โดยมาก "อยากเป็นพระพุทธเจ้า" มากกว่า การได้ช่วยสัตว์โลกให้พ้นจากภัยในภพ ๓

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย pal_bh, 10 มกราคม 2009.

  1. pal_bh

    pal_bh เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    108
    ค่าพลัง:
    +132
    โดยมาก "อยากเป็นพระพุทธเจ้า" มากกว่า 'การได้ช่วยสัตว์โลกให้พ้นจากภัยในภพ ๓'

    [​IMG]

    พระพุทธเจ้าเป็นบุคคลเหนือโลกทั้ง ๓ พระองค์ทรงพร้อมด้วยลักษณะมหาบุรุษ (มหาปุริสลักษณะ) ไม่ใช่มนุษย์สามัญทั่วไป และทรงพร้อมด้วยวิชชา และจรณะ (วิชชา ๓ วิชชา ๘ และอภิญญา ๖, และจรณะ ๑๕) คือ เป็นมหาสัตว์ นั่นเอง

    แต่กว่าที่พระองค์จะทรงมีคุณสมบัติเหล่านี้ได้ พระองค์ก็ไม่ได้ทรงรัก ทรงหลงไหล ทรงรู้ความเป็นพระพุทธเจ้าแต่อย่างใด

    แต่ก่อนนั้นนานมาแล้ว มีสัตว์โลกตนหนึ่ง (พระองค์เอง) ได้เห็นความทุกข์ และประสบทุกข์บนโลกทั้ง ๓ นี้ ได้รับความลำบากนานาประการ รู้สึกอึดอัด อิดนาระอาใจ "อยากจะพ้นจากอัตตภาพที่เป็นอยู่นี้" จึงแสวงหาความพ้นทุกข์ เพื่อความหลุดพ้น

    จึงตั้งใจไว้ว่า "ถ้าเราพ้นจากทุกข์นี้ไปได้ เราจะบอกให้คนอื่นพ้นตาม"
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 50813.jpg
      50813.jpg
      ขนาดไฟล์:
      41.3 KB
      เปิดดู:
      10,972
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 10 มกราคม 2009
  2. pal_bh

    pal_bh เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    108
    ค่าพลัง:
    +132
    หลังจากนั้น พระองค์ทรงทำผิดทางกาย วาจา ใจบ้าง ทรงทำความดีทางกาย วาจา ใจบ้าง คือ ทำดีบ้าง ทำชั่วบ้าง ได้ไปเกิดในอัตตภาพต่างๆ ในทุคติภพ คือ เปรต สัตว์นรก อสุรกาย สัตว์ดิรัจฉาน ไปเกิดในสุขคติภาพบ้าง เป็นมนุษย์ เทวดา พรหม อรูปพรหม

    แต่ก็ไม่พบทางพ้นทุกข์ได้จริง หรือพบความสุขที่ถาวรได้ ต้องเวียนว่ายตายเกิดไปในภพน้อย ภพใหญ่ในกำเนิดต่างๆ ทั้งสุข ทั้งทุกข์

    "จนปัญญาแก่กล้าขึ้น" (ปัญญาธิกะ) พอรู้ทางบุญ ทางบาป ทางเจริญ ทางเสื่อมแห่งชีวิต อะไรคือเหตุแห่งความสุข ควรที่จะปฏิบัติ รู้ว่า อะไรคือเหตุแห่งความทุกข์ ที่ควรละ

    เมื่อรู้อย่างนี้ สัตว์ (เริ่มเป็นมหาสัตว์) ตนนี้ เริ่มพยายาม (วิริยะ) และอดทน (ขันติ) ที่จะทำความดีทุกอย่างที่ตนรู้ได้ สัมผัสได้ และละความชั่วทุกอย่างที่ตนรู้ได้สัมผัสได้
     
  3. pal_bh

    pal_bh เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    108
    ค่าพลัง:
    +132
    พูดง่ายๆ คือ เริ่มทำความดี จนเเก่กล้าขึ้นเป็นบารมี มี ทานบารมี ศีลบารมี เนกขัมมบารมี ปัญญาบารมี วิริยบารมี ขันติบารมี สัจจบารมี อธิษฐานบารมี เมตตาบารมี และอุเบกขาบารมี
     
  4. pal_bh

    pal_bh เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    108
    ค่าพลัง:
    +132
    สัตว์ตนนี้ไม่ทรงรู้หรอกว่า 'ที่ตนเองตั้งใจไว้ว่า' "ถ้าเราพ้นจากทุกข์นี้ไปได้ เราจะบอกให้คนอื่นพ้นตาม" นั้น จะเป็นปฏิปทาของมหาสัตว์ และปฏิปทานี้ ถ้าสามารถทำสำเร็จได้ จะได้เป็นศาสดา เป็นอาจารย์ เป็นครูของสัตว์โลกทั้งหลาย

    แต่เมื่อบารมีแก่กล้าขึ้นเพียงไร ก็พอจะเตือนให้สัตว์ตนนั้นรู้ได้บ้างว่า ตนเองมีปฏิปทาว่า "ถ้าเราพ้นจากทุกข์นี้ไปได้ เราจะบอกให้คนอื่นพ้นตาม"
    มากกว่า การอัศจรรย์ในความเป็นพระพุทธเจ้า (เพราะไม่ทรงรู้ว่าพระพุทธเจ้ายิ่งใหญ่เพียงไร)
     
  5. pal_bh

    pal_bh เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    108
    ค่าพลัง:
    +132
    ด้วยเหตุนี้
    สัตว์โลกทั้งหลายโดยมาก มีความปรารถนา "ความเป็นพระพุทธเจ้า" มากกว่า "การได้ช่วยสัตว์โลกให้พ้นทุกข์"

    เพราะว่า สัตว์โลกที่จะพ้นทุกข์ได้นั้น ต้องมองเห็นความทุกข์ รังเกียจความทุกข์ จึงจะนำตน และสัตว์โลกอื่นทั้งหลาย พ้นจากภพ ๓ นี้ไปได้

    ลำพังความปรารณา การได้เป็นพระพุทธเจ้า (สิ่งสมมุติ) คงไม่พอที่จะให้ให้สัตว์โลกนั้น นำตนเอง และสัตว์โลกอื่นให้พ้นทุกข์ตามได้สำเร็จ ถ้ายังไม่เห็นความทุกข์ในภพ ๓

    เพราะเหตุว่า "จิตใจทุกๆดวงของสัตว์ตนนั้น มุ่งหวังแต่การได้เป็นพระพุทธเจ้า" ไม่ได้ มุ่งหวัง "ที่จะช่วยสัตว์โลกอื่นให้พ้นภัย"
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 มกราคม 2009
  6. pal_bh

    pal_bh เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    108
    ค่าพลัง:
    +132
    สัตว์โลก ปรารถนาการได้เป็นพระพุทธเจ้านั้น มีมาก
    และจิตปรารถนาจะให้สัตว์โลกพ้นตามนั้น มีน้อย

    สัตว์โลก ปรารถนาการได้เป็นพระพุทธเจ้านั้น มีมาก
    ฉะนั้น การอุบัติขึ้นของพระพุทธเจ้า จึงมีได้โดยยาก

    สัตว์โลก ปรารถนานำสัตว์โลกทั้งหลายพ้นจากความทุกข์นั้น มีน้อย
    ฉะนั้น การอุบัติขึ้นของพระพุทธเจ้า จึงมีได้โดยยาก


    ถ้าสัตว์โลกใด ปรารถนานำสัตว์โลกทั้งหลายพ้นจากความทุกข์ มีสัจจะ มีความแน่วแน่
    การได้สำเร็จเป็นพระพุทธเจ้า ไม่ใช่จุดมุ่งหมาย ไม่ใช่ปฏิปทาของสัตว์ตนนั้น


    ถ้าสัตว์โลกใด ปรารถนานำสัตว์โลกทั้งหลายพ้นจากความทุกข์ มีสัจจะ มีความแน่วแน่
    สัตว์โลกนั้น เป็นผู้มีความปรารถนาสำเร็จ



    ไม่ประหลาดใจเลย !!! ทำไม ? พระนิพพานจึงมีเหตุ และเป็นพุทธประเพณี ให้พระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ทั้งในอดีต ปัจจุบัน และที่จะมีต่อๆ ไปในอนาคต "ทรงแสดงยมกปาฏิหาริย์"

    เพราะการอุบัติขึ้นของพระพุทธเจ้า มีได้โดยยาก

    (ถ้าเป็นพระวจนะของพระพุทธเจ้าแล้ว ตรัส ๑ ไม่มี ๒)

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 มกราคม 2009
  7. ปรมิตร

    ปรมิตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    404
    ค่าพลัง:
    +528
    สุดยอดครับ อนุโมทนาจริงๆครับ

    สาธุๆ

    ผู้ปราถนาให้ผู้อื่นพ้นไปย่อมมีความต้องการ เเม้เป็นเพียงเศษของกิเลสก็ย่อมยังเชื้อไว้ได้การพ้นทุกข์ย่อมปรากฎขึ้นโดยยาก
    (ต้องใช้ความพยายามแม้มีกำลังเพียงพอตัดกิเลสแต่ ด้วยว่าต้องนำสัตว์อื่นไปใจย่อมยังเชื้อให้เกิดอีกจนกว่าจะมีกำลังมากพอโปรดสัตว์แล้ว กิเลสที่รั้งไว้ย่อมขาดไปโดยเหตุนั้น หากปฏิญาณลาคำปวารณานั้นย่อมยังให้บรรลุธรรมได้โดยง่าย ธรรมทั้งหลายย่อมมีเหตุ หมดเหตุธรรมนั้นก็ดับ)

    ผู้ปราถนาทำตนให้ดี ขอให้ได้ตรัสรู้หรือรู้ธรรมอันลึกซึ้งย่อม มีกิเลสเพราะมีเศษความต้องการให้ตน(ยังมีตัวตนอยู่)ดี เพราะรักตนเหลือเกินความเป็นตัวตนนั้นยังคงอยู่ ย่อมประกาศมานะอัตตายิ่ง

    ดังนั้นผู้ใดเห็นตามจริง ว่ากายนี้ใจนี้เป็นทุกข์มีเมตตา ไม่ได้ปราถนา ประสงค์สิ่งใดๆ ใจย่อมละวาง เมตตาโปรดสัตว์ตามอัตภาพ ศึกษาวิถีแห่งโลกนี้และกิเลสโดยพยายามมองดู ใจย่อมรับรู้และยอมรับ หากรู้ทุกข์ย่อมต้องการออกจากทุกข์ หากรู้เห็นกิเลสย่อมกำจัดกิเลสได้ฉันนั้น

    ผมเข้าใจว่าเป็นการมองต่างมุม ถ้าจะคิดอีกเเง่
    คำว่าพระพุทธเจ้านั้นยิ่งใหญ่สุดจะบรรยาย ผูทรงคุณลำดับต่อมาก็เช่นเดียวกัน
    การปราถนาเป็นเยี่ยงพระองค์หรือนำเอาพระองค์มาเป็นแบบอย่างย่อมเป็นสิ่งดี
    แต่หากเป็นไปเพื่อประกาศอัตตาตน ความปราถนานั้นย่อมต้องย้อนมาทำร้าย มากลายเป็นเครื่องดึงรั้งผูกมัดตนให้หลุดพ้นได้โดยยาก
    (อันนี่เบาะๆ หนักก็นรกหรือพรหมโลกอันยาวนานจนลืมการสร้างบารมีไป)


    ผมคิดว่า ผู้มีปัญญารู้เหตุที่มาของการประสงค์พระโพธิญาณโดยเบื้องต้นก็ดี โดยเบื้องปลายก็ดี ย่อมยังตนให้รู้พร้อมย้อมสะสมกำลัง เรียนรู้และเข้าใจอริยสัจ เพราะถ้ายังดีแต่ไม่พอก็มิอาจหลุดพ้นได้ อันนี้ท่าผู้ตั้งความปราถนาทั้งหลายน่าจะรู้ เข้าใจและยอมรับ ว่าถ้าปราถนาให้ตนพ้นเอง แม้เจอครูดี ย่อมหลุดพ้นไม่ได้(น่าเสียดาย เพราะเกิดใหม่ก็ต้องเริ่มใหม่อีก)

    ผู้ใดปรารถนาสิ่งใดไว้ หากพิจารณาดีแล้ว ด้วยธรรมอันเป็นกลางว่าเรามิได้ทำไปเพื่อประกาศความเป็นตัวเป็นตน
    ก็จงปรารถนาและทำตามทางที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้เถิด
    ปุถุชนมิอาจละธรรมทั้งหลาย(ทั้งกุศลและอกุศล)ได้ ก็ควรยึดธรรมอันนำตนไม่ไปสู่โลกที่ชั่ว(กุศล) มีทิฐิที่ดีที่ถูกทุกชาติภพจนกว่าจะมีปัญญาละ จึงวางกุศลที่สร้างมาลงเป็นอันว่าหมดภาระแล้ว กิจที่ควรทำจบแล้ว

    อนุโมทนา ในความปราถนาดีที่เตือนผู้ปราถนาไว้ สาธุๆ
    อนุโมทนาผู้มีจิตใจตั้งมั่นทั้งหลายสาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 มกราคม 2009
  8. nuttadet

    nuttadet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    1,892
    ค่าพลัง:
    +6,454
    อนุโมทนาครับ เห็นด้วยอย่างยิ่ง แต่ถ้าเรารู้ตัวแล้วลองตั้งกำลังใจใหม่

    ยังไม่สายครับ เพราะการอยากของกิเลสนั้นไม่นานก็จะเบื่อและหมดกำลังใจที่จะเดินต่อ

    แต่ถ้าเรารู้ตัวแล้ว วางกำลังใจใหม่ เราไม่ได้ทำเพื่อตัวเรา เราทำเพื่อคนอื่น

    เมื่อนั้นเมตตาจิต จะเป็นพลังใจที่ยิ่งใหญ่หล่อเลี้ยงให้เราเดินต่อไปได้ยามท้อถอยหรือเจออุปสรรค
     
  9. pal_bh

    pal_bh เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    108
    ค่าพลัง:
    +132
    สัตว์โลก ที่มีจิตคิดพ้นทุกข์ และนำสัตว์โลกทั้งหลายพ้นทุกข์ตาม เป็นเหตุให้ได้ผังการบำเพ็ญบารมีเพื่อความเป็นพระพุทธเจ้า แล้วสำเร็จเป็นเจ้าของศาสนา เป็นพระพุทธเจ้า มีน้อย

    สัตว์โลก ทีเห็นความอัศจรรย์ของพระพุทธเจ้า แล้วตั้งความปรารถนาจะขอบำเพ็ญบารมีเพื่อเป็นพระพุทธเจ้า เป็นเหตุให้ได้ผังการบำเพ็ญบารมีเพื่อความเป็นพระพุทธเจ้า แล้วสำเร็จเป็นเจ้าของศาสนา เป็นพระพุทธเจ้า มีน้อย

    เพราะเหตุนี้เอง

    การอุบัติของพระพุทธเจ้า อันสัตว์โลก มีได้โดยยาก
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 มกราคม 2009
  10. pal_bh

    pal_bh เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    108
    ค่าพลัง:
    +132
    สัตว์โลกผู้มีจิตปรารถนาความเป็นพระพุทธเจ้าก่อน การมีจิตคิดช่วยสัตว์โลกทั้งหลายให้พ้นภัย ก็อาจมีได้ เป็นได้ เมื่อบารมีเต็มส่วนแล้ว บุญบารมีนั้นย่อมน้อมนำให้จิตใจของสัตว์นั้นปฏิบัติตามปฏิปทา ที่มหาสัตว์ทั้งหลายปฏิบัติมาก่อนแล้ว

    ถ้าหากรู้ได้ด้วยใจตนเอง ว่า "ยังไม่แน่วแน่" ก็สามารถเอาธรรมของ "สุเมธดาบส ผู้แน่ต่อผังความเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว" (นิยตโพธิสัตว์) มาเป็นเครื่องยึดเหนี่ยว เพื่อความสำเร็จได้ :-

    = การเกิดในภพใหม่และความที่สรีระแตกเป็นทุกข์ [ความหลงตายเป็นทุกข์ ชีวิตถูกย่ำยี] เราจักแสวงหานิพพานอันไม่แก่ไม่ ตาย ปลอดภัย เป็นที่ดับชาติธรรม ชราธรรม และพยาธิธรรม

    เอาละ เราพึงเป็นผู้ไม่มีความห่วงใย ไม่ต้องการ ละทิ้งกายอันเปื่อยเน่าเต็มด้วยซากศพนี้ไปเสียเถิดทางที่ใครๆ ไม่อาจจะไปได้เพราะ ไม่มีเหตุ จักมีแน่นอนเราจักแสวงหาทางนั้นเพื่อหลุดพ้นไปจากภพ เมื่อมีความเจริญ ความเสื่อมก็จำต้องปรารถนา

    เปรียบเหมือนเมื่อมี ทุกข์แม้สุขก็ย่อมมี ฉะนั้นไฟ ๓ กองมีอยู่นิพพานความดับก็จำ ต้องปรารถนา
    เปรียบเหมือนเมื่อความร้อน ความเย็นก็ย่อมมีฉะนั้น

    = ความเกิดมีอยู่ ความไม่เกิดก็จำต้องปรารถนาเปรียบเหมือนเมื่อความชั่วมีอยู่ แม้ความดีก็ย่อมมี ฉะนั้นสระน้ำอมฤตอันเป็น สถานที่ชำระกิเลสมลทินมีอยู่ แต่บุคคลผู้ต้องการจะชำระไม่แสวง หาสาระ จะโทษสระน้ำอมฤตไม่ได้

    เปรียบเหมือนบุรุษเปื้อนคูถ เห็นสระมีน้ำเต็มแล้ว ไม่ไปหาสระเอง จะโทษสระนั้นไม่ได้ฉะนั้น

    = บุคคลผู้ถูกกิเลสห้อมล้อมแล้ว เมื่อทางเกษมมีอยู่แต่ไม่แสวงหาทางนั้น จะไปโทษทางเกษมไม่ได้

    เปรียบเหมือนบุรุษถูกข้าศึกล้อมไว้ เมื่อทางสำหรับจะหนีไปมีอยู่แต่เขาไม่หนีไป จะโทษทางนั้นไม่ได้ ฉะนั้น

    = บุคคลผู้มีทุกข์ถูกพยาธิคือกิเลสเบียดเบียด ไม่ แสวงหาอาจารย์ จะโทษอาจารย์นั้นไม่ได้ เปรียบเหมือนบุรุษผู้ป่วยไข้ เมื่อหมอมีอยู่แต่ไม่ให้รักษาความป่วยไข้นั้น จะโทษหมอนั้นไม่ได้ ฉะนั้น

    [เอาละ เราพึงเป็นผู้ไม่มีความห่วงใยไม่ต้องการ ละทิ้งกายอันเปื่อยเน่าเต็มไปด้วยซากศพนี้ไปเสียเถิด] เราพึงเป็นผู้ไม่มีความห่วงใย ไม่ต้องการ ละทิ้งกายอันเปื่อยเน่าสั่งสมด้วยซากศพต่างๆ นี้ไปเสีย เปรียบเหมือนบุรุษพึงเปลื้องซากศพอันน่าเกลียดพันอยู่ที่คอออกเสีย แล้วพึงไปอยู่เป็นสุขเสรีตามลำพังตน ฉะนั้น

    = เราจักละทิ้งกายอันเต็มด้วยซากศพต่างๆ นี้ไปเสีย ดังถ่ายอุจจาระ ในส้วมแล้วไป เปรียบเหมือนบุรุษและสตรีถ่ายอุจจาระลงในส้วมเสร็จแล้วออกไป โดยไม่ห่วงใย ไม่ต้องการ ฉะนั้น เราจักละทิ้งกายอันมีช่อง ๙ แห่ง มีน้ำหนองเป็นนิตย์นี้ไปเสีย ดังเจ้าของเรือทิ้งเรือที่คร่ำคร่า เปรียบเหมือนเจ้าของเรือที่เก่าคร่ำคร่า ชำรุดน้ำชุ่ม ไปโดยไม่ห่วงใย ไม่ต้องการ ฉะนั้นเถิด เราจักละกายนี้ซึ่งเปรียบ เสมอด้วยมหาโจรไปเสีย เพราะกลัวจะชิงตัดกุศล เปรียบเหมือน บุรุษถือห่อสิ่งของไปกับพวกโจร ทิ้งโจรไปเสียเพราะเห็นภัย คือ โจรจะชิงสิ่งของ ฉะนั้น


    เมื่อพิจารณาสภาวธรรม ให้รู้และเห็นตาม "สุเมธดาบส ผู้แน่ต่อผังความเป็นพระพุทธเจ้า" และเป็นหนึ่งไว้ในใจ เชื่อแน่ว่า ความปรารถนาย่อมสำเร็จ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 มกราคม 2009
  11. pal_bh

    pal_bh เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    108
    ค่าพลัง:
    +132
    เป็นประเพณีของมหาสัตว์
    เมื่อได้รับการพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าพระองค์ใด พระองค์หนึ่ง มหาสัตว์นั้น ด้วยกำลังของบารมีที่ตนสั่งสมอบรมมา ย่อมทราบปฏิปทาของความหลุดพ้นได้เอง บารมีทั้ง ๑๐ ประการที่ทำมาจนเป็นนิสัยและสันดาน ก็จะบอกกับมหาสัตว์นั้นว่า :-

    ท่านจงยึดบารมีข้อที่ ๑ คือ "ทาน" การให้ นี้ บำเพ็ญให้มั่นก่อน
    "ท่านจงบำเพ็ญทานบารมีเถิด ถ้าท่านปรารถนาจะบรรลุโพธิญาณ ท่านเห็นยาจกทั้งชั้นต่ำ ปานกลางและชั้นสูงแล้ว จงให้ ทานอย่าให้เหลือ ดังหม้อที่เขาคว่ำไว้ เปรียบเหมือนหม้อที่เต็มด้วยน้ำ ผู้ใดผู้หนึ่งจับคว่ำลงแล้ว น้ำย่อมไหลออกหมด ไม่ขังอยู่ในหม้อนั้น"

    ท่านจงยึดบารมีข้อที่ ๒ คือ "ศีล" ความเป็นปกติของสัตว์โลก ผู้เป็นธาตุธรรมของความดี นี้ บำเพ็ญให้มั่นก่อน
    "ท่านจงบำเพ็ญศีลบารมีเถิด ถ้าท่านปรารถนาจะ บรรลุโพธิญาณ ท่านจงบำเพ็ญศีลในภูมิ ๔ ให้บริบูรณ์ จงรักษาศีล ในกาลทั้งปวง ดังจามรีรักษาขนหาง เปรียบเหมือนดังจามรีย่อมรักษาขนหางอันติดในที่ไรๆ ยอมตายในที่นั้น ไม่ยอมทำขนหางให้ เสีย ฉะนั้น"

    ท่านจงยึดบารมีข้อที่ ๓ คือ "การออกจากกาม" นี้ บำเพ็ญให้มั่นก่อน
    "ท่านจะบำเพ็ญเนกขัมมบารมีเถิด ถ้าท่าน ปรารถนาจะบรรลุโพธิญาณ ท่านจงเห็นภพทั้งปวงดังเรือนจำ ท่านจงมุ่งหน้าต่อเนกขัมมะ เพื่อหลุดพ้นไปจากภพ เปรียบเหมือนบุรุษที่ถูกขังในเรือนจำ ได้รับทุกข์มานาน ย่อมไม่ยังความยินดีให้เกิดใน เรือนจำนั้น แสวงหาความพ้นไป ฉะนั้น"
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 มกราคม 2009
  12. pal_bh

    pal_bh เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    108
    ค่าพลัง:
    +132
    ท่านจงยึดบารมีที่ ๔ คือ "ปัญญา" โลกุตตรปัญญา นี้ บำเพ็ญให้มั่นก่อน
    "ท่านจะบำเพ็ญปัญญาบารมีเถิด ถ้าท่านปรารถนาจะบรรลุโพธิญาณ ท่านได้สอบถามคนมีปัญญาตลอดกาลทั้งปวง บำเพ็ญปัญญาบารมีแล้ว จักบรรลุ สัมโพธิญาณได้ เปรียบเหมือนภิกษุ เมื่อเที่ยวภิกษา ไม่เว้นตระกูลต่ำ ปานกลางและสูงย่อมได้อาหารเครื่องเยียวยาอัตภาพ ฉะนั้น"

    ท่านจงยึดบารมีข้อที่ ๕ คือ "วิริยะ" ความเพียรพยายามที่จะทำความดีทุกอย่าง ละความชั่วทุกอย่าง ทำใจให้บริสุทธิ์ ผ่องใส นี้ บำเพ็ญให้มั่นก่อน
    "ท่านจงบำเพ็ญวิริยบารมีเถิด ถ้าท่านปรารถนาจะบรรลุโพธิญาณ ท่านประคองความเพียรให้มั่นไว้ทุกภพ บำเพ็ญวิริยบารมีแล้ว จัก บรรลุสัมโพธิญาณได้ เปรียบเหมือนสีหมฤคราช มีความเพียรไม่ ย่อหย่อนในที่นั่งที่ยืนและที่เดินประคองใจไว้ทุกเมื่อ ฉะนั้น"

    ท่านจงยึดบารมีข้อที่ ๖ คือ "ขันติ" ความอดทน นี้ บำเพ็ญให้มั่นก่อน
    "ท่านมีใจแน่วแน่ในขันตินั้น จักบรรลุสัมโพธิญาณได้ ท่านจง อดทนต่อคำยกย่องและคำดูหมิ่นทั้งปวง บำเพ็ญขันติบารมีเปรียบ เหมือนแผ่นดินอดทนสิ่งที่เขาทิ้งลงทุกอย่างทั้งสะอาดและไม่สะอาด ไม่แสดงความยินดียินร้ายฉะนั้นแล้ว จักบรรลุสัมโพธิญาณได้"

    ท่านจงยึดบารมีข้อที่ ๗ คือ "สัจจะ" ความจริงใจ นี้ บำเพ็ญให้มั่นก่อน
    "ท่านมีใจแน่วแน่ในสัจจะนั้น จักบรรลุสัมโพธิญาณได้ ดาวประกายพฤกษ์ เป็นดาวนพเคราะห์ ประจำอยู่ในมนุษย์โลกทั้งเทวโลก ไม่หลีกไป จากทางเดิน ทุกสมัยฤดูหรือปี ฉันใด แม้ท่านก็ฉันนั้น อย่าหลีก ไปจากแนวในสัจจะ บำเพ็ญสัจจบารมีแล้วจักบรรลุสัมโพธิญาณได้"
     
  13. pal_bh

    pal_bh เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    108
    ค่าพลัง:
    +132
    ท่านจงยึดบารมีข้อที่ ๘ คือ "อธิษฐาน" ความตั้งใจไว้ว่าจะทำปฏิปทานี้ นี้บำเพ็ญให้มั่นก่อน
    "ท่านไม่หวั่นในอธิษฐานบารมีนั้น จักบรรลุสัมโพธิญาณได้ ท่านจงเป็นผู้ไม่หวั่นไหวในการอธิษฐานในการทั้งปวง บำเพ็ญ อธิษฐานบารมี เปรียบเหมือนภูเขาหินไม่หวั่นไหว ตั้งมั่น ไม่ สะท้านสะเทือนเพราะลมจัด คงอยู่ในที่เดิม ฉะนั้นแล้ว จักบรรลุ สัมโพธิญาณได้"

    ท่านจงยึดบารมีข้อที่ ๙ คือ "เมตตา" ความปรารถนาให้สัตว์โลกพ้นจากความทุกข์ นี้ บำเพ็ญให้มั่นก่อน
    "ท่านจงเป็นผู้ไม่มีใครเสมอด้วยเมตตา ถ้าท่านปรารถนาจะบรรลุสัมโพธิญาณ ท่านจงเจริญเมตตาให้เสมอกัน ทั้งในสัตว์ที่มีประโยชน์ และไม่มีประโยชน์บำเพ็ญเมตตาบารมี เปรียบเหมือนน้ำย่อมแผ่ความเย็น ชำระล้างมลทินธุลี เสมอกันทั้งในคนดีและคนชั่ว ฉะนั้นแล้วจักบรรลุสัมโพธิญาณได้"

    ท่านจงยึดบารมีข้อที่ ๑๐ คือ "อุเบกขา" การปล่อยและวางใจ นี้ บำเพ็ญให้มั่นก่อน
    "ท่านเป็นผู้มีอุเบกขามั่นคงดังตราชั่ง จักบรรลุโพธิญาณได้ ท่านจงมีใจเที่ยงตรงดังตราชั่งในสุขและทุกข์ในกาลทุกเมื่อ บำเพ็ญอุเบกขาบารมีเปรียบ เหมือนแผ่นดินย่อมวางเฉย สิ่งที่เขาทิ้งลงทั้งที่ไม่สะอาดและสะอาด ทั้งสองอย่าง เว้นจากความโกรธและความยินดี ฉะนั้นแล้ว จักบรรลุสัมโพธิญาณได้"
     
  14. pal_bh

    pal_bh เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    108
    ค่าพลัง:
    +132
    ขออาราธนาพระนิพพาน ส่งผังสำเร็จแก่สัตว์ผู้ใคร่รู้ด้วยตัวเองทุกๆ ท่าน ให้เป็นผู้มีความปรารถนาสำเร็จ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 00_DayPra05.jpg
      00_DayPra05.jpg
      ขนาดไฟล์:
      38.1 KB
      เปิดดู:
      121
  15. Sriaraya5

    Sriaraya5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    3,079
    ค่าพลัง:
    +12,852
    ใน "ความว่าง" ยังมีอะะไรอีก...
    ยังเหลือ สมมติ อัตตาที่บริสุทธิ์


    [​IMG]


    นายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
    คำขวัญนายกรัฐมนตรี เนื่องในวันเด็กแห่งชาติ ประจำปี 2552

    ฉลาดคิด จิตบริสุทธิ์ จุดประกายฝัน ผูกพันรักสามัคคี
     
  16. Sriaraya5

    Sriaraya5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    3,079
    ค่าพลัง:
    +12,852
    [​IMG]

    โดยสภาวะแล้ว แม้จะลืมตาหรือหลับตา

    พุทธภาวะก็ไม่เคยบกพร่องสมบูรณ์พร้อมอยู่ด้วยสติ


    โดยมาก "อยากเป็นพระพุทธเจ้า"

    การบรรลุโพธิญาณย่อมอยู่เหนือถ้อยคำอธิบายทั้งปวง
    เป็นอิสระจากความหวังและความหวั่นไหวใดๆ
    จงได้พยายามปลดปล่อยตัวเธอเอง
    สู่สภาพอันปลอดโปร่งว่างเบาเถิด
     
  17. อภิภู

    อภิภู Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    177
    ค่าพลัง:
    +82
    อนุโมทนาสาธุครับ
    และนี่ก็เป็นการคัดแยกผู้ที่จะเป็นพระพุทธเจ้ากับผู้ที่ได้เพียงแค่ปราถนาจะเป็นพระพุทธเจ้า
     
  18. ตาเด่น

    ตาเด่น สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กันยายน 2008
    โพสต์:
    4
    ค่าพลัง:
    +1
    สาธุกับทุกท่านที่ปราถนา พุทธภูมินะครับ เพราะนั้นหมายถึงว่าท่านต้องมาเกิดอีกไม่รู้กี่อสงขัยกัปป์ผ่านบททดสอบนานับประการ ต้องมีบารมีทั้ง10ประการ เป็นปรมัตถบารมี
    ผมแค่จะเกิดมาอีกชาติก็ไม่อยากเกิดมาแล้วต้องกิน แล้วขี้อีกเท่าไหร่แค่คิดก็หมดอาลัยกับชีวิตแล้วละคราบ การเกิดนี้ไม่ขอคบกับมันอีกแล้วขอทุกท่านที่ปราถนาพุทธภูมิเร่งทำความดีนะคราบจะได้เต็มเร็วๆมาช่วยกันขนสัตว์เพื่อนทุกข์เกิดแก่เจ็บตายไปนิพาน สาธุ
     
  19. seahero

    seahero เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    335
    ค่าพลัง:
    +602
    สร้างเหตุเพื่อได้ผล เหตุครบผลเกิด แค่สรรพนามไม่มีความสำคัญ แค่พ้นโลกก็พอแล้ว
     
  20. ปรมิตร

    ปรมิตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    404
    ค่าพลัง:
    +528
    ดูก่อนท่านกัลญาณมิตรผู้เจริญ
    ดีแล้วๆเมื่อท่านรู้ว่า พระองค์เคยทำสิ่งที่มิสงควรก็ ก็ทราบว่ามิสมควร
    คนเก่งเรียนจจากประสบการณ์ตนเอง ส่วนคนฉลาดนั้นพึงเรียนรู้จากประสบการณ์ของผู้อื่น

    พึงละทิฐิมานะความถือตน วางใจเป็นกลาง ทำจิตเป็นกุศลในกัลญาณมิตรผู้หวังดีและนำเอาสิ่งดีไปปฏิบัติเถิด
    ผู้ที่อยากเป็นพระพุทธเจ้าก่อนแล้วต่อมาเห็นแท้ๆว่า ความอยากเป็นย่อมไม่ใชการดี
    มีจิตใหม่มุ่งอนุเคราะห์หมู่สัตว์ด้วยเมตตา ก็คงจะมีเช่นกัน

    เมื่อพระบรมศาสดาสำเเดงทางเเห่งความเจริญ พระองค์มิได้บังคับว่าเราต้องเป็นพระพุทธเจ้าหรือสาวก ดังนั้นหน้าที่ของผู้ได้มีโอกาสศึกษา เราทั้งหลายพึงตั้งความปราถนาว่า ขอให้ได้บรรลุธรรม ตามพระพุทธเจ้า จะเป็นอย่างหรือเป็นเยี่ยงก็ตามแต่จริตเถิด
    เหล่าหน่อพุทธางกูรแท้ๆทั้งหลายนั้น ก็คงไม่ได้มั่นหมายสำคัญว่า เราจะเป็นหรือกูจะเอา กูจะเอา
    เพราะการเป็นพุทธเจ้านั้นดี เลิศกว่าเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ได้บริหารหมู่สงฆ์ ได้แสดงธรรมอันเลิศ มีชื่อเสียงขจรไปไกล
    แต่คงมั่นหมายว่าขอเราเป็นเช่นนั้นๆ ด้วยศรัทธาและนับถือต่อพระพุทธเจ้า และเมตตาต่อหมู่สัตว์



    จากการพิจารณาความประสงค์ของเจ้าของกระทู้ ผมคิดว่ามีเจตนาว่า ขอให้ผู้ที่ปราถนาพุทธภูมิ พึงพิจารณาจริงๆ แล้วศึกษาจิตอะไรหนอเป็นเหตุให้เราปราถนาพุทธภูมิ หากเพื่อให้ตนดี ย่อมเป็นผู้อยู่ห่างจากจุดมุ่งหมายนั้นนะครับ

    ด้วยเจตนาดี
    จงนำความดีๆจากท่านเจ้าของกระทู้ไปพิจารณาใช้เถิด สาธุ
    อนุโมทนาในความดีที่จะเกิดขึ้นในอนาคตครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 มกราคม 2009

แชร์หน้านี้

Loading...