ทศบารมี 10 ปารมิตา 6 ย่อเหลือ เมตตา กับ ปัญญา

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย หนึ่ง99999, 19 ตุลาคม 2008.

  1. หนึ่ง99999

    หนึ่ง99999 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,369
    ค่าพลัง:
    +1,922
    [​IMG]

    ผมอ่านเจอในปริศนาธรรมไซอิ๋ว เล่ม ลิงจอมโจกของ ท่านเขมานันทะ

    บทท้ายๆ จะมีบทหนึ่ง จะย่อ ทศบารมีสิบทางเถรวาท หรือ ปารมิตาหกทางมหายาน

    ลงเหลือแค่ เมตตา กับ ปัญญา

    ผมนึกในใจ ว่าอะไรกัน ย่อได้ไง บารมี ย่อได้ด้วยหรือ ตอนนั้นโง่มาก

    ตอนหลังมา รู้ ว่า บารมีทำเดี่ยว ๆ ตัวเดียว ในแต่ละชาติมีที่ใหน
    และ มรรคสมังคี ทำดีๆ บารมีเสริมกัน เป็นองค์ของกัน และกัน

    ทำตัวนี้เด่น เพราะได้ กำลังจากตัวอื่นเสริมด้วย คำว่าบารมี
    ถ้ามองมองดี ๆ มองแบบองค์รวม ข้ามภพข้ามชาติ มันต่อๆ กันช่วยๆกัน

    ทำตัวนี้ จะโยงอีกตัวมาด้วย นี่คือความเข้าใจส่วนตัวของผม

    พระเตมีย์ เด่น เนกขัมมะ อ่านไปดีๆ ท่านมี ตัวอื่นช่วยเสริม

    พระเวสสันดร เด่น ทาน ถามว่า ศีล สมาธิ ปัญญา เนกขัมมะ เมตตา
    อุเบกขา ท่านมีด้วย แต่เด่นน้อยกว่า เพราะจะเสริมตัวทาน
    ถ้าตัวใดตัวหนึ่งขาด ท่านทำทานแต่ละขั้นไม่สำเร็จ
    ขั้นสุดท้าย ถ้าท่านไม่ได้ อุเบกขา ขันติ บารมี อาจถึงกับฆ่าชูชกได้ ทานบารมีขั้นปรมัตถ์
    ท่านทำได้ เพราะ ตัวอื่นมาเป็นองค์ และช่วยหนุนนำ หนุนส่ง ครับ
    และ ทานขั้นปรมัตถ์ มันสละเข้าไกล้ ศูนยตามาก อะไรทีร้อยรัดและบริจาคยากที่สุด
    ถ้าทำได้ได้ นั่นแหละสุดยอดแห่ง การบริจาค

    พระมหาชนก เด่น วิริยะ ทศบารมีในข้ออื่น ก็ทำนะครับ แต่จะเด่นน้อยกว่า
    แค่มาช่วยเสริม เรียนวิชชาจนเจนจบไตรเภทที่ตักศิลาอันนี้ปัญญา
    ว่ายน้ำ ท่านสมาทาน ศีลอุโบสถด้วยตอนบ้วนปาก มีอธิษฐานคือความตั้งใจ
    มีขันติ ว่ายน้ำถืออุโบสถศีลนี่เนกขัมมะบารมี เสี่ยงทายก่อนจะครองราช
    หาขุมสมบัติปริศนา อันนี้ปัญญา จนตอนสุดท้าย ออกบวช


    [​IMG]




    บัวบารมี สีตามความถนัด


    หลวงย่าภิกษุณีวรมัยโพธิสัตว์ ท่านบอกไว้ พระโพธิสัตว์แต่ละท่าน
    สีของ บัวบารมีไม่เหมือนกัน เช่น

    สีขาว แดง ส้ม เขียว ฟ้า ม่วง บางองค์เด่นศีล บางองค์สมาธิ บางองค์เอกปัญญา
    บางองค์เมตตา บางองค์ขันติ บางองค์อธิษฐานปณิธาน

    ท่านก็จะช่วยงานธรรม ช่วยสัตว์ตามความถนัดของแต่ละท่าน
    และ ไม่ได้ทำคนเดียวด้วย เพราะ ถ้าบารมียังไม่เต็มระดับ 8 9 10

    ท่านจะต้อง ทำกันเป็นทีม ได้องค์ที่เก่งอีกด้านมาช่วยอุด มาช่วยเสริม
    มาช่วยสอน สอนกันและกัน

    บารมีเป็นองค์เป็นคุณของกันและกันมองได้สองแบบ

    แบบเดี่ยวๆ มองแบบเฉพาะองค์ สิ่งที่ทำๆ มา ถึงเเวลาอันควร มันเสริม
    กันและกัน ขึ้นอยู่กับชาตินั้นท่านทำบารมีประเภทใหน ผมอธิบายในโพสแรก

    แบบองค์รวม ช่วยงานแบบ เป็นแพ็คๆ เป็นทีม เพราะ ช่วยอุดรูโหว่
    ของกันและกัน สอนกันและกัน บารมีของอีกองค์ช่วยอีกองค์
    ตามแต่งาน ครับ งานนี้ต้องดึงคนเก่งศีลมาช่วย งานนี้ต้องคนเอกปัญญามาช่วย
    มาช่วยแล้วสอนด้วย ต้องถ่อมตนด้วยอย่าคิดว่า แน่และเก่งคนเดียว

    กำลัง จะเข้าเรื่อง อันนี้ อยู่มันผุดมา ครับ ผมเขียน ตามที่มันผุด

    ตัว ปัญญา

    ปัญญาที่ว่า ไม่ใช่ปัญญา ทางโลกๆ ความฉลาดทางโลกนะครับ
    ปัญญาที่ว่า คือ ปรัชญาปารมิตา พระอาจารย์จี้กงท่าน แปลให้ว่า
    ปัญญาแยบยล ปัญญานี้ ได้มาจาก

    วิปัสสนาของเถรวาท ทางมหายานเรียกฝึกศูนยตา แม้แต่ธรรม
    แม่แต่บารมีก็ต้องละ ความรู้สึกคือ สุดท้ายไม่จำเป็นต้องได้อะไรเลย
    ไม่ต้องได้ ไม่ต้องมี ไม่ต้องดี ไม่ต้องเป็น ไม่ต้องเด่น
    เพราะ คำว่า ได้ ดี มี เป็น เด่น บุญ วาสนา บารมี ถ้าไปแบกมันเข้า
    ไปยึดติดมันเข้า มันจะขวางทางธรรมตัวเอง


    มีโอกาศก็ใช้ แต่ สุดท้ายก็ต้องละ

    ละ ละ ละ ละ บ่อยๆ ยิ่งมาก จะได้เอง ตามธรรมชาติ
    ละยิ่งยาก ตัวใหน ละยาก ละได้ จะยิ่งดี
    ธรรมทั้งปวง สมุติทั้งปวง ก็ต้องละ อย่าไปติด ติดแล้วมันจะขวาง

    ทำประโยชน์ไป ถึงขั้น แม้แต่คำว่าโพธิสัตว์ พุทธภูมิ บารมี ความดี บริวาร ก็ไม่จำเป็นต้องได้
    คนอื่น ปรารถนา ยานใหน เราจะช่วยตามกำลัง ถล่มตัวเองให้ตำต้อยที่สุด
    เราแค่ผู้รับใช้คนอื่น เราเป็นเพียงสัตว์ผู้ต่ำต้อย มองผู้อื่น เป็นพระโพธิสัตว์
    ช่วยสัตว์อื่น ก็เหมือนช่วยพระโพธิสัตว์ ช่วยพระพุทธเจ้า ปลูกโพธิจิตไร้เขตขันณ์

    หลวงย่าภิกษุณีวรมัย ท่านสอนว่า ถ้าใครเดินทางสายโพธิสัตว์
    อภิญญา กับ วิปัสสนา มันดีทั้งคู่ เป็นองค์เป็นคุณของกันและกัน เหมือนบารมีอีกนั่นแหละ

    ถ้าฝึก อภิญญาอย่างเดียว เล่น ฌานสมาบัติอย่างเดียว ไม่สนวิปัสสนา
    มีแต่ พัง กับ พัง เพราะ จะหลงติด ฤทธิ์ติดเดชได้ เพราะมันไม่สัมปยุติกับปัญญา
    ปัญญาไม่มาช่วย เหมือน ช้างตาบอด กำลังเยอะ แต่ไร้ตาปัญญาไม่มี ช้างลงเหวได้นะ

    วิปัสสนา จะเป็นตัวช่วย เพราะ รู้เท่าทัน ขันธ์ 5 กิเลส อย่าพึ่งรู้วาระจิตคนอื่นเลย
    วาระจิต กิเลส ของเรารู้ให้มากๆ เข้าไว้ จะได้ไม่หลง ฝึกข้างในเยอะๆ ข้างนอกจะรู้เอง
    จิตละเอียด รู้ข้างนอกคือผลพลอยได้ และอย่าได้ว่ามันวิเศษเลย มันธรรมชาติของจิต

    จำประโยคนี้ได้จาก ปากหลวงย่าวรมัยโพธิสัตว์

    ฝึกอภิญญาช่วยคนอื่น
    ฝึกวิปัสสนาช่วยตัวเอง

    [​IMG]



    โพธิจิตไร้เขตขันณ์ เมตตาไร้ประมาณ ไม่แบ่งแยก

    โพธิจิต แบบ ศูนยตา คือ ปัญญาแยบยล คือตัวละ สมมุติ

    โพธิจิต แบบ เมตตา คือ ตัวใช้สมมุติ ใช้ เมตตานำทัพ
    ตัว เมตตาไร้ประมาณ ไม่แบ่งแยก จุดสุดท้ายเข้าไกล้ตัวละธรรม
    เข้าไกล้ตัวศูนยตามาก เพราะตัวตนมันละช่วยคนถึงขั้น ไม่ห่วงตัวเอง

    เปรียบ โพธิจิต แบบ ศูนยตา เหมือน กระดาษขาวคลุมเจ็ดคาบสมุทร
    เป็นความขาวที่ใหญ่ ไร้สิ่งขวางกั้น นี่ คือ ตัวละ

    เปรียบโพธิจิต แบบ เมตตา เหมือน กระดาษขาวคลุมเจ็ดคาบสมุทร
    แต่มีจุดดำ เท่าปลาย ปากกา คือ ตัวเมตตา คือ คือ ตัวใช้
    เมตตา คือ กิเลสตัวหนึ่งแต่เป็นกิเลสที่เยี่ยมยอดที่ปวงพระโพธิสัตว์ใช้
    กิเลสฝ่ายดีครับ

    ทุกข์ของสรรพสัตว์คือกิเลส ทุกข์ของพระโพธิสัตว์คือเมตตา
    ( จากวิมลเกียรตินิเทศสูตร )


    ตัวละ กับ ตัวใช้ มันหนุนกัน เวลาบำเพ็ญบารมี
    ใช้เมตตากับปัญญานำทัพ แล้ว มันจะดึงบารมีตัวอื่นเอง

    เปิดประตูความดีเพียงหนึ่งประตู แล้ว ประตูอื่นๆ จะเปิดตาม
    คำว่า บารมี เป็นองค์และเป็นคุณของกันและกัน


    เปิดประตูความดี โพธิจิตให้คนอื่น สร้างเหตุปัจจัยเส้นทางธรมให้คนอื่น
    แล้ว เขาจะไป เขาเอง

    ทางมหายาน เขาเลย เน้นปริมาณ โปรดสัตว์มากๆ เอาศรัทธานำมวลชน
    พอเขาแกร่งกล้า บารมีในทางธรรมดี ขึ้น สัตว์ผู้นั้น จะเลื่อนภูมิขึ้นสู่ตัวปัญญาเอง


    แค่เปิดประตูความดีให้ คนอื่นเยอะๆ หลายๆ บาน ไม่แบ่งแยก

    http://community.buddhayan.com/index.php/topic,650.0.html
     

แชร์หน้านี้

Loading...