สัมมาทิฎฐิเป็นไฉน( ไม่ธรรมดา )

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย ขันธ์, 5 มีนาคม 2009.

  1. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    ใจบริสุทธิ์ มันจะไม่แตกออกไปในทางผิดศีล เช่น ใจที่จะแตกออกไปในทางปาณาติบาต ไม่มี
    ใจที่จะแตกออกไปในทาง มุสา ไม่มี
    ใจที่จะแตกออกไปในทาง สุราเมรย ไม่มี
    ใจที่จะแตกออกไปในทาง อทินนา ไม่มี
    ใจที่จะแตกออกไปในทาง กาเมสุมิจฉา ไม่มี

    เมื่อใจเป็นธรรม มันก็แตกออกไปแต่ทางธรรม และ สังโยชน์ตัวที่ยังละไม่ได้เท่านั้น

    ใจที่จะไปฝ่ายเบื้องต่ำ ไม่แตกออก
     
  2. แว๊ด

    แว๊ด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    982
    ค่าพลัง:
    +509
    ขันติ ข่มไว้ก่อนใช่ไหมคะ อึดอัดบ้าง เพราะบางอย่างทำจนชิน

    จนเป็นอุเบกขา วางเฉย โดยไม่รู้สึกอึดอัดที่จะรักษา งี้ถูกป่าวคะ

    บางครั้งรู้ว่าทำผิดศีล งี้ศีลกระพร่องกระแพร่ง แหงม ๆ ...
     
  3. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    ก็ ให้ใช้ ขันติ ข่มไว้ ไม่ทำตามกิเลส
    เมื่อ จิตจะสะสมบารมีแห่งขันติ นั้นจนมีกำลัง
    ก็ให้สังเกตุว่า บางคน อดทนมาก บางคนอดทนน้อยต่างกัน เพราะว่า สะสมความดี อันเป็นกุศลมาต่างกัน

    นั่นแหละ ให้มีขันติ วิริยะ ในการลด ละ กิเลส
     
  4. แว๊ด

    แว๊ด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    982
    ค่าพลัง:
    +509
    ทำทั้งที่รู้ว่าผิดศีล สงสัยโทษ ยกกำลังสอง แฮะ.... กรำเจร๊งง...
     
  5. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    ศีล ด่างพร้อย จะทำให้ จิตใจเศร้าหมอง โอนเอนได้ง่าย คลอนง่าย
    ทำอะไร ก็ไม่มั่นใจ
    แต่ ถ้าศีลมีกำลังแล้ว จะมั่นคง จิตใจจะไม่ไหวเอนบ่อย
    นั่นแหละจะทำให้เรา ประกอบความเพียรใน สมาธิ และ ปัญญาได้
     
  6. แว๊ด

    แว๊ด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    982
    ค่าพลัง:
    +509
    ไม่เป็นไร ผ่านไปแล้ว ผ่านไป ย้อนกลับไปไม่ได้ ทำใหม่ สู้.. สู้.....

    ขอบคุณนะค่า พอเข้าใจแล้วค่ะ
     
  7. โชแปง

    โชแปง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    851
    ค่าพลัง:
    +63
    คุณลองถือศีลอย่างนี้ดูสิ

    ข้อไหนที่เรามั่นใจว่าทำได้ ก็ให้สมาทานไป จะถือเป็นของมีค่าติดตัว

    แม้ลมหายใจสุดท้าย ก็ยังอิ่มใจได้ว่ารักษาข้อนี้มาตลอดชีวิต

    จากนั้นก็ทบทวนข้อที่เหลือ ค่อยๆลด ค่อยละ ค่อยถอน เพราะพิจารณาแล้ว
    เห็นแล้วกับตัวว่าเป็นโทษจริง จึงค่อยเก็บข้อที่เหลือ

    เราจะอิ่มใจทุกครั้งเมื่อเราผ่านเหตุที่ทำให้เราต้องละเมิดศีลมาได้

    ทีนี้เรื่องใจที่เป็นปกตินั่นแหละ คือศีลเราก็รู้

    ใจปกติเป็นบาตรให้พิจารณากิเลสที่เข้ามายุ่งย่ามหัวใจเราก็รู้

    อุปมาเหมือนเราอยู่ห้องที่มีเฟอร์นิเจอร์ครบ

    เราค่อยๆเอาออกทีละชิ้นจนห้องโล่งตา

    นั่นคือห้องปกติถูกไหม

    ทีนี้เมื่อมีใครเอาโต๊ะเข้ามา เราก็เห็นได้ชัด

    เมื่อมีใครเอาเตียงเข้ามา เราก็เห็นได้ชัด

    นี้คือใจที่ปกติย่อมแยกความไม่ปกติออกจากใจได้เป็นธรรมดา ครับผม
     
  8. โชแปง

    โชแปง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    851
    ค่าพลัง:
    +63
    คนรักษาศีลใหม่ๆ มันจะอึดอัด ไม่เป็นธรรมชาติเดิมของตน

    แต่เพราะสมาทานแล้ว ตั้งใจงดแล้ว มันก็ต้องอาศัยขันติ

    ใหม่อาจจะขันติ ทนเอาเพราะกลัวศีลขาด

    พอนานไปเริ่มเป็นปัญญา มันก็ไม่มีอะไรให้กลัว ให้อึดอัดต่อไป

    เพราะรู้เหตุรู้ผลของการรักษาศีลแล้ว
     
  9. แว๊ด

    แว๊ด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    982
    ค่าพลัง:
    +509
    ค่อย ๆ เก็บ ทีละข้อ ง่ายดีค่ะ แพ้มั่งชนะมั่ง เดี๋ยวก็ได้ สู้...สู้...
     
  10. nooy09

    nooy09 สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    54
    ค่าพลัง:
    +3
    เป็นการบ่มเพาะจิตใต้สำนึกเขาให้เคยชิน กับกุศลจิต ศีลจึงเป็นฐานของสติปัฎฐาน 4 งัย เมื่อมีสิ่งใดแปลกปลอมเข้ามาที่จิตใจ คืออกุศลจิต เราจะรู้สึกไม่ค่อยสบายใจ และร้อนรน นั่นเพราะจิตใต้สำนึก เค้ารู้ว่ากุศล กับ อกุสลเป็นอย่างไร เมื่อเรารู้ตัวแล้วก็ยังทำ จะทำให้เรารู้สึกร้อนรนใจเอง และจะไม่ทำผิดอีกเลยครับผม การพิจารณาแยกแยะ กุศลจิต กับอกุศลจิต มีความละเอียดมากขึ้น อยู่ที่จิตใต้สำนึกเค้าจะแยกแยะได้นั่นเอง เมื่อนั้นให้ดูใจตนเองเป็นหลัก เมื่อร้อนรน ก็ให้รู้ไว้ว่ามันขัดกันกับจิตใต้สำนึกของเขาที่มีศีลประจำใจอยู่แล้วครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 เมษายน 2009
  11. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    ก็อาจจะขำๆไปนะครับ สำหรับคนที่ยึดสมถะหนีการตามรู้ ตามดู หรือ วิปัสสนาเป็นหลัก

    คนที่ยึดวิปัสสนาเป็นกรรมฐานหลัก เน้นปัญญาที่เอาไว้ประหารกิเลสนั้น เขาจะเน้นการ
    เห็นกิเลส กิเลสไหนที่นักปฏิบัติพรรณาออกมาว่าเห็นอย่างนั้น อย่างนี้ จริงๆ เขาจะรู้
    อยู่ลึกๆว่า อันนี้คือการตามเห็น แปลว่า สติ ยังไม่เกิด จึงต้องตามรู้ ตามดูไปก่อน

    แต่กิเลสตัวไหนตามรู้ ตามดู จนจิตจดจำสภาวะธรรม อาการลักษณะของมันได้แล้ว กิเลส
    ชนิดนั้นจะหายไปแล้ว นักปฏบัติจึงรู้ว่า อะไรที่หายไปแล้ว ไม่ต้องไปทำการเห็นอีก เพราะ
    เพียงมันขยับเป็นเพียงอาการรูป มันก็วิรัตไปเรียบร้อยโดยที่ยังไม่ต้องไปรู้ว่ามันคืออะไร

    ส่วนตัวกิเลส ความปริเฉทของนามรูปที่ออกมาในรูปกิเลสอื่นๆ ก็จะยังต้องตามดู ตามรู้ไปอีก
    จนกระทั่งเห็นเหตุของมัน พอเห็นเหตุของมันก็จะจดจำสภาวะอาการรูปนั้นได้อีก ก็จะละไป
    อีก การภาวนาเจริญสติปัฏฐานจึงเป็นเรื่องการตัดภพ ตัดชาติ ตัดอนุสัย

    อะไรที่ตัดไปแล้ว เราจะเห็นเลยว่า มันดับไปเป็นธรรมดา คือ เกิดขึ้น และดับในขณะจิตถัด
    กันมาไปเลย

    ส่วนการเห็นกิเลสที่ครอบงำได้ ยังเอามาเล่าสู่กันฟังได้ อันนั้นเราเล่ากันเพราะมันยังไม่เห็น
    เป็นธรรมดา ก็เล่าสู่กันฟังเพื่อความบันเทิงธรรม คนที่ภาวนาเจริญสติตัวแท้ๆ ได้จะรู้กัน
    ลึกๆว่า ภาวนาได้สยดสยองน่าฟังแค่ไหน

    ส่วนการเอา สติ ที่เป็นเรื่องของสมถะ เข้าไปวิรัตินั้น มันจืดๆไป เหตุเพราะการวิรัติที่รวด
    เร็วยิ่งกว่าปรากฏเป็นทางแก่ใจให้เห็นแล้ว ศีลจึงเกิดขึ้นในใจ เพียงไม่กี่ขณะจิต เรียกว่า
    เกิด อธิศีล อินทรีย์สังวรณ์ศีล ซึ่งเลิศกว่า ศีลที่พิจารณาผละออกโดยยังอาศัยเจตนาอยู่

    แต่ก็ใช่ว่า นักปฏบัติที่เน้นวิปัสสนา เขาจะไม่ทำศีลที่ใช้เจตนาผลักออกนะ เพียงแต่เขาจะยัง
    ไม่ใช้โดยทันที หากมันไม่กระทบคนอื่น ยังไม่ถึงขั้นศีลขาด ศีลแหว่ง ก็จะอนุโลมดูไปก่อน
    เพราะเอาวิกฤติมาเป็นโอกาส เน้นการเจริญปัญญาตามความเป็นจริง ที่ทำได้ก็เพราะปัญญา
    กล้าแล้วถึงได้ลงไปได้ หากปัญญาอินทรีย์มีไม่พอ แสงก็ริบหรี่ มันก็กลัวๆ แบบนั้นก็คงต้องพึ่งสมถะไป

    สรุป นักวิปัสสนาที่เน้นปัญญา จะมีเครื่องมือจัดการกิเลสได้หลายระดับคือ

    1. ใช้สติ ระงับการหยั่งลงนามรูปไปเลย
    2. หากไม่ทัน ยังจดจำไม่ได้ สติ ยังไม่เกิด ก็จะใช้ อธิศีล อินทรีย์สังวรณ์
    3. หากไม่ทันอีก ก็จะใช้วิหารธรรม หรือ สมาธิ เข้าตัด
    4. หากไม่ทันอีก ก็จะใช้การ ปราวณาถือศีลที่เป็นข้อๆ<!-- google_ad_section_end -->

    * * * *

    เวลาเสวนาธรรม สมถะยานิกจะพรรณาการรักษาศีลที่ข้อ 3 และ 4 เป็นหลัก ทั้งนี้ก็
    เพราะตัณหาจริตที่รักความสงบ สงัดที่จะได้จากการทำฌาณ สมาธิ(สมถะยานิก)

    ส่วนวิปัสสนายานิกที่เจริญสติได้บ้างแล้ว จะหันไปพรรณาการรักษาศีลข้อ 2 เป็นหลัก
    ข้อ 1 จะไม่พูด เพราะรู้อยู่แก่ใจ และมักจะอ้างอิงให้ผู้อื่นทราบไม่ได้ ทั้งนี้มันไม่หยั่ง
    ลงไปก็จริง แต่เมื่อผัสสะกระทบ มันก็ผุดขึ้นอีกได้ ซึ่งจะเป็นไปอย่างนี้จนกว่าจิตจะ
    ตัดสินการเห็นนั้น ก็จะเข้าสู่มรรจิตผลจิตประหารกิเลสแบบสิ้นอาสวะไป ก็จะเป็นอัน
    สมุทเฉทประหารจริงๆ จังๆ ไม่เกิดขึ้นอีกเลย การลงไปทำสมาธิตามรูปแบบจึงใช้
    เมือถึงคราวจำเป็น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 เมษายน 2009
  12. โชแปง

    โชแปง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    851
    ค่าพลัง:
    +63
    นี่ " ทนในสิ่งที่ทนไม่ได้ นั่นแหละอดทน" ใช้ได้ตลอดชีวิตเลยนะ

    ได้ศีลด้วย ได้ปารมีด้วย


    • ทาน ไม่ลักขโมยไม่เบียดเบียนในกรรมสาม แล้วยังให้อภัย ให้ทรัพย์ ให้ชีวิตเป็นทาน
    • ศีล ตรงตัว ความปกติ
    • เนกขัมมะ ประพฤติตนอยู่ในศีล
    • ปัญญา พิจารณาถึงโทษของการล่วงศีลเนืองๆ
    • วิริยะ เพียรที่จะรักษา
    • ขันติ ทนต่อสิ่งยั่วยุ เหตุให้ละเมิด
    • สัจจะ ตั้งใจรักษาศีล
    • อธิษฐาน สมาทานซะ
    • เมตตา เพราะไม่เบียดเบียนชีวิตใคร ของของใคร
    • อุเบกขา วางใจเป็นกลาง ไม่สุดโต่ง
    _heart+love_
     
  13. Sriaraya5

    Sriaraya5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    3,079
    ค่าพลัง:
    +12,852
    ศีลจะบริสุทธิ์ได้ชัวร์ครับ

    เพราะเดินทางตรงไปสู่อมตะแล้ว
     
  14. nooy09

    nooy09 สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    54
    ค่าพลัง:
    +3
    อมตะ ในความหมายของท่านคืออะไรครับ ท่าน sriaraya5

    ;36
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 เมษายน 2009
  15. Sriaraya5

    Sriaraya5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    3,079
    ค่าพลัง:
    +12,852
    เพราะไม่บรรลุธรรม

    จึงไม่แจ้งในสรรพสิ่งล้วนพันเกี่ยว

    ด้วยมายาภาพลวงตา

     
  16. Sriaraya5

    Sriaraya5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    3,079
    ค่าพลัง:
    +12,852
    จะไม่มีการกลับมาตายอีกเป็นครั้งที่ 2
     
  17. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    คุณ ประหารได้แล้วหรือ ผมเห็น ไม่กี่วันก่อน ความหลง ความรู้ในเรื่องผิดๆ ยังกระจาย ยังจะเอามาสอนคนอื่นตามทิฎฐิตนอีกหรือ
     
  18. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    ผู้หลง ผู้หลง จะอุปทานไปไหน

    ใครกันที่กล่าวว่าประหารกิเลสได้แล้ว หยุดคิดเองเออเองได้แล้วครับ
     
  19. Sriaraya5

    Sriaraya5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    3,079
    ค่าพลัง:
    +12,852
    อย่างน้อยเราก็เลิกหลอกตัวเอง

    หมดก็คือหมด
    <!-- google_ad_section_end --> _heart+love_
     
  20. Sriaraya5

    Sriaraya5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    3,079
    ค่าพลัง:
    +12,852
    [​IMG]
    อย่างน้อยเราก็เลิกหลอกตัวเอง

    หมดก็คือหมด<!-- google_ad_section_end -->​
    _heart+love_<!-- google_ad_section_end --> ​
     

แชร์หน้านี้

Loading...