจ้าของวัดแห่งหนึ่ง โดยปกติแล้วเขา
    จะมีความเลื่อมใสในภิกษุผู้มีศีลลาจารวัตรอันงาม แต่ไม่เคารพใน
    ภิกษุผู้ทุศีลเลย ได้ไปขอภิกษุรูปหนึ่งมาจากสงฆ์ ด้วยคำว่า " ขอ
    พระคุณเจ้าทั้งหลายจงให้ภิกษุรูปหนึ่งจากสงฆ์แก่ข้าพเจ้า "

    แม้เขาจะได้ภิกษุทุศีลรูปหนึ่ง เขาก็ปฎิบัติต่อภิกษุรูปนั้น
    ด้วยความเคารพนอบน้อม ตกแต่งเสนาสนะและเครื่องบูชาสักการะ
    พร้อมล้างเท้าให้ภิกษุรูปนั้น เอาน้ำมันทาเท้าให้ แล้วถวายไทยธรรม
    ด้วยความเคารพยำเกรงต่อสงฆ์ เหมือนกับบุคคลเคารพยำเกรง
    ต่อพระพุทธเจ้า ภิกษุรูปนั้นฉันภัตตาหารแล้วก็กลับวัด หลังจาก
    นั้นได้กลับมาขอยืมจอบที่บ้านของกุฎุมพีนั้นอีกครั้งหนึ่ง

    คราวนี้กุฎมพีเอาเท้าเขี่ยจอบให้ พวกชาวบ้านเห็นกิริยา
    ของกุฎมพีนั้นก็ถามว่า " เมื่อเช้านี้ ท่านถวายทานแก่ภิกษุรูปนั้นด้วย
    ความเคารพนอบน้อมอย่างยิ่ง แต่บัดนี้แม้สักว่ากิริยาที่เคารพก็ไม่มี "

    กุฎุมพีตอบว่า การทำบุญเมื่อตอนเช้า เขาทำไปด้วยใจ
    เคารพยำเกรงต่อสงฆ์ แต่มิได้หมายความว่าเขามีความเคารพยำ
    เกรงต่อภิกษุรูปนั้นเป็นส่วนตัว

    จากเรื่องข้างต้น ชี้ให้เห็นว่ากุฎุมพีมีความเคารพต่อสงฆ์
    เมื่อได้รับอนุมัติจากสงฆ์ให้พระภิกษุผู้ทุศีลมารับสังฆทาน แม้ตน
    มิได้เคารพเลื่อมใสในภิกษุทุศีลรูปนั้น แต่ด้วยความเคารพที่เขามี
    ต่อสงฆ์ ก็สามารถปฎิบัติต่อภิกษุรูปนั้น ขณะมารับสังฆทานด้วย
    ความเคารพนอบน้อมอย่างเต็มใจได้


    .......สังฆทานนั้นมีผลมากกว่าปาฎิปุคคลิกทานในทุกกรณี
    ซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสแสดงไว้ชัดเจน เมื่อครั้งพระนาง
    ปชาบดีโคตรมี มีพระประสงค์จะถวายผ้าเจาะจงเฉพาะพระพุทธองค์
    ดังเรื่องราวต่อไปนี้



    พระนางมหาปชาบดีโคตรมี


    .......ครั้งหนึ่งพระนางมหาปชาบดีโคตรมีทรงถือผ้าคู่หนึ่งเข้าไปเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
    ยังที่ประทับ กราบทูลพระพุทธองค์ว่า

    " ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ผ้าใหม่คู่นี้ หม่อมฉันกรอด้ายทอเอง ตั้งใจนำมาถวายเฉพาะพระองค์
    ขอพระองค์จงโปรดอนุเคราะห์รับผ้าคู่นี้ด้วยเถิด "

    พระศาสดาได้สดับคำกราบทูลแล้ว ตรัสตอบว่า " ดูก่อนโคตมี พระนางจงถวายสงฆ์เถิด
    เมื่อถวายสงฆ์แล้ว จักเป็นการได้บูชาอาตมภาพและสงฆ์ด้วย "

    พระนางกราบทูลขอถวายเฉพาะพระองค์แม้ครั้งที่ ๒ และ แม้ครั้งที่ ๓ แต่พระพุทธองค์
    ก็ตรัสตอบเช่นเดิม เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสอย่างนี้ พระอานนท์จึงกราบทูลพระองค์ว่า

    " ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระองค์ทรงโปรดรับผ้าคู่ใหม่ของพระนางมหาปชาบดีโคตมีด้วย
    เถิด พระนางมีอุปการะมาก เป็นพระมาตุจฉาผู้ทรงบำรุงเลี้ยงประทานพระขีรรส ( น้ำนม )
    แต่พระองค์ในเมื่อพระชนนีสวรรคตแล้ว และแม้พระองค์ก็ทรงมีอุปการะแก่พระนางเป็น
    อันมาก พระนางทรงอาศัยพระองค์จึงทรงเข้าถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นสรณะ
    และทรงเว้นจากเวรทั้ง ๕ ได้ประกอบด้วยความเลื่อมใสไม่หวั่นไหวในพระรัตนตรัย และ
    ทรงประกอบด้วยอริยศีล ถึงที่สุดแห่งทุกข์ทั้งปวง "


    .......พระศาสดาทรงรับรองคำของพระอานนท์ และตรัสเช่นเดิม โดยทรงมุ่งให้พระนางได้
    บุญมาก ได้อานิสงส์มากๆ เพราะการถวายสังฆทานมีผลมากกว่าปาฎิปุคคลิกทาน
    ดังพระดำรัสว่า

    " ดูก่อนอานนท์ เราไม่กล่าวปาฎิปุคคลิกทานว่ามีผลมากกว่าสังฆทาน โดยปริยายใดๆ เลย
    สังฆทานเป็นประมุขของผู้หวังบุญ พระสงฆ์นั่นแหละเป็นประมุขของผู้บูชา และพระสงฆ์
    เป็นเนื้อนาบุญของโลก ไม่มีนาบุญอื่นยิ่งกว่า "

    ในข้อนี้เราจะเห็นได้ว่า พระพุทธองค์ทรงสรรเสริญจิตใจของผู้ให้โดยไม่เฉพาะเจาะจง
    ( การให้สังฆทาน ) เป็นสำคัญ เพราะการให้เช่นนี้แสดงถึงจิตใจที่มีกำลังมาก

    มีเจตนากว้างขวาง เผื่อแผ่มาก ไม่เห็นแก่คนที่คุ้นเคยกัน มุ่งหวังเพื่อให้แก่หมู่คณะเป็น
    สำคัญ และจะเป็นประโยชน์ที่ยิ่งใหญ่ในอนาคตกาลข้างหน้า ดังที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
    ตรัสไว้ว่า

    " เราไม่ดำรงอยู่นาน แต่ศาสนาของเราจักตั้งอยู่ด้วยพระภิกษุสงฆ์ ในภายภาคหน้าชน
    รุ่นหลัง จงเคารพยำเกรงในสงฆ์ ถ้าเป็นเช่นนี้ พระศาสนาจักตั้งอยู่ได้นาน "


    อานิสงส์ของสังฆทาน


    .......พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงอานิสงส์ของสังฆทานว่ามีผลมาก ดังเรื่องต่อไปนี้



    เวลามสูตร


    .......พราหมณ์ผู้หนึ่งชื่อว่าเวลามะ อยู่ในชมพูทวีป เวลามพราหมณ์นั้น เป็นคนมีจิตใจเลื่อมใส
    ต่อการบริจาคทาน ได้จัดสร้างโรงทานขึ้นที่บ้านของตน และประกาศทั่วไปให้คนทั้งหลาย
    ที่อยู่ในชมพูทวีปนี้มารับทาน คือ อาหารที่โรงทานนี้ได้ตลอด ๗ ปี ๗ เดือน ๗ วัน หรือถ้า
    หากบุคคลใดไม่มีที่พักอาศัย ไม่มีเครื่องนุ่งห่มแล้ว ขอให้มาแจ้งความประสงค์ต่อตน จะได้
    จัดการให้ทานแก่ผู้นั้นโดยทั่วถึงทั้งหมด และในวันสุดท้ายได้ให้ถาดทอง ถาดเงิน ถาดสำริด
    ซึ่งมีทองและเงินอยู่เต็มถาด อย่างละ ๘๔,๐๐๐

    และช้าง รถ หญิงสาว บัลลังก์ ซึ่งประดับอย่างงดงาม อย่างละ ๘๔,๐๐๐ โคนมอีก
    ๘๔,๐๐๐ ตัว และผ้าคู่อีก ๘๔,๐๐๐ คู่ ทานที่เวลามพราหมณ์ทำนั้นได้ชื่อว่า " มหาทาน "
    อานิสงส์ของการให้มหาทานมีมากน้อยเพียงไร พระพุทธองค์ทรงเปรียบเทียบเป็นข้อๆ ไว้
    ดังนี้


    ๑. การทำทานของเวลามพราหมณ์นี้ ย่อมได้อานิสงส์ถึงอสงไขยภพ

    ๒. อานิสงส์ที่เวลามพราหมณ์ได้รับนี้ ยังสู้อานิสงส์ของผู้ถวายอาหารแด่พระโสดาบันบุคคล
    เพียงองค์เดียวและครั้งเดียวไม่ได้

    ๓. อานิสงส์ที่ได้รับจากการถวายอาหารแด่พระโสดาบันบุคคล ๑๐๐ องค์ ยังสู้อานิสงส์ของ
    การถวายอาหารแด่พระสกทาคามีบุคคลเพียงองค์เดียวและครั้งเดียวไม่ได้

    ๔. อานิสงส์ที่ได้รับจากการถวายอาหารแด่พระสกทาคามีบุคคล ๑๐๐ องค์ ยังสู้อานิสงส์ของ
    การถวายอาหารแด่พระอนาคามีบุคคลเพียงองค์เดียวและครั้งเดียวไม่ได้

    ๕. อานิสงส์ที่ได้รับจากการถวายอาหารแด่พระอนาคามีบุคคล ๑๐๐ องค์ ก็ยังสู้อานิสงส์ของ
    การถวายอาหารแด่พระอรหันต์บุคคลเพียงองค์เดียวและครั้งเดียวไม่ได้

    ๖. อานิสงส์ที่ได้รับจากการถวายอาหารแด่พระอรหันต์ ๑๐๐ องค์ ก็ยังสู้อานิสงส์ของการถวาย
    อาหารแด่พระปัจเจกพุทธเจ้าองค์เดียวและครั้งเดียวไม่ได้

    ๗. อานิสงส์ที่ได้รับจากการถวายอาหารแด่พระปัจเจกพุทธเจ้า ๑๐๐ องค์ ก็ยังสู้อานิสงส์ของ
    การถวายอาหารแด่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพียงองค์เดียวและครั้งเดียวไม่ได้

    ๘. อานิสงส์ที่ได้รับจากการถวายอาหารแด่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์เดียวนั้นก็ยังสู้อานิสงส์
    ของการถวายอาหารแด่ภิกษุสงฆ์ทั้งหลาย ( สังฆทาน ) มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นประมุข
    ไม่ได้

    ๙. อานิสงส์ที่ได้รับจากการถวายอาหารแด่ภิกษุสงฆ์ มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นประมุขนั้น
    ก็ยังสู้อานิสงส์ของการสร้างวิหารทาน ( ถาวรทาน ) แด่ภิกษุสงฆ์ที่อยู่ทั่วทั้ง ๔ ทิศ ไม่ได้
    ( การถวายอาหารเป็นสังฆทาน มีอานิสงส์น้อยกว่าการถวายถาวรทานเป็นสังฆทาน )


    .......จากนั้นพระศาสดาทรงแสดงอานิสงส์ของการสร้างบุญที่มีมากยิ่งกว่าสังฆทานขึ้นไป ดังนี้


    อานิสงส์ที่ได้รับจากการสร้างวิหารเพื่อสงฆ์ทั้ง ๔ ทิศนั้น ก็ยังสู้อานิสงส์ของการเข้าถึง
    ไตรสรณคมน์ไม่ได้

    อานิสงส์ที่ได้รับจากการเข้าถึงไตรสรณคมน์นั้น ก็ยังสู้อานิสงส์ของการสมาทานศีล ๕
    ศีล ๘ พร้อมด้วยไตรสรณคมน์นั้นไม่ได้

    อานิสงส์ที่ได้รับจากการสมาทานศีล ๕ ศีล ๘ พร้อมด้วยไตรสรณคมณ์นั้น ก็ยังสู้อานิสงส์
    ของการแผ่เมตตาให้แก่สัตว์ทั้งหลายมีความสุขเพียงชั่วคราวหนึ่งไม่ได้

    อานิสงส์ที่ได้รับจากการแผ่เมตตาให้แก่สัตว์ทั้งหลายมีความสุขเพียงชั่วคราวนั้น ก็ยังสู้
    อานิสงส์ของการเจริญวิปัสสนาเพียงชั่วคราวไม่ได้

    จะเห็นได้ว่าอานิสงส์ของการบำเพ็ญสังฆทานจะมีผลมากกว่าปาฎิปุคคลิกทาน แต่อานิ
    สงส์ของการรักษาศีล และการเจริญวิปัสสนามีมากกว่านั้นอีก ทั้งนี้มิได้หมายความว่า จะมุ่ง
    แต่เจริญวิปัสสนาเพียงอย่างเดียวโดยไม่ทำทาน เพราะการให้ทานย่อมมีประโยชน์แก่บุคคล
    ทุกจำพวก

    เพราะเหตุว่า ผู้ที่เคยสั่งสมบุญด้วยการทำทานไว้ดีแล้ว ไม่ว่าจะเกิดภพชาติใดๆ ย่อมอุดม
    สมบูรณ์ด้วยโภคทรัพย์สมบัติ ไม่ต้องกังวลในการแสวงหาทรัพย์เพื่อเลี้ยงชีพ เมื่อเป็นเช่นนี้
    จิตใจของผู้นั้นจึงมีความสุข สบาย จะรักษาศีลก็เป็นไปได้โดยง่าย แม้จะน้อมใจไปเพื่อการ
    เจริญภาวนา ก็ทำได้อย่างสะดวกสบาย และสามารถบรรลุผลของการปฎิบัติธรรมนั้นได้เป็น
    อย่างดี

    ส่วนผู้ที่ไม่เคยทำทานไว้ ย่อมเกิดเป็นคนยากจน ต้องร้อนใจในการหาเลี้ยงชีพ จะรักษา
    ศีลก็เป็นการยาก อาจต้องพลั้งพลาดไปทำอาชีพที่ผิดศีล เช่นฆ่าสัตว์ เป็นต้น เมื่อจะหาเวลา
    เจริญภาวนา ก็ยังต้องมีภาระกังวลเกี่ยวกับเรื่องปากท้องจึงปฎิบัติธรรมไม่ได้สะดวก


    องค์แห่งการให้ (ที่ทำให้ได้อานิสงส์มาก)

    [b-wai] [b-wai]
    ๑. วัตถุบริสุทธิ์ (สิ่งของที่จะบริจาคทานต้องได้มาโดยสุจริต)
    ๒. เจตนาบริสุทธิ์ (ผู้ให้มีความบริสุทธิ์ใจ มุ่งให้เกิดความดี)
    ๓. บุคคลบริสุทธิ์ (ผู้ให้และผู้รับ ต้องมีศีล มีธรรม)


    ........ก่อนให้ทาน ก็มีความดีใจ
    ........ขณะให้ทาน ก็มีความเลื่อมใส
    ........หลังจากให้ทาน ก็มีความเบิกบานใจ ไม่เสียดายในภายหลัง

    เมื่อผู้ใดมีเจตนาบริสุทธิ์ครบทั้ง ๓ ระยะอย่างนี้ ย่อมได้บุญมาก มีอานิสงส์ใหญ่

    ที่มา พันทิพ
     
  2. สุวรรณา รัตนกิจเกษม

    สุวรรณา รัตนกิจเกษม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กันยายน 2005
    โพสต์:
    311
    ค่าพลัง:
    +772
    น่าอ่านจริง ๆ ตอนนี้พยายาม ทำสังฆทาน และ ทานอื่น ๆ ประกอบ...
    มีหลายครั้ง ที่ทำสังฆทานกับพระอาจารย์ วัดใกล้ ๆ บ้าน ทำสังฆทาน แล้วในวันนั้น มีเหตุ ให้ได้ สร้อยคอ หรือได้สิ่งของใหม่ ๆ .....หรือได้เป็นสตางค์ ซึ่งมากกว่าปกติ รู้สึกว่างงเหมือนกัน
    แต่ถ้าครั้งไหน ทำสังฆทาน กับภิกษุรูป อื่น ๆ และทำด้วยจิตใจ ที่โลภมากอยากได้ วัตถุสิ่งของเครื่องใช้ ....ก็จะไม่เกิดผลอันใด ....งงเหมือนกัน
     
  3. สุวรรณา รัตนกิจเกษม

    สุวรรณา รัตนกิจเกษม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กันยายน 2005
    โพสต์:
    311
    ค่าพลัง:
    +772
    ตั้งแต่เราดวงตกจิตเสื่อม มานะ เราพยายาม ทำสังฆทานบ่อย ถ้าจำไม่ผิดในปีนี้ไม่ต่ำกว่า 9 ครั้งแล้ว .....เพราะเราไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรในอนาคต...
    ถ้ามีตังค์ ...จากพ่อแม่มาเมื่อไร...เราก็จะไปทำทาน..ปกติแล้วจะเป็นสังฆทาน เช่นถ้ามี 500 ก็ทำบุญสัก 450 ...แต่พ่อแม่ต่อว่าเรา.....บอกว่าเราอย่างมงายให้มากนัก บอกว่าให้เก็บไว้กินขนมบ้าง....เขาไม่เข้าใจเราเลย...แต่เราอยากสะสมอริยทรัพย์มากกว่า.......ไม่รู้สิถ้าทำบุญ...เราไม่เสียดายนะ..
    ยิ่งได้ทำบุญกับ ผู้รู้ พระที่ท่านปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เรายิ่งไม่เสียดาย...ดีใจและปลื้มใจ...(แต่บางทีก็โลภมาก..อยู่ในใจ....พยายามแก้ไขอยู่ ) หรือถ้าทำบุญกับแม่ชีทศพร....วัดพิชัยญาติการาม ก็ไม่คิดเสียดายเลย...ดีใจ ปลื้มใจ ...
     
  4. มหาหินทร์

    มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786

    เป็นเรื่องที่ดี มีประโยชน์มาก.... ควรแก่การโมทนา อย่างยิ่ง....

    เพียงแต่ก่อนที่จะโมทนา มีข้อสงสัยอยู่นิดหนึ่ง ที่ว่า.....

    ......................................................................

    ๗. อานิสงส์ที่ได้รับจากการถวายอาหารแด่พระปัจเจกพุทธเจ้า ๑๐๐ องค์
    ก็ยังสู้อานิสงส์ของการถวายอาหารแด่ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพียงองค์เดียว และครั้งเดียวไม่ได้

    ๘. อานิสงส์ที่ได้รับจากการถวายอาหารแด่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์เดียวนั้นก็ยังสู้อานิสงส์
    ของการถวายอาหารแด่ภิกษุสงฆ์ทั้งหลาย ( สังฆทาน ) มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นประมุข
    ไม่ได้

    .......................................................................

    เฉพาะข้อ ที่ 8. นี่....

    ๘. อานิสงส์ที่ได้รับจากการถวายอาหารแด่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์เดียวนั้น
    ก็ยังสู้ อานิสงส์ ของการถวายอาหารแด่ภิกษุสงฆ์ทั้งหลาย ( สังฆทาน ) มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นประมุข ไม่ได้

    มันก็เป็น ตรรก ธรรมดา นี่ครับ....

    อานิสงส์ ถวายแด่พระพุทธเจ้าองค์เดียว....
    ก็ย่อมต้องน้อยกว่า ถวายแด่พระพุทธเจ้า และพระภิกษุ หรือสงฆ์ รวมด้วยกัน....

    เปรียบเสมือน พระพุทธเจ้า เป็นเลข 9
    ภิกษุ สงฆ์ เป็นเลข 1 หรือ 2 หรือ เลขอื่น ๆ

    9 ก็ย่อม ต้องน้อยกว่า 9 + 1 (หรือ 9 + ด้วยเลขใด ๆ)

    เลยสงสัยว่า....
    อย่างนี้ ข้อความจะผิด หรือมีข้อบิดเบือนอะไรไปบ้างหรือเปล่า ครับ....
    (หากเป็นเช่นนั้น ในข้อที่ 8 ก็เหมือนกับว่า ไม่ได้บอก อะไรเลย เพราะว่า ก็รู้อยู่แล้ว)

    ที่ทักท้วง เพราะว่า อยากให้ธรรม เป็นธรรมที่ถูกต้องจริง ๆ
    ไม่ได้มีเจตนาจะจับผิด แต่ประการใด นะครับ....
    (ต้องขออภัยไว้ ณ ที่นี้ เพราะแน่ใจว่า คุณ vachara ปรารถนาดีอย่างยิ่ง)

    และ.... เรื่องนี้ ก็เป็นเรื่องที่ดี ที่น่าสนใจ อย่างยิ่งอยู่แล้วด้วย ครับ....
     
  5. Attawat_Rx

    Attawat_Rx เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กันยายน 2005
    โพสต์:
    2,183
    ค่าพลัง:
    +18,402
    โมทนามากครับ มีประโชน์มากครับ บทความนี้หลวงพ่อฤาษีท่านกล่าวบ่อยครับ คือผมเห็นหลายที่ ในหนังสือหลายเล่ม
    ส่วนใหญ่จะกล่าวเป็นภาษาว่า

    ทำบุญกับพระปัจเจกพุทธเจ้า 100 ครั้ง มิสู้ทำบุญกับพระพุทธเจ้าครั้งหนึ่ง

    ทำบุญกับพระพุทธเจ้า 100 ครั้ง มิสู้ทำสังฆทานครั้งหนึ่ง
     
  6. Aunyasit

    Aunyasit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    1,312
    ค่าพลัง:
    +13,053
    ครูบาอาจารย์ท่านเล่าเรื่องสังฆทาน

    ครูบาอาจารย์ท่านเล่าว่า สังฆทานจริงๆนั้นต้องมี "พระพุทธเจ้าเป็นประธานเท่านั้น" ผู้ที่บารมีรองลงมาที่จะรับสังฆทานให้ได้อานิสงส์ใกล้เคียงกับพระพุทธองค์ ก็คือถวายกับพระสงฆ์ผู้สำเร็จธรรม 8 ประการเป็นประธานซึ่งในโลกนี้ก็มีอยู่รูปเดียวเช่นกัน ท่านว่าถ้าทำถูกจะปรากฏผลภายในเจ็ดวัน

    สำหรับธรรมแปดประการนั้น มีอยู่ข้อนึงคือ "ต้องปฏิบัติจนตัวตายแล้วเทวดาเขาต้องนิมนต์กายทิพย์กลับเข้าร่างทำให้ฟื้นขึ้นมาใหม่" ครูบาอาจารย์ ท่านเล่าว่าสมัยท่านปฏิบัติอยู่ที่ภูเขาควาย ท่านปฏิบัติตายบ่อยๆ วันละหลายๆครั้งแต่เทวดาเขาทำให้ฟื้นขึ้นมาทุกครั้ง เพราะเป็นข้อห้ามของพระพุทธองค์ข้อหนึ่งคือ ห้ามตายจากการปฏิบัติธรรม ท่านจึงบอกว่าเพราะเป็นข้อห้ามจึงไม่มีใครตายอันเนื่องมาจากปฏิบัติธรรมและเราก็สังเกตว่าหากใครปฏิบัติแบบมอบกายถวายชีวิต ก็รอดมาทุกราย

    เมื่อมีผู้คนมาหาครูบาอาจารย์เพื่อถวายสังฆทาน ท่านก็รับให้แต่จะไม่ให้ใครแตะต้องและไม่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้เลย ท่านให้เก็บไว้เป็นเครื่องบูชาในกุฏิสองชั้นหลังนึงเต็มเหยียด เก็บเฉพาะของที่คนเขามาถวายเป็นสังฆทาน มีบรรดาลูกศิษย์เคยถามท่านเรื่องสิ่งของนี้ ท่านบอกว่า หากคนเขากล่าวถวายเป็นสังฆทาน เมื่อท่านรับให้ สิ่งของนั้นก็จะเป็นสมบัติพระศาสนา เอาไปใช้ประโยชน์ไม่ได้แล้ว ใครเอาไปกินไปใช้ "ก็จะได้รับผลกรรมไปเป็นเปรตในภพชาติต่อไป" ท่านไม่ต้องการให้ลูกหลานท่านต้องไปเป็นเปรต ท่านเลยไม่ให้ยุ่งเกี่ยวกับสิ่งของที่คนเขาถวายเป็นสังฆทาน

    ครูบาอาจารย์ท่านบอกว่าทั่วๆไปที่เขาทำสังฆทานกันนั้น เป็นได้แค่การถวายทานธรรมดา "เป็นสังฆทานแบบสมมติ" เท่านั้น จึงไม่สามารถมีอานิสงส์แบบสังฆทานที่พระพุทธเจ้าเป็นประธาน หรือผู้สำเร็จธรรม 8 ประการเป็นประธาน ได้(ในกรณีที่พระพุทธเจ้าเข้าพระนิพพานไปแล้ว)

    อย่างเรื่องกฐิน ก็เหมือนกัน มหากฐินนั้น ต้องมีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน หรือ มีผู้ที่สำเร็จธรรม 8 ประการ เป็นประธานรับให้ และสิ่งที่ต้องนำมาถวายในเครื่องกฐินนั้นต้องครบถ้วน ซึ่งมี มากมาย เช่น ฉัตร สูงประมาณ 1.8 เมตร 9 ต้น ไม้กวาด 9 อัน บายศรีต่างๆ ต้นโพธิเงิน โพธิ์ทอง เข็มทองคำ ผ้าไหม 5 สี ผ้าไตรไหมแท้ที่ดีที่สุดสีทองแสงแดด(สีเหลืองทองเหมือนพระอาทิตย์ยามเช้าหรือสีอรุณ) และ ฯลฯ รวมๆแล้วเครื่องมหากฐิน นี่มีรายการประมาณ 4-5 หน้ากระดาษ ก็รถหกล้อคันนึงบรรทุกไม่หมด จากที่เคยทำกฐินให้ครูบาอาจารย์ติดต่อกันมา 3 ปี ในปี 42-43-44 ครูบาอาจารย์ท่านได้บอกวิธีทำมหากฐินให้ครั้งนึง

    ตั้งแต่ได้ฟังครูบาอาจารย์มา หากเราถวายสิ่งของกับพระสงฆ์ จะใช้แค่อธิษฐานไปแบบถวายทานธรรมดา แล้วก็ถวายพระสงฆ์ไป พระบางรูปท่านไม่เข้าใจ ท่านปรารถนาดีให้เรากล่าวคำสังฆทาน เราก็จะต้องหาวิธีเลี่ยงอย่างอื่นๆไป เพราะหากเรารู้แล้วไปปฏิบัติแบบคนทั่วไป ก็จะเป็นเวรเป็นกรรม เปล่าๆ บางทีเรื่องเหล่านี้มันก็มีรายละเอียดปลีกย่อยเยอะเหมือนกัน


    ยกตัวอย่างอีกอย่างนึง เช่นคนนุ่งขาวห่มขาวแต่ไม่ถือศีล 8 หากกินอาหารหลังเที่ยง ก็ได้อานิสงฆ์ไปเป็นเปรต เช่นเดียวกัน เพราะการนุ่งขาวห่มขาวนี่เป็นครองหรือ ปรมัตถ์ของพวกศีล 8 ศีล 10 ครูบาอาจารย์ท่านบอกว่าหากจะใส่ก็ต้องปฏิบัติให้ถูกครอง หากใส่เข้%2
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 พฤศจิกายน 2005
  7. LingLek

    LingLek เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    85
    ค่าพลัง:
    +203
    ยอดเยี่ยม
    ขอบคุณทุกคนที่ให้ความรู้ค่ะ
     
  8. pytheus_b

    pytheus_b สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    11
    ค่าพลัง:
    +4
    ดีใจนะ..ที่ได้เข้ามาอ่าน
    เป็นประโยชน์มากๆ
     
  9. sathit56

    sathit56 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    20
    ค่าพลัง:
    +39
    อัตตา....หรือเปล่า...
    ทำด้วยจิตใจบริสุทธิ์...
    ไม่คิดถึงผลตอบแทน...
    เป็นกุศลหรืออกุศลครับ...
     
  10. dangcarry

    dangcarry เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2005
    โพสต์:
    1,396
    ค่าพลัง:
    +4,307
    การให้ จะเจาะจง ไม่เจาะจง เรียกผิด เรียกถูก ก็ชั่ง ขอให้เราทำด้วยใจที่บริสุทธิ์ ก็น่าจะเพียงพอแล้ว
     
  11. Aunyasit

    Aunyasit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    1,312
    ค่าพลัง:
    +13,053
    บางเรื่องเป็นเรื่องของปรมัตถ์ธรรม หากไม่ศึกษาก็จะไม่เข้าใจ การทำตามๆกันไปก็ใช่ว่าจะถูกต้องเสมอไป

    อะไรที่ครูบาอาจารย์ ท่านบอกเราไว้เราก็จะไม่ปฏิบัติ เพราะเห็นมานักต่อนักแล้ว ยกตัวอย่าง มีแม่ชีตาบอดคนหนึ่ง มาขออาศัยอยู่ที่หลังวัด เขานุ่งขาวห่มขาว แต่แอบกินข้าวเย็น และอาจจะประพฤติผิดครองจาก ศีล 8 ศีล 10 บางประการด้วย

    เมื่อปีที่แล้วตอนแม่ชีใกล้ตาย ขณะที่จิตแม่ชีกำลังจะออกจากร่าง ก็ปรากฏว่ามีสุนัขสีขาว มาจากไหนไม่รู้ วิ่งไปวิ่งมา เข้าๆออกๆจากที่พักแม่ชี ซึ่งหลายคนสามารถมองเห็นด้วยตาเนื้อได้ เมื่อแม่ชีสิ้นใจสุนัขตัวนั้นก็หายเข้าไปในที่พักแม่ชีและไม่มีใครเห็นสุนัขตัวนั้นอีกเลย ผู้รู้ท่านว่าเป็นบุพกรรมที่แสดงให้เห็นอย่างชัดแจ้ง ว่ากรรมนั้นส่งผลอย่างไร

    มีอีกตัวอย่างนึง ก่อนปี 44 มีรองอธิบดี คนหนึ่ง รับสัจจะครูบาอาจารย์ สร้างหัวใจพระศรีฯ เป็นพระแก้วมรกตจำลองทำด้วยทองคำแท้ มูลค่าในขณะนั้น 11 ล้านบาท เมื่อทำเสร็จแล้วก็นำไปถวายครูบาอาจารย์ ท่านก็รับให้แล้วก็บอกให้ช่วยเอาไปเก็บไว้ให้ด้วยเพื่อความปลอดภัย แล้วบอกว่าให้นำมาถวายคืนภายหลัง หลังจากนั้นไม่นาน ปี 44 ครูบาอาจารย์ท่านถอดจิตเข้าสู่โลกภายใน รองอธิบดีคนนี้ก็ไม่ได้นำหัวใจพระศรีฯ มาถวายให้วัด มาทราบภายหลังว่าได้นำพระทองคำ ที่เป็นสัญญลักษณ์ของหัวใจพระศรีฯ ไปถวายพระสงฆ์ทางภาคอีสานรูปหนึ่ง พอกลับมาบ้าน อธิบดีคนนั้นก็ป่วยตาย ซึ่งเป็นตัวอย่างของการผิดสัจจะ ซึ่งเป็นเหตุแห่งความวิบัติต่างๆนาๆ

    ที่จริงมีเรื่องราวอะไรอีกมากที่เป็นประสบการณ์ทำนองนี้ เพราะพระสงฆ์ผู้ที่ทรงบารมีสูงๆนี่ ใครทำถูกต่อท่านนี่เป็นคุณอนันต์ แต่สำหรับคนทำผิดต่อท่านก็เป็นโทษมหันต์ เช่นกัน

    อย่างเรื่องการอดอาหารนี่ เราจะเห็นได้ว่าศีล 8 ศีล 10 มีการอดอาหารเย็น เป็นต้น ปรากฏว่าเกิดอานิสงส์ เพิ่มจากศีล 5 แต่พอพระสงฆ์อดอาหาร 108 วัน 4 ปี หรือพระพุทธองค์ อดหาหาร 6 ปี เราก็ถูกสอนว่าไม่ดี ตึงเกินไป
    แต่ทำไมการอดอาหารของพระอรหันต์อุปคุตถ์ เป็นเวลา 16 ปี จึงมีอานิสงส์ปราบพญามารได้ ก็ลองมาพิจารณาดูว่าการอดอาหารนั้นดี หรือไม่ดี ครูบาอาจารย์ท่านว่า ท่านก็บำเพ็ญอดอาหารเป็นเวลา 4 ปี ไป 2 รอบแน่ะ ท่านบอกว่า อดอาหาร 4 ปี ครั้งแรกที่ จ.ศรีษะเกษ ครั้งที่ 2 อีก 4 ปี ที่ภูเขาควาย ท่านบอกว่า ใครอดได้ก็มีอานิสงส์มาก

    นักปฏิบัติท่านไหนเคยลองอดอาหารดูแล้วยัง ลองดูสิอดอาหารแล้วภาวนาดีนักแล

    เรามาสังเกตดูว่าพระสงฆ์ที่ปฏิบัติแล้วตัวท่านผอมๆนี่ มักจะมีอะไรพิเศษกว่าพระสงฆ์ที่ปฏิบัติแล้วตัวอ้วนๆ อ่ะ
     
  12. มหาหินทร์

    มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786
    อานิสงส์ที่พระพุทธเจ้า ได้ทรงเปรียบเทียบผลบุญต่าง ๆ คือ

    การได้ให้ทานแก่ สัตว์เดรัจฉาน ๑๐๐ ครั้ง มีอานิสงฆ์ น้อยกว่า การให้ทานแก่ คนผู้ไร้ศีล เพียง ๑ ครั้ง

    การได้ให้ทานแก่ คนผู้ไร้ศีล ๑๐๐ ครั้ง มีอานิสงฆ์ น้อยกว่า การให้ทานแก่ คนผู้มีศีล เพียง ๑ ครั้ง

    การได้ให้ทานแก่ คนผู้มีศีล ๑๐๐ ครั้ง มีอานิสงฆ์ น้อยกว่า การให้ทานแก่ พระโสดาบัน เพียง ๑ ครั้ง

    การถวายทานแก่ พระโสดาบัน ๑๐๐ ครั้ง มีอานิสงฆ์ น้อยกว่า การถวายทาน พระสกิทาคามี เพียง ๑ ครั้ง

    การถวายทานแก่ พระสกิทาคามี ๑๐๐ ครั้ง มีอานิสงฆ์ น้อยกว่า การถวายทาน พระอนาคามี เพียง ๑ ครั้ง

    การถวายทานแก่ พระอนาคามี ๑๐๐ ครั้ง มีอานิสงฆ์ น้อยกว่า การถวายทาน พระอรหันต์ เพียง ๑ ครั้ง

    การถวายทานแก่ พระอรหันต์ ๑๐๐ ครั้ง มีอานิสงฆ์ น้อยกว่า การถวายทาน พระอัครสาวก เพียง ๑ ครั้ง

    การถวายทานแก่ พระอัครสาวก ๑๐๐ ครั้ง มีอานิสงฆ์ น้อยกว่า การถวายทาน พระปัจเจกฯ เพียง ๑ ครั้ง

    การถวายทานแก่ พระปัจเจกฯ ๑๐๐ ครั้ง มีอานิสงฆ์ น้อยกว่า การถวายทาน พระพุทธเจ้า เพียง ๑ ครั้ง

    การถวายทานแก่ พระพุทธเจ้า ๑๐๐ ครั้ง มีอานิสงฆ์ น้อยกว่า การถวาย สังฆทาน เพียง ๑ ครั้ง

    การถวาย สังฆทาน ๑๐๐ ครั้ง มีอานิสงฆ์ น้อยกว่า การถวาย วิหารทาน เพียง ๑ ครั้ง

    การถวาย วิหารทาน ๑๐๐ ครั้ง มีอานิสงฆ์ น้อยกว่า การเจริญ อภัยทาน เพียง ๑ ครั้ง

    และ สัพพะทานัง ธรรมะทานัง ชินาติ การให้ธรรมเป็นทาน ย่อมชนะทานทั้งปวง

    พอจะมองเห็นไหมครับ เรื่อง”เนื้อนาบุญ”
    ปลูกข้าวตรงไหน จึงจะได้รวงข้าว(รับผลประโยชน์ อานิสงส์)ได้ดีที่สุด....

    จะเห็นว่าอานิสงฆ์ของทานแตกต่างกันไป
    ลองพิจารณาดูว่าถ้าได้พบพระอรหันต์ และได้ทำบุญกับท่าน ก็จะมีอานิสงฆ์ที่สูงยิ่ง
    (ถ้าใครที่ไม่เชื่อว่า ยังมี"พระ" ที่เป็นพระอรหันต์ อยู่ในสมัยปัจจุบัน ก็น่าสงสารยิ่ง)

    ถ้าเราไม่รู้ว่าองค์ไหนเป็นพระอรหันต์ หาพระอรหันต์ทำบุญด้วยไม่ได้
    ก็กลับไปที่บ้านเรา และให้ปฏิบัติตน กตเวทิตา ดูแล พ่อ แม่ ของเรา ให้อยู่ดีมีความสุข ก็มีอานิสงฆ์เทียบเท่ากับ ทำบุญกับพระอรหันต์ เลยทีเดียว

    เพราะว่า พระพุทธเจ้าท่านทรงตรัสสอนไว้ว่า "บิดา มารดา คือพระอรหันต์ในบ้าน"

    บุคคลใดที่มี ความกตัญญูพระพุทธองค์ทรงสรรเสริญว่าเป็นคนดี ชีวิตจะมีแต่ความเจริญก้าวหน้า และเจริญรุ่งเรือง ประสบแต่ความสุข ทั้งในชีวิตปัจจุบัน และย่อมส่งผลถึงในอนาคตกาล....
     
  13. มหาหินทร์

    มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786
    ที่นี้มันก็มีข้อสงสัยที่เกี่ยวเนื่อง ที่ผมถามทิ้งไว้ที่ ข้อคิดเห็น ตามข้างบนนี้...

    ข้อสงสัย อะไรหรือ....

    ขอไปถามในโพสต่อไ ว่า....
     
  14. มหาหินทร์

    มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786
    คำถามก็คือ....

    เป็นไปได้อย่างไรว่า....

    การถวายทานแก่ พระพุทธเจ้า ๑๐๐ ครั้ง จะมีอานิสงฆ์ น้อยกว่า การถวาย สังฆทาน เพียง ๑ ครั้ง

    พวกเรา เคยสงสัยกันบ้างใหม่....

    ก่อนอื่น จะต้องมาทำความเข้าในในเรื่องของ "สังฆทาน" กันให้ดีเสียก่อน....


     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 พฤศจิกายน 2005
  15. มหาหินทร์

    มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786
    การถวายสังฆทาน ผมเห็นว่า ยังมีผู้ที่ไม่เข้าใจในความหมาย
    และ การจัดเตรียมเครื่องสังฆทาน

    คำว่า “สังฆทาน” สังฆะ แปลว่า หมู่, ส่วนรวม
    พระภิกษุ รวมกันตั้งแต่ ๔ รูป ขึ้นไป เราเรียกว่า “คณะสงฆ์”

    ดังนั้น การถวายสังฆทาน ความหมายก็คือ เราได้ถวายทาน สำหรับพระภิกษุที่ร่วมกันตั้งแต่ ๔ รูป ขึ้นไป

    เครื่องสังฆทานที่จะจัดถวาย ก็ไม่ใช่เรื่องที่ต้องยุ่งยาก

    บางคนยังเข้าใจว่า”สังฆทาน” จะต้องจัดเตรียมให้ครบเครื่อง เหมือนกับชุดสำเร็จในถังเหลืองๆ ที่เขาจัดไว้ขายตามร้านค้าทั่วไป

    หากแต่ความเป็นจริงแล้ว น้ำ ๑ โถ หรือ แกง ๑ ถ้วย ถ้าเราถวายสำหรับพระตั้งแต่ ๔ รูปขึ้นไป ที่กำลังจะฉัน ก็นับว่านั่นคือ "สังฆทาน"

    น้ำ 1 โถ หรือ แกง 1 ถ้วย ก็เป็นสังฆทาน แล้วครับ....

    หรือว่ามีเงินเพียง ๑ บาท ๑๐ บาท เท่าไรก็ตามแต่ ถ้าเราใส่ซอง และเขียนที่ซองว่า“ขอถวายเป็นสังฆทาน”

    เงิน 1 บาท หรือ เท่าไรก็ตาม ก็เป็นสังฆทาน แล้วครับ....

    พระภิกษุที่รับเงินนั้น จะอยู่กี่รูปก็สามารถรับได้(ถือว่าเป็นตัวแทนของสงฆ์ เท่านั้น)
    เพราะว่าเงินนั้น ผู้ถวายตั้งใจถวายเป็นสังฆทาน คือถวายเพื่อเป็นส่วนรวม เป็นกองกลางของสงฆ์

    พระภิกษุผู้รับ จะออกมารับเพียงรูปเดียว ก็ตาม
    เมื่อผู้ถวาย ประกาศขอถวายเป็น สังฆทาน ก็ต้องเป็นของ "สงฆ์"
    พระภิกษุผู้รับ จะนำไปเป็นส่วนตัวไม่ได้ ....
    หากนำไปใช้เป็นส่วนตัว พระรูปนั้นก็ลงนรก "อเวจี"

    แต่ อานิสงส์ของผู้ถวาย ยังคงมีอานิสงส์เป็นสังฆทาน โดยไม่เสื่อมค่าเป็นอย่างอื่น
    เพราะผู้ถวาย ตั้งความประสงค์ เป็นสังฆทาน

    เห็นไหมครับว่า การทำสังฆทานนั้น ไม่ได้ยากเย็น อะไรเลย....
    ทำก็ง่าย อานิสงส์ ก็สูง ตามที่องค์สมเด็จพระประทีปแก้ว ทรงตรัสว่า....
    มีอานิสงส์ มากกว่า ทำบุญแก่พระองค์ ถึง 100 เท่า....

    เอ....
    แล้วมันเป็นไปได้อย่างไรละ....
    ในเมื่อ องค์สมเด็จพระบรมสุคต สัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ทรงเป็นเอกบุรุษของโลก....
    ไม่มีผู้ใดมาเทียบ ไม่มีผู้ใดมาเสมอเหมือน....
    บำเพ็ญพระบารมี กว่าจะบรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาน....
    อย่างน้อย ๆ ก็ 20 อสงไขย กำไรแสนกัป(ปัญญาธิกะ)....

    รายละเอียด เรื่องการบำเพ็ญบารมี เข้าไปดูได้ที่....
    http://www.palungjit.org/board/showthread.php?t=16896

    แล้วทำไม.... การถวายสังฆทานเพียงครั้งเดียว....
    จึงมีอานิสงส์ มากกว่า ทำบุญกับพระพุทธองค์ ถึง 100 เท่า....


     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 พฤศจิกายน 2005
  16. มหาหินทร์

    มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786
    ใคร่ขออธิบายว่า....

    เนื่องจากพระพุทธองค์ ทรงมีพระชนม์ชีพเพียง ๘๐ พระพรรษา
    แต่ทว่า พระองค์ทรงประกาศตั้งพระศาสนาไว้ เป็นเวลา ๕,๐๐๐ ปี

    พระศาสนาจะเจริญรุ่งเรืองอยู่ได้ ก็ต้องมีพระธรรมคำตรัสสอน สืบเนื่องกันมา....
    ผู้ที่สืบเนื่องพระธรรมคำตรัสสอน ก็คือ พระภิกษุสุปฏิปันโน ผู้เป็นพุทธชิโนรส....

    พระภิกษุทั้งหลาย จะสามารถดำรง ทรงสมณธรรม ทรงชีพอยู่ได้....
    ก็ต้องเนื่องจากความศรัทธาของพุทธมามกะ อุบาสก อุบาสิกา ....

    หากไม่มีผู้เลื่อมใสศรัทธา ไม่มีผู้ใดทำบุญ ตักบาตร พระถิกษุ ก็อยู่ไม่ได้....
    เมื่อพระภิกษุไม่มี พระธรรมคำสอนก็ไม่มี....
    พระพุทธศาสนา ก็ดับสูญ อยู่ไม่ได้ถึง 5,000 ปี ตามที่พระพุทธองค์ ทรงประกาศ....

    เห็นไหมครับว่า การถวายสังฆทาน นั้น....
    ก็เปรียบเสมือนกับ ห่วงโซ่ที่เกี่ยวคล้องกันอย่างต่อเนื่องไป 5,000 ข้อต่อ
    หากข้อต่อไหนขาดไป โซ่เส้นนั้น ก็ย่อมต้องขาดไปด้วย....
    ไม่สามารถที่จะเป็นโซ่ ที่ยาวได้ครบ 5,000 ข้อต่อ....

    การถวายสังฆทาน....
    เป็นปัจจัยให้พระศาสนาจะดำรงอยู่ได้ครบ ๕,๐๐๐ ปี จึงมีอานิสงฆ์สูงอย่างยิ่ง

    อานิสงส์ของสังฆทาน การถวายสังฆทาน ๑ ครั้งในชีวิต ด้วยจิตศรัทธาแท้

    พระพุทธเจ้าทรงกล่าวไว้ว่า....
    ผลของสังฆทานนี้ จะดลบันดาลให้แก่ผู้ถวายทาน เมื่อไปเกิดที่ใด ขึ้นชื่อว่าความยากจนเข็ญใจ ไม่มี ผลของทานส่งผลไปนานมาก ท่านกล่าวว่าแม้แต่พระพุทธญานเอง ก็ยังไม่เห็นผลที่สุด ของการถวานสังฆทาน

    คือ ผู้ถวายทานบำเพ็ญบารมีแล้ว ตายไปเกิดไปอีกกี่แสนชาติก็ตาม
    ตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพาน อานิสงฆ์ของสังฆทาน นั้น ก็ยังให้ผลไม่หมดถึงที่สุด

    ทาน อื่น ๆ ที่ยิ่ง ๆ ขึ้นไป เฉกเช่น วิหารทาน อภัยทาน....
    และ ธรรมทาน....ก็เช่นกัน

    .................................................................

    หากจะถามอีกว่า แล้วทำไมวิหารทาน อภัยทาน จึงมีอานิสงส์ ยิ่งขึ้น....

    แล้วทำไม ธรรมทาน จึงมีอานิสงส์ที่ยอดเยี่ยม ตามคำตรัสสอนที่ว่า....
    สัพพะทานัง ธรรมะทานัง ชินาติ....
    การให้ธรรมะ เป็นทาน ย่อมชนะทาน ทั้งปวง....

    ความจริงจะพูดต่อไป ก็ได้ แต่อาจจะเป็นการรบกวน
    จะเป็นการเอามะพร้าวมาขายที่สวน ไป....

    ..................................................................

    แต่ก็ขอพูด ที่เกี่ยวข้องกับ ธรรมทาน สักนิดหนึ่งว่า....

    การให้ธรรมะเป็นทาน อานิสงส์สูง อานิสงส์มากจริง ก็ตาม....
    ธรรมะ ที่ให้เป็นทาน นั้น ต้องบริสุทธิ์ ถูกต้อง ไม่ค้านคำตรัสสอน เท่านั้น

    ข้อธรรม ที่เผยแพร่ให้ผู้อื่นทราบ หากไม่เป็นจริง ก็เท่ากับสอนผิด....
    หากคำสอน นั้น ไม่เป็นจริง คัดค้านคำตรัสสอน....
    สอนให้ผู้อื่น เข้าใจผิด แนะนำผิด ก็เท่ากับ ค้านพระศาสนา....

    อย่างนี้ คือ ข้อที่ 5 ของอนันตริยกรรม ต้องมี อเวจี เป็นที่ไป เท่านั้น

    ดังนั้น หากอยากจะได้อานิสงส์ของ ธรรมทาน....
    ก็ต้อง ยื่นทาน แนะนำทาน ที่บริสุทธิ์ เท่านั้น....

    หากวันนี้ ผมพลาดไป....
    แนะนำทุกท่านไป แบบผิด ๆ
    ท่านผู้ทรงวิชชา ทรงฌาน ทรงอภิญญา และผู้เชี่ยวชาญในญาน ทั้งหลาย ก็ย่อมจะแลเห็น แล้วว่า....

    ตัวผมเอง นั้น ไป อเวจี แน่นอน ....
    (แต่ผมก็เบื่อแล้วละครับ ไปมาแล้ว ไม่รู้กี่รอบ ต่อกี่รอบ เฮ้ออออ....เบื่อ)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 พฤศจิกายน 2005
  17. sathit56

    sathit56 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    20
    ค่าพลัง:
    +39
     
  18. มหาหินทร์

    มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786
    ที่บอกว่า....

    น้ำ 1 โถ หรือ แกง 1 ถ้วย ก็เป็นสังฆทาน แล้วครับ....

    ไม่ได้หมายความว่าให้ทำเพียงเท่านี้ นะครับ....
    จริง ๆ แล้ว วัตถุทานอื่น ๆ ที่ถวายเป็นสังฆทาน ก็มีอานิสงส์ เพิ่มแตกต่างกันไป....

    การถวายอาหาร ทำให้มีความเป็นทิพย์ อาหารทิพย์....
    ผ้าไตรจีวร ทำให้มีเครื่องประดับ....
    ถวายวิหารทาน ทำให้มีวิมานอาศัย....
    ถวายพระพุทธรูป ทำให้รัศมีกายสว่างไสว กลับมาเกิด ก็มีเดช มีอำนาจ....

    เดี๋ยวจะเข้าใจว่า ....น้ำ 1 โถ หรือ แกง 1 ถ้วย ก็เป็นสังฆทาน แล้ว....
    ก็จะถวายแต่เฉพาะอาหาร....

    อานิสงส์ มีอาหารทิพย์ ไม่มีเครื่องนุ่งห่ม เดี๋ยวก็จะยุ่งเหมือนกัน....

    ใช่ไหมครับ....

    สรุป ถวายมาก.... อานิสงส์ ก็ยิ่งเยอะ ครับ....
     
  19. Attawat_Rx

    Attawat_Rx เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กันยายน 2005
    โพสต์:
    2,183
    ค่าพลัง:
    +18,402
    โมทนาครับ
     
  20. มหาหินทร์

    มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786
    องค์หลวงพ่อฯ ท่าน บารมีมากล้นสุดที่จะพรรณนา....
    (สักวันหนึ่ง ผมจะรวบรวมมาให้ได้เห็นกันว่า มากล้น เช่นไร....)

    ท่านก็ยังแนะนำ ลูก-หลาน ทำสังฆทาน ยืนพื้น ครับ....

    เพราะว่า "สังฆทาน" นับได้ว่าเป็นรากฐานความมั่นคง ของพระศาสนา จริง ๆ
     

แชร์หน้านี้

Loading...