จับสึกพระตุ๊ด

ในห้อง 'ข่าวพุทธศาสนา' ตั้งกระทู้โดย สัตบุรุษ, 8 กุมภาพันธ์ 2009.

  1. สัตบุรุษ

    สัตบุรุษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    733
    ค่าพลัง:
    +840
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>จับสึกพระตุ๊ด</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>6 กุมภาพันธ์ 2552 13:48 น.
    http://www.manager.co.th/MetroLife/ViewNews.aspx?NewsID=9520000013146
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=320 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=320>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>เชื่อว่า คุณต้องเคยตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับ “พระบางรูป” พร้อมๆกับมีคำถามในใจว่า เป็นเกย์อะเปล่า !? ไม่ว่าจะส่อแสดงพฤติกรรม แสดงออกหรือไม่ก็ตาม ต้องยอมรับว่า ไม่ว่าจะเป็นยุคไหน ล้วนแต่มี กะเทย, เกย์ บวชอยู่ในพระบวรพุทธศาสนาทั้งสิ้น

    เพื่อเป็นเครื่องยืนยันตามนัยนี้ Metro Life เปิดม่านสีกลัก พาคุณไปรู้จักกับเขาและเธอ เป็นคำสารภาพจากเกย์ – กะเทยเคยบวช

    นับจากวันนี้ สำนักงานพุทธศาสนาแห่งชาติ จะเฝ้าสังเกตและติดตามจนแน่ชัด และจับสึกทันที การนำเสนอปรากฏการณ์นี้ ไม่ใช่เพื่อประจาน แต่เรากำลังจะร่วมกัน ฟอก ชำระ ขัดล้างมลทินเพื่อคืนความสะอาด สว่าง สงบให้แก่พระศาสนาให้เป็นที่มั่นของศรัทธาอีกครั้ง

    ******************

    คำสารภาพของเกย์ กะเทย เคยบวช



    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=right border=0><TBODY><TR><TD width=5>[​IMG]</TD><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=250 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=250>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>9 ปีที่แล้ว โศรดา กาพย์แก้ว เคยบวช อยู่ในร่มพระพุทธศาสนานานถึง 5 ปี ก่อนที่จะสึกมาใช้ชีวิตทางโลก และ 9 เดือนที่แล้ว เธอกั๊วะ เฉาะแล้ว !!

    สาวประเภทสองชาวขอนแก่น โศรดา กาพย์แก้ว เจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาดบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง อายุ 28 ปี เปิดเผยเรื่องราวชีวิตกับเมโทรไลฟ์ว่า เธอรู้ตัวตั้งแต่เด็กว่าเป็นกะเทย และที่บ้านก็รับรู้ แต่ใจมันใฝ่รู้ใฝ่ศึกษาด้านธรรมะ เมื่ออายุ 19 ปี จึงขอพ่อแม่ไปบวช

    “คิดว่าชีวิตทางโลกไม่ค่อยราบรื่น อยากอยู่อย่างสงบก็เลยตัดสินใจออกบวชที่วัดแห่งหนึ่งในจังหวัดเลย ตอนที่บวชยังอายุไม่ครบ 20 ปี ก็เลยได้เป็นสามเณร ตอนนั้นใช้ชีวิตตามปกติโดยที่สามเณรรูปอื่นไม่รู้หรอกว่าเราเป็นกะเทย อยู่ไปแล้วรู้สึกอิ่มเอิบใจก็เลยขอที่บ้านว่าจะบวชนานหน่อย ที่บ้านก็ยินดี เข้าปีที่ 2 ได้บวชเป็นพระ ปฏิบัติตนอย่างเคร่งครัดตามแบบพระ ผ้าเหลืองที่สวมใส่ก็ครบชุดเหมือนกับพระสมัยโบราณ ถึงขนาดตัดเย็บจีวรสวมใส่เองด้วยซ้ำ”

    “ตอนบวชมุ่งมั่นในการภาวนาศีล ไม่รับปัจจัยจากใครทั้งสิ้น แต่พอศึกษาพระธรรมวินัยก็รู้แล้วว่าเราบวชไม่ได้ เราทำผิดไปแล้วเพราะไม่รู้ว่ามีกฎห้ามเกย์, กะเทยไปบวช แต่ตอนนั้นก็ยังบวช เรารักในรสพระธรรมไง ก็เลยบวชยาวถึง 5 ปี ค่อยสึก เพราะมันสมควรแก่เวลาแล้ว”

    “จำได้ว่าพระอุปัชฌาย์เป็นผู้บวชให้ ถามเราว่าเป็นบุรุษหรือเปล่า เราก็ตอบว่าเป็นบุรุษ เป็นมนุษย์หรือเปล่า เราก็ตอบว่าเป็นมนุษย์ แต่ในใจก็นึกถึงเรื่องสมัยพุทธกาลว่ามีนาคไปขอบวช แม้ว่าจะปฏิบัติตัวเหมาะสมทุกอย่างก็ไม่ได้บวช เพราะนาคไม่ใช่มนุษย์และไม่สมบูรณ์ทางเพศ เราก็คล้ายกับนาคตรงที่มีความไม่สมบูรณ์ทางเพศ ขอบวชก็เท่ากับไปโกหกพระว่าเป็นผู้ชาย มันผิดวินัยและบาปก็จะติดตัวเราไปตลอด”

    “เคยคิดว่าเป็นไปได้ไหมที่เราจะเป็นผู้ชายเต็มตัวแล้วกลับไปบวชอีก แต่มันเป็นไปไม่ได้ก็เลยกลับมาใช้ชีวิตทางโลก กลับมาใช้ชีวิตแบบฆราวาส แรกๆ ก็ยังไม่ชิน กินข้าวเย็นไม่เป็น พูดคำหยาบไม่เป็น ด่าใครก็ไม่เป็น ใช้เวลาปรับตัวพอสมควรก็รู้ด้วยตัวเองว่า กรรมฐานก็เหมือนแบตเตอรี ถ้าไม่ทำก็อ่อนกำลังลง อยู่ทางโลก ใช้ชีวิตทางโลกก็รู้ความต้องการของตัวเองมากขึ้น แล้วก็ไปผ่าตัดแปลงเพศเมื่อ 9 เดือนที่แล้ว”

    “ศาสนาเป็นสถาบันอย่างหนึ่ง คนที่ทำตัวไม่เหมาะสมไม่ควรบวช สมัยนี้เห็นข่าวมีคนเอาจีวรไปตัดเป็นเกาะอก อยากจะบอกว่าอย่าอยู่สร้างบาปกรรมให้ตัวเองเลย ถ้าอยากปฏิบัติธรรม พระพุทธศาสนาไม่ได้ห้ามปฏิบัติธรรมเสียหน่อย ไปที่สำนักปฏิบัติธรรมก็ได้ หรือนั่งสมาธิภาวนาที่บ้านยังทำได้เลย แต่เราต้องปฏิบัติธรรมให้เหมาะสมกับสภาวะเพศของตัวเอง และสร้างกรรมดีไปด้วย”

    เพื่อเป็นกรณีศึกษา นอกเหนือจากสาวประเภท 2 แล้วยังมี “เกย์” และเชื่อว่า พระหลายรูปก็อาจจะอยู่ในภาวะเดียวกับเขาคนนี้ ...นิกร อาทิตย์ ประธานองค์การบางกอกเรนโบว์ เผยประสบการณ์ชีวิตและความคิดที่มีต่อการบวชของกลุ่มเกย์ไว้ว่า



    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=left border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=150 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=150>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD width=5>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>“ผมบวช 4 เดือน ตอนอายุ 30 ปี ที่บวชเพราะตอนอายุ 20 ไม่ได้บวช และอยากตอบแทนคุณพ่อแม่ บวชโดยไม่ได้คิดว่าตัวเองจะบวชไม่ได้เพราะคำว่า บัณเฑาะก์ คำนี้ไม่ได้หมายความว่า ต้องมีจิตใจแบบชายรักชายแล้วบวชไม่ได้ ความหมายมันกว้างกว่านั้น ถ้าดูจากพระไตรปิฎก ความหมายหนึ่งหมายถึงคนที่มีอวัยวะเพศทั้งชายและหญิงในคนคนเดียวกัน ซึ่งผมมองข้ามจุดนี้ไป หรือคนประเภทที่ชอบสะสมวิดีโอโป๊ แอบดูคนอื่นมีเพศสัมพันธ์กันก็จัดว่าเป็นบัณเฑาะก์อีกประเภทหนึ่ง”

    “ขณะที่บวชผมก็ปฏิบัติตามจริยวัตรสงฆ์ตามปกติ หลังจากบวชไปสักพักมีพระรุ่นน้องรูปหนึ่งเข้ามาในระหว่างพรรษา ดูรู้เลยว่าเป็นเกย์เหมือนเรา รู้มาว่าเป็นลูกมัคนายกที่มีประวัติไม่ดีด้วย ก็คิดว่าคงอยู่ไม่นานหรอก ยิ่งในช่วง 4 เดือนแรก มีเพื่อนกะเทยผมยาวมาเฮฮาที่วัดบ่อยๆ อีก แต่ผ่านไป 10 ปี ก็ยังเป็นพระอยู่เลย มุ่งมั่นในการศึกษาธรรม ไม่ใช้เครื่องหอม ทำวัตร กวาดลานวัด ปฏิบัติตามกิจของสงฆ์อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง และไม่มีเรื่องเสียหายสักนิด จนเจ้าอาวาสแต่งตั้งให้เป็นเลขาฯ คอยนัดหมายเกี่ยวกับกิจนิมนต์และดูแลเรื่องจิปาถะ ทำให้เราชื่นชมและศรัทธาในการที่ท่านปฏิบัติตัวดี”

    “พระที่ทำให้เสื่อมเสียมีเพียงส่วนน้อยแต่สะดุดตาคนส่วนใหญ่ สังคมต้องช่วยกันเป็นหูเป็นตา ถ้าเจอเรื่องที่ไม่เหมาะสมก็ต้องแจ้งเจ้าอาวาส พฤติกรรมบางอย่างเป็นพฤติกรรมเฉพาะตัว เช่น ถ้ากะเทยที่ห่มผ้าเหลืองร้องกรี๊ดกร๊าดวี้ดว้าย ไม่ได้สร้างความเดือดร้อนให้ใครก็จริง แต่มันไม่เหมาะสม หรือการที่พระที่นำเรื่องไสยศาสตร์มาหลอกลวงชาวบ้านยังมีให้เห็นมากกว่าอีก แต่มันไม่ได้เป็นภาพลักษณ์เท่ากับการแต่งตัว การแสดงออกที่ไม่เหมาะสมของกะเทยก็เลยสร้างความเดือดร้อนให้สังคมมากกว่า เป็นเรื่องของคนกลุ่มเล็กแต่ถูกยกมาเป็นเรื่องใหญ่ เพราะฉะนั้นคนที่รู้ว่าไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ บวชแล้วจะทำให้พระและศาสนาเสื่อมเสียก็อย่าบวชดีกว่า เรื่องจะได้ไม่เกิด”

    “สรุปแล้วผมคิดว่ากะเทยไม่ควรบวช เพราะว่ากะเทยมีรูปลักษณ์เหมือนผู้หญิง บางคนมีหน้าอก บวชแล้วสังคมมองไม่ดีแน่ๆ ส่วนเกย์รูปลักษณ์เป็นชาย เป็นเรื่องของจิตใจที่มีความรักความชอบในผู้ชายด้วยกัน ดังนั้น เกย์ควรจะบวชได้ ปฏิบัติตัวให้เหมาะสมกับการเป็นพระได้ รู้ตัวว่าอยู่ในฐานะสงฆ์ ห่มผ้าเหลือง ก็รู้ตัวว่าที่เราบวช เรากำลังส่งบุญกุศลให้พ่อแม่ การที่เกิดมาเป็นแบบนี้เพราะเรามีบาปติดตัว ไปบวชก็เหมือนได้ชำระบาป”

    *******************

    พระตุ๊ดเณรแต๋ว อคติทางเพศ !?



    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=right border=0><TBODY><TR><TD width=5>[​IMG]</TD><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=250 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=250>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>วิทยา แสงอรุณ คอลัมนิสต์ Hiding No More (เลิกแอบเสียที) ใน Metro Life เห็นว่า เกย์หรือกะเทยจะบวชได้นั้น แค่มีพฤติกรรมดี ปฏิบัติตัวเหมาะสมตามวินัยสงฆ์ เป็นใครก็บวชได้

    “บวชได้หรือไม่ได้ขึ้นอยู่กับการตีความหมายตามยุคสมัย คนที่บวชเป็นพระถือว่าไม่มีเพศนะ แล้วก็ไม่ได้มีเรื่องเพศสัมพันธ์มาเกี่ยวข้องอยู่แล้ว”

    “เกย์, กะเทยมีอยู่ในทุกวงการ แต่เรื่องกะเทยที่บวชพระแล้วผิดวินัยด้านการแต่งตัวหรือความประพฤติเป็นแค่คนส่วนน้อยที่กลายเป็นประเด็นข่าวที่สร้างสีสันและใส่อารมณ์มากเกินไป กะเทยที่แสดงพฤติกรรมรักสวยรักงาม โกนศีรษะ กันคิ้ว นั่นหมายความว่าคุณไม่ได้ตั้งใจศึกษาและเข้าถึงพระธรรมอย่างแท้จริง สมมติว่าจะบวชแค่ 7 วัน แต่อดกันคิ้วไม่ได้ ก็อย่าบวชดีกว่า”

    “พระที่ใช้ยาเสพติดก็มี พระที่หลอกเงินจากชาวบ้านก็มี ข่าวที่แพร่ออกมาทำให้คนตกใจกับเรื่องกะเทยมาก และส่งผลกระทบต่อสังคมโดยรวม ผมคิดว่าคนที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมไม่ควรบวชอยู่แล้ว แต่ที่ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งคือวิธีการนำเสนอข่าว ไม่อยากให้ใช้คำว่า พระตุ๊ดเณรแต๋ว เลย เพราะมันไม่ยุติธรรม และเหมือนเป็นการตีตรา เหยียดหยามคนที่เป็นเกย์ ทำให้เกิดอคติทางเพศ”

    “ดูข่าวแล้วคนก็จะเกลียดเกย์, กะเทยมากขึ้น หรือแม้แต่ในกลุ่มเกย์เองก็จะชิงชังกันมากขึ้น คนทำดีหมดกำลังใจในการทำดี เป็นการกระทำที่ไม่มีเหตุผลรองรับ เพราะฉะนั้นควรมีคนมองภาพรวม ช่วยกันแก้ไขปัญหา ช่วยทำให้สังคมดีขึ้น ไม่ใช่ให้ใครมาทำให้เกิดความรู้สึกว่าเกย์, กะเทยไม่ดี ทำให้คนทั่วไปคิดว่า เอ๊ะ !! ถ้าพระเป็นเกย์ เป็นกะเทย ฉันจะใส่บาตรดีไหม ดังนั้น เกย์, กะเทยเองก็ควรอธิบายให้คนรอบข้างเข้าใจมากขึ้นด้วย อย่าให้ใครมาพูดคนเดียว แล้วทำให้หมดกำลังใจในการทำความดี ที่สำคัญคนที่ทำงานราชการ ดูแลด้านวัฒนธรรมก็ไม่ควรแก้ปัญหาตามกระแส”



    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=320 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=320>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>อีกมุมหนึ่ง สำหรับนที ธีระโรจนพงษ์ ผู้ปลุกกระแส “พระตุ๊ด เณรแต๋ว” ยอมรับว่า ชื่อเสียงทำให้การทำงานง่ายขึ้น !?

    “ถ้าทำแล้วมีชื่อเสียงก็เป็นเรื่องดี เพราะการมีชื่อเสียงทำงานทำประโยชน์ได้มากขึ้น ...ความอยากดังไม่ใช่เป็นสิ่งที่พี่รู้สึกซีเรียสอะไร เมื่อก่อนเวลาพูด ...เหนื่อยมาก แต่เดี๋ยวนี้พูดนิดหนึ่งสื่อให้ความสนใจ ทำงานง่ายขึ้นแน่นอน ไม่ว่าคนดีจะเป็นใคร ต้องให้พื้นที่เขาเยอะๆ ให้เขามีชื่อเสียง จะได้มีโอกาส” นที ธีระโรจนพงษ์ .... กล่าวกับ Metro Life

    ก่อนจะถึงเรื่อง “พระตุ๊ดเณรแต๋ว” นที ธีระโรจนพงษ์ เคยปลุกกระแสเรื่อง สด.43, เกย์ไม่ได้รับการคุ้มครองในการประกันชีวิต, กาชาดไม่รับเลือดบริจาคเกย์ จนถึงรัฐธรรมนูญมาตรา 30 เรื่องความเสมอภาค

    “คือจริงๆ แล้ว เราไม่ได้อยากต่อต้านพระประเภทนี้ อย่างผู้ชายแท้ๆที่ชอบผู้หญิงเข้าไปบวชพระแล้วยังต้องตัดขาดเรื่องทางโลกเลย มีความเรียบ เงียบ สงบ พระตุ๊ดก็เหมือนกัน เมื่อบวชเข้าไปแล้วเป็นผู้อยู่ในผ้ากาสาวพัสตร์ ก็ต้องตัดเรื่องทางโลกในการชอบผู้ชายออกไป มันก็เท่าเทียม ไม่มีปัญหา ไม่มีคำถาม พนมมือไหว้ได้ทั้งสิ้น ทางศาสนาเองก็ให้พื้นที่ตรงนี้อยู่แล้ว แต่บางอย่างเช่นกรณีแต่งตัวแบบนี้ เป็นอะไรที่ขัดหูขัดตาประชาชนไม่เหมาะกับสมณเพศ”

    นที บอกว่า “ตุ๊เจ้า” ทางเหนือ เวลานี้ กลายเป็น “ตุ๊เจ้” เมืองเชียงใหม่ย่านประตูท่าแพคึกคักด้วยเสียงวี้ดว้ายกระตู้ฮู้ของกลุ่มเณรแต๋ว รวมไปถึงการเยื้องย้าย กรุยกรายเข้าไปร้านเสริมสวย ต่อขนตา และเข้าคอร์สฉีดโบท็อกซ์ ทำหน้าเด้ง ในสถานบริการความงาม ไปจนถึงการโมดิฟลาย ดัดแปลงเครื่องแต่งกาย เอาอังสะมาห่มเป็นเกาะอก รัดประคดคาดเอวมาเป็นสายโอบิคาดทับ ประหนึ่งว่าตัวเองกำลังสวมชุดกิโมโน พระ – เณรรูปไหนชาตินิยมหน่อยก็ดัดแปลงเป็นห่มสไบเฉียงแทน



    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=350 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=350>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>ส่วนย่ามสีชมพู ที่กระโดดโดดเด่นนั้น นทีบอกว่าไม่เท่าไหร่

    “บางทีเรื่องย่ามมันไม่ใช่เรื่องที่ต้องไปว่ากันเท่าไหร่ เนื่องจากญาติโยมถวายมาก็ใช้ไป แต่การทาริมฝีปากเป็นสีชมพูระเรื่อ ต่อให้คนทั่วๆไปก็รู้เลยว่าสีนี้ไม่ใช่สีปากคนปกติ ไหนจะเขียนคิ้วอีกล่ะ บางคนเห็นภาพพวกนี้แล้วทนไม่ได้ บอกว่า อยากจะเข้าไปกระทืบ หรือฟาดด้วยไม้หน้าสามก็มีนะ” นทีเอ่ยยกตัวอย่างที่มีคนสะท้อนความไม่พอใจ โกรธผ่านไปยังองค์กรที่เขารับผิดชอบอยู่

    “ถ้าผู้ชายทั่วไปทำไม่ดี ก็แค่โดนมองว่าไม่ดี แต่ถ้าเกย์ทำไม่ดีจะถูกเหมาว่าไอ้พวกเกย์นี่มันไม่ดี ขนาดอยู่ในศาสนายังทำตัวดีไม่ได้ คนมองเราในด้านอคติมากขึ้น บางคนบอกว่าให้คนอื่นออกมาพูดดีกว่าไหม แต่เราว่าเราติกันเองไม่ดีกว่าหรือ จะช่วยกันได้ไหม และสิ่งที่เราทำก็คือป่าวประกาศว่ามีความย่อหย่อนทางพฤติกรรมของผู้ดูแลกฎ ระเบียบต่างๆ ว่าทำอะไรกันอยู่ ถ้าฝรั่งอยากจะไปดูอะไรที่อันซีนต้องไปดูพระตุ๊ดเณรแต๋วเดินพาเหรดที่เชียงใหม่กันให้เพ่นพ่านหรือ ก็เลยทำเรื่องชี้แจงร้องเรียนไปที่มหาเถรสมาคม เพราะว่าสังคมไม่ผ่อนปรนให้อีกแล้ว” นที ธีระโรจนพงษ์ กล่าวสรุปกับ Metro Life

    ******************

    ปุริโสสิ - อามะ ภันเต !?



    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=right border=0><TBODY><TR><TD width=5>[​IMG]</TD><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=220 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=220>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>ในมุมมองของอาจารย์สามารถ มังสัง นักวิชาการผู้เชี่ยวชาญด้านศาสนาและวรรณกรรมจากประเทศอินเดีย ยืนยันว่า พระที่เป็นเกย์ ถึงจะบวชก็ไม่นับว่าเป็นพระ เนื่องจากขาดคุณสมบัติ คือ ไม่เป็นผู้ชาย !! คนในสมัยโบราณ กุลบุตร (ผู้ชาย) ที่จะบวช ต้องใช้ชีวิตอยู่ในวัด 2-3 เดือนกับเจ้าอาวาส ผู้จะบวชจะต้องถือศีล 8 (ไม่กินข้าวเย็น) หรือศีล 5 ( อย่างน้อย) ทั้งนี้เพื่อดูพฤติกรรม ป้องกันไว้เพื่อมิให้จับสึกขณะพิธีบวช

    พุทธศาสนาใช้ศัพท์อยู่ 2 คำคือ “บัณเฑาะก์” หมายถึง กะเทยเทียม หรือ คนเพศเดียว แต่มีพฤติกรรมตรงข้ามกับเพศของตัวเอง และอีกคำหนึ่งคือ “อุภโตพยัญชนก” หมายถึงกะเทยแท้คือ มี 2 เพศอยู่ในคนเดียวกัน

    ในพิธีบวช จะมีการถาม “อันตรายิกธรรม” ใน “ธรรมวินัย” กำหนดให้สอนซ้อม ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง แล้วจึงถามอันตรายิกธรรมในท่ามกลางสงฆ์ อันตรายิกธรรมมีทั้งหมด 13 ข้อ ข้อหนึ่งที่ต้องยืนยันความเป็น “ผู้ชาย” คือ ปุริโสสิ (หมายถึง เธอเป็นผู้ชายใช่ไหม) ผู้บวชใหม่ต้องกล่าวตอบว่า - อามะ ภันเต (ใช่ครับ)

    ปุริโสสิ กินความหมายถึง 1. ร่างกายเป็นผู้ชาย 2. ความรู้สึก นึกคิด และพฤติกรรมเป็นผู้ชาย

    “ ฉันทานุมัติของหมู่สงฆ์ต้อง 100 เปอร์เซ็นต์ ไม่ใช่เสียงส่วนใหญ่ คัดค้านองค์ใดองค์หนึ่งก็บวชไม่ได้”

    “ ผมเสนอหลักป้องกันง่ายๆ คือ หนึ่ง เราคงมีการสำรวจจำนวนพระสงฆ์ในประเทศไทยว่า แต่ละวัดมีจำนวนเท่าไหร่ พระแต่ละวัดใครเป็นพระอุปัชฌาย์ ที่ต้องชัดเจนตรงนี้ เพราะเมื่อเกิดพฤติกรรมที่ผิดเพี้ยนไป พระอุปัชฌาย์ต้องรับผิดชอบ สมัยนี้ อยู่ที่นี่แต่ไปบวชอยู่โน่น หรือไปอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ ตามหลักแล้ว อยู่ที่ไหน ต้องบวชที่นั่น ต้องอยู่กับที่นานถึง 5 ปี ทุกวันนี้พระอุปัชฌาย์ทำหน้าที่เหมือนคนรับจ้างบวชให้”

    “พระอุปัชฌาย์ต้องมีหน้าที่ในการกล่าวตักเตือน ติเตียน หรือถ้ามีความผิดชัดเจนก็ต้องจับสึก ถ้าไม่ยอมจัดการพระอุปัชฌาย์ก็ต้องมีความผิดทางด้านกฎหมายปกครองสงฆ์”



    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=350 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=350>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>บัณเฑาะก์ เกย์ ตุ๊ด ส่วนใหญ่จะเกิดกับวัด – เจ้าอาวาสย่อหย่อนในทางวินัยปฏิบัติ ตลอดจนถึงสมภารที่เกรงใจคนที่เอาเด็กมาฝาก หรือสมภารที่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว จะมาบอกว่า “ไม่รู้ ดูไม่ออก” เป็นไปไม่ได้

    “ กะเทยถูกห้ามบวช แต่ทำความดีอย่างอื่นได้ โดยที่พุทธศาสนาไม่ได้ห้าม เช่น ทำบุญ ถือศีลได้ ทำดีอย่างอื่นได้ จะถือศีล 5 ศีล 8 ได้ทั้งนั้น เพราะถ้าบวชแล้วทำให้คณะสงฆ์ไม่เป็นที่ตั้งของศรัทธา เกิดความรังเกียจด้วยข้อบกพร่องจากสงฆ์รูปอื่น ไม่ลงอุโบสถ เกิดสังฆเภท แตกแยกก็จะเป็นบาปมากกว่าบุญ ศาสนาพุทธไม่ได้ห้ามเฉพาะเกย์ กะเทย แม้แต่คนพิการ, คนที่เป็นโรคติดต่อก็มีบัญญัติห้ามไว้ในธรรมวินัย เพราะบวชแล้วไม่เป็นที่ตั้งของศรัทธา คนที่อยู่ในคณะสงฆ์ต้องมีภาวะสมบูรณ์เป็นที่ตั้งของคนที่มาทำบุญ” อาจารย์สามารถกล่าวกับ Metro Life

    “เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องของการกีดกัน แต่มันเป็นเรื่องวินัยสงฆ์ที่พระพุทธเจ้าบัญญัติ ถึงไม่มีมหาเถรสมาคมก็ต้องทำแบบนี้ เรื่องนี้ไม่ใช่กฎหมาย” อาจารย์ มังสัง กล่าวสรุป

    *********************

    ต้องสึกภายใน 24 ชั่วโมง



    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=370 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=370>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>อำนาจ บัวศิริ ผู้อํานวยการสํานักเลขาธิการมหาเถรสมาคม สังกัดสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ตอบคำถามคำต่อคำกับ Metro Life ต่อกรณีดังกล่าว

    ขั้นตอนการลงโทษพระที่ผิดพระธรรมวินัยในกรณีทั่วๆ ไปเป็นอย่างไร

    ในกรณีทั่วๆ ไปถ้าพบว่าพระทำผิดจะต้องมีผู้กล่าวโทษยื่นหลักฐานมา คณะกรรมการคณะสงฆ์รับเรื่องพิจารณาแล้วตั้งคณะกรรมการตรวจสอบ นี่เป็นของฝ่ายสงฆ์นะครับ ฆราวาสไม่เกี่ยว ดูว่ามีการกระทำผิดตามพระธรรมวินัยจริงไหม มีกระบวนการสอบทั้งผู้ร้องเรียน ผู้เสียหาย จำเลย พยาน ถ้าพบว่ามีความผิดจริงก็จะลงโทษตามขั้นตอน ลำดับโทษหนักเบาก็ว่ากันไป เป็นลักษณะคล้ายๆ กับกระบวนพิจารณาในศาลนั่นแหละ

    ฆราวาสก็มีสิทธิ์แจ้งกล่าวโทษได้ นำหลักฐานมาแจ้งที่สำนักงานพุทธศาสนาแห่งชาติ หรือ แจ้งที่เจ้าคณะผู้ปกครองก็ได้ เช่น พบความผิดภายในวัดก็แจ้งเจ้าอาวาส ถ้าเป็นในระดับเจ้าอาวาสก็แจ้งเจ้าคณะตำบล เป็นตามลำดับขั้นไป ถ้าคิดว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม เป็นพวกเป็นพ้องกันก็ร้องเรียนในระดับที่สูงขึ้นไป สิ่งเหล่านี้ถ้าไม่ทราบก็สามารถมาปรึกษาสำนักงานพุทธฯได้ว่าจะร้องในระดับไหน เป็นอย่างไร เราก็จะให้ความร่วมมือช่วยเหลือดูแลตรงนี้

    สถิติการทำผิดของพระสงฆ์มีจำนวนมากน้อยแค่ไหน

    ในปี 2551 มีอยู่ 305 ราย ถ้าเทียบกับจำนวนพระสงฆ์ทั่วประเทศมันก็คงไม่มากไม่ถึง 1% แต่จำนวนมากขึ้นกว่าปีก่อน ปี 2550 แค่ 280 รายเท่านั้น

    กรณีพระตุ๊ดจะมีกระบวนการ ขั้นตอนอย่างไร

    ต้องมีรูปถ่าย เฝ้าสังเกตและติดตามจนแน่ชัด เรื่องนี้ต้องดูที่พยานหลักฐานว่าท่านทำจริงหรือเปล่า ถ้ามันผิดถึงกับขั้นปาราชิก ล่วงละเมิดทางเพศอะไรแบบนี้ ก็จำเป็นต้องสึกอย่างเดียว แต่ถ้ายังไม่ได้แสดงออกอะไร ยังไม่มีหลักฐานอะไรชัดเจนก็ต้องคอยดูพฤติกรรม แต่ถ้าพฤติกรรมไม่ได้ผิดพระธรรมวินัย แต่สังคมยอมรับไม่ได้ สังคมกล่าวร้ายว่าโทษก็อย่าดีกว่า เมื่ออยู่ก็ไม่มีความสบายใจ แล้วก็ทำให้ศาสนาเสื่อมด้วย ทางเจ้าอาวาสหรือพระอุปัชฌาย์คอยโอ้โลมปฏิโลมว่าให้สึกเสียดีกว่า ซึ่งก็มีหลายรายยอมสึก

    ถ้ามีความผิด ไม่ยอมสึกได้มั้ย

    กฎหมายจะมีข้อบังคับไว้ ในพระราชบัญญัติอยู่แล้ว ถ้าผู้ใดกระทำผิดต้องสึกภายใน 24 ชั่วโมง ผู้ใดไม่ยอมถูกจับสึกต้องเข้าคุก โทษฐานละเมิดพระราชบัญญัติ ตรงนี้กฎหมายจะออกมาบังคับในเชิงอาญา

    อาจจะมีพระที่เข้าข่าย ‘บัณเฑาะก์’ ด้านพฤติกรรมไม่ได้แสดงออกมากขนาดที่เป็นข่าว แต่พอสังเกตเห็นได้ว่า “เป็น” และพระบางรูปยังเป็นที่ศรัทธาของพุทธศานิกชน เรื่องนี้จะจัดการอย่างไร

    ถ้าไม่ได้ผิดพระธรรมวินัยชัดเจน กำชับกำชาในเบื้องต้น และมีความพยายามที่จะเก็บอาการ พยายามเก็บตัวไม่ให้หัวใจมันเตลิดออกไปในทางที่ไม่เหมาะสม เราก็จะให้โอกาส แต่ถ้าไปไม่ไหวเราก็จะพูดคุยว่า “สึกเถอะ” เพราะชาวบ้านเขานินทา มันไม่เหมาะสม ทำให้พุทธศาสนาเสียหาย คือเราจะใช้วิธีพูดจากันในเบื้องต้น

    ในเรื่องนี้ต้องถือเป็นความผิดของพระอุปัชฌาย์ด้วยหรือไม่

    ถูกต้องครับ ก็ต้องกล่าวโทษกันว่า ผิดระดับไหนอย่างไร สอบสวนกัน เจ้าคณะตามลำดับก็จะว่ากล่าวตักเตือน ผิดจรรยา ถ้าทำผิดบ่อยๆ ละเลยบ่อยๆ ก็ถอดถอนจากพระอุปัชฌาย์ได้ คือพระอุปัชฌาย์ต้องมีการสอบ และเข้ารับการอบรม และมีใบรับรองเป็นพระอุปัชฌาย์

    ความผิดทางวินัยสงฆ์กับกฎหมายคณะสงฆ์ต่างกันอย่างไร

    พระธรรมวินัยอาจจะพูดในเรื่องความประพฤติในเชิงอนาจารของพระ ส่วนพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ มีอำนาจในเชิงกฎหมายมารองรับในแต่ละเรื่อง เหมือนข้าราชการมีกฎหมายข้าราชการพลเรือนรองรับ เป็นพระภิกษุสงฆ์ก็จะมีกฎหมายรองรับสถานภาพการเป็นพระ พระธรรมวินัยเป็นเพียงกฎระเบียบที่มารองรับการประพฤติปฏิบัติของพระในบางเรื่อง ไม่ใช่กฎหมาย พระธรรมวินัยเป็นเครื่องหล่อหลอมจิตใจ จะไปได้ไกลแค่ไหนเป็นเรื่องของพระแต่ละรูป

    การมาบวชมาจากพื้นฐานเป็นจิตสำนึกที่ต้องการลด - ละ - เลิกกิเลส ถ้าบวชแล้วอยู่ไม่ไหวก็อย่าฝืนอยู่ กฎหมายเป็นเครื่องบังคับคนทำไม่ดี ถ้าคนยังดีอยู่กฎหมายก็ไม่มีความหมาย ถ้าเข้ามาอยู่ในคณะสงฆ์แล้วทำถูกต้องปฏิบัติตามหลักพระธรรมวินัย กฎหมายแทบไม่มีความหมาย จะมาลงโทษ จับสึก อะไรก็ไม่ได้


    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  2. สัตบุรุษ

    สัตบุรุษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    733
    ค่าพลัง:
    +840
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>มองพระผ่านพระ
    2 ทรรศนะจาก 2 พระนักเทศน์แห่งยุค

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=370 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=370>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  3. nattdanai

    nattdanai สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    5
    ค่าพลัง:
    +0
    เฮ้อออออออออ....
     
  4. เลือดเย็น

    เลือดเย็น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กันยายน 2007
    โพสต์:
    568
    ค่าพลัง:
    +262
    ผมบวช 4 เดือน ตอนอายุ 30 ปี ที่บวชเพราะตอนอายุ 20 ไม่ได้บวช และอยากตอบแทนคุณพ่อแม่ ถ้าเพื่อตอบแทนคุณพ่อแม่ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรนะคะ
     
  5. Phanudet

    Phanudet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    8,434
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +15,646
    เรื่องห้ามบัณเฑาะก์และอุภโตพยัญชนกมิให้อุปสมบท

    [๑๒๕] ก็โดยสมัยนั้นแล บัณเฑาะก์คนหนึ่งบวชในสำนักภิกษุ. เธอเข้าไปหาภิกษุหนุ่มๆ แล้วพูดชวนอย่างนี้ว่า มาเถิดท่านทั้งหลาย จงประทุษร้ายข้าพเจ้า. ภิกษุทั้งหลายพูดรุกรานว่า เจ้าบัณเฑาะก์จงฉิบหาย เจ้าบัณเฑาะก์จงพินาศ จะประโยชน์อะไรด้วยเจ้า.

    เธอถูกพวกภิกษุพูดรุกราน จึงเข้าไปหาพวกสามเณรโค่งผู้มีร่างล่ำสัน แล้วพูดชวนอย่างนี้ว่า มาเถิดท่านทั้งหลาย จงประทุษร้ายข้าพเจ้า. พวกสามเณรพูดรุกรานว่า เจ้าบัณเฑาะก์จงฉิบหาย เจ้าบัณเฑาะก์จงพินาศ จะประโยชน์อะไรด้วยเจ้า.

    เธอถูกพวกสามเณรพูดรุกราน จึงเข้าไปหาพวกคนเลี้ยงช้างคนเลี้ยงม้า แล้วพูดอย่างนี้ว่า มาเถิดท่านทั้งหลาย จงประทุษร้ายข้าพเจ้า. พวกคนเลี้ยงช้าง พวกคนเลี้ยงม้า ประทุษร้ายแล้วจึงเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า พระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตรเหล่านี้เป็นบัณเฑาะก์ บรรดาพวกสมณะเหล่านี้ แม้พวกใดที่มิใช่บัณเฑาะก์ แม้พวกนั้นก็ประทุษร้ายบัณเฑาะก์ เมื่อเป็นเช่นนี้ พระสมณะเหล่านี้ก็ล้วนแต่ไม่ใช่เป็นผู้ประพฤติพรหมจรรย์. ภิกษุทั้งหลายได้ยินพวกคนเลี้ยงช้าง พวกคนเลี้ยงม้า พากันเพ่งโทษ ติเตียนโพนทะนาอยู่ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.

    พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนุปสัมบัน คือ บัณเฑาะก์ภิกษุไม่พึงให้อุปสมบท ที่อุปสมบทแล้วต้องให้สึกเสีย.

    [๑๓๒] ก็โดยสมัยนั้นแล อุภโตพยัญชนกคนหนึ่งได้บวชในสำนักภิกษุ. เธอเสพเมถุนธรรมในสตรีทั้งหลาย ด้วยปุริสนิมิตของตนบ้าง ให้บุรุษอื่นเสพเมถุนธรรมในอิตถีนิมิต
    ของตนบ้าง. ภิกษุทั้งหลายจึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุ
    ทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนุปสัมบัน คือ อุภโตพยัญชนก ภิกษุไม่พึงให้อุปสมบทที่อุปสมบทแล้วต้องให้สึกเสีย.

    จาก พระไตรปิฎก เล่มที่ 4 พระวินัยปิฎก เล่มที่ 4 มหาวรรค ภาค 1

    เยอะจริงๆนะครับ.....ทางเหนือนี่เห็นได้เป็นว่าเล่นเลย.....บางครั้งเป็นพระที่มีตำแหน่งด้วยนะ....ผมว่าปราบยาก......มันเป็นมานานแล้วหละ.....จะหาของจริงมาบวชก็ไม่ค่อยมี....บางที่น่าเห็นใจทางชนบท.....เขาเห็นก็ติเตือนก็จริง....แต่ถ้าให้สึกก็ไม่มีพระอยู่วัดอีกหนะ....เพราะเป็นถึงเจ้าอาวาท....ทำให้เณร....หรือพระที่เป็นผู้ชาย..จริงๆไม่กล้ามาอยู่ด้วยก็มีนะครับ.......ยังไงมหาเถรสมาคมน่าจะจัดการเรื่องนี้ให้เด็ดขาด.....และพวกเราต้องช่วยกันเป็นหูเป็นตา......ไม่ต้องรอให้มีเจ้าทุกข์หลอกครับ....พระผู้บวชให้น่าจะต้องรับผิดชอบในด้านนี้ด้วย.......เพื่อพระศาสนาจะได้บริสุทธิ....เพราะพระพุทธศาสนาจะล่มลงได้ก็เพราะพุทธบริษัท 4....เรานี่เอง...
     
  6. เจ้าสัว

    เจ้าสัว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    522
    ค่าพลัง:
    +353
    เหนื่อยใจจริง
     
  7. กิตติ_เจน

    กิตติ_เจน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    1,657
    ค่าพลัง:
    +1,281
    ต้องช่วยกันสอดส่องดูแลเพื่อศาสนาของเราทุกคน
     
  8. ขันติธรรม

    ขันติธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มกราคม 2009
    โพสต์:
    545
    ค่าพลัง:
    +372
    อนุโมทนา สาธุ
    กับผู้ที่มีส่วนร่วมในการดูแลพระศาสนาให้บริสุทธิ์และหยั่งยืน
     
  9. พระชยภัทร อนามโ

    พระชยภัทร อนามโ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,667
    ค่าพลัง:
    +728
    สงสาร ศาสนาจัง เฮ้อ.................!
     
  10. ปรมิตร

    ปรมิตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    404
    ค่าพลัง:
    +528
    เราทั้งหลายที่ยังละการยึดถือกาย ถืดถือใจมิได้
    ยังคุ้นเคยอยู่กับการเสพอกุศล
    คุณที่เป็นบุคคลประเภทนั้นทั้งหลายถามตนเองว่าเป็นชาวพุทธหรือไม่
    เพราะเราชาวพุทธ เคารพในพระศาสดา เชื่อในพระวินัยท่พระองค์บัญญัติและเชื่อในผลของกรรม

    พึงรู้อย่างนี้ว่า ยังต้องท่องเที่ยวไปในวัฎฎสังสารอีกมาก
    หากชาตินี้เป็นมนุษย์ แม้ไม่พร้อมที่จะบวช ไม่เป็นเพศบริสุทธิ์ พึงกระทำความคิดพิจารณาเนืองๆว่า เราจะทำตนให้บริสุทธิ์ ด้วยศีลที่พระพุทธองค์มิทรงห้าม ด้วยบุญและกุศลที่พระองค์กำหนดไว้(บุญกริยาวัติถุ 10และกุศลกรรมบท10)
    ด้วยการทำสมาธิ(ส่วนมากคนประเภทนี้ทำฌาณไม่ได้พระองค์จึงห้ามมิให้บวชอันนี้เป็นเหตุข้นึง) ด้วยการเจริญภาวนา(ระลึกรู้ตามอารมณ์ และความคิด เพื่อให้จิตจำสภาวะได้แม่น รู้กายรู้ใจตามความเป็นจริง ด้วยใจเป็นกลางเป็นผู้รู้ผู้ดู)
    แล้วตั้งจิตอธิฐานว่าขอข้าพเจ้าจงพ้นจากกรรมอันชั่วช้านี้ด้วยอำนาจของศีลและความดีที่ข้าพเจ้าปฏิบัติสาธุ

    มิถือทิฐิมานะ ว่า เพราะเหตุใดพระศาสดาถึงห้าม ไม่ให้ตนบวช ตนก็เป็นคน มีสิทธิ์มีเสียงอะไรทำนองนี้
    ผมจะบอกให้อีกข้อนี่เป็นข้อเด็ดเลย
    คือ ทุกสิ่งทุกอย่าง ล้วนแต่อนัตตา ไม่ใช่เรา บังคับไม่ได้หรอกครับ ทุกสิ่งมีเหตุมีปัจจัย
    เมื่อพิจารณาตนแล้ว ว่ามีพฤติกรรมเช่นนั้นๆและละสิ่งที่ตนเคยเสพนั้นๆไม่ได้ก็ ทำทางสู่สวรรค์ สู่สุขติไว้ก่อน สักวันเมื่อกรรมเก่ามิให้ผล กรรมดีที่ได้ศึกษานั้นๆ ทำให้เจริญแล้วนั้นๆ ก็จะมีโอกาสบวชในพระศาสนาเอง
    ไม่ต้องหวั่นเกรงเลย บุคคลผู้เชื่อมั้นในพระศาสดา ก็จงปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระองค์
    แล้วธะรรมะที่พระองค์สั่งสอนนั้น จักคุ้มครองผู้ปฏิบัติเอง สาธุ


    สาธุ
    ขออนุโมทนาในความดีที่จะเกิดขึ้น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 กุมภาพันธ์ 2009

แชร์หน้านี้

Loading...