ไอน์สไตน์พบ พระพุทธเจ้า เห็น คัดมาแบบหัวกระทิ

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย โอซารัน, 24 ตุลาคม 2008.

  1. โอซารัน

    โอซารัน Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2008
    โพสต์:
    873
    ค่าพลัง:
    +91
    -1
    "พุทธศาสนาบอกไว้ว่า เวลาของแต่ละภพภูมิจะไม่เท่ากันทั้ง 31
    ภพภูมิ คือ อรูปพรหม 4 รูปพรหม 16 เทวดา 6 มนุษย์ เดรัจฉาน
    อสุรกาย สัตว์นรก ..."




    -2

    สหชาติธรรม

    หนังสือไอน์สไตน์พบ พระพุทธเจ้าเห็น หน้า
    186 มีคำอธิบายบางประเด็นที่ชวนสะกิดใจ

    "เมื่อเห็นรูป "ผัสสะ" จะเกิด แล้วส่งต่อมาที่ "เวทนา"
    จากเวทนาก็มาถึง "ตัณหา" และจึงเลยไปเป็น "อุปาทาน"
    เป็นขึ้นสุดท้าย ในช่วงรอยต่อของสี่ขั้นนี้ จะตัดขั้นตอนไหนก็ได้ แต่ถ้าปล่อยให้เลยเถิดมาถึง "อุปาทาน" ก็สายเกินไปเสียแล้ว"

    [​IMG]

    -3

    [​IMG]

    (หน้า 177) "จากรูปด้านบน ถ้ากล่องแต่ละกล่องแทน
    สภาวะสามมิติในเหตุการณ์หนึ่ง การมองโลกสามมิติจากมิติที่สี่ จะเห็นโลกของสามมิติซ้อนทับกันหลาย ๆ เหตุการณ์ ดังนั้นปรากฏการณ์ตาทิพย์จึงไม่ใช่เรื่องเหนือธรรมชาติแต่อย่างใด"

    -4

    อิทัปปัจจยตาไม่ได้แปลว่าสิ่งสัมพัทธ์

    หนังสือไอน์สไตน์พบ พระพุทธเจ้าเห็น ผู้เขียนยัดคำพูดของตัวเองใส่พระโอษฐ์พระพุทธองค์ได้น่ากลัวมาก
    (หน้า 162) "พระพุทธองค์ตรัสว่า "อัตตา (ตัวตน)
    ของคนเรานั้นไม่เคยมีอยู่จริง สรรพสิ่งในโลกเป็นเพียงสิ่งสัมพัทธ์
    (อิทัปปัจจยตา)"

    -5

    โลก 3

    หนังสือไอน์สไตน์พบ พระพุทธเจ้าเห็น หน้า 53 บอกว่า
    "พระพุทธองค์จึงแบ่งโลกออกเป็น 3 แบบซ้อนทับกันอยู่คือ
    สังขารโลก (ปรมัตถธรรม รูป-นาม), โอกาสโลก
    (= อวกาศ, universe, cosmos), สัตว์โลก
    (หมู่สัตว์ ตัวตน บุคคลในภูมิทั้ง 31)"


    เมื่อเป็นชื่อของโลกโดยใช้คำว่าโอกาสโลกโลกคือโอกาส
    จึงหมายถึงพื้นพิภพ ที่ดวงอาทิตย์ดวงจันทร์ส่องสว่างปรากฏอยู่นี้ ทั้งหมดก็รวมก็เรียกว่าโอกาสโลก"

    หนังสื่อ ไอน์สไตน์ พบ พระพุทธเจ้า เห็น

    *************

    ในกรณีองคุลิมาล


    พระพุทธเจ้าทรงได้แสดงปาฏิหาริย์เรื่อง เวลา ให้ องคุลิมาลรับรู้ คือ ในขณะที่วิ่งไล่เพื่อทำร้ายพระพุทธเจ้านั้น เขาวิ่งเท่าไหร่ก็ไม่ทันสักที เพราะ ความเร็วของพระพุทธองค์คงที่เสมอ ไม่ว่าองคุลิมาลจะเร่งความเร็วขึ้นเท่าไหร่ พระพุทธองค์ก็ทิ้งห่างไปทุกทีอย่างน่าอัศจรรย์ (นั่นก็เพราะว่าความเร็วและเวลาขององคุลิมาลกับพระพุทธเจ้าไม่สัมพัทธ์กัน)


    องคุลิมาล จึงตะโกนบอกพระพุทธเจ้าว่า
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 ตุลาคม 2008
  2. wvichakorn

    wvichakorn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    3,667
    ค่าพลัง:
    +9,239

    หมายความว่าอย่างไร? ดูดุดัน น่ากลัวจัง
     
  3. โอซารัน

    โอซารัน Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2008
    โพสต์:
    873
    ค่าพลัง:
    +91
    5 5 5 ผมบริสุทธิ์ใจนะครับ

    เอาเปนว่า แก้ไขคำใหม่ ว่า บอก และกันนะ
     
  4. โอซารัน

    โอซารัน Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2008
    โพสต์:
    873
    ค่าพลัง:
    +91
    “เคล็ดลับที่จะบรรลุเข้าสู่นิพพานก็คือ ใช้สติสัมปชัญญะเข้าไปกำหนดทวารทั้งหก เวลาเห็นก็สักแต่ว่าเห็น ไม่เกิดเวทนา ได้ลิ้มรสก็สักแต่ได้ชิม ได้ดมกลิ่นก็สักแต่ว่าได้กลิ่น ไม่เกิดความรู้สึกใดๆ หรือมีสิ่งมากระทบผิวหนังก็สักแต่ว่ากระทบ เวลาคิดก็สักแต่ว่าคิด แล้วก็หายไป ถ้าทำเช่นนี้ได้ ตัวกู-ของกู (อุปาทาน) ก็จะดับ ไม่มีทุกข์ใดๆเหลืออยู่ มุ่งสู่นิพพาน”
     
  5. โอซารัน

    โอซารัน Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2008
    โพสต์:
    873
    ค่าพลัง:
    +91
    ถ้าจะเปรียบภพภูมิเป็นอาคารสูง อาคารนี้จะมี 31ชั้น
    อาคารนี้จะมืดสนิทไปทั้งอาคาร มีเพียงดาดฟ้าซึ่งสว่าง
    ไสวเปรียบเสมือนนิพพานนาฬิกา
    ในแต่ละชั้นก็เดินด้วยความเร็วไม่เท่ากัน สัตว์ทั้งหลาย
    จะเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในอาคารนี้ ชั้นล่างสุดเป็นสัตว์นรก
    ชั้นที่ 2 เป็นอสุรกาย ชั้นที่ 3 เป็นเปรต ชั้นที่ 4 เป็นเดรัจฉาน
    ชั้นที่ 5 เป็นมนุษย์ ชั้นที่ 6-11 เป็นชั้นเทวดา ชั้นที่ 12-27
    เป็นชั้นของรูปพรหม และชั้นที่ 28-31 เป็นชั้นของอรูปพรหม


    อาคารทั้ง 31 ชั้นนี้ไม่มีบันได มีแต่ลิฟต์ ลิฟต์ตัวนี้จะเป็นตัวพาสรรพสัตว์ทุกภพภูมิไปเกิดใหม่ในชั้นอื่น ๆ ลิฟต์ตัวนี้จะไม่ใช้พลังงานไฟฟ้า แต่ใช้พลังงานแห่งกุศลกรรม ที่แปลกประหลาดกว่าอาคารทั่วไปก็คือ ลิฟต์ของอาคารนี้จะมีลิฟต์พิเศษอีกตัวขึ้นไปชั้นดาดฟ้าได้จากชั้น
    5 เท่านั้น ซึ่งเป็นชั้นของมนุษย์ สรรพสัตว์ทั้งหลายที่เวียนว่ายตาย
    เกิดอยู่ใน 31 ชั้นนี้ ถ้าต้องการจะขึ้นไปพบแสงสว่างแห่งนิพพานที่ดาดฟ้า
    ต้องมาเกิดที่ชั้น 5 เป็นชั้นสุดท้าย พระพุทธองค์เองก็ตรัสแก่พระสารีบุตรว่าพระองค์เองก็ตระเวนไปเกิดตามชั้นต่าง ๆ นับไม่ถ้วนเป็นอเนกอนันตชาติจนชาติสุดท้ายที่เป็นมนุษย์ จึงสามารถตรัสรู้บรรลุเข้าสู่นิพพาน เหตุที่ต้องเป็นชั้น 5 เท่านั้น ก็เพราะว่ามีแต่มนุษย์เท่านั้นที่สามารถปฎิบัติวิปัสสนากรรมฐานตามหลักสติปัฏฐาน 4

    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 ตุลาคม 2008
  6. โอซารัน

    โอซารัน Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2008
    โพสต์:
    873
    ค่าพลัง:
    +91
    องคุลิมาลจึงบรรลุอรหันต์ด้วยการหยุดตัวตนตัดอุปาทานสำเร็จ
    ไม่ใช่หยุดฆ่าคน และไม่ว่าจะเคยฆ่าคนตัดนิ้วมานับพัน
    กรรมเก่าก็ตามมาทำอะไรองคุลิมาลไม่ได้ เพราะเมื่อบรรลุอรหันต์
    ไม่มีเวลา ไม่มีตัวตน ไม่มีการเกิด ไม่มีภพ ชาติ อีกต่อไป
    กรรมทั้งหมดจึงกลายเป็นอโหสิกรรมไป


    กรรมเก่าไม่สามารถวิ่งทะลุผ่านความว่างได้
    ความว่างในที่นี้ไม่ใช่ว่างแบบสูญญากาศ แต่เป็น สูญญตา
    คือจิตว่าง เมื่อใดก็ตามที่จิตว่างจากเวทนา ตัณหา อุปาทาน
    แม้เพียงชั่วครู่ ชั่วครู่นั้นเจ้ากรรมนายเวรก็ทำอะไรเราไม่ได้
    และเมื่อใดที่มีจิตมีความว่างอย่างยิ่ง ว่างถาวร ว่างนิรันดร์
    เมื่อนั้นก็จะบรรลุเข้าสู่นิพพาน
     
  7. โอซารัน

    โอซารัน Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2008
    โพสต์:
    873
    ค่าพลัง:
    +91
    พุทธศาสนาบอกไว้ว่า เวลาของแต่ละภพภูมิจะไม่เท่ากันทั้ง
    31 ภูมิ คือ อรูปพรหม 4, รูปพรหม 16, เทวดา 6, มนุษย์,
    เดรัจฉาน, อสุรกาย, สัตว์นรก แต่ไม่ได้ให้เหตุผลไว้ว่าทำไมจึงเป้นเช่นนั้น ถ้าจะอธิบายตามทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ให้พอเข้าใจได้ ผู้ที่อยู่ในภพภูมิต่างๆ
    เหล่านี้ยังไม่บรรลุเข้าสู่นิพพาน ดังนั้นล้วนแล้วต้องตกอยู่ใต้อิทธิพลของแสงทั้งสิ้น
    จึงมีผลกับเวลา ในสวรรค์ชั้นพรหม เวลาจะเดินช้ามาก หนึ่งหมื่นปีบนโลกมนุษย์
    อาจจะเท่ากับหนึ่งวันบนพรหมโลก ความเร็วของการเคลื่อนไหวของมนุษย์บนพื้น
    โลกเทียบกับความเร็วแสงที่ 300,000 กิโลเมตรต่อวินาที เมื่อความเร็วแสงมี
    ผลกับเวลาตามทฤษฎีสัมพัทธภาพ เวลาในชั้นพรหมซึ่งเดินช้ากว่าโลกมนุษย์ถึงหนึ่งหมื่นเท่า จึงทำให้ความเร็วแสงในชั้นพรหมลดลงไปหนึ่งหมื่นเท่าด้วย เพื่อความสัมพัทธ์ เมื่อความเร็วแสงลดลงไปหนึ่งหมื่นเท่า การเคลื่อนไหวของเทวดาในชั้นพรหมจะต้องช้าลงกว่ามนุษย์โลกหมื่นเท่าเช่นกัน
    มิฉะนั้น จะไม่เกิดความสมดุลแห่งแสง เวลา และความเร็ว
    การดำรงชีวิตอยู่ในพรหมโลกจะเป็นไปไม่ได้ ดังนั้นถ้าเอาความรู้สึกของมนุษย์ไปวัด สิ่งมีชีวิตในชั้นพรหมจะเครื่อนไหวร่ายกายช้ามาก จนดูเหมือนหยุดนิ่ง
    ตรงกันข้ามกับชั้นของอสุรกาย สัตว์นรก จะมีแต่ความทุรนทุราย ดิ้นรน
    เคลื่อนไหวไปมาอย่างรวดเร็ว แต่อย่างไรก็ตาม เวลาที่พูดถึงเป็นเวลาตามนาฬิกา
    ซึ่งเป็นเวลาสมมติ แต่เวลาจิตที่เป็นเวลาจริงของแต่ละภพภูมิจะเท่ากัน (ถ้าเวลาจริงไม่เท่ากัน จักรวาลก็จะคงอยู่ไม่ได้) เทวดาที่เสวยสุขหนึ่งปีของพรหมโลกกับหนึ่งปีของโลกจะเท่ากัน (แต่เวลาตามนาฬิกาต่างกันหนึ่งหมื่นเท่า) ในทางกลับกัน เวลาในนรกจะผ่านไปเร็วมาก แต่สิ่งมีชีวิตในนรกก็จะรู้สึกว่ามันช่างยาวนานเหลือเกิน


    สำหรับผู้มีสมาธิจิตสูงพอที่จะทำให้คาบเวลาของจิตไปซ้อนทับ
    กับมิติเวลาแห่งเทวดาหรือพรหมได้ จะพบกับความจริงในเรื่องนี้อย่างแจ่มชัด
    ภพภูมิทั้ง 31 นี้ไม่ใช่ภพภูมิทางกายภาพ ไม่ได้อยู่บนดาวดวงอื่น บนฟ้า
    ใต้ดิน หรืออีกสถานที่ นั้นเป็นเรื่องของสามมิติ แต่ภพภูมิเป็นเรื่องของมิติที่สี่
    นั่นก็คือมิติของเวลา โดยไม่มีสถานที่เข้ามาเกี่ยวข้องเลย
    ดังนั้นแม้เรานั่งสมาธิในห้องพระแคบ ๆ เราก็สามารถไปสู่ภพภูมิต่าง
    ๆ ที่คาบแห่งเวลาต่างจากโลกได้


    จึงไม่น่าแปลกใจ เมื่อมีเรื่องเล่าว่า
    เทพธิดาบนสรวงสวรรค์ ขณะเก็บดอกไม้อยู่ในอุทยาน
    เกิดหมดบุญต้องลงมาเกิดเป็นมนุษย์จนครบ 100 ปี แล้วไปเกิดเป็นเทพธิดาใหม่ ปรากฏว่าเวลาบนเทวโลกผ่านไปเพียงไม่กี่อึดใจ จนเพื่อนแทนไม่สังเกตเห็นว่านางเทพธิดานี้ได้หายตัวไปชั่วระยะหนึ่ง นั่นเพราะความแตกต่างระหว่างคาบเวลาในแต่ละภพภูมิ
     
  8. โอซารัน

    โอซารัน Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2008
    โพสต์:
    873
    ค่าพลัง:
    +91
    เวลาแห่งความสุข เรารู้สึกว่าสั้น เพราะเราอยากอยู่กับความรู้สึกนั้นนานๆ สวรรค์ สำหรับมนุษย์แม้นานก็รู้สึกแค่อึดใจ ส่วนความทุกข์ รู้สึกว่าน้านนาน เพราะเราอยากให้มันผ่านไปเร็วๆ ส่วนความว่างไม่มีอะไรปรุงแต่ง ความเปลี่ยนแปลงไม่มี เวลาจึงเหมือนหยุดนิ่ง ที่จริงเป็นความรู้สึกเกิดขึ้น แล้วดับไป ข้ามพ้นความรู้สึกเหล่านั้นได้ เป็นอมตธรรม เรียกว่านิพพาน (อยู่เหนือกาลเวลา)

    จากหลวงพี่ สุวิริโย
     
  9. โอซารัน

    โอซารัน Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2008
    โพสต์:
    873
    ค่าพลัง:
    +91
    นิพพานคืออะไร

    นิพพาน คือ ความว่างอย่างยิ่ง ในธรรมชาติ แสงและเวลาทำให้มีการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ถ้าไม่มีแสงก็ไม่มีเวลา เพราะเวลาสัมพัทธ์กับแสง แสงเป็นตัวต้นกำเนิดของเมแทบอลิซึมทั้งปวง เช่นทำให้เซลล์เราแก่ลง จึงเกิดเวลา เกิดอดีต อนาคต มีอนิจจัง ทุกขัง เกิดปฎิจจสมุปบาท อิทัปปัจจยตา ฯลฯ

    "นิพพาน" เป็นสภาวะที่อยู่เหนืออิทธิพลของแสงและเวลา การจะทำความเข้าใจนิพพานด้วยมันสมองเป็นไปไม่ได้ เพราะระบบประสาทก็ทำงานอยู่ภายใต้อิทธิพลของแสงและเวลา นิพพานสามารถเข้าถึงได้ด้วยจิตเท่านั้น อนิจจัง ทุกขัง สามารถทำความเข้าใจด้วยสมองและความคิดได้ เพราะอนิจจัง ทุกขัง ก็ตกอยู่ใต้อิทธิพลของแสงและเวลาเช่นเดียวกัน แต่ "อนัตตา" ต้องกำหนดจิดที่ปัจจุบันขณะ เมื่อเข้าสู่ปัจจุบันขณะอย่างจริงแท้ ความเป็นจริงของธรรมชาติจะบังเกิดขึ้น จะเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่า อุปาทาน ตัวตน การเกิด-ดับ แสง และเวลา ทั้งหลายเหล่านี้ไม่มีอยู่จริง เมื่ออุปาทานไม่มีอยู่จริง เวทนา กิเลสตัณหา ภพชาติ สัญญา สังขาร รูปขันธ์ นามขันธ์ ซึ่งล้วนแล้วเป็นปัจจัยประกอบของอุปาทาน (ตัวตน) ก็ไม่มีอยู่จริงด้วย ดังนั้นผู้บรรลุเข้าสู่นิพพานจะพบกับความว่างอย่างยิ่ง สุขอย่างยิ่ง ผู้เข้าสู่สภาพธรรมนี้จะไม่เกิดมาในสังสารวัฎอีกต่อไป เพราะภพภูมิทั้ง 31 ภพ ก็ล้วนเกี่ยวข้องกับแสงและเวลา เมื่อเข้าถึงในธรรมขั้นสูงสุดของธรรมชาติแล้ว ขจัดอวิชชาได้หมด จึงไม่มีการเกิดอีก

    จาก หนังสือ ไอน์สไตน์ พบ พระพุทธเจ้าเห็น (หน้า 46)
    โดย ทันตแพทย์ สม สุจีรา
     
  10. Nyan Vitee

    Nyan Vitee Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    138
    ค่าพลัง:
    +68
  11. โอซารัน

    โอซารัน Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2008
    โพสต์:
    873
    ค่าพลัง:
    +91
    นรกสวรรค์ 3 ประเภท


    เพื่อให้ทรรศนะเกี่ยวกับเรื่องนรกสวรรค์กว้างออกไป
    ขอกล่าวถึงนรกสวรรค์ 3 ประเภท คือ

    ๑. นรกสวรรค์ในโลกมนุษย์
    เท่าที่มนุษย์พอจะเห็นได้ด้วยตาธรรมดา ตัวอย่างเช่น
    มนุษย์ที่อยู่อย่างลำบากแร้นแค้นไร้ความเจริญไปเกิดใน
    ภูมิอากาศที่ร้อนเกินไป หนาวเกินไป เป็นอยู่ลำบาก
    หรือมนุษย์ที่ขาดแคลนอาหารเสื้อผ้า อยู่อย่างอดอยากแร้นแค้น
    พิกลพิการ หาความสุขในชีวิตไม่ได้ อย่างนี้เหมือนตกนรกหรืออยู่ในนรก
    ส่วนมนุษย์บางพวกมีร่างกายสมบูรณ์ มีทรัพย์สมบัติมาก
    อุดมด้วยเสื้อผ้าอาหารที่อยู่อาศัย ผิวพรรณดี มีความสุขความสบาย
    อย่างนี้จัดเป็นสวรรค์ในโลกมนุษย์

    ๒. สวรรค์ในอกนรกในใจ
    เมื่อใดใจมีความสุข เมื่อนั้นเหมือนได้ขึ้นสวรรค์ เมื่อใดใจเป็นทุกข์เร่าร้อนคับแค้นใจ
    เมื่อนั้นตกนรก-นรกในใจ

    ๓. สวรรค์นรกจริง ๆ
    ซึ่งมีอยู่อีกโลกหนึ่ง มนุษย์จะสัมผัสกับนรกสวรรค์ประเภทนี้เมื่อสิ้นชีวิตแล้ว
    เรียกอีกอย่างหนึ่งว่าโลกทิพย์ ซึ่งมีสภาวะแวดล้อมและชีวิตแตกต่างจากโลกมนุษย์มาก
    ละเอียดกว่าสุขกว่า และทุกข์กว่าสุขทุกข์ในโลกมนุษย์หลายร้อยหลายพันเท่า

    คนส่วนมากเชื่อสวรรค์นรก ๒ ประเภทแรก ปฎิเสธสวรรค์นรกประเภทที่ ๓ ซึ่งเป็นสวรรค์นรกที่สำคัญที่สุดและมีอยู่จริง พวกเทพหรือสัตว์นรกในโลกทิพย์น
    ี้ จะใช่ชีวิตอยู่เป็นระยะเวลาเป็นพันปี หมื่นปีหรือถึงแสนปี
    พูดกันตามจริงแล้ว ความเชื่อเรื่องสวรรค์นรก
    หรือตายแล้วเกิดนั้นไม่เห็นเสียหายอะไรเลย มีแต่ผลดีกับผู้เชื่อ
    ส่วนผู้ไม่เชื่อซิ มีแต่ทางขาดทุน


    จาก หนังสือ สวรรค์ นรก บุญ บาป ในพระพุทธศาสนา (หน้า 21)
    โดย วศิน อินทสระ
     
  12. โอซารัน

    โอซารัน Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2008
    โพสต์:
    873
    ค่าพลัง:
    +91
  13. อาหลี_99

    อาหลี_99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    744
    ค่าพลัง:
    +2,992
    แล้วนิพานมีแสงหรือป่าวครับในหนังสือได้เขียนไว้ไหม?????
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 ตุลาคม 2008
  14. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870
    ยอกเยี่ยม จริงๆ ขอชมว่าเป็นกระทู้ จรรโลง เว็บ เกิดปัญญา ดีเเท้ นะเอย นะเอย
     
  15. ชัยยันต์

    ชัยยันต์ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    17
    ค่าพลัง:
    +82
    มีอาการแปลกๆตอนเข้าสมาธิ ผู้รู้ช่วยตอบหน่อย

    ผมมีอาการแปลกๆครับในขณะเข้าสมาธิ ในขณะที่จิตรวมตัวแล้วเกิดมีอาการดิ่งเหมือนตกจากที่สูงไปในท่อมืดสนิทอยู่ช่วงระยะหนึ่งแล้วเหมือนหลุดออกจากท่อไปเจอแสงสว่างมากๆตอนกลางคืนและเห็นพระจันทร์วันเพ็ญที่ใหญ่โตมากประมาณพระจันทร์วันเพ็ญปกติ สัก10ดวงรวมกัน และก็เห็นดวงดาวใหญ่มาก เหมือนกับเข้าไปใกล้มากๆ และหลังจากนั้น ผมก็เดินไปเจอ คณะอาจารย์
    ซึ่งฝึกมโนมยิทธิ นำลูกศิษย์ มากลุ่มหนึ่งซึ่งส่วนมากเป็นผู้หญิง และผมก็ได้ไปรวมกลุ่มกับเขาด้วย หลังจากนั้นอาจารย์ก็สอนให้เอาจิตไปดูเทวดาในอาคารหลังหนึ่ง แต่ก็ไม่เจออะไร ในขณะนั้นมีสติทุกอย่างจะว่าฝันไปก็ไม่แน่ใจ ในขณะนั่งฟังอาจารย์พูดยู่ ในใจก็นึกว่าคงจะไม่มีอะไรแล้วก็นึกอยากจะกลับ แค่นึกเท่านั้นครับจิตก็กลับมารู้สึกที่ร่างกายเหมือนเดิม เป็นอย่างนี้อยู่ 2-3ครั้งครับ
     
  16. อินเดียร็อก

    อินเดียร็อก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    264
    ค่าพลัง:
    +164
    โมทนา สาธุ
    ถ้าฝึกสติปัฎฐาน 4 ก็จะรู้เห็นได้ด้วยตนเองครับ
     
  17. Mr.Boy_jakkrit

    Mr.Boy_jakkrit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    2,063
    ค่าพลัง:
    +2,676
    หนังสือเล่มนี้เขียนได้ดีครับ จะว่าไปแล้วเป็นหนังสือเล่มแรกที่จุดประกายธรรมอย่างแรกก่อนที่จะเริ่มศึกษาธรรมะของผมครับ
    ทันสมัยเข้าใจง่าย ไม่งมงาย เป็นจุดเปลี่ยนการเปรียบเทียบพุทธศาสนาและมุมมองของนักปฏิบัติเลยก็ว่าได้

    เรื่องเวลาได้อธิบายไว้ดีครับ เกี่ยวภพภูมิ จะว่าเป็นชั้นคงจะนึกภาพยากไปนิดครับ
    แต่ถ้าบอกว่าเป็นวงกลมโดยเริ่มจากวงในไล่ออกมาวงนอก วงในจะแคบและระยะทางจะสั้นกว่าวงนอก
    ถ้าปล่อยให้รถวิ่งพร้อมกันและใช้ความเร็วเท่ากัน แน่นอนรถในวงในจะครบรอบเร็วกว่าวงนอก
    อาจจะเปรียบเทียบให้เห็นด้วยจิตนาการได้ครับ แต่จะเห็นจริงนั้นต้องปฏิบัตินะครับ

    แหม่..วันนี้ได้สาระดีมากครับ จขกท.
    อนุโมทนาครับ
     
  18. Por.f.R.P.Fenyman

    Por.f.R.P.Fenyman สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    46
    ค่าพลัง:
    +17
    ผมเองก็เป็นหนึ่งในคนที่รับไม่ได้ถ้าวิทยาศาสตร์ที่ถูกบิดเบือน โดยผู้ไม่รู้จริงถึงแม้ว่าผมจะยังไม่จบระดับบัณษิตศึกษาที่แดมป์แต่ก็พอรู้ว่าอะไรเป็นอะไร

    "ไอน์สไตน์พบ พระพุทธเจ้าเห็น"ได้รับการตีพิมพ์หลายครั้งและถูกซื้อไปอ่านโดยผู้ไม่รู้ทั้งที่มันมั่วแบบสุดๆ


    ยกตัวอย่างถ้าคุณหาฉบับแรกๆเจอจะพบว่า


    1) ตัวอย่างความผิดพลาดที่ตรงไปตรงมา (ซึ่งแก้ไขได้ไม่ยากนัก)
    ในกรณีที่เป็นข้อเท็จจริงในเชิงประวัติศาสตร์ (เช่น ใครค้นพบอะไร) หรือแนวคิดพื้นฐานที่มีนิยามชัดเจน ก็มักจะสามารถพบเห็นความคลาดเคลื่อนได้ง่าย ทำให้ชี้แจงและแก้ไขได้ไม่ลำบากนัก เช่น
    1-A) “มักซ์ พลังค์ (Max Planck) เป็นผู้ค้นพบทฤษฎีควอนตัมและเทอร์โมไดนามิก” (หน้า 16):

    ข้อชี้แจง :

    ที่ถูกต้องคือ มักซ์ พลังค์ เป็นผู้ค้นพบปรากฏการณ์ที่นำไปสู่การพัฒนาทฤษฎีควอนตัมยุคเก่า (the old quantum theory)

    สำหรับเทอร์โมไดนามิกส์ (thermodynamics) หรือวิชาอุณหพลศาสตร์ นั้นมีพัฒนาการมายาวตั้งแต่ราวปี ค.ศ. 1650 แล้ว โดยต่อมามีทั้งนักทฤษฎีและนักทดลองจำนวนมากช่วยกันเติมเต็มความรู้ในแง่มุมต่างๆ ส่วนชื่อ thermodynamics เสนอโดย เจมส์ จูล (James Joule) ในปี ค.ศ. 1858​

    1-B) “...ไอน์สไตน์ได้เรียกควอนตัมของแสงว่าโฟตอน..” (หน้า 22) :
    ข้อชี้แจง :

    ผู้ที่เสนอคำว่า โฟตอน (photon) ได้แก่ นักเคมีเชิงฟิสิกส์ (physical chemist) ชื่อ กิลเบิร์ต เอ็น ลิวอิส (Gilbert N. Lewis) โดยเสนอในปี ค.ศ. 1926

    ส่วนไอน์สไตน์นั้นใช้คำว่า das Lichtquant ในภาษาเยอรมัน ซึ่งแปลว่า ควอนตัมของแสง (light quantum)

    1-D) “ทางเดียวที่จะพิสูจน์ทฤษฎีสัมพัทธภาพด้วยตัวเองได้คือการพิสูจน์ทางจิต…เมื่อจิตละเอียดถึงจุดจะพบกับความมหัศจรรย์ของเวลาตามทฤษฎีสัมพัทธภาพของไอน์สไตน์” (หน้า 174) :
    ข้อชี้แจง :

    การตรวจสอบผลทำนายจากทฤษฎีสัมพัทธภาพในเรื่องเวลานั้น มีการทดลองทางกายภาพหลายการทดลองและได้ทำมานานแล้ว เช่น การตรวจวัดอายุขัยของอนุภาคต่างๆ และการใช้ผลการคำนวณเวลาในระบบบอกพิกัดตำแหน่งบนพื้นโลก (GPS, Global Positioning System) เป็นต้น ข้อความดังกล่าวจึงไม่ถูกต้อง

    สำหรับข้อกล่าวอ้างที่ว่า เรื่องเกี่ยวกับเวลาในทฤษฎีสัมพัทธภาพสามารถพิสูจน์ได้ด้วยจิตได้นั้น คงต้องตรวจสอบก่อนว่า นิยามของคำว่า “เวลา” ที่ผู้ที่กล่าวอ้างมีประสบการณ์ตรงทางจิตนั้นตรงกับนิยามของ “เวลา” ที่ทฤษฎีสัมพัทธภาพกล่าวถึงหรือไม่​

    เพราะแม้แต่ในทางวิทยาศาสตร์เอง เวลาก็มีได้หลายแบบแล้วแต่ว่าจะอิงกับทิศทางของอะไร เช่น อิงกับทิศทางของปรากฏการณ์ตามกฎข้อที่สองของเทอร์โมไดนามิกส์ (thermodynamic arrow) อิงกับทิศทางการขยายตัวของเอกภพ (cosmological arrow) หรือ อิงกับความรู้สึกหรือการรับรู้ในทางจิตวิทยาว่าเวลาผ่านไปอย่างไร (psychological arrow) เป็นต้น

    2-A) “ทุกๆ สิ่งในจักรวาลหลังการระเบิดครั้งใหญ่ (บิ๊กแบง) จะมีแนวโน้มเข้าสู่สภาวะที่ยุ่งเหยิงมากขึ้นเสมอ” (หน้า 73-74):

    ข้อชี้แจงเบื้องต้น :

    ข้อความนี้ถูกบิดเบือนมาจากกฎข้อที่สองของเทอร์โมไดนามิกส์ที่ว่า

    “เอนโทรปี (entropy) ของระบบโดดเดี่ยว (isolated system) มีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นหรือคงที่”​
    โดยระบบโดดเดี่ยวในทางเทอร์โมไดนามิกส์หมายถึง ระบบที่ไม่แลกเปลี่ยนทั้งมวลสารและพลังงานกับสิ่งแวดล้อม

    ในทางเทอร์โมไดนามิกส์ ระบบเปิด (open system) ซึ่งสามารถแลกเปลี่ยนมวลสารและพลังงานกับสิ่งแวดล้อมได้สามารถมีความเป็นระเบียบเพิ่มสูงขึ้นได้ในช่วงเวลาหนึ่งๆ

    2-B) “พระพุทธองค์ตรัสว่า “อัตตา (ตัวตน) ของคนเรานั้นไม่เคยมีอยู่จริง สรรพสิ่งในโลกเป็นเพียงสิ่งสัมพัทธ์ (อิทัปปัจยตา)” ไอน์สไตน์ยืนยันซ้ำพร้อมสูตรทางวิทยาศาสตร์ว่า “ยิ่งเรียนรู้ความลับของธรรมชาติ ยิ่งทำให้มนุษย์เราต้องถ่อมตนและสันโดษ สรรพสิ่งสัมพัทธ์กันไปหมด”....” (หน้า 162) :
    ข้อชี้แจงเบื้องต้น :

    ประเด็นนี้น่าสนใจทีเดียว เพราะชื่อทฤษฎีสัมพัทธภาพ (theory of relativity) นั้นชวนให้เข้าใจผิดพลาดไปได้ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นสัมพัทธ์ (คือแล้วแต่ว่าสังเกตเทียบกับใครหรืออะไร) แต่จริงๆ แล้วนั้น ในทฤษฎีนี้ มีแนวคิดหรือปริมาณที่ตรงกันข้ามกับสภาพสัมพัทธ์อยู่ด้วย นั่นคือ ความไม่แปรเปลี่ยน (invariance)

    ที่น่าสนใจก็คือ สมมติฐาน 2 ข้อที่ใช้ในการพัฒนาทฤษฎีสัมพัทธภาพพิเศษ (special relativity) ก็คือ ความไม่แปรเปลี่ยนนี้

    ตัวอย่างความเข้าใจที่ผิดพลาดที่ยกมานี้
    หากปรากฏในหนังสือ หรือแหล่งข้อมูลใดเป็นจำนวนมาก
    ก็ย่อมทำให้เกิดข้อสงสัยได้ว่า เหตุใดผู้ที่ให้ข้อมูลจึงแสดงข้อมูลและทัศนะที่ผิดพลาดซ้ำแล้วซ้ำเล่า
    แม้แต่ข้อมูลบางอย่างที่ตรวจสอบได้ไม่ยาก

    สาเหตุที่อาจเป็นไปได้ เช่น
    • หนังสือหรือเอกสารที่ใช้อ้างอิงส่วนใหญ่ไม่ใช่หนังสือแนววิชาการที่เน้นความแม่นยำ แต่เป็นหนังสือแนววิทยาศาสตร์อ่านสนุกสำหรับทั่วไป (popular science) ซึ่งทำให้เรื่องราวต่างๆ ง่าย (simplified) แต่หากง่ายจนเกินไป (over-simplified) ก็ย่อมทำให้ผู้อ่านที่ขาดพื้นฐานที่ดีเพียงพอเข้าใจไขว้เขวไปได้โดยง่าย
    • แม้หนังสือหรือเอกสารที่ใช้ในการอ้างอิงจะมีความถูกต้องในทางวิชาการ แต่หากผู้ใช้ขาดพื้นฐานที่ดีเพียงพอ (โดยเฉพาะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ซึ่งมีความจำเป็นพอสมควรสำหรับวิชาฟิสิกส์) ก็อาจจะทำให้ผู้ที่นำข้อมูลไปใช้มีแนวโน้มที่จะเลือกนำข้อความบางอย่างมาสนับสนุนความเชื่อของตน โดยละเลยบริบท (context) ในการใช้งานข้อความที่ยกมานั้น ลักษณะเช่นนี้ก็ย่อมทำให้เกิดความผิดพลาดได้เช่นกัน
    ผมต้องขอขอบคุณครูของผมดร.บัณชาที่กรุณาเขียนมาชี้แจง ซึ่งผมก้ออยากจะชี้แจงตั้งแต่อ่านมันครั้งแรกๆตอนเรียนป.ตรีที่MIT แต่ก็รู้ว่าเด็กอย่างผมใครมานจะฟัง

    ในฉบับหลังๆแม้ผู้เขียนจะเอาข้อมูลของดร.บัณชาไปแก้ไข(รึอาจจะไม่ใช่ก้อได้นะคราบ)แต่ไม่เคยขอบคุณรึชี้แจงถึงความผิดพลาดนี้ซึ่งผมก็รับไม่ได้อีกที่สำคัญคือเอาคำกล่าวของท่านไอสน์ไตน์ไปบิดเบื้อน รึจะเรียกว่าแม้งแปลมั่วๆก้อได้ ซึ่งผมก็รับไม่ได้อีกเช่นกันและเสียดายเงินที่ซื้อไป
    อยากจะบอกว่า "ตั้งแต่ส่วนบทนำ" แล้วครับ ที่บ่งบอกว่าหนังสือเล่มนี้ "แย่" เพราะผู้เขียน พยายามบอกอย่างไม่เป็นกลางแต่แรกอยู่แล้วว่า "พระพุทธเจ้า เหนือกว่าไอนสไตน์"
    การอธิบายแบบนี้ นับว่าทุเรศสิ้นดี (ผมขอบ่น ประสาคนเสียดายตังค์เถอะนะครับ)
    การที่คุณจะพยายามทำหนังสือที่เปรียบเทียบความรู้ในเชิงศาสนา กับวิทยาศาสตร์ "โดยคุณลำเอียง" แต่แรกอยู่แล้ว นั่นเท่ากับคนเขียนไม่มีความเป็นนักวิทยาศาสตร์ในตัวแต่ต้น (แต่เสร่อจะเขียนหนังสือวิทยาศาสตร์)
    หากนักวิทยาศาสตร์คนไหนที่ ลำเอียงแต่ต้นว่า "การทดลองนี้ ยังไงๆ ก็จะต้องให้ผลการทดลองออกมาเป็นแบบนั้น แบบนี้" ย่อมไม่อาจเรียกว่าเป็นนักวิทยาศาสตร์ได้ฉันใด ผู้เขียนหนังสือนี้ ก็แย่พอๆ กันฉันนั้นเรียนให้ทราบตามตรงครับว่า ผมคิดว่าผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ คือ ทพ.สม นั้นมีเจตนาดี และมีความสามารถในการสื่อสาร
    อย่างไรก็ดี ปัญหาหลักก็คือ
    1) ผู้เขียนมีจินตนาการสูงเกินพอดี ทำให้เกิดอาการ "จับแพะชนแกะ"
    ผลก็คือ แทนที่ข้อมูลทั้งวิทย์และพุทธจะน่าเชื่อถือ กลับกลายไปเป็นไม่น่าเชื่อถือ เพราะแม้แต่ข้อมูลพื้นฐานยังผิดเป็นจำนวนมาก อย่างไม่น่าเชื่อ (กล่าวคือ ผิดแทบทุกหน้า และหน้าละหลายๆ จุด)
    2) ผู้เขียนดูเสมือนหนึ่งยกย่องวิทยาศาสตร์ในตอนต้น แต่เขียนไปเขียนมา กลับเหยียบย่ำวิทยาศาสตร์อย่างไม่มีเหตุผลที่ดี
    เพื่ออะไร? ก็เพื่อยกเอาความเชื่อของตนให้สูงกว่า อ่านดีๆ นะครับ "ความเชื่อของตน"
    3) ผู้เขียนดูประหนึ่งยกย่องพุทธศาสนา แต่เอาเข้าจริงแล้ว ได้ใช้พุทธศาสนาเป็นเครื่องมือครับ เพราะมีการตีความใหม่ที่ฟังเผินๆ เหมือนจะไม่มีอะไร แต่คิดดูดีๆ นี่อาจจะเข้าข่าย สัทธรรมปฏิรูป
    ลองไปดูตัวอย่างเช่น
    - แสงสว่างเสมอปัญญาไม่มี ก็ได้ ซึ่งผู้เขียนตีความว่า พระพุทธองค์ค้นพบความลับของแสงในทางกายภาพ!
    - เรื่องเวทนาย้อนกลับได้
    - เรื่องรอบพระพุทธบาท กับ graviton (อันนี้หลุดโลกไปเลย...ไว้จะหาโอกาสขยายความอีกที หากสนใจนะครับ)
    สำหรับบางท่านที่ใช้วาจาที่อาจจะไม่รื่นหูนั้น ผมคิดว่าท่านไม่ได้ต่อว่าพุทธศานาหรอกครับ แต่ท่นต่อว่า ผู้ที่นำพุทธศาสนาไปบิดเบือนเพื่อประโยชน์แห่งตน โดยจับจริตของคนไทยส่วนหนึ่ง (ที่มีจำนวนมาก) ซึ่งชอบอะไรก็ตามที่ออกแนวปาฏิหาริย์ & ส่งเสริมกิเลส (ที่มาภายใต้หน้ากากของธรรมะ)
    ผมมีความศรัทธาในพระพุทธองค์ โดยในกรณีนี้คงต้องยึดถือหลักกาลามสูตรเอาไว้ หากใครบิดเบือนสัจจะ ก็จำเป็นต้องชี้แจง และแจ้งให้ผู้อื่นทราบ เพื่อให้ไปพิจารณากันเองครับ
    ขอบคุณมากครับ
    จึ่งขอกล่าวมานะที่นี้
    ได้ข่าวมาว่าพี่แกจะไปเปิดสอนพิเศษ


    มีเปิดสอนกวดวิชาฟิสิกส์นิวตัน เเละหลายๆเรื่อง (แต่ไม่ยักกะมีฟิสิกส์แผนใหม่ของ ม 6 แฮะ)
    ขอร้องคุณหมอ อย่าเปิดเลยครับ ดูจากวิธีคิดทางฟิสิกส์ของคุณหมอเเล้ว เป็นบาปแก่ตัวคุณหมออย่างเเรง ที่จะถ่านทอดวิธีคิด concept ผิดๆ ทางฟิสิกส์แก่เยาวชน ผมรู้ว่าการคิดด้วยภาพทางฟิสิกส์มันดีต่อการเรียนรู้แน่นอน เเต่จากหนังสือของคุณหมอ หลายๆภาพรวมไปถึงหลักการ เเละภาษา มันผิดมหันต์
    คุณหมอควรจะเปิดอบรมเรื่อง
    - การนั่งกรรมฐานขั้นต้น
    - เทคนิคการทำสมาธิให้เรียนเก่ง
    - การใช้ชีวิตอยู่ในสังคมอย่างมีความสุขตามหลักพุทธเเละหลักจิตวิทยา...
    ส่วนคอร์สฟิสิกส์ ให้ผมไปสอนให้ฟรีเลยก็ได้ครับ แต่คุณหมอต้องสอนกรรมฐานผมคืนด้วยนะ ผมจะไปเรียนคนเเรกเลย (พูดจริงนะครับเนี่ย)

    ส่วนไอ้หนังสือฟิสิกส์นิวตันนี่ผมก้อมีแต่ขอบอกว่ามั่วๆสุดหากเราไม่แก้ไขละก็วงการฟิสิกส์เละเป็นโจ๊ก เพราะเด็กอ่านเยอะครับส่วนไอ้ที่แกมั่วๆเข้าไป

    นอกเสียจากเพิ่มอรรถรสความสนุกในจินตนาการเเละความบันเทิงโดยการผูกเรื่องทางฟิสิกส์ซึ่งคนส่วนใหญ่ไม่เข้าใจ เข้ากับ ศาสนา (ซึ่งก็คนส่วนใหญ่ไม่เข้าใจเช่นกัน-รวมทั้งผมด้วย) เลยไปกันใหญ่


    สิ่งที่กล่าวมาทำให้คนทั่วไปชอบอ่านซีรี่ของคุณหมอแกนี้น่าดู ยกตัวอย่างง่ายๆ เช่น ญาติผู้ใหญ่ผมหลายท่าน ซึ่งมีความรู้สูง เป็นครูอาจารย์ที่เกษียณเเล้วบ้าง ผู้ที่ออกจากงานประจำมาพักผ่อนในช่วงสูงวัยบ้าง มาเเนะนำให้ผมอ่าน เพราะเห็นลูกหลานเรียนฟิสิกส์มา พอผมอ่านปั๊บนี่ โอวว คุณหมอชอบมั่วนิ่มหลายเรื่อง เเต่เราก็ยัง เอาวะ มองจุดดีของแกหน่อย (ตามประสาผม เวลาอ่านหนังสือครับ) ก็เลยสรุปจุดดีมาเป็นเจตนาของแกในการนั่งกรรมฐาน เพื่อฝึกตนน่ะครับ เเต่ไม่อยากให้ไป "พบ" หรือ "เห็น" แบบที่เเกเห็นหรอกนะ เเค่มองว่าจิตใจดี มีสมาธิ ก็น่าจะมีประโยชน์แก่ตัวเราเเละสังคมก็ยังพอรับได้
    แต่หากปรากฏการณ์เดียวกันนี้ไปเกิดที่บ้านอื่น ที่มีเด็กๆ หรือผู้ที่ไม่มีวิจาณญาณในการอ่านดีพอ ซึ่งอันตรายนะครับ เพราะผู้ที่ถูกเเนะนำนั้นจะเชื่ออย่างเเรง ด้วยสไตล์การเขียนอย่างฟันธง บวกกับ สิ่งที่เราไม่ค่อยรู้เเละไม่ค่อยกล้าเถียงสองศาสตร์มารวมกัน
    แต่อย่างว่าครับ สำนักพิมพ์ หรือ ตัวเเก เองไม่รู้ใครกันเเน่มีอำนาจที่จะหยุดการขายไว้ซักครู่ (แต่ค่าตอบแทนคงสูงน่าดูนะครับ ยอดขายขนาดนี้) เพื่อที่จะเเก้ให้ถูกต้องอย่างก่อน น่าจะเป็นทางออกที่ดีสำหรับตัวเเกเองด้วย ผมว่าคนจะยกย่องแกเยอะเลย
    หากปล่อยไปเรื่อยๆ มันก็เหมือนกับว่าเเกไม่ได้ทำตามหนังสือที่แกเขียนสอนคนอื่นน่ะครับ
    สร้างกรรมเพิ่ม อิอิ

    <!-- / message -->
     
  19. Por.f.R.P.Fenyman

    Por.f.R.P.Fenyman สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    46
    ค่าพลัง:
    +17
    ผมเองก็เป็นหนึ่งในคนที่รับไม่ได้ถ้าวิทยาศาสตร์ที่ถูกบิดเบือน โดยผู้ไม่รู้จริงถึงแม้ว่าผมจะยังไม่จบระดับบัณษิตศึกษาที่แดมป์แต่ก็พอรู้ว่าอะไรเป็นอะไร

    "ไอน์สไตน์พบ พระพุทธเจ้าเห็น"ได้รับการตีพิมพ์หลายครั้งและถูกซื้อไปอ่านโดยผู้ไม่รู้ทั้งที่มันมั่วแบบสุดๆ


    ยกตัวอย่างถ้าคุณหาฉบับแรกๆเจอจะพบว่า


    1) ตัวอย่างความผิดพลาดที่ตรงไปตรงมา (ซึ่งแก้ไขได้ไม่ยากนัก)
    ในกรณีที่เป็นข้อเท็จจริงในเชิงประวัติศาสตร์ (เช่น ใครค้นพบอะไร) หรือแนวคิดพื้นฐานที่มีนิยามชัดเจน ก็มักจะสามารถพบเห็นความคลาดเคลื่อนได้ง่าย ทำให้ชี้แจงและแก้ไขได้ไม่ลำบากนัก เช่น
    1-A)
     
  20. poom101

    poom101 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 เมษายน 2008
    โพสต์:
    29
    ค่าพลัง:
    +40
    โอ.. ผมเป็นคนนึงที่ซื้อหนังสือเล่มนี้บอกตามตรง ผมอ่านหนังสือจบไม่ต่ำกว่า 5 รอบ
    ในความคิดของผมนะ ไม่รู้ใครจะคิดหมือนผมรึปล่าว หนังสือเล่มนี้มันทำให้ผมเชื่อ ศรัทธา ในพระพุทธศาสนามากขึ้น ถึงแม้จะมีผู้โต้แย้งว่า ผู้เขียนอาจจะมั่วบ้าง(อันนี้ผมไม่รู้นะครับว่ามั่วจริงหรือปล่าว)มันทำให้ผมสนใจเรื่องของจิต และมันทำให้ผมได้ค้นหาวิธีที่จะพัฒนาจิต คือวิธี กรรมฐานต่าง ๆที่พระท่านสั่งสอนกันมา ผมก็แนะนำให้คนรู้จักได้อ่านไม่ว่าจะเป็นเพื่อนและญาติผู้ใหญ่ และเพื่อนหลายคนก็เกิดความคิดเหมือนผม ไม่เป็นรัยหรอกครับ ถ้าผู้เขียนมั่วจริงๆ เพราะหนังสือเล่มนี้มันทำให้ผม ได้รู้จักกับ กรรมฐาน ซึ่งเป็นสิ่งที่วิเศษสุดๆ ในชีวิตผม และ ก็คิดว่าหลายคนคงรู้สึกเหมือนผม จริงมั้ยครับ "สหายธรรม" ทั้งหลาย
     

แชร์หน้านี้

Loading...