เบื้องหลังภัยพิบัติของโลก ก็คือพวกเรา (หรือพวกมีพลังจิตแรงๆ) ที่ตอกย้ำภาพน่ากลัวให้กลายเป็นจริงหรือเปล่า ?

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย Gow27, 28 พฤษภาคม 2009.

  1. azuminami

    azuminami เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 เมษายน 2008
    โพสต์:
    177
    ค่าพลัง:
    +230
    อ่านทีแรกนึกว่าทันตแพทย์สม สุจีรา มาเองง 55+


    เอาเถอะ อะไรจะเกิดก้ต้องเกิด เรามีความตายเป็นธรรมดาหลีกเลี่ยงมิได้
     
  2. OLDMAN AND A CAR

    OLDMAN AND A CAR เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    824
    ค่าพลัง:
    +2,752
    ..ถามใครเอ่ย...ไม่มีเจ้าภาพ... ขอ ขอตอบไปเลยว่า ผล ก็ คือไม่ใช่ 50-50 หรือ เกิดไม่เกิด เท่าๆกัน ตามสูตรข้างบนนี้ ... แต่ ฝ่ายคิดดี ท่าจะแย่หน่อย...เพราะ ได้แต่คิด เฉยๆ ส่วน พวกทำชั่ว นี้ มาแรงเลย เพราะ ทำ ลูกเดียว อย่างที่คุณว่า... ตรองดูเอาเองก็ ละ กัน....ทำอย่างไร ได้ ก็ คุณถามมา แบบนี้...
     
  3. buucha

    buucha เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    26
    ค่าพลัง:
    +357
    ดูให้ออก ตรองให้ดี อย่างมีสติ
     
  4. somemaybe

    somemaybe เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2009
    โพสต์:
    218
    ค่าพลัง:
    +143
    ความคิดของคนต่อยอดได้
    คนก็ชอบต่อยอดความคิด

    บางทีคิดอยู่แล้วว่าดี ต่อไปต่อมา
    ต่อยอดกลายเป็นย่ำแย่ไปก็มี

    คนคิดแล้วก็ฟุ้ง ฟุ้งเพราะจินตนาการ
    ไร้กรอบ...

    เรื่องร้ายๆระดับโลก
    บางคนก็อยากให้เกิด บางคนก็ไม่อยาก

    เราว่า คงมีน้อยคนที่ได้รู้เห็นความคิดอะไรสักอย่าง...แล้วจะเฉยๆได้
    ยังไงก็ต้องคิดอะไรสักกะอย่างขึ้นมาหล่ะ

    ถ้านึกไปถึงกฏการสะท้อนสมัยที่เคยเรียน
    แรงของความคิดมีน้อย ก็คงกระเทือนน้อยๆ
    แต่ถ้าตะบะแก่กล้ามีวิชาอยู่มากโข
    อณูของอากาศก็คงสะท้านสะเทือนไปได้ไกลๆ

    หรือใครจะคิดว่า ความคิด ความเห็นของคน
    ต่อยอดเป็นสูญญากาศได้??


    สรุป เห็นด้วยที่ว่า โลกเป็นไปตามจิตส่วนรวม
    ^^*

    ปล..ใครจะไปรู้ พอคนเก่งๆหรือหน่วยงานระดับโลก
    เกิดคิดคาดการณ์ล่วงหน้า ประกอบร่วมด้วยกับคำทำนายหลายๆฝ่าย
    อาจคิดแก้ไข โดยทำให้บางสิ่ง กลายเป็นความเลวร้ายไปกว่าเดิม
    เพราะความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็ได้

    ก็เพราะความคิด ที่คิดต่อยอดจากสิ่งที่เป็นความคิด(เห็น) นี่แหละ




    .
    .
     
  5. kennek

    kennek เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2006
    โพสต์:
    2,163
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +17,232
    สื่อต่างๆที่ออกมาตีแผร่ กันอยู่ เกิดมาล้วนแต่มีมูลเหตุทั้งนั้นไม่ใช่เพียงแต่มาจากลมปาก พระที่ท่านทรงอภิญญา ท่านมีทิพจักขุญาณ เจตนาเตือนเพราะเมตตามนุษย์ ให้เร่งทำความดี และเตรียมรับมือ ไม่ใช่ทำให้คนกลัว และตื่นตระหนก

    เรื่องทั้่งหมดก็แค่นี้เองครับ

    ไม่มีอะไรเป็นปัญหา ไม่มีอะไรน่าตื่นตระหนก ทุกสิ่งดำเนินไปตามกลไลตามปกติ ทั้งผู้ส่งสาร ผู้รับสาร และผู้วิจารสาร
     
  6. kennek

    kennek เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2006
    โพสต์:
    2,163
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +17,232
    ตอนนี้ มี The top secret II ออกแล้วครับ ยังไม่ได้อ่านเลย
     
  7. Gow27

    Gow27 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    13
    ค่าพลัง:
    +19
    ข้อความโดยคุณ GOW 27
    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ยิ่งคุณคิดหมกมุ่นกับสิ่งใดมาก พลังงานที่เกิดจากความคิดแง่ลบ (หรือบวก) ก็จะดึงปรากฎการณ์นั้นๆ ให้เกิดขึ้นจริง ตามอำนาจของจิตนิยาม ที่อาศัยกลไกของกรรม เป็นปัจจัยร่วม ...
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    _______________

    ตอบนะครับ

    ถ้าคิดถึงความตายในแง่ลบ ก็มีแววให้ตายเร็วขึ้นได้แน่นอนครับ (มีใน 2 บรรทัดที่คุณ เสฏฐวุฒิ quote มาเอง)
    ว่าแต่ การเจริญ มรณานุสสติ เป็น กุศลหรืออกุศลครับ ?
    ถ้าเป็น กุศล มันจะเป็นแง่ลบได้ไหมครับ ?

    อันนี้พิจารณาเอง ก็จะได้คำตอบนะครับ

    ผมว่าผมเขียนละเอียดแล้ว แต่ส่วนใหญ่อ่านไม่ละเอียด
    ดังนั้น ขอความกรุณาอ่านทุกบรรทัดด้วยนะครับ -/\-
    _______________

    ต้องขออภัยด้วยครับ พอดีช่วงนี้ยุ่งๆ นิดหน่อยเลยไม่ได้กลับมารับผิดชอบกระทู้ เดี๋ยวจะมาทะยอยไล่อ่านและตอบต่อ thaxx
     
  8. Gow27

    Gow27 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    13
    ค่าพลัง:
    +19
    ตอบ :)

    _____________________

    ขออนุญาตตอบต่อเลยนะครับ พอดีเหลือบไปเห็นข้อความที่จำเปนต้องตอบ ก็เลยอยากรีบตอบ

    >>>แต่ผมจะบอกว่าแนวคิดที่ คุณคิดกับพวกเรามันผิด

    พวกเรานี่พวกไหนหรือครับ ผมไม่ได้กล่าวว่า ทุกคนที่มีพลังจิต หรือคนในเว็บพลังจิตนี่ 'ผิด' นะครับ

    >>>เราไม่ได้กลัวภัยพิบัติ เหมือนที่คุณกลัว

    ผมไม่ได้พูดว่า ผมกลัวหรือไม่กลับครับ ประเด็นนี้ไม่เคยเกิดขึ้นในการสนทนา ผมกำลังพูดว่า "ความกลัวของมนุษย์สามารถน้อมนำมาให้เกิดเหตุการณ์เลวร้ายได้จริงๆ ไหม?" ต่างหาก

    คุณต้องแยกแยะประเด็นให้ถูกครับ อย่านำเรื่องหนึ่งมาปนกับอีกเรื่อง ไม่งั้นเหตุผลและตรรกะจะผิดเพี้ยนไปหมด

    >>>และที่คุณบอกให้พวกเราในเว็บคิดแง่บวกมังล่ะ เป็นฆาตกรตัวจริงมั่งล่ะ ดูสิ่งที่พวกเราทำสิ วางลูกแก้ว วางพระในน้ำ สอนคนทำสมาธิ และเมตตาอัปมาณฌาน มันไม่บวกตรงใหน

    ถ้าคุณมีทัศนคติที่ดีต่อภัยพิบัติ คุณก็คงไม่จำเป็นต้องร้อนตัวจริงไหมครับ ? เพราะจิตที่เป็นกุศล ย่อมเกิดจากเจตนาที่เป็นกุศล และสิ่งที่คุณได้หยิบยกมาว่าพยายามทำอยู่นั้นก็ย่อมเป้นกุศล ดังนั้นก็อนุโมทนาในกรรมที่เป็นกุศลครับ

    ส่วนข้อเขียนผมนั้น อาจดูเป็นการเหมารวมไปบ้าง ก็ต้องขออภัยในส่วนนี้ที่ทำให้เกิดโทสะ (นิดๆ) แต่ทั้งนี้ตั้งใจจะเขียนให้ดูสะกิดใจสำหรับคนที่ยังไม่เข้ากฎแรงดึงดูดตามหลักพุทธศาสนาแล้วยังปล่อยพลังแง่ลบอยู่โดยไม่รู้ตัว

    >>>กฏของแรงดึงดูดก็บอกไว้ว่าพลังงานใดที่เราส่งให้จักรวาล จักรวาลจะสนองตอบพลังงานนั้นมามากกว่า ผมเติมให้ใช้กฏนี้ใหม

    กรรมทำลงไปเท่าใด ผลก็ย่อมกลับมาเท่าเดิมครับ ไม่มีส่วนใดเพิ่มขึ้น เว้นแต่บุคคลที่ 3 ที่เรากระทำนั้นจะมีบริสุทธิ์มากหรือน้อย ซึ่งก็ต้องแยกให้ตรงสภาพความเป็นจริง ระหว่างกฎแรงดึงดูดกับกฎแห่งกรรม เพราะมันส่วนที่ไม่ซ้อนทับกันอยู่เช่นกัน แต่ผมเลือกมาเฉพาะในส่วนที่มันสอดคล้องกับหลักปฏิจจสมุปบาทเท่านั้น ส่วนคุณจะเพิ่มเติมหรือแสดงทรรศนะสิ่งใด ควรดูให้ถูกวัตถุประสงค์ของกระทู้และความเป็นจริงด้วยครับ ว่ามันเป็นไปได้ไหม

    >>>ว่า พวกเรามีเท่าไร แล้วคนในโลกมีเท่าไร พวกเราคิดถึงมันว่าจะเกิด แล้วคนในโลกที่ไม่คิดถึงมัน ใช่ชีวิตอย่างเบียดเบียนโลก

    ต้องแยกแยะให้ถูกต้องด้วยครับ คิดแบบ 'วิภัชวาท' คือแยกประเด็น ไม่ใช่จับมารวบๆ ปนกันแล้วสรุปออกมาแบบเหมารวมตามทิฏฐิของตัว ... พระพุทธศาสนาไม่เคยสอนให้ใครรวบยอดโดยไม่เข้าใจรายละเอียดครับ

    ผมจะจาระไนรายละเอียดให้ดังนี้ครับ

    คนในโลกจำพวกแรกที่คิดกลัวภัย ---> มีส่วนผลักดันให้เกิดเรื่องร้ายแน่นอน (สมมุติให้พลังงานเป็น ลบ)
    คนจำพวกที่สองที่ไม่เคยคิดถึงมันเลย ---> ก็แสดงว่าเขาอาจไม่รับรู้ เมื่อไม่รับรู้ก็ย่อมไม่สร้างพลังงานลบ แต่ในขณะเดียวกัน ก็ไม่ได้สร้างพลังงานที่เป็น บวก เช่นกัน ดังนั้นพลังที่คนพวกนี้สร้างเกี่ยวกับภัยพิบัติ จึงเป็น กลาง หรือ ศูนย์ (0)

    แล้ว ลบ มาเจอกับ ศูนย์ จะเป็นเท่าไหร่ครับ ?
    (แน่นอนว่าต้องติดลบ อยู่ดี)

    แล้วคนอีกจำพวกที่ไม่คิดถึงภัย แต่ใช้ชีวิตอย่างเบียดเบียนโลก ---> นี่ก็เป็นอีกประเด็นครับ กรุณาแยกให้ถูกด้วย คนที่ทำตัวไม่รู้ไม่เห็น แต่ก็ใช้ชีวิตเบียดเบียนโลก ก็ไม่ได้ทำให้คนประเภทแรก (พวกที่มัวนั่งกลัว) กลายเป็นพลังงาน บวก ไปได้หรอกครับ ...

    คนสร้างกรรมชั่วทำลายโลกก็เป็นลบ พวกขลาดกลัวก็เป็นลบ ยิ่งพวกกลัวที่มีพลังจิตสูง ก็ยิ่งปล่อยพลังลบรุนแรงขึ้น ทีนี้หลายลบก็กลายเป็นซุปเปอร์ลบ ยิ่งฉุดกันเลวร้ายครับ ... ผมเลย งง ว่าคุณจะไปโทษแค่คนประเภทหลังทำไม ? ใครทำอะไรลบไว้ก็ยอมรับในส่วนของตนแล้วแก้ไขให้ดีขึ้นครับ ทางที่ถูกต้องที่สุดคือ อย่าให้มีลบเกิดขึ้นเลย

    >>>เราเบียดเบียนโลกเท่าไร แล้วคุณกินข้าวแล้วไปเรียน หรือทำงานทั้งวัน บอกผมมาสักข้อสิ ว่ามีอะไรที่เราที่เราคืนให้โลกมั้ง

    คุณเขียนบรรทัดนี้ ก็ด้วยความเข้าใจว่ากำลังโดนผมด่าหรือกล่าวหา ดังนั้นเมื่อผมได้ชี้แจงไปข้างต้นแล้วว่าไม่ได้เหมารวมคนที่มีทัศนคติถูกต้อง สิ่งที่คุณเขียนย่อมเป็นโมฆะ

    แต่ในฐานะคนธรรมะ (หรือคนเข้าใจกฎแรงดึงดูด) เวลาใช้คำว่า "เบียดเบียน" ต้องพิจารณา "เจตนา" เขาด้วยนะครับ
    ถ้าเป็นการกระทำทั่วๆ ไปซึ่งเขาทำตามชีวิตประจำวัน เช่น กินข้าว เดินทาง ขับถ่ายหรือสร้างเศษขยะ แล้วไม่ได้มีเจตนาเครียดแค้นหรือประทุษร้ายโลกโดยตรงด้วยจิตดังกล่าว กรรมนั้นย่อมไม่ถือเป็นอกุศลกรรมครับ หากเกิดผลร้ายตามมานั่นย่อมเป็นผลจากการขาดความรู้หรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์ และเมื่อทราบแล้ว ก็ปรับปรุงแก้ไขหรือกลับตัวกลับใจหรือทำสิ่งต่างๆ คืนให้โลกชดเชยสิ่งที่เคยทำผิดพลาดไปเพราะขาดความรู้...

    ต่างจากคนที่กลัวหรือคิดผิดๆ นั่นคือ อกุศลกรรม ซึ่งมาจาก โทสะมูลจิต โดยตรง

    คุณถามผมว่าทำอะไรคืนให้โลกมั่ง ถ้าคุณอ่านละเอียดคุณคงจะทราบแล้วน่าครับ ปัญหาคือคุณคงโดนโทสะครอบงำจนไม่คิดอ่านอย่างละเอียด

    >>>คุณมองภัยพิบัติแบบคุณกลัวตาย ไม่อยากให้เกิดขึ้น มองแบบมนุษย์ที่เห็นแก่ตัวคนหนึ่ง

    ใช้สติอ่านดีๆ นะครับ คนที่ถูกโทสะครอบงำแบบนี้ช่วยโลกได้ยากครับ ความคิดตัวเองคุณยังดูแลไม่ได้เลย ถึงได้เขียนแบบฟาดงวงฟาดงาไปเรื่อย แล้วผมบอกเหรอครับว่าผมกลัว หรือผมไม่ช่วยคน ... ขอย้ำเช่นเดิม กลับไปอ่านดีๆ เถิดครับ ผมเห็นคุณแสดงออกเช่นนี้ผมยิ่งรู้สึกหมดหวังในวุฒิภาวะของคนที่คิดจะทำการณ์ใหญ่ช่วยโลกยังไงก็ไม่รู้ -_-a

    >>>ผมคนหนึ่งล่ะที่ไม่คิดว่าตัวเองจะรอด แต่ถ้ารอดก็แล้วไป แต่ผมสนใจแค่ว่าเราตายไปใหน

    ไหนว่าเข้าใจกฎแห่งแรงดึงดูดไงครับ? ตกลงคิดว่าภัยพิบัติจะเกิดชัวร์เหรอครับ ?

    คำว่า "ผมสนใจแต่ว่าเราตายจะไปไหน" นี่สะท้อนความคิดถึงแต่แง่มุมของตัวเองอย่างปิดกั้นรึเปล่าครับ ? เปิดใจมองกว้างๆ ยอมรับความหวังดีของคนอื่นบ้าง ไม่ใช่แค่พวกคุณนะครับ ที่คิดจะช่วยโลกหรือถูกอยู่กลุ่มเดียว

    >>>เมื่อถึงวันนั้นจริงเราจะออกไปช่วยผู้คน

    อนุโมทนาในส่วนนี้ครับ :)

    >>>ลองศึกษาดูนะครับว่าที่ผมพูดจริงไม่จริง ดูที่เราทำ ว่ามีอันใหนมั่งที่ไม่เป็นประโยชน์ ไม่ใช่ดูที่เปลือก

    ผมจะต้องคิดอะไรอีกล่ะครับ ในเมื่อสิ่งที่คุณเขียนเกือบทั้งหมด มันไม่ได้ตรงประเด็นกับสิ่งที่ผมได้แสดงความเห็นในกระทู้นี้เลย ..

    >>>ผมว่ามีคนรู้ว่าจะเกิดเยอะิดีนะ จะได้ทำแต่ความดี คิดดี ฝึกสมาธิกันมากๆ หรืออีกอย่างดีกว่าน่าให้คนไม่ต้องรู้ไม่ต้องคิดว่าอะไรจะเกิด แล้วทำตัวเหมือนเดิม

    นี่ก็เช่นกัน ... เหอๆ
    .
    .
    .
    ก็ตอบไปตามเนื้อผ้านะครับ บอร์ดแสดงความเห็นย่อมมีความคิดที่แตกต่างกันบ้าง กระทบกระทั่วบ้าง เรื่องธรรมดาของคนที่ยังมีกิเลสอยู่

    แต่ที่ผมเป็นห่วงจริงๆ หลังจากได้อ่านบางความเห็นในกระทู้นี้ ก็คงเป็นชาวพุทธส่วนใหญ่ที่ยังขาดการศึกษา ความเข้าใจในพระธรรม และยังใช้อารมณ์ในการวินิจฉัยกรณีต่างๆ มากกว่าใช้ธรรมะของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างซื่อตรง ...
     
  9. Connex

    Connex สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    18
    ค่าพลัง:
    +8
    สนับสนุนคุณ Gow27 ครับ

    เพราะ จากที่ดูๆแล้วคนที่มาตอบ... ควรแยกแยะ ประเด็น ที่เขาสื่อน่ะว่า

    ประเด็นเปนอย่างไรและอ่านให้ เข้าใจก่อนจะ โต้ ... ไม่ใช่แบบโต้กระทู้ ไป ๆ มา ๆ

    โดยยังอ่านไม่ กระจ่าง น่ะครับ ..

    และอีกเรื่อง คือ อนาคตคือ ผล ของปัจจุบันที่ยังไม่เกิดขึ้น ...

    ดังนั้น ... ยังมีทางแก้ไขได้ ถ้าเราเริ่มสร้างจิตสำนึกรับผิดชอบต่อสังคมที่ดีกันตั้งแต่เวลานี้และช่วยๆกันกระจาย ข้อมูลและแนวทางที่ถูกต้อง น่ะครับ ...

    เชื่อว่า พวกเราทำได้ครับ ... สู้ๆ ทุกท่าน .../// สาธุ ///
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 มิถุนายน 2009
  10. runandyaow

    runandyaow Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    96
    ค่าพลัง:
    +65
    ก่อนอื่นต้อง ขอโทษคุณ Gow27 กับข้อความที่มีโทสะเจือปน ในโพสแรกครับ
    แต่ต่อไปนี้จะโต้แย้งทางแนวคิดเกียวกับเรื่องนี้ เหมือนมิตรคุยกัน
    ต้องยอมรับว่าทศนคติของเรา 2 คนต่างกันมากครับ ผมจะแจงเป็นข้อๆแล้วกันครับ
    1.>>>กฏของแรงดึงดูดก็บอกไว้ว่าพลังงานใดที่เราส่งให้จักรวาล จักรวาลจะสนองตอบพลังงานนั้นมามากกว่า ผมเติมให้ใช้กฏนี้ใหม

    กรรมทำลงไปเท่าใด ผลก็ย่อมกลับมาเท่าเดิมครับ ไม่มีส่วนใดเพิ่มขึ้น เว้นแต่บุคคลที่ 3 ที่เรากระทำนั้นจะมีบริสุทธิ์มากหรือน้อย ซึ่งก็ต้องแยกให้ตรงสภาพความเป็นจริง ระหว่างกฎแรงดึงดูดกับกฎแห่งกรรม เพราะมันส่วนที่ไม่ซ้อนทับกันอยู่เช่นกัน แต่ผมเลือกมาเฉพาะในส่วนที่มันสอดคล้องกับหลักปฏิจจสมุปบาทเท่านั้น ส่วนคุณจะเพิ่มเติมหรือแสดงทรรศนะสิ่งใด ควรดูให้ถูกวัตถุประสงค์ของกระทู้และความเป็นจริงด้วยครับ ว่ามันเป็นไปได้ไหม

    กฏของแรงดึงดูดนี้ผมศึกษาจากหนังสือของ แจ๊ก แคนฟิล และ เว็บไซด์ ต่างๆครับ
    มิได้มีส่วนใหนที่เติมแต่งเลย กฏนี้ผมศึกษาก่อนศึกษาธรรมซะอีกครับ แต่พอมาศึกษาธรรมและเทียบเคียงดูแล้ว กฏนี้เทียบไม่ติดกับธรรมของพระ
    พุทธเจ้า เป็นแค่ส่วนหนึ่งซึ่งน้อยมากเมื่อเปรียบกับธรรม และมีบางส่วนขาด
    และเกินจากธรรม เสริมแต่งตามแนวคิดอื่นมาอีก ผมจึงไม่เชื่อถือครับ


    2.>>>ว่า พวกเรามีเท่าไร แล้วคนในโลกมีเท่าไร พวกเราคิดถึงมันว่าจะเกิด แล้วคนในโลกที่ไม่คิดถึงมัน ใช่ชีวิตอย่างเบียดเบียนโลก

    ต้องแยกแยะให้ถูกต้องด้วยครับ คิดแบบ 'วิภัชวาท' คือแยกประเด็น ไม่ใช่จับมารวบๆ ปนกันแล้วสรุปออกมาแบบเหมารวมตามทิฏฐิของตัว ... พระพุทธศาสนาไม่เคยสอนให้ใครรวบยอดโดยไม่เข้าใจรายละเอียดครับ

    ผมจะจาระไนรายละเอียดให้ดังนี้ครับ

    คนในโลกจำพวกแรกที่คิดกลัวภัย ---> มีส่วนผลักดันให้เกิดเรื่องร้ายแน่นอน (สมมุติให้พลังงานเป็น ลบ)
    คนจำพวกที่สองที่ไม่เคยคิดถึงมันเลย ---> ก็แสดงว่าเขาอาจไม่รับรู้ เมื่อไม่รับรู้ก็ย่อมไม่สร้างพลังงานลบ แต่ในขณะเดียวกัน ก็ไม่ได้สร้างพลังงานที่เป็น บวก เช่นกัน ดังนั้นพลังที่คนพวกนี้สร้างเกี่ยวกับภัยพิบัติ จึงเป็น กลาง หรือ ศูนย์ (0)

    แล้ว ลบ มาเจอกับ ศูนย์ จะเป็นเท่าไหร่ครับ ?
    (แน่นอนว่าต้องติดลบ อยู่ดี)

    แล้วคนอีกจำพวกที่ไม่คิดถึงภัย แต่ใช้ชีวิตอย่างเบียดเบียนโลก ---> นี่ก็เป็นอีกประเด็นครับ กรุณาแยกให้ถูกด้วย คนที่ทำตัวไม่รู้ไม่เห็น แต่ก็ใช้ชีวิตเบียดเบียนโลก ก็ไม่ได้ทำให้คนประเภทแรก (พวกที่มัวนั่งกลัว) กลายเป็นพลังงาน บวก ไปได้หรอกครับ ...

    คนสร้างกรรมชั่วทำลายโลกก็เป็นลบ พวกขลาดกลัวก็เป็นลบ ยิ่งพวกกลัวที่มีพลังจิตสูง ก็ยิ่งปล่อยพลังลบรุนแรงขึ้น ทีนี้หลายลบก็กลายเป็นซุปเปอร์ลบ ยิ่งฉุดกันเลวร้ายครับ ... ผมเลย งง ว่าคุณจะไปโทษแค่คนประเภทหลังทำไม ? ใครทำอะไรลบไว้ก็ยอมรับในส่วนของตนแล้วแก้ไขให้ดีขึ้นครับ ทางที่ถูกต้องที่สุดคือ อย่าให้มีลบเกิดขึ้นเลย

    ข้อนี้ผมจะแยะดังนี้
    2.1คนในโลกจำพวกแรกที่คิดกลัวภัย ---> มีส่วนผลักดันให้เกิดเรื่องร้ายแน่นอน (สมมุติให้พลังงานเป็น ลบ)
    ไม่ได้เฉพาะความคิดนะครับที่ลบ การใช้ชีวิตประจำวันด้วย ครับ เดี๊ยวสรุปอีกทีนะครับว่ายังไง

    2.2คนจำพวกที่สองที่ไม่เคยคิดถึงมันเลย ---> ก็แสดงว่าเขาอาจไม่รับรู้ เมื่อไม่รับรู้ก็ย่อมไม่สร้างพลังงานลบ แต่ในขณะเดียวกัน ก็ไม่ได้สร้างพลังงานที่เป็น บวก เช่นกัน ดังนั้นพลังที่คนพวกนี้สร้างเกี่ยวกับภัยพิบัติ จึงเป็น กลาง หรือ ศูนย์ (0)
    รู้ไม่รู้ ก็ลบอยู่ดี เพราะถึงเขาไม่คิด ไม่รู้ ทางด้านกฏ คือ 0 ก็จริง แต่การใช้ชีวิตของเขาก็ ลบ อยู่ดี

    2.3แล้วคนอีกจำพวกที่ไม่คิดถึงภัย แต่ใช้ชีวิตอย่างเบียดเบียนโลก ---> นี่ก็เป็นอีกประเด็นครับ กรุณาแยกให้ถูกด้วย คนที่ทำตัวไม่รู้ไม่เห็น แต่ก็ใช้ชีวิตเบียดเบียนโลก ก็ไม่ได้ทำให้คนประเภทแรก (พวกที่มัวนั่งกลัว) กลายเป็นพลังงาน บวก ไปได้หรอกครับ ...

    คนสร้างกรรมชั่วทำลายโลกก็เป็นลบ พวกขลาดกลัวก็เป็นลบ ยิ่งพวกกลัวที่มีพลังจิตสูง ก็ยิ่งปล่อยพลังลบรุนแรงขึ้น ทีนี้หลายลบก็กลายเป็นซุปเปอร์ลบ ยิ่งฉุดกันเลวร้ายครับ ... ผมเลย งง ว่าคุณจะไปโทษแค่คนประเภทหลังทำไม ? ใครทำอะไรลบไว้ก็ยอมรับในส่วนของตนแล้วแก้ไขให้ดีขึ้นครับ ทางที่ถูกต้องที่สุดคือ อย่าให้มีลบเกิดขึ้นเลย
    ส่วนคนประเภทหลังนี้ คิดก็ลบ ชีวิตประจำวันก็ลบ แถมชั่วเห็นแก่ตัว กอบโกย
    เอาจากโลกอีก ลบยกกำลังเลยครับ จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่มีพลังงานลบเลย
    สรุปครับ ถึงคนจะร่วมกันคิดดียังไง แต่พลังงานมันก็ยังส่วนกระแสกับสิ่งที่เราทำ และสิ่งที่พยายามบอกให้ประหยัดพลังงาน รักษ์โลก หรืออะไรก็ตาม มันทำได้เพียง ชลอเหตุออกไปเท่านั้น ในเมื่อในชีวิตของเราทุกคนที่อยู่กันทุกวันนี้ ยังต้องใช้พลังงานจากโลก เช่น น้ำมัน แก๊ซ ไฟฟ้า ฯลฯ แล้วที่เราคืนให้โลกคือขยะ ของเสีย แก๊ซพิษ เราทุกคนมีส่วนร่วม คุณคิดดูขนม หรือปลากระป๊อง นั้นกว่าจะมาถึงเรานั้น
    ใช้พลังงานเท่าไร มันเป็นลูกโซ่ครับ

    อ้อมีวิธีหนึ่งที่จะหยุดภัยพิบัติได้ครับ คือให้เรากลับไปใช้ชีวิตแบบอิงธรรมชาติแบบเต็มตัว หยุดทุกอย่างที่เป็นการทำลายโลกทั้งทางตรงและทางอ้อม เช่นไม่มี ไฟฟ้า รถ
    สิ่งอำนวยความสะดวก เราทำกันได้หรือครับ จะช่วยโลกคิดดีไม่พอ ต้องทำให้ดี
    และแก้ไงของเก่าที่เสียด้วยครับ


    2.4อันนี้เสริมให้ครับอย่างพวกเรา ทั้งผมและคุณที่คิดช่วยโลกอยู่แม้จะเดินคนละสาย ก็ทำได้ แค่ผ่อนลงมานิดหน่อย นิดหน่อยจริงๆ เพราะการใช้ชีวิตของเราก็เหมือนทุกคน
    อาจจะเบาหน่อย ก็เหอะ


    3.>>>เราเบียดเบียนโลกเท่าไร แล้วคุณกินข้าวแล้วไปเรียน หรือทำงานทั้งวัน บอกผมมาสักข้อสิ ว่ามีอะไรที่เราที่เราคืนให้โลกมั้ง

    คุณเขียนบรรทัดนี้ ก็ด้วยความเข้าใจว่ากำลังโดนผมด่าหรือกล่าวหา ดังนั้นเมื่อผมได้ชี้แจงไปข้างต้นแล้วว่าไม่ได้เหมารวมคนที่มีทัศนคติถูกต้อง สิ่งที่คุณเขียนย่อมเป็นโมฆะ

    แต่ในฐานะคนธรรมะ (หรือคนเข้าใจกฎแรงดึงดูด) เวลาใช้คำว่า "เบียดเบียน" ต้องพิจารณา "เจตนา" เขาด้วยนะครับ
    ถ้าเป็นการกระทำทั่วๆ ไปซึ่งเขาทำตามชีวิตประจำวัน เช่น กินข้าว เดินทาง ขับถ่ายหรือสร้างเศษขยะ แล้วไม่ได้มีเจตนาเครียดแค้นหรือประทุษร้ายโลกโดยตรงด้วยจิตดังกล่าว กรรมนั้นย่อมไม่ถือเป็นอกุศลกรรมครับ หากเกิดผลร้ายตามมานั่นย่อมเป็นผลจากการขาดความรู้หรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์ และเมื่อทราบแล้ว ก็ปรับปรุงแก้ไขหรือกลับตัวกลับใจหรือทำสิ่งต่างๆ คืนให้โลกชดเชยสิ่งที่เคยทำผิดพลาดไปเพราะขาดความรู้...

    ต่างจากคนที่กลัวหรือคิดผิดๆ นั่นคือ อกุศลกรรม ซึ่งมาจาก โทสะมูลจิต โดยตรง

    คุณถามผมว่าทำอะไรคืนให้โลกมั่ง ถ้าคุณอ่านละเอียดคุณคงจะทราบแล้วน่าครับ ปัญหาคือคุณคงโดนโทสะครอบงำจนไม่คิดอ่านอย่างละเอียด

    ส่วนตรงนี้ผมไม่ได้เขียนเพราะว่าคิดว่าตัวเองถูกด่า แต่นี้เป็นความรู้สึกที่ผมคิดกับตัวเองเกียวกับภัยพิบัติ
    แล้วผมก็ได้คำตอบกับตัวเองว่าไม่มี ที่เราคืนให้โลก
    คิดว่าเราชดเชยให้โลกนั้นมันไม่พอ แค่ถมไนสิ่งที่เราทำกับโลกตั้งแต่เกิดจนโตแล้วมันไม่ได้แม้แต่
    1ใน100 วันนี้เราปิดไฟหนึ่งดวง แต่เราเปิดกี่ดวง เราขับลดไม่เกิน 90 เราก็ใช้น้ำมันอยู่ดี
    ่ชีวิตประจำวันของเราทำลายไปเท่าไร คำว่า ไม่เจตนา
    ไม่พอ ถ้าคุณศึกษาธรรมะคุณก็จะรู้ว่า ไม่เจตนา ทำร้าย
    หรือทำอะไรใครหรือสิ่งใด ถึงไม่มีกรรมต่อกันก็จริง ไม่ฉุดเราลงอบายภูมิ ก็จริง แต่ยังไงก็เป็น เวร ต่อกันอยู่ดี เป็นยังไง การกระทำใดๆที่เราไม่เจตนา แล้วทำให้ใครหรืออะไรเกิด เวทนา ทางใด ทางหนึ่ง ตัวคนที่โดน
    เจ็บ หรือเกิดความสูญเสียอยู่ดีถึงเราไม่เจตนาก็ตาม การที่เราทำกับโลกก็เหมือนกัน ไม่เจตนาก็มิได้หมายความว่าโลกจะไม่สูญเสีย แต่ถ้าเราคิดด้วยทำร้ายด้วย ก็มีทั้ง เวรทั้งกรรมไงครับ

    เสริมอีกนิดครับที่ผมเข้าใจข้อนี้ระเอียดเพราะพอดีเมื่อก่อนผมก็เคยคิดว่า ไม่เจตนาไม่ผิด แต่พอศึกษาข้อนี้อย่างระเอียด มันไม่ใช่อย่างที่ผมคิดครับ ไม่ใช่ว่าผมเก่งหรืออะไรหรอก หรือถ้าไม่แน่ใจว่าผมพูดมั่วหรือเปล่าก็ถามผู้รู้ในเว็บ หรือศึกษาเพิ่มเอาได้นะครับ และทางเดียวที่จะหลุดจากวงจรนี้ได้คือ นิพพานเท่านั้นครับ

    4.>>>คุณมองภัยพิบัติแบบคุณกลัวตาย ไม่อยากให้เกิดขึ้น มองแบบมนุษย์ที่เห็นแก่ตัวคนหนึ่ง

    ใช้สติอ่านดีๆ นะครับ คนที่ถูกโทสะครอบงำแบบนี้ช่วยโลกได้ยากครับ ความคิดตัวเองคุณยังดูแลไม่ได้เลย ถึงได้เขียนแบบฟาดงวงฟาดงาไปเรื่อย แล้วผมบอกเหรอครับว่าผมกลัว หรือผมไม่ช่วยคน ... ขอย้ำเช่นเดิม กลับไปอ่านดีๆ เถิดครับ ผมเห็นคุณแสดงออกเช่นนี้ผมยิ่งรู้สึกหมดหวังในวุฒิภาวะของคนที่คิดจะทำการณ์ใหญ่ช่วยโลกยังไงก็ไม่รู้ -_-a

    ยอมรับผิดเต็มประตู T_T ขอโทษอีกทีครับ ผมคนเดียวนะครับผิด

    5.>>>ผมคนหนึ่งล่ะที่ไม่คิดว่าตัวเองจะรอด แต่ถ้ารอดก็แล้วไป แต่ผมสนใจแค่ว่าเราตายไปใหน

    ไหนว่าเข้าใจกฎแห่งแรงดึงดูดไงครับ? ตกลงคิดว่าภัยพิบัติจะเกิดชัวร์เหรอครับ ?

    คำว่า "ผมสนใจแต่ว่าเราตายจะไปไหน" นี่สะท้อนความคิดถึงแต่แง่มุมของตัวเองอย่างปิดกั้นรึเปล่าครับ ? เปิดใจมองกว้างๆ ยอมรับความหวังดีของคนอื่นบ้าง ไม่ใช่แค่พวกคุณนะครับ ที่คิดจะช่วยโลกหรือถูกอยู่กลุ่มเดียว

    ก็เพราะผมเข้าใจมันไง ถึงคิดว่ายังไงก็เกิดแน่ๆ ภัยพิบัติน่ะ แต่ถ้าความเข้าใจของคุณคือ ถ้าเข้าแล้วต้องเชื่อตามนั้นทุกอย่างผมก็ขอไม่เข้าใจดีกว่าครับ
    เพราะสิ่งที่ผมเข้าใจนั้น กฏแรงดึงดูดนั้นไม่ได้มีแค่คิดดีๆ เท่านั้นแต่ต้องลงมือทำอย่างสุดความสามารถ และถ้าสุดความสามารถก็ต้องตัดส่วนที่ทำลายออกให้หมด อยู่กับธรรมชาติ ผมถามหน่อยว่าพวกเราทุกคนรวมผมด้วยนะ กลับหลังได้ใหมครับ ถ้าได้ผมก็จะคิดว่าภัยไม่เกิด 100%


    บางทีเราพวกเราก็ควรจะยอมรับผลนะครับ ลองคิดง่ายๆ ถ้าเรา
    เป็นโรคเราจะรักษาใหม เอามะเร็งแล้วกัน ถ้าเราเป็น
    เราจะสงสารมะเร็งมันใหม จะคิดใหมว่าถ้าเรากำจัดมันมันจะตาย
    ถ้าเรารู้ว่าเราเป็นเราจะเอาไว้ใหมเจ้าตัวเนี้ย
    ผมว่ามนุษย์เราก็เหมือนมะเร็งที่เกาะกินและทำลายโลก
    ถ้าโลกจะตัดเราทิ้งก็ไม่ใช้เรื่องแปลกคิดดูมีสิ่งมีชีวิตชนิดใหนบ้างทำลายโลกได้เท่ามนุษย์
    ถ้าอ้างว่ารักษ์โลกก็ปล่อยเขาทำสิ่งที่ถูกต้องที่สุดเถอะครับ
    ไม่งั้นมันก็ไม่พ้นคำว่ารักตัวเองเลย ตรงนี้อาจจะแรงไปหน่อย แต่ในความคิดส่วนตัวผมว่ามันจริง ถ้าผิดยังไงผมขอรับคำติเตียนแล้วขออภัยอย่างสูงครับ อยากเขียนมากเลยคำนี้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 มิถุนายน 2009
  11. Likely

    Likely เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    4,151
    ค่าพลัง:
    +3,821
    มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ทำให้โลกขาดสมดุลมานานมากแล้ว
    มนุษย์ฆ่าล้างสายพันธุ์ต่างๆไปบนโลกมากแล้ว
    ทำไมจะไม่ได้ หากมนุษย์จะมีกรรมมาสนองตน
    คุณ Gow27 ช่วยแยกสีระหว่างข้อความอ้างอิง และความคิดเห็นส่วนตัว
    เพื่อเป็นการให้เกียรติ กับข้อความของผู้อื่นด้วย สาธุ
     
  12. runandyaow

    runandyaow Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    96
    ค่าพลัง:
    +65
     
  13. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,116
    ค่าพลัง:
    +62,425
    เบื้องหลังภัยพิบัติของโลก ก็คือพวกเรา (หรือพวกมีพลังจิตแรงๆ)
    ที่ตอกย้ำภาพน่ากลัวให้กลายเป็นจริงหรือเปล่า ?
    ---------------------------------------------------------------

    มาเห็นกระทู้ที่น่าสนใจจากคุณ Gow 27 เข้าพอดีครับ


    แน่นอนครับว่าเบื้องหลังของภัยพิบัติย่อมเกิดขึ้นจากจิตสำนึกรวมหมู่ของมนุษย์ที่มีความบกพร่องจนเป็นพลังงานด้านลบที่ค่อยๆสะสมก่อตัวขึ้นมายาวนานนับหมื่นๆปีหรือที่เราเรียกว่า"ผลกรรมจากอดีต"นั่นล่ะครับ และเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ก็อาจคืบคลานเข้ามาใกล้จนประชิดขนตาแล้วก็ได้ เพราะมัน (อาจ) ถึงเวลาที่ธรรมชาติต้องสะสางอีกครั้งนึง เพื่อให้โลกเดินหน้าต่อไปได้ในรูปแบบใหม่ที่เราและนักวิทยาศาสตร์โลกก็คาดไม่ถึง เหมือนที่เคยเกิดขึ้นนับครั้งไม่ถ้วนจากหลักฐานเก่าๆในอดีตที่หลงเหลือให้เห็นกันอยู่ครับ

    แต่ก็เชื่ออีกว่า "พลังแห่งปัจจุบัน" ที่เป็นจิตสำนึกในแง่บวกก็สามารถเปลื่ยนแปลงแก้ไขบรรเทาลงได้เช่นกัน เนื่องจากกรรมมีความเป็นปัจจุบันทันด่วนกว่าที่เราคิดครับ เหตุว่าเราทุกคนยังติดอยู่ในมิติของ เครื่องพรางนี้ (หมายถึงระยะทาง-ช่องว่าง-กาลเวลาหนึ่งๆ) จนดูเหมือนมี อดีต-อนาคตอยู่จริงๆ

    เมื่อใดก็ตามที่เรามีความเบิกบานใจ คิดและกระทำสิ่งใดๆด้วยความรัก - ความจริงใจและการเกื้อกูลต่อกันด้วยหัวใจอันแท้จริงนี่แหละ จะเป็นเครื่องจรรโลงโลกนี้ให้สงบสุขและเกิดสันติภาพขึ้นได้ไม่มากก็น้อย ภาพแห่งอนาคตจะเกิดขึ้นตาม "กฎแห่งแรงดึงดูด" เพราะความคิดของเราแต่ละคนเหมือนแบบพิมพิ์เขียวดีๆนี่เองครับ หากคิดถึงเรื่องดีๆมันก็ดึงดูดจะชักนำประสบการณ์ที่ดีนั้นๆเข้ามาสู่ชีวิตไม่ช้าก็เร็ว แต่หากวิตกกังวลหรือจดจ่อเรื่องร้ายๆมากเกินไป ก็อาจตกเป็นเหยื่อของจิตชั่วร้ายทั้งหลายที่คอยหลอกล่อให้เราหลงทางไปได้อีกเหมือนกัน


    ส่วนว่าภัยจะเกิดหรือไม่นั้น?.....คิดว่ายังพอมีทางเลือกอยู่บ้างครับ...

    สิ่งที่น่าเป็นห่วงที่สุดตอนนี้เป็นเรื่องของศืลธรรมครับ เนื่องจากเดี๋ยวนี้ใครๆก็คิดและทำเพื่อความสะดวกสบายตามกระแสของโลกในยุคนี้กันทั้งนั้น จึงกอบโกยเอาจากธรรมชาติหรือจากเพื่อนมนุษย์อย่างขาดสติ-ไร้จิตสำนึกจนเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้วสำหรับยุคนี้ ผลจึงมองเห็นกันอยู่ครับ ทั้งสภาวะโลกร้อน -น้ำหลาก อดอยาก -ขาดแคลน ไปจนถึงสงคราม ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนอย่างนึง


    ถ้าศืลธรรมของมนุษย์โลกใบนี้หย่อนยานลงเมื่อไหร่ เป็นเรื่องที่น่าคิดและมีโอกาสสูงครับ อาจเป็นเรื่องของความขัดแย้งจนก่อเกิดสงครามใหญ่ขึ้น (อาจเป็นสงครามครั้งสุดท้ายของมนุษย์ก็ได้..) แน่นอนว่าคงไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น..แต่ยังไงซะก็เชื่อว่าโลกนี้จะอยู่ต่อไปและข้ามพ้นไปสู่ความเปลื่ยนแปลงที่ดียิ่งขึ้นกว่าเดิมอย่างแน่นอน..ธรรมชาติเค้าจะจัดการแก้ไขความสมดุลย์จนได้..สบายใจได้ครับ


    ดังนั้นเวลาที่มีเหลืออยู่ก็อย่าประมาทกันครับ สิ่งต่างๆในยุคนี้นั้นแฝงไปด้วยความอันตรายต่อจิตวิญญาณอย่างมากมาย มันหลบซ่อนอยู่โดยที่เราเองก็ไม่ได้เฉลียวใจ มันค่อยๆเปลี่ยนทัศนคติให้คล้อยตามมันไปทีละเล็กทีละน้อย ซึ่งมีทั้งเด็กๆที่บริสุทธิ์และคนจำนวนมากได้ตกเป็นเครื่องมือมันไปโดยแทบไม่รู้ตัว


    ชักจะยาวไปหน่อย แต่เอาเป็นว่าทุกๆมุมมองก็ไม่เห็นมีใครผิดเลยสักคน
    มองเห็นทัศนะคติอันลุ่มลึกของแต่ละท่านก็อ่านสนุกและได้ความรู้ดีครับ
    ขึ้นอยู่กับเจตนาและทางเลือกอันหลากหลายของพวกเราทุกคนที่หวังดีต่อกัน
    เป็นโลกแห่งทางเลือกเสรีและการแบ่งปันจริงๆครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 มิถุนายน 2009
  14. ถิ่นธรรม

    ถิ่นธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    1,824
    ค่าพลัง:
    +5,398
    เรื่องนี้น่าสนใจมากครับ อย่างที่ท่านเจ้าของกระทู้ว่าไว้ การสร้างภาพภัยพิบัติและหมกมุ่นกับความคิดนี้มากเกินไป บางครั้งได้ก่ออกุศลจิตขึ้น บางคนเป็นคนพยากรณ์ เมื่อพูดไปแล้วก็มักลุ้นให้เกิด บางคนฟังคำพยากรณ์แล้วเชื่อก็มักคิดว่าเมื่อไรมันจะเกิดสักทีหนอ เบื่อรอแล้วอยากให้เกิดเร็วๆ ความคิดพวกนี้เป็นบาป เพราะคิดไปแง่ลบอยากให้เกิดภัยให้คนตายมากๆ โดยไม่รู้ตัว
    ผลจากอกุศลจิตนี้จะเป็นอย่างไร มีวิบากอย่างไร แน่นอนว่ากรรมทุกอย่างย่อมมีผล แม้มโนกรรมที่ละเอียดอ่อนเล็กน้อยแบบนี้ก็มีผลเหมือนกัน ยิ่งนักพยากรณ์และสาวกเหล่านี้มักทำบุญอยู่เสมอๆเนื่องกับเรื่องภัยพิบัติ ก็ยิ่งเสริมความเป้นไปได้ที่จะทำให้ตนเองต้องพบเหตุการณ์ภัยพิบัติแบบที่ตนเองมักนึกถึง อยากได้อย่างไรก็ได้อย่างนั้น
    ผลก็คือ แม้ในภพนี้จะไม่เกิดภัยพิบัติใดๆ แต่มโนกรรมที่ปรุงแต่งไว้ในจิต จะไม่หายไปไหน ถึงคราวส่งผลจะดึงดูดให้ไปเกิดในยุคที่เกิดภัยพิบัติจริงๆ และจะได้เป็นผู้กู้โลกสมใจปรารถนาตามบุญกุศลที่สั่งสมไว้
    ดังนั้น ผู้ที่เชื่อว่าจะเกิดภัยพิบัติมีหลักปฏิบัติดังนี้ คือ "รู้ก็สักแต่ว่ารู้" ไม่ปรุงแต่งในทำนองลุ้นให้เกิด ผู้ที่เชื่อเกือบทั้งหมดในเว็บนี้มักมีอาการลุ้นให้เกิดจริงๆสักที บางคนก็เร่งอยากให้เกิดเร็วๆ รู้หรือไม่ว่าเป็นการสร้างผังให้พบเจอกับภัยพิบัติไปทุกภพชาติ จึงควรเลิกพฤติกรรมเหล่านั้นทั้งหมด
    ยุคที่เกิดภัยไม่ใช่ยุคที่เหมาะกับการปฏิบัติธรรม หรือสร้างกุศลใดๆ ไม่ใช่ยุคที่สมควรมาเกิดด้วยซ้ำไป เพราะยุกที่เกิดภัยมักเกิดเมื่ออกุศลกรรมเต็มเปี่ยม ในยุคที่ไม่มีพระพุทธศาสนา ย่อมไม่มีสิ่งยึดเหนี่ยว คนที่บารมีน้อย ย่อมถูกกระแสสังคมพัดพาไปเบื้องต่ำ การไปเกิดในยุคแบบนั้น ก็คือภัยใหญ่หลวงแล้ว ทางที่ดีอธิษฐานให้เกิดในสมัยพุทธกาลดีกว่า
     
  15. Likely

    Likely เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    4,151
    ค่าพลัง:
    +3,821
    นั่งอ่านพระไตร ยังได้บุญมาก
    กลัวมากก็เตรียมตัวเอาไว้ค่ะ บุญรักษาแน่นอน

    โครงการอ่านพระไตรฯ ช่วยโลก
    มาอ่านพระไตรปิฏก สะสมบุญกันค่ะ^^ >>>>>> รับสมัคร คนอ่านพระไตรปิฎกเสียง ขอเชิญมาลงชื่อไว้ก่อน
    ดูตัวอย่างของเพื่อนๆๆค่ะ >>
    > พระไตรปิฎก เสียงอ่าน
     
  16. runandyaow

    runandyaow Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    96
    ค่าพลัง:
    +65
    ดูก่อน อานนท์ เธอคิดถึงความตายกี่ครั้ง ลองฝึกธรรมข้อนี้ให้เข้าถึง แล้วจะเห็นว่าภัยพิบัติต่างๆ มันก็แค่นั้น ธรรมดา จะเกิดไม่เกิดก็
    ไม่แปลก ใจสงบ ลองดูครับ
     
  17. Tossaporn K.

    Tossaporn K. เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    1,565
    ค่าพลัง:
    +7,747
    กฏแห่งกรรมรวมหมู่ที่เกิดขึ้บนโลกใบนี้กำลังเดินเครื่องการตอบสนองแห่งผลกรรมที่มนุษย์ต้องรับ กระแสแห่งอกุศลจิตก็ไม่ได้ไปช่วยเร่งเวลาการเกิดเหตุให้เร็วขึ้น กระแสแห่งกุศลจิตก็ไม่ได้ช่วยให้ยืดเวลาการเกิดเหตุให้ช้าลง เพียงแต่ถ้ารู้แล้วว่ามันจะต้องเกิด ตัวเราเองจะหันกลับมามองสาระสำคัญของการมีชีวิตอันน้อยนิดนี้หรือไม่ และเ ราจะบริหารจัดการกับชีวิตเราอย่างไร ถึงเวลาต้องมาเรียนธรรมะของพระพุทธองค์ได้หรือยัง ถึงเวลาต้องลงมือปฏิบัติเพื่อเข้าถึงธรรมะของพระพุทธองค์ได้หรือยัง ก็แค่นั้นเองไม่เห็นต้องเป็นกังวลไปเลยว่าอกุศลจิตมันไปช่วยเร่งเวลาการเกิดเหตุให้เร็วขึ้น หรือกระแสแห่งกุศลจิตจะช่วยให้ยืดเวลาการเกิดเหตุให้ช้าลง ไม่ต้องส่งจิตออกข้างนอกดีที่สุด
     

แชร์หน้านี้

Loading...