ในหมู่บ้านเดียวมีคนจำอดีตชาติได้มากกว่า 40 คน เรื่องจริง

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย TKKH, 29 มีนาคม 2009.

  1. TKKH

    TKKH เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    146
    ค่าพลัง:
    +554
    เมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว พ.ศ. 2541 ผมมีคำถามในใจว่า ศาสนาพุทธที่เรานับถือกันอยู่ทุกวันนี้ สอนในสิ่งที่เป็นความจริงแค่ไหน พวกเราถูกพ่อแม่ปลูกฝังจนเราคล้อยตามโดยไม่มีเหตุผลหรือเปล่า

    ผมกลัวว่าจะเป็นเหมือนลูกหลานของศาสนาอื่นๆ ที่พ่อแม่และสังคมของเขาบังคับว่าต้องนับถือศาสนานั้นๆ ถ้าไม่นับถือก็อยู่ร่วมชายคากันไม่ได้ อยู่ในหมู่บ้านไม่ได้ ก็เลยต้องเชื่อและนับถือศาสนานั้นๆสืบต่อๆกันไป แบบจำยอม

    ด้วยความคิดนี้ผมก็เลยเอาตัวเองออกมาจากศาสนาพุทธเสียก่อน เพราะตอนนั้นผมก็เป็นเพียงชาวพุทธตามทะเบียนบ้าน เขาว่ามาก็ว่าไป ไม่ได้ลึกซึ้งอะไร
    เมื่อเอาตัวเองออกมา โดยมีความตั้งใจว่าเราจะศึกษาศาสนาทุกศาสนาที่ยังมีคนเชื่อถืออยู่ในปัจจุบันนี้

    ถ้าศาสนาไหนสอนถูกต้อง แบบว่าวิทยาศาสตร์พิสูจน์ได้ หรือเราพิสูจน์ได้ ก็จะนับถือศาสนานั้น เรียกว่าเปิดตัวเองเต็มที่ ไม่ยอมยึดติด ไม่ยอมให้พ่อแม่ สังคม หรือใครมาครอบงำความคิดได้

    ก็มาศึกษาทุกศาสนาอย่างจริงจังจากหนังสือ ตำรา คัมภีร์ต่างๆ ทั้งไบเบิล อัลกุรอ่าน พระไตรปิฎก ศาสนาเปรียบเทียบ และลัทธิความเชื่ออื่นๆอีกมาก ตอนนั้นเรียกได้ว่าแทบจะกินนอนอยู่ที่หอสมุดแห่งชาติท่าวาสุกรีเลยทีเดียว

    เมื่อศึกษาไปก็พบความแตกต่างว่า มีบางศาสนาสอนเรื่องการเกิดใหม่และการเวียนว่ายตายเกิด เช่น ศาสนาพุทธ ศาสนาพราหมณ์(ฮินดู) มีบางศาสนาสอนว่าจะมีการเกิดอีกเพียงครั้งเดียวในวันพิพากษา เช่น ศาสนาฮีบรู(ยูดาย,ยิว) ศาสนาคริสต์ ศาสนาอิสลาม และมีบางศาสนาบางลัทธิความเชื่อก็ไม่พูดถึงชีวิตหลังความตายหรือการเกิดใหม่เลย เช่น ลัทธิขงจื้อ เป็นต้น

    ตอนนั้นผมมีความคิดว่าถ้าเราพิสูจน์ได้ว่าการเกิดใหม่มีจริง การเวียนว่ายตายเกิดหลายๆครั้งได้มีจริง เราก็ตีวงในการพิจารณาได้ว่า ควรจะนับถือศาสนาใด ดี หรือว่าไม่ควรนับถือศาสนาใดๆเลย

    สาเหตุที่คิดว่าจะยกเอาเรื่องนี้ขึ้นมาพิสูจน์ก็เพราะเมื่อตอนที่ผมอายุได้ประมาณ 10 ขวบ เคยมีเด็กผู้ชายคนหนึ่ง อายุประมาณ 2 ขวบ มาอ้างว่าตัวเขาเป็นน้าของผมที่ถูกยิงตายมาเกิดใหม่ เขามีรอยแผลเป็นที่ติดตัวมาตั้งแต่แรกเกิด 2 แห่ง ซึ่งตรงกันกับตำแหน่งและลักษณะรอยแผลที่น้าผมถูกยิง

    ตอนแรกพวกเรา(ฝั่งอดีตชาติ) ไม่เชื่อและก็ทำการพิสูจน์เด็กต่างๆนานาเท่าที่จะคิดขึ้นมาได้ เรียกว่าคัดเอาแต่เรื่องราวเหตุการณ์ต่างๆ ญาติพี่น้อง หรือสิ่งของที่พ่อแม่เด็กหรือใครก็ไม่อาจรู้ได้ งัดเอามาพิสูจน์ เด็กก็พูดและแสดงออกให้เห็นว่าเขาคือน้าของผมสืบชาติมาเกิดจริงๆ พวกเราจำนนต่อคำพูดและสิ่งต่างๆที่เขาแสดงออกมา เด็กชายวัย 2 ขวบคนนั้นสามารถทำให้พวกเราเชื่อได้สนิทใจโดยไม่มีข้อกังขาว่าเขาคือน้าของผมสืบชาติมาเกิดใหม่จริงๆ

    ตอนนั้นผมเริ่มมีความโน้มเอียงมาทางศาสนาที่เชื่อเรื่องการเกิดใหม่และการเวียนว่ายตายเกิด เนื่องจากผมเองเคยได้ร่วมพิสูจน์เด็กชายวัย 2 ขวบคนนั้นด้วยตัวเองมาก่อนแล้ว จึงยากที่ผมจะปฏิเสธเรื่องนี้

    แต่เพื่อความมั่นใจผมจึงเริ่มค้นหาผลการศึกษาค้นคว้าวิจัยเกี่ยวกับเรื่องการเกิดใหม่ การระลึกชาติได้ การจำอดีตชาติได้ ทั้งในประเทศไทยและในต่างประเทศ มีเวลาก็เข้าไปฟังการบรรยายของชมรมต่างๆ เช่น ชมรมกฏแห่งกรรม(ที่ราชนาวีสโมสร) ชมรมค้นคว้าทางจิตแห่งประเทศไทย(ที่โรงแรมรอยัลฯสนามหลวง) และอีกหลายชมรม หลายวัดทั้งที่สอนอภิธรรมทั้งที่สอนวิชาสารพัด มีหลายคนที่รู้จริง เป็นของจริง แต่ก็มีไม่น้อยที่หลุดโลก

    เมื่อได้ข้อมูลมากพอสมควรในระดับหนึ่งแล้วผมตัดสินใจ ลงภาคสนาม โดยตั้งใจจะไปสอบถามรายละเอียด สอบพยานแวดล้อม และพยานบุคคลที่รู้เห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ เอาให้ชัดๆไปเลย ตอนนั้นตั้งใจว่าจะไปสอบถามเรื่องของเด็กที่มาอ้างว่าเป็นน้าของผมมาเกิดใหม่อีกครั้ง ผมกลับไปยังบ้านเกิดที่บ้านตะคร้อ อ.ไพศาลี จ.นครสวรรค์ แต่ไม่พบเด็กคนนั้นแล้วเพราะตัวเขาและครอบครัวพากันย้ายไปทำงานอยู่ที่พัทยากันหมดแล้ว นานๆงานบุญหรือเทศกาลจึงจะกลับมาบ้านสักครั้ง

    เพื่อไม่ให้เสียเที่ยวผมจึงถามแม่ของผมเองว่ามีใครในหมู่บ้านเราที่ระลึกชาติได้บ้าง แม่ผมก็บอกว่ามีอยู่รายหนึ่งระลึกชาติได้และบอกว่าเป็นใครมาเกิด ผมก็ไปยังบ้านที่แม่ผมบอก นั่นเป็นรายแรก ก็สอบถามไปจนพบตัวเด็กที่เขาบอกว่าระลึกชาติได้ เมื่อสอบถามสัมภาษณ์เรื่องราวของเด็กคนนั้น สอบถามญาติที่เป็นพยานรู้เห็น ก็จะมีคนในหมู่ญาติๆพี่น้องที่ผมไปสอบถามได้บอกว่ายังมีเด็กหรือผู้ใหญ่ที่ระลึกชาติได้รายอื่นอีก เมื่อผมไปสอบถามรายอื่นอีกก็จะได้เบาะแสเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ

    เท่าที่ผมรวบรวมได้ เฉพาะในหมู่บ้านตะคร้อ มีผู้ที่ระลึกชาติได้มากกว่า 40 คน มีทั้งเด็กและผู้ใหญ่ แต่ตอนนั้นผมสนใจที่จะสอบถามสัมภาษณ์เฉพาะเด็กที่ยังจำอดีตชาติได้และรายที่มีพยานยืนยันชัดเจน คือ ขณะที่ไปสอบถามเขาก็ยังระลึกชาติได้ หรือมีพยานรู้เห็น และพยานบุคคลที่เกี่ยวข้องยังมีชีวิตอยู่ ก่อน

    ตอนนั้นผมต้องเดินทางไปกลับระหว่างบ้านที่กรุงเทพฯกับบ้านเกิดหลายครั้งจนกระทั่งได้ข้อมูลครบถ้วนพอสมควร ผมสอบถามสัมภาษณ์ข้อมูลจากผู้ที่ระลึกชาติได้จำนวน 16 ราย และมีพยานบุคคลมากกว่า 100 คน

    ซึ่งจากการศึกษาหาคำตอบเกี่ยวกับเรื่องนี้นับตั้งแต่ปี 2541 จนถึงปัจจุบันนี้ เป็นเวลากว่า 10 ปี ผมมีคำตอบในเรื่องนี้ให้กับตัวเองชัดเจนแล้ว และผมได้เลือกแล้วว่าผมควรจะนับถือ เชื่อถือ และปฏิบัติตามคำสั่งสอนของศาสนาใด

    ท่านสามารถเข้าไปอ่านเรื่องราวโดยละเอียดของผู้ที่จำอดีตชาติได้ทั้ง 16 รายได้ที่

    www.reincarnation.tk

    **เป็นเว็บไซต์ที่ไม่ข้องเกี่ยวกับผลประโยชน์ หรือโฆษณาแอบแฝงใดๆ**

    แล้วท่านจะได้รู้ว่าเพราะเหตุใดผมจึงนอบน้อมในธรรมะของพระพุทธเจ้า อย่างเต็มเปี่ยม และบอกกับตัวเองได้อย่างเต็มภาคภูมิว่า ผมเป็น พุทธศาสนิกชน อย่างแท้จริง ไม่ได้เป็นพุทธ เพราะถูกบังคับ ถูกครอบงำ ถูกปลูกฝัง หรือเป็นพุทธตามบัตรประชาชน ตามสำเนาทะเบียนบ้าน อย่างที่หลายๆคนกำลังเป็นกัน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 มีนาคม 2009
  2. TKKH

    TKKH เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    146
    ค่าพลัง:
    +554
    อาลัยนักวิทยาศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่ของโลก ผู้บุกเบิกการศึกษาวิจัยผู้จำอดีตชาติได้ มานานกว

    ศาสตราจารย์ นายแพทย์ เอียน สตีเวนสัน

    [​IMG]
    The late Dr. Ian Stevenson, Founder of the Division of Perceptual Studies
    October 31, 1918-February 8, 2007
    ศาสตราจารย์ นายแพทย์ เอียน สตีเวนสัน (Ian Stevenson, M.D.)นักวิทยาศาสตร์ที่ทำการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับ “การจำอดีตชาติได้”และ “การกลับชาติมาเกิด” มานานกว่า 47 ปี ได้เสียชีวิตแล้วที่ ชาร์ลลอตวิลล์ เวอร์จิเนีย สหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ ปี ค.ศ.2007(2550) ด้วยอาการปอดบวม ศิริอายุได้ 88 ปี นับว่าโลกได้สูญเสียบุคคลสำคัญไปอีกท่านหนึ่ง นสพ.วอชิงตันโพสต์ ของสหรัฐอเมริกาได้สดุดีว่า “ท่านเป็นบุคคลที่ทำการค้นคว้าหาหลักฐาน เกี่ยวกับการจำอดีตชาติได้อย่างมีหลักการยากที่จะปฏิเสธได้” นสพ.เทเลกราฟ ของอังกฤษ กล่าวว่า “ท่านเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในการศึกษาเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด ท่านเป็นเหมือน กาลิเลโอ ในยุค 2000”
    เนื่องจากในสมัยของ กาลิเลโอ กาลิเลอิ (Galileo Galilei) มีนักวิทยาศาสตร์หลายท่าน เช่น นิโคลัส คอบเปอร์นิคัส (Nicholas Copernicus) โยฮันเนส เคปเลอร์ (Johannes Kepler) รวมทั้งกาลิเลโอ ได้เฝ้าสังเกตดูการเคลื่อนที่ของดวงดาวต่างๆ แล้วมีความเห็นว่า “โลกหมุนรอบดวงอาทิตย์” แต่ความเห็นนี้ไปขัดกับคำสอนและความเชื่อทางศาสนาต่างๆ เช่น ศาสนาฮีบรู(ยิว)ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของศาสนาคริสต์ ศาสนาอิสลาม และศาสนาคริสต์ เพราะศาสดาของศาสนาต่างๆเหล่านี้บอกว่า พระเจ้าทรงสร้างแผ่นดิน แผ่นน้ำ คือโลก(สมัยนั้นศาสนิกชนของศาสนาเหล่านี้เชื่อว่าโลกแบน) ก่อนที่จะสร้างดวงดาว ศาสนิกชนของศาสนาเหล่านี้จึงเชื่อว่าโลกเป็นศูนย์กลางของจักรวาล
    ความคิดของนักวิทยาศาสตร์เหล่านี้จึงขัดกับหลักคำสอนของศาสนาเหล่านี้ โดยเฉพาะไปขัดกับคำสอนของศาสนาคริสต์ ซึ่งคริสต์จักร มีอิทธิพลเหนือการเมืองการปกครองและความเชื่อความเห็นของผู้คนในยุโรป อเมริกา และประเทศราชอื่นๆในสมัยนั้น ผู้ที่เห็น คิด หรือเชื่อแตกต่างจากคำสอนของศาสนาคริสต์ เขาเรียกว่า พวกนอกรีต(Heresies) ซึ่งเขามีวิธีการลงโทษพวกนอกรีตด้วยวิธีการที่โหดร้ายเกินบรรยาย เช่น ชาวบ้านชาวเมืองจะใช้ศาลเตี้ยตัดสินเอง โดยใช้ก้อนหินรุมขว้างจนตาย หรือการเผาทั้งเป็น ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ในสมัย กาลิเลโอ ก็ถูกอิทธิพลทางศาสนาคริสต์กดดัน ไม่ให้พูดหรือเผยแพร่ความคิดเรื่อง “โลกหมุนรอบดวงอาทิตย์” มีนักวิทยาศาสตร์หลายท่าน ถูกกล่าวหาว่าเป็นพวกนอกรีตและถูกลงโทษแบบศาลเตี้ยจนตายไปหลายท่าน
    ส่วน กาลิเลโอ ก็ถูกกักบริเวณให้อยู่แต่ในห้องใต้ดินในบ้านของตัวเอง โดยพระสันตะปาปา(Pope)ประมุขของคริสตจักรนิกายโรมันคาทอลิก และขอให้ กาลิเลโอ ถอนและปฏิเสธคำพูด ความคิด ความเห็น ในเรื่องนี้แล้วจะไม่ถูกลงโทษ แต่ กาลิเลโอ ก็ไม่ยอมปฏิเสธทฤษฎีนี้ จึงต้องถูกกักบริเวณให้อยู่แต่ในห้องใต้ดินในบ้านของตัวเอง จนกระทั่งล้มป่วยและเสียชีวิตในที่สุด ต่อมาผลงานของ กาลิเลโอ กลายเป็นที่ยอมรับกันอย่างกว้างขวางในทางวิทยาศาสตร์และทำให้โลกยกย่องให้ท่านเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ของโลกท่านหนึ่ง
    ในปัจจุบันนี้ความรู้ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ทำให้เราทราบแล้วว่า “โลกหมุนรอบดวงอาทิตย์” และดวงดาวต่างๆ เช่น ดวงอาทิตย์ ดาวเสาร์ ดาวพฤหัส ถือกำเนิดขึ้นก่อนโลกของเราหลายล้านปี และเมื่อโคลัมบัส ได้เสี่ยงล่องเรือไปในมหาสมุทรจนค้นพบทวีปอเมริกาและสามารถลบล้างความเชื่อเดิมที่เชื่อว่าโลกแบนได้ (เพราะเชื่อว่าโลกแบนในสมัยนั้นจึงไม่มีใครกล้าล่องเรือไปในมหาสมุทร เพราะกลัวว่าจะตกขอบโลก) เมื่อความรู้ทางวิทยาศาสตร์ก้าวหน้าไปมากจนเป็นที่ยอมรับของคนทั่วโลก คริสต์จักรเพิ่งจะออกมาขอโทษนักวิทยาศาสตร์และครอบครัวทายาทของนักวิทยาศาสตร์ในสมัยนั้นอย่างเป็นทางการ เมื่อปี ค.ศ.1992(พ.ศ.2535)นี่เอง ในการตัดสินโทษที่ผิดพลาด ในสมัยนั้น
    เช่นเดียวกันกับ ศาสตราจารย์ นายแพทย์ เอียน สตีเวนสัน ในยุคสมัยนี้ ที่ท่านทำการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับ “การจำอดีตชาติได้”และ “การกลับชาติมาเกิด” มากว่า 47 ปี ตั้งแต่ก่อนปี ค.ศ.1960(2503) ซึ่งท่านได้พบผู้ที่จำอดีตชาติได้หรือผู้ที่สืบชาติมาเกิดใหม่ จากชาติและศาสนาต่างๆทั่วโลกทั้งใน ยุโรป อเมริกา ออสเตรเลีย อัฟริกา และทวีปเอเซีย (รวมทั้งประเทศไทย) มากกว่า 3,000 ราย ด้วยการสนับสนุนทุนในการศึกษาวิจัยเด็กที่จำอดีตชาติได้จำนวนมหาศาล ถึง 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จาก เชสเตอร์ คาร์ลสัน(Chester Carlson) ผู้คิดประดิษฐ์เครื่องถ่ายเอกสารให้พวกเราได้ใช้กันอยู่ทุกวันนี้เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปสืบหากรณีศึกษา สัมภาษณ์ และเก็บข้อมูลหลักฐานในประเทศต่างๆ ทั่วโลกเพื่อใช้ในการศึกษาวิจัย
    ท่านได้เขียนผลงานการศึกษาวิจัยของท่านออกมาเป็นรายงานทางวิชาการในนิตยสารชั้นนำทางวิทยาศาสตร์ หนังสือ และตำรับตำราออกมาเป็นระยะๆ ตั้งแต่ปี ค.ศ.1964(2507)จนถึงปัจจุบัน มากกว่า 200 เล่ม จนเป็นที่ยอมรับจากบรรดานักวิทยาศาสตร์ทั่วโลก แต่ผลงานการศึกษาวิจัยของท่านเป็นการนำเสนอเรื่องราวความจริงที่ขัดกันกับคำสอนและความเชื่อทางศาสนา ฮีบรู(ยิว) คริสต์ และอิสลาม ที่เชื่อว่า คนเราเมื่อตายไปแล้วก็จะอยู่ในหลุมฝังศพ(ไม่เผาศพ) จนกระทั่งวันหนึ่งพระเจ้าจะบันดาลให้โลกเกิดภัยพิบัติครั้งใหญ่(วันสิ้นโลก) ทำให้มนุษย์เราทุกคนตายกันหมด จากนั้นพระเจ้าจะทรงให้คนที่ตายไปแล้วตั้งแต่แรกจนถึงวันสิ้นโลกกลับเป็นขึ้นมาอีกครั้ง(การเกิดใหม่อีกเพียงครั้งเดียว) จากนั้นทุกคนก็จะเข้าแถวให้พระเจ้าทรงตัดสิน
    ถ้าใครเชื่อและศรัทธาในพระเจ้า ถึงแม้ระหว่างที่มีชีวิตจะไม่เชื่อในพระเจ้า จะทำชั่วช้ามายาวนานสักเพียงใดก็ตาม แต่ถ้าก่อนตายเกิดเชื่อและศรัทธาในพระเจ้าขึ้นมาก็จะได้รับรางวัล คือได้ไปอยู่อย่างมีความสุขบนสวรรค์อยู่กับพระเจ้าชั่วนิจนิรันดร์ แต่ถ้าใครที่เคยเชื่อและศรัทธาในพระเจ้ามามากมาย ยาวนานเพียงใดก็ตาม หากก่อนตายไม่เชื่อและศรัทธาในพระเจ้าเสียแล้วก็จะได้รับการลงโทษ ให้ไปทุกข์ทรมานอยู่ในนรกชั่วนิจนิรันดร์เช่นเดียวกัน คือขอให้เชื่อและศรัทธาในพระเจ้าอย่างเดียวทุกอย่างหลังตายไปแล้วจะดีทั้งหมด แต่ระหว่างที่ยังมีชีวิตอยู่ ผู้ที่เชื่อและศรัทธาในพระเจ้าอย่างมากมายมั่นคง จะสุขบ้าง ทุกข์บ้าง หรือทุกข์แสนสาหัสอย่างไร ครอบครัวและตัวเองจะลำบาก ถูกเอาเปรียบ ถูกคดโกง ถูกใส่ความ ถูกว่าร้าย ถูกทรมาน ถูกฆ่า ให้ถือว่าเป็นการทดลองจากพระเจ้า ขอให้อดทน จงเชื่อและศรัทธาในพระเจ้าเพียงอย่างเดียว แล้วชีวิตหลังการตัดสินจะมีแต่ความสุขบนสวรรค์ และจะได้อยู่ในแผ่นดินของพระเจ้า และได้อยู่กับพระเจ้าอย่างนั้นจนชั่วนิจนิรันดร์
    นั้นคือความเชื่อหลักของ 3 ศาสนาใหญ่ของโลก แต่ผลการศึกษาวิจัยของ ศาสตราจารย์ นายแพทย์ เอียน สตีเวนสัน ในปัจจุบันนี้ กำลังบอกกับโลกว่า ความจริงเกี่ยวกับวงจรชีวิตของคนเรา ตั้งแต่เกิดจนตาย และตั้งแต่ตายจนกระทั่งเกิดใหม่นั้น อาจจะไม่เป็นไปตามความเชื่อของศาสนาต่างๆเหล่านี้ เพราะผลการศึกษาวิจัยชี้ไปที่ ความมีอยู่ของชีวิตหลังความตาย คนเราสามารถกลับชาติมาเกิดใหม่ได้ คนเราสามารถจำอดีตชาติได้ และเวรกรรมมีจริง ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ตัวท่านเองก็เกิดในครอบครัวที่นับถือศาสนาคริสต์ ท่านไม่เคยมีความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องการเวียนว่ายตายเกิดมาก่อน แต่เมื่อท่านเป็นนักวิทยาศาสตร์ท่านก็ไม่ได้เอาความเชื่อทางศาสนามากีดกั้นความจริงที่พิสูจน์ได้ตามกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เพราะท่านเป็นนักวิทยาศาสตร์ ถึงแม้ว่าท่านจะทราบถึงธรรมชาติที่แท้จริงเกี่ยวกับวงจรชีวิตของคนเราว่า ชีวิตหลังความตายมีอยู่จริง คนเราสามารถกลับชาติมาเกิดใหม่ได้จริง คนเราสามารถจำอดีตชาติได้จริง และเวรกรรมมีจริง ท่านก็ไม่ได้โน้มเอียงไปกับความเชื่อทางศาสนา ท่านยังคงเป็นนักศึกษาค้นคว้าวิจัยที่เป็นกลาง เชื่อในความเป็นจริง และเป็นนักวิทยาศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่งของโลกตลอดไป สุดท้ายเมื่อท่านเสียชีวิต ท่านก็คงจะได้พบความจริงและได้ประจักษ์ชัดเกี่ยวกับ ชีวิตหลังความตาย ด้วยตัวของท่านเองแล้ว ไม่ต้องท่องเที่ยวสืบหาศึกษาวิจัยกรณีศึกษาใดๆ อีกต่อไป
    และการที่ นสพ.เทเลกราฟ ของอังกฤษ ยกย่องท่านว่า “ท่านเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในการศึกษาเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด ท่านเป็นเหมือน กาลิเลโอ ในยุค 2000” ก็คงเป็นเพราะ ถ้าหาก ดร.เอียน สตีเวนสัน อยู่ในยุคเดียวกันกับ กาลิเลโอ ผลงานการศึกษาเกี่ยวกับผู้ที่จำอดีตชาติได้ของท่าน คงจะทำให้ท่านต้องถูกกักบริเวณโดยพระสันตะปาปา ถูกชาวบ้านขว้างปาด้วยหิน หรือถูกเผาทั้งเป็น จนเสียชีวิต เหมือนอย่าง กาลิเลโอ และนักวิทยาศาสตร์หลายคนที่ถูกลงโทษในยุคนั้น เพราะท่านได้พิสูจน์และยืนยันสิ่งที่ถูกต้องเป็นจริง แต่ขัดแย้งกับคำสอนทางศาสนา อย่างรุนแรงยิ่ง เป็นความคิดที่ผิดมหันต์ เป็นความคิดของพวก "นอกรีต" อย่างแท้จริง
    แต่ถึงแม้ว่า ดร.เอียน สตีเวนสัน จะถูกตราหน้าจากศาสนิกชนที่นับถือ ศาสนาฮีบรู(ยิว) ศาสนาคริสต์ และศาสนาอิสลาม ว่า ความคิดของเขาเป็นความคิดนอกรีต(Heresy) หรือเป็นพวกนอกรีต(Heresies) ก็ตาม แต่ความจริงที่ท่านได้พิสูจน์และยืนยันในวันนี้ จะได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง ในวงการวิทยาศาสตร์และจากผู้คนทั่วโลก นับตั้งนี้เป็นต้นไป

    ข้าพเจ้าขอแสดงความอาลัยต่อนักวิทยาศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่ของโลก ศาสตราจารย์ นายแพทย์ เอียน สตีเวนสัน


    อัตชีวประวัติ



    [​IMG]
    Dr. Ian Stevenson

    ศาสตราจารย์ นายแพทย์ เอียน สตีเวนสัน (Ian Stevenson, M.D.) เกิดเมื่อวันที่ 31 ตุลาคม ปี ค.ศ.1918(2461) ในเมืองมอลทรีออลส์ บิดาของท่านเป็นผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์ The Time of London ในกรุงอ็อตตาวา ประเทศแคนาดา(ในขณะนั้น) ท่านเรียนจบไฮสคูลเมื่ออายุได้ 16 ปี และได้ทุนศึกษาต่อทางด้านประวัติศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยเซนต์แอนดรูส์ในสก็อตแลนด์ ศึกษาอยู่ 2 ปี จึงได้เปลี่ยนมาเรียนแพทย์จนสำเร็จการศึกษาสูงสุด เกียรตินิยมเหรียญทองอันดับ 1 จากคณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยแมคกิลล์ ประเทศแคนาดา เคยทำงานที่คลินิกโอชส์เนอร์ และที่มหาวิทยาลัยตูเลน ที่นิวออร์ลีนส์ เคยทำงานที่โรงพยาบาลนิวยอร์กและวิทยาลัยแพทย์คอร์แนล ซึ่งทั้งที่ตูเลนและคอร์แนลท่านได้ทุนวิจัยมาโดยตลอด ต่อมาท่านได้ร่วมทำงานวิจัยกับมหาวิทยาลัยแห่งรัฐหลุยส์เซียน่าเป็นเวลา 7 ปี และสุดท้ายท่านได้มาเป็นอาจารย์สอนนักศึกษาแพทย์และเป็นหัวหน้าแผนกจิตเวช อยู่ที่มหาวิทยาลัยเวอร์จิเนีย ชาร์ลอตวิลล์ รัฐเวอร์จิเนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา (University of Virginia) ท่านเป็นอาจารย์สอนจิตแพทย์ ที่มีความรู้ความสามารถสูง มีผลงานดีเด่นในการรักษาโรคจิตประสาทในระดับผลงานอัลฟ่าและโอเมก้าอัลฟ่า และได้รับรางวัลเกียรติยศอีกมากมาย
    ซึ่งช่วงอยู่ที่มหาวิทยาลัยเวอร์จิเนียนี้เอง ที่ท่านได้มีโอกาสรวบรวมและนำเสนอเรื่องราวกรณีของผู้ที่จำอดีตชาติได้ 44 กรณีแรก ที่รวบรวมได้จาก หนังสือ หนังสือพิมพ์ และนิตยสารต่างๆ พร้อมทั้งแสดงความเห็นประกอบไปว่า “มีความเป็นไปได้ที่จะทำการพิสูจน์สอบสวนเรื่องราวเหล่านี้ให้กระจ่างได้ ถ้ามีการค้นพบกรณีของการจำอดีตชาติได้มากขึ้น และมีการติดตามศึกษาตั้งแต่ต้นด้วยความรอบคอบ” เพื่อเสนอเข้าชิงรางวัลจาก American Society for Psychical Research ในปี 1960(2503) ซึ่งท่านได้รับรางวัลชนะเลิศ
    ต่อมาท่านได้ทุนจำนวนหนึ่งจากประธานของ Paraphychology Foundation นิวยอร์ก ให้ไปสอบสวนกรณีของผู้จำอดีตชาติได้กรณีหนึ่งที่ประเทศอินเดีย แต่พอไปถึงก็ได้พบกรณีศึกษาเพิ่มขึ้นเป็น 5 ราย หลังจากนั้นอีกประมาณ 4 สัปดาห์ท่านได้พบผู้ที่จำอดีตชาติได้เพิ่มเป็น 25 ราย ซึ่งมักจะเป็นอย่างนี้เหมือนกันในหลายๆประเทศที่ท่านไปสืบหา สอบสวน และพิสูจน์กรณีศึกษาผู้ที่จำอดีตชาติได้ในเวลาต่อๆมา
    หลังจากที่ท่านได้พบและได้สอบสวนผู้ที่จำอดีตชาติได้มากขึ้น 3 ปีหลังจากนั้น ในปี 1964 ท่านก็ได้เขียนหนังสือเล่มแรกเกี่ยวกับเรื่องนี้ออกมาเล่มหนึ่ง ชื่อว่า Twenty cases Suggestive of Reincarnation และในปีนี้เองที่ท่านเริ่มได้รับทุนในการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับผู้ที่จำอดีตชาติได้ จาก เชสเตอร์ คาร์ลสัน ผู้คิดประดิษฐ์เครื่องถ่ายเอกสารคนแรกของโลก แต่ยังไม่มากนัก
    ต่อมาท่านได้เป็นประธานคณะจิตเวช แต่ท่านตัดสินใจลาออกจากประธานคณะจิตเวชมาเป็นหัวหน้าแผนกบุคลิกภาพศึกษา ซึ่งเล็กกว่าคณะจิตเวชมาก เพื่อจะได้มีเวลาทุ่มเทให้กับการศึกษาวิจัยผู้ที่จำอดีตชาติได้อย่างเต็มที่ โดยมี เชสเตอร์ คาร์ลสัน ผู้สนับสนุนทุนวิจัยมาดำรงตำแหน่งเป็นประธานคณะจิตเวชแทน หลังจากนั้นไม่นาน เชสเตอร์ คาร์ลสัน ได้เสียชีวิตลงอย่างกะทันหัน ทำให้ท่านคิดว่าคงจะไม่มีเงินทุนสนับสนุนการวิจัยของท่านแล้ว แต่เมื่อมีการเปิดพินัยกรรมของ เชสเตอร์ คาร์ลสัน ปรากฏว่าเขาได้เขียนพินัยกรรมมอบเงินจำนวน 1 ล้านเหรียญสหรัฐ ให้กับมหาวิทยาลัยเวอร์จิเนีย และอีก 1 ล้านเหรียญสหรัฐ ให้กับท่านเพื่อใช้เป็นทุนในการศึกษาวิจัยผู้ที่จำอดีตชาติได้ต่อไป ด้วยความตั้งใจเด็ดเดียวที่จะบริจาคเงินเพื่อทำประโยชน์ให้กับมวลมนุษยชาติ หลังจากที่เขาเสียชีวิตไปแล้ว
    และด้วยทุนวิจัยก้อนนี้เองที่ทำให้ท่านได้ชื่อว่าเป็นศาสตราจารย์คาร์ลสันทางจิตเวช แห่งคณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยเวอร์จิเนีย มีเงินเดือนประจำ และมีค่าใช้จ่ายในการออกเดินทางไปสืบหาผู้จำอดีตชาติได้จากทั่วโลก และในประเทศไทย มาเป็นเวลากว่า 45 ปี นับแต่นั้น
    ตลอดชีวิตของท่าน ท่านได้ทุ่มเทเวลาให้กับการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับผู้จำอดีตชาติมานานกว่า 47 ปี นับตั้งแต่ท่านเริ่มรวบรวมเรื่องราวของผู้จำอดีตชาติได้จาก หนังสือ หนังสือพิมพ์และนิตยสารต่างๆ เพื่อส่งเข้าชิงรางวัลเมื่อ ปี ค.ศ.1960(2503) จนกระทั่งถึงวาระสุดท้ายแห่งชีวิตเมื่อ วันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2550 ด้วยอาการปอดบวม ศิริอายุได้ 88 ปี ท่านใช้เวลามากกว่าครึ่งชีวิตทุ่มเทให้กับการศึกษาวิจัยผู้ที่จำอดีตชาติได้ ซึ่งท่านได้ค้นพบพยานหลักฐานที่สามารถพิสูจน์ได้อย่างเป็นรูปธรรมในระดับหนึ่งแล้ว ถึงกระนั้น ท่านไม่เคยบอกให้ใครเชื่ออย่างที่ท่านเชื่อว่ามันเป็นความจริง แต่ท่านมักจะตอบคำถามเมื่อมีคนถามว่า
    “ข้าพเจ้าไม่สามารถหาหลักฐานใดๆมายืนยันได้ว่ามันไม่เป็นความจริง ข้าพเจ้ามิได้มุ่งหวังที่จะให้การศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับเรื่องนี้ของข้าพเจ้าไปมีผลต่อความเชื่อต่างๆ แต่ขอให้มาดูเถอะว่าข้าพเจ้าค้นพบอะไรบ้าง ลองพิสูจน์ทดสอบตรวจสอบสิ่งที่ข้าพเจ้าค้นพบได้ตามต้องการ ลองคิดว่ามีข้อข้องใจสงสัยตรงไหนหรือไม่ ลองค้นหาสิ่งที่ข้าพเจ้าอาจจะพลาดไป และถ้ามีคำอธิบายที่สมเหตุสมผลมากกว่านี้กรุณาบอกให้ข้าพเจ้าทราบด้วย”
    สำหรับในประเทศไทยนั้นท่านและคณะศึกษาวิจัยได้เคยมาสืบหา สัมภาษณ์ และเก็บข้อมูลหลักฐานกรณีศึกษาผู้ที่จำอดีตชาติได้หลายครั้ง โดยความร่วมมือจากคณะคนไทยที่สนใจศึกษาเกี่ยวกับเรื่องนี้มาแล้วหลายท่าน ได้แก่ นายแพทย์เชียร สิริยานนท์ , อาจารย์นาซิบ สิโรรส , อาจารย์เต็ม สุวิกรม , ศ.ดร.คลุ้ม วัชโรบล เป็นต้น ซึ่งท่านได้เขียนไว้ใน กิตติกรรมประกาศ(Acknowledgments) ในหนังสือ Reincarnation and Biology ซึ่งตีพิมพ์เมื่อ ค.ศ.1977(2520) และยังมีอีกหลายท่านที่ไม่ได้กล่าวไว้ในหนังสือของท่าน เช่น คุณประสิทธิ์ การุณยวณิชย์ , ดร.บุญย์ นิลเกษ , อาจารย์สุตทยา วัชราภัย และ ดร.วิเชียร สิทธิประภาพร ซึ่งเป็นผู้ที่ร่วมศึกษาวิจัยกับคณะ ของท่านคนปัจจุบัน
    สำหรับ ดร.วิเชียร สิทธิประภาพร นั้น ท่าน รศ.ดร.นัยพินิจ คชภักดี ซึ่งปัจจุบัน(พ.ศ.2551)ท่านเป็นผู้อำนวยการโครงการวิจัยชีววิทยาระบบประสาทและพฤติกรรม สถาบันวิจัยและพัฒนา วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยมหิดล(ศาลายา) ได้แนะนำให้ข้าพเจ้า(TK)รู้จัก เมื่อปี พ.ศ.2543 ตั้งแต่ ดร.วิเชียร ยังเป็นนักศึกษาปริญญาเอกกำลังศึกษาอยู่กับท่านที่มหาวิทยาลัยมหิดล(ศาลายา) ดร.วิเชียร ได้พบและแลกเปลี่ยนข้อมูลกับข้าพเจ้าหลายครั้ง ทำให้ทราบว่า คณะศึกษาวิจัยจาก มหาวิทยาลัยเวอร์จิเนียคณะนี้ ได้เข้ามาสืบหา สัมภาษณ์ และเก็บข้อมูลหลักฐานกรณีศึกษาผู้ที่จำอดีตชาติได้ในประเทศไทยหลายครั้ง แล้วตั้งแต่เมื่อประมาณ พ.ศ.2509 จนถึงปัจจุบัน เป็นเวลากว่า 40 ปีแล้ว โดยจะเดินทางเข้ามาติดตามกรณีศึกษาที่เคยเก็บข้อมูลหลักฐานไปแล้ว และมาสืบหา สัมภาษณ์ และเก็บข้อมูลหลักฐานกรณีศึกษาผู้ที่จำอดีตชาติได้รายใหม่ๆในประเทศไทย ปีละ 2-3 ครั้ง โดยมีคนไทยช่วยแปลคำสัมภาษณ์จากไทยเป็นอังกฤษให้
    ซึ่งในตอนนั้นข้าพเจ้าเห็นว่า ข้อมูลและเบาะแสของผู้ที่จำอดีตชาติได้ในหมู่บ้านของข้าพเจ้า(หมู่บ้านตะคร้อ)และหมู่บ้านใกล้เคียง น่าจะมีประโยชน์กับการศึกษาวิจัยของคณะศึกษาวิจัยจากมหาวิทยาลัยเวอร์จิเนีย จึงได้มอบข้อมูลของ 16 กรณีศึกษาผู้จำอดีตชาติได้ ที่ข้าพเจ้าได้ศึกษาสัมภาษณ์และเก็บข้อมูลหลักฐานไว้ก่อนหน้านี้แล้ว รวมทั้งเบาะแสของผู้ที่จำอดีตชาติได้ทั้งในหมู่บ้านตะคร้อคนอื่นๆและหมู่บ้านใกล้เคียง ที่ข้าพเจ้ากับ ท่าน อาจารย์สุตทยา วัชราภัย เคยร่วมกันสืบหาเบาะแสข้อมูลเบื้องต้นไว้เมื่อปี พ.ศ.2543 ให้กับ ดร.วิเชียร ไปทั้งหมด และข้าพเจ้าทราบข่าวจากผู้ปกครองของผู้ที่จำอดีตชาติได้ในหมู่บ้านตะคร้อว่า ดร.วิเชียร ได้นำคณะศึกษาวิจัยจากเวอร์จิเนียมาเก็บข้อมูลไปบ้างแล้ว เมื่อประมาณ ปี พ.ศ.2544
    ดังนั้นเพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบกับการศึกษาค้นคว้าวิจัย ของคณะจากมหาวิทยาลัยเวอร์จิเนีย ข้าพเจ้าจึงเก็บเรื่องราวเหล่านี้ไว้เป็นเวลาเกือบ 10 ปี ยังไม่ตีพิมพ์หรือเปิดเผยข้อมูลของผู้จำอดีตชาติได้ทั้งหมด ยกเว้นกรณี นายเทเวศร์ เรียบสัมพันธ์ รายเดียวที่ผู้เขียนได้มอบข้อมูลเรื่องราวของเขาให้ไว้กับ พระคุณเจ้าพระเทพวิสุทธิกวี(พิจิตร ฐิตวณฺโณ) เจ้าอาวาสวัดโสมนัสเจ้าคณะภาคธรรมยุตหนใต้(ในขณะนั้น) เจ้าของหนังสือ “กฎแห่งกรรม” และ “ตายแล้วไปไหน” ซึ่งท่านเข้าร่วมฟังการบรรยายของวิทยากรท่านต่างๆ รวมทั้งข้าพเจ้าที่ไปบรรยายเกี่ยวกับการศึกษาผู้จำอดีตชาติได้ ที่สมาคมค้นคว้าทางจิต แห่งประเทศไทย เมื่อปี พ.ศ.2543 ซึ่งท่านมีความคิดที่จะรวบรวมเรื่องราวของผู้ที่จำอดีตชาติได้ให้ครบทั้ง 76 จังหวัด
    ข้าพเจ้าหวังว่า คณะศึกษาวิจัยจากมหาวิทยาลัยเวอร์จิเนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา จะได้รับประโยชน์จากข้อมูลเบาะแสที่ข้าพเจ้ามอบให้ไว้ไม่มากก็น้อย และหวังว่าพวกเขาจะยังคงได้รับการสนับสนุนเงินทุนในการศึกษาวิจัยเพื่อค้นหาความจริงที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ตามขบวนการศึกษาตามหลักวิทยาศาสตร์และวิชาการ อย่างจริงจัง ใกล้ชิด เพื่อพิสูจน์ความจริงเกี่ยวกับเรื่องราวเหล่านี้ให้ปรากฏ แก่มวลมนุษยชาติ ต่อไป...TK

    พบกับผลงานการศึกษาวิจัย ของ ดร.เอียน สตีเวนสัน ซึ่งเขียนออกมาเป็นหนังสือเล่มแรกของท่านชื่อว่า Twenty cases Suggestive of Reincarnation แปลโดย คุณเต็ม สุวิกรม เรียบเรียงใหม่โดย TK เป็นเรื่องราวของ 20 ผู้จำอดีตชาติได้ในประเทศต่างๆ ทั้งในอเมริกา อินเดีย เลบานอน ศรีลังกา บราซิล ได้ที่
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 มีนาคม 2009
  3. โอซารัน

    โอซารัน Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2008
    โพสต์:
    873
    ค่าพลัง:
    +91
    ขอบคุณครับ
     
  4. MayaJit

    MayaJit Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    66
    ค่าพลัง:
    +56
    เมื่อผมได้มีโอกาสได้อ่าน ได้ฟัง ได้ศึกษาในตัวพระอภิธรรม จากนั้นมาก็หมดความสงสัยในคำสอนของพระพุทธศาสนาอย่างสิ้นเชิง อนุโมทนาสาธุครับ นี่แหละคือสุดยอดแล้ว ไม่มีสิ่งใดยิ่งไปกว่าพระสัพพัญญุตาญาณของพระพุทธองค์
     
  5. TKKH

    TKKH เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    146
    ค่าพลัง:
    +554
    ทำไมบางคนจำอดีตชาติได้ บางคนจำไม่ได้ ทำไมคนตายโหงจึงมักจะจำอดีตชาติได้

    สาเหตุการเสียชีวิต (Previous Personality’s Mode of Death)

    จากรายการจำแนกผู้ที่จำอดีตชาติได้ทั้ง ๑๖ รายในหนังสือเล่มนี้ จะเห็นได้ว่ามีผู้จำอดีตชาติได้ที่ในอดีตชาติป่วยเสียชีวิตหรือเสียชีวิตตามปกติธรรมชาติ(Natural Death)เพียง ๓ ราย แต่มีผู้จำอดีตชาติได้ที่ในอดีตชาติเสียชีวิตแบบผิดปกติธรรมชาติ คือเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุหรือเสียชีวิตเพราะถูกฆาตกรรม หรือที่เรียกกันตามภาษาชาวบ้านว่าตายโหง(Violent Death) มากถึง ๑๓ ราย ซึ่งสอดคล้องกันกับข้อมูลกรณีศึกษาผู้ที่จำอดีตชาติได้ในต่างประเทศ ที่พบว่ามีจำนวนของผู้จำอดีตชาติได้ที่ในอดีตชาติเสียชีวิตแบบผิดปกติธรรมชาติ มากกว่าผู้จำอดีตชาติได้ที่ในอดีตชาติป่วยเสียชีวิตหรือเสียชีวิตตามปกติธรรมชาติ

    [​IMG]

    ตารางแสดงสาเหตุการเสียชีวิตเมื่อในอดีตชาติ ของกรณีศึกษาทั้งหมด ๗๒๕ ราย จาก ๖ ประเทศจากหนังสือ
    REINCARNATION AND BIOLOGY(Volume 1 : Birthmarks) เขียนโดย Ian Stevenson,M.D.
    จากตารางด้านบนจะเห็นได้ว่า มีผู้ที่จำอดีตชาติได้ที่ในอดีตชาติเสียชีวิตด้วยเหตุ รุนแรง กะทันหัน อุบัติเหตุ ถูกฆาตกรรม หรือที่เรียกกันตามภาษาชาวบ้านว่าตายโหง(Violent Death) มากถึง ๔๔๖ ราย ๒๗๔ ราย มีเอกสารหลักฐานทางการแพทย์หรือเอกสารหลักฐานทางราชการยืนยันชัดเจน พิสูจน์ได้ว่าตรงกันกับรอยตำหนิแผลเป็นที่ติดตัวมาตั้งแต่แรกเกิดในปัจจุบันชาติ(Soved) ส่วนอีก ๑๗๒ ราย ไม่มีเอกสารหลักฐานทางการแพทย์หรือเอกสารหลักฐานทางราชการยืนยันแต่ได้รับคำยืนยันจากพ่อแม่ญาติพี่น้องครอบครัวในอดีตชาติว่าตรงกัน(Unsolved)
    จากสถิติที่แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัดดังกล่าว อาจเป็นที่มาของความเชื่อของคนไทยที่ว่า ผู้ที่จำอดีตชาติได้ส่วนใหญ่จะเป็นผู้ที่เสียชีวิตแบบผิดปกติธรรมชาติหรือตายโหง เนื่องจากพวกเขายังไม่หมดอายุไข จึงต้องเกิดมาอีกครั้งเพื่อใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ และคิดกันไปว่าชีวิตที่เหลืออยู่ดังกล่าวคงจะเหลืออยู่ไม่มาก ทำให้เชื่อกันว่าผู้ที่จำอดีตชาติได้จะอายุสั้น อันเป็นที่มาของความพยายามที่จะไม่ให้เด็กพูดถึงเรื่องราวในอดีตชาติ หรือพยายามทำให้เด็กหยุดพูดถึงอดีตชาติโดยเร็วนั่นเอง มีคำถามว่า
    ทำไมคนที่ในอดีตชาติเสียชีวิตด้วยสาเหตุที่ผิดปกติธรรมชาติหรือตายโหงจึงมักจะจำอดีตชาติได้ ?
    ผู้เขียนมีสมมุติฐานว่าด้วยการจำอดีตชาติได้และการจำอดีตชาติไม่ได้ดังนี้คือ การที่บางคนสามารถจำอดีตชาติได้นั้น อาจมีสาเหตุมาจากการที่ความทรงจำในอดีตชาตินั้นถูกระลึกถึงอยู่เสมอ ถูกทบทวนอยู่บ่อยๆ มีความฝังใจ มีเจตนาที่แรงกล้า มีความหนักแน่นมั่นคง หรือขณะเสียชีวิตและหลังจากเสียชีวิตมีสติรู้สึกตัวตลอดเวลา ทำให้ความทรงจำในอดีตชาติถูกยกขึ้นมาอยู่ในระดับเดียวกันหรือในระดับใกล้เคียงกับ วิถีจิต(จิตสำนึก Consciousness) และเมื่อตอนขณะที่สืบชาติมาเกิดใหม่ก็มีสติครบถ้วน เมื่อสืบชาติมาเกิดใหม่จึงทำให้สามารถจำอดีตชาติได้ด้วยความทรงจำปกติตั้งแต่เด็ก
    ส่วนผู้ที่จำอดีตชาติไม่ได้นั้น อาจมีสาเหตุมาจากการที่ความทรงจำในอดีตชาตินั้นไม่ได้ถูกระลึกถึงอยู่เสมอ ไม่ได้ถูกทบทวนอยู่บ่อยๆ ไม่มีความฝังใจ ไม่มีเจตนาที่แรงกล้า ไม่มีความหนักแน่นมั่นคง หรือขณะเสียชีวิตและหลังจากเสียชีวิตขาดสติไม่รู้สึกตัวหรือหลงลืมตัว ทำให้ความทรงจำในอดีตชาติถูกเก็บไว้ในระดับของ ภวังคจิต(จิตใต้สำนึก Unconsciousness) ที่ลึกลงไป และเมื่อตอนขณะที่สืบชาติมาเกิดใหม่ขาดสติรู้สึกไม่ครบถ้วนหรือไม่รู้สึกตัว เมื่อสืบชาติมาเกิดใหม่จึงทำให้ไม่สามารถจำอดีตชาติได้ ด้วยความทรงจำปกติตั้งแต่เด็ก แต่เมื่อมีการใช้วิธีการใดๆ เช่น การสะกดจิตหรือมีการฝึกสมาธิจิตที่ทำให้สามารถดึงเอาความทรงจำที่อยู่ในภวังคจิตออกมาได้ หรือทำให้สามารถเข้าถึงภวังคจิตที่อยู่ลึกลงไป จึงสามารถระลึกถึงอดีตชาติได้
    จากสมมุติฐานดังกล่าวสามารถอธิบายได้ว่า สาเหตุที่ทำให้ผู้ที่เสียชีวิตด้วยเหตุที่ผิดธรรมชาติ รุนแรง กะทันหัน อุบัติเหตุ หรือถูกฆาตกรรม(Violent Death) เมื่อสืบชาติมาเกิดใหม่พวกเขามักจะจำอดีตชาติได้มากกว่าผู้ที่เสียชีวิตด้วยสาเหตุธรรมชาติ ก็อาจเนื่องมาจากผู้ที่เสียชีวิตด้วยสาเหตุดังกล่าวนั้น พวกเขาได้ประสบกับเหตุการณ์ที่รุนแรงน่ากลัว เกิดขึ้นกะทันหันไม่ทันตั้งตัว เกิดอุบัติเหตุ หรือถูกฆาตกรรม จึงจำได้ฝังใจเหมือนกับที่บุคคลทั่วไปได้ประสบเหตุการณ์ลักษณะเหล่านี้แล้วจำได้จนวันตาย อาจประกอบด้วยความคั่งแค้นที่หนักแน่นมั่นคง อาจประกอบด้วยความเป็นห่วงหรือเสียดาย ในสิ่งที่ยังไม่ได้ทำหรือสิ่งที่ตั้งใจไว้ ทำให้เกิดความคิดถึงระลึกถึงอยู่เสมอ จึงทำให้ความทรงจำเกี่ยวกับเหตุการณ์นั้นๆถูกยกขึ้นมาอยู่ในระดับเดียวกันหรือในระดับใกล้เคียงกับวิถีจิต(จิตสำนึก Consciousness) เมื่อสืบชาติมาเกิดใหม่จึงมีโอกาสที่จะจำอดีตชาติได้มากกว่าผู้ที่เสียชีวิตด้วยสาเหตุธรรมชาติ เช่น เสียชีวิตเนื่องจากโรคภัยไข้เจ็บ เพราะเหตุว่าก่อนจะเสียชีวิต ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะรับรู้ถึงอาการผิดปกติต่างๆที่เกิดกับร่างกายมาก่อนแล้ว จึงมีเวลาทำใจให้พร้อมรับกับความตายที่กำลังจะมาถึง อีกทั้งเป็นเหตุการณ์ที่ไม่มีความรุนแรง เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติของแต่ละบุคคลไม่มีใครทำให้เกิด จึงไม่เป็นเหตุให้เกิดความฝังใจ แค้นใจ ความทรงจำนั้นๆจึงไม่ค่อยจะมั่นคงหนักแน่นหรือไม่ถูกระลึกอยู่เสมอจึงถูกเก็บไว้ในระดับของภวังคจิต(จิตใต้สำนึก Unconsciousness)ที่ลึกลงไปทำให้โอกาสที่จะจำอดีตชาติได้ด้วยความทรงจำปกติ จึงมีน้อยกว่าผู้ที่เสียชีวิตด้วยสาเหตุที่ผิดธรรมชาติ

    ในพระไตรปิฎก มีการแสดงถึงการมีสติระลึกรู้สึกตัว ขณะที่วิญญาณก้าวลงสู่ครรภ์มารดา ขณะอยู่ในครรภ์ และขณะคลอดจากครรภ์มารดา ดังปรากฏใน
    สัมปสาทนียสูตร ความว่า

    พระสารีบุตร ได้กราบทูลสรรเสิรญธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงแล้วว่า
    ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ยังมีอีกข้อหนึ่ง เป็นข้อธรรมที่เยี่ยม คือ
    พระผู้มีพระภาคทรงแสดงธรรมในการก้าวลงสู่ครรภ์ การก้าวลงสู่ครรภ์ ๔ เหล่านี้
    คือ
    สัตว์บางชนิดในโลกนี้ ไม่รู้สึกตัวก้าวลงสู่ครรภ์มารดา ไม่รู้สึกตัวอยู่ใน
    ครรภ์มารดา ไม่รู้สึกตัวคลอดจากครรภ์มารดา นี้เป็นการก้าวลงสู่ครรภ์
    ข้อที่ ๑
    ยังอีกข้อหนึ่ง สัตว์บางชนิดในโลกนี้ รู้สึกตัวก้าวลงสู่ครรภ์มารดาอย่าง
    เดียว แต่ไม่รู้สึกตัวอยู่ในครรภ์มารดา ไม่รู้สึกตัวคลอดจากครรภ์มารดา นี้เป็นการก้าวลงสู่ครรภ์
    ข้อที่ ๒
    ยังอีกข้อหนึ่ง สัตว์บางชนิดในโลกนี้ รู้สึกตัวก้าวลงสู่ครรภ์มารดา รู้สึก
    ตัวอยู่ในครรภ์มารดา แต่ไม่รู้สึกตัวคลอดจากครรภ์มารดา นี้เป็นการก้าวลงสู่ครรภ์
    ข้อที่ ๓
    ยังอีกข้อหนึ่ง สัตว์บางชนิดในโลกนี้ รู้สึกตัวก้าวลงสู่ครรภ์มารดา
    รู้สึกตัวอยู่ในครรภ์มารดา รู้สึกตัวคลอดจากครรภ์มารดา นี้เป็นการก้าวลงสู่ครรภ์
    ข้อที่ ๔
    ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ นี้ก็เป็นข้อธรรมที่เยี่ยม ในการก้าวลงสู่ครรภ์
    (สุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค สัมปสาทนียสูตร)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 มีนาคม 2009
  6. TKKH

    TKKH เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    146
    ค่าพลัง:
    +554
    ระลึกชาติได้ จำอดีตชาติได้ ต่างกันอย่างไร

    ระลึกชาติได้ หมายถึง การระลึกถึงขันธ์ในอดีตชาติได้โดยการใช้วิธีการใดๆเพื่อให้ได้ มา ซึ่งความทรงจำในอดีตชาตินั้นๆ(ระลึกไม่ได้ด้วยความทรงจำปกติ) เช่น การสะกดจิต การฝึกสมาธิในรูปแบบต่างๆ การฝึกสมถกัมมัฏฐานหรือวิปัสสนากัมมัฏฐาน เป็นต้น
    จำอดีตชาติได้ หมายถึง การระลึกถึงขันธ์ในอดีตชาติได้ด้วยความทรงจำปกติ โดยไม่ต้องใช้วิธีการใดๆเพื่อให้ได้มาซึ่งความทรงจำในอดีตชาตินั้นๆ เช่น การระลึกถึงขันธ์ในอดีตชาติได้เองด้วยความทรงจำปกติตั้งแต่วัยเด็ก เป็นต้น
     
  7. ratercracker

    ratercracker เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    484
    ค่าพลัง:
    +729
    ไปเยี่ยมเว็บมาแล้วครับ อ่านไปเกือบหมดแล้ว น่าสนใจมากครับ ผมก็เป็นคนนึงที่คำถามกับตัวเองเหมือนกับคุณ tkkh แต่ด้วยภาระหน้าที่การงาน เลยไม่มีโอกาศศึกษาเรื่องนี้
    ถ้ามีโอกาส ก็อยากศึกษาเรื่องราวเหล่านี้ ตามหลักวิทยาศาสตร์และวิชาการ อย่างจริงจัง เหมือนกัน
     
  8. สุขและทุกข์

    สุขและทุกข์ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    107
    ค่าพลัง:
    +55
    ขอบคุณสำหรับข้อมูลดีๆครับ
     
  9. ramnamrin

    ramnamrin สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    35
    ค่าพลัง:
    +8
    ขอบคุณสำหรับ ข้อมูลดีๆ ครับ ชอบเหมือนกัน
     
  10. Srijun

    Srijun Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    437
    ค่าพลัง:
    +71
    ขอบคุณคับ น่าสนใจ
     
  11. TKKH

    TKKH เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    146
    ค่าพลัง:
    +554
    เกิดก่อนตาย ปริศนาที่ต้องการคำตอบ

    จากการติดตามศึกษาผู้ที่จำอดีตชาติได้จำนวนมากพบว่ามีหลายกรณีที่ผู้ศึกษาวิจัยยังไม่สามารถหาคำอธิบายได้ เกี่ยวกับ"การเกิดก่อนที่จะเสียชีวิต"คือเราพบกรณีของเด็กที่จำอดีตชาติได้ที่อ้างว่าตัวเขาเป็นบุคคลที่เสียชีวิตไปแล้วมาเกิดใหม่ซึ่งทั้งครอบครัวในอดีตชาติและครอบครัวในปัจจุบันชาติพิสูจน์แล้วว่ามีความเป็นไปได้ที่จะเป็นความจริง<O:p</O:p
    แต่ปัญหาอยู่ที่ว่า บุคคลที่เสียชีวิตที่เด็กอ้างว่าคือตัวของเขานั้นเพิ่งจะเสียชีวิตเมื่อตอนที่เด็กเหล่านี้เกิดเป็นทารกในครรภ์ก่อนแล้ว 1 เดือนบ้าง 2 เดือนบ้าง หรือบางกรณีเกิดเป็นทารกในครรภ์ก่อนแล้ว 9 เดือน ใกล้จะคลอดแล้วยิ่งไปกว่านั้นบางกรณีทารกนั้นคลอดออกมาได้ 1 วันแล้ว บางรายคลอดออกมาได้ 6 วันแล้ว <O:p</O:p
    จึงเกิดคำถามที่ยังเป็นปริศนาอยู่ว่า"คนเราเกิดก่อนที่จะเสียชีวิตได้ด้วยหรือ แล้วอะไรที่ไปเกิดก่อน"ยกตัวอย่างกรณีของ<O:p</O:p

    เด็กชายพงศธร ศรชัย (เกิดเป็นทารกในครรภ์แล้ว 2 เดือน)<O:p</O:p


    เด็กชายวัชระ ใจเร็ว (เกิดเป็นทารกในครรภ์แล้ว 7 เดือน)<O:p</O:p


    เด็กชายพลวัฒน์ จุลโพธิ์ (เกิดเป็นทารกในครรภ์แล้ว ๙ เดือน)<O:p</O:p


    เด็กชายฤทธิ์ไกร โนนน้อย (เกิดเป็นทารกในครรภ์แล้ว ๔ เดือน)<O:p</O:p


    เด็กชายโสภณ ขำพาลี (คลอดได้ 6 วัน)<O:p</O:p


    นอกจากนี้ยังมีกรณีของการสลับร่างคือมีกรณีที่เด็กคนหนึ่งในประเทศอินเดียอายุ 3 ขวบ กับ 6 เดือนเป็นไข้ทรพิษ(ฝีดาษ)ตายพอญาติๆจะนำไปฝังเขากลับฟื้นขึ้นมา และหลายอาทิตย์ต่อมาโรคฝีดาษนั้นก็ค่อยๆหายไปแต่พออาการดีขึ้นเริ่มพูดได้ เขากลับบอกว่าตัวเขาเป็นชายหนุ่มอายุ 22 ปีที่เสียชีวิตเนื่องจากถูกลูกหนี้วางยาพิษจนหน้ามืดตกจากรถเทียมวัวและศีรษะฟาดพื้นเสียชีวิตซึ่งเด็กที่ตายด้วยโรคฝีดาษนั้นชื่อว่านายชาสพีระ (Jasbir) ส่วนชายหนุ่มอีกคนนั้นชื่อว่า โสภาราม ซึ่งนายชาสพีระก็ยังมีชีวิตอยู่ต่อมา<O:p</O:p

    มีคำถามว่า <O:p</O:p


    "การสลับร่าง" "การสิงร่าง"หรือ"การสิงร่างถาวร" <O:p</O:p


    มีจริงหรือไม่แล้วในพุทธศาสนาเรามีคำอธิบายเกี่ยวกับเรื่องนี้หรือไม่<O:p</O:p


    เท่าที่ทราบในพระไตรปิฎกมีกล่าวถึงการเข้าสิงร่างที่ตายไปแล้วใน <O:p</O:p


    ปาฏิกสูตร<O:p</O:p


    ความว่า


    โอรสเจ้าลิจฉวีชื่อสุนักขัตตะ ได้ทราบข่าวว่า โกรักขัตติยอเจลก<O:p</O:p


    ได้ตายด้วยโรคอลสกะ ได้ถูกเขานำไปทิ้งไว้ที่ป่าช้าชื่อวีรณัตถัมภกะครั้นแล้ว<O:p</O:p


    จึงเข้าไปหาศพโกรักขัตติยอเจลกที่ป่าช้าชื่อวีรณัตถัมภกะแล้วจึงเอามือตบซากศพ<O:p</O:p


    เขาถึง ๓ ครั้ง แล้วถามว่า ดูกรโกรักขัตติยะ ท่านทราบคติของตนหรือครั้งนั้น<O:p</O:p


    ซากศพโกรักขัตติยอเจลกได้ลุกขึ้นยืนพลางเอามือลูบหลังตนเองตอบว่าดูกรสุนักขัตตะผู้มีอายุ ข้าพเจ้าทราบคติของตนอยู่คือข้าพเจ้าไปบังเกิดในเหล่าอสูรชื่อกาลกัญชิกา ซึ่งเลวกว่าอสุรกายทั้งปวง ดังนี้ <O:p</O:p


    แล้วล้มลงนอนหงายอยู่ ณ ที่นั้นเอง<O:p</O:p

    <O:p</O:p

    ขอคำอธิบายจากผู้รู้เกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้หน่อยครับ<O:p</O:p

    <O:p</O:p

    TK<O:p</O:p


    www.reincarnation.tk<O:p</O:p

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 เมษายน 2009

แชร์หน้านี้

Loading...