สงสัยร่างกายต้องการหรือจิตต้องการกันแน่

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย Success2, 18 มิถุนายน 2009.

  1. Success2

    Success2 สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    5
    ค่าพลัง:
    +0
    เคยได้ยินว่าถ้าร่างกายหิวก็หาให้มันกินเพื่อร่างกายจะได้มีแรงตัวที่หิวนี่คือร่างกายหรือว่าจิตเราครับ ถ้าถ้าร่างกายมันต้องการทางด้านกามารมณ์ร่างกายต้องการหรือว่าจิตต้องการครับขอความรู้ด้วยครับ
     
  2. VERAJAK

    VERAJAK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    998
    ค่าพลัง:
    +1,579
    คุณต้องเข้าใจก่อนว่าร่างกายของมนุษย์หรือสัตว์เดียรฉานนั้นประกอบขึ้นมาด้วยดิน นำ ลม ไฟ สี่อย่างนี้เท่านั้น ร่างกายเป็นธาติทั้งสี่ แล้วจิตไปอาศัยอยู่ คุณดูคนที่ตายซิครับเค้านอนนิ่งๆไม่หิวไม่มีกามารมณ์ใดๆทั้งสิ้นนอนเฉยๆส่วนเราที่ยังไม่ตายกลับสามารถทำอะไรก็ได้นั้นคือจิตที่ต้องการแล้วสั่งมาที่ร่างกายครับเพราะฉะนั้นเมื่อหิวข้าวคือธรรมชาติอย่างหนึ่งที่เราต้องกินเพื่อให้ร่างกายอยู่ได้พระพุทธองค์จึงสอนว่าให้สักแต่กินเพื่อความอยู่รอดของร่างกายอย่าใช้อารมณ์ในการกินคืออร่อยหรือไม่อร่อยให้กินเพื่ออยู่ครับส่วนกามารมณ์นั้นเป็นกามเป็นกิเลสจริงๆแล้วมนษย์นั้นมีผิวหนังชั้นนอกปกปิดถ้าถอดร่างเป็นชิ้นๆที่ละอย่างจนครบสามสิบสองอย่างแล้วมีอะไรสวยบ้างมีอะไรน่าดูบ้างมีอะไรงามบ้างแล้วเราไปหลงใหลความงามตรงไหนไปมีกามารมณ์ตรงไหนละทุกอย่างต้องมีสติในการรู้เท่าทันตามความเป็นจริงพระพุทธองค์ทรงสอนไว้หวังว่าคุณคงเข้าใจนะครับสมาธิสติปัญญาเป็นเครื่องมือในการเดินตามทางที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้
     
  3. หลบภัย

    หลบภัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    2,207
    ค่าพลัง:
    +3,123
    แล้วคุณว่า ระหว่าง ร่างกายเรา กับจิตเรา อันไหน เป็นบ่าวอันไหนเป็นนายล่ะ
    อันไหนเกิดอุปทานจากขันธ์ ตามดู ไม่ไปเติมรู้ กิเลิศและตัญหา มันจะลดไปเอง
    ร่างกายมันจะเรียกร้องตามธรรมชาติ แต่จิตจะทำหน้าที่เข้าใจธรรมชาติ
    หากเรารู้ และใช้มันให้สัมพันธ์กัน โดยไม่เข้าไปยึด วิปัสสนาเท่านั้นที่จะช่วยในเรื่องนี้ได้

    เอาเท่านั้น
     
  4. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    ไม่ใช่ทั้งกาย และจิตที่มันหิวหรอก

    กาย และ จิต มันมีธรรมชาติแบบโลกๆ ของมันที่จะต้องวนเวียนกับสิ่งเหล่านั้น


    มันมีสิ่งหนึ่งที่แทรกอยู่ ไปแลเห็นความปรกติแบบโลกๆ นั้น แล้วฉวยมาดู พอ
    ฉวยมาดูก็เกิดความคิด ดำริขึ้นว่าเป็นตัวเป็นตน

    พอเกิดความคิดว่ามีตัวมีตน ก็รักใคร่หวงแหนเอาไว้ ที่หวงแหนเอาไว้ก็เพราะกลัวว่า
    ตัวตนที่ฉวยมานั้นมันจะหายไป ทำให้เกิดการดิ้นรนต่างๆ นานา ที่จะรักษา ทำทุก
    อย่างเพื่อบำเรอหล่อเลี้ยงความคิดที่จะมีตัวตนนั้นไว้

    กิน..ก็เพื่อให้กายธาตุมันธำรงค์ ดูมั่นคง พอมั่นคง ก็สนองการรักตัวรักตนไว้ได้
    โดยผ่านกาย

    กามอารมณ์..ก็คล้ายการกินนั่นแหละ...แต่มันสนองความรู้สึกรักตัวรักตนไปตรงๆ
    สนองการรักตัวรักตนไว้ได้โดยผ่านจิต

    เมื่อกลัวว่าวันหนึ่ง กายที่กินนั้นเผลอไปกินพลาด มันไม่มั่นคง ก็เริ่มส่งออกนอก ไป
    อิงอาศัยความเห็นผิดในการมีตัวตนอย่างเดียวกันจากธรรมข้างนอก มาลวงกันและ
    กันด้วยการหิว "สิ่งมาดูแลตน"

    หากผูกพันกันจนมีโซ่ทอง ก็ใช้โซ่ทองนั้นร้อยรัดธรรมภายนอกไม่ให้ไปจากตน แล้วก็
    หวังโซ่ทองซึ่งเป็นธรรมภายนอกที่เกิดซ้อนขึ้นมาอีกนั้นมาดูแลตนยามที่ชรา ดิ้นรน
    ทุกอย่างก็เพื่อให้ได้อยู่กับความรักตัวตนนั้นคงอยู่

    สนองอัตตา เซิรฟความเห็นในการมีตวมีตนทั้งสิ้น

    โดยไปพึ่งพิงอาศัยกระบวนการทางธรรมชาติ "การหิว" ที่มันมีเป็นธรรมดาของสรรพ
    สิ่งที่มีความไม่เที่ยง เกิดขึ้น(ชาติ) และมีการเสื่อม(ชรา) แล้วมีการบำรุง เพื่อขณะที่
    สูญสลายไปแล้ว(มรณะ) ก็จะได้หมุนขึ้นมาใหม่หากมีการเติมเชื้อด้วยการกิน การกาม
    เอาไว้ อาศัยทั้งสิ่งภายใน ภายนอก เพื่อวนเวียนว่าย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 มิถุนายน 2009
  5. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424

    กายเกิดเป็นเรื่องธรรมชาติ มันพร้อมของมันเสมอ อย่าลืมว่า เราเกิดในกามาพจรภพ ภพที่เกิดขึ้นด้วยอำนาจของกาม ฉะนั้นมันต้องพร้อมโดยสภาพ แต่จิตเราจะอินจะหลงกับมันหรือไม่นั่นแหละสำคัญ ถ้าอินหลงอาการทางกาย มันก็ปรุงต่อ (ส่วนมากมันปรุงเสียจนเคยชิน จนเป็นออโต้ไปซะแล้ว เราดูไม่ทันเอง)

    บางทีความคิดจรมาแหย่ เผลอคิดถึงเรื่องอย่างว่า กายมันก็เกิด เกิดแล้วรู้ไม่ทัน ก็ปรุงจากอาการกายนั้นแหละต่อไป ๆ ๆ ๆ ...
     
  6. 2ชาติตรัสรู้

    2ชาติตรัสรู้ គ្រប់គ្រាន់ รักษาดวงใจ.គ្រប់គ្រាន់

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,696
    ค่าพลัง:
    +1,558
    ขอตอบ ความหิว เป็นการแสดงของร่างกาย แต่จิตไปรับรู้เพราะ . . .

    ความต้องการกามารมณ์ เป็นความต้องการทางจิต และส่งไปที่กายเพราะ . . .
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 มิถุนายน 2009
  7. 2ชาติตรัสรู้

    2ชาติตรัสรู้ គ្រប់គ្រាន់ รักษาดวงใจ.គ្រប់គ្រាន់

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,696
    ค่าพลัง:
    +1,558
    ขอตอบว่า ไม่รู้ . . . หุหุ(sing)
     
  8. 2ชาติตรัสรู้

    2ชาติตรัสรู้ គ្រប់គ្រាន់ รักษาดวงใจ.គ្រប់គ្រាន់

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,696
    ค่าพลัง:
    +1,558
    แล้วทำยังไงหละ
     
  9. 2ชาติตรัสรู้

    2ชาติตรัสรู้ គ្រប់គ្រាន់ รักษาดวงใจ.គ្រប់គ្រាន់

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,696
    ค่าพลัง:
    +1,558
    คิดไม่ออกงะ บอกมาตรงๆเลยดีฝ่า เพ่
     
  10. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ร่างกาย และจิตใจ มันเป็นระบบที่ธรรมชาติสร้างมา
    เกื้อหนุนซึ่งกันและกัน เพื่อการรักษาชีวิตและการดำรงค์อยู่ของชีวิต

    ร่างกาย ต้องได้รับอาหารเพื่อความอยู่รอด แต่ควรจะได้รับเท่าไร
    ได้รับเมื่อไร ถ้าร่างกายไม่มีระบบคอยเตือน ไม่มีระบบรับรู้ขีดจำกัด
    มันก็กินมากเกินไป หรือ ไม่รู้เวลากิน ทีนี้จิตใจเราที่เป็นธาตุรู้ เป็นระบบ
    ควบคุมหรือเรียกว่าซอร์ฟแวร์ควบคุม ถ้ามันทำงานเป็นปกติ รู้หน้าที่
    รู้เวลา มันตั้งมาเป็นระบบสัญชาติญาณ เหมือนเด็กแรกเกิด มีอาการ
    หิวเกิดจากการหลั่งเคมีน้ำย่อย ก็ต้องมีระบบควบคุมใช่ไหม มันอัตโนมัติ
    ธรรมชาติเขาสร้างมาให้ ก็จะร้องไห้ เพื่อบอกว่าร่างกายต้องการอาหาร
    พอได้อาหาร พอสมควรแก่ร่างกายก็หลั่งสารเคมีในสมองทำให้รู้สึกอิ่ม
    ก็จะหยุดกิน ระบบสัญชาติญาณนี้ถ้าไม่มีวิบากกรรมก็จะมีธรรมชาติของกาย
    และจิตใจ ที่ปกติทำงานได้พอดี สมบูรณ์ไม่บกพร่อง ต่อมาพออยู่ไปเรื่อยๆ
    คนเรามีเรื่องจากต่างสัตว์อื่นๆ คือจิตใจแบบมนุษย์ มันเรียนรู้ และสร้างความ
    ต้องการเทียมที่มากกว่าสัญชาติญาณได้ ทำให้มนุษย์เรียนรู้ที่จะทำมาก หรือ
    ทำน้อย กว่าความต้องการที่ธรรมชาติจัดสรรให้ ก็เลยเกิดเป็นกิเลสตัณหา
    พาตัวเองให้ล่มจม หรือ ใช้เรียนรู้เพื่อเอาชนะธรรมชาติของตนเพื่อทำความ
    หลุดพ้น จากสิ่งที่ธรรมชาติสร้างมาเป็นเรา

    ความต้องการมันมาจาก 2 แบบ

    1.ความต้องการที่เกิดจากสัญชาติญาณ จากธรรมชาติของตนเอง

    2.ความต้องการที่เกิดจากเราสร้างเอง เราคิด เราเจตนา เราต้องการ
    มันนอกเหนือจากธรรมชาติของตน ส่วนใหญ่จะเกิดจากกิเลสตัณหาของเราเอง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 มิถุนายน 2009
  11. nooy09

    nooy09 สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    54
    ค่าพลัง:
    +3
    เพราะจิตละเอียดทำงาน หรือเรียกว่า เอียงไปทางกุศลจิตเกินไป

    จิตมีหยาบ และละเอียด คนปกติทั่วไป ก็มีจิตปกติ
    แต่จิตที่ฝึกฝนมาดีแล้ว จะละเอียด (คือจิตใฝ่ดี หรือกุศลจิต) จิตใต้สำนึกมันเอียงไปทางกุศลจิตมากเกินไป โดยไม่รู้ตัว
    โดยปกติแล้ว จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว
    จิตจะสั่งการ หรือปรุงแต่งให้เกิดอารมณ์นั่น อารมณ์นี่
    เกิดจากจิตทั้งนั้น แต่เมื่อไหร่ที่จิตสำนึก (จิตคิด)
    มีอารมณ์ปรุงแต่ง ว่าอยากทางด้านกาม แต่เจ้าจิตใต้สำนึกมันไม่อยากด้วย มันเลยดึงการทำงานของร่างกาย ให้หยุดการทำงานทางด้านกามนั้นเสีย
    จะรู้ได้อย่างไร ก็ฝึกสติงัย เมื่อมีสติ จะระลึกรู้เองว่า จิตใต้สำนึกเค้าทำงานอย่างไร บางคนจิตสำนึก (จิตคิด) คิดในเรื่องที่คิดว่าไม่ส่งผลก่อเกิดเป็นกรรม
    แต่เจ้าจิตใต้สำนึกที่มันอบรมมาดีนั้น มันใฝ่ดีอยู่แล้ว (เอียงไปทางกุศลจิต) มันจะรู้โดยอัตโนมัติว่าไม่ควรทำ เพราะจะสร้าง กรรม ทั้ง กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม 3 อย่างรวมกัน เป็นกรรมที่สมบูรณ์
    จิตใต้สำนึก มันเลยเข้าสู่จิตละเอียด เพื่อไม่ให้ร่างกายทำงาน
    และร่วมปรุงแต่งให้ร่างกายเกิดการกระทำไปด้วย
    เพื่อไม่ให้เกิดกรรม หรือสิ่งที่กระทำไม่ดีนั่นเอง
    เช่น จิตสำนึก (จิตคิด) นิดเดียว อยากจะบอกคนนี้ว่า วันนี้ทำมัยขี้เหล่จัง
    เจ้าจิตใต้สำนึก เข้าไปส่วนละเอียดเสียแล้ว ปากไม่ขยับ
    จิตสำนึก (จิตคิด) หยุดทำงานทันที และหยุดคิดทันที นี่เป็นการทำงานของจิตละเอียด แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ต้องมีสติ คอยรู้สึกว่าจิตใต้สำนึกเค้าทำงานอย่างไร เพื่อจะได้เข้าใจอะไร ๆ ได้มากขึ้นครับผม

    การแก้ปัญหาคือ หยั่งให้ถึงจิตใต้สำนึกเค้า และหาตรงกลางให้เจอ แค่นั้นเอง ก็จบ ง่าย ๆ ครับ เพื่อการดำรงค์ชีวิตอยู่แบบคนธรรมดา ที่ไม่มีปัญหาน่ะครับ ต้องสังเกตครับผม


    ที่คุณพายุทะเลทราย เรียกว่า รูป-นาม ไม่สมดุลย์ นั่นก็เพราะไม่รู้ว่าตรงกลางมันเป็นงัยนั่นแหล่ะ หาตรงกลางให้เจอ มันก็สมดุลย์เองแหล่ะครับ ก็ต้องใช้การจดจำสภาวะให้แม่นยำเท่านั้นครับ มันก็กลางแล้วครับ ไม่เอียงไปทางกุศล และอกุศล คือตรงกลางน่ะครับ จบครับ อิอิ แอะแอะ อะอะ


    ;aa34
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 มิถุนายน 2009
  12. nooy09

    nooy09 สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    54
    ค่าพลัง:
    +3

    คิดว่ายาก มันก็ยาก คิดว่าง่าย มันก็ง่าย อิอิ แอะแอะ อะอะ ก็คิดง่าย ๆ ไว้สิครับ ไม่มีอะไรยากส์ สำหรับท่านพายุทะเลทรายอยู่แล้วนี่ครับ อิอิ แอะแอะ อะอะ + 555

    (sing)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 มิถุนายน 2009
  13. 2ชาติตรัสรู้

    2ชาติตรัสรู้ គ្រប់គ្រាន់ รักษาดวงใจ.គ្រប់គ្រាន់

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,696
    ค่าพลัง:
    +1,558
    ได้ยินว่า พายทะเลทราย ร่างกายไม่สู้แล้วหรอครับ หุหุ
     
  14. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    ต้องหัดรู้จักความสมดุลก่อนแล้วจึงจะเข้าใจ ว่าร่างกายหรือจิตที่ต้องการ ตอบตัวเองก็ได้นะถ้ารู้จักคำว่า สมดุล หรือ พอดี
     
  15. บุคคลไปทั่ว

    บุคคลไปทั่ว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มกราคม 2009
    โพสต์:
    200
    ค่าพลัง:
    +106
    สุดท้ายก็แค่สนองตอบต่อเวทนา รอบแล้วรอบเล่าเท่านั้นเนาะ...
     
  16. GunzEarn

    GunzEarn Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    57
    ค่าพลัง:
    +34
    สภาวะสิ่งแวดล้อมมีผลเสมอ กับ จิต หากอยู่สภาวะที่ส่งผลให้เกิดความอยากมาก
    จิตย่อมอาจเอนไปจุดความอยากนั้นได้จะมากน้อยเพียงใดแล้วแต่บุคคล

    ฉะนั้นจึงต้องมีความปลีกวิกเวกที่คอยจะอบรมจิตดูจิต เพื่อให้ราคะนั้นเบาบาง
    เพื่อให้ศีลมีความหนักแน่นพอที่จะยับยั่งชั่งใจได้
    อย่างน้อย ก็ต้องมี ศีล 5 ให้ดี ศีลเปรียบเสมือน กรงที่คอยกังขัง
    ราคะ โทสะ โมหะ แต่ศีลไม่สามารถตัด ราคะ โมหะ โทสะ ได้

    สำหรับคนทั่วไปย่อมมีกิเลสเป็นธรรมดา แต่เราเพียงให้เราไม่ทำ ในสิ่งที่ไม่ดี ไม่ควร มากน้อย แล้วแต่ศีลของแต่ละคน สำคัญต้องมีบารมีเสมอ บารมีนี้หมายถึงกำลังใจเสมอ

    ในเมื่อศีลมีแล้วใช่ว่ากรงนั้นมันจะกักกิเลสได้นาน เพียงแต่ยับยังให้มันเบาบางไป
    แต่การกำเริบของกิเลสนั้นยังคงมีอยู่ดี

    จึงต้องตัดกิเลสให้หมดสิ้น ไม่ให้มันมาอีก
    โดยสำคัญว่า "บวชเพื่อดับเพลิงกิเลสทั้งสิ้นให้หมดไปไม่มีอีก"

    แต่ปัจจุบันผมไม่เข้าใจบวชเพื่ออะไรกัน
    (ส่วนร่างกายต้องการหรือจิตต้องการอะไร คำตอบนั้น อยู่ที่เราเพียงหมั่นฝึกจิตอยู่และถือศีลเสมอก็พอ
    แล้วเราจะเข้าใจเอง มากน้อยเพียงใดก็อยู่ที่บารมี บารมีน้อย กำลังใจน้อย
    บารมีมากกำลังใจมาก)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 มิถุนายน 2009
  17. มโน

    มโน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    316
    ค่าพลัง:
    +100
    ดูเหมือนจะดูเข้าท่า..ก็คราวนี้ อนุโมทนา
    นึกว่า..จะมี..แต่..อิ..อิ..
     
  18. มโน

    มโน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    316
    ค่าพลัง:
    +100
  19. ตั้งฉาก

    ตั้งฉาก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 เมษายน 2013
    โพสต์:
    495
    ค่าพลัง:
    +573
    กายส่วนกาย จิตส่วนจิต
    จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว

    กายเสนอ จิตสนอง เละอะดิ

    ไม่มีใครต้องการทั้งสิ้น เป็น สมมุติอุปาทาน ที่เกิดขึ้น เพราะมิจฉาทิฏฐิ สำคัญผิดไปว่าแบบนั้น
     

แชร์หน้านี้

Loading...