ทำบุญแล้วอธิษฐาน กับทำบุญแล้วไม่อธิษฐาน อย่างไหนจะได้ผลดีกว่ากัน?

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย เทพออระฤทธิ์, 21 พฤษภาคม 2009.

  1. เทพออระฤทธิ์

    เทพออระฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    4,573
    กระทู้เรื่องเด่น:
    4
    ค่าพลัง:
    +22,048
    [​IMG]


    hello5รวมเรื่องอธิษฐานบารมี อาจจะยาวหน่อย แต่ก็พยายามอ่านเข้าน่ะทุกคน มีประโยชน์มากๆๆ

    "หลวงพ่อเจ้าค่ะ การทำบุญทุกอย่าง แต่ไม่ได้ปรารถนาอะไรเลย จะได้ไหมค่ะ...?"
    ได้โยม ทำไมจะไม่ได้ คือไม่ตั้งมโนปณิธานปรารถนา บุญมันก็ต้องเป็นบุญ แต่ว่าอานิสงส์เบื้องปลายมันไม่เหมือนกัน
    "เป็นไงค่ะ...?"
    การปรารถนาจัดเป็นอธิฐานบารมีนะ ตั้งใจว่าการทำบุญอย่างนี้เพื่อผลอะไร อย่างที่ไม่ปรารถนาพุทธภูมิ ไม่ปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า ไม่ปรารถนาเป็นอัครสาวก แต่ปรารถนาเพื่อการหมดกิเลส ก็ชื่อว่ายังปรารถนาอยู่
    "ถ้าหากว่าทำเฉยๆเล่าค่ะ...?"
    ถ้าหากว่าทำเฉยๆ ไม่ปรารถนาอะไรเลย ตัวอย่างก็มี ท่าน อาฬวีเศรษฐี
    คือว่าท่านอาฬวีเศรษฐี ท่านเป็นมหาเศรษฐี พอพ่อท่านตายลงท่านก็เป็นเศรษฐีแทน
    เศรษฐีสมัยนั้นพระราชาต้องแต่งตั้ง แล้ว ต่อมาพวกขี้เมาก็ชวนกินเหล้าเมายา ในที่สุดทรัพย์สินก็หมดไป จนกระทั้งกลายเป็นขอทาน
    วันหนึ่งพระพุทธเจ้าพร้อมด้วยพระสงค์เสด็จไปที่เมืองอาฬวี เห็นอาฬวีเศรษฐีนั่งขอทานอยู่ข้างฝาเรือนชาวบ้านพระพุทธเจ้าก็ทรงแย้มพระโอษฐ์
    พระพุทธเจ้าตามปกติจะไม่แย้มพระโอษฐ์ ถ้ายิ้มแล้วต้องมีเรื่อง
    พระอานนท์จึงทูลถามว่า
    "พระองค์ยิ้มด้วยเรื่องอะไร พระพุทธเจ้าข้า...?"
    พระพุทธเจ้าถามว่า
    "อานนท์ เธอเห็นอาฬวีเศรษฐีไหม...?"
    พระอานนท์มองไปมองมาไม่เห็น เห็นแต่ขอทาน พระพุทธเจ้าบอกว่า ขอทานนั้นแหละคืออาฬวีเศรษฐี
    แล้วพระพุทธเจ้าก็ตรัสว่า
    ถ้าอาฬวีเศรษฐีสมัยเมื่อเป็นเศรษฐี ถ้าฟังเทศน์ของเราเพียงจบเดียวจะได้บรรลุพระอนาคามี
    เมื่อเงินน้อยลงมาเป็นอนุเศรษฐี ถ้าฟังเทศน์จากเราเพียงจบเดียวจะได้พระสกิทาคามี
    เมื่อมีฐานะเป็นคหบดี ถ้าฟังเทศน์จากเราเพียงจบเดียว จะได้เป็นพระโสดาบัน
    แต่ว่านี่อาฬวีเศรษฐีกลายเป็นขอทานเสียแล้ว เราเทศน์จึงไม่มีผล
    ตอนนี้พระอานนท์ทูลถามว่า
    "ตามธรรมดาคนจะบรรลุมรรคผล องค์สมเด็จพระทศพลเคยตรัสว่าจะตายก่อนก็ยังไม่ได้ ต้องบรรลุมรรคผลก่อนนี่ พระพุทธเจ้าข้า...?"
    พระพุทธเจ้าตรัสว่า
    "นั่นเขามีบารมี อธิฐานบารมี"
    เป็นอันว่าอาฬวีเศรษฐี ไม่มีอธิฐานบารมีใช่ไหมโยม
    "ใช่ค่ะ"
    คนจะได้ดี เลยไม่ได้ดี ต่อไปอธิฐานเสียนะ.

    จากหนังสือ ธรรมปฏิบัติ ๑๓ โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน

    เรื่องทำบุญขาดอธิฐาน<O:p</O:p
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 พฤษภาคม 2009
  2. เทพออระฤทธิ์

    เทพออระฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    4,573
    กระทู้เรื่องเด่น:
    4
    ค่าพลัง:
    +22,048
    [​IMG]

    กระโถนข้างธรรมาสน์<O:p</O:p
    <O:p

    ถาม : มีคนเขาบอกว่า เวลาจะต่ออายุหรือต่อชีวิตให้ยืนยาวให้ไปทำบุญโลงศพ ช่วยได้จริง ๆ หรือเจ้าคะ ?



    ตอบ: ช่วยได้ มันช่วยได้ตรงที่เป็นมรณานุสติ อย่าลืมว่ามรณานุสติเป็นกรรมฐานใหญ่ หนึ่งในอนุสติ ๑๐ กอง ถ้าทำเป็นเข้าถึงนิพพานได้เลยเสีียด้วยซ้ำไป เราไปซื้อโลงศพก็รู้อยู่แล้ว ซื้อไปใส่คนตาย ถ้าเฉลียวใจสักนิดนึง เราเองก็จะตายอยู่แล้ว ถึงต้องมาซื้อโลงศพต่ออายุ การต่ออายุก็ใช่ว่าจะอยู่ได้ตลอดไป


    ดังนั้น เราเร่งทำความดีในวันนี้ดีกว่า ลักษณะอย่างนี้แหละ เรียกว่า มรณานุสติ การนึกความตายเพื่อให้เกิดความไม่ประมาท มันเป็นบุญใหญ่มาก บุญใหญ่ตัวนี้จะทำให้เราห่างกรรมอันนั้นออกมา ทำให้เหมือนกับการต่ออายุได้แล้วลักษณะของการสะเดาะเคราะห์ต่ออายุ อย่างบังสุกุลตาย บังสุกุลเป็น อันนั้นก็นึกถึงความตาย ไปวัดก็นึกถึงพระพุทธรูป ได้กราบพระ ได้ไหว้พระ ได้ทำบุญ ได้นึกถึงความตาย ใจเกาะนิพพาน เหล่านี้จะเป็นกรรมฐานใหญ่ บุญใหญ่ ทำให้เราห่างจากเคราะห์กรรมอันนั้นออกมา แต่เขายังตามอยู่ มีโอกาสเขายังที่จะสนองได้อยู่



    ดังนั้นว่า เราต้องทำความดีให้ต่อเนื่อง เพื่อที่จะได้ไม่พลาดให้แก่เขาอีก ทำอย่างอื่นได้ไม่จำเป็นต้องซื้อโลงศพอย่างเดียว ปล่อยสัตว์ใหญ่ อย่างวัว ควาย อะไรก็ได้ แต่ว่าให้เป็นสัตว์ที่เขาจะฆ่า จะได้มีผลในการต่ออายุ ถ้าไม่ใช่สัตว์ที่เขาจะฆ่าก็ได้แต่เมตตาเฉย ๆ



    ถาม : ต้องไปที่โรงฆ่าสัตว์ แล้วตัวที่จะถูกฆ่าในนั้นเลย หรือเจ้าคะ ?

    ตอบ : จ้า...


    ถาม : ได้เจอคน ๆ นึง ขอต่ออายุพ่อเขาด้วยการตั้งจิตอธิษฐานรวบรวมกุศลผลบุญตั้งแต่อดีตชาติ เพื่อต่ออายุพ่อ คุณหมอก็บอก ทำไมอยู่ดี ๆ อาการดีขึ้น ตอนแรกจะเสียอยู่แล้ว



    ตอบ : ตัวนั้นเป็นอธิษฐานบารมี บุคคลที่ใช้อธิษฐานบารมีเป็น ต้องสร้างบุญสร้างกุศลมาจนถึงระดับปรมัตถบารมีแล้วเท่านั้น บุคคลที่สร้างความดีมาจนถึงปรมัตถบารมีจะประกอบด้วยฤทธิ์ คือสิ่งที่อัศจรรย์เกินกว่าคนอื่นจะทำได้ ฤทธิ์ตัวนี้ เรียกว่า ฤทธิ์ที่เกิดจากการอธิษฐาน ตั้งใจให้เป็นอย่างไรก็จะเป็นอย่างนั้นแต่ไม่สามารถฝืนกฎของกรรมได้นานถึงจะต่ออายุได้ อะไรได้
    แต่ถ้าหากว่าบุคคลนั้นไม่ได้ทำความดีต่อ จะไปในเวลาอันใกล้เหมือนกัน แต่ว่าตอนนั้นสามารถช่วยเขาได้ ถ้ากำลังสูงเท่าไหร่ก็สามารถช่วยได้มากเท่านั้น ตัวอย่างคือ หลวงปู่ครูบาชัยวงศ์ ท่านใช้คาถาต่ออายุ ท่านต่อได้ ๒ ปี อาตมาใช้วิธีเดียวกันหมดเลย ต่อได้ ๒ วัน ต่างกันลิบโลกเลย
    เพราะงั้นมันอยู่ที่กำลังบารมีของคนที่ตั้งใจอธิษฐานด้วยอธิษฐานนี่เป็นฤทธิ์ ๑ ใน ๑๐ อย่างนะ ฤทธิ์ที่เราหมายถึงส่วนใหญ่ เราคิดว่าเป็น "วิกุพนาฤทธิ์" คือ สามารถผาดแผลงสำแดงฤทธิ์ได้พิลึกพิลั่นต่าง ๆ นา ๆ แต่ความจริงมันมีตั้ง ๑๐ อย่าง มันมีทั้งฌานฤทธิ์...ฤทธิ์ที่เกิดจากฌานสมาบัติ อธิษฐานฤทธิ์...ฤทธิ์ที่เกิดจากความตั้งใจมั่นของเรา ฐานาฐานะฤทธิ์....ฤทธิ์ที่เกิดจากฐานะอันสูง อย่างพระเจ้าแผ่นดิน เจ้าพระยามหากษัตริย์ สั่งให้เป็นก็เป็น สั่งให้ตายก็ตาย วิชชามัยฤทธิ์...ฤทธิ์ที่เกิดจากวิชาการ อย่างเช่นว่า รถไฟทั้งคัน ทำไมเอาไปลอยอยู่ข้างบนได้ เหล็กน้ำหนักหลายร้อยตัน ทำไมลอยน้ำได้ ลอยอยู่บนฟ้าได้ อย่างนี้เป็นต้น มีทั้งหมด ๑๐ อย่างด้วยกัน
    พระพุทธเจ้าบอกไว้ละเอียดครบถ้วนสมบูรณ์ ถือว่าเป็นฤทธิ์โดยอธิษฐานอย่างหนึ่ง แสดงว่า คน ๆ นั้น กำลังเขาสูงมาก สร้างบารมีมาเยอะมากและอธิษฐานด้วยความตั้งใจจริงก็สำเร็จสมกับที่เขาต้องการ



    ถาม : แล้วคนที่จะมีฤทิธิ์ได้ทำยังไงถึงจะมีฤทธิ์ได้เจ้าคะ ?



    ตอบ : ต้องดูว่าฤทธิ์แบบไหน มันมีอยู่ตัว เรียกว่า "กัมมวิปากชาฤทธิ์" ฤทธิ์ที่เกิดโดยวิบากกรรม เราลองไปเดินตามพวกชาวเขาดูซิ มันไป ๓ ลูกเขาแล้ว ลูกแรกเรายังตะกายข้ามไปไม่ได้เลย (หัวเราะ) นั่นเป็นฤทธิ์โดยวิบากกรรมอย่างหนึ่งนะ


    อย่างเช่นว่า นกเกิดมาบินได้ เราฝึกวาโยกสิณแทบตายกว่าจะเหาะได้แบบมัน ปลาทำไมอยู่ในน้ำได้ ทำไมไส้เดือนมุดดินดำดินได้ เป็นฤทธิ์ที่เกิดโดยวิบากกรรมของเขา เรียกว่า"กัมมวิปากชาฤทธิ์" ถ้าอยากจะมีต้องฝึกกสิณ ๑๐ อย่า่ง เอาให้คล่องตัว แล้วคราวนี้เราก็จะเริ่มตั้งแต่ วิกุพนาฤทธิ์ คือจะแสดงอะไรก็ได้ตามใจชอบ



    ถาม : แต่ถ้าเล่นจะติดฤทธิ์หรือเปล่า ?



    ตอบ : อยู่ที่เรา ถ้าเรามีสติรู้อยู่เสมอก็ไม่ติด แต่ถ้าเผลอ หลงไปตามลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ที่ได้มาจากการที่เราีมีฤทธิ์ ก็เรียบร้อยในเวลาอันสั้น



    ถาม : แล้วพวกที่เล่นกสิณ เพ่งกสิณนี่เจ้าคะ จะทำให้มีฤทธิ์หรือเปล่า ?


    ตอบ : บอกแล้วไง ว่าให้ฝึกกสิณ ๑๐ พวกเล่นกสิณ เพ่งกสิณนั่นแหละ มันอยากมีฤทธิ์กันล่ะ (หัวเราะ)



    ถาม : เวลาที่เราทำบุญแล้วอธิษฐานจิตว่าขออย่างนั้น ขออย่างนี้ กับการไม่อธิษฐานเลย การทำบุญแบบไหนดีกว่ากันคะ ?



    ตอบ : แบบอธิษฐานดีและถูกต้อง แบบไม่อธิษฐานเลยอาจพลาดจากประโยชน์ใหญ่ไปได้ การทำบุญโดยอธิษฐานขอให้เป็นนั่นเป็นนี่ เราจะขอหรือไม่ขอก็ตาม สิ่งที่เราทำทั้งดีและชั่วจะส่งผลกลับคืนมาอยู่แล้ว ถึงคุณต้องการหรือไม่ต้องการผลที่คุณกระทำคุณได้แน่ มันก็จำเป็นต้องกำหนดเจาะจงไปเลยว่าผลที่เราทำนั้นเราต้องการให้เป็นแบบไหน เป็นเมื่อไหร่ถ้าเราตั้งใจแบบนี้เหมือนกับยิงปืนเล็งเป้า มันก็ถูกต้องสามารถยิงได้แม่นยำ แต่ถ้าหากไม่มีการเล็งเลยไม่ได้กำหนดเลย เราหิวข้าวตอนนี้ แต่อีก ๓ วันข้าวค่อยจะมาถึง เป็นไง...ไส้กิ่วเลยดีไม่ดีอดตาย


    แบบอานันทเศรษฐี อานันทเศรษฐีตอนเป็นเศรษฐี ถ้าฟังพระพุทธเจ้าเทศน์จะได้เป็นพระอนาคามี แต่ถ้าหากทรัพย์สินลดน้อยลงมาเป็นคหบดี ฟังพระพุทธเจ้าเทศน์จะได้เป็นพระโสดาบัน บังเอิญถ้าเขารักษาทรัพย์สินไม่ได้ ทำให้ยากจนกลายเป็นขอทาน พระพุทธเจ้าบอกว่าเทศน์แล้วจะไม่มีผล เพราะจิตของเขากังวลอยู่ด้ัวยการทำมาหากิน ก็เลยเสื่อมจากมรรคผลไปอย่างน่าเสียดาย



    พระอานนท์ถามว่า พระพุทธเจ้าตรัสว่าผู้ใดมีวิสัยจะได้มรรคผลจะไม่เสื่อมจากวิสัยอันนั้นแล้วทำไมอานันทเศรษฐีถึงได้เสื่อม พระพุทธเจ้าตรัสว่า อานันทเศรษฐีขาดอธิษฐานบารมี เพราะฉะนั้นที่บอกว่าทำบุญแล้วอธิษฐานเป็นการโลภนะ อย่าไปฟัง เราต้องการหรือไม่ต้องการ ผลนั้นเกิดกับเราแน่ จะโลภหรือไม่โลภเกิดแน่ แต่เราอธิษฐานนั่นเป็นการเจาะจงว่าให้เกิดอย่างไร เกิดเมื่อไหร่ ตัวนั้นเป็นตัวกันเอาไว้ก่อน เพื่อว่าในเวลาที่เราต้องการแล้วได้จริง ๆ ไม่ใช่ว่าตอนเราต้องการไม่ได้ มาตอนเราไม่ต้องการ

    บางทีถ้าเป็นอย่างอานันทเศรษฐีก็พลาดประโยชน์ใหญ่ในชีวิตไปเลย เป็นพระอนาคามีอย่างไรก็ไม่ต้องไปเกิดใหม่มาทุกข์แล้ว นี่กลายเป็นขอทานไม่ทราบว่าจะเวียนตาย เวียนเกิดอีกกี่หมื่นกี่แสนกัปป์ ต่อไปอธิษฐานให้เยอะ ๆ (หัวเราะ) จริง ๆ แล้ว แค่อธิษฐานขอไปนิพพานอย่างเดียวกว่าจะไปถึงยอดเขาตลอดทางมีอะไรมันกวาดไปหมดอยู่แล้ว
    <O:p

    ถาม : ถ้าเราอธิษฐานไปแล้วสมมติว่าเราเคยอธิษฐานในอดีตชาติ แล้วพอมาในชาติปัจจุบัน เรายังไม่รู้ว่า ณ ผลกรรมที่เราได้รับในปัจจุบันนี้ อาจเป็นเพราะว่าเราอธิษฐานไว้แล้วก็ตาม ถ้าเราขอยกเลิกการอธิษฐานของเรา...


    ตอบ : ได้ ... อธิษฐาน ก็คือ การตั้งใจมั่น เราสามารถเปลี่ยนใจได้ มีสิทธิเปลี่ยนใจได้ทุกเวลา


    ถาม : แล้วอย่างที่เราทำบุญแล้วนี่นะคะ เราจะอุทิศส่วนกุศล ลำดับที่เราอุทิศส่วนกุศลมีผลไหมคะ ว่าเราจะต้องอุทิศให้ผู้ใดก่อน ?


    ตอบ : เรียกว่ามีก็ได้ มันขึ้นอยู่กับผู้รับ ถ้าผู้รับกำลังบารมีเขาสูงกว่า อยู่ในสถานที่ ๆ สมบูรณ์พร้อม จะให้ก่อนให้หลัง ท่านได้แน่นอน แต่ขณะเดียวกัน ถ้าหากว่าเป็นพวกเปรต อสุรกาย สัมภเวสี เหล่านี้ ถ้าให้ท่านก่อน ท่านก็จะได้เต็ม ๆ ถ้าไม่ได้ให้ท่านก่อน แต่บอกให้เป็นการทั่วไป บางทีพวกที่กำลังใจสูงกว่ามันแทรกเข้ามา มันเอาไปหมด คนที่กำลังน้อยกว่าก็อาจเข้าไม่ถึง เคยเวลาโปรยอาหารแล้วสัตว์มันแย่งกันไหมล่ะ ? ตัวที่แข็งแรงกว่าเท่านั้นที่จะได้ ลักษณะเดียวกันเขาต้องการก็ต้องกันไม่ให้คนนี้เข้ามา



    ถาม: ถ้าอย่างนี้ เวลาเราจะทำบุญให้ใคร เราระบุ....


    ตอบ : เจาะจง...ระบุชื่อให้เขาไปก่อนเลย แล้วค่อยอธิษฐานอย่างอื่น


    ถาม : แล้วต้องจัดไหมคะ ว่าต้องให้ใครต่อ ?


    ตอบ : ก็แล้วแต่เราชอบใจ เอาตามแบบหลวงพ่อ ท่านก็ให้เจ้ากรรมนายเวรก่อน ถัดจากเจ้ากรรมนายเวร ก็เป็นเทวดาที่รักษาตัวเอง เทวดาทั้งหมดทั่วสากลพิภพ จนถึงพระยายม แล้วค่อยให้ญาติโยมที่ตายไปแล้ว จะใช่ญาติหรือไม่ใช่ญาติให้ทั้งนั้น


    ถาม : แล้วอุทิศให้ตัวเองได้ไหมคะ ?


    ตอบ : ได้จ้ะ แต่อุทิศให้ตัวเอง อุทิศหรือไม่อุทิศตัวเองได้อยู่แล้ว ได้ตั้งแต่ตอนทำแล้ว


    ถาม : แล้วการกรวดน้ำ กรวดน้ำยังไงเขาจะได้ ?


    ตอบ : แค่เราตั้งใจ ว่าผลบุญทั้งหมดที่เราทำในครั้งนี้ขอให้เขาโมทนา เราจะได้รับประโยชน์ความสุขเท่่าไร ขอให้เขาได้รับด้วย แค่นี้เขาก็ได้รับแล้วไม่ต้องไปเสียเวลาเอาน้ำรดมือนะอ้น้ำรดมือนั้นรูปแบบของพราหมณ์รดมือตัวท่านเอง เลยเป็นรูปแบบยึดต่อ ๆ มา
    <O:p</O:p
    http://www.larnbuddhism.com/grathonbook/4.2.html<O:p</O:p



    [​IMG]



    ทำบุญแล้วอธิษฐาน กับทำบุญแล้วไม่อธิษฐาน อย่างไหนจะได้ผลดีกว่ากัน? <O:p</O:p


    <HR align=center width="100%" SIZE=1>

    ๑๕. ถาม"ทำบุญแล้วอธิษฐาน กับทำบุญแล้วไม่อธิษฐาน อย่างไหนจะได้ผลดีกว่ากัน?"

    ตอบ "ถ้าเราทำบุญแล้ว หวังจะให้บุญนั้นส่งผลให้ตามที่ตนมุ่งหมายไว้ ทำบุญแล้วอธิษฐานดีกว่า เพราะบุญนั้นจะให้เราสำเร็จเป้าหมายโดยเร็วไว แต่ถ้าเราทำบุญหรือความดีแล้วไม่ได้หวังผลอะไร นอกจากเห็นว่ามันเป็นความดีแล้วก็ทำ ก็ไม่จำเป็นต้องอธิษฐาน บุญที่เราทำไว้นั้น จะจัดคิวให้ผลของมันเอง"

    แต่การทำบุญแล้วอธิษฐานนั้นได้ผลตามเป้าหมายดีกว่า เหมือนนักศึกษาสอบเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยในเมืองไทยเราในปัจจุบัน เลือกวิชาที่ตนต้องการอันดับหนึ่ง อันดับสอง อันดับสาม... เอาไว้เมื่อสอบได้ ทางคณะกรรมการก็จัดให้เข้าเรียนตามสาขาวิชาที่เรามีสิทธิเข้าเรียนและเลือกไว้

    แต่ถ้าหากว่า ในการสอบไม่มีกำหนดให้เลือกวิชาใดไว้ก็แล้วแต่กรรมการจะจัดให้เข้าเรียนตามความเหมาะสม ซึ่งบางทีก็อาจจะไม่ตรงตามวิชาที่เราต้องการก็ได้

    อีกอย่างหนึ่ง การทำบุญแล้วอธิษฐาน ทำให้เรามุ่งไปสู่เป้าหมายที่ต้องการ อย่างที่พระพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญบารมีมาทุกภพทุกชาติ ก็ทรงอธิษฐานเพื่อสำเร็จสัมมาสัมโพธิญาณเป็นพระพุทธเจ้า ถ้าหากพระองค์ทรงบำเพ็ญบารมีแล้ว ไม่ทรงอธิษฐานเพื่อสัมมาสัมโพธิญาณ

    พระองค์ก็ไม่มีทางที่จะสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าได้ แม้จะบำเพ็ญความดีมามากก็ตาม ต้องยังเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในสังสารวัฏนั่นเอง เหมือนคนที่ไม่ได้ตั้งใจจะไปเชียงใหม่ แม้จะเดินทางทุกวันก็ไม่อาจจะถึงเชียงใหม่ได้ เพราะเขาไม่ได้มุ่งจะไปเชียงใหม่

    แต่อย่างไรก็ตาม ในการทำบุญแล้วอธิษฐานนั้น ก็ควรอธิษฐานในขอบเขตที่เป็นไปได้ จึงจะได้รับผลตามที่ตนมุ่งหมายไว้ แต่ถ้าทำเหตุไม่สมกับผล หรือไม่สร้างเหตุแห่งการทำดีคือบุญเลย แต่ต้องการผลเกินกว่าเหตุ หรืออธิษฐานพร่ำเพรื่อมากเกินไป (แบบค้ากำไรเกินควร)

    ก็จะไม่ได้รับผลที่ต้องการ การที่จะได้รับผลของบุญตามที่ได้อธิษฐานนั้น ก็ต่อเมื่อแรงบุญหรือพลังบุญที่ทำไว้เพียงพอ

    ฉะนั้น พุทธศาสนิกชนจึงควรอธิษฐานเฉพาะเรื่องที่สำคัญและจำเป็นเท่านั้น ไม่ควรอธิษฐานพร่ำเพรื่อไปเสียทุกเรื่อง มิฉะนั้นแล้วจะไม่ได้ผลในเรื่องที่หวังผลเกินกว่าเหตุ และจะเข้าลักษณะอ้อนวอน เหมือนอย่างศาสนาประเภทเทวนิยม ที่ถือพระเจ้าสร้างโลกทั้งหลายไปเสีย"

    ที่มา http://larndham.net/index.php?showtopic=17463 <O:p</O:p<O:p

    [​IMG]


    สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ

    เดือนเมษายน ๒๕๔๕
    ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ <O:p</O:p







    ถาม : ทำไมคนเราต้องอยู่ใต้กฎของกรรม ?
    ตอบ: คุณทำคุณถึงได้ทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณทำไม่ว่าจะดีหรือชั่วก็ตามคุณทำเอง ถ้าหากคุณเลิกทำสามารถหลุดพ้นไปได้ก็ไม่ต้องอยู่ใต้กฎของกรรม อย่างพระอรหันต์ พระปัจเจกพุทธเจ้าหรือพระพุทธเจ้า สิ่งที่เราทำผลมันเกิดอยู่แล้ว ลองเขกหัวตัวเองดูซิ ต้องการเขกหรือไม่เขกมันก็เจ็บ นั่นแหละทำอะไรมันได้อย่างนั้น

    เพราะฉะนั้นมีอยู่ตัวหนึ่งที่น่าเวทนาคนบางคนก็คือ ตัวอธิษฐานบารมี คนเขาทำบุญเสร็จเขานั่งอธิษฐานแล้วอีกคนบอกนี่โลภ ทำบุญแล้วยังขอโีน่นขอนี่ ความจริงการอธิษฐานบารมีนี่เป็นเรื่องของคนฉลาดเป็นการกำหนดเจาะจงในสิ่งที่ตัวเองทำ ๆ แล้วต้องการหรือไม่ต้องการผลนั้นเกิดแน่นอน แต่คนใช้อธิษฐานบารมีเขาฉลาด เขารู้จักเจาะจงว่าจะให้เกิดอย่างไร ? เกิดเมื่อไหร่ ?ขณะเดียวกันว่าอีกคนหนึ่งไม่ยอมอธิษฐาน สมมุติว่าหิวข้าวตอนนี้แต่อีก ๓ วันข้าวค่อยมา ก็ทรมานตัวเองไปก่อน แล้วเรื่องของการอธิษฐานบารมี เหมือนยิงปืน แล้วเล็งเป้าย่อมแม่นยำกว่า ในขณะที่อีกคนหนึ่งยิงขึ้นฟ้าลงดินไปเรื่อย แล้วหวังจะให้ถูกเป้า รอไปก่อนเถอะ


    ถาม : อธิษฐานนี่จำเป็นต้องออกเสียงมั้ยครับ ? <O:p</O:p

    <O:p</O:p

    ตอบ : อธิษฐานแปลว่า ตั้งใจมั่น จะออกเสียงหรือไม่ออกเสียงมันอยู่ที่เรา ขอให้ตั้งใจอย่างนั้นจริง ๆ
    ถาม : อย่างที่หลวงพ่อเคยสอนว่า ถ้าบารมีใกล้เต็มแล้วจริง ๆ นี่ อย่างหลวงปู่ปานนี่ทำบุญทีไรก็จะเปล่งวาจาออกมา ?

    ตอบ : อันนั้นเกี่ยวกับพระโพธิญาณคือ ตั้งใจจะเป็นพระพุทธเจ้า ถ้าทำถึงระดับนั้นเขาไม่อายใครแล้ว ประกาศให้รู้ชัดเจนเลยว่าเราทำอันนี้เพื่อปรารถนาพระโพธิญาณ เหมือนกับคุณก้องเล่นเอาเขาอึ้งกันทั้งโบสถ์ พอญัตติเสร็จเขาประกาศเลยว่า กุศลของการที่บวชครั้งนี้ขอให้ข้าพเจ้าเข้าถึงซึ่งพระโพธิญาณ พระทุกองค์สาธุพร้อมกัน แต่ความรู้สึกในใจบอกว่า มึงไปเถอะกูไม่ไปหรอก แบบนั้นแหละ แต่จริง ๆ มันก็น่าสงสัยนะทำไมต้องอยู่ใต้กฎของกรรมด้วย มันเหมือนอยู่ ๆ เอากฎหมายมาขี่คอบังคับเราใช่มั้ย ? แต่จริง ๆ มันไม่ใช่ เราทำเอง ถ้าเราไม่ทำก็ไม่จำเป็นต้องมี

    อย่างเช่นว่า นรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน มนุษย์ เทวดา มาร พรหมตลอดถึงนิพพาน ถ้าหากว่าคนหลุดพ้นหมดหรือว่าเลิกทำดี ทำชั่วทั้งหมดสิ่งเหล่านี้่ก็จะไม่มี สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นเพื่อรองรับการกระทำของเราเท่านั้น ถ้าหากว่าไม่มีการกระทำสิ่งเหล่านี้ก้ไม่เกิดขึ้น ไม่รู้จะเกิดขึ้นทำไม <O:p</O:p
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 พฤษภาคม 2009
  3. เทพออระฤทธิ์

    เทพออระฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    4,573
    กระทู้เรื่องเด่น:
    4
    ค่าพลัง:
    +22,048
    [​IMG]


    ถาม : ....................................

    ตอบ : ทำดีต้องได้ดี หรือทำดี...ดี ทำชั่วต้องได้ชั่วหรือว่าทำชั่ว...ชั่ว ถ้ายังติดทั้งดีทั้งชั่วไม่หลุดแน่นอน อันนี้เป็นความเข้าใจที่ถูกต้อง ถ้าคุณทำดีแล้วยังติดดีชาตินี้คุณไปนิพพานไม่ได้อันนี้กล้ายืนยันเพราะว่า ถ้าถึงระยะสุดท้ายแล้วนักปฏิบัติเขาจะรู้ว่า ถ้าดีก็ทำ ถ้าั่ชั่วก็ละ ไม่เกาะทั้งดีทั้งชั่ว

    ถาม : ถ้าแข่งขันกันทำความดีเป็นกิเลสมั้ยครับ ?

    ตอบ : เป็น แต่ว่ามันก็ดีกว่ากิเลสอย่างอื่น พอ ๆ กับติดวัตถุมงคล ยังไงดีกว่าติดวัตถุึอัปมงคล เยอะแรก ๆ เราจำเป็นจะต้องเกาะเพราะว่าเป็นเด็กน้อยเดินไม่แข็งแรงไม่เกาะมันจะตะกายไปได้ยังไง แต่พอแข็งแรงดีแล้วถึงสถานที่ ๆ ตัวเองต้องการแล้วมันก็ไม่ต้องเกาะต้องแบกอะไรดินขึ้นบันไดเกาะราวบันไดเพื่อความมั่นคง มาถึงในห้องแล้วเราจะแบกราวบันไดมาทำไมเล่า ? มันก็ปล่อยตั้งแต่ก่อนจะเดินเข้าห้องแล้ว แต่ช่วงนิดเดียวระหว่างราวบันได้กับประตูห้อง
    คนส่วนใหญ่มันจะนึกไม่ถึงเพราะว่ายังเข้าไม่ถึงจริง ในเมื่อเข้าไม่ถึงจริง ก็เลยคิดว่าทำดีแล้วไม่ติดดีมันจะไปนิพพานได้ยังไง ? ความจริงอันนี้เข้าใจถูกแต่ตัวที่เข้าใจผิดก็ตอนสุดท้ายเขาไม่คิดอะไรแล้ว

    ถาม : คนเขาบอกว่าทำดีชาตินี้ไว้รอชาิติหน้า แล้วอย่างนี้ถ้าชาติหน้าไม่มีแล้วผมก็ทำดีด้วยหรือครับ ?

    ตอบ : ถ้าหากว่าคุณคิดว่าทำดีทำชั่ว สมมุติว่าถ้านรกสวรรค์ไม่มี ชาติหน้าไม่มี คุณตั้งใจทำดีคุณก็เสมอตัว แต่ถ้านรกมี สวรรค์มีชาติหน้ามีคุณตั้งใจทำดีคุณก็กำไร แต่ถ้านรกไม่มีสวรรค์ไม่มี คุณทำชั่วคุณก็เสมอตัว แต่ถ้านรกมีสวรรค์มีชาติหน้ามี คุณทำชั่วคุณก็ขาดทุน เพราะฉะนั้นคุณก็เลือกเอาด้วยปัญญาของคุณเองว่า คุณจะเอาเสมอตัวแล้วกำไรดี หรือว่าเสมอตัวแล้วขาดทุนดี เลือกเอา ๒ ประตู





    ฉบับที่ ๒๖ เดือนเมษายน พุทธศักราช ๒๕๔๙

    เว็ปกระโถนข้างธรรมาสน์


    กระโถนข้างธรรมาสน์ฉบับที่ ๔ เดือนมิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๔๗
    ตอบ : แบบอธิษฐานดีและถูกต้อง แบบไม่อธิษฐานเลยอาจพลาดจากประโยชน์ใหญ่ไปได้การทำบุญโดยอธิษฐานขอให้เป็นนั่นเป็นนี่ เราจะขอหรือไม่ขอก็ตาม สิ่งที่เราทำทั้งดีและชั่วจะส่งผลกลับคืนมาอยู่แล้ว ถึงคุณต้องการหรือไม่ต้องการผลที่คุณกระทำคุณได้แน่ มันก็จำเป็นต้องกำหนดเจาะจงไปเลยว่าผลที่เราทำนั้นเราต้องการให้เป็นแบบไหน เป็นเมื่อไหร่ถ้าเราตั้งใจแบบนี้เหมือนกับยิงปืนเล็งเป้า มันก็ถูกต้องสามารถยิงได้แม่นยำ แต่ถ้าหากไม่มีการเล็งเลยไม่ได้กำหนดเลย เราหิวข้าวตอนนี้ แต่อีก ๓ วันข้าวค่อยจะมาถึง เป็นไง...ไส้กิ่วเลย ดีไม่ดีอดตาย แบบอานันทเศรษฐี อานันทเศรษฐีตอนเป็นเศรษฐี ถ้าฟังพระพุทธเจ้าเทศน์จะได้เป็นพระอนาคามี แต่ถ้าหากทรัพย์สินลดน้อยลงมาเป็นคหบดี ฟังพระพุทธเจ้าเทศน์จะได้เป็นพระโสดาบัน บังเอิญถ้าเขารักษาทรัพย์สินไม่ได้ ทำให้ยากจนกลายเป็นขอทานพระพุทธเจ้าบอกว่าเทศน์แล้วจะไม่มีผล เพราะจิตของเขากังวลอยู่ด้วยการทำมาหากิน ก็เลยเสื่อมจากมรรคผลไปอย่างน่าเสียดาย พระอานนท์ถามว่า พระพุทธเจ้าตรัสว่าผู้ใดมีวิสัยจะได้มรรคผลจะไม่เสื่อมจากวิสัยอันนั้น แล้วทำไมอานันทเศรษฐีถึงได้เสื่อม พระพุทธเจ้าตรัสว่าอานันทเศรษฐีขาดอธิษฐานบารมี เพราะฉะนั้นที่บอกว่าทำบุญแล้วอธิษฐานเป็นการโลภนะอย่าไปฟัง เราต้องการหรือไม่ต้องการ ผลนั้นเกิดกับเราแน่ จะโลภหรือไม่โลภเกิดแน่ แต่เราอธิษฐานนั่นเป็นการเจาะจงว่าให้เกิดอย่างไร เกิดเมื่อไหร่ ตัวนั้นเป็นตัวกันเอาไว้ก่อนเพื่อว่าในเวลาที่เราต้องการแล้วได้จริงๆ ไม่ใช่ว่าตอนเราต้องการไม่ได้ มาตอนเราไม่ต้องการบางทีถ้าเป็นอย่างอานันทเศรษฐีก็พลาดประโยชน์ใหญ่ในชีวิตไปเลย เป็นพระอนาคามีอย่างไรก็ไม่ต้องไปเกิดใหม่มาทุกข์แล้ว นี่กลายเป็นขอทานไม่ทราบว่าจะเวียนตายเวียนเกิดอีกกี่หมื่นกี่แสนกัปป์ ต่อไปอธิษฐานให้เยอะๆ (หัวเราะ) จริงๆ แล้ว แค่อธิษฐานขอไปนิพพานอย่างเดียว กว่าจะไปถึงยอดเขาตลอดทางมีอะไรมันกวาดไปหมดอยู่แล้ว

    ถาม : ถ้าเราอธิษฐานไปแล้ว สมมติว่าเราเคยอธิษฐานในอดีตชาติ แล้วพอมาในชาติปัจจุบันเรายังไม่รู้ว่า ณ ผลกรรมที่เราได้รับในปัจจุบันนี้ อาจเป็นเพราะว่าเราอธิษฐานไว้แล้วก็ตาม ถ้าเราขอยกเลิกการอธิษฐานของเรา

    ตอบ : ได้...อธิษฐาน ก็คือ การตั้งใจมั่น เราสามารถเปลี่ยนใจได้ มีสิทธิเปลี่ยนใจได้ทุกเวลา

    ถาม : แล้วอย่างที่เราทำบุญแล้วนี่นะคะ เราจะอุทิศส่วนกุศล ลำดับที่เราอุทิศส่วนกุศลมีผลไหมคะ ว่าเราจะต้องอุทิศให้ผู้ใดก่อน ?

    ตอบ : เรียกว่ามีก็ได้ มันขึ้นอยู่กับผู้รับถ้าผู้รับกำลังบารมีเขาสูงกว่า อยู่ในสถานที่ๆสมบูรณ์พร้อม จะให้ก่อนให้หลังท่านได้แน่นอน แต่ขณะเดียวกัน ถ้าหากว่าเป็นพวกเปรตอสุรกาย สัมภเวสี เหล่านี้ ถ้าให้ท่านก่อน ท่านก็จะได้เต็มๆ ถ้าไม่ได้ให้ท่านก่อนแต่บอกให้เป็นการทั่วไป บางทีพวกที่กำลังใจสูงกว่ามันแทรกเข้ามา มันเอาไปหมด คนที่กำลังน้อยกว่าก็อาจเข้าไม่ถึง เคยเวลาโปรยอาหารแล้วสัตว์มันแย่งกันไหมล่ะ ? ตัวที่แข็งแรงกว่าเท่านั้นที่จะได้ ลักษณะเดียวกันเขาต้องการก็ต้องกันไม่ให้คนนี้เข้ามา

    ที่มา
    http://www.konmeungbua.com/grathon_content95.html<O:p</O:p




     
  4. เทพออระฤทธิ์

    เทพออระฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    4,573
    กระทู้เรื่องเด่น:
    4
    ค่าพลัง:
    +22,048
    [​IMG]



    ตอบ: อย่างนี้เวลาคนทำบุญถวาย แล้วให้พรไม่เหมือนกันนี่ แล้วแต่วาระแล้วแต่บุคคลหรือ ?

    ตอบ: อาจจะเป็นไปได้ว่า ท่องไปท่องมาหลาย ๆ ที แล้วมันเบื่อก็เปลี่ยนบทมั่ง (หัวเราะ) คนบางอย่างมันไม่เหมือนกัน อย่างบทโสอัตถะลัทโธ สำหรับคนป่วยให้หายจากโรค อย่างชยสิทธิ ธะนัง ลาภัง เขาขออะไรให้สำเร็จตามนั้น ถ้าหากว่า ภุตตา โภคาสำหรับผู้ที่ถวายอาหารอย่างนี้ แต่ละอย่างมันไม่เหมือนกัน ก็ว่าไปตามวาระ ถ้าขึ้น อะทา สิเมเมื่อไหร่ ก็งานศพแหง ๆ บทให้พรของพระเขามีเหมือนกันว่าบทไหนใช้ในงานอะไร มันก็เลยต่าง ๆ กันไป

    ถาม : ที่เวลาพระพูดว่า เอวังโหตุ หมายความว่า ....

    ตอบ: แปลว่า อยากได้อะไรก็ให้สำเร็จ ง่ายกว่ามั้ย ?

    ถาม : คราวก่อนได้ถามว่า การที่อธิษฐานขอพรจากพระในเรื่องส่วนตัว เช่น ลาภ ยศ อะไรพวกนี้เป็นการไม่สมควร ทีนี้ได้ไปฟังของพระอาจารย์สพฤกษ์ เวลาท่านอธิษฐาน ท่านก็บอกว่าให้พระท่านช่วยเกื้อกูลสงเคราะห์ อะไรพวกนี้ อย่างไหนจึงเหมาะสม ?

    ตอบ: อะไรก็ตาม มันต้องเป็นเรื่องของเหตุกับผลเท่านั้น ถ้าเราสร้างเหตุเพียงพอ เราขออะไรผลนั้นก็จะได้ ถ้าเราสร้างเหตุไม่พอขอให้ตายมันก็ไม่ได้ การขอพระ ขอเทวดาให้ช่วย ต้องหมายความว่าเราขาดเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แล้วเราตั้งใจจะทำดีเพิ่มเติม ถ้าขาดเพียงเล็กน้อย แล้วตั้งใจทำดีเพิ่มเติมด้วย ท่านก็ช่วยสงเคราะห์ให้ก่อน แต่ถ้าหากขาดเยอะท่านก็ไม่ไหวเหมือนกัน

    เพราะฉะนั้นเรื่องของศาสนาของเรา พระพุทธเจ้าท่านบอกแต่ของจริง ในเมื่อท่านบอกของจริง ท่านก็จะบอกว่า เรื่องของท่านจริง ๆ มันเป็นเรื่องของเหตุและผล ร้องขอเฉย ๆ ไม่มีทางได้ ต้องสร้างเหตุเอาไว้ ผลมันถึงจะเกิด

    ถาม : ถ้าเราไม่ขอเลยล่ะครับ ?

    ตอบ: ไม่ขอเลย ก็บางทีอาจจะเจออย่าง อานันทเศรษฐี การขอเขาเรียกว่า

    อธิษฐานบารมีคือความตั้งใจอยู่ว่าสิ่งนี้เราทำต้องการอย่างไร ? ต้องการเป็นอย่างไร ? อานันทเศรษฐี แกเปลี่ยนจากเศรษฐีเป็นคหบดี เปลี่ยนจากคหบดี กลายเป็นขอทาน พระพุทธเจ้าตรัสกับพระอานนท์ว่า อานันทเศรษฐี ตอนที่เป็นมหาเศรษฐี ถ้าฟังธรรมจะเป็นพระโสดาบัน แต่ตอนนี้เธอเป็นขอทาน จิตใจมัวแต่กังวลอยู่กับการทำมาหากิน ฟังธรรมไปก็ไม่มีผล พระอานนท์ถามว่า พระพุทธเจ้าตรัสทุกอย่างแล้วไม่เป็นสอง พระพุทธเจ้าเคยตรัสเอาไว้ว่าบุคคลใดมีวิสัยจะได้มรรคผล จะไม่เสื่อมจากวิสัยอันนั้น ทำไมอานันทเศรษฐีถึงเสื่อม พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า อานันทเศรษฐีขาดอธิษฐานบารมี ในเมื่อไม่ตั้งใจเอาไว้ก่อนว่าต้องการให้เป็นอย่างไร ต้องการให้เป็นเมื่อไหร่ เวลาที่ตัวเองต้องการมันก็เลยไม่มา อยากจะกินข้าวตอนนี้อีก ๓ วันค่อยมา ทนรอไปก็แล้วกัน

    ถาม : อย่างกับการใช้ผล เช่น นโม ตัสสะ คนทั่วไปเขาเอามาแต่งเป็นเพลงใส่ทำนอง เพลงปัจจุบัน หรือว่าเอามาเล่นคำถามอย่างเช่น พระโทรศัพท์วันไหน ? แล้วตอบว่า พุทโธ อย่างนี้ถือว่าเป็นการปรามาสหรือเปล่า ?

    ตอบ: ต้องดูว่าเขามีความเคารพมั้ย ? ถ้าหากว่ายังสวดเป็นเพลง แต่ถ้าใจเคารพไม่เป็นไร แต่ถ้าสวดเป็นเพลงเอาสนุกเอามัน ปรามาสแน่ ๆ ส่วนลักษณะคำถามแบบเอาสนุกอย่างนั้น ปรามาสชัด ๆ อยู่แล้ว

    ถาม : ยิ่งคนไปหัวเราะกับคำถามด้วย ก็...

    ตอบ: ยิ่งไปกันหนักเลย

    ถาม : ผมเคยไปปวารณาตัวเป็นลูกศิษย์พระอยู่วัดหนึ่ง แล้วก็มีการทำพิธีอะไรต่าง ๆ ตอนหลังมานี่ ๒ ปีแล้ว ไม่ได้ไปหาท่านเลย คือท่านเป็นพระที่บอกให้ผมบวชโดยไม่สึก เลยอยากจะเรียนถามว่า อย่างนี้จะมีผลต่อชีวิตอะไรมั้ย ?

    ตอบ: เรื่องนี้ทำไปนี่ เป็นการกล่าวปฏิญานอะไรด้วยใช่มั้ย ? (ใช่ครับ) พวกนั้นมันเป็นความตั้งใจของเรา คือลักษณะอธิษฐานบารมี ถ้าเรารู้ว่าไม่ถูกต้องเราก็เปลี่ยนความตั้งใจเสียได้ ไม่มีปัญหาอะไร ขนาดเขาอยากจะเป็นพระพุทธเจ้า เขายังเปลี่ยนเลย ใช่มั้ย ? ก็แค่ละจากความปรารถนาพระโพธิญาณมาปรารถนาสาวกภูมิแทน ถ้ามันเปลี่ยนไม่ได้เลยก็แย่สิ ถ้าของเรามันไม่ได้ก็เกินไป

    ถาม : เคยไปงานศพของญาติคนหนึ่ง พอเขารับส่วนบุญส่วนกุศล ทำไมวิญญาณเขา...ตอนมีชีวิตอยู่ ก็ไม่ค่อยได้ทำบุญ แต่กายของเขาสามารถเปลี่ยนขยายขนาดได้ใหญ่กว่าคนปกติถึง ๒ เท่า...?

    ตอบ: เรื่องของกำลังบุญ เขาวัดกันด้วยรัศมีกาย อย่างพระพุทธเจ้าสร้างบารมีมาไม่เท่ากัน พระวรกายก็จะมีขนาดแตกต่างกันไป ของเทวดา ของพรหม ก็ลักษณะเดียวกัน สร้างบารมีมามาก รัศมีกายจะสว่างมาก กายก็ใหญ่มาก คราวนี้อย่าลืมว่าเขาไม่ได้ทำ แต่เราทำ เราทำเท่าไหร่ถ้าผลเกิดกับเรา คนโมทนาเขาได้เท่านั้น เพียงแต่คนโมทนาจะได้ทีหลังนิดหนึ่ง ถ้าผลนั้นยังไม่เกิดแก่เราเพียงไร เขาก็จะไม่ได้ ของเราตอนนี้มันสุขกายสบายใจดีอยู่แล้วนี่ ถึงเวลาให้เขา เขาก็ได้เลย
     
  5. เทพออระฤทธิ์

    เทพออระฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    4,573
    กระทู้เรื่องเด่น:
    4
    ค่าพลัง:
    +22,048
    [​IMG]

    ถาม : ในการให้ มีมั้ยที่เขารับไม่ได้ ?

    ตอบ: มี บางคนกรรมเขาหนัก รับไม่ได้ หรือไม่ก็เราให้ผิด เขาก็รับไม่ได้ หลวงพ่อท่านเคยเล่าว่า สมัยท่านบวชใหม่ ผีมาขอส่วนกุศล ท่านก็อุทิศส่วนกุศลบท อิมินา ปุญญะกัมเมนะ อุปัชฌายา คุณุตตะรา.... มันไม่ถึงผีซะที ลองแปลดูสิ อุปัชฌายา คุณุตตะรา ให้อุปัชฌาย์ผู้มีคุณ อาจาริยู ปะการาจะ อาจารย์<?xml:namespace prefix = st1 ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:smarttags" /><st1:personName w:st="on" ProductID="ผู้มีอุปการะ มาตาปิตา">ผู้มีอุปการะ มาตาปิตา</st1:personName> จะญาตะกา บิดามารดาและญาติ ไอ้นั่นไม่ได้ซะที หมดเวลาเขาลากไป ตื่นเช้ามา หลวงปู่ปานถาม “เป็นยังไง พ่ออิมินาคล่อง ไปท่องอย่างนั้นผีเขาจะได้รึ?” ท่านก็ถามว่า ทำยังไง ? หลวงปู่ปานบอกให้ใช้ภาษาไทยง่าย ๆ ให้ตั้งใจว่า กุศลบารมีใด ที่เราทำมาตั้งแต่ต้นจนบัดนี้ ขอให้เธอโมทนา เราจะได้รับประโยชน์ความสุขเท่าไร ขอให้เธอให้เธอได้รับด้วย เอาง่าย ๆ ไปท่องคล่อง ๆ กว่านั้น ถ้ามันไม่ตรง เขาก็รับไม่ได้ อีกประเภทหนึ่ง กรรมของเขาหนัก
    มีอยู่รายหนึ่ง ตอนนั้นไม่ทราบว่าเป็นวันสำคัญอะไร ? น่าจะเป็นมาฆะบูชา ปรากฏว่าตอนบ่าย ๓ โมง เข้าโบสถ์สวดปาติโมกข์ มีผีมาโมทนาบุญอยู่มากันแน่นขนัดไปหมด เพราะว่า
    วันมาฆะ วิสาขะ เข้าพรรษา ออกพรรษา พระยายมท่านจะหยุดงานช่วงละ ๓ วัน ปล่อยผีให้ไปโมทนาบุญ พวกนี้ถ้าโมทนาได้ ไปเลย งานท่านจะได้ไม่ต้องเหนื่อย วันนั้นเขาก็มากันมากมหาศาลเลย แต่ปรากฏว่ามีอยู่ ๓ คนที่โมทนาบุญไม่ได้ หลวงพ่อก็เรียกเขาเข้ามาใกล้ ถามว่า ทำไมให้บุญแล้ว เขาโมทนาบุญไม่ได้ คนอื่นได้หมด เขาบอกว่าเขาทำกรรมหนักไว้มาก อยู่โรงฆ่าสัตว์ ฆ่าควาย ฆ่าวัวเป็นประจำเลย คนฆ่าสัตว์ใหญ่ กรรมมันก็เลยหนัก โมทนาบุญไม่ได้ บอกอ้าว! แล้วแกมาได้ยังไง ? บอกว่าที่มาได้เพราะพระยายมเขาปล่อยมา แล้วตัวเองกรรมของมันยังไม่หนักพอที่จะลงสู่ขุมโดยตรงเลย ก็เลยมีเทวทูตไปรับ ก็ถือว่าโชคดีไป ถามว่าตัดสิน ? ถ้าตัดสินผมลงแน่ เพราะผมนึกถึงความดีไม่ออกเลย แล้วถามว่า มีความดีอะไรที่แกจะโมทนาได้บ้าง ? บอกขอบุญกรรมฐาน ในเมื่อขอบุญกรรมฐาน หลวงพ่อท่านก็เลยอุทิศให้ว่า กรรมฐานใดที่ท่านทำมา ขออุทิศให้กับเขา ให้โมทนา ถึงได้รอดไป ก็หมายความว่าถ้าเราให้ไม่ตรง เขารับไม่ได้ หรือว่าให้แล้วกำลังบาปของเขาสูง เขาก็รับไม่ได้เหมือนกัน

    ส่วนอีกประเภทหนึ่ง ที่รับไม่ได้เลย คืออยู่ในเขตที่ลำบาก อย่างเช่นว่า อยู่ในนรกหรือว่าเปรต ๑๑ จำพวกแรกนี่รับไม่ได้หรอก กำลังลำบากอยู่ คนโดนเขาไล่ฆ่าไล่ฟันอยู่ ยื่นขนมให้กิน มันกินไม่ทันหรอก

    ถาม : ทำกรรมประเภทฆ่าสัตว์ นี่ตัดรอนชีวิตตัวเอง ?

    ตอบ: ปาณาติบาตทุกประเภท จะทำให้อายุสั้น โดยเฉพาะฆ่าคน ฆ่าสัตว์ใหญ่ ต้องใช้กำลังใจมากกว่าปกติ ไม่เหมือนกับสัตว์เล็ก อย่างยุงตบเพียะเดียว เราไม่ค่อยรู้สึกเท่าไหร่ ในเมื่อฆ่าคน ฆ่าสัตว์ใหญ่ ต้องใช้กำลังใจมากกว่าปกติ โทษมันก็หนักกว่าปกติ ถ้าถึงเวลา ถึงวาระกรรมเข้ามาถึง ก็จะตัดรอนชีวิตตัวเองลงไป ถ้าแก้ไขไม่ทันก็ตายเลย เขาเรียกว่าอุปฆาตกรรมฝ่ายอกุศล แต่ถ้าแก้ไขทันอย่างประเภทสะเดาะเคราะห์ต่ออายุ ก็จะอยู่ไปได้อีกระยะหนึ่ง จนกว่าวาระกรรมนี่มันจะวนกลับมาอีกรอบหนึ่ง มันก็มาเป็นระยะ ๆ เหมือนกัน

    ถาม : เรามีอธิษฐานหนีกรรมได้มั้ย ?

    ตอบ: อธิษฐานได้ แต่หนีไม่รอด จำไว้ว่า กรรมจะตามให้ผลอยู่เสมอ ยกเว้นว่าเราทำบุญอยู่ตลอด กำลังบุญที่สูงพอก็จะหนีห่างมันไปเรื่อย จนกระทั่งเราทำดีถึงที่สุด หลุดพ้นเข้านิพพาน มันก็ตามไม่ได้ อธิษฐานเป็นความตั้งใจเฉย ๆ ถ้าไม่ได้ทำบุญประกอบ ช่วยอะไรไม่ได้ แต่ถ้ามีบุญประกอบตั้งใจอธิฐานหนีกรรม กำลังบุญก็ส่งให้ได้ แต่มันได้ระยะเดียว ถ้าเผลอเมื่อไหร่กำลังบุญสิ้นสุดลง กรรมจะตามทันให้ผลอีก เพราะฉะนั้นต้องทำบุญให้สม่ำเสมอ

    ถาม : ถ้าเราไม่มีเวลาทำบุญ แล้วเอากระปุกที่เป็นบาตรวางไว้หน้า...?

    ตอบ: เหลือเฟือเลย ตั้งใจเป็นสังฆทาน วิหารทาน ธรรมทาน บุญใหญ่มโหฬารเลย

    ถาม : ตั้งใจ ณ ตรงนั้นได้เลยใช่มั้ย ?

    ตอบ: ได้เลย แค่คิดจะทำก็เป็นบุญแล้ว ลงมือทำไปบุญนั้นสำเร็จแล้ว แต่ถ้าเราตายก่อน ไม่ได้เอาไปถวายพระ พระขาดทุน (หัวเราะ) มันเล่นรับบุญไปแล้ว

    ถาม : ไม่ทราบว่า ทำไมเกิดอาการขนลุกอยู่ตลอดเวลา ?

    ตอบ: ผีหลอก (หัวเราะ) บางทีเรารับสัมผัสอะไรได้

    หรือว่ามีบางสิ่งบางอย่างต้องการจะติดต่อเรา มันจะมี...การจะติดต่อเรา มันจะเกิดอาการขนลุกเป็นจังหวะ ๆ อยู่ถ้าเกิดอาการอย่างนั้น ให้กำหนดด้วยทิพจักขุญาน ดูว่ามีใครต้องการจะติดต่อมั้ย ? บางรายเขามีธุระด่วนจริง ๆ เขากดเราร่วงไปเลยนะ มันจะรู้สึกเหมือนง่วง จนลืมตาไม่ขึ้น ประเภทหัวไถพื้น นอนลงไปเลย แล้วเขาก็จะจัดการบอกเราเองว่าเขาต้องการอะไร ? ไม่งั้นติดต่อเท่าไหร่ ไม่สนใจ ต้องใช้วิธีกดคอบังคับกัน เคยโดนหลายทีเหมือนกัน เราเองก็มัวแต่เพลินกับงานอยู่ ไม่ได้สนใจเรื่องภายนอก เขากดร่วงไปเลย บอกเสร็จเรียบร้อย เขาถึงจะปล่อย เราก็เออ... ตื่นขึ้นมา ความจริงมันไม่ใช่หลับเพราะง่วง มันเป็นเพราะเขาต้องการกดเราให้อยู่ในอารมณ์ตรงจุดที่รับติดต่อกับเขาได้พอดี อาการเหมือนกับเคลิ้มจะหลับซะให้ได้ โดนไปกี่ครั้งแล้ว ?

    ถาม : บ่อยเจ้าค่ะ ?


    ตอบ: ระวังไว้ พอเกิดอาการให้รีบใช้ทิพจักขุญานดู อันนั้นมันเป็นสัญญานเตือนแล้วว่ามีใครต้องการติดต่อ ถ้าหากว่าไม่งั้นก็จะบ่อยอีกแหละ อยู่ ๆ ก็หลับเฉย ๆ ยืนอยู่บนรถเมล์ก็หลับ เดี๋ยวจะยุ่งกันไปใหญ่

    ถาม : .........................................

    ตอบ: ท่านถามว่าเมื่อไหร่จะยอมรักษาคนซะทีจ๊ะ ? (หลวงปู่ชีวกโกมารภัจ)

    ถาม : ท่าน (หลวงปู่ชีวกฯ) ให้บอกตัวยา

    ตอบ: ว่ามา อะไรบ้าง ? ทีละอย่าง

    ถาม : รักษาโรคเลือดเจ้าค่ะ

    ตอบ: โรคเลือด โรคเลือดนี่รักษาเอดส์ได้ด้วย อะไรบ้าง ?

    ถาม : หญ้าหนวดแมว ๓ บาท ทองพันชั่ง ๓ บาท ตะไคร้ ๑๐ บาท ขิง ๑ บาท เอาต้มรวมกัน ใส่น้ำไป ๑ ลิตร ต้มเคี่ยวจนเหลือ ๑ แก้ว ทานให้ติดต่อกัน ๗ วัน ๆ ละ ๑ แก้ว ก่อนนอน

    ตอบ: ตัวยาต้องเปลี่ยนมั้ย ? หรือว่าทั้ง ๗ วัน ใช้ตัวยาชุดเดียว ?

    ถาม : ใส่ตัวยาใหม่ตลอด อย่าซ้ำของเดิม ทานไปอาการจะทุเลาลง

    ตอบ: แก้โรคเลือด นี่แก้เอดส์ได้ด้วยนะ เพราะว่าเอดส์นี่เลือดมันเป็นพิษ ... อาการจะดีขึ้น... คำว่าดีขึ้น ไม่ได้แปลว่า ไม่ตายนะจ๊ะ... แล้วทำบุญอะไรก็ตั้งใจนึกถึงปู่บ้างนะ ท่านถึงจะไปนิพพานแล้ว ก็ยังเป็นห่วงพวกเราอยู่

    สมัยนี้เป็นเอดส์กันเยอะ... เวลาต้มนี่ให้ใช้หม้อดินจะดีกว่า เพราะว่าโลหะบางทีทำให้ธาตุยาเสียไป กินก่อนนอนทุกวัน ๗ วันติดต่อกัน พอรุ่งขึ้นก็เปลี่ยนยาใหม่ ๆ เลยนะ ยานี่ใช้ได้ทีเดียว ๗ วันอาการต่าง ๆ จะดีขึ้น อย่าคิดว่าไม่ตายนะ... ดีขึ้น คนดี ๆ ยังตาย คนป่วยจะรอดไปนานได้อย่างไร แต่ว่าอย่างน้อย ๆ ก็บรรเทาอาการเวทนาได้ ปู่หมอชีวกโกมารภัจ บอก...เป็นวิทยาทาน ปู่ท่านถนัดภาษาสันสกฤตมากกว่า น้ำนี่ถ้าได้น้ำฝนยิ่งดีนะ ตัวยานี้ถ้าหาทั่วไปไม่ได้ ให้ไปที่ร้านเจ้ากรมเป๋ออยู่ที่จักรวรรดิ ของง่าย ๆ อย่างนี้หาง่ายอยู่แล้วล่ะ

    ถาม : อันนี้เป็นของสดหรือของแห้ง ?

    ตอบ: ของสด

    ถาม : เจ้ากรมเป๋อไม่มีของสด

    ตอบ: เจ้ากรมเป๋อไม่มีสดใช่มั้ย ? ถ้าอย่างนั้นหาเองเลย ก็ไม่ยากนี่ ที่จะยากนิดก็ทองพันชั่ง แต่ทองพันชั่งนี่ถ้าเจอ ๆ เป็นดงเลย เพราะมันขึ้นง่าย ถ้าหาไม่ได้โน่น ไปที่ศูนย์ต้นน้ำทองผาภูมิ มีเป็นปี๊บ

    ถาม : หลวงปู่ยังบอกไม่หมดเจ้าค่ะ (หลวงปู่ชีวกฯ)

    ตอบ: มีอะไรจ๊ะ ?

    ถาม : คนที่เป็นความดันห้ามกินเจ้าค่ะ

    ตอบ: อันตรายเหมือนกันจ้ะ ความดันสูงหรือต่ำจ๊ะ ?

    ถาม : ความดันสูงเจ้าค่ะ

    ตอบ: ความดันสูงห้ามกิน เพราะว่ามันอาจจะไปเพิ่มความดัน เพื่อให้เลือดมันวิ่งเร็วขึ้น การฟอกเลือดจะได้ดีขึ้น เพราะฉะนั้นถ้าหากความดันสูงห้ามกินนะ ระวังด้วย

    ถาม : ของที่ใช้ได้ทั้งสดทั้งแห้งเจ้าค่ะ

    ตอบ: จ๊ะ สดก็ได้แห้งก็ได้ แต่สดมันจะคุณภาพดีกว่านะปู่นะ ?

    ถาม : ใช่ เจ้าค่ะ สดคุณภาพดีกว่า ถ้าได้สดทุกอย่างมันจะดีที่สุดด้วย

    ตอบ: ความดันสูงห้ามกินจ้ะ ใช้ของสดดีกว่าของแห้ง แต่ใช้ได้ทั้งคู่ เขาเรียกว่าคนดีผีรัก ยายเจี๊ยบ เขาไปที่ไหน โดนตลอด

    ถาม : ไม่ไหวเจ้าค่ะ อายเขาจังเลยเจ้าค่ะ

    ตอบ: อายเฉย ๆ ไม่เป็นไรหรอก แต่ว่าบางอย่างถ้าเราไปฝืน ท่านกดลงมามันเหนื่อย เหมือนจะขาดใจ

    ถาม : หายใจไม่ออกเจ้าค่ะ

    ตอบ: อาตมาเคยโดนมาหลายยกแล้ว ไปดื้อกับท่าน ท่านก็เอาเลย อีตอนนี้มีคนให้โดนแทนแล้ว (หัวเราะ) เราไม่เกี่ยวแล้ว

    ถาม : ทำยังไงถึงจะหลบหน้าที่นี้ได้เจ้าค่ะ ?

    ตอบ: ถ้ามันจำเป็นต้องสงเคราะห์คน ทำไปเถอะ เพราะว่าอย่างน้อย ๆ เป็นการเพิ่มบารมีของเราเอง แล้วอีกอย่างหมอสมัยนี้มันห่วยแตก อย่างของอาตมามันรักษาไม่หาย แล้วก็สรุปว่าเราไม่เป็นอะไรเลย เพราะตรวจหาโรคไม่เจอ คนจะตายแหล่ ไม่ตายแหล่ ไม่ต้องถามหายแล้วจ้ะ (หัวเราะ) อยู่ใกล้นี่หายเลย เรื่องโรคนี่ยาบรรเทาได้แค่ไม่เกินกฎของกรรมเท่านั้น ของเรามันรังแกเขาไว้เยอะ ต้องโดนอยู่แล้ว


     
  6. เทพออระฤทธิ์

    เทพออระฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    4,573
    กระทู้เรื่องเด่น:
    4
    ค่าพลัง:
    +22,048
    [​IMG]

    ถาม : ในการให้ มีมั้ยที่เขารับไม่ได้ ?

    ตอบ: มี บางคนกรรมเขาหนัก รับไม่ได้ หรือไม่ก็เราให้ผิด เขาก็รับไม่ได้ หลวงพ่อท่านเคยเล่าว่า สมัยท่านบวชใหม่ ผีมาขอส่วนกุศล ท่านก็อุทิศส่วนกุศลบท อิมินา ปุญญะกัมเมนะ อุปัชฌายา คุณุตตะรา.... มันไม่ถึงผีซะที ลองแปลดูสิ อุปัชฌายา คุณุตตะรา ให้อุปัชฌาย์ผู้มีคุณ อาจาริยู ปะการาจะ อาจารย์<?xml:namespace prefix = st1 ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:smarttags" /><st1:personName w:st="on" ProductID="ผู้มีอุปการะ มาตาปิตา">ผู้มีอุปการะ มาตาปิตา</st1:personName> จะญาตะกา บิดามารดาและญาติ ไอ้นั่นไม่ได้ซะที หมดเวลาเขาลากไป ตื่นเช้ามา หลวงปู่ปานถาม “เป็นยังไง พ่ออิมินาคล่อง ไปท่องอย่างนั้นผีเขาจะได้รึ?” ท่านก็ถามว่า ทำยังไง ? หลวงปู่ปานบอกให้ใช้ภาษาไทยง่าย ๆ ให้ตั้งใจว่า กุศลบารมีใด ที่เราทำมาตั้งแต่ต้นจนบัดนี้ ขอให้เธอโมทนา เราจะได้รับประโยชน์ความสุขเท่าไร ขอให้เธอให้เธอได้รับด้วย เอาง่าย ๆ ไปท่องคล่อง ๆ กว่านั้น ถ้ามันไม่ตรง เขาก็รับไม่ได้ อีกประเภทหนึ่ง กรรมของเขาหนัก
    มีอยู่รายหนึ่ง ตอนนั้นไม่ทราบว่าเป็นวันสำคัญอะไร ? น่าจะเป็นมาฆะบูชา ปรากฏว่าตอนบ่าย ๓ โมง เข้าโบสถ์สวดปาติโมกข์ มีผีมาโมทนาบุญอยู่มากันแน่นขนัดไปหมด เพราะว่า
    วันมาฆะ วิสาขะ เข้าพรรษา ออกพรรษา พระยายมท่านจะหยุดงานช่วงละ ๓ วัน ปล่อยผีให้ไปโมทนาบุญ พวกนี้ถ้าโมทนาได้ ไปเลย งานท่านจะได้ไม่ต้องเหนื่อย วันนั้นเขาก็มากันมากมหาศาลเลย แต่ปรากฏว่ามีอยู่ ๓ คนที่โมทนาบุญไม่ได้ หลวงพ่อก็เรียกเขาเข้ามาใกล้ ถามว่า ทำไมให้บุญแล้ว เขาโมทนาบุญไม่ได้ คนอื่นได้หมด เขาบอกว่าเขาทำกรรมหนักไว้มาก อยู่โรงฆ่าสัตว์ ฆ่าควาย ฆ่าวัวเป็นประจำเลย คนฆ่าสัตว์ใหญ่ กรรมมันก็เลยหนัก โมทนาบุญไม่ได้ บอกอ้าว! แล้วแกมาได้ยังไง ? บอกว่าที่มาได้เพราะพระยายมเขาปล่อยมา แล้วตัวเองกรรมของมันยังไม่หนักพอที่จะลงสู่ขุมโดยตรงเลย ก็เลยมีเทวทูตไปรับ ก็ถือว่าโชคดีไป ถามว่าตัดสิน ? ถ้าตัดสินผมลงแน่ เพราะผมนึกถึงความดีไม่ออกเลย แล้วถามว่า มีความดีอะไรที่แกจะโมทนาได้บ้าง ? บอกขอบุญกรรมฐาน ในเมื่อขอบุญกรรมฐาน หลวงพ่อท่านก็เลยอุทิศให้ว่า กรรมฐานใดที่ท่านทำมา ขออุทิศให้กับเขา ให้โมทนา ถึงได้รอดไป ก็หมายความว่าถ้าเราให้ไม่ตรง เขารับไม่ได้ หรือว่าให้แล้วกำลังบาปของเขาสูง เขาก็รับไม่ได้เหมือนกัน

    ส่วนอีกประเภทหนึ่ง ที่รับไม่ได้เลย คืออยู่ในเขตที่ลำบาก อย่างเช่นว่า อยู่ในนรกหรือว่าเปรต ๑๑ จำพวกแรกนี่รับไม่ได้หรอก กำลังลำบากอยู่ คนโดนเขาไล่ฆ่าไล่ฟันอยู่ ยื่นขนมให้กิน มันกินไม่ทันหรอก

    ถาม : ทำกรรมประเภทฆ่าสัตว์ นี่ตัดรอนชีวิตตัวเอง ?

    ตอบ: ปาณาติบาตทุกประเภท จะทำให้อายุสั้น โดยเฉพาะฆ่าคน ฆ่าสัตว์ใหญ่ ต้องใช้กำลังใจมากกว่าปกติ ไม่เหมือนกับสัตว์เล็ก อย่างยุงตบเพียะเดียว เราไม่ค่อยรู้สึกเท่าไหร่ ในเมื่อฆ่าคน ฆ่าสัตว์ใหญ่ ต้องใช้กำลังใจมากกว่าปกติ โทษมันก็หนักกว่าปกติ ถ้าถึงเวลา ถึงวาระกรรมเข้ามาถึง ก็จะตัดรอนชีวิตตัวเองลงไป ถ้าแก้ไขไม่ทันก็ตายเลย เขาเรียกว่าอุปฆาตกรรมฝ่ายอกุศล แต่ถ้าแก้ไขทันอย่างประเภทสะเดาะเคราะห์ต่ออายุ ก็จะอยู่ไปได้อีกระยะหนึ่ง จนกว่าวาระกรรมนี่มันจะวนกลับมาอีกรอบหนึ่ง มันก็มาเป็นระยะ ๆ เหมือนกัน

    ถาม : เรามีอธิษฐานหนีกรรมได้มั้ย ?

    ตอบ: อธิษฐานได้ แต่หนีไม่รอด จำไว้ว่า กรรมจะตามให้ผลอยู่เสมอ ยกเว้นว่าเราทำบุญอยู่ตลอด กำลังบุญที่สูงพอก็จะหนีห่างมันไปเรื่อย จนกระทั่งเราทำดีถึงที่สุด หลุดพ้นเข้านิพพาน มันก็ตามไม่ได้ อธิษฐานเป็นความตั้งใจเฉย ๆ ถ้าไม่ได้ทำบุญประกอบ ช่วยอะไรไม่ได้ แต่ถ้ามีบุญประกอบตั้งใจอธิฐานหนีกรรม กำลังบุญก็ส่งให้ได้ แต่มันได้ระยะเดียว ถ้าเผลอเมื่อไหร่กำลังบุญสิ้นสุดลง กรรมจะตามทันให้ผลอีก เพราะฉะนั้นต้องทำบุญให้สม่ำเสมอ

    ถาม : ถ้าเราไม่มีเวลาทำบุญ แล้วเอากระปุกที่เป็นบาตรวางไว้หน้า...?

    ตอบ: เหลือเฟือเลย ตั้งใจเป็นสังฆทาน วิหารทาน ธรรมทาน บุญใหญ่มโหฬารเลย

    ถาม : ตั้งใจ ณ ตรงนั้นได้เลยใช่มั้ย ?

    ตอบ: ได้เลย แค่คิดจะทำก็เป็นบุญแล้ว ลงมือทำไปบุญนั้นสำเร็จแล้ว แต่ถ้าเราตายก่อน ไม่ได้เอาไปถวายพระ พระขาดทุน (หัวเราะ) มันเล่นรับบุญไปแล้ว

    ถาม : ไม่ทราบว่า ทำไมเกิดอาการขนลุกอยู่ตลอดเวลา ?

    ตอบ: ผีหลอก (หัวเราะ) บางทีเรารับสัมผัสอะไรได้

    หรือว่ามีบางสิ่งบางอย่างต้องการจะติดต่อเรา มันจะมี...การจะติดต่อเรา มันจะเกิดอาการขนลุกเป็นจังหวะ ๆ อยู่ถ้าเกิดอาการอย่างนั้น ให้กำหนดด้วยทิพจักขุญาน ดูว่ามีใครต้องการจะติดต่อมั้ย ? บางรายเขามีธุระด่วนจริง ๆ เขากดเราร่วงไปเลยนะ มันจะรู้สึกเหมือนง่วง จนลืมตาไม่ขึ้น ประเภทหัวไถพื้น นอนลงไปเลย แล้วเขาก็จะจัดการบอกเราเองว่าเขาต้องการอะไร ? ไม่งั้นติดต่อเท่าไหร่ ไม่สนใจ ต้องใช้วิธีกดคอบังคับกัน เคยโดนหลายทีเหมือนกัน เราเองก็มัวแต่เพลินกับงานอยู่ ไม่ได้สนใจเรื่องภายนอก เขากดร่วงไปเลย บอกเสร็จเรียบร้อย เขาถึงจะปล่อย เราก็เออ... ตื่นขึ้นมา ความจริงมันไม่ใช่หลับเพราะง่วง มันเป็นเพราะเขาต้องการกดเราให้อยู่ในอารมณ์ตรงจุดที่รับติดต่อกับเขาได้พอดี อาการเหมือนกับเคลิ้มจะหลับซะให้ได้ โดนไปกี่ครั้งแล้ว ?

    ถาม : บ่อยเจ้าค่ะ ?


    ตอบ: ระวังไว้ พอเกิดอาการให้รีบใช้ทิพจักขุญานดู อันนั้นมันเป็นสัญญานเตือนแล้วว่ามีใครต้องการติดต่อ ถ้าหากว่าไม่งั้นก็จะบ่อยอีกแหละ อยู่ ๆ ก็หลับเฉย ๆ ยืนอยู่บนรถเมล์ก็หลับ เดี๋ยวจะยุ่งกันไปใหญ่

    ถาม : .........................................

    ตอบ: ท่านถามว่าเมื่อไหร่จะยอมรักษาคนซะทีจ๊ะ ? (หลวงปู่ชีวกโกมารภัจ)

    ถาม : ท่าน (หลวงปู่ชีวกฯ) ให้บอกตัวยา

    ตอบ: ว่ามา อะไรบ้าง ? ทีละอย่าง

    ถาม : รักษาโรคเลือดเจ้าค่ะ

    ตอบ: โรคเลือด โรคเลือดนี่รักษาเอดส์ได้ด้วย อะไรบ้าง ?

    ถาม : หญ้าหนวดแมว ๓ บาท ทองพันชั่ง ๓ บาท ตะไคร้ ๑๐ บาท ขิง ๑ บาท เอาต้มรวมกัน ใส่น้ำไป ๑ ลิตร ต้มเคี่ยวจนเหลือ ๑ แก้ว ทานให้ติดต่อกัน ๗ วัน ๆ ละ ๑ แก้ว ก่อนนอน

    ตอบ: ตัวยาต้องเปลี่ยนมั้ย ? หรือว่าทั้ง ๗ วัน ใช้ตัวยาชุดเดียว ?

    ถาม : ใส่ตัวยาใหม่ตลอด อย่าซ้ำของเดิม ทานไปอาการจะทุเลาลง

    ตอบ: แก้โรคเลือด นี่แก้เอดส์ได้ด้วยนะ เพราะว่าเอดส์นี่เลือดมันเป็นพิษ ... อาการจะดีขึ้น... คำว่าดีขึ้น ไม่ได้แปลว่า ไม่ตายนะจ๊ะ... แล้วทำบุญอะไรก็ตั้งใจนึกถึงปู่บ้างนะ ท่านถึงจะไปนิพพานแล้ว ก็ยังเป็นห่วงพวกเราอยู่

    สมัยนี้เป็นเอดส์กันเยอะ... เวลาต้มนี่ให้ใช้หม้อดินจะดีกว่า เพราะว่าโลหะบางทีทำให้ธาตุยาเสียไป กินก่อนนอนทุกวัน ๗ วันติดต่อกัน พอรุ่งขึ้นก็เปลี่ยนยาใหม่ ๆ เลยนะ ยานี่ใช้ได้ทีเดียว ๗ วันอาการต่าง ๆ จะดีขึ้น อย่าคิดว่าไม่ตายนะ... ดีขึ้น คนดี ๆ ยังตาย คนป่วยจะรอดไปนานได้อย่างไร แต่ว่าอย่างน้อย ๆ ก็บรรเทาอาการเวทนาได้ ปู่หมอชีวกโกมารภัจ บอก...เป็นวิทยาทาน ปู่ท่านถนัดภาษาสันสกฤตมากกว่า น้ำนี่ถ้าได้น้ำฝนยิ่งดีนะ ตัวยานี้ถ้าหาทั่วไปไม่ได้ ให้ไปที่ร้านเจ้ากรมเป๋ออยู่ที่จักรวรรดิ ของง่าย ๆ อย่างนี้หาง่ายอยู่แล้วล่ะ

    ถาม : อันนี้เป็นของสดหรือของแห้ง ?

    ตอบ: ของสด

    ถาม : เจ้ากรมเป๋อไม่มีของสด

    ตอบ: เจ้ากรมเป๋อไม่มีสดใช่มั้ย ? ถ้าอย่างนั้นหาเองเลย ก็ไม่ยากนี่ ที่จะยากนิดก็ทองพันชั่ง แต่ทองพันชั่งนี่ถ้าเจอ ๆ เป็นดงเลย เพราะมันขึ้นง่าย ถ้าหาไม่ได้โน่น ไปที่ศูนย์ต้นน้ำทองผาภูมิ มีเป็นปี๊บ

    ถาม : หลวงปู่ยังบอกไม่หมดเจ้าค่ะ (หลวงปู่ชีวกฯ)

    ตอบ: มีอะไรจ๊ะ ?

    ถาม : คนที่เป็นความดันห้ามกินเจ้าค่ะ

    ตอบ: อันตรายเหมือนกันจ้ะ ความดันสูงหรือต่ำจ๊ะ ?

    ถาม : ความดันสูงเจ้าค่ะ

    ตอบ: ความดันสูงห้ามกิน เพราะว่ามันอาจจะไปเพิ่มความดัน เพื่อให้เลือดมันวิ่งเร็วขึ้น การฟอกเลือดจะได้ดีขึ้น เพราะฉะนั้นถ้าหากความดันสูงห้ามกินนะ ระวังด้วย

    ถาม : ของที่ใช้ได้ทั้งสดทั้งแห้งเจ้าค่ะ

    ตอบ: จ๊ะ สดก็ได้แห้งก็ได้ แต่สดมันจะคุณภาพดีกว่านะปู่นะ ?

    ถาม : ใช่ เจ้าค่ะ สดคุณภาพดีกว่า ถ้าได้สดทุกอย่างมันจะดีที่สุดด้วย

    ตอบ: ความดันสูงห้ามกินจ้ะ ใช้ของสดดีกว่าของแห้ง แต่ใช้ได้ทั้งคู่ เขาเรียกว่าคนดีผีรัก ยายเจี๊ยบ เขาไปที่ไหน โดนตลอด

    ถาม : ไม่ไหวเจ้าค่ะ อายเขาจังเลยเจ้าค่ะ

    ตอบ: อายเฉย ๆ ไม่เป็นไรหรอก แต่ว่าบางอย่างถ้าเราไปฝืน ท่านกดลงมามันเหนื่อย เหมือนจะขาดใจ

    ถาม : หายใจไม่ออกเจ้าค่ะ

    ตอบ: อาตมาเคยโดนมาหลายยกแล้ว ไปดื้อกับท่าน ท่านก็เอาเลย อีตอนนี้มีคนให้โดนแทนแล้ว (หัวเราะ) เราไม่เกี่ยวแล้ว

    ถาม : ทำยังไงถึงจะหลบหน้าที่นี้ได้เจ้าค่ะ ?

    ตอบ: ถ้ามันจำเป็นต้องสงเคราะห์คน ทำไปเถอะ เพราะว่าอย่างน้อย ๆ เป็นการเพิ่มบารมีของเราเอง แล้วอีกอย่างหมอสมัยนี้มันห่วยแตก อย่างของอาตมามันรักษาไม่หาย แล้วก็สรุปว่าเราไม่เป็นอะไรเลย เพราะตรวจหาโรคไม่เจอ คนจะตายแหล่ ไม่ตายแหล่ ไม่ต้องถามหายแล้วจ้ะ (หัวเราะ) อยู่ใกล้นี่หายเลย เรื่องโรคนี่ยาบรรเทาได้แค่ไม่เกินกฎของกรรมเท่านั้น ของเรามันรังแกเขาไว้เยอะ ต้องโดนอยู่แล้ว


     
  7. เทพออระฤทธิ์

    เทพออระฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    4,573
    กระทู้เรื่องเด่น:
    4
    ค่าพลัง:
    +22,048
    [​IMG]
    ถาม : กำหนดกรรมฐานให้หน่อยเจ้าค่ะ

    ตอบ: จริง ๆ ของเราสบายอยู่แล้ว เพราะว่าเราทำเอาไว้มาก วิธีที่ง่ายที่สุดก็คือว่าให้ส่งจิตไปกราบพระบนนิพพาน แล้วอยู่ที่นั่นให้นานที่สุดเท่าที่จะนานได้ สภาพจิตจะผ่องใสอยู่ตลอด แล้วอีกอย่างหนึ่งถ้าเราเบื่องานอื่น หนีไปอยู่ตรงนั้นใครก็กวนไม่ได้ ผีก็กวนไม่ได้ เทวดาก็กวนไม่ได้ วิธีหนี ๆ อยู่ตรงนั้นแหละ หนีให้นานที่สุดแล้วกัน ลงมาเมื่อไหร่โดนเมื่อนั้น (หัวเราะ)

    ถาม : บางทีพอขึ้นไป แล้วร่างกายกลับมาตัวชา ทำอย่างไรดีเจ้าค่ะ ?

    ตอบ: นั่นมันเรื่องปกติของเขา ระวังเอาไว้นิดหนึ่งว่า อย่างน้อย ๆ ให้ปิดประตูใส่กลอนไปเลย ถ้าเปิดไว้เดี๋ยวจะโดนยำเละแบบอาตมา เราป่วยจนทนไม่ไหว ก็ใช้วิธีเข้าสมาธิหลบ เขาเห็นไม่หายใจ เห็นแข็งไปทั้งตัวก็จัดแจงขยำกันเละเทะไปเลย ตื่นขึ้นมานี่แสบไปทั้งตัว เขาคิดว่าเลือดลมไม่เดินแล้ว ใช้ผ้าชุบน้ำร้อน ถูกันใหญ่ ผ้าถูเฉย ๆ มันจะแย่แล้ว ยังชุบน้ำร้อนเข้าไปด้วย ตื่นขึ้นมาเป็นอะไร แสบไปทั้งตัว หนังเป็นขุยหมดเลย นี่ยังใช้ครีมทาผิวอยู่ตลอด เพราะว่ามันยังไม่หาย โดนไปทีนี่มันคงประเภทหมดไปเลย ต้องมาค่อย ๆ เติมให้มันใหม่

    เพราะฉะนั้นใช้วิธีนี้แหละ ดีที่สุด คือว่าถ้าเราเบื่อโลกมาก ๆ ก็หนีไปอยู่นิพพานนั่นแหละ ดีที่สุด อยู่ในจุดนั้น ใคร ๆ ก็ไม่กวนด้วย แต่ว่าจริง ๆ ก็คือสงเคราะห์คนไปเถอะ เราอยู่ในโลกมนุษย์นี่ ถ้านับไปแล้วเวลามันน้อยเหลือเกิน ในเมื่อเวลามันน้อย โอกาสจะช่วยเหลือเขาได้ก็ช่วยสงเคราะห์เขาหน่อย... พวกเป็นเอดส์นี่ถ้าเจอตัวยาแล้วดีขึ้นกระดี๊กระด๊ามา จะให้ไปไล่บีบคอยายเจี๊ยบโน่น ๆ คนโน้นรักษาได้ เดี๋ยวมันแห่กันไปทั้งประเทศเลย

    ถาม : ไม่ไหวเจ้าค่ะ หลบก่อนก่อนเจ้าค่ะ กลัวมากเลยเจ้าค่ะ

    ตอบ: จ้ะ ถ้าหลบแค่หลบได้ สมัยก่อนก็ยายตึ๊ก ชื่อจริงน่าจะชื่อ อวยพร หรือสุพร เนี่ย ๓ พี่น้อง มีจี๊ มีไทร มีตึ๊ก เจ้าตึ๊กต้องเรียกว่า ตึก อ้วนบึ้กเลย กลมเป็นลูกชิ้นเชียว ปรากฎว่าท่านย่ามาทีไรลากคอยายตึ๊กทุกที ยายนี่ก็กลัว เพราะเวลาที่ท่านย่าทรงนี่ คนที่ไม่เคยโดนไม่รู้หรอกว่าเป็นอย่างไร มันเหนื่อย มันจะขาดใจ แรงที่ท่านกดลงมา กลัวก็หลบ ขนาดไปซุกอยู่ใต้เตียง ย่ายังลากออกมาเลย ถามย่าทำไมไม่เอาคนอื่น ? ท่านบอกว่า มันต้องใช้เวลาคุยกันนาน เพราะลูกหลานเยอะ บางทีก็เป็นชั่วโมง ๆ ถ้าหากว่าเป็นคนอื่น มันจะรับไม่ไหว ท่านบอกว่าไอ้ตึ๊กมันอ้วน กำลังมันดี เดี๋ยว ๆ ก็หามออกมากะย่องกะแย่งมาแล้ว หลวงพ่อท่านก็บอกย่า เดินดี ๆ ก็ได้ ท่านบอก ก็มันแก่แล้ว (หัวเราะ) ก็ไอ้ตึ๊กมันยังสาวอยู่ สาวก็เรื่องของมัน ท่านมา ท่านมาลักษณะคนแก่ มาทีไรใจดีทุกทีแหละ พูดเพราะมากเลย เพราะ ๆ ลักษณะที่ตัดหัวคนมาเยอะแล้ว ประเภทอันนี้เจ้าผิดจริง ๆ เพื่อรักษาวินัยกองทัพไว้ ก็ยกหัวให้ย่าเถอะลูก แหม... พูดเพราะจริง ๆ

    เพราะฉะนั้นถ้าท่านย่าตัวจริงนี่พูดเพราะมากเลย จำไว้เลยนะไอ้เอะอะโวยวาย มึงวาพาโวย นั่นไม่รู้ย่าใคร ถ้าย่าใหญ่ของเรานี่พูดเพราะ ท่านเคยบอกเอาไว้ว่า พ่อคนเดียวเหนื่อยเพื่อลูกจำนวนมากก็เหนื่อยได้ แล้วลูกตั้งหลายคน ทำไมไม่ช่วยแบ่งเบาภาระของพ่อบ้างหรือ ? ท่านบอกว่า ถ้ายังให้พ่อเหนื่อยอยู่อย่างนั้นอีก ย่าจะเอาพ่อไปแล้ว คือท่านรู้ว่าร่างกายของพ่อไม่ไหว แล้วก็ค้ำซ้ายค้ำขวากันอยู่ขณะนั้น คนมันฟัง มันก็สักแต่ว่าฟัง ไม่ค่อยจะได้คิด เห็นหลวงพ่อยังนั่งได้ ยิ้มได้ ก็เออ! สบายใจ ประมาทไปเรื่อย ไป ๆ มา ๆ ปุ๊บปั๊บ หลวงพ่อไปขี้มูกโป่งไปตาม ๆ กัน

    http://www.grathonbook.net/book/55.2.html<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p


    ถาม : แล้วเราอธิษฐานช่วยคนอื่นได้มั้ยคะ ?

    ตอบ : ถ้าหากว่าถึงระดับที่ว่าจบกันไปแล้วมันจะเกิดฤทธิ์อย่างหนึ่ง เขาเรียกว่า อธิษฐานฤทธิ์ กับบุญฤทธิ์ ๒ อย่างนี่สามารถช่วยคนได้

    ถาม : ถ้ายังไม่ถึงก็ไม่ควรใช่มั้ยคะ ?

    ตอบ : ถ้ายังไม่ถึงช่วยได้แต่มันก็ได้น้อย

    ถาม : เพราะว่าอย่างแม่เขาจะเป็นโรครักษาไม่หายซักที เสร็จแล้วอย่างหนูสวดมนต์หรือคนอื่นเขาจะทำบุญนี่หนู ๆ ก็จะ...(ไม่ชัด) ?

    ตอบ : ไม่เป็นไร ทุกครั้งก็บอกให้เขาโมทนาอุทิศให้เจ้ากรรมนายเวรเขาด้วย ทำไปเรื่อย ๆ ทีละนิดทีละหน่อยดีกว่า ถ้าหากว่าไปแก้กรรมประเภทที่ว่าไม่ถูกต้องตามศีลตามธรรมเดี๋ยวจะเสียหายกันยกใหญ่เพราะมันจะเรียกกันเยอะ ๆ

    ถาม : ก็จะมีเพื่อนแนะนำให้ไปวัดโน้นวัดนี้บ้างแต่ก็ไม่กล้าไป ?

    ตอบ : ลำบากหน่อย ถ้าหากว่าไม่มั่นใจก็ย่อง ๆ ไปดูเขาก่อนอย่าเพิ่งพาคนไข้ไป ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้เข้าไปเหมือนนักท่องเที่ยวคนหนึ่ง ไปสังเกตการณ์ก่อนก็ได้ ถ้ายิ่งได้ทิพจักขุญาณก็ดูมันเลย ดูมันทำได้จริงหรือเปล่า ?

    ถาม : แล้วอย่างหนูทำบุญทุกวันหยอดเงินบาทหนึ่ง หยอดเงินหน้าหิ้งพระค่ะ แล้วหนูยังไม่ได้เอามาถวายถือเป็นการทำบุญหรือเปล่าคะ ?

    ตอบ : เป็นแล้ว เพราะว่าเราตั้งใจอยู่แล้วว่าเงินส่วนนี้จะทำบุญ ถ้าหากว่าเราตายตอนนั้นผลบุญอันนั้นเราได้เลย แต่พระขาดทุน เพราะยังไม่ได้รับสตางค์ (หัวเราะ) อันนี้ไม่ต้องกังวล อันนี้เป็นบุญอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าของเรานี่ เจตนามันเป็นบุญอยู่แล้ว พอเราได้ทำไปผลบุญนั้นก็เป็นอันสำเร็จแล้ว มันก็เหลืออยู่เพียงว่ามีวาระมีโอกาสก็เอาเงินนั้นมาถวายพระ เพราะฉะนั้นห้ามตายก่อน ตายก่อนพระขาดทุน

    อธิษฐานบารมีนี่สำคัญนะ เป็นบารมีที่สำคัญมาก คนที่ไม่ถึงระดับปรมัตถบารมีใช้อธิษฐานไม่เป็นด้วยซ้ำไป บางคนก็เข้าใจผิดว่า อธิษฐานบารมี อย่างเช่นว่า ทำบุญแล้วขอให้เป็นนั่นขอให้เป็นนี่ ขอให้ได้นั่นขอให้ได้นี่ปรากฏว่าเป็นการโลภเขาไปคิดอย่างนั้น อันนั้นไม่ใช่ อธิษฐานบารมีเป็นการเจาะจงว่าผลบุญที่เราทำจะให้มันเกิดอะไร จะให้เกิดขึ้นเมื่อไหร่ สำหรับตัวเราเป็นการเจาะจงเวลา ถ้าหากว่าเราต้องการของอย่างหนึ่งตอนนี้ ถ้าเราไม่ตั้งใจไว่กอนมันมาอีกโน่นปี ๒ ปี ข้างหน้า ซึ่งไม่มีประโยชน์กับเราแล้ว

    อธิษฐานบารมีเป็นการยิงปืนเล็งเป้าเพื่อให้ถูกต้องเป้าหมาย ถ้าหากยิงเหวี่ยงแหส่งเดชไปมันอาจจะไม่ถูกเป้าหมายเลยก็ได้ สิ่งที่เราทำไม่ว่าจะดีหรือชั่วเขาส่งผลอยู่แล้ว

    อธิษฐานบารมีนี่เป็นการจำกัดว่าจะให้เกิดขึ้นเมื่อไหร่ เกิดผลอย่างไร มันไม่ได้โลภอะไรเลย เพียงแต่กำหนดให้มันแน่นอนลงไปเท่านั้น เรื่องของอธิษฐานบารมีนี่ถ้าหากว่าเราสร้างสาเหตุได้เพียงพอ ผลมันก็จะเกิด ทีนี้ถ้าหากว่าเหตุมันยังไม่พอผลมันก็ยังไม่เกิดหรอก

    อย่างเช่นว่าน้ำขวดนี้ ยกตัวอย่างน้ำนี่ง่ายดี ถ้าหากว่าโยมสร้างเหตุเพียงพอก็คือ น้ำมันจะเต็มขวดแล้ว โยมตั้งใจอธิษฐานขอน้ำขวดหนึ่งโยมได้แน่นอน แต่ถ้าหากว่าน้ำมันแค่นี้ แล้วโยมตั้งใจขอน้ำขวดหนึ่งโยมได้แน่นอน แต่ถ้าหากว่าน้ำมันแค่นี้ แล้วโยมตั้งใจขอน้ำเต็มขวด เขาก็ให้เราไม่ได้เพราะว่ายังไม่เต็ม
    เพราะฉะนั้นเราต้องทำเหตุให้เพียงพอ ผลถึงจะได้ เรื่องของธรรมะเป็นเรื่องตรงไปตรงมา

    ที่หลวงพ่อโตวัดระฆัง ท่านบอกว่า ถ้าเจ้าไม่สร้างเอาไว้แล้ว เที่ยวไปขอร้องขอต่อคนอื่นเมื่อไหร่เจ้าจะได้ เพราะฉะนั้นก็เลยจำเป็นอยู่ตรงนี้ว่า เราต้องทำให้เพียงพอ ถึงเวลาอธิษฐานว่าเราต้องการอย่างไรมันถึงจะเป็นอย่างนั้น




    สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ

    ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ

    เว็บ กระโถนข้างธรรมาสน์<O:p</O:p
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 พฤษภาคม 2009
  8. karatekung

    karatekung เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2008
    โพสต์:
    1,624
    ค่าพลัง:
    +2,195
    เยี่ยมครับ
     
  9. มุ่งเต็มใจ

    มุ่งเต็มใจ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2006
    โพสต์:
    7,755
    ค่าพลัง:
    +23,467
    [​IMG]

    สาธุครับ ผมเห็นว่าจะเป็นประโยชน์กับที่มีหลายท่านเข้าใจว่าทำบุญกุศลแล้วไม่ต้องปรารถนา อธิษฐานอะไรกำกับ

    และควรอธิษฐานกำกับโดยฉลาดเพื่อหลีกเลี่ยงการอธิษฐานมิจฉาทิฐิหรือมีมาร/กรรมวิบากเก่ามาแทรกมาดลใจให้การอธิษฐานเบี่ยงเบนไปในแนวทางมิจฉาทิฐิ ฯลฯครับ
    เช่น.....โดยดีงาม ด้วยญาณรู้ของพระพุทธเจ้า ฯลฯ


     
  10. ฤดูใบไม้ผลิ

    ฤดูใบไม้ผลิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    1,036
    ค่าพลัง:
    +1,724
    ขอบคุณคะ การอธิษฐาน คือการ ตั้งมั่นในสิ่งที่เรา ปราถนา โมทนาคะ
     
  11. hanada9

    hanada9 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    2,056
    ค่าพลัง:
    +9,853
    เช้า ๆ ได้อ่าน สิ่งเฟื่องฟู เพื่ออุ้มชู จิตใจ ทำให้มีแรงสู้งาน ครับ

    ขอบคุณครับ ที่แนะนำบอกกล่าว

    สาธุ
     
  12. ดาโกต้า

    ดาโกต้า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    274
    ค่าพลัง:
    +210
    อนุโมทนา สาธุ กับสาระธรรมดีดีที่นำมาฝากให้ได้อ่านกัน
     
  13. nid_simalai

    nid_simalai สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    5
    ค่าพลัง:
    +3
    การทำความดี (ทำบุญ) โดยไม่ได้ใช้เงิน แต่ใช้วิชาความรู้ หรือแรงกาย เช่น รักษาพยาบาล ฟรีไม่คิดเงิน หรือไปช่วยงานที่วัด ทำงานให้สาธารณะ ถือเป็นการทำบุญหรือไม่คะ
    หรือทำบุญ คือถวายปัจจัยเท่านั้น
    ใครทราบกรุณา แนะนำด้วย
    เพราะปกติทำงานได้ค่าจ้างเปนราย ช.ม. สูงพอควร
    แล้วพร้อมด้วยปัจจัยสี่ ไม่ลำบาก
    แต่ยังมีภาระ บุตรที่ต้องส่งเสียดูแล อยากทำบุญ แต่ไม่พร้อมที่จะให้เงินมากๆ
    แต่มีเวลาเหลือพอที่จะทำงานให้แทน ที่เป็นสาธารณประโยชน์ โดยไม่รับค่าตอบแทน ถือเป็นการทำบุญหรือไม่คะ
     
  14. pornsak

    pornsak เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    163
    ค่าพลัง:
    +272
    ครับอ่านกระทู้แล้ว รู้สึกสวนกับความเข้าใจของตัวเองอยู่นิดหน่อย วานผู้รู้ และสหายธรรม ชี้แจงให้หน่อยนะครับ

    คือ อย่างที่เราทราบมาว่าในทางพุทธศาสนา พุทธองค์สอนว่า ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว , อีกทั้ง สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม (เรามีกรรมเป็นกำเนิด เรามีกรรมเป็นทายาท เรามีกรรมเป็นปฏิสนธิ ใครทำกรรมใดไว้ ย่อมได้รับผลของกรรมนั้น )

    ฉะนั้นทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีสภาพธรรมะและผลกรรมกำหนดไว้กล่าวคือ วิวัฒนาการทุกๆอย่างเป็นไปโดยธรรมชาติซึ่งกำหนดโดยสภาพธรรม

    ดังนั้น
    1.ทุกๆการกระทำของเรา ทำไมต้องอธิฐานด้วยละครับ ในเมือเราจะต้องได้รับผลของกรรมนั้นเป็นธรรมดาอยู่แล้ว ?
    2.ถ้าเราทำกรรม A เราก็จะได้รับผลจากกรรม A เหมือนอย่าง ปลูกถั่วได้ถั่ว ปลูกงาได้งา ดังนั้น ต่อให้อธิฐานสิ่งใดๆจากการกระทำกรรมใดๆ หากขัดกับลักษณะผลกรรมที่ควรจะเป็น มันก็ไม่น่าจะเป็นได้อย่างที่เราอธิฐานอยู่ดี ? (เช่น เราปลูกถั่ว ดังนั้นมันเป็นไปไม่ได้ที่เราจะได้ งา เป็นต้น )
    3. การที่เราอธิฐานขอสิ่งใดๆจากกระทำกรรมใดๆลงไป นั้นเท่ากับว่า เราร้องขอสิ่งตอบแทน ? ถ้าใช่ แสดงว่ากรรมที่เรากระทำนั้นมิได้สมบูรณ์ครบ100% ละซิครับ เพราะกรรมใดๆไม่ว่าจะดีหรือชั่วก็ตาม ผมเชื่อว่ามันจะสมบูรณ์ได้ ก็ต่อเมื่อผู้สร้างกรรมได้พิจารณากรรมนั้นอย่างสมบูรณืโดยถึงพร้อมด้วย กาย วาจา ใจ ?

    โดยส่วนตัว หลังจากที่ได้บวชเรียนมาพักหนึ่ง ตอนนี้ผมเลิกอธิฐานแล้วครับ ผมทำดีเพราะทำดี ผมทำบุญเพราะทำบุญ ผมละชั่ว เพราะ ละชั่ว ทั้งนี้เพราะผมเชื่อในกฏธรรมชาติที่พุทธองค์สั่งสอนโดยดุษฎีครับ :
    - ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว
    - สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม
    - ตนแล จักเป็นที่พึ่งแห่งตน

    ปล. ผมมิได้มีเจตตนาหักล้างแนวคิดของกระทู้นี้นะครับ เพียงแต่ผมเชื่อในวิธีพิจารณาตามหลักคำสอนของพุทธองค์ ที่ว่าด้วยกาลามสูตร 10 ประการ ซึ่งหากเป็นจริงมันก็น่าจะมีธรรมะข้อไหนของพุทธองค์ที่เป็นเหตุเป็นผลสามารถอธิบายความนี้ได้ ซึ่งถ้ามีจริงๆผมเองก็จะได้เกิดมุมมองในสภาพธรรมอีกอย่างที่ดีขึ้น

    ดังนั้นหากทำให้บางท่านขุ่นเคืองใจ ผมต้องขออภัยและขออโหสิกรรม ไว้ ณ ที่นี้ด้วยนะครับ
     
  15. ส.เชียงใหม่

    ส.เชียงใหม่ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2008
    โพสต์:
    214
    ค่าพลัง:
    +145
    สาธุ..ขอบพระคุณในคำสอนจะนำไปปฏิบัติ..ขออนุโมทนาบุญครับ.................ขอให้ทุกท่านมีความสุข
     
  16. ที่สุดขอบฟ้า

    ที่สุดขอบฟ้า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    55
    ค่าพลัง:
    +139
    อธิฐานบารมีอยู่ในเรื่องบารมี10
    บารมี 10 [​IMG]


    บารมีี แปลว่า กำลังใจเต็ม บารมี 10 ทัศ มีดังนี้
    1. ทานบารมีี จิตของเราพร้อมที่จะให้ทานเป็นปกติ
    2. ศีลบารมี จิตของเราพร้อมในการทรงศีล
    3. เนกขัมมบารมี จิตพร้อมในการทรงเนกขัมมะเป็นปกติ เนกขัมมะ แปลว่า การถือบวช แต่ไม่ใช่ว่าต้องโกนหัวไม่จำเป็น
    4. ปัญญาบารมี จิตพร้อมที่จะใช้ปัญญาเป็นเครื่องประหัตประหารให้พินาศไป
    5. วิริยบารมี วิิริยะ มีความเพียรทุกขณะ ควบคุมใจไว้เสมอ
    6. ขันติบารมี ขันติ มีทั้งอดทน อดกลั้นต่อสิ่งที่เป็นปฏิปักษ์
    7. สัจจะบารมี สัจจะ ทรงตัวไว้ตลอดเวลา ว่าเราจะจริงทุกอย่าง ในด้านของการทำความดี
    8. อธิษฐานบารมี ตั้งใจไว้ให้ตรงโดยเฉพาะ
    9. เมตตาบารมี สร้างอารมณ์ความดี ไม่เป็นศัตรูกับใคร มีความรักตนเสมอด้วยบุคคลอื่น
    10. อุเบกขาบารมี วางเฉยเข้าไว้ เมื่อร่างกายมันไม่ทรงตัว ใช้คำว่า "ช่างมัน" ไว้ในใจ
    บารมี ที่องค์สมเด็จทรงให้เราสร้างให้เต็ม ก็คือ สร้างกำลังใจปลูกฝังกำลังใจให้มันเต็มครบถ้วนบริบูรณ์สมบูรณ์

    บารมีในขั้นต้นกระทำด้วยจิตอย่างอ่อนเป็นขั้นพระบารมี เมื่อจิตดำรงบารมีขั้นกลางได้ เรียกว่า พระอุปบารมี และเมื่อจิตดำรงบารมีขึ้นไปถึงที่สุดเลย เรียกว่า พระปรมัตถบารมี หรือบารมี 30 ทัศ หรือมีศัพท์เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า พระสมติงสบารมี หมายถึง พระบารมีสามสิบถ้วน ซึ่งเป็นธรรมพิเศษหมวดหนึ่ง มีชื่อว่า พุทธกรณธรรม เป็นธรรมพิเศษที่กระทำให้ได้เป็นสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้่า พระโพธิสัตว์ที่ต้องการจะเป็นพระพุทธเจ้า ต้องบำเพ็ญธรรมหมวดนี้ หรือมีชื่อหนึ่งเรียกว่า โพธิปริปาจนธรรม คือธรรมสำหรับพระพุทธภูมิ หรือชาวพุทธเราทั่วไปเรียกว่า พระบารมี หมายถึง ธรรมที่นำไปให้ถึงฝั่งโน้น คือ พระนิพพาน
    • ทานบารมี การให้ เป็นการตัดความโลภ
    • ศีลบารมี เรามีก็ตัดความโกรธ
    • เนกขัมมะบารมี เป็นการตัดอารมณ์ของกามคุณ
    • ปัญญาบารมี ตัดความโง่
    • วิริยะบารมี ตัดความขี้เกียจ
    • ขันติบารมี ตัดความไม่รู้จักอดทน
    • สัจจะบารมี ตัดความไม่จริงใจ มีอารมณ์ใจกลับกลอก
    • อธิษฐานบารมี ทรงกำลังไว้ให้สมบูรณ์
    • เมตตาบารมี สร้างความเยือกเย็นของใจ
    • อุเบกขาบารมี วางเฉยเข้าไว้ในเรื่องของกายเรา
    <CENTER>[​IMG]</CENTER>
    การเทียบบารมี


    บารมีจัดเป็น 3 ชั้น คือ
    1. บารมีต้น
    2. อุปบารมี
    3. ปรมัตถบารมี
    • บารมีต้นในขั้นเต็ม ท่านผู้นี้จะเก่งเฉพาะทาน กับ ศีล แต่การรักษาศีลของบารมีขั้นต้นจะไม่ถึงศีล 8 และจะยังไม่พร้อมในการเจริญพระกรรมฐาน กำลังใจไม่พอ อาจจะไม่ว่างพอหรือเวลาไม่มี
    • อุปบารมี เป็นบารมีขั้นกลาง พร้อมที่ทรงฌานโลกีย์ ท่านพวกนี้จะพอใจการเจริญพระกรรมฐาน และทรงฌาน แต่ยังไม่ถึงขั้นวิปัสสนา ยังไม่พร้อมที่จะไปและไม่พร้อมที่จะยินดีเรื่องพระนิพพาน พร้อมอยู่แค่ฌานสมาบัติ
    • ปรมัตถบารมี ในอันดับแรกอาจจะยังไม่มีความเข้าใจในเรื่องนิพพาน พอสัมผัสวิปัสสนาญาณขั้นเล็กน้อย อาศัยบารมีเก่า ก็มีความต้องการพระนิพพาน จะไปได้หรือไม่ได้ในชาตินี้นั้นไม่สำคัญ เพราะการหวังนิพพานจริง ๆ ต้องหวังกันหลายชาติจนกว่าบารมีที่เป็นปรมัตถบารมีจะสมบูรณ์แบบ
    ถาม : แล้วอย่างหนูทำบุญทุกวันหยอดเงินบาทหนึ่ง หยอดเงินหน้าหิ้งพระค่ะ แล้วหนูยังไม่ได้เอามาถวายถือเป็นการทำบุญหรือเปล่าคะ ?

    ตอบ : เป็นแล้ว เพราะว่าเราตั้งใจอยู่แล้วว่าเงินส่วนนี้จะทำบุญ ถ้าหากว่าเราตายตอนนั้นผลบุญอันนั้นเราได้เลย แต่พระขาดทุน เพราะยังไม่ได้รับสตางค์ (หัวเราะ) อันนี้ไม่ต้องกังวล อันนี้เป็นบุญอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าของเรานี่ เจตนามันเป็นบุญอยู่แล้ว พอเราได้ทำไปผลบุญนั้นก็เป็นอันสำเร็จแล้ว มันก็เหลืออยู่เพียงว่ามีวาระมีโอกาสก็เอาเงินนั้นมาถวายพระ เพราะฉะนั้นห้ามตายก่อน ตายก่อนพระขาดทุน

    อธิษฐานบารมีนี่สำคัญนะ เป็นบารมีที่สำคัญมาก คนที่ไม่ถึงระดับปรมัตถบารมีใช้อธิษฐานไม่เป็นด้วยซ้ำไป บางคนก็เข้าใจผิดว่า อธิษฐานบารมี อย่างเช่นว่า ทำบุญแล้วขอให้เป็นนั่นขอให้เป็นนี่ ขอให้ได้นั่นขอให้ได้นี่ปรากฏว่าเป็นการโลภเขาไปคิดอย่างนั้น อันนั้นไม่ใช่ อธิษฐานบารมีเป็นการเจาะจงว่าผลบุญที่เราทำจะให้มันเกิดอะไร จะให้เกิดขึ้นเมื่อไหร่ สำหรับตัวเราเป็นการเจาะจงเวลา ถ้าหากว่าเราต้องการของอย่างหนึ่งตอนนี้ ถ้าเราไม่ตั้งใจไว่กอนมันมาอีกโน่นปี ๒ ปี ข้างหน้า ซึ่งไม่มีประโยชน์กับเราแล้ว

    อธิษฐานบารมีเป็นการยิงปืนเล็งเป้าเพื่อให้ถูกต้องเป้าหมาย ถ้าหากยิงเหวี่ยงแหส่งเดชไปมันอาจจะไม่ถูกเป้าหมายเลยก็ได้ สิ่งที่เราทำไม่ว่าจะดีหรือชั่วเขาส่งผลอยู่แล้ว

    อธิษฐานบารมีนี่เป็นการจำกัดว่าจะให้เกิดขึ้นเมื่อไหร่ เกิดผลอย่างไร มันไม่ได้โลภอะไรเลย เพียงแต่กำหนดให้มันแน่นอนลงไปเท่านั้น เรื่องของอธิษฐานบารมีนี่ถ้าหากว่าเราสร้างสาเหตุได้เพียงพอ ผลมันก็จะเกิด ทีนี้ถ้าหากว่าเหตุมันยังไม่พอผลมันก็ยังไม่เกิดหรอก

    อย่างเช่นว่าน้ำขวดนี้ ยกตัวอย่างน้ำนี่ง่ายดี ถ้าหากว่าโยมสร้างเหตุเพียงพอก็คือ น้ำมันจะเต็มขวดแล้ว โยมตั้งใจอธิษฐานขอน้ำขวดหนึ่งโยมได้แน่นอน แต่ถ้าหากว่าน้ำมันแค่นี้ แล้วโยมตั้งใจขอน้ำขวดหนึ่งโยมได้แน่นอน แต่ถ้าหากว่าน้ำมันแค่นี้ แล้วโยมตั้งใจขอน้ำเต็มขวด เขาก็ให้เราไม่ได้เพราะว่ายังไม่เต็ม
    เพราะฉะนั้นเราต้องทำเหตุให้เพียงพอ ผลถึงจะได้ เรื่องของธรรมะเป็นเรื่องตรงไปตรงมา

    ที่หลวงพ่อโตวัดระฆัง ท่านบอกว่า ถ้าเจ้าไม่สร้างเอาไว้แล้ว เที่ยวไปขอร้องขอต่อคนอื่นเมื่อไหร่เจ้าจะได้ เพราะฉะนั้นก็เลยจำเป็นอยู่ตรงนี้ว่า เราต้องทำให้เพียงพอ ถึงเวลาอธิษฐานว่าเราต้องการอย่างไรมันถึงจะเป็นอย่างนั้น




    สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ

    ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ

    เว็บ กระโถนข้างธรรมาสน์<O:p</O:p<!-- google_ad_section_end -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 พฤษภาคม 2009
  17. ที่สุดขอบฟ้า

    ที่สุดขอบฟ้า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    55
    ค่าพลัง:
    +139
    ๔. เนมิราชชาดก
    บำเพ็ญอธิษฐานบารมี


    พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระราชอุทยานอัมพวันของพระเจ้ามฆเทวราช ทรงอาศัยกรุงมิถิลาเป็นที่ภิกษาจาร ทรงปรารภการทำความแย้มพระโอฐให้ปรากฏ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ดังนี้

    เรื่องย่อมีว่า วันหนึ่ง พระศาสดาพร้อมด้วยภิกษุเป็นอันมาก เสด็จจาริกไปในอัมพวันนั้นในเวลาเย็น ทอดพระเนตรเห็นภูมิประเทศแห่งหนึ่งเป็นรมณียสถาน ทรงใคร่จะตรัสบุรพจริยาของพระองค์ จึงทรงแย้มพระโอฐ ท่านพระอานนทเถระกราบทูลถามเหตุที่ทรงแย้มพระโอฐ จึงมีพระพุทธดำรัสว่า ดูก่อนอานนท์ ภูมิประเทศนี้เราเคยอาศัยอยู่ เจริญฌานในกาลที่เราเสวยชาติเป็น มฆเทวราชา ตรัสดังนี้แล้วก็ทรงดุษณีภาพนิ่งอยู่ ครั้นเมื่อภิกษุทั้งหลายกราบทูลวิงวอนให้ทรงประกาศบุพจริยา จึงประทับนั่ง ณ บวรพุทธาสนะที่ปูลาดไว้ ทรงนำอดีตนิทานมาแสดง ดังต่อไปนี้


    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในอดีตกาล ณ กรุงมิถิลา แคว้นวิเทหรัฐ ได้มีพระมหากษัตริย์ทรงพระนามว่า มฆเทวราช พระองค์ทรงเป็นราชกุมารอยู่ ๘๔,๐๐๐ ปี ขึ้นครองครองไอศวรรย์ ๘๔,๐๐๐ ปี เมื่อเสวยราชย์เป็นพระราชาธิราชได้ ๘๔,๐๐๐ ปี มีพระราชดำรัสกะเจ้าพนักงานภูษามาลาว่า เมื่อใดเจ้าเห็นผมหงอกในศีรษะเรา เจ้าจงบอกข้าเมื่อนั้น

    ครั้นกาลต่อมา เจ้าพนักงานภูษามาลาได้เห็นเส้นพระศกหงอก จึงกราบทูลแด่พระราชา พระเจ้ามฆเทวราชจึงตรัสสั่งให้ถอนด้วยแหนบทองคำ ให้วางไว้ในพระหัตถ์ ทอดพระเนตรพระศกหงอก ทรงพิจารณาเห็นมรณะเป็นประหนึ่งว่ามาข้องอยู่ที่พระนลาต มีพระดำริว่า บัดนี้เป็นกาลที่จะผนวช จึงพระราชทานบ้านส่วยแก่เจ้าพนักงานภูษามาลา แล้วตรัสเรียกพระเชษฐโอรสมา มีพระดำรัสว่า พ่อจงรับครองราชสมบัติ พ่อจักบวช พระราชโอรสทูลถามถึงเหตุที่จะทรงผนวช เมื่อจะตรัสบอกเหตุแก่พระราชโอรส จึงตรัสว่า

    ผมหงอกที่งอกบนศีรษะของพ่อนี้ นำความหนุ่มไปเสีย เป็นเทวทูตปรากฏแล้ว คราวนี้จึงเป็นคราวที่พ่อจะบวช

    ครั้นตรัสดังนี้แล้วก็อภิเษกพระราชโอรสในราชสมบัติ แล้วพระราชทานพระโอวาทว่า แม้ตัวเธอเห็นผมหงอกอย่างนี้แล้ว ก็พึงบวช ตรัสฉะนี้แล้ว เสด็จออกจากพระนคร ทรงผนวชเป็นฤๅษี เจริญพรหมวิหาร ๔ ตลอด ๘๔,๐๐๐ ปี บังเกิดในพรหมโลก

    แม้พระราชโอรสของพระเจ้ามฆเทวราชก็ทรงผนวชโดยวิธีนั้นแหละ และก็ได้มีพรหมโลกเป็นที่ไปในเบื้องหน้า กษัตริย์ผู้เป็นพระราชโอรสของพระราชาเป็นลำดับมานับได้ ๘๔,๐๐๐ องค์ หย่อน ๒ องค์ ทอดพระเนตรเห็นเส้นพระศกหงอกบนพระเศียร แล้วทรงผนวชในพระราชอุทยานอัมพวันนี้ เจริญพรหมวิหาร ๔ บังเกิดในพรหมโลก

    บรรดากษัตริย์เหล่านั้น กษัตริย์มีพระนามว่ามฆเทวะบังเกิดในพรหมโลกก่อนกว่ากษัตริย์ทั้งปวง สถิตอยู่ในพรหมโลกนั่นแหละ ตรวจดูพระวงศ์ของพระองค์ ทอดพระเนตรเห็นกษัตริย์ ๘๔,๐๐๐ องค์ หย่อน ๒ องค์ ผู้บวชแล้ว ก็มีพระมนัสยินดี ทรงพิจารณาว่า เบื้องหน้าแต่นี้ วงศ์ของเราจักเป็นไป หรือจักไม่เป็นไปหนอ ก็ทรงทราบว่าจักไม่เป็นไป จึงทรงคิดว่า เรานี่แหละจักสืบต่อวงศ์ของเรา ก็จุติจากพรหมโลกนั้นลงมาถือปฏิสนธิในพระครรภ์แห่งพระอัครมเหสีของพระราชาในกรุงมิถิลา

    กาลล่วงไป ๑๐ เดือน ก็ประสูติจากพระครรภ์ของพระมารดา พระราชาตรัสเรียกพราหมณ์ทั้งหลายผู้รู้คำทำนาย มาถามเหตุการณ์ ในวันขนานพระนามพระราชกุมารพราหมณ์ทั้งหลายตรวจดูพระลักษณะแล้ว กราบทูลว่า พระราชกุมารนี้สืบต่อวงศ์ของพระองค์เกิดแล้ว ด้วยว่าวงศ์ของพระองค์เป็นวงศ์บรรพชิต ต่อแต่พระกุมารนี้ไปเบื้องหน้าจักไม่มี พระราชาทรงสดับดังนั้น มีพระดำริว่าพระราชโอรสนี้สืบต่อวงศ์ของเรามาเกิด ดุจวงล้อรถ ฉะนั้น เราจักขนานนามพระโอรสนั้นว่า เนมิกุมาร ทรงดำริฉะนี้แล้ว จึงพระราชทานพระนามพระโอรสว่า เนมิกุมาร

    พระเนมิกุมารนั้นเป็นผู้ทรงยินดีในการบำเพ็ญรักษาศีลและอุโบสถกรรมนับแต่ยังทรงพระเยาว์ ลำดับนั้น พระราชาผู้พระชนกของเนมิราชกุมารนั้น ทอดพระเนตรเห็นเส้นพระศกบนพระเศียรหงอก ก็พระราชทานบ้านส่วยแก่เจ้าพนักงานภูษามาลา แล้วมอบราชสมบัติแก่พระราชโอรส ทรงผนวชในพระราชอุทยานอัมพวันนั่นเอง เป็นผู้มีพรหมโลกเป็นที่ไปในเบื้องหน้า โดยนัยหนหลังนั่นแล

    ฝ่ายพระเจ้าเนมิราชโปรดให้สร้างโรงทาน ๕ แห่ง คือ ที่ประตูพระนคร ๔ แห่ง ท่ามกลางพระนคร ๑ แห่ง ยังมหาทานให้เป็นไปด้วยความเป็นผู้มีพระอัธยาศัยในทาน พระราชทานทรัพย์ที่โรงทานแห่งละ ๑๐๐,๐๐๐ ทรงบริจาคทรัพย์วันละ ๕๐๐,๐๐๐ กหาปณะ ทุกๆ วัน ทรงเบญจศีลเป็นนิจ ทรงสมาทานอุโบสถทุกวันปักษ์ ทรงชักชวนมหาชนในการบำเพ็ญบุญมีให้ทานเป็นต้น ทรงแสดงธรรมสอนให้ทราบทางสวรรค์ คุกคามประชุมชนให้กลัวนรก ประชุมชนตั้งอยู่ในพระโอวาทของพระองค์ บำเพ็ญบุญมีให้ทานเป็นต้น จุติจากอัตภาพนั้นแล้วบังเกิดในเทวโลก เทวโลกเต็ม นรกเป็นดุจว่างเปล่า

    กาลนั้นหมู่เทวดาในดาวดึงสพิภพ ประชุมกัน ณ เทวสถานชื่อสุธรรมา กล่าวสรรเสริญคุณของพระมหาสัตว์ว่า โอ พระเจ้าเนมิราชเป็นพระอาจารย์ของพวกเรา ชาวเราทั้งหลายอาศัยพระองค์ จึงได้เสวยทิพยสมบัตินี้ แม้พระพุทธญาณก็มิได้กำหนด แม้ในมนุษยโลก มหาชนก็สรรเสริญคุณของพระมหาสัตว์ คุณกถาแผ่ทั่วไป ราวกะน้ำมันที่เทราดลงบนหลังมหาสมุทร ฉะนั้น

    พระศาสดาเมื่อตรัสแก่ภิกษุสงฆ์ทรงทำเนื้อความนั้นให้แจ้งชัด จึงตรัสว่า

    ดูก่อนภิกษุทั้งหลายเมื่อใดพระเจ้าเนมิราชผู้เป็นบัณฑิต มีพระประสงค์ด้วยกุศลเพื่อพระองค์ด้วยเพื่อชนเหล่าอื่นด้วย เมื่อนั้นเทวดาและมนุษย์ทั้งหลายได้กล่าวคุณกถาของพระเจ้าเนมิราชนั้นอย่างนี้ว่า น่าอัศจรรย์หนอ ที่พุทธญาณยังไม่เกิดขึ้น ก็มีคนฉลาดสามารถยังพุทธกิจให้สำเร็จแก่มหาชนเห็นปานนี้เกิดขึ้นในโลก เมื่อพระเจ้าเนมิราชทรงให้ทานนั้นอยู่ เกิดพระดำริขึ้นว่า ทานหรือพรหมจรรย์อย่างไหนมีผลมากหนอ

    ได้ยินว่า พระเจ้าเนมิราชนั้นทรงสมาทานอุโบสถศีล ในวันอุโบสถ ๑๕ ค่ำ ทรงเปลื้องราชาภรณ์ทั้งปวง บรรทมบนพระยี่ภู่มีสิริ หยั่งลงสู่นิทรารมณ์ตลอดสองยาม ตื่นบรรทมในปัจฉิมยาม ทรงคู้บัลลังก์ขัดสมาธิทรงดำริว่า เราให้ทานไม่มีปริมาณแก่ประชุมชนและรักษาศีล ผลแห่งทานบริจาคมีมาก หรือแห่งพรหมจริยาวาสมีผลมากหนอ ทรงดำริฉะนี้ก็ไม่ทรงสามารถตัดความสงสัยของพระองค์ได้

    ขณะนั้น พิภพแห่งท้าวสักกเทวราชก็แสดงอาการเร่าร้อน ท้าวสักกเทวราชทรงอาวัชนาการเหตุนั้น ก็ทรงเห็นพระเจ้าเนมิราชกำลังทรงปริวิตกอยู่อย่างนั้น จึงคิดว่า เราจักตัดความสงสัยของเธอ จึงเสด็จมาโดยพลันแต่พระองค์เดียว ทำสกลราชนิเวศน์ให้บังเกิดแสงสว่างด้วยรัศมีแห่งพระองค์เสด็จเข้าสู่ห้องบรรทมแผ่รัศมีสถิตอยู่ในอากาศ ทรงพยากรณ์ปัญหาที่พระเจ้าเนมิราชตรัสถาม

    พระเจ้าเนมิราชนั้นทอดพระเนตรเห็นแสงสว่าง จึงทรงแลไปในอากาศ ก็ทอดพระเนตรเห็นท้าวสักกเทวราชนั้นประดับด้วยทิพยาภรณ์ มีพระโลมชาติชูชันเพราะความกลัว จึงตรัสถามว่า ท่านเป็นเทวดาหรือเป็นคนธรรพ์ หรือ เป็นท้าวสักกปุรินททะ รัศมีของท่านเช่นนั้นข้าพเจ้าไม่เคยได้เห็น ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย ขอท่านจงบอกแก่ข้าพเจ้า ขอความเจริญจงมีแก่ท่าน ข้าพเจ้าจะรู้จักท่านได้อย่างไร

    ท้าววาสวะทรงทราบว่า พระเจ้าเนมิราชทรงกลัวได้ตรัสตอบว่า หม่อมฉันเป็นท้าวสักกรินทร์เทวราช มาในสำนักของพระองค์ ดูกรพระองค์ผู้เป็นจอมมนุษย์ พระองค์อย่าทรงกลัว พระองค์อย่าทรงมีพระโลมชาติชูชันเลย เชิญตรัสถามปัญหาตามที่ทรงพระประสงค์เถิด

    พระเจ้าเนมิราช ทรงได้โอกาสนั้นแล้ว จึงตรัสถามท้าววาสวะว่า ข้าแต่พระมหาราชเจ้า ผู้เป็นใหญ่แห่งปวงภูตหม่อมฉันขอทูลถาม พระองค์ว่า ทานหรือพรหมจรรย์อย่างไหนมีผลมาก

    ท้าวสักกเทวราชนั้น ทรงทราบวิบากแห่งพรหมจรรย์ ซึ่งเคยทรงเห็นประจักษ์ด้วยพระองค์เองในอดีตภพ จึงได้ตรัสบอกแก่พระเจ้าเนมิราชผู้ยังไม่ทรงทราบว่า ในลัทธิเดียรถีย์โดยมากศีลเพียงเมถุนวิรัติ ชื่อว่าพรหมจรรย์อย่างต่ำ ผู้บำเพ็ญย่อมเกิดในขัตติยสกุลด้วยพรหมจรรย์อย่างต่ำนั้น การได้อุปจารฌาน ชื่อว่าพรหมจรรย์อย่างกลางผู้บำเพ็ญย่อมเกิดเป็นเทวดา ด้วยพรหมจรรย์อย่างกลางนั้น ก็การให้สมาบัติแปดเกิด ชื่อว่าพรหมจรรย์อย่างสูงสุด ผู้บำเพ็ญย่อมบังเกิดในพรหมโลกด้วยพรหมจรรย์อย่างสูงสุดนั้น ชนภายนอกพระพุทธศาสนากล่าวพรหมจรรย์อย่างสูงสุดนั้นว่านิพพาน ผู้บำเพ็ญย่อมบริสุทธิ์ด้วยนิพพานนั้น

    แต่ในพระพุทธศาสนานี้ ภิกษุผู้มีศีลบริสุทธิ์ ปรารถนาเทพนิกายอย่างใดอย่างหนึ่ง พรหมจรรย์ของเธอชื่อว่าต่ำ เพราะเจตนาต่ำ เธอย่อมบังเกิดในเทวโลกตามผลที่เธอปรารถนานั้น ก็การที่ภิกษุผู้มีศีลบริสุทธิ์ ยังสมาบัติแปดให้บังเกิด ชื่อว่าพรหมจรรย์อย่างกลาง เธอย่อมบังเกิดในพรหมโลกด้วยพรหมจรรย์อย่างกลางนั้น การที่ภิกษุผู้มีศีลบริสุทธิ์เจริญวิปัสสนายังอรหัตมรรคให้บังเกิด ชื่อว่าพรหมจรรย์อย่างสูงสุด เธอย่อมบริสุทธิ์ด้วยพรหมจรรย์อย่างสูงสุดนั้น

    หมู่พรหมเหล่านี้อันใครๆ จะพึงได้ง่ายๆ ด้วยประกอบการวิงวอนก็หาไม่ บุคคลต้องเป็นผู้ไม่มีเรือนบำเพ็ญตบธรรม จึงจะบังเกิดในหมู่พรหม

    ท้าวสักกเทวราชตรัสสรรเสริญว่า ดูก่อนพระมหาราช การประพฤติพรหมจรรย์เป็นคุณมีผลมากกว่าทาน ร้อยเท่าพันเท่าแสนเท่า ด้วยประการฉะนี้ ครั้นทรงแสดงความที่การอยู่พรหมจรรย์เป็นคุณมีผลมากด้วยคาถานี้แล้ว บัดนี้จะทรงแสดงถึงพระราชาทั้งหลายในอดีต ผู้ที่บริจาคมหาทานแล้วแต่ไม่สามารถจะก้าวล่วงกามาพจรไปได้ จึงตรัสว่า

    พระราชาเหล่านี้ คือ พระเจ้าทุทีปราช พระเจ้าสาครราช พระเจ้าเสลราช พระเจ้ามุจลินทราช พระเจ้าภคีรสราช พระเจ้าอุสินนรราช พระเจ้าอัตถกราช พระเจ้าอัสสกราช พระเจ้าปุถุทธนราช และกษัตริย์เหล่าอื่นทั้งพราหมณ์เป็นอันมาก บูชายัญมากมายแล้ว ไม่ล่วงพ้นความละโลกนี้ไป

    ดูก่อนมหาราช พระราชาพระนามว่า ทุทีปราช ณ กรุงพาราณสีในกาลก่อน ทรงบริจาคทานเป็นอันมาก สวรรคตแล้วบังเกิดในสวรรค์ชั้นกามาพจรนั่นแล พระราชาแปดองค์มีพระเจ้าสาครราชเป็นต้นก็เหมือนกัน ก็พระราชามหากษัตริย์และพราหมณ์อื่นๆ เหล่านี้มากมาย ได้บูชายัญเป็นอันมาก บริจาคทานมีประการไม่น้อย ก็ไม่ล่วงพ้นความละโลกนี้ กล่าวคือกามาวจรภูมิไปได้ จริงอยู่เหล่าเทพชั้นกามาพจร เรียกกันว่า เปตะเพราะสำเร็จได้โดยอาศัยผู้อื่น เพราะเหตุกิเลสวัตถุมีรูปเป็นต้น สมด้วยพระพุทธภาษิตว่า

    ชนเหล่าใดไม่มีเพื่อนสอง อยู่คนเดียว ย่อมไม่รื่นรมย์ ย่อมไม่ได้ปีติอันเกิดแต่วิเวก ชนเหล่านั้นถึงจะมีโภคสมบัติเสมอด้วยทิพสมบัติของพระอินทร์ ถึงกระนั้นก็ชื่อว่าเป็นคนเข็ญใจเพราะความสุขที่ต้องอาศัยผู้อื่น


    ท้าวสักกเทวราชทรงแสดงความที่ผลแห่งพรหมจรรย์นั่นแล เป็นของมากกว่าผลแห่งทาน แม้อย่างนี้แล้ว บัดนี้ เมื่อจะทรงแสดงดาบสผู้ก้าวล่วงเปตภพด้วยการอยู่พรหมจรรย์ บังเกิดในพรหมโลก จึงตรัสว่า

    ฤๅษี ๗ ตนเหล่านั้น คือ ยามหนุฤๅษี โสมยาคฤๅษี มโนชฤๅษี สมุททฤๅษี มาฆฤๅษี ภรตฤๅษี และกาลปุรักขิตฤๅษี และฤๅษีอีก ๔ ตนคือ อังคีรสฤๅษี กัสสปฤๅษี กีสวัจฉฤๅษี อกันติฤๅษี ผู้ไม่มีเรือนบำเพ็ญตบะ ล่วงพ้นกามาวจรภพได้แล้ว

    ท้าวสักกเทวราชตรัสสรรเสริญพรหมจริยวาสว่ามีผลมาก ตามที่ได้สดับมาอย่างนี้ก่อน บัดนี้ เมื่อทรงนำเรื่องที่เคยทรงเห็นด้วยพระองค์เองมาจึงตรัสว่า

    ดูก่อนมหาราชในอดีตกาล มีแม่น้ำชื่อว่าสีทาไหลมาระหว่างสุวรรณบรรพตทั้งสอง ในหิมวันตประเทศด้านทิศอุดร เป็นแม่น้ำลึก ยานมีเรือเป็นต้นข้ามยาก เพราะเหตุไร เพราะแม่น้ำนั้นมีน้ำใสยิ่ง แม้เพียงแต่แววหางนกยูงตกในแม่น้ำนั้นก็ไม่ลอยอยู่ จมลงถึงพื้นทีเดียวเพราะน้ำใส ด้วยเหตุนั้นแหละ แม่น้ำนี้จึงมีชื่อว่า สีทา ก็กาญจนบรรพตเหล่านั้นใกล้ฝั่งแห่งแม่น้ำนั้นมีพรรณดุจไฟไหม้ไม้อ้อโชติช่วงอยู่ทุกเมื่อ

    ที่ฝั่งแม่น้ำนั้นมีต้นกฤษณางอกงาม เป็นกฤษณาที่มีกลิ่นหอม มีภูเขาอื่นอีกซึ่งมีป่าไม้งอกงาม มีฤๅษีนับด้วยหมื่นอาศัยอยู่ในภูมิภาคอันน่ารื่นรมย์นั้น ท่านเหล่านั้นทั้งหมดล้วนได้อภิญญา ๕ สมาบัติ ๘ บรรดาฤๅษีเหล่านั้น ถึงเวลาภิกษาจารบางพวกไปถึงอุตตรกุรุทวีป บางพวกนำผลชมพู่ใหญ่มา บางพวกนำผลไม้น้อยใหญ่ที่มีรสหวานในหิมวันตประเทศมาฉัน บางพวกไปสู่นครนั้นๆ ในพื้นชมพูทวีป แม้ตนหนึ่งที่ถูกตัณหาในรสครอบงำ ก็ไม่มี ท่านเหล่านั้นยังกาลเวลาให้ล่วงไปด้วยความสุขในฌานเท่านั้น

    ครั้งนั้น มีดาบสรูปหนึ่งมาสู่กรุงพาราณสีทางอากาศ นุ่งห่มเรียบร้อยเที่ยวบิณฑบาตถึงประตูเรือนแห่งปุโรหิต ปุโรหิตนั้นเลื่อมใสในความสงบของท่าน นำท่านมาสู่ที่อยู่ของตนให้ฉันแล้ว ปฏิบัติอยู่สองสามวัน เมื่อเกิดความคุ้นเคยกันจึงถามว่า ผู้เป็นเจ้าอยู่ที่ไหน

    ท่านตอบว่าอยู่ในที่โน้น

    ปุโรหิตจึงถามต่อไปว่า ผู้เป็นเจ้าอยู่ในที่นั้นรูปเดียว หรือรูปอื่นๆ ก็มีอยู่

    ท่านตอบว่า พูดอะไร ฤๅษีนับด้วยหมื่นอยู่ในที่นั้น ล้วนแต่ได้อภิญญา ๕ สมาบัติ ๘ กันทั้งนั้น

    ปุโรหิตได้ฟังคุณสมบัติของฤๅษีเหล่านั้นจากดาบสรูปนั้น จิตก็น้อมไปในบรรพชา จึงกล่าวกะดาบสนั้นว่า ขอผู้เป็นเจ้าโปรดพาข้าพเจ้าไปบวชในที่นั้นเถิด

    ท่านกล่าวว่า เธอเป็นราชบุรุษ อาตมาไม่อาจให้บวชได้

    ปุโรหิตจึงกล่าวว่า ถ้าเช่นนั้น วันนี้ข้าพเจ้าจะทูลลาพระราชา พรุ่งนี้ผู้เป็นเจ้าโปรดมาที่นี้

    ดาบสนั้นรับคำ

    ฝ่ายปุโรหิตบริโภคอาหารเช้าแล้วเข้าเฝ้าพระราชากราบทูลว่า ข้าพระบาทปรารถนาจะบวช

    พระราชาตรัสถามว่า ท่านอาจารย์จะบวชด้วยเหตุไร

    ปุโรหิตกราบทูลว่า ด้วยเห็นโทษในกามทั้งหลาย เห็นอานิสงส์ในเนกขัมม์

    พระราชาทรงอนุญาตว่า ถ้าเช่นนั้น จงบวชเถิด แม้บวชแล้วจงมาเยี่ยมเราบ้าง

    ปุโรหิตรับพระโองการแล้วถวายบังคมพระราชากลับไปสู่เรือนของตน พร่ำสอนบุตรภรรยา มอบสมบัติทั้งปวง ถือบรรพชิตบริขารเพื่อตน นั่งคอยดาบสมา ฝ่ายดาบสมาทางอากาศเข้าภายในพระนครเข้าสู่เรือนของปุโรหิต ปุโรหิตนั้นอังคาสดาบสนั้นโดยเคารพแล้วแจ้งว่า ข้าพเจ้าจะพึงปฏิบัติอย่างไร ดาบสนั้นนำปุโรหิตไปนอกเมือง ใช้มือจับนำไปที่อยู่ของตนด้วยอานุภาพของตนให้บวชแล้ว วันรุ่งขึ้นให้พราหมณ์ผู้บวชแล้วยับยั้งอยู่ในที่นั้น นำภัตตาหารมาให้บริโภค แล้วบอกกสิณบริกรรม ดาบสที่บวชใหม่นั้นทำอภิญญาและสมาบัติ ๘ ให้เกิดโดยวันล่วงไปเล็กน้อย ก็เที่ยวบิณฑบาตมาฉันได้เอง

    กาลต่อมา ดาบสนั้นคิดว่า เราได้ถวายปฏิญญาเพื่อไปเฝ้าพระราชา เราจะไปเฝ้าตามปฏิญญาไว้ จึงไหว้ดาบสทั้งหลายไปสู่กรุงพาราณสีทางอากาศเที่ยวบิณฑบาต ลุถึงพระราชทวาร พระเจ้าพาราณสีทอดพระเนตรเห็นฤๅษีนั้นทรงจำได้ นิมนต์ให้เข้าไปสู่พระราชนิเวศน์ ทรงทำสักการะแล้วตรัสถามว่าผู้เป็นเจ้าอยู่ที่ไหน

    ฤๅษีนั้นทูลตอบว่า อาตมาอยู่ใกล้ฝั่งแม่น้ำสีทาอันอยู่ในระหว่างกาญจนบรรพตในหิมวันตประเทศ ด้านทิศอุดร

    พระราชาตรัสถามว่าท่านอยู่ในที่นั้นรูปเดียว หรือมีดาบสอื่นๆ ในที่นั้นด้วย

    ฤๅษีนั้นทูลตอบว่าพระองค์ตรัสอะไร ดาบสนับด้วยหมื่นรูปอยู่ในที่นั้น และท่านเหล่านั้นทั้งหมดล้วนได้อภิญญา ๕ สมาบัติ ๘ ทั้งนั้น

    พระราชาทรงสดับคุณสมบัติแห่งดาบสเหล่านั้น ทรงประสงค์จะถวายภิกษาหารแก่ดาบสทั้งหมด จึงตรัสกะดาบสนั้นว่า ข้าพเจ้าใคร่จะถวายภิกษาหารแก่ฤๅษีเหล่านั้น ผู้เป็นเจ้าจงนำท่านเหล่านั้นมาในที่นี้

    ดาบสนั้นทูลว่า ฤๅษีเหล่านั้นไม่ยินดีในรสที่พึงรู้แจ้งด้วยลิ้น อาตมาไม่อาจจะนำมาในที่นี้ได้

    พระเจ้าพาราณสีตรัสว่า ข้าพเจ้าจักอาศัยผู้เป็นเจ้าให้ฤๅษีเหล่านั้นบริโภค ขอผู้เป็นเจ้าจงบอกอุบายแก่ข้าพเจ้า

    ดาบสทูลว่า ถ้าพระองค์ประสงค์จะถวายทานแก่ฤๅษีเหล่านั้น จงเสด็จออกจากเมืองนี้ไปประทับแรมอยู่ใกล้ฝั่งแม่น้ำสีทา แล้วทรงถวายทานแก่ท่านเหล่านั้น

    พระราชาทรงรับคำ โปรดให้ถืออุปกรณ์ทั้งปวงเสด็จออกจากพระนครกับด้วยจตุรงคินีเสนา เสด็จลุถึงสุดแดนราชอาณาเขตของพระองค์ ลำดับนั้น ดาบสจึงนำพระราชาไปที่ฝั่งสีทานทีพร้อมด้วยเสนาด้วยอานุภาพของตน ให้ตั้งค่ายริมฝั่งแม่น้ำ ทูลเตือนพระราชามิให้ทรงประมาท แล้วเหาะไปยังที่อยู่ของตน กลับมาในวันรุ่งขึ้น

    ลำดับนั้น พระราชาให้ดาบสนั้นฉันโดยเคารพแล้วตรัสว่า พรุ่งนี้ ผู้เป็นเจ้าจงพาฤๅษีหมื่นรูปมาในที่นี้

    ดาบสนั้นรับพระราชดำรัสแล้วกลับไป วันรุ่งขึ้นในเวลาภิกษาจาร แจ้งแก่ฤๅษีทั้งหลายว่า พระเจ้าพาราณสีมีพระราชประสงค์จะถวายภิกษาหารแก่ท่านทั้งหลาย เสด็จมาประทับอยู่แถบฝั่งสีทานที พระองค์อาราธนาท่านทั้งหลาย ขอท่านทั้งหลายจงไปยังค่ายหลวงรับภิกษาเพื่ออนุเคราะห์พระองค์

    ฤๅษีเหล่านั้นรับคำ จึงเหาะลงมาที่ใกล้ค่ายหลวง

    ลำดับนั้น พระราชาเสด็จต้อนรับฤๅษีเหล่านั้น แล้วอาราธนาให้เข้าในค่ายหลวง ให้นั่ง ณ อาสนะที่แต่งไว้ เลี้ยงดูหมู่ฤๅษีให้อิ่มหนำด้วยอาหารประณีต ทรงเลื่อมใสในอิริยาบถของฤๅษีเหล่านั้น จึงนิมนต์ให้ฉันในวันพรุ่งนี้อีก ได้ทรงถวายทานแก่ดาบสหมื่นรูป โดยอุบายนี้ ตลอดหมื่นปี ก็แลเมื่อทรงถวายโปรดให้สร้างนครในประเทศนั้นทีเดียว ให้ทำกสิกรรม

    ดูก่อนมหาราช ก็พระเจ้าพาราณสีในกาลนั้น มิใช่ผู้อื่น คือหม่อมฉันนี่เอง หม่อมฉันเป็นผู้ประเสริฐด้วยทานในครั้งนั้นโดยแท้ เพราะว่าครั้งนั้นหม่อมฉันนี่แหละเป็นผู้ประเสริฐด้วยทาน ได้บริจาคมหาทานนั้น ก็หาสามารถจะก้าวล่วงเปตโลกนี้บังเกิดในพรหมโลกไม่ แต่ฤๅษีเหล่านั้นทั้งหมดนั่นแลบริโภคทานที่หม่อมฉันบริจาค ก้าวล่วงกามาวจรภพบังเกิดในพรหมโลก ก็พรหมจริยวาสเป็นคุณธรรม มีผลานิสงส์มากอย่างใด ขอพระองค์ทรงทราบอย่างนั้น

    หม่อมฉันเป็นผู้ประเสริฐสุดด้วยทาน ด้วยสัญญมะและทมะ หม่อมฉันอุปัฏฐากดาบสเหล่านั้นผู้บำเพ็ญวัตรอันไม่มีวัตรอื่นยิ่งกว่า ละหมู่คณะไปอยู่ผู้เดียว มีจิตมั่นคง หม่อมฉันจักนมัสการนรชนผู้ปฏิบัติตรง จะมีชาติก็ตาม ไม่มีชาติก็ตาม ตลอดกาลเป็นนิตย์ เพราะว่าสัตว์ทั้งหลายเป็นผู้มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ ฉะนั้นวรรณะทั้งปวงผู้ตั้งอยู่ในอธรรม ย่อมตกนรกเบื้องต่ำ วรรณะทั้งปวงย่อมหมดจด เพราะประพฤติธรรมอันสูงสุด

    ก็แลครั้นตรัสอย่างนี้แล้ว ท้าวสักกเทวราช ทรงโอวาทพระเจ้าเนมิราชนั้นว่า ดูก่อนมหาราช พรหมจริยวาสเป็นธรรมมีผลมากกว่าทานโดยแท้ถึงอย่างนั้น ธรรมทั้งสองนั้นก็เป็นมหาปุริสวิตก เพราะฉะนั้น พระองค์จงอย่าประมาทในธรรมทั้งสอง จงทรงบริจาคทานด้วย จงทรงรักษาศีลด้วย ตรัสฉะนี้แล้ว เสด็จไปสู่ทิพยสถานวิมานของพระองค์นั่นแล

    ลำดับนั้น หมู่เทพยดาได้ทูลถามท้าวสักกะว่า ข้าแต่มหาราช พระองค์หายไปไม่ปรากฏ เสด็จไปไหนหนอ ท้าวสักกะตรัสตอบว่า ดูก่อนท่านผู้นิรทุกข์ ความกังขาอันหนึ่งเกิดขึ้นแก่พระเจ้าเนมิราช กรุงมิถิลา ข้าจึงไปกล่าวปัญหาทำให้เธอหายกังขาแล้วกลับมา

    ก็แลครั้นตรัสอย่างนี้แล้ว ท้าวสักกเทวราชก็ได้ตรัสคุณที่ควรพรรณนาของพระเจ้าเนมิราชอย่างไม่บกพร่องว่า

    ดูกรท่านผู้เจริญทั้งหลาย ท่านทั้งหลายบรรดาที่มาประชุมกัน ณ ที่นี้ประมาณเท่าใด จงตั้งใจฟังคุณทั้งสูงทั้งต่ำเป็นอันมากนี้ ขอมนุษย์ทั้งหลายผู้ตั้งอยู่ในธรรม เกิดความดำริเหมือนอย่างพระเจ้าเนมิราชผู้เป็นบัณฑิต มีพระประสงค์ด้วยกุศล ทรงให้ทานแก่ชาววิเทหรัฐทั้งปวง เมื่อพระเจ้าเนมิราชทรงให้ทานนั้นอยู่เกิดพระดำริขึ้นว่า ทานหรือพรหมจรรย์อย่างไหน มีผลมากหนอ ฉะนั้นเถิด

    หมู่เทวดาได้ฟังท้าวเธอตรัสดังนี้ ก็ใคร่จะเห็นพระเจ้าเนมิราช จึงทูลว่า ข้าแต่มหาเทวราช พระเจ้าเนมิราช เป็นพระอาจารย์ของพวกข้าพระเจ้า พวกข้าพระเจ้าตั้งอยู่ในโอวาทของพระองค์ อาศัยพระองค์จึงได้ทิพยสมบัตินี้ ข้าพระเจ้าทั้งหลายใคร่จะเห็นพระองค์ ขอองค์มหาเทวราชเชิญเสด็จพระองค์มา

    ท้าวสักกเทวราชทรงรับคำ จึงมีเทวบัญชามาตลีเทพสารถีว่า ท่านจงเทียมเวชยันตรถไปกรุงมิถิลา เชิญเสด็จพระเจ้าเนมิราชขึ้นทิพยานนำเสด็จมาเทวสถานนี้ มาตลีเทพบุตรรับเทพโองการแล้วเทียมเทพรถขับไป


    ก็เมื่อท้าวสักกะมีเทพดำรัสอยู่กับเทวดาทั้งหลาย ตรัสเรียกมาตลีเทพสารถีมาตรัสสั่ง และเมื่อมาตลีเทพสารถีเทียมเวชยันตราชรถ ล่วงไปหนึ่งเดือน โดยกำหนดนับวันในมนุษย์ เมื่อพระเจ้าเนมิราชทรงรักษาอุโบสถศีลในวันเพ็ญ เปิดสีหบัญชรด้านทิศตะวันออกประทับนั่งอยู่ในพระตำหนัก คณะอำมาตย์แวดล้อมทรงพิจารณาศีลอยู่ เวชยันตราชรถนั้นปรากฏพร้อมกับจันทรมณฑลอันขึ้นแต่ปราจีนโลกธาตุ

    ชนทั้งหลายกินอาหารเย็นแล้ว นั่งที่ประตูเรือนของตนๆ พูดกันถึงถ้อยคำอันให้เกิดความสุข ก็พูดกันว่า วันนี้พระจันทร์ขึ้นสองดวงลำดับนั้น เทพรถนั้นก็ได้ปรากฏแก่ประชุมชนผู้สังสนทนากันอยู่ มหาชนกล่าวว่า นั่นไม่ใช่พระจันทร์รถนะ ในเมื่อเวชยันตรถเทียมสินธพนับด้วยพันมีมาตลีเทพบุตรขับ ปรากฏแล้วในขณะนั้น จึงคิดกันว่า ทิพยานนี้มาเพื่อใครหนอ ลงความเห็นว่า ไม่ใช่มาเพื่อใครอื่น พระราชาของพวกเราเป็นธรรมิกราช องค์สักกเทวราชจะส่งมาเพื่อพระราชานั้นนั่นเอง เทพรถนี้สมควรแก่พระราชาของพวกเราแท้ เห็นฉะนี้แล้วก็ร่าเริงยินดี กล่าวว่า

    เกิดพิศวงขนพองซึ่งไม่เคยมีมามีขึ้นในโลกแล้วหนอ รถทิพย์ปรากฏแล้วแก่พระเจ้าวิเทหรัฐผู้เรืองพระยศ

    ก็เมื่อประชาชนกล่าวกันอย่างนี้ มาตลีเทพบุตรมาโดยเร็ว กลับรถจอดท้ายรถที่พระสีหบัญชร ทำการจัดแจงให้เสด็จขึ้นแล้ว ได้เชิญพระเจ้าเนมิราชเสด็จขึ้นทรงราชรถว่า

    ข้าแต่พระราชาผู้ประเสริฐ ขอเชิญเสด็จมาขึ้นรถนี้ เทพเจ้าชาวดาวดึงส์พร้อมด้วยพระอินทร์ใคร่จะเห็นพระองค์ ก็เทพเจ้าเหล่านั้นระลึกถึงพระองค์ ประชุมกันอยู่ ณ สุธรรมสภา

    พระเจ้าเนมิราชได้ทรงสดับคำนั้น มีพระดำริว่า เราจักได้เห็นเทวโลกซึ่งยังไม่เคยเห็น มาตลีเทพบุตรจักสงเคราะห์เรา เราจักไป ตรัสเรียกนางในและมหาชนมาตรัสว่า เราจักไปไม่นานนัก ท่านทั้งหลายอย่าได้ประมาท จงกระทำบุญทั้งหลายมีการให้ทานเป็นต้น ตรัสฉะนี้แล้ว เสด็จขึ้นทิพยรถ

    มาตลีเทพสารถีได้ทูลถามพระเจ้าเนมิราชผู้เสด็จขึ้นรถทิพย์แล้วว่า ข้าแต่พระราชาผู้ประเสริฐ ข้าพระองค์จะนำเสด็จพระองค์ไปโดยทางไหน คือ โดยทางที่จะสามารถเห็นที่อยู่ของชนผู้มีกรรมอันเป็นบาป หรือโดยทางที่จะสามารถเห็นที่อยู่ของชนผู้มีกรรมเป็นบุญ พระเจ้าข้า

    ลำดับนั้น พระราชามีพระดำริว่า สถานที่ทั้งสองเรายังไม่เคยเห็นเราจักดูทั้งสองแห่ง จึงตรัสขอให้นำรถเราไปโดยทางทั้งสอง

    ลำดับนั้น มาตลีเทพบุตรทูลว่า ข้าพระองค์ไม่อาจจะแสดงสถานที่ทั้งสองในขณะเดียวกัน จะโปรดให้ข้าพระองค์นำเสด็จไปทางไหนก่อน

    ลำดับนั้น พระราชามีพระดำริว่า เราจักไปเทวโลกแน่ แต่จักดูนรกก่อน จึงตรัสว่า

    เราจะดูนรกอันเป็นที่อยู่ของเหล่านรชนผู้มีกรรมอันเป็นบาป และสถานที่อยู่ของเหล่านรชนผู้มีกรรมอันหยาบช้า ทั้งคติของเหล่านรชนผู้ทุศีลได้แก่ ของคฤหัสถ์ทุศีลของสมณะทุศีล ผู้ทำบาปด้วยอำนาจอกุศลกรรมบถสิบก่อน

    มาตลีเทพสารถีได้ฟังพระราชดำรัสแห่งพระเจ้าเนมิราช จึงขับรถตรงไปนรก ได้แสดงแม่น้ำเวตรณีที่ตั้งขึ้นด้วยฤดูโดยกรรมปัจจัยก่อน นายนิรยบาลทั้งหลายในนรกนั้นถือศัสตราวุธ มีดาบ มีด โตมร หอก และไม้ค้อนเป็นต้นอันลุกโพลง ประหารแทงโบยตีสัตว์นรกทั้งหลาย สัตว์นรกเหล่านั้นทนต่อทุกข์นั้นไม่ได้ ก็ตกลงในเวตรณีนที

    เวตรณีนทีนั้นดารดาษไปด้วยเครือเลื้อยอันมีหนามประมาณเท่าหอกมีเพลิงลุกโพลงข้างบน สัตว์นรกเหล่านั้นต้องอยู่ในเวตรณีนทีนั้นหลายพันปี เป็นท่อนน้อยท่อนใหญ่ในเพราะเถาวัลย์มีหนามแหลมมีคมอันคมกริบ มีเพลิงลุกโชติช่วง มีหลาวเหล็กลุกโพลงประมาณเท่าลำตาล ตั้งขึ้นภายใต้เถาวัลย์เหล่านั้น

    สัตว์นรกทั้งหลายยังกาลให้ล่วงไปนานมาก พลาดจากเถาวัลย์ตกลงที่ปลายหลาว มีร่างกายถูกหลาวแทงไหม้อยู่ในหลาวนาน ดุจปลาที่เสียบไว้ในไม้แหลมย่างไฟ หลาวทั้งหลายลุกเป็นไฟ สัตว์นรกทั้งหลายก็ลุกเป็นไฟ

    ก็ภายใต้หลาวทั้งหลาย มีใบบัวเหล็กแหลมคมดุจมีดโกนลุกเป็นไฟอยู่หลังน้ำ สัตว์นรกเหล่านั้นพลาดจากหลาวทั้งหลายตกลงในใบบัวเหล็ก เสวยทุกขเวทนานาน แต่นั้นสัตว์นรกเหล่านั้นก็ตกในน้ำแสบ แม้น้ำก็ลุกเป็นไฟ แม้สัตว์นรกทั้งหลายก็ลุกเป็นไฟ แม้ควันก็ตั้งขึ้น

    ก็พื้นแม่น้ำภายใต้น้ำดาดาษไปด้วยเครื่องประหารอันคมกริบ สัตว์นรกเหล่านั้นจมลงในน้ำ ด้วยคิดว่าใต้น้ำจะเป็นเช่นไรหนอ ก็เป็นท่อนน้อยท่อนใหญ่เพราะเครื่องประหารอันคมกริบ สัตว์นรกเหล่านั้นไม่สามารถจะอดกลั้นทุกข์ใหญ่นั้น ก็ร่ำร้องน่ากลัวมาก กระแสน้ำบางครั้งก็ไหลลอยไปตามกระแส บางครั้งก็ทวนกระแส

    ลำดับนั้น นายนิรยบาลผู้อยู่ที่ฝั่ง ก็ซัดลูกศร มีด โตมร หอก แทงสัตว์นรกเหล่านั้นดุจปลา สัตว์นรกเหล่านั้นถึงทุกขเวทนาก็ร้องกันลั่น ลำดับนั้น นายนิรยบาลก็เอาเบ็ดเหล็กที่ลุกเป็นไฟเกี่ยวสัตว์นรกเหล่านั้นขึ้น คร่ามาให้นอนบนแผ่นดินเหล็กที่ลุกเป็นไฟโชติช่วง ยัดก้อนเหล็กที่ลุกแดงเข้าปาก

    พระเจ้าเนมิราชทอดพระเนตรเห็นเหล่าสัตว์ถูกทุกข์ใหญ่เบียดเบียนในเวตรณีนที ก็สะดุ้งกลัว ตรัสถามมาตลีเทพสารถีว่า สัตว์เหล่านี้ได้ทำบาปกรรมอะไรไว้ มาตลีเทพสารถีได้ทูลถวายพยากรณ์ให้ทรงทราบ

    ชนเหล่าใด เมื่อยังอยู่ในมนุษยโลก เป็นผู้มีกำลัง ได้แก่ กำลังร่างกาย กำลังโภคะ และกำลังอำนาจ มีกรรมอันเป็นบาป เบียดเบียนด่าว่าผู้อื่นซึ่งมีกำลังด้อยกว่า ชนเหล่านั้นมีกรรมหยาบช้า กระทำบาปกรรม จึงตกลงในแม่น้ำเวตรณี พระเจ้าข้า

    มาตลีเทพสารถีทูลพยากรณ์ปัญหาแด่พระเจ้าเนมิราชอย่างนี้แล้ว ก็ทำนรกนั้นให้อันตรธานไปแล้วขับรถไปข้างหน้า แสดงสถานที่อันเป็นที่สัตว์ มีสุนัขเป็นต้นเคี้ยวกินสัตว์นรกอยู่ สุนัขเหล่านั้นตัวโตเท่าช้าง ไล่ติดตามสัตว์นรกที่แผ่นดินเหล็กอันลุกโพลง ดุจไล่เนื้อ กัดเนื้อเป็นชิ้นแล้วยังสรีระ ๓ คาวุตแห่งสัตว์นรกให้ล้มลงบนแผ่นดินเหล็กอันลุกโพลง เอาขาหน้าทั้งสองเหยียบอกของสัตว์นรกผู้ร้องลั่นอยู่ ทิ้งเนื้อกินให้เหลือแต่เยื่อในกระดูก แห่งสัตว์ผู้มีบาปธรรม.ฝูงแร้งมีจะงอยปากเป็นโลหะตัวใหญ่เท่าเกวียนสินค้า แร้งเหล่านั้นทำลายกระดูกด้วยจะงอยปากเช่นกับปลายทวน เคี้ยวกินเยื่อในกระดูก ฝูงกามีจะงอยปากเป็นโลหะ น่ากลัวยิ่ง เคี้ยวกินสัตว์นรกที่มันเห็นแล้วๆ เมื่อพระเจ้าเนมิราชทอดพระเนตรเห็นสถานที่นั้นแล้วก็ทรงกลัว ตรัสถามถึงบาปกรรมที่สัตว์เหล่านี้ได้ทำไว้ มาตลีเทพสารถีก็ได้ทูลถวายพยากรณ์ให้ทรงทราบว่า

    ชนเหล่าใดเหล่าหนึ่ง เป็นคนตระหนี่เหนียวแน่น ห้ามผู้อื่นแม้กำลังบริจาคทาน มีธรรมอันลามก มักบริภาษเบียดเบียนด่าว่าสมณพราหมณ์ ชนเหล่านั้นผู้มีกรรมหยาบช้า กระทำบาปกรรมแล้วจึงถูกฝูงการุมจิกกิน พระเจ้าข้า

    แต่นั้นมาตลีเทพสารถี ก็ทำถิ่นนั้นให้อันตรธานหายไป แล้วขับรถไปข้างหน้า ถึงถิ่นที่สัตว์นรกทั้งหลายมีสรีระลุกโพลงไปด้วยไฟ เหยียบแผ่นดินเหล็ก ๙ โยชน์ที่ลุกโชติช่วง นายนิรยบาลติดตามไป ประหารแข้งด้วยท่อนเหล็กอันลุกโพลง ประมาณเท่าลำตาลล้มลงโบยด้วยท่อนเหล็กนั้นให้เรี่ยรายเป็นจุรณวิจุรณ เหมือนต้อนตีโคไม่เข้าคอกฉะนั้นพระราชาเนมิราชทอดพระเนตรเห็นดังนั้น ทรงสะดุ้งกลัวจึงตรัสถามถึงบาปกรรมที่สัตว์เหล่านี้ได้ทำไว้ มาตลีเทพสารถีก็ได้ทูลถวายพยากรณ์ให้ทรงทราบว่า

    ชนเหล่าใดเมื่อยังอยู่ในมนุษยโลก มีธรรมอันลามก เบียดเบียนด่าว่าชายหญิงผู้มีธรรมเป็นกุศล สมบูรณ์ด้วยคุณมีศีลและอาจาระเป็นต้น ชนเหล่านั้นมีกรรมหยาบช้า กระทำบาปกรรมแล้ว จึงถูกเบียดเบียนด้วยท่อนเหล็กนอนอยู่ พระเจ้าข้า

    มาตลีเทพสารถีขับรถไปข้างหน้าต่อไป จนถึงถิ่นที่นายนิรยบาลทั้งหลายทิ่มแทงสัตว์นรกด้วยอาวุธอันลุกโพลง สัตว์นรกเหล่านั้นก็ตกลงในหลุมถ่านเพลิง เมื่อสัตว์นรกเหล่านั้นจมอยู่ในหลุมถ่านเพลิงเพียงเอว นายนิรยบาลก็เอากระเช้าเหล็กใหญ่ตักถ่านเพลิงโปรยลงบนศีรษะสัตว์นรกเหล่านั้น สัตว์นรกเหล่านั้นไม่อาจรับถ่านเพลิงก็ร้องไห้ มีกายไฟไหม้ทั่วดิ้นรนอยู่ พระเจ้าเนมิราชทอดพระเนตรเห็นดังนั้น จึงตรัสถามถึงบาปกรรมที่สัตว์เหล่านี้ได้ทำไว้ มาตลีเทพสารถีก็ได้ทูลถวายพยากรณ์ให้ทรงทราบว่า

    ชนเหล่านั้นครั้นก่อให้เกิดหนี้แก่ประชาชนแล้ว เป็นผู้มีกรรมหยาบช้า กระทำบาปกรรมแล้ว ต้องร้องครวญครางอยู่ในหลุมถ่านเพลิง พระเจ้าข้า

    สัตว์นรกเหล่านี้ยังหนี้ให้เกิด เพราะสร้างพยานโกง นำทรัพย์ของประชุมชนที่ตนเรี่ยไรเมื่อมีโอกาสว่า พวกเราจักถวายทานบ้าง จักทำการบูชาบ้าง จักสร้างวิหารบ้างแล้วใช้จ่ายทรัพย์นั้นตามชอบใจ ยังหนี้ให้เกิดแก่ประชุมชน มีกรรมหยาบช้าทำความชั่ว จึงมาร้องไห้ ดิ้นรนอยู่ในหลุมถ่านเพลิง พระเจ้าข้า

    มาตลีเทพสารถีขับรถต่อไปข้างหน้า จนถึงแดนที่เหล่าสัตว์ถูกนายนิรยบาลที่น่ากลัวจับเอาเท้าขึ้นบนเอาศีรษะลงล่างโยนไปตกในหม้อโลหะใหญ่อันไฟติดทั่ว ลุกรุ่งเรืองโชติช่วงร้อนแรง พระเจ้าเนมิราชทอดพระเนตรเห็น จึงตรัสถามถึงบาปกรรมที่สัตว์เหล่านี้ได้ทำไว้ มาตลีเทพสารถีก็ได้ทูลถวายพยากรณ์ให้ทรงทราบว่า

    ชนเหล่าใดมีธรรมอันลามก เบียดเบียนด่าว่าสมณพราหมณ์ผู้มีศีล ชนเหล่านั้นมีกรรมอันหยาบช้า กระทำบาปกรรมแล้วจึงตกลงในโลหกุมภี พระเจ้าข้า

    มาตลีเทพสารถีขับรถต่อไปข้างหน้า จนถึงนรกที่นายนิรยบาลเอาเชือกเหล็กลุกโพลงผูกคอของสัตว์นรก แล้วโน้มร่างลง ควั่นคอต้อนไปด้วยท่อนเหล็กลุกโพลง ใส่เข้าในน้ำโลหะที่ลุกโพลงแห่งหนึ่ง แล้วยินดีร่าเริง และเมื่อคอนั้นขาดแล้ว มีคออื่นพร้อมกับศีรษะเกิดขึ้นแก่สัตว์เหล่านั้นอีกทีเดียว พระเจ้าเนมิราชทอดพระเนตรเห็นบาปกรรมที่สัตว์เหล่านี้ได้ทำไว้ มาตลีเทพสารถีก็ได้ทูลถวายพยากรณ์ให้ทรงทราบว่า

    ชนเหล่าใดเมื่อยังอยู่ในมนุษยโลก มีธรรมอันลามก จับนกมาตัดปีกผูกคอฆ่ากินบ้าง ขายบ้าง ชนเหล่านั้นมีกรรมอันหยาบช้า ครั้นฆ่านกเลี้ยงชีพ กระทำกรรมแล้ว จึงต้องถูกตัดศีรษะนอนอยู่ พระเจ้าข้า

    มาตลีเทพสารถีขับรถต่อไป จนถึงที่ซึ่งมีแม่น้ำมีน้ำเจิ่งน่ารื่นรมย์ไหลอยู่โดยปกติ สัตว์นรกไม่อาจทนความกระหายเพราะเร่าร้อนด้วยเพลิง จึงเดินย่ำแผ่นดินโลหะลุกโพลงลงสู่แม่น้ำนั้น ทันใดนั้นเองฝั่งน้ำทั้งสองก็ลุกโพลงทั่ว น้ำควรดื่มก็กลายเป็นแกลบและใบไม้ลุกโพลง สัตว์นรกไม่อาจจะทนความกระหาย ก็เคี้ยวแกลบ และใบไม้อันลุกโพลงกินแทนดื่มน้ำ แกลบและใบไม้นั้นก็เผาสรีระทั้งสิ้นออกทางส่วนเบื้องต่ำ สัตว์นรกไม่สามารถจะอดกลั้นทุกข์นั้นก็ประคองแขนทั้งสองร้องไห้ พระเจ้าเนมิราชทอดพระเนตรเห็นดังนั้นจึงตรัสถามถึงบาปกรรมที่สัตว์เหล่านี้ได้ทำไว้ มาตลีเทพสารถีก็ได้ทูลถวายพยากรณ์ให้ทรงทราบว่า

    สัตว์นรกเหล่าใด มีการงานอันไม่บริสุทธิ์ เอาข้าวลีบแกลบ หรือทรายเป็นต้น ปนข้าวเปลือกขายให้แก่ผู้ซื้อ เมื่อสัตว์นรกเหล่านั้น มีความร้อนเพราะความร้อนแห่งไฟ กระหายน้ำ จะดื่มน้ำ น้ำจึงกลายเป็นแกลบไป พระเจ้าข้า
     
  18. ที่สุดขอบฟ้า

    ที่สุดขอบฟ้า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    55
    ค่าพลัง:
    +139
    มาตลีเทพสารถีขับรถต่อไป ถึงนรกที่นายนิรยบาลทั้งหลายล้อมเหล่าสัตว์นรกในนิรยาบายนั้น เหมือนนายพรานล้อมฝูงมฤคในป่าไว้ แล้วทิ่มแทงสัตว์นรกเหล่านั้นด้วยอาวุธต่างๆ ร่างกายของสัตว์นรกเหล่านั้นปรากฏเป็นช่องปรุไปหมดเหมือนใบไม้แก่ฉะนั้น พระเจ้าเนมิราชทอดพระเนตรเห็นดังนั้นจึงตรัสถามถึงบาปกรรมที่สัตว์เหล่านี้ได้ทำไว้ มาตลีเทพสารถีก็ได้ทูลถวายพยากรณ์ให้ทรงทราบว่า

    ชนเหล่าใด เมื่อยังอยู่ในมนุษยโลกเป็นผู้มีกรรมไม่ดี ลักทรัพย์ของผู้อื่น คือ ข้าวเปลือก ทรัพย์ เงิน ทองแพะ แกะ ปศุสัตว์ และกระบือ มาเลี้ยงชีวิต ชนเหล่านั้นผู้มีกรรมหยาบช้า กระทำบาปกรรมแล้ว ต้องถูกแทงด้วยหอกนอนอยู่ พระเจ้าข้า

    มาตลีเทพสารถีขับรถต่อไป แสดงนรกอื่นอีก ถึงนรกที่นายนิรยบาลผูกคอสัตว์นรกในนรกนั้นด้วยเชือกเหล็กลุกโพรงใหญ่ คร่าตัวมาให้ล้มลงบนแผ่นดินเหล็กลุกโพลง เที่ยวทุบตีด้วยอาวุธต่างๆ อีกพวกหนึ่งเป็นสัตว์นรกที่ถูกนายนิรยบาลวางไว้บนแผ่นเหล็กลุกโพลง เอามีดเชือดเนื้อสับเหมือนสับเนื้อทำเป็นก้อนๆ นอนอยู่ พระเจ้าเนมิราชทอดพระเนตรเห็นดังนั้นจึงตรัสถามถึงบาปกรรมที่สัตว์เหล่านี้ได้ทำไว้ มาตลีเทพสารถีก็ได้ทูลถวายพยากรณ์ให้ทรงทราบว่า

    สัตว์นรกเหล่านี้ เคยเป็นคนฆ่าแกะฆ่าสุกร ฆ่าปลา ครั้นฆ่าปศุสัตว์ กระบือ แพะ และแกะแล้ว เอาวางไว้ที่เขียง ขายเลี้ยงชีพเป็นผู้มีกรรมอันหยาบช้า กระทำบาปกรรมแล้วต้องตัดเป็นท่อนๆ นอนอยู่ พระเจ้าข้า

    มาตลีเทพสารถีขับรถต่อไป แสดงนิรยาบายอื่นอีก พระเจ้าเนมิราชทอดพระเนตรเห็นห้วงน้ำเต็มไปด้วยมูตและคูถ ไม่สะอาด เป็นน้ำเน่า มีกลิ่นเหม็นฟุ้งไป มีเหล่าสัตว์นรกเหล่านี้มีความหิวครอบงำ ไม่อาจอดกลั้นความหิวได้ จึงทำคูถเก่าซึ่งตั้งอยู่เป็นกัป เดือดพล่าน ควันอบ ลุกโพลง เป็นก้อนๆ เคี้ยวกิน จึงตรัสถามมาตลีเทพสารถี ถึงบาปกรรมที่สัตว์เหล่านี้ได้ทำไว้ มาตลีเทพสารถีก็ได้ทูลถวายพยากรณ์ให้ทรงทราบว่า

    สัตว์นรกเหล่าใด เคยก่อทุกข์เบียดเบียนมิตรสหายเป็นต้น ตั้งมั่นอยู่ในความเบียดเบียนผู้อื่นเป็นนิตย์ สัตว์นรกเหล่านั้น มีกรรมอันหยาบช้า เป็นคนพาลประทุษร้ายมิตรกระทำบาปกรรมแล้ว จึงต้องมากินมูตและคูถ พระเจ้าข้า

    มาตลีเทพสารถีขับรถต่อไป ในนรกอื่นๆ จนถึงนรกที่เป็นห้วงน้ำอันสกปรกเต็มไปด้วยเลือดและหนอง เป็นน้ำเน่า มีกลิ่นเหม็นฟุ้งไป สัตว์นรกเหล่านี้ถูกความร้อนเผาแล้ว ไม่อาจอดกลั้นความหิวได้ จึงทำเลือดและหนองเป็นก้อนๆ เคี้ยวกิน พระเจ้าเนมิราชทอดพระเนตรเห็นดังนั้นจึงตรัสถามมาตลีเทพสารถี ถึงบาปกรรมที่สัตว์เหล่านี้ได้ทำไว้ มาตลีเทพสารถีก็ได้ทูลถวายพยากรณ์ให้ทรงทราบว่า

    ชนเหล่าใด เมื่อยังอยู่ในมนุษยโลกฆ่ามารดาบิดาหรือพระอรหันต์ ชื่อว่าถึงปาราชิกในเพศคฤหัสถ์ ชนเหล่านั้น ผู้มีกรรมอันหยาบช้า กระทำบาปกรรมแล้ว จึงมีเลือดและหนองเป็นอาหาร พระเจ้าข้า

    มาตลีเทพสารถีขับรถต่อไปที่อุสสุทนรกอื่นอีก จนถึงนรกที่นายนิรยบาลเอาเบ็ดเหล็กลุกโพลงโตเท่าลำตาลเกี่ยวลิ้นสัตว์นรก คร่ามาให้สัตว์นรกเหล่านั้นล้มลงบนแผ่นดินโลหะที่ลุกโพลง ให้นอนแผ่ เอาขอเหล็กสับดุจสับหนังโคฉะนั้น สัตว์นรกเหล่านั้นดิ้นรนเหมือนปลาดิ้นอยู่บนบก ไม่อาจทนทุกข์นั้นร้องไห้น้ำลายไหล พระเจ้าเนมิราชทอดพระเนตรเห็นดังนั้นจึงตรัสถามมาตลีเทพสารถี ถึงบาปกรรมที่สัตว์เหล่านี้ได้ทำไว้ มาตลีเทพสารถีก็ได้ทูลถวายพยากรณ์ให้ทรงทราบว่า

    สัตว์นรกเหล่านั้น เคยเป็นมนุษย์อยู่ในตำแหน่งตีราคาสิ่งของ รับราคาสินค้านั้นๆ เป็นสินบนแล้วลดราคาทรัพย์นั้นๆ มีช้างม้าเป็นต้น หรือเงินทองเป็นต้น เมื่อลดราคานั้นๆ ย่อมลดราคาซื้อจากราคานั้นแก่ผู้ซื้อทั้งหลาย เมื่อควรจะให้ ๑๐๐ ก็ให้แค่ ๕๐ เมื่อควรจะให้ ๕๐ บาทก็ให้แค่ ๒๕ ฝ่ายผู้ซื้อนอกนี้ก็แบ่งกับผู้ตีราคาเหล่านั้น ถือเอาราคานั้น.ทำการโกงด้วยความโลภ ปกปิดความโกงไว้ด้วยวาจาอันอ่อนหวาน เปรียบเหมือนคนตกปลา เอาเหยื่อเกี่ยวเบ็ดเพื่อปิดบังเบ็ดไว้ ฉะนั้น สัตว์นรกเหล่านั้นผู้มีกรรมอันหยาบช้า กระทำบาปกรรมแล้วจึงต้องกลืนเบ็ดนอนอยู่ พระเจ้าข้า

    มาตลีเทพสารถีขับรถต่อไป ถึงนรกที่เป็นหลุมใหญ่เต็มด้วยถ่านเพลิงที่ลุกโพลง หญิงนรกเหล่านี้มีร่างกายอันแตกทั่ว น่าเกลียด แมลงวันตอมเป็นกลุ่มเปรอะเปื้อนด้วยเลือดและหนอง มีศีรษะขาด เหมือนฝูงโคศีรษะขาดอยู่บนที่ฆ่า ประคองแขนทั้งสองคร่ำครวญอยู่ หญิงนรกเหล่านั้นจมอยู่ในภูมิภาคเพียงเอวทุกเมื่อ ภูเขาไฟตั้งขึ้นแต่ ๔ ทิศ ลุกโพลงกลิ้งมาบดหญิงนรกเหล่านั้นให้แหลกละเอียด

    ได้ยินว่า ในเวลาที่หญิงเหล่านั้นจมเข้าไปแค่เอวอย่างนี้ ภูเขาเหล็กลุกโพลงตั้งขึ้นทางทิศตะวันออกคำรามดุจสายฟ้ามา เป็นราวกะว่าบดสรีระให้แหลกละเอียดไป เมื่อภูเขาลูกนั้นกลิ้งไปตั้งอยู่ทางข้างทิศตะวันตกสรีระของหญิงเหล่านั้นก็ปรากฏขึ้นอีก หญิงเหล่านั้นไม่อาจอดกลั้นทุกข์นั้นได้ จึงประคองแขนทั้งสองร้องไห้ แม้ภูเขาที่ตั้งขึ้นในทิศที่เหลือทั้งหลายก็มีนัยอย่างนี้แล ภูเขาสองลูกตั้งขึ้นบดสรีระของหญิงเหล่านั้นเหมือนหีบอ้อย เลือดหลั่งไหลไป บางครั้งภูเขาสามลูก บางคราว สี่ลูก ตั้งขึ้นบดสรีระของหญิงเหล่านั้น พระเจ้าเนมิราชทอดพระเนตรเห็นดังนั้นจึงตรัสถามมาตลีเทพสารถี ถึงบาปกรรมที่สัตว์เหล่านี้ได้ทำไว้ มาตลีเทพสารถีก็ได้ทูลถวายพยากรณ์ให้ทรงทราบว่า

    หญิงเหล่านั้นเป็นกุลธิดา เมื่ออยู่ในมนุษยโลกมีการงานไม่บริสุทธิ์ ได้ประพฤติไม่น่ายินดี เป็นหญิงนักเลงละสามีของตนเสีย คบหาชายอื่นเพราะเหตุแห่งความยินดีและการเล่นหญิงเหล่านั้นเมื่อยังอยู่ในโลกนี้ ยังจิตของตนให้รื่นรมย์อยู่กับชายอื่นจึงถูกภูเขาไฟอันลุกโพลงตั้งขึ้นแต่ ๔ ทิศ บดให้แหลกละเอียด พระเจ้าข้า

    มาตลีเทพสารถีขับรถต่อไป ถึงนรกที่ตั้งอยู่ในบ่อใหญ่เต็มด้วยถ่านเพลิงลุกโพลง ได้ยินว่า สัตว์นรกเหล่านั้นถูกนายนิรยบาลถืออาวุธต่างๆ แทง เหมือนนายโคบาลแทงฝูงโคที่ไม่เข้าคอก เข้าถึงนรกนั้นด้วยประการนั้น ลำดับนั้น นายนิรยบาลจับสัตว์นรกเหล่านั้นที่เท้าเอาหัวลงโยนลงในบ่อใหญ่นั้น พระเจ้าเนมิราชทอดพระเนตรเห็นสัตว์นรกตกลงในนรกอย่างนั้น จึงตรัสถามมาตลีเทพสารถี ถึงบาปกรรมที่สัตว์เหล่านี้ได้ทำไว้ มาตลีเทพสารถีก็ได้ทูลถวายพยากรณ์ให้ทรงทราบว่า

    สัตว์นรกเหล่านี้ เมื่อยังอยู่ในมนุษยโลก เป็นผู้กรรมไม่ดี ลวงภรรยาของชายอื่น ชื่อว่าเป็นผู้ลักภัณฑะอันสูงสุด จึงถูกนายนิรยบาลจับโยนลงในนรก ต้องเสวยทุกขเวทนา ในนรกนั้นสิ้นปีเป็นอันมาก บุคคลผู้ที่จะช่วยป้องกันบุคคลผู้มักกระทำบาปกรรม ผู้อันกรรมของตนหุ้มห่อไว้ ไม่มีเลย สัตว์นรกเหล่านั้น มีกรรมอันหยาบช้า ทำบาปกรรมแล้ว ต้องถูกนายนิรยบาลจับโยนลงในนรก พระเจ้าข้า

    ครั้นทูลอย่างนี้แล้ว มาตลีเทพสารถีก็ได้ทำให้นรกนั้นให้อันตรธานไปแล้วขับรถต่อไปถึงนรกซึ่งเป็นที่หมกไหม้แห่งพวกมิจฉาทิฏฐิ สัตว์นรกต่างๆ ทั้งเล็กทั้งใหญ่เหล่านี้มีรูปร่างพิลึก เสวยทุกขเวทนาอันกล้าแสบเผ็ดร้อนเหลือเกิน พระเจ้าเนมิราชจึงตรัสถามมาตลีเทพสารถี ถึงบาปกรรมที่สัตว์เหล่านี้ได้ทำไว้ มาตลีเทพสารถีก็ได้ทูลถวายพยากรณ์ให้ทรงทราบว่า

    สัตว์นรกเหล่านี้ เมื่อยังอยู่ในมนุษยโลกเป็นผู้มีมิจฉาทิฏฐิมีวัตถุ ๑๐ คือ ทานที่ให้ไม่มีผล การบูชาไม่มีผลการเซ่นสรวงไม่มีผล ผลวิบากแห่งกรรมที่ทำดีทำชั่วไม่มี มารดาไม่มี บิดาไม่มี สมณพราหมณ์ไม่มี สัตว์ผู้ผุดเกิดไม่มี โลกนี้ไม่มี โลกหน้าไม่มี หลงทำกรรมด้วยความคุ้นเคยกระทำกรรมลามกต่างๆ ด้วยมิจฉาทิฏฐินั้น และชักชวนผู้อื่นในทิฏฐิเช่นนั้น ทำบาปกรรมแล้ว จึงต้องได้เสวยทุกขเวทนาอันกล้าแสบเผ็ดร้อนเหลือเกิน พระเจ้าข้า

    มาตลีเทพสารถีทูลบอกนรกเป็นที่หมกไหม้ ของพวกมิจฉาทิฏฐิทั้งหลาย แด่พระเจ้าเนมิราชด้วยประการฉะนี้

    แม้หมู่เทวดาในเทวโลกก็ได้นั่งประชุมกันในเทวสภาชื่อสุธรรมานั่นแลคอยพระเจ้าเนมิราชเสด็จมา ฝ่ายท้าวสักกเทวราชทรงใคร่ครวญดูว่า ทำไมมาตลีจึงไปช้านัก ก็ทราบเหตุนั้น จึงทรงจินตนาการว่า มาตลีเทพบุตรเที่ยวแสดงนรกทั้งหลายว่า สัตว์เกิดในนรกโน้น เพราะทำกรรมโน้น ดังนี้ เพื่อแสดงความเป็นทูตพิเศษของตน แต่ชนมายุของพระเจ้าเนมิราชซึ่งมีอยู่น้อยจะพึงสิ้นไป ชนมายุนั้นจะไม่พึงถึงที่สุดแห่งการแสดงนรก ทรงดำริฉะนี้แล้วจึงส่งเทพบุตรองค์หนึ่งซึ่งมีความเร็วมาก ด้วยเทพบัญชาว่า ท่านจงไปแจ้งแก่มาตลีว่า จงเชิญเสด็จพระเจ้าเนมิราชมาโดยเร็ว

    เทพบุตรนั้นมาแจ้งโดยเร็ว มาตลีเทพสารถีได้สดับคำเทพบุตรนั้นแล้ว จึงทูลพระเจ้าเนมิราชว่า ช้าไม่ได้แล้ว พระเจ้าข้า แล้วแสดงนรกที่เหลือทั้งหมดพร้อมกันทีเดียวแด่พระเจ้าเนมิราช แล้วกล่าวว่า

    ข้าแต่มหาราชเจ้า พระองค์ทรงทราบสถานที่อยู่ของเหล่าสัตว์ผู้มีกรรมอันหยาบช้า และทรงทราบที่ไปของเหล่าสัตว์ผู้ทุศีล เพราะได้ทอดพระเนตรเห็นนิรยบาล อันเป็นที่อยู่ของเหล่าสัตว์นรกผู้มีบาปกรรมแล้ว ข้าแต่พระราชาผู้แสวงหาคุณอันยิ่ง บัดนี้ ขอเชิญขึ้นไปชมทิพยสมบัติ ในสำนักของท้าวสักกเทวราชเถิดพระเจ้าข้า

    จบ กัณฑ์นรก

    ก็แลครั้นทูลอย่างนี้แล้ว มาตลีเทพสารถีก็ขับรถมุ่งไปเทวโลก พระเจ้าเนมิราชเมื่อเสด็จไปเทวโลก ทอดพระเนตรเห็นวิมานอันประดิษฐานอยู่ในอากาศของเทพธิดา นามว่าวรุณี มียอด ๕ ยอด ล้วนแล้วไปด้วยแก้วมณี ใหญ่ ๑๒ โยชน์ ประดับด้วยอลังการทั้งปวง สมบูรณ์ด้วยอุทยานและสระโบกขรณี มีต้นกัลปพฤกษ์แวดล้อม และทอดพระเนตรเห็นเทพธิดานั้นนั่งอยู่เหนือหลังที่ไสยาสน์ภายในกูฏาคาร หมู่อัปสรพันหนึ่งแวดล้อม เปิดมณีสีหบัญชรแลดูภายนอก จึงตรัสถามกับมาตลีเทพสารถีถึงกรรมดีที่เทพธิดานั้นกระทำไว้ในอดีต มาตลีเทพสารถีก็ได้ทูลพระองค์ว่า

    ก็นางเทพธิดาที่พระองค์ทรงหมายถึงนั้น ชื่อนางพิรณีเมื่อยังอยู่ในมนุษยโลก เกิดในครรภ์ของนางทาสีในเรือนของพราหมณ์ ในกาลแห่งพระกัสสปทศพล พราหมณ์นั้นได้บริจาคสลากภัตแปดแด่พระสงฆ์ พราหมณ์นั้นไปเรือนเรียกภริยามาสั่งว่าแน่ะนางผู้เจริญ พรุ่งนี้ เธอจงลุกขึ้นแต่เช้า จัดสลากภัตแปดทำให้มีราคากหาปณะหนึ่งสำหรับภิกษุรูปหนึ่งๆ พราหมณีปฏิเสธว่า ข้าแต่นาย ขึ้นชื่อว่าภิกษุทั้งหลายเป็นนักเลง ดิฉันไม่อาจ ธิดาทั้งหลายของพราหมณ์นั้นก็ปฏิเสธอย่างนั้นเหมือนกัน

    พราหมณ์กล่าวกะทาสีว่า เจ้าอาจไหมแม่หนู ทาสีนั้นรับคำว่า อาจเจ้าค่ะ แล้วจัดยาคูของเคี้ยวและภัตตาหารเป็นต้นโดยเคารพได้สลากแล้วรู้แจ้งแขกผู้ได้เวลาซึ่งมาแล้ว นิมนต์ให้นั่งบนอาสนะที่ปูลาดไว้ซึ่งไล้ทาด้วยโคมัยสดทำดอกไม้ยื่นไว้ข้างหน้าในเรือน นางนั้นเพลิดเพลินยินดียิ่งต่อภิกษุนั้นตลอดกาลเป็นนิตย์ อังคาสโดยเคารพ ได้ถวายอะไรๆ ซึ่งเป็นของของตน ดังมารดายินดีต่อบุตรผู้จากไปนานกลับมาถึง ฉะนั้น นางอังคาสภิกษุนั้นโดยเคารพ ได้ถวายสิ่งของของตนเล็กน้อย เป็นผู้เป็นผู้มีศีลและมีจาคะจึงมาบันเทิงอยู่ในวิมานพระเจ้าข้า

    ก็แลครั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว มาตลีเทพสารถีได้ขับรถต่อไป แสดงวิมานทองทั้ง ๗ ของเทพบุตรชื่อโสณทินนะ อันบุญญานุภาพตกแต่ง ส่องสว่างโชติช่วงดั่งดวงอาทิตย์อ่อนๆ พระเจ้าเนมิราชทอดพระเนตรเห็นวิมานเหล่านั้น และโสณทินนเทพบุตรผู้มีฤทธิ์มาก ประดับประดาด้วยสรรพาภรณ์อันหมู่เทพธิดาแวดล้อมผลัดเปลี่ยนเวียนวนอยู่โดยรอบในวิมานทั้ง ๗ นั้น จึงตรัสถามถึงกรรมที่เทพบุตรนั้นได้ทำไว้ ซึ่งมาตลีเทพสารถีก็ได้ทูลบอกแด่พระองค์ว่า

    เทพบุตรผู้นี้เมื่อก่อน ในกาลแห่งพระกัสสปทศพลเป็นคฤหบดี ชื่อโสณทินนะ เป็นทานบดี ในนิคมแห่งหนึ่งในกาสิกรัฐให้สร้างวิหาร ๗ หลังอุทิศต่อบรรพชิต ได้อุปฐากภิกษุผู้อยู่ในวิหาร ๗ หลังนั้นโดยเคารพ ได้บริจาคผ้านุ่งผ้าห่ม อาหารเสนาสนะ เครื่องประทีป ในท่านผู้ปฏิบัติซื่อตรง ด้วยจิตอันเลื่อมใส รักษาอุโบสถศีลอันประกอบด้วยองค์ ๘ ในดิถีที่ ๑๔ ที่ ๑๕ ที่ ๘ แห่งปักษ์ และในวันปาฏิหาริยปักษ์ เป็นผู้สังวรในศีล เป็นผู้สำรวมและบริจาคทานเป็นนิตย์ จึงมาบันเทิงอยู่ในวิมาน พระเจ้าข้า

    ครั้นกล่าวกรรมของโสณทินนเทพบุตรอย่างนี้แล้ว มาตลีเทพสารถีก็ขับรถต่อไป แสดงวิมานแก้วผลึก วิมานแก้วผลึกนั้นสูง ๒๕ โยชน์ ประกอบด้วยเสาซึ่งแล้วไปด้วยแก้ว ๗ ประการหลายร้อยต้น ประดับด้วยยอดหลายร้อยยอด ห้อยกระดิ่งเป็นแถวกรอบ มีธงที่แล้วด้วยทองและเงินปักไสว ประดับด้วยอุทยานและวนะวิจิตรด้วยบุปผชาตินานาชนิด ประกอบด้วยสระโบกขรณีน่ายินดี มีไพทีที่น่ารื่นรมย์ เกลื่อนไปด้วยอัปสรผู้ฉลาดในการฟ้อนรำขับร้องและประโคม พระเจ้าเนมิราชทอดพระเนตรเห็นวิมานแก้วผลึกนั้น มีพระหฤทัยยินดี ตรัสถามถึงกุศลกรรมแห่งอัปสรเหล่านั้น มาตลีเทพสารถีก็ได้ทูลบอกแด่พระองค์ว่า

    นางอัปสรเหล่านั้น เมื่อยังอยู่ในมนุษยโลกนี้เป็นอุบาสิกาผู้มีศีลในกรุงพาราณสี ในกาลแห่งพระกัสสปพุทธเจ้า ยินดีในทาน ได้รวมกันเป็นคณะกระทำบุญทั้งหลาย มีจิตเลื่อมใสเป็นนิตย์ ตั้งอยู่ในสัจจะ ไม่ประมาทในการรักษาอุโบสถ เป็นผู้สำรวมและจำแนกแจกทาน จึงมาบันเทิงอยู่ในวิมาน พระเจ้าข้า

    ลำดับนั้น มาตลีเทพสารถีนั้นขับรถต่อไป แสดงวิมานแก้วมณีวิมานหนึ่งแด่พระเจ้าเนมิราช วิมานแก้วมณีนั้นประดิษฐานอยู่ในภูมิภาคที่ราบเรียบอันน่ารื่นรมย์จัดสรรไว้เป็นส่วนๆ สมบูรณ์ด้วยส่วนสูง เปล่งรัศมีดุจมณีบรรพต สว่างไสวออกจากฝาแก้วไพฑูรย์ เสียงตะโพน การฟ้อนรำขับร้อง และเสียงประโคมดนตรีย่อมเปล่งออกน่าฟัง เป็นที่รื่นรมย์ใจ เกลื่อนไปด้วยเทพบุตรเป็นอันมาก พระเจ้าเนมิราชทอดพระเนตรเห็นดังนั้น จึงตรัสถามถึงกุศลกรรมของเทพบุตรเหล่านั้น มาตลีเทพสารถีก็ได้ทูลบอกแด่พระองค์ว่า

    เทพบุตรเหล่านี้ เมื่อยังอยู่ในมนุษยโลก เป็นอุบาสกผู้มีศีลชาวพาราณสี ในกาลแห่งพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้รวมกันเป็นคณะก่อสร้างอาราม บ่อน้ำ สระน้ำ และสะพาน ได้ปฏิบัติพระอรหันต์ผู้เยือกเย็นโดยเคารพ ได้ถวายจีวรบิณฑบาต เสนาสนะ และคิลานปัจจัย ในท่านผู้ปฏิบัติซื่อตรงด้วยจิตอันเลื่อมใส ได้รักษาอุโบสถศีลอันประกอบด้วยองค์ ๘ ในดิถีที่ ๑๔ที่ ๑๕ ที่ ๘ แห่งปักษ์ และในวันปาฏิหาริยปักษ์ เป็นผู้สังวรในศีล เป็นผู้สำรวมและบริจาคทานเป็นนิตย์ จึงมาบันเทิงอยู่ในวิมาน

    มาตลีเทพสารถีนั้นทูลบอกกรรมของเทพบุตรเหล่านั้น แด่พระเจ้าเนมิราช ด้วยประการฉะนี้แล้ว ขับรถต่อไป แสดงวิมานแก้วผลึกอีกวิมานหนึ่งวิมานแก้วผลึกนั้น ประดับด้วยยอดมิใช่น้อย ประดับด้วยวนะรุ่น ซึ่งปกคลุมไปด้วยนานาบุปผชาติ แวดล้อมไปด้วยแม่น้ำมีน้ำใสสะอาด กึกก้อง ไปด้วยฝูงวิหคต่างๆ ส่งเสียงร้อง มีหมู่อัปสรแวดล้อม เป็นสถานที่อยู่ของเทพบุตรผู้มีบุญองค์หนึ่งนั้นนั่นเอง พระเจ้าเนมิราชทอดพระเนตรเห็นวิมานนั้น มีพระหฤทัยยินดี จึงตรัสถามถึงกุศลกรรมของเทพบุตรนั้น มาตลีเทพสารถีก็ได้ทูลบอกแด่พระองค์ว่า

    เทพบุตรนี้เป็นคฤหบดีอยู่ในเมืองมิถิลา ในกาลแห่งพระกัสสปพุทธเจ้า เป็นทานบดีได้สร้างอาราม บ่อน้ำ สระน้ำและสะพาน ได้ปฏิบัติต่อพระอรหันต์ผู้เยือกเย็นโดยเคารพ ได้ถวายจีวร บิณฑบาต เสนาสนะและคิลานปัจจัย ในท่านผู้ปฏิบัติซื่อตรง ด้วยจิตอันเลื่อมใส ได้รักษาอุโบสถศีลอันประกอบด้วยองค์ ๘ ในดิถีที่ ๑๔ ที่ ๑๕ ที่ ๘ แห่งปักษ์และในวันปาฏิหาริยปักษ์ เป็นผู้สังวรในศีล เป็นผู้สำรวมและบริจาคทานเป็นนิตย์ จึงมาบันเทิงอยู่ในวิมาน พระเจ้าข้า

    ครั้นทูลบอกกรรมที่เทพบุตรนั้นกระทำ แด่พระเจ้าเนมิราชอย่างนี้ แล้ว มาตลีเทพสารถีก็ขับรถต่อไป แสดงวิมานแก้วผลึกแม้อีกวิมานหนึ่งวิมานนั้นประกอบด้วยกอวนะรุ่น ซึ่งปกคลุมไปด้วยไม้ดอกไม้ผลนานาชนิดยิ่งกว่าวิมานก่อน พระเจ้าเนมิราชทอดพระเนตรเห็นวิมานนั้น จึงตรัสถามบุพกรรมของเทพบุตรผู้ประกอบด้วยสมบัตินั้น มาตลีเทพสารถีก็ได้ทูลบอกแด่พระองค์ว่า

    เทพบุตรนี้เป็นคฤหบดีอยู่ในเมืองมิถิลา วิเทหรัฐ ในกาลแห่งพระกัสสปพุทธเจ้าเป็นทานบดี ได้สร้างอาราม บ่อน้ำ สระน้ำ และสะพาน ได้ปฏิบัติพระอรหันต์ผู้เยือกเย็นโดยเคารพ ได้ถวายจีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และคิลานปัจจัย ในท่านผู้ปฏิบัติซื่อตรง ด้วยจิตอันเลื่อมใส ได้รักษาอุโบสถศีลอันประกอบด้วยองค์ ๘ ในดิถีที่ ๑๔ ที่ ๑๕ ที่ ๘ แห่งปักษ์ และในวันปาฏิหาริยปักษ์ เป็นผู้สังวรในศีล เป็นผู้สำรวมและบริจาคทานเป็นนิตย์ จึงมาบันเทิงอยู่ในวิมาน พระเจ้าข้า

    ครั้นทูลบอกกรรมที่เทพบุตรแม้นั้นกระทำ แด่พระเจ้าเนมิราชอย่างนี้แล้ว มาตลีเทพสารถีก็ขับรถต่อไป แสดงวิมานแก้วไพฑูรย์อีกวิมานหนึ่ง เช่นกับวิมานก่อนนั่นแหละ พระเจ้าเนมิราชตรัสถามถึงกรรมที่เทพบุตรผู้เสวยทิพยสมบัติในวิมานนั้นกระทำ มาตลีเทพสารถีก็ได้ทูลบอกแด่พระองค์ว่า

    เทพบุตรนี้เป็นคฤหบดีอยู่ในเมืองพาราณสี เป็นทานบดี ได้สร้างอาราม บ่อน้ำ สระน้ำ และสะพานได้ปฏิบัติพระอรหันต์ผู้เยือกเย็นโดยเคารพ ได้ถวายจีวร บิณฑบาตเสนาสนะ และคิลานปัจจัย ให้ท่านผู้ปฏิบัติซื่อตรง ด้วยจิตอันเลื่อมใสได้รักษาอุโบสถศีลอันประกอบด้วยองค์ ๘ ในดิถีที่ ๑๔ ที่ ๑๕ ที่ ๘ แห่งปักษ์ และในวันปาฏิหาริยปักษ์ เป็นผู้สังวรในศีล เป็นผู้สำรวมและบริจาคทานเป็นนิตย์ จึงมาบันเทิงอยู่ในวิมาน พระเจ้าข้า

    มาตลีเทพสารถีนั้นทูลบอกกุศลกรรมแด่พระเจ้าเนมิราชอย่างนี้แล้วขับรถต่อไป แสดงวิมานทองซึ่งมีรัศมีเหมือนดวงอาทิตย์อ่อนๆ พระเจ้าเนมิราชทอดพระเนตรเห็นสมบัติของเทพบุตรผู้อยู่ในวิมานทองนั้น มีพระหฤทัยยินดี จึงตรัสถามถึงกรรมที่เทพบุตรนั้นกระทำ มาตลีเทพสารถีก็ได้ทูลบอกแด่พระองค์ว่า

    เทพบุตรนี้เป็นคฤหบดีอยู่ในเมืองสาวัตถี เป็นทานบดี ในกรุงสาวัตถีในกาลแห่งพระกัสสปพุทธเจ้าได้สร้างอาราม บ่อน้ำ สระน้ำ และสะพานได้ปฏิบัติพระอรหันต์ผู้เยือกเย็นโดยเคารพ ได้ถวายจีวร บิณฑบาตเสนาสนะ และคิลานปัจจัย ในท่านผู้ปฏิบัติซื่อตรง ด้วยจิตอันเลื่อมใสได้รักษาอุโบสถศีลอันประกอบด้วยองค์ ๘ ในดิถีที่ ๑๔ ที่ ๑๕ ที่ ๘ แห่งปักษ์ และในวันปาฏิหาริยปักษ์ เป็นผู้สังวรในศีล เป็นผู้สำรวมและบริจาคทานเป็นนิตย์ จึงมาบันเทิงในวิมาน พระเจ้าข้า

    ในเวลาที่มาตลีเทพสารถีทูลวิมาน ๘ เหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้ ท้าวสักกเทวราชทรงดำริว่า มาตลีประพฤติช้าเกิน จึงส่งเทพบุตรผู้ว่องไวแม้อื่นอีกไปด้วยเทวบัญชาว่า ท่านจงไปบอกแก่มาตลีว่า ท้าวสักกเทวราชเรียกหาท่านเทพบุตรนั้นไปโดยเร็ว แจ้งแก่มาตลีเทพให้ทราบ มาตลีเทพสารถีได้สดับคำแห่งเทพบุตรนั้น ดำริว่า บัดนี้เราไม่อาจจะชักช้า จึงแสดงวิมานเป็นอันมากพร้อมกันทีเดียว พระเจ้าเนมิราชตรัสถามถึงกรรมของเหล่าเทพบุตรผู้เสวยทิพยสมบัติในวิมานนั้นๆ มาตลีเทพสารถีก็ได้ทูลบอกแด่พระองค์ว่า

    เทพบุตรเหล่านี้เป็นสาวกของพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งเป็นนิยยานิกธรรม ในกาลก่อน เป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์ บำเพ็ญสมณธรรมอยู่ กระทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล ไม่อาจที่จะยังพระอรหัตให้บังเกิด จุติจากอัตภาพนั้นแล้ว เกิดในวิมานทองเหล่านี้ ข้าแต่พระราชา สถานที่เหล่านี้เป็นที่สถิตของสาวกของพระกัสสปพุทธเจ้าเหล่านั้นซึ่งพระองค์จะทอดพระเนตร ดังนั้น ขอเชิญพระองค์ทอดพระเนตรเถิดพระเจ้าข้า

    มาตลีเทพสารถีนั้นแสดงวิมานที่ลอยอยู่ในอากาศ แด่พระเจ้าเนมิราชอย่างนี้แล้ว เมื่อจะกระทำอุตสาหะเพื่อเสด็จไปสำนักของท้าวสักกเทวราชจึงทูลว่า

    ข้าแต่มหาราชเจ้าพระองค์ทอดพระเนตรที่อยู่ของเหล่าสัตว์นรกก่อนแล้วทรงทราบสถานที่อยู่ของผู้มีกรรมลามกทั้งหลาย อนึ่ง เมื่อพระองค์ทอดพระเนตรวิมานที่ลอยอยู่ในอากาศเหล่านี้ ก็ทรงทราบสถานที่อยู่ของผู้มีกรรมอันงามแล้ว ขอเชิญพระองค์เสด็จขึ้นทอดพระเนตรทิพยสมบัติในสำนักของท้าวสักกเทวราชในบัดนี้เถิด

    ก็แลครั้นทูลอย่างนี้แล้ว มาตลีเทพสารถีก็ขับรถเทียมด้วยม้าสินธพพันหนึ่งต่อไป แสดงสัตตปริภัณฑบรรพต ซึ่งตั้งล้อมสิเนรุราชบรรพต ในระหว่างมหาสมุทรสีทันดร เล่ากันว่า น้ำในมหาสมุทรนั้นละเอียด โดยที่สุดเพียงแววหางนกยูงที่โยนลงไป ก็ไม่อาจลอยอยู่ได้ ย่อมจมลงทีเดียว พระเจ้าเนมิราชทอดพระเนตรเห็นบรรพตเหล่านั้นแล้ว ตรัสถามมาตลีเทพสารถีว่า ภูเขาเหล่านี้ชื่ออะไร

    มาตลีเทพบุตรถูกพระเจ้าเนมิราชตรัสถามอย่างนี้แล้ว จึงทูลตอบว่า

    ข้าแต่มหาราชเจ้าภูเขานี้ชื่อสุทัสสนบรรพต อยู่ภายนอกภูเขาเหล่านั้นทั้งหมด ถัดภูเขาสุทัสสนะนั้น ชื่อภูเขากรวีกะ ภูเขากรวีกะนั้นสูงกว่าภูเขาสุทัสสนะ อนึ่ง ทะเลชื่อสีทันดรอยู่ในระหว่าง ๒ ภูเขานั้น ถัดภูเขากรวีกะ ชื่อภูเขาอิสินธระ ภูเขาอิสินธระนั้นสูงกว่าภูเขากรวีกะ อนึ่ง ทะเลชื่อสีทันดรอยู่ในระหว่าง ๒ ภูเขานั้น ถัดภูเขาอิสินธระ ชื่อภูเขายุคันธระ ภูเขายุคันธระนั้นสูงกว่าภูเขาอิสินธระทะเลชื่อสีทันดรอยู่ในระหว่าง ๒ ภูเขาแม้นั้น ถัดภูเขายุคันธระ ชื่อภูเขาเนมินธระ ภูเขาเนมินธระนั้นสูงกว่าภูเขายุคันธระ ทะเลชื่อสีทันดรอยู่ในระหว่าง ๒ ภูเขาแม้นั้น ถัดภูเขาเนมินธระ ชื่อภูเขาวินตกะ ภูเขาวินตกะนั้นสูงกว่าภูเขาเนมินธระ ทะเลชื่อสีทันดรอยู่ในระหว่าง ๒ ภูเขาแม้นั้น ถัดภูเขาวินตกะชื่อภูเขาอัสสกัณณะ ภูเขาอัสสกัณณะนั้นสูงกว่าภูเขาวินตกะ ทะเลชื่อสีทันดรอยู่ในระหว่าง ๒ ภูเขาแม้นั้น. ภูเขาทั้ง ๗ เหล่านี้ สูงขึ้นไปโดยลำดับในทะเลสีทันดร ดุจคั่นบันไดตั้งอยู่

    ข้าแต่มหาราชเจ้า ขอเชิญพระองค์ทอดพระเนตรภูเขาเหล่านี้ ซึ่งเป็นที่อยู่ของท้าวจาตุมหาราช (เทวดาผู้รักษาโลกประจำทิศทั้ง ๔ บางทีเรียกว่า ท้าวจตุโลกบาล ได้แก่ ท้าวธตรฐ ประจำทิศบูรพา ท้าววิรุฬหก ประจำทิศทักษิณท้าววิรูปักษ์ ประจำทิศประจิม ท้าวกุเวร ประจำทิศอุดร)



    ก็แลครั้นทูลอย่างนี้แล้ว มาตลีเทพสารถีก็ขับรถมุ่งไปเทวโลก พระเจ้าเนมิราชเมื่อเสด็จไปเทวโลก ทอดพระเนตรเห็นวิมานอันประดิษฐานอยู่ในอากาศของเทพธิดา นามว่าวรุณี มียอด ๕ ยอด ล้วนแล้วไปด้วยแก้วมณี ใหญ่ ๑๒ โยชน์ ประดับด้วยอลังการทั้งปวง สมบูรณ์ด้วยอุทยานและสระโบกขรณี มีต้นกัลปพฤกษ์แวดล้อม และทอดพระเนตรเห็นเทพธิดานั้นนั่งอยู่เหนือหลังที่ไสยาสน์ภายในกูฏาคาร หมู่อัปสรพันหนึ่งแวดล้อม เปิดมณีสีหบัญชรแลดูภายนอก จึงตรัสถามกับมาตลีเทพสารถีถึงกรรมดีที่เทพธิดานั้นกระทำไว้ในอดีต มาตลีเทพสารถีก็ได้ทูลพระองค์ว่า

    ก็นางเทพธิดาที่พระองค์ทรงหมายถึงนั้น ชื่อนางพิรณีเมื่อยังอยู่ในมนุษยโลก เกิดในครรภ์ของนางทาสีในเรือนของพราหมณ์ ในกาลแห่งพระกัสสปทศพล พราหมณ์นั้นได้บริจาคสลากภัตแปดแด่พระสงฆ์ พราหมณ์นั้นไปเรือนเรียกภริยามาสั่งว่าแน่ะนางผู้เจริญ พรุ่งนี้ เธอจงลุกขึ้นแต่เช้า จัดสลากภัตแปดทำให้มีราคากหาปณะหนึ่งสำหรับภิกษุรูปหนึ่งๆ พราหมณีปฏิเสธว่า ข้าแต่นาย ขึ้นชื่อว่าภิกษุทั้งหลายเป็นนักเลง ดิฉันไม่อาจ ธิดาทั้งหลายของพราหมณ์นั้นก็ปฏิเสธอย่างนั้นเหมือนกัน

    พราหมณ์กล่าวกะทาสีว่า เจ้าอาจไหมแม่หนู ทาสีนั้นรับคำว่า อาจเจ้าค่ะ แล้วจัดยาคูของเคี้ยวและภัตตาหารเป็นต้นโดยเคารพได้สลากแล้วรู้แจ้งแขกผู้ได้เวลาซึ่งมาแล้ว นิมนต์ให้นั่งบนอาสนะที่ปูลาดไว้ซึ่งไล้ทาด้วยโคมัยสดทำดอกไม้ยื่นไว้ข้างหน้าในเรือน นางนั้นเพลิดเพลินยินดียิ่งต่อภิกษุนั้นตลอดกาลเป็นนิตย์ อังคาสโดยเคารพ ได้ถวายอะไรๆ ซึ่งเป็นของของตน ดังมารดายินดีต่อบุตรผู้จากไปนานกลับมาถึง ฉะนั้น นางอังคาสภิกษุนั้นโดยเคารพ ได้ถวายสิ่งของของตนเล็กน้อย เป็นผู้เป็นผู้มีศีลและมีจาคะจึงมาบันเทิงอยู่ในวิมานพระเจ้าข้า

    ก็แลครั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว มาตลีเทพสารถีได้ขับรถต่อไป แสดงวิมานทองทั้ง ๗ ของเทพบุตรชื่อโสณทินนะ อันบุญญานุภาพตกแต่ง ส่องสว่างโชติช่วงดั่งดวงอาทิตย์อ่อนๆ พระเจ้าเนมิราชทอดพระเนตรเห็นวิมานเหล่านั้น และโสณทินนเทพบุตรผู้มีฤทธิ์มาก ประดับประดาด้วยสรรพาภรณ์อันหมู่เทพธิดาแวดล้อมผลัดเปลี่ยนเวียนวนอยู่โดยรอบในวิมานทั้ง ๗ นั้น จึงตรัสถามถึงกรรมที่เทพบุตรนั้นได้ทำไว้ ซึ่งมาตลีเทพสารถีก็ได้ทูลบอกแด่พระองค์ว่า

    เทพบุตรผู้นี้เมื่อก่อน ในกาลแห่งพระกัสสปทศพลเป็นคฤหบดี ชื่อโสณทินนะ เป็นทานบดี ในนิคมแห่งหนึ่งในกาสิกรัฐให้สร้างวิหาร ๗ หลังอุทิศต่อบรรพชิต ได้อุปฐากภิกษุผู้อยู่ในวิหาร ๗ หลังนั้นโดยเคารพ ได้บริจาคผ้านุ่งผ้าห่ม อาหารเสนาสนะ เครื่องประทีป ในท่านผู้ปฏิบัติซื่อตรง ด้วยจิตอันเลื่อมใส รักษาอุโบสถศีลอันประกอบด้วยองค์ ๘ ในดิถีที่ ๑๔ ที่ ๑๕ ที่ ๘ แห่งปักษ์ และในวันปาฏิหาริยปักษ์ เป็นผู้สังวรในศีล เป็นผู้สำรวมและบริจาคทานเป็นนิตย์ จึงมาบันเทิงอยู่ในวิมาน พระเจ้าข้า

    ครั้นกล่าวกรรมของโสณทินนเทพบุตรอย่างนี้แล้ว มาตลีเทพสารถีก็ขับรถต่อไป แสดงวิมานแก้วผลึก วิมานแก้วผลึกนั้นสูง ๒๕ โยชน์ ประกอบด้วยเสาซึ่งแล้วไปด้วยแก้ว ๗ ประการหลายร้อยต้น ประดับด้วยยอดหลายร้อยยอด ห้อยกระดิ่งเป็นแถวกรอบ มีธงที่แล้วด้วยทองและเงินปักไสว ประดับด้วยอุทยานและวนะวิจิตรด้วยบุปผชาตินานาชนิด ประกอบด้วยสระโบกขรณีน่ายินดี มีไพทีที่น่ารื่นรมย์ เกลื่อนไปด้วยอัปสรผู้ฉลาดในการฟ้อนรำขับร้องและประโคม พระเจ้าเนมิราชทอดพระเนตรเห็นวิมานแก้วผลึกนั้น มีพระหฤทัยยินดี ตรัสถามถึงกุศลกรรมแห่งอัปสรเหล่านั้น มาตลีเทพสารถีก็ได้ทูลบอกแด่พระองค์ว่า

    นางอัปสรเหล่านั้น เมื่อยังอยู่ในมนุษยโลกนี้เป็นอุบาสิกาผู้มีศีลในกรุงพาราณสี ในกาลแห่งพระกัสสปพุทธเจ้า ยินดีในทาน ได้รวมกันเป็นคณะกระทำบุญทั้งหลาย มีจิตเลื่อมใสเป็นนิตย์ ตั้งอยู่ในสัจจะ ไม่ประมาทในการรักษาอุโบสถ เป็นผู้สำรวมและจำแนกแจกทาน จึงมาบันเทิงอยู่ในวิมาน พระเจ้าข้า

    ลำดับนั้น มาตลีเทพสารถีนั้นขับรถต่อไป แสดงวิมานแก้วมณีวิมานหนึ่งแด่พระเจ้าเนมิราช วิมานแก้วมณีนั้นประดิษฐานอยู่ในภูมิภาคที่ราบเรียบอันน่ารื่นรมย์จัดสรรไว้เป็นส่วนๆ สมบูรณ์ด้วยส่วนสูง เปล่งรัศมีดุจมณีบรรพต สว่างไสวออกจากฝาแก้วไพฑูรย์ เสียงตะโพน การฟ้อนรำขับร้อง และเสียงประโคมดนตรีย่อมเปล่งออกน่าฟัง เป็นที่รื่นรมย์ใจ เกลื่อนไปด้วยเทพบุตรเป็นอันมาก พระเจ้าเนมิราชทอดพระเนตรเห็นดังนั้น จึงตรัสถามถึงกุศลกรรมของเทพบุตรเหล่านั้น มาตลีเทพสารถีก็ได้ทูลบอกแด่พระองค์ว่า

    เทพบุตรเหล่านี้ เมื่อยังอยู่ในมนุษยโลก เป็นอุบาสกผู้มีศีลชาวพาราณสี ในกาลแห่งพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้รวมกันเป็นคณะก่อสร้างอาราม บ่อน้ำ สระน้ำ และสะพาน ได้ปฏิบัติพระอรหันต์ผู้เยือกเย็นโดยเคารพ ได้ถวายจีวรบิณฑบาต เสนาสนะ และคิลานปัจจัย ในท่านผู้ปฏิบัติซื่อตรงด้วยจิตอันเลื่อมใส ได้รักษาอุโบสถศีลอันประกอบด้วยองค์ ๘ ในดิถีที่ ๑๔ที่ ๑๕ ที่ ๘ แห่งปักษ์ และในวันปาฏิหาริยปักษ์ เป็นผู้สังวรในศีล เป็นผู้สำรวมและบริจาคทานเป็นนิตย์ จึงมาบันเทิงอยู่ในวิมาน

    มาตลีเทพสารถีนั้นทูลบอกกรรมของเทพบุตรเหล่านั้น แด่พระเจ้าเนมิราช ด้วยประการฉะนี้แล้ว ขับรถต่อไป แสดงวิมานแก้วผลึกอีกวิมานหนึ่งวิมานแก้วผลึกนั้น ประดับด้วยยอดมิใช่น้อย ประดับด้วยวนะรุ่น ซึ่งปกคลุมไปด้วยนานาบุปผชาติ แวดล้อมไปด้วยแม่น้ำมีน้ำใสสะอาด กึกก้อง ไปด้วยฝูงวิหคต่างๆ ส่งเสียงร้อง มีหมู่อัปสรแวดล้อม เป็นสถานที่อยู่ของเทพบุตรผู้มีบุญองค์หนึ่งนั้นนั่นเอง พระเจ้าเนมิราชทอดพระเนตรเห็นวิมานนั้น มีพระหฤทัยยินดี จึงตรัสถามถึงกุศลกรรมของเทพบุตรนั้น มาตลีเทพสารถีก็ได้ทูลบอกแด่พระองค์ว่า

    เทพบุตรนี้เป็นคฤหบดีอยู่ในเมืองมิถิลา ในกาลแห่งพระกัสสปพุทธเจ้า เป็นทานบดีได้สร้างอาราม บ่อน้ำ สระน้ำและสะพาน ได้ปฏิบัติต่อพระอรหันต์ผู้เยือกเย็นโดยเคารพ ได้ถวายจีวร บิณฑบาต เสนาสนะและคิลานปัจจัย ในท่านผู้ปฏิบัติซื่อตรง ด้วยจิตอันเลื่อมใส ได้รักษาอุโบสถศีลอันประกอบด้วยองค์ ๘ ในดิถีที่ ๑๔ ที่ ๑๕ ที่ ๘ แห่งปักษ์และในวันปาฏิหาริยปักษ์ เป็นผู้สังวรในศีล เป็นผู้สำรวมและบริจาคทานเป็นนิตย์ จึงมาบันเทิงอยู่ในวิมาน พระเจ้าข้า

    ครั้นทูลบอกกรรมที่เทพบุตรนั้นกระทำ แด่พระเจ้าเนมิราชอย่างนี้ แล้ว มาตลีเทพสารถีก็ขับรถต่อไป แสดงวิมานแก้วผลึกแม้อีกวิมานหนึ่งวิมานนั้นประกอบด้วยกอวนะรุ่น ซึ่งปกคลุมไปด้วยไม้ดอกไม้ผลนานาชนิดยิ่งกว่าวิมานก่อน พระเจ้าเนมิราชทอดพระเนตรเห็นวิมานนั้น จึงตรัสถามบุพกรรมของเทพบุตรผู้ประกอบด้วยสมบัตินั้น มาตลีเทพสารถีก็ได้ทูลบอกแด่พระองค์ว่า

    เทพบุตรนี้เป็นคฤหบดีอยู่ในเมืองมิถิลา วิเทหรัฐ ในกาลแห่งพระกัสสปพุทธเจ้าเป็นทานบดี ได้สร้างอาราม บ่อน้ำ สระน้ำ และสะพาน ได้ปฏิบัติพระอรหันต์ผู้เยือกเย็นโดยเคารพ ได้ถวายจีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และคิลานปัจจัย ในท่านผู้ปฏิบัติซื่อตรง ด้วยจิตอันเลื่อมใส ได้รักษาอุโบสถศีลอันประกอบด้วยองค์ ๘ ในดิถีที่ ๑๔ ที่ ๑๕ ที่ ๘ แห่งปักษ์ และในวันปาฏิหาริยปักษ์ เป็นผู้สังวรในศีล เป็นผู้สำรวมและบริจาคทานเป็นนิตย์ จึงมาบันเทิงอยู่ในวิมาน พระเจ้าข้า

    ครั้นทูลบอกกรรมที่เทพบุตรแม้นั้นกระทำ แด่พระเจ้าเนมิราชอย่างนี้แล้ว มาตลีเทพสารถีก็ขับรถต่อไป แสดงวิมานแก้วไพฑูรย์อีกวิมานหนึ่ง เช่นกับวิมานก่อนนั่นแหละ พระเจ้าเนมิราชตรัสถามถึงกรรมที่เทพบุตรผู้เสวยทิพยสมบัติในวิมานนั้นกระทำ มาตลีเทพสารถีก็ได้ทูลบอกแด่พระองค์ว่า

    เทพบุตรนี้เป็นคฤหบดีอยู่ในเมืองพาราณสี เป็นทานบดี ได้สร้างอาราม บ่อน้ำ สระน้ำ และสะพานได้ปฏิบัติพระอรหันต์ผู้เยือกเย็นโดยเคารพ ได้ถวายจีวร บิณฑบาตเสนาสนะ และคิลานปัจจัย ให้ท่านผู้ปฏิบัติซื่อตรง ด้วยจิตอันเลื่อมใสได้รักษาอุโบสถศีลอันประกอบด้วยองค์ ๘ ในดิถีที่ ๑๔ ที่ ๑๕ ที่ ๘ แห่งปักษ์ และในวันปาฏิหาริยปักษ์ เป็นผู้สังวรในศีล เป็นผู้สำรวมและบริจาคทานเป็นนิตย์ จึงมาบันเทิงอยู่ในวิมาน พระเจ้าข้า

    มาตลีเทพสารถีนั้นทูลบอกกุศลกรรมแด่พระเจ้าเนมิราชอย่างนี้แล้วขับรถต่อไป แสดงวิมานทองซึ่งมีรัศมีเหมือนดวงอาทิตย์อ่อนๆ พระเจ้าเนมิราชทอดพระเนตรเห็นสมบัติของเทพบุตรผู้อยู่ในวิมานทองนั้น มีพระหฤทัยยินดี จึงตรัสถามถึงกรรมที่เทพบุตรนั้นกระทำ มาตลีเทพสารถีก็ได้ทูลบอกแด่พระองค์ว่า

    เทพบุตรนี้เป็นคฤหบดีอยู่ในเมืองสาวัตถี เป็นทานบดี ในกรุงสาวัตถีในกาลแห่งพระกัสสปพุทธเจ้าได้สร้างอาราม บ่อน้ำ สระน้ำ และสะพานได้ปฏิบัติพระอรหันต์ผู้เยือกเย็นโดยเคารพ ได้ถวายจีวร บิณฑบาตเสนาสนะ และคิลานปัจจัย ในท่านผู้ปฏิบัติซื่อตรง ด้วยจิตอันเลื่อมใสได้รักษาอุโบสถศีลอันประกอบด้วยองค์ ๘ ในดิถีที่ ๑๔ ที่ ๑๕ ที่ ๘ แห่งปักษ์ และในวันปาฏิหาริยปักษ์ เป็นผู้สังวรในศีล เป็นผู้สำรวมและบริจาคทานเป็นนิตย์ จึงมาบันเทิงในวิมาน พระเจ้าข้า

    ในเวลาที่มาตลีเทพสารถีทูลวิมาน ๘ เหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้ ท้าวสักกเทวราชทรงดำริว่า มาตลีประพฤติช้าเกิน จึงส่งเทพบุตรผู้ว่องไวแม้อื่นอีกไปด้วยเทวบัญชาว่า ท่านจงไปบอกแก่มาตลีว่า ท้าวสักกเทวราชเรียกหาท่านเทพบุตรนั้นไปโดยเร็ว แจ้งแก่มาตลีเทพให้ทราบ มาตลีเทพสารถีได้สดับคำแห่งเทพบุตรนั้น ดำริว่า บัดนี้เราไม่อาจจะชักช้า จึงแสดงวิมานเป็นอันมากพร้อมกันทีเดียว พระเจ้าเนมิราชตรัสถามถึงกรรมของเหล่าเทพบุตรผู้เสวยทิพยสมบัติในวิมานนั้นๆ มาตลีเทพสารถีก็ได้ทูลบอกแด่พระองค์ว่า

    เทพบุตรเหล่านี้เป็นสาวกของพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งเป็นนิยยานิกธรรม ในกาลก่อน เป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์ บำเพ็ญสมณธรรมอยู่ กระทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล ไม่อาจที่จะยังพระอรหัตให้บังเกิด จุติจากอัตภาพนั้นแล้ว เกิดในวิมานทองเหล่านี้ ข้าแต่พระราชา สถานที่เหล่านี้เป็นที่สถิตของสาวกของพระกัสสปพุทธเจ้าเหล่านั้นซึ่งพระองค์จะทอดพระเนตร ดังนั้น ขอเชิญพระองค์ทอดพระเนตรเถิดพระเจ้าข้า

    มาตลีเทพสารถีนั้นแสดงวิมานที่ลอยอยู่ในอากาศ แด่พระเจ้าเนมิราชอย่างนี้แล้ว เมื่อจะกระทำอุตสาหะเพื่อเสด็จไปสำนักของท้าวสักกเทวราชจึงทูลว่า

    ข้าแต่มหาราชเจ้าพระองค์ทอดพระเนตรที่อยู่ของเหล่าสัตว์นรกก่อนแล้วทรงทราบสถานที่อยู่ของผู้มีกรรมลามกทั้งหลาย อนึ่ง เมื่อพระองค์ทอดพระเนตรวิมานที่ลอยอยู่ในอากาศเหล่านี้ ก็ทรงทราบสถานที่อยู่ของผู้มีกรรมอันงามแล้ว ขอเชิญพระองค์เสด็จขึ้นทอดพระเนตรทิพยสมบัติในสำนักของท้าวสักกเทวราชในบัดนี้เถิด

    ก็แลครั้นทูลอย่างนี้แล้ว มาตลีเทพสารถีก็ขับรถเทียมด้วยม้าสินธพพันหนึ่งต่อไป แสดงสัตตปริภัณฑบรรพต ซึ่งตั้งล้อมสิเนรุราชบรรพต ในระหว่างมหาสมุทรสีทันดร เล่ากันว่า น้ำในมหาสมุทรนั้นละเอียด โดยที่สุดเพียงแววหางนกยูงที่โยนลงไป ก็ไม่อาจลอยอยู่ได้ ย่อมจมลงทีเดียว พระเจ้าเนมิราชทอดพระเนตรเห็นบรรพตเหล่านั้นแล้ว ตรัสถามมาตลีเทพสารถีว่า ภูเขาเหล่านี้ชื่ออะไร

    มาตลีเทพบุตรถูกพระเจ้าเนมิราชตรัสถามอย่างนี้แล้ว จึงทูลตอบว่า

    ข้าแต่มหาราชเจ้าภูเขานี้ชื่อสุทัสสนบรรพต อยู่ภายนอกภูเขาเหล่านั้นทั้งหมด ถัดภูเขาสุทัสสนะนั้น ชื่อภูเขากรวีกะ ภูเขากรวีกะนั้นสูงกว่าภูเขาสุทัสสนะ อนึ่ง ทะเลชื่อสีทันดรอยู่ในระหว่าง ๒ ภูเขานั้น ถัดภูเขากรวีกะ ชื่อภูเขาอิสินธระ ภูเขาอิสินธระนั้นสูงกว่าภูเขากรวีกะ อนึ่ง ทะเลชื่อสีทันดรอยู่ในระหว่าง ๒ ภูเขานั้น ถัดภูเขาอิสินธระ ชื่อภูเขายุคันธระ ภูเขายุคันธระนั้นสูงกว่าภูเขาอิสินธระทะเลชื่อสีทันดรอยู่ในระหว่าง ๒ ภูเขาแม้นั้น ถัดภูเขายุคันธระ ชื่อภูเขาเนมินธระ ภูเขาเนมินธระนั้นสูงกว่าภูเขายุคันธระ ทะเลชื่อสีทันดรอยู่ในระหว่าง ๒ ภูเขาแม้นั้น ถัดภูเขาเนมินธระ ชื่อภูเขาวินตกะ ภูเขาวินตกะนั้นสูงกว่าภูเขาเนมินธระ ทะเลชื่อสีทันดรอยู่ในระหว่าง ๒ ภูเขาแม้นั้น ถัดภูเขาวินตกะชื่อภูเขาอัสสกัณณะ ภูเขาอัสสกัณณะนั้นสูงกว่าภูเขาวินตกะ ทะเลชื่อสีทันดรอยู่ในระหว่าง ๒ ภูเขาแม้นั้น. ภูเขาทั้ง ๗ เหล่านี้ สูงขึ้นไปโดยลำดับในทะเลสีทันดร ดุจคั่นบันไดตั้งอยู่

    ข้าแต่มหาราชเจ้า ขอเชิญพระองค์ทอดพระเนตรภูเขาเหล่านี้ ซึ่งเป็นที่อยู่ของท้าวจาตุมหาราช (เทวดาผู้รักษาโลกประจำทิศทั้ง ๔ บางทีเรียกว่า ท้าวจตุโลกบาล ได้แก่ ท้าวธตรฐ ประจำทิศบูรพา ท้าววิรุฬหก ประจำทิศทักษิณท้าววิรูปักษ์ ประจำทิศประจิม ท้าวกุเวร ประจำทิศอุดร)
     
  19. ที่สุดขอบฟ้า

    ที่สุดขอบฟ้า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    55
    ค่าพลัง:
    +139
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="94%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=postbody vAlign=top>มาตลีเทพสารถีแสดงเทวโลกชั้นจาตุมหาราชแด่พระเจ้าเนมิราชอย่างนี้แล้ว ขับรถต่อไป แสดงรูปพระอินทร์ ซึ่งประดิษฐานล้อมซุ้มประตูจิตตกูฏ แห่งดาวดึงสพิภพ พระเจ้าเนมิราชทอดพระเนตรเห็นทวารนั้นแล้วตรัสถาม มาตลีเทพสารถีว่าประตูนี้เขาเรียกชื่อว่าอะไร มาตลีเทพสารถีก็ได้ทูลบอกแด่พระองค์ว่า

    ประตูนี้เขาเรียกชื่อว่าจิตรกูฏ เป็นที่เสด็จเข้าออกแห่งท้าวสักกรินทรเทวราช ประตูนี้เป็นประตูของเทพนคร กว้างยาวหมื่นโยชน์ซึ่งประดิษฐานอยู่บนยอดเขาสิเนรุราชอันงามน่าดู ปรากฏ มีรูปต่างๆ เช่น รูปพระอินทร์รายล้อมอยู่ เพื่อประโยชน์ในการอารักขา เสมือนป่าอันมีเสือโคร่งทั้งหลายรักษาดีแล้ว ข้าแต่พระราชาผู้แสวงหาคุณอันใหญ่ขอเชิญพระองค์เสด็จเข้าไปทางประตูนี้ เชิญเสด็จเหยียบภูมิภาคอันราบรื่นเถิด พระเจ้าข้า

    ก็แลครั้นทูลอย่างนี้แล้ว มาตลีเทพสารถีได้เชิญพระเจ้าเนมิราชเสด็จเข้าเทพนคร พระเจ้าเนมิราชนั้นประทับอยู่บนทิพยานเสด็จไป ได้ทอดพระเนตรเห็นเทวสภาชื่อสุธรรมา จึงตรัสถามมาตลีเทพสารถีว่าวิมานนี้เขาเรียกชื่อว่าอะไร มาตลีเทพสารถีก็ได้ทูลบอกว่า

    วิมานนี้เป็นเทวสภา เขาเรียกชื่อปรากฏว่าสุธรรมา งามวิจิตรรุ่งเรืองด้วยแก้วไพฑูรย์ มีเสาทั้งหลาย ๘ เหลี่ยมล้วนแล้วด้วยแก้วไพฑูรย์ทุกๆ เสา รองรับไว้ เทพเจ้าชาวดาวดึงส์ทั้งปวงแวดล้อมท้าวสักกรินทรเทวราช ประชุมคิดประโยชน์ของเทวดาและมนุษย์กันอยู่ในวิมานนั้น ข้าแต่พระราชาผู้แสวงหาคุณใหญ่ ขอเชิญพระองค์เสด็จเข้าไปยังทิพสถาน อันเป็นที่อนุโมทนากันและกันของเทวดาทั้งหลาย โดยทางนี้พระเจ้าข้า

    ฝ่ายเทวดาทั้งหลายนั่งคอยพระเจ้าเนมิราชเสด็จมา เทวดาเหล่านั้นได้ฟังว่า พระเจ้าเนมิราชเสด็จมาแล้ว ต่างก็ถือของหอมธูปเครื่องอบและดอกไม้ทิพย์ ไปคอยอยู่ที่ทางจะเสด็จมา ตั้งแต่ซุ้มประตูจิตตกูฏ บูชาพระมหาสัตว์ด้วยของหอมและบุปผชาติเป็นต้น นำเสด็จสู่เทวสภาชื่อสุธรรมา พระเจ้าเนมิราชเสด็จลงจากรถเข้าสู่เทวสภา เทวดาทั้งหลายในที่นั้นเชิญเสด็จให้ประทับนั่งบนทิพยอาสน์. ท้าวสักกเทวราชเชิญเสด็จให้ประทับนั่งบนทิพยอาสน์และเสวยทิพยกามสุข

    ท้าวสักกเทวราชเชิญเสด็จพระมหาสัตว์ให้เสวยทิพยกามารมณ์และให้ประทับบนทิพยอาสน์อย่างนี้ พระเจ้าเนมิราชทรงสดับดังนั้น เมื่อจะดำรัสห้ามจึงตรัสว่า

    สิ่งใดที่ได้มาเพราะผู้อื่นให้ สิ่งนั้นเปรียบเหมือนยวดยาน หรือทรัพย์ที่ยืมเขามา ฉะนั้น หม่อมฉันไม่ปรารถนาสิ่งนั้น เพราะเป็นสิ่งที่ผู้อื่นให้ บุญทั้งหลายที่หม่อมฉันได้ทำเอง ย่อมเป็นทรัพย์ที่จะติดตามหม่อมฉันไป หม่อมฉันจักกลับไปทำกุศลให้มากในหมู่มนุษย์ ด้วยการบริจาคทาน การประพฤติสม่ำเสมอ ความสำรวม และการฝึกอินทรีย์ (เพราะ) บุคคลทำบุญแล้ว ย่อมได้รับความสุข และย่อมไม่เดือดร้อนในภายหลัง

    พระมหาสัตว์ทรงแสดงธรรม ด้วยพระสุรเสียงอันไพเราะแก่เทวดาทั้งหลายอย่างนี้ เมื่อทรงแสดงประทับอยู่ ๗ วัน โดยการนับในมนุษย์ ยังหมู่เทพเจ้าให้ยินดีประทับอยู่ท่ามกลางหมู่เทวดานั่นเอง เมื่อจะทรงพรรณนาคุณแห่งมาตลีเทพสารถี จึงตรัสว่า

    ท่านมาตลีเทพสารถี ได้แสดงสถานที่อยู่ของทวยเทพผู้มีกรรมอันงามและสถานที่อยู่ของสัตว์นรกผู้มีกรรมอันลามกแก่เรา ชื่อว่า เป็นผู้มีอุปการะมากแก่เรา

    ลำดับนั้น พระเจ้าเนมิราชเชิญท้าวสักกเทวราชมาตรัสว่า ข้าแต่มหาราช หม่อมฉันปรารถนาเพื่อกลับไปมนุษยโลก ท้าวสักกเทวราชจึงมีเทวโองการสั่งมาตลีเทพสารถีว่า ท่านจงนำพระเจ้าเนมิราชเสด็จกลับไปในกรุงมิถิลานั้นอีก มาตลีเทพสารถีรับเทวบัญชาแล้วได้จัดเทียมรถไว้ พระเจ้าเนมิราชทรงบันเทิงกับหมู่เทวดาแล้วยังเหล่าเทวดาให้กลับ ตรัสอำลาแล้วเสด็จทรงรถ มาตลีเทพสารถีขับรถไปถึงกรุงมิถิลาทางทิศปราจีน มหาชนเห็นทิพยรถก็มีจิตบันเทิงว่า พระราชาของพวกเราเสด็จกลับแล้ว มาตลีเทพสารถีทำประทักษิณกรุงมิถิลา ยังพระมหาสัตว์ให้เสด็จลงที่สีหบัญชรนั้น แล้วทูลลากลับไปยังที่อยู่ของตนทีเดียว ฝ่ายมหาชนก็แวดล้อมพระราชาทูลถามว่าเทวโลกเป็นเช่นไร พระเจ้าข้า พระเจ้าเนมิราชทรงเล่าถึงสมบัติของเหล่าเทวดาและของท้าวสักกเทวราชแล้วตรัสว่า แม้ท่านทั้งหลายก็จงทำบุญมีทานเป็นต้นก็จักบังเกิดในเทวโลกนั้นเหมือนกัน แล้วทรงแสดงธรรมแก่มหาชน

    ครั้นกาลต่อมา พระมหาสัตว์เนมิราชนั้น เมื่อภูษามาลากราบทูลความที่พระเกศาหงอกเกิดขึ้น จึงทรงให้ถอนพระศกหงอกด้วยพระแหนบทองคำวางในพระหัตถ์ ทอดพระเนตรเห็นพระศกหงอกนั้นแล้วสลดพระหฤทัย พระราชทานบ้านส่วยแก่ภูษามาลา มีพระราชประสงค์จะทรงผนวช จึงมอบราชสมบัติแก่พระราชโอรส เมื่อพระราชโอรสทูลถามว่า พระองค์จักทรงผนวชเพราะเหตุไร เมื่อจะตรัสบอกเหตุแก่พระราชโอรส จึงตรัสว่า

    ผมหงอกที่งอกขึ้นบนเศียรของพ่อเหล่านี้ เกิดแล้วก็นำความหนุ่มไปเสีย เป็นเทวทูตปรากฏแล้ว สมัยนี้จึงเป็นคราวที่พ่อจะบวช

    พระเจ้าเนมิราชตรัสแล้ว เป็นเหมือนพระราชาองค์ก่อนๆ ทรงผนวชแล้วประทับอยู่ ณ อัมพวันนั้นนั่นเอง เจริญพรหมวิหาร ๔ มีฌานไม่เสื่อม ได้เป็นผู้บังเกิดในพรหมโลกฝ่ายพระราชโอรสของพระเจ้าเนมิราชนั้น มีพระนามว่ากาลารัชชกะ ตัดวงศ์นั้น (คือเมื่อถึงคราวพระศกหงอกและทราบแล้วหาทรงผนวชไม่)

    พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแสดงแล้ว ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น ที่ตถาคตออกมหาภิเนษกรมณ์ แม้ในกาลก่อน ตถาคตก็ออกมหาภิเนษกรมณ์เหมือนกัน ตรัสฉะนี้แล้ว ทรงประกาศจตุราริยสัจ แล้วประชุมชาดกว่า ท้าวสักกเทวราชในครั้งนั้นกลับชาติมาเกิดเป็นภิกษุชื่อ อนุรุทธะในกาลนี้ มาตลีเทพสารถีเป็นภิกษุชื่อ อานนท์ กษัตริย์ ๘๔,๐๐๐ องค์เป็นพุทธบริษัท ก็เนมิราชคือเราผู้สัมมาพุทธะนี่เองแล


    [​IMG] คติธรรม : บำเพ็ญอธิษฐานบารมี

    การหมั่นรักษาความดีประพฤติชอบโดยตั้งใจ โดยมุ่งมั่น หากทำความดีแล้วย่อมได้ดี ประพฤติชั่วย่อมได้ผลชั่วตอบแทน นี้เป็นเรื่องที่สมควรยึดมั่นโดยแท้




    >>>>> จบ >>>>>



    ........................................................

    คัดลอกมาจาก
    Home Main Page
     
  20. มุกไวด้า

    มุกไวด้า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    95
    ค่าพลัง:
    +264
    สาธุค่ะ เพิ่งทราบนะคะ เพราะว่าก่อนหน้านี้เวลาทำบุญจะไม่อธิษฐานเลย แต่ต่อไปนี้จะอธิษฐานทุกวันค่ะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...