ห้องสวดมนต์ออนไลน์

ในห้อง 'บทสวดมนต์ - คาถา' ตั้งกระทู้โดย นทีมีทอง, 19 เมษายน 2009.

  1. นทีมีทอง

    นทีมีทอง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    29
    ค่าพลัง:
    +48
    รายการบทสวดมนต์
    1. บทสวดบูชาพระรัตนตรัย
    2. นโม
    3. พระคาถาชินบัญชร
    4. คำสมาทานกรรมฐาน ( สมาธิ)
    5. คำแผ่เมตตา
    6. คำอุทิศกุศล
    7. คำกรวดน้ำ


    ท่านสามารถเข้าไปสวดมนต์ในเว็ป นี้ได้ครับ........
    ดีมากๆ ครับ...........

    http://www.dhammajak.net/buddharoom.php


    <TABLE style="DISPLAY: inline; VERTICAL-ALIGN: middle" cellSpacing=0 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR><TD style="FILTER: Glow(color=red, strength=2)">อานิสงส์การสวดมนต์</TD></TR></TBODY></TABLE>
    สวนป่าสารัตถวโนทยานธุดงคสถาน
    วัดป่าบ้านหลุบ ต.แดงใหญ่ อ.เมือง จ.ขอนแก่น

    พิธีกรรมอันหนึ่งที่พวกเราพุทธบริษัทปฏิบัติกันมามิได้ขาดตั้งแต่โบราณกาลก็คือ การทำวัตร-สวดมนต์ หรือเราเรียกสั้นๆ ว่า ไหว้พระ ทำวัตร โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระภิกษุสามเณรด้วยแล้ว จะขาดเสียมิได้เลย นอกจากภิกษุสามเณรผู้นั้นจะป่วยไข้ หรือผู้รักษาพยาบาล ภิกษุสามเณรที่เป็นไข้ และผู้ที่กำลังเดินทาง ส่วนผู้ที่อยู่ป่าก็สวดมนตร์ทำวัตรตามลำพังผู้เดียว


    การทำวัตรสวดมนตร์นั้น ถ้าทำให้ถูกต้องประกอบไปด้วย สติปัญญา เข้าใจเหตุผล ในข้อ ความที่คิด ในกิจทำ ในถ้อยคำที่กล่าวอยู่นั้น จักมีคุณานิสงส์มากมายเหลือคณานับ ถึงขนาดเป็นหนทางหนึ่งแห่งการหลุดพ้น ดังที่พระพุทธเจ้าของเราได้ตรัสไว้ใน วิมุตติสูตรปัณณาสก์ที่ 1 แห่งปัญจกนิบาต อังคุตตรนิกาย พระไตรปิฎกเล่มที่ 22 ข้อ 26 หน้า 23 ว่าด้วย เหตุแห่งวิมุตติ 5 ประการ ในจำนวน 5 ประการนั้น มี การฟังธรรม, การเทศน์, การสวดมนตร์สาธยาย, การคิดอย่างละเอียด ประการสุดท้ายไม่มีทางเลือกต้อง ทำสมาธิให้จิตตั้งมั่น แล้วเพ่งลงไปที่ลักษณะอาการของ กาย เวทนา จิต ทั้งสามอันนี้เรียกว่า “ธรรม”


    เมื่อเห็นธรรมชัดเจนในจิตใจจนไม่สามารถจะยึดมั่นเอาอะไรมาเป็นตัวเราของเราได้ จิตก็ปล่อยวาง ของหนัก คือความทุกข์ทั้งปวงที่แบกไว้ในใจ เห็นความเป็นจริงว่ามันอย่างนั้นเอง จิตก็หลุดพ้นตามกำลังสติปัญญา จะมากน้อยสั้นยาวก็แล้วแต่สติ ปัญญาที่ปล่อยวางได้


    เหตุแห่งการหลุดพ้นปล่อยวางนี้มี 5 ประการ ให้เราเลือกดังกล่าวมาแล้ว


    การทำวัตรสวดมนตร์ ที่แปลเป็นภาษาของแต่ละชาติ เพื่อให้ตนเองเข้าใจความหมายและพินิจพิจารณาตามอย่างใจจดใจจ่อ จะก่อให้เกิดทั้ง สมาธิ และสติ ปัญญา ขึ้นอย่างลึกซึ้ง หากเป็นผู้มี พุทธจริต และปัญญินทรีย์ (ปัญญาเป็นใหญ่) ก็สามารถทำลายความเชื่อมั่นถือมั่น อันเป็นที่มาแห่งความทุกข์ทั้งปวงลงได้ ไม่มากก็น้อย


    พระศาสดาทรงตรัสไว้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อีกประการหนึ่ง (ใน 5 ประการ) พระศาส***็ไม่ได้แสดงธรรมแก่ภิกษุ แม้ภิกษุก็ไม่ได้แสดงธรรมเท่าที่ได้สดับ ได้ศึกษาเล่าเรียนมาแก่ชนเหล่าอื่นโดยพิสดาร (ไม่ได้ฟังเทศน์ และ ไม่ได้เทศน์ให้ใครฟัง ในขณะนั้น) ก็แต่ว่าภิกษุย่อมทำการ สาธยายธรรม ที่ได้สดับมาได้ศึกษาเล่าเรียนมาโดยพิสดาร เมื่อเธอเข้าใจอรรถเข้าใจธรรมย่อมเกิดปราโมทย์ เมื่อเกิดปราโมทย์แล้วย่อมเกิดปีติ เมื่อใจเปิดปีตีแล้วกายย่อมสงบ ผู้มีกายสงบแล้วย่อมได้เสวยสุข เมื่อมีสุขจิตย่อมตั้งมั่น


    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นเหตุแห่งวิมุตติข้อที่ 3 ซึ่งเป็นเหตุให้จิตของภิกษุผู้ไม่ประมาท มีความเพียร มีความเด็ดเดี่ยว ที่ยังไม่หลุดพ้น อาสวะที่ยังไม่สิ้นไปย่อมถึงซึ่งความสิ้นไป หรือเธอย่อมบรรลุธรรมอันเกษมจากโยคะชั้นเยี่ยมที่เธอยังไม่ได้บรรลุ


    นี้คือผลแห่ง การทำวัตรสวดมนตร์ อย่างรู้จักความหมาย ในการสวดนั้นๆ ย่อมส่งผลได้ไกล ถึงขนาดความหลุดพ้น อันเป็นเป้าหมายสูงสุดของพุทธศาสนา ท่านผู้รู้ทั้งหลายในสมัยโบราณจึงมี พิธีทำวัตรสวดมนตร์ มามิได้ขาด อย่างชนิดที่เรียกว่า ทำเป็นประจำเช้า-เย็น จนกลายมาเป็นความเคยชิน เลยเรียกการ กระทำนี้ว่า การทำวัตร

    ถ้าจะถามว่า วัตรคืออะไร? ทำไมจึงต้องทำวัตร? ทำวัตรนี้เพื่ออะไร? และทำวัตรโดยวิธีใด?...


    อะไร?...ทำไม?...เพื่ออะไร?... และ โดยวิธีใด? คำถาม 4 ข้อนี้ คือคำถามที่ชาวพุทธ จะต้องถามและจะต้องรับรู้คำตอบไปในตัวทุกเรื่องที่มาเกี่ยวข้อง มิฉะนั้นจะหนีไม่พ้นความงมงายไม่รู้จัก “สิ่งที่ตนคิด กิจที่ตนทำและคำที่ตนกล่าว” แม้สิ่งที่ตนทำอยู่เป็นประจำก็ยังไม่รู้ว่าคืออะไร ทำไปทำไม ทำเพื่ออะไร และจะทำให้ถูกต้องโดยวิธีใด ไม่สามารถรู้ได้


    การทำวัตร คืออะไร? วตฺตํ แปลว่า หน้าที่ประจำ เป็นภาษาบาลี มีความเป็นมาจากการเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า เช้า-เย็น เมื่อเข้าเฝ้าต้องกราบต้องไหว้และคอยฟังคำสาธุการ พร่ำพรรณนาถึงพระพุทธคุณมหาศาล ตลอดทั้งพระธรรมคุณ พระสังฆคุณ ด้วยใจเคารพ เตือนสะกิดใจ ค่ำ-เช้า เร้าใจให้เกิดศรัทธาปราโมทย์ ตลอด ตั้งตอกย้ำซ้ำเตือนถึงคำสั่งสอนที่เป็น พหุลานุสาสนี คือ คำสั่งสอนที่พระองค์ทรงพร่ำสอนมาก คือ เรื่อง ขันธทั้ง 5 จำแนกแยกแยะออกมาให้เห็นว่า ขันธ์ 5 ทำให้เราเป็นทุกข์ เพราะหลงยึดมั่นใน ขันธ์ทั้ง 5 นี้


    สรุปแล้วการทำวัตรสวดมนตร์ก็คือการเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า ด้วยกาย คือการกราบไหว้ เข้าเฝ้า ด้วยวาจา คือการสวดมนตร์สาธยายสรรเสริญพระคุณ และใคร่ครวญพระธรรมคำสั่งสอนในบทสวดนั้นจนทำให้เกิดปัญญารู้แจ้ง เข้าใจตามเนื้อหาสาระในการสวด จิตใจในขณะนั้นจะมีทั้งสติ สมาธิ ปัญญา เป็นจิตชนิดเดียวกับจิตพระพุทธเจ้าด้วยใจ


    การเฝ้าทั้ง ทางกาย วาจา ใจ เมื่อทำบ่อยๆ ก็กลายเป็นนิสัยทำเป็นประจำจึงมี “ทำวัตร” หรือ “ทำกิจวัตร” กิจที่ทำประจำนั่นเอง ฝนตกลงทุกๆ ปี ชาวนาก้ตกกล้าไถหว่านปักดำตามปกตินั่นแหละคือชาวนาทำวัตร แม่ค้าหาบขนมออกไปขายทุกๆ วันนั่นแหละคือแม่ค้าทำวัตรแหละ


    ทำไมจึงต้องทำวัตร? เมื่อเรามีพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่งแล้วอย่างนี้ เราก็ต้องเข้าใจ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อย่างถูกต้องว่า จะเป็นที่พึ่งของเราได้อย่างไร การทำวัตรนั้นนอกจากจะเป็นการเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า ทางกาย วาจา ใจแล้ว ก็ยังเป็นการทบทวนบทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ให้เข้าใจมากขึ้นแล้วๆ เล่าๆ ซ้ำแล้วซ้ำอีกพูดไปสวดไป ใคร่ครวญไปพิจารณาในใจก็จะค่อยๆ เข้าใจขึ้น เช่นตัวอย่างในบท ธัมมาภิคีติง ตอนหนึ่งว่า


    ธมฺโม กุโลกปตนา ตทธาริธารี
    แปลว่า เป็นธรรมทรงไว้ซึ่งผู้ทรงธรรม จากการตกไปสู่โลกที่ชั่ว


    ถ้าเราสวดแต่เพียงภาษาบาลี เราก็ไม่รู้ความหมาย เพียงแต่เกิดศรัทธา แต่ยังไม่เกิดปัญญา ความเข้าใจ แต่พอเราแปลเราก็รู้ความหมาย การรู้ความหมายก็ยังไม่เกิดความเข้าใจ เราจะเข้าใจก็ต่อเมื่อขณะที่เราสวดทุกครั้งไป คิดไปใคร่ครวญไปบ่อยๆ เข้า วันหนึ่งเราจะเกิดความรู้สึกสะดุดความคิดตัวเองขึ้นมาว่า เอ! คำว่า เป็นธรรมทรงไว้ซึ่งผู้ทรงธรรม จากการตกไปสู่โลกที่ชั่ว มันมีความหมายซ้อนกันอยู่ในตัว


    นั่นคือ มี 2 “ธรรม” และ 2 “ทรง” ก่อนที่ธรรมนั้นจะทรงไว้ซึ่งบุคคลนั้นไม่ให้ไปสู่โลกที่ชั่ว บุคคลนั้นต้องเป็นผู้ทรงธรรมไว้ในใจก่อนอย่างเพียงพอ โอ! มันเป็น อย่างนี้ ยิ่งคิดดูสภาพหยาบๆ ทั่วๆ ไปก็เห็นได้อย่างชัดเจน


    ตัวอย่างเช่น คนหัดสูบบุหรี่ คนหัดเคี้ยวหมาก ดื่มเหล้า เหล่านี้ก่อนที่จะติดมัน ตกเป็นทาสของมันจนออกไม่ได้ โงหัวไม่ขึ้นนั้นบุคคลนั้นต้องหัดสูบบุหรี่จนปวดหัว จนสำลักควัน ทั้งไดทั้งจาม หัดเคี้ยวหมากจนปากเปื่อยลิ้นเป็นแผลเพราะถูกปูนกัดจนกินข้าวลำบากหัดกินเหล้าจนหน้าบิดหน้าเบี้ยว จนรากจนอาเจียน คลื่น***ยนเวียนเกล้าหัดไปหัดมาเลยติด ไม่ลืมสูบ ไม่ลืมเคี้ยว ไม่ว่ากลางวันกลางคืน


    โอ! นี้คือสภาพที่ “ทรง” กันไว้เป็นหมากที่ทรงไว้ซึ่งผู้ทรงหมาก (ผู้เคี้ยวหมาก) จากการตกไปสู่การเคี้ยวหมาก เป็นบุหรี่ที่ทรงไว้ซึ่งผู้ทรงบุหรี่จากการตกไปสู่การลืมสูบบุหรี่ ลักษณะอาการเช่นนี้แหละหนอ คือความหมายคำว่า “ธมฺโม กุโลกปตนา ตทธาริธารี เป็นธรรมทรงไว้ซึ่งผู้ทรงธรรมจากการตกไปสู่โลกที่ชั่ว” ก็เป็นเช่นนี้


    นอกจากนี้แล้ว การทำวัตรสวดมนตร์ยังทำให้เราดำรงไว้ซึ่งหลัก “คารวตา” อันเป็นเหตุให้ศาสนาตั้งมั่นยืนนานสืบต่อไป


    การกราบไหว้ทุกเช้าทุกเย็นต่อพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ นั้นเป็นการแสดงอกถึงความเคารพต่อพระรัตนตรัยอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย การสาธยายพร่ำพรรณนาถึงพระคุณและอานุภาพอันยิ่งยอดของ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อย่างเข้าใจ ความหมายแล้ว ยิ่งเพิ่มพูนศรัทธาปสาทะ ความเชื่อ ความเลื่อมใส อันเป็นตัวกำลังให้ประกอบคุณงาม ความดี และคุณค่าของสิ่งทั้งหลาย


    ถ้าเราไม่เคารพ ไม่ศรัทธาในสิ่งใด สิ่งนั้นก็จะหมดความหมายไร้คุณค่าสำหรับลูกคนนั้น ครูบาอาจารย์ผู้มีคุณต่อศิษย์ แต่ศิษย์ขาดความเคารพ และศรัทธาครูบาอาจารย์นั้นก็หมดความหมายไร้ค่าสิ้นประโยชน์


    เช่น พระเทวทัตบวชอยู่กับพระพุทธเจ้า แต่ไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย เพราะหมดศรัทธาต่อพระพุทธเจ้า แต่ไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย เพราะหมดศรัทธาต่อพระพุทธเจ้า อีกคนคือ สุนักขัตตะลิจฉวีบุตร บวชอยู่ในพระพุทธเจ้า เดินตามหลังพระพุทธเจ้าไป แต่ใจกลับหมดศรัทธาหมดความเคารพต่อพระพุทธเจ้า เมื่อเหลือบไปมองเห็นพวกนักบวชเปลือยคลานด้วยเข่า เอามือกอบกินอาหารเข้าก็เกิดศรัทธานักบวชนอกศาสนาเหล่านั้น ทั้งๆ ที่ตนเองบวชเป็นภิกษุในพุทธศาสนาเดินตามหลังพระพุทธเจ้าอยู่แท้ๆ ต้องลาสิกขากับพระพุทธเจ้าแล้วไปบวชกับนักบวชนอกศาสนา เขาเลยไม่ได้ประโยชน์อะไรจากพระพุทธเจ้า ดูเอาเถิดท่านทั้งหลาย นั้นคือความไม่มีศรัทธาไม่มีความเคารพก็หมดคุณค่า ไม่เห็นความมีค่า ไม่เห็นคุณ


    หนุ่มชาวบ้านนอกคนหนึ่ง เคยทำไร่ทำนามาแต่อ้อนแต่ออก อยู่กับทุ่งนาป่าเขามาตลอด แต่พอวันหนึ่งเขาได้ไปในเมือง ไปพบกับแสงสีเสียงเครื่องยั่วย้อมมอมเมาจิตใจให้ใหลหลง


    เขาได้ดูหนังเรื่องหนึ่ง มันเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับเด็กบ้านนอก หนีออกจากบ้านไปเผชิญโชคชะตาในเมืองหลวง จนได้รู้จักมักคุ้นกับคนในสังคมเมืองอย่างกว้างขวาง จนวันหนึ่งได้ออกเดินทางไปทำงานต่างประเทศ ได้เงินเดือนเป็นหมื่นสองหมื่น ชีวิตผิดกันไกลลิบลับตอนที่อยู่บ้านนอกทำไร่ทำนา กลับบ้านพร้อมด้วยเงินก้อนโต ใช้จ่ายอย่างสะดวกสบาย


    หลังจากนั้น เด็กหนุ่มชาวนาก็กลับบ้าน จิตใจเขาห่อเ***่ยวแห้งแล้ง คิดถึงสภาพสังคมเมือง คิดเห็นเรื่องราวในหนัง อยากจะเป็นเหมือนเด็กบ้านนอกคนนั้น คนที่ไปทำงานเมืองนอกนั้น ฝันใฝ่ละห้อยหาอนาคตอันสดใส ท่ามกลางความมืดมนในทุ่งกว้าง เขาหมดศรัทธาในการทำนา เขาอยากไปทำงานในเมืองนอก เมื่อศรัทธาหมดมันก็หมดการกระทำ


    พระเณรหมดศรัทธาในธรรมวินัยก็ลาสิกขา ข้าราชการหมดศรัทธาในตำแหน่งหน้าที่ก็ไม่เอาใจใส่ทำไปวันๆ รอคอยให้หมดเวลา ไม่รับผิดชอบหรือไม่ก็ลาออกเลย เมื่อหมดศรัทธาแล้วก็หมดความเคารพเมื่อหมดความเคารพก็ไม่ต้องทำตาม เมื่อไม่ทำตามแล้วเหินห่างร้างราหรือเหยียบย่ำทำลายไปเลย


    เช่น บางคนบวชเป็นมหา เล่าเรียนมาจากวัดจนได้เป็นเจ้าเป็นนาย แต่ไม่มีศรัทธา สึกออกมาแล้วไม่เข้าวัดเข้าวา เป็นหัวหน้าในการเหินห่างศาสนา คำว่า วัด คำว่า ศาสนา ไม่มีในสำนึกของเขาเลย บางคนซ้ำร้ายไปกว่านั้น ยอมขายตัวให้ศาสนาอื่น


    นี้คือ วิกฤตการณ์ ที่เกิดจากความไม่มีศรัทธา ความไม่เคารพความสำคัญของศรัทธานี้มีมาก พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า


    สทฺธา พนฺธติ ปาเถยฺยํ ศรัทธารวบรวมไว้ซึ่งเสบียงหรืออาหารแห่งการกระทำทั้งปวง ถ้าหมดเสบียงแล้ว มันก็ไม่มีแรงทำอะไรเลยหมดแรง
    สทฺธา สาธุ ปติฏฐิตา... ศรัทธามีอยู่อย่างมั่นคงแล้ว ทำอะไรก็ให้สำเร็จ


    จะปฏิบัติธรรมก็ต้องอาศัยศรัทธาเป็นกำลังเบื้องต้น ไม่หมด ศรัทธา ก็ ไม่หมดความเพียร เมื่อมี ความเพียร อยู่ตลอด มันก็มี สติ เมื่อมี สติ ปรากฏ สมาธิ ก็ตั้งมั่น เมื่อ สมาธิ ตั้งมั่นก็เกิด ปัญญา มันจะวิ่งตามกันมาเป็นพรวนเลยเป็นขบวนรถไฟ เมื่อหมดศรัทธามันก็หมดความเพียร มันก็ประมาทขาดสติ หมดสมาธิ ขาดปัญญา ศรัทธาจึงชื่อว่าเสบียงหรือกำลัง ความเสื่อมของศาสนาเริ่มต้นที่เสื่อมศรัทธา


    พี่น้องชาวอิสลามมีความมั่นคงมากในศาสนา ศรัทธาต่อพระอัลเลาะห์ วันหนึ่งๆ ต้องไหว้ ต้องสลาห์วันละ 5 ครั้ง ความร่ำร่วยอย่างมหาศาลในยุคเทคโนโลยีถึงขนาดในประเทศซาอุดิอารเบียกลางทะเลทรายอันอ้างว้าง ในท่ามกลางเปลวแดดอันแผดเผา บนดินขาดหญ้า... บนฟ้าขาดฝน แต่กลายเป็นชุมชน ทุกชาติในค่ายเสรีกลายเป็นนครแห่งการแสวงหาด้วยอำนาจเงินตราเสน่ห์อัสสาทะวัตถุนิยม


    ความเจริญด้วยโภคทรัพย์ถึงขนาดสายการบินในประเทศเหมือนรถสองแถวบนเส้นทาง รพช. บ้านเรา ความเจริญอย่างรวดเร็วชนิดก้าวลงจากหลังอูฐกลางทะเลทราย โดดขึ้นนั่งจัมโบ้เจทติดแอร์เหินฟ้า เหมือนหลุดออกจากนรกแล้วขึ้นสวรรค์


    แต่ถึงขนาดนั้นศรัทธาในพระอัลเลาะห์เจ้าก็ไม่ได้เสื่อมคลาย วิถีชีวิตของพี่น้องชาวมุสลิมทางด้านจิตใจยังมิได้เปลี่ยนแปลง ยังคงกราบไหว้วันละ 5 ครั้งอยู่เป็นประจำ ไม่ว่าจะอยู่ในห้องแอร์ท่ามกลางมักตัป (สำนักงาน) หรือในรถเก๋งติดแอร์ ในแคมป์เลี้ยงอูฐเลี้ยงพระ ในร้านค้าซุปเปอร์มาเก็ต เขาจะหยุดทุกอย่างไว้ก่อนชั่วขณะยกเวลานั้นเพื่อพระผู้เป็นเจ้า


    สถานีโทรทัศน์ วิทยุ ทุกแห่งทุกช่อง ต้องแพร่ภาพขยายเสียงถ่ายทอดการไหว้ การสลาห์เหมือนกันหมด บริษัทใหญ่ๆ น้อยๆ ต้องมีสถานที่ละหมาด มัสยิดชั่วคราว (วัดชั่วคราว) ทุกแห่ง ตั้งแต่ผู้จัดการถึงกรรมกร ผู้นับถือศาสนาอิสลามต้องละหมาดสลาห์พร้อมกัน ทุกๆ ชีวิตเสมือนเครือญาติอันเดียวกัน ท่ามกลางอ้อมกอดแห่ง “อิสลามมิกธรรม” น่าสรรเสริญศรัทธายิ่ง


    เพราะเหตุนั้นแหละ ศาสนาอิสลามจึงมั่นคง เพราะเหตุแห่งศรัทธา ท่านทั้งหลายอย่าได้ไปหัวเราะเยาะหรือล้อเล่น


    พระพุทธเจ้า ท่านถือว่าสำคัญมาก ถึงขนาดว่า สทฺธา พนฺธติ ปาเถยฺยํ... ศรัทธารวบรวมไว้ซึ่งเสบียง คนโบราณปลูกฝังศรัทธาได้อย่างมั่นคง จนถึงขนาดว่าฟังเทศน์พระเวสสันดรให้ครบ คาถาพัน ในวันเดียว จึงจะได้เกิดทันพระศรีอาริย์ เก็บดอกบัวบูชาพระรัตนตรัยให้ได้ 84,000 ดอก จะเกิดทันพระศรีอริยะเมตตรัย


    คิดดูเถิด... มันจะต้องใช้ศรัทธาสักขนาดไหน มันไม่ใช่เรื่องเล่นๆ ดอกบัว 84,000 ดอก จะต้องลุยตมลุยโคลนไปเก็บมาบูชา อาตมาว่าไม่ต้อง 84,000 ดอก สัก 8,000 ดอกนี้ก็ถึงโลกพระศรีอาริย์แน่


    การฟัง คาถาพัน ในพระเวสสันดรนั้นก็ต้องใช้ศรัทธาชนิดที่เรียกว่า มุทุปสันนา จิตใจอ่อนน้อมนิ่มนวล พร้อมที่จะทำดีได้ทุกประการนี้ มันทำชั่วไม่ได้หรอก ถ้าเปรียบเหมือนทองคำก็เป็นทองคำบริสุทธิ์ ต้มละลายแล้ว พร้อมจะหล่อหลอมเป็นอะไรก็ได้


    ศรัทธาชนิดนี้แหละที่พ่อแม่ของเราได้มาได้รับศาสนามาถึงเราแต่พวกเราจะรักษาต่อไปได้ไหม ถ้าขาดศรัทธาแล้วมันรักษาไว้ไม่ได้หรอก มันหมดเสบียง พระพุทธเจ้าของเราท่านได้ตรัสไว้กับพระมหากัสสปะที่เชตวัน นครสาวัตถึ มีข้อความตอนหนึ่งว่า


    ดูก่อนกัสสปะ ธาตุดินยังพระสัทธรรมให้เลือนหายไปไม่ได้ ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม ก็ยังพระสัทธรรมนี้เลือนหายไปไม่ได้ที่แท้ โมฆบุรุษ ในโลกนี้ต่างหาก เกิดขึ้นมาก็ทำให้พระสัทธรรมนี้เลือนหายไป เปรียบเหมือนเรือจะล่ม็เพราะต้นหน นายท้าย คนแจวเรือ คนท้ายนั้นแหละทำให้ล่ม


    ดูก่อนกัสสปะ เหตุฝ่ายต่ำ 5 ประการ นี้ ย่อมเป็นเหตุให้พระสัทธรรมฟั่นเฟือนเลือนลางจางหายเสื่อมไป


    เหตุฝ่ายต่ำ 5 ประการอย่างไร คือ ภิกษุ ภิกษุนี อุบาสก อุบาสิกาในศาสนานี้ (ในธรรมวินัยนี้) ไม่เคารพยำเกรงในศาสดา ในพระธรรม ในพระสงฆ์ ในสมาธิ เหตุ 5 ประการนี้แหละจำทำให้พระสัทธรรม ให้พระศาสนาฟั่นเฟือนเลือนลางจางหายไปในที่สุด


    ตรงกันข้าม ถ้าหากพวกเราทั้งหลายยังเคารพยำเกรงต่อพระศาสดา พระธรรม พระสงฆ์ ต่อสิกขาการปฏิบัติ ต่อสมาธิการฝึกจิตให้ยิ่งอยู่ พระศาสนาก็ยังตั้งมั่น ไม่ฟั่นเฟือนเลือนลางจางคลายความเสื่อมคลาย มั่นคงตลอดไป (แปลตามสบายจากสัทธัมมปฏิรูปกสูตร สํ. นิ. 16/533-534-535/264 พระไตรปิฏก บาลีสยามรัฐ)


    คิดดูเถิด บุคคลผู้ที่เคารพ พระศาสดา พระธรรม พระสงฆ์ การศึกษา การฝึกฝนจิตในสมาธินั้น คือคนที่มีศรัทธา ถ้าขาดศรัทธาแล้วความเคารพจะมีมาจากไหน จะมีได้อย่างไร


    เดี๋ยวนี้พวกเราบางคน แม้จะบวชอยู่ในวัดก็ไม่มีศรัทธาในพระศาสนา ในพระธรรม ในพระสงฆ์ ในสิกขา ในสมาธิก็มี ถึงขนาดแสดงออกมาทางวาจาว่าหมดสมัยแห่งมรรคผลนิพพาน หนักๆ เข้าประมาทว่า ไม่ศรัทธาในกรรมฐาน ในสมาธิ


    คนชนิดนี้แหละที่พระพุทธเจ้าท่านเรียกว่า “โมฆบุรุษ” คนว่างจากแก่นสาร พวกเรากำลังเป็นอย่างนี้กันมากขึ้น เพราะขาดศรัทธาเพราะเหตุนั้นคำถามที่ว่า ทำไมจึงต้องทำวัตรเช้า-เย็น? ก็เพราะเหตุดังกล่าวมาแล้วในเบื้องต้นนั้นเอง


    ทำวัตรเพื่ออะไร?
    1. เพื่อปลูกฝังศรัทธาทุกเมื่อ ที่กราบลงต่อหน้าพระพุทธรูปนั้นทำความรู้สึกเสมือนหนึ่งว่าเรานั่งอยู่ต่อหน้าพระพุทธเจ้ากำลังเข้าเฝ้าทางกาย เปล่งวาจาสรรเสริญพระพุทธคุณ เหมือนเข้าเฝ้าด้วยวาจาในขณะเดียวกัน ความคิดวิตกไปทางชั่วต่อเบื้องหน้า พระพักตร์ของพระองค์ มันเป็นความสกปรก ความปราถนาอันลามกเช่นนั้นไม่สมควรเป็นอย่างยิ่ง


    เราจึงต้องตั้งใจกราบไหว้เปล่งวาจาออกมาพร้อมศรัทธาปสาทะ สติสัมปชัญญะ สมาธิ ปัญญามีพร้อม ถ้าขาดสมาธิมันก็หลงๆ ลืมๆ ตั้งนะโม 2 หนบ้าง 4 หนบ้างก็มี พูดผิดๆ ถูกๆ เลอะเทอะเปรอะเปื้อนไปหมด กราบ 2 หน 3 หน 4 หนก็มี จิตใจในขณะไหว้พระทำวัตรนั้นจะต้องสะอาดด้วยศีล สงบระงับด้วยสมาธิ สว่างสไวด้วยสติปัญญา ศีล สมาธิ ปัญญา มีพร้อมในขณะนั้น เป็นอันว่าเพื่อการเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าด้วย กาย วาจา ใจ ทุกเมื่อ ปลูกฝังศรัทธาเคารพพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ (การปฏิบัติ) และสมาธิทุกเมื่อ


    2. ทำวัตรเพื่อบริหารสมอง กำหนดจดจำ ท่องบ่น สาธยายบทพระธรรมให้คล่องปากเจนใจ อันจะนำไปสู่ปัญญาหลังจากใคร่ครวญอย่างละเอียดถี่ถ้วนใน ใจทุกขณะ อันเป็นเหตุแห่งการหลุดพ้นประการหนึ่งในจำนวน 5 ประการ


    3. เพื่อเป็นการเข้าโรงเรียน เรียนภาษาบาลีแปลไปในตัว เป็นการเจริญปัญญาบารมีไปในตัว


    4. เพื่อเป็นการสอบทานตัวเอง เช้า-เย็น เจริญพุทธานุสติ ธัมมานุสติ สังฆานุสติ อบรมจิตใจให้มีสมาธิอยู่เสมอ เวลาได้สติสัมปชัญญะ สมาธิมีพร้อมกันทั้งหมู่คณะ การสวดพร้อมเพรียงกังวานนิ่มนวลชวนให้เกิดศรัทธาปสาทะยิ่งนัก


    5. เพื่อเป็นการสอบทานตัวเอง ทบทวนตักเตือนตนเองอยู่ตลอดไปว่าเราเป็นพระสงฆ์ที่ปฏิบัติดี สุปฏิปันโน ปฏิบัติตรง อุชุปฏิปันโน ปฏิบัติสมควรแก่การกราบไหว้แล้วหรือยัง? สมควรแก่การจะพ้นจากทุกข์หรือยัง? สมควรรับของบูชาหรือยัง? สมควรรับของชาวบ้านหรือไม่? สอบถามตัวเองบ่อยๆ อย่างนี้


    ทำโดยวิธีใดไม่น่าจะเป็นปัญหา เมื่อพูดมาถึงขั้นตอนนี้แล้ว แต่ก็ควรทำความเข้าใจให้ยิ่งขึ้นว่าจะทำโดยวิธีใด


    ตามปกติตั้งแต่โบราณกาลมาเราเคย ทำวัตร กันแต่ภาษาบาลีสวดกันไปโดยไม่รู้ความหมาย แต่ถึงขนาดนั้นก็ยังช่วยให้เกิดศรัทธารักษาศาสนาให้ตกมาถึงเราจนบัดนี้ ถ้าเราทำวัตรกันโดยแปลเป็นภาษาไทยไปพร้อมกับภาษาบาลี ก็ยิ่งจำทำให้เกิดศรัทธาและปัญญาไปพร้อมกัน อันจะก่อให้เกิดความเข้าอกเข้าใจเป็นสัมมาทิฐิอันจะนำไปสู่มรรคผลนิพพานในที่สุด เพราะฉะนั้น การทำวัตรสวดมนตร์จึงมีอานิสงส์ มากมายมหาศาล


    ถ้าหากจะให้มีประโยชน์ยิ่งขึ้น ถ้าอยู่กันเป็นหมู่คณะมากๆ เมื่อสัญญาณระฆังดังขึ้นก็รีบมารวมกันด้วยอาการสงบ ใครมาถึงก่อนก็นั่งสมาธิคอยก่อนใครมาทีหลังก็ค่อยเถิบเลี่ยงเข้ามานั่งประจำที่ด้วยความเคารพ โดยไม่ทำให้เกิดเสียงที่จะเกิดอาการรบกวนเพื่อนฝูง พร้อมกับนั่งสมาธิก่อนอย่างน้อย 1 ชั่วโมง หรือ 2 ชั่วโมง หลังจากนั้นจึงสวดมนตร์ ทำวัตร ขณะที่จิตสงบอยู่เช่นนั้น ถ้อยคำที่เปล่งออกมาด้วยจิตที่สงบระงับ จะไพเราะซาบซึ้งในความหมายด้วยปีติปราโมทย์ จนขนลุกน้ำตาไหลซึมด้วยความปราโมทย์ อิ่มเอิบซาบซ่านด้วยปีติ


    ถ้าทำได้อย่างนี้นับวันแต่จะเจริญในธรรมวินัยในศาสนา เป็นบุญวาสนาของผู้ได้เข้าใกล้ได้พบเห็นอีกด้วย เพราะเหตุนั้นแหละ การทำวัตรจึงจำเป็นต้องทำกันอย่างต่อเนื่อง ไม่ควรทำเล่นๆ ควรทำด้วยความเคารพทุก เช้า-ค่ำ ไม่ใช่ทำแต่ในพรรษาเท่านั้น จะต้องทำตลอด เพราะนั้นคือกิจวัตรที่ทำประจำ ทั้งในพรรษาและออกพรรษา


    หากบุญกุศลอันใดอันจะพึงเกิดขึ้นจากบทความนี้ ขอให้บุญกุศลส่วนี้แผ่ไพศาลไปสู่เทพเจ้าเหล่ามนุษย์และปวงสรรพสัตว์ เพื่อนร่วมทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ทั้งหลายทุกถ้วนหน้า ขอพระธรรม คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจงสถิตสถาพรจีรังยั่งยืนอยู่ในโลกนี้ชั่วกาลนาน เทอญ.................................
     

แชร์หน้านี้

Loading...