รวมพลคนสัมผัสญาณ"เจ้าแม่กวนอิม" 觀世音菩薩 結緣

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย horasarn, 1 ตุลาคม 2007.

  1. mirunda

    mirunda เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    110
    ค่าพลัง:
    +1,182
    อย่าได้สนใจเปลือกนอกเลย ว่า ใครเป็นใครแบ่งภาคไปเป็นใคร แล้วนำมาถกเถียงปฎิฆะกัน องค์พุทธะ อรหันต์ มหาโพธิสัตว์ หากมีอภิญญาก็สามารถแปลงได้เป็นร้อยพัน เหมือนพระจุฬปัณถก(แปลงเป็นพันองค์) เนื้อหาแห่งพุทธะ อรหันต์ มหาโพธิสัตว์ทั้งหลายคือ ว่างจากการยึดมั่น ถือมั่นในสรรพสิ่งอยู่แล้ว กระทั่งตัวเอง[​IMG][​IMG][​IMG]
     
  2. Ong

    Ong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มีนาคม 2005
    โพสต์:
    2,501
    ค่าพลัง:
    +12,861

    สาธุ กล่าวได้ชอบแล้ว
     
  3. benjamina

    benjamina เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2009
    โพสต์:
    233
    ค่าพลัง:
    +289
    มีคืนนึง ฝันถึงพระแม่กวนอิม ฝันถึงอย่างไรจำไม่ได้ ตื่นเช้ามา(ผมเปิดวิทยุทิ้งไว้ทั้งคืน) พอลืมตาตื่นขึ้นมาเป็นรายการอะไรไม่ทราบแต่โฆษก พูดถึงว่า "วันนี้เป็นวันคล้ายวันประสูติเจ้าแม่กวนอิม" ผมงี้ งงเลย
     
  4. ชินมิน

    ชินมิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    118
    ค่าพลัง:
    +558
    เราเคยฝันว่าท่านพาเราไปเที่ยวสวรรค์อ่ะ


    ที่นั่นมีนางรำใส่ชุดจีนมากมายสวยมากมาชวนเราไปเต้นรำ



    แบบจีนๆ...จากนั้นเราก็ลืมความทุกไปจนหมดสิ้นเลย
     
  5. Fai3iola

    Fai3iola เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    181
    ค่าพลัง:
    +319

    ชอบตรงอุเบกขามากๆเลยค่ะ เพราะกะลังเจอกะตัวเลย แต่ตอนนี้ปล่อยวางคนนั้นไปแล้ว ไม่งั้นคิดมากไปจนวันตาย ^^
     
  6. Bull_psi

    Bull_psi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    889
    ค่าพลัง:
    +1,445
    ตั้งแต่ผมดูละครทีวีบีทางช่อง3
    ที่เจ้าแม่กวนอิมท่านสละเนื้อให้วัวกระหายหิวกิน(เมื่อก่อนวัวกินเนื้อ)
    วัวสำนึกได้ถึงความเสียสละแม้เลือดเนื้อช่วยเหลือผู้อื่น
    ตั้งแต่นั้นมาเผ่าวัวเลิกกินเนื้อสัตว์
    ลูกศิษย์เจ้าแม่เลิกกินวัว ผมเลยเลิกกินวัวครับ แต่มีพลาดกินไปครั้งเดียว

    ติดป้ายว่าหมู แต่ผมว่าไม่ใช่มันสากๆ เวรกรรมแถวนั้นไม่มีอย่างอื่นกินด้วย

    ช่วงนั้นปี44 หางานยากเลยนะ บางคนตกงานกันเป็นปี
    ผมจบมาเดือนกว่าๆหางานไม่ได้อย่างเครียด
    ไหว้บอกเจ้าแม่อ่ะ อาทิตย์เดียวได้งานเลยครับ แหล่มเลย
     
  7. horasarn

    horasarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +3,255
    [FONT=&quot]
    [/FONT]
    [​IMG]

    [FONT=&quot]วัชรปรัชญาปารมิตาสูตร[/FONT]
    [FONT=&quot]สันสกฤต [/FONT]वज्रच्छेदिका प्रज्ञापारमितासूत्र,
    [FONT=&quot]จีน [/FONT]金剛般若波羅蜜經,
    [FONT=&quot]อังกฤษ [/FONT]Diamond Sutra
    [FONT=&quot]พระสูตรสำคัญหมวดปรัชญาปารมิตาของพระพุทธศาสนา[/FONT][FONT=&quot]มหายาน [/FONT][FONT=&quot]มีชื่อเต็มในภาษา[/FONT][FONT=&quot]สันสกฤต[/FONT][FONT=&quot]ว่า วัชรัจเฉทิกปรัชญาปารมิตาสูตร หมายถึงพระสูตรว่าด้วยปัญญาญาณอันสมบูรณ์ประดุจเพชรที่จะตัดภาพมายา คือ[/FONT][FONT=&quot]อวิชชา[/FONT][FONT=&quot]และ[/FONT][FONT=&quot]อุปาทาน[/FONT][FONT=&quot]อัน[/FONT][FONT=&quot]เป็นเครื่องกีดขวางมิให้บุคคลบรรลุถึงความรู้แจ้ง[/FONT][FONT=&quot]เชื่อกันว่าพระสูตรหมวดปรัชญาปารมิตานี้เป็นพระสูตรมหายานรุ่นแรก ๆ[/FONT][FONT=&quot]ที่เกิดขึ้น เนื้อหาสาระสำคัญเป็นเรื่องราวการเทศนาสั่งสอนของ[/FONT][FONT=&quot]พระพุทธเจ้า[/FONT][FONT=&quot]กับ[/FONT][FONT=&quot]พระสุภูติ[/FONT][FONT=&quot]ซึ่งเป็นพระอรหันตสาวก ที่พระเชตวันมหาวิหาร ว่าด้วยการบำเพ็ญบารมีของ[/FONT][FONT=&quot]พระโพธิสัตว์ [/FONT][FONT=&quot]จะต้องกระทำด้วยความไม่ยึดมั่นถือมั่นในสรรพสิ่งทั้งปวง[/FONT][FONT=&quot]เป็นการอรรถาธิบายถึงหลักศูนยตา[/FONT][FONT=&quot]ความว่างเปล่าปราศจากแก่นสารของอัตตาตัวตนและสรรพสิ่งทั้งปวง[/FONT][FONT=&quot]แม้ธรรมะและพระนิพพานก็มีสภาวะเป็นศูนยตาด้วยเช่นเดียวกัน[/FONT][FONT=&quot]สรรพสิ่งเป็นแต่เพียงสักว่าชื่อเรียกสมมติขึ้นกล่าวขาน[/FONT][FONT=&quot]หาได้มีแก่นสารแท้จริงอย่างใดไม่[/FONT][FONT=&quot]เพราะสิ่งทั้งปวงอาศัยเหตุปัจจัยประชุมพร้อมกันเป็นแดนเกิด[/FONT][FONT=&quot]หาได้ดำรงอยู่ด้วยตัวของมันเอง เช่นนี้สิ่งทั้งปวงจึงเป็นมายา[/FONT][FONT=&quot]พระโพธิสัตว์เมื่อบำเพ็ญบารมีพึงมองเห็นสรรพสิ่งในลักษณะเช่นนี้[/FONT][FONT=&quot]เพื่อมิให้ยึดติดในมายาของโลก ท้ายที่สุด[/FONT][FONT=&quot]พระพุทธองค์ได้สรุปว่าผู้เห็นภัยในวัฏสงสารพึงยังจิตมิให้บังเกิดความยึด[/FONT][FONT=&quot]มั่นผูกพันในสรรพสิ่งทั้งปวง เพราะ[/FONT][FONT=&quot]สังขตธรรม[/FONT][FONT=&quot]นั้น[/FONT][FONT=&quot]อุปมาดั่งภาพมายา ดั่งเงา ดั่งความฝัน ดั่งฟองในน้ำ และดั่งสายฟ้าแลบ[/FONT][FONT=&quot]เกิดจากการอิงอาศัยไม่มีสิ่งใดเป็นแก่นสารจีรังยั่งยืน[/FONT][FONT=&quot]แนวคิดเรื่องศูนยตานี้ได้พัฒนาต่อไปโดยท่านคุรุ[/FONT][FONT=&quot]นาคารชุน[/FONT][FONT=&quot]แห่งนิกายมาธยมิกะ จนกลายเป็นความคิดหลักทางพุทธปรัชญาที่ลึกล้ำและโดดเด่นในโลกจนทุกวันนี้ พระสูตรนี้มีแปลเป็นภาษาไทยโดย อ.[/FONT][FONT=&quot]เสถียร โพธินันทะ<o>></o>>[/FONT]
     
  8. horasarn

    horasarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +3,255
    剛般蜜經<o>></o>>
    姚秦三藏法師鳩摩羅什譯 <o>></o>>
    [FONT=&quot]แปลจากสันสกฤตสู่พากย์จีนโดยพระชาวอินเดีย พระกุมารชีพมหาเถระ (จิวหมอหลอซือ) เมื่อระหว่าง พ.ศ. ๘๖๐-๙๖๒ [/FONT]<o>></o>>
    [FONT=&quot]แปลจากภาษาจีนสู่ภาษาไทยโดย [/FONT]Astro Neemo [FONT=&quot]พ.ศ. ๒๕๕๒ (โดยผ่านการอธิบายขยายความจากอาจารย์สุดใจ ชื่นสำนวน)<o>></o>>[/FONT]
    <o>> </o>>
    法會因由分第一 [FONT=&quot]ปริเฉทที่๑ อาศัยเหตุแห่งธรรมสันบาติ<o>></o>>[/FONT]
    <o>> </o>>
    如是我聞:一時,佛在舍衛國祇樹給孤獨園,與大比丘眾千二百五十人俱。<o>></o>>
    [FONT=&quot]ดังได้สดับมา.. สมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับ ณ. เชตวันมหาวิหาร แห่งอนาปิณฑิกเศรษฐี นครสาวัตถี ท่ามกลางสังฆสันนิบาตแห่งพระมหาเถระทั้งสิ้นจำนวน ๑๒๕๐ รูป <o>></o>>[/FONT]
    爾時,世尊食時,著衣持缽,入舍衛大城乞食。於其城中次第乞已,還至<o>></o>>
    [FONT=&quot]ขณะนั้นเป็นเวลาแห่งภัต พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบาตรครองจีวร เสด็จสู่มหานครสาวัตถี และทรงบิณฑบาตรภายในนครนั้นโดยลำดับ <o>></o>>[/FONT]
    本處。飯食訖,收衣缽。洗足已,敷座而坐。<o>></o>>
    [FONT=&quot]แล้วเสด็จกลับที่ประทับ ทรงทำภัตกิจเก็บบาตรและจีวร แล้วชำระพระบาท ปูลาดอาสนะแล้วประทับนั่ง.[/FONT]<o>></o>>
    <o>> </o>>
     
  9. horasarn

    horasarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +3,255
    [FONT=&quot]อธิบายขยายความพระสูตร ปริเฉทที่๑ [/FONT]<o>></o>>
    [FONT=&quot]ความจริงหน้าที่เป็นหน้าที่ของพระอรรถกถาจารย์ที่ต้องมาขยายความพระสูตร ให้สาธุชนได้เข้าใจลึกซึ้งยิ่งขึ้น [/FONT]<o>></o>>
    [FONT=&quot]แต่ในพากย์ไทยยังไม่สำนวนใดใดที่เป็นการอธิบายความพระสูตรนี้ ผมก็เลยทำหน้าที่ไปพลางๆก่อน ครับ..[/FONT]<o>></o>>
    [FONT=&quot]ดังได้สดับมา..[/FONT] :[FONT=&quot]ปกติในการเล่าความในพระสุตตันตปิฎกทั้งฝ่ายเถรวาท มหายานล้วนขึ้นต้นด้วยคำว่า “ดังได้สดับมา” ทั้งนี้ได้หมายเอาการทำปฐมสังคายนาที่ถ้ำสัตตบรรณคูหา โดยมีพระอานนท์เป็นผู้วิสัชนาพระสูตร และพระวินัย ค่าว่า”ดังได้สดับมา”ก็คือคำพูดของพระอานนท์มหาเถระ ที่เคยได้ยินได้ฟังมา<o>></o>>[/FONT]
    [FONT=&quot]สมัยหนึ่ง [/FONT]:[FONT=&quot]ปกติในการเล่าความในพระสูตรมักไม่อ้างอิงวันที่ เดือน พ.ศ หรืออะไรๆก็ตามที่สามารถยึดจับต้องเป็นเครื่องหมายแห่งกาลเวลา โดยนัยนี้จึงมักมีการ กล่าวคำว่า “สมัยหนึ่ง” ในทุกๆครั้งเมื่อมีการอ้างถึงเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่งในสมัยพุทธกาล โดยนัยนี้มีเหตุผลคือ[/FONT]<o>></o>>
    [FONT=&quot]๑.ชนชาติอินเดียโบราณ มีคติเกี่ยวกับโลกและจักรวาลค่อนข้างกว้างไกล และมีมาตราวัดเวลาไปไกลยาวจนถึงขนาดอสงไขย มหากัลป์ และสั้นถึงขนาด ๑ ในหมื่นของวินาที เช่น การคำนวนมาตราวัดของอินเดียโบราณมีดังนี้[/FONT][FONT=&quot]๑ มหานาที(ของอินเดียโบราณ) เท่ากับของสากล ๒๔ นาที ๑ วันเท่ากับ ๖๐ มหานาที [/FONT][FONT=&quot], ๑ มหานาทีเท่ากับ ๖๐ วิมหานาที , ๑ วิมหานาทีเท่ากับ ๖๐ ลิปดา, ๑ ลิปดา[/FONT][FONT=&quot]เท่ากับ ๖๐ พิลิปดา [/FONT][FONT=&quot], ๑ พิลิปดาเท่ากับ ๖๐ ปะระ , ๑ ปะระเท่ากับ ๖๐ ปะราปะระ , ๑ ปะราปะระเท่ากับ[/FONT][FONT=&quot] ๖๐ ตาตะปะระ<o>></o>>[/FONT]
    [FONT=&quot]แสดงว่าชนชาวอินเดียมีความรู้ความสามารถในเรื่องของการคำนวนเวลาไปจนสู่จุดสูงสุด มิใช่ว่าสมัยนั้นคำนวนเวลากันไม่เป็น วิชาการล้าหลัง ปฎิทินไม่มาตรฐาน เลยไม่จดบันทึกไว้ตามความเชื่อนักวิชาการรุ่นหลังๆ แต่ความจริงก็คือ เนื่องจากคติแห่งความเป็นประเทศแห่งอภิปรัชญา เวลาเพียงเป็นสิ่งสมมุติและไม่มีอยู่จริง ภายหลังเมื่อ”ไอสไตน์” ค้นพบทฤษฎีสัมพันธภาพแล้วประกาศว่าเวลาเป็นสิ่งสมมุติไม่มีอยู่จริงๆ ขึ้นอยู่กับตำแหน่งของผู้สังเกตุเท่านั้น ทางสากลจึงได้ยอมรับความจริงข้อนี้ แม้ในปัจจุบันนี้ทางนักประวัติศาสตร์อินเดียก็ยอมรับว่าคติของการมองโลกและจักรวาลแบบฮินดูทำให้ขาดหลักฐานและการจดบันทึกทางประวัติศาสตร์และความต่อเนื่องในการจดบันทึกทางประวัติที่เป็นเชิงสัญลักษณ์[/FONT][FONT=&quot]<o>></o>>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o>> </o>>[/FONT]
    [FONT=&quot]๒.ในการสังคายนาพระธรรมวินัยโดยพระอรหันต์ทั้งหลายทั้งปวง ย่อมไม่มีความคิดแห่งกาลเวลาเข้ามาเกี่ยวข้องเพราะรู้ว่าเป็นสมมุติ พระธรรมเป็นอกาลิโก ไม่จำกัดกาล จึงไม่จำเป็นระบุเวลา [/FONT][FONT=&quot]<o>></o>>[/FONT]
    [FONT=&quot]มีครั้งหนึ่งพระมหาเถระชาวจีนในสมัยราชวงศ์ชิง ได้บำเพ็ญวิปัสนาญาณจนได้อดีตังตสตญาณ แต่รู้สึกว่าจะไม่ใช้เป็นญาณหยั่งรู้อดีตธรรมดาๆ แต่ท่านสามารถเดินทางข้ามมิติไปในอดีตได้ด้วยกายเนื้อ ไปเข้าเฝ้าและสดับพระสูตรนี้เฉพาะพระพักรด้วยตนเอง ในท่ามกลางที่ประชุมมหาสังฆสันนิบาตินั้น มองเห็นพระสุภูติกล่าวทูลต่อพระผู้มีพระภาคเจ้า เห็นพระพุทธองค์ทรงแสดงธรรม เมื่อท่านกลับมาท่านก็ร้องป่าวประกาศว่าพระพุทธองค์มิได้ดับสูญไปไหน ยังทรงแสดงธรรมอยู่ ยังทรงจาริกไปประกาศพระธรรมอยู่แม้ในปัจจุบันนี้ หากสามารถย้อนอดีต ข้ามมิติแห่งกาลเวลาได้ ก็ย่อมพบพระพุทธองค์ ดังนี้มื่อพระมหาเถระทั้งหลายเมื่อทำการสังคานยาพระธรรมวินัย ท่านจึงไม่ระบุเวลาวันที่ให้แน่นอน เพราะเป็นโค๊ดลับที่จะให้ผู้มีธรรมญาณได้รู้ว่าเป็นปริศนาธรรมให้ค้นคว้าหาความจริง จนได้ไปพบพระพุทธองค์ ผมคิดว่าหากโดราเอมอนมีจริงก็คงจะมายืนยันความข้อนี้ <o>></o>>[/FONT]
    [FONT=&quot] <o>></o>>[/FONT]
    <o>> </o>>
    [FONT=&quot]พระพุทธเจ้าประทับ ณ. เชตวันมหาวิหาร แห่งอนาปิณฑิกเศรษฐี นครสาวัตถี ท่ามกลางสังฆสันนิบาตแห่งพระมหาเถระทั้งสิ้นจำนวน ๑๒๕๐ รูป [/FONT][FONT=&quot]ตรงนี้มองดูว่าอาจจะธรรมดา แต่มองดูว่าท่ามกลางพระมหาเถระจำนวน ๑๒๕๐ รูป ซึ่งไม่เคยมีมาก่อน อาจจะเป็นวันมาฆบูชาปุรณมีก็อาจจะเป็นได้เพราะดูจำนวนพระภิกษุเท่ากันและก็เป็นพระอรหันต์ เป็นมหาเถระ อาจะเป็นเป็นเอหิภิกขุอุปสัมปทาอีกด้วยแต่ไม่ได้กล่าวเอาไว้ การกล่าวแต่เพียงว่า “ล้วนแล้วแต่เป็นพระอรหันต์ทั้งหมดทั้งสิ้น และทั้งนั้นก็เป็นพระมหาเถระอีกด้วย” ก็ได้แสดงความสำคัญแห่งนัยะของพระสูตรนี้ อย่างเพียงพอแล้ว [/FONT]<o>></o>>
    [FONT=&quot]<o>> </o>>[/FONT]
    [FONT=&quot]ขณะนั้นเป็นเวลาแห่งภัต พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบาตรครองจีวร เสด็จสู่มหานครสาวัตถี และทรงบิณฑบาตรภายในนครนั้นโดยลำดับ [/FONT][FONT=&quot]อันนี้ได้แสดงถึงพุทธจริยา การจาริกเพื่อออกโปรดสรรพสัตว์ด้วยการออกบิณฑบาตร บ่งบอกนัยเป็นอารัมภบทของพระสูตรนี้ว่าจะกล่าวถึงเรื่องของ”การโปรดสรรพสัตว์”[/FONT]<o>></o>>
    [FONT=&quot]<o>> </o>>[/FONT]
    [FONT=&quot]แล้วเสด็จกลับที่ประทับ ทรงทำภัตกิจเก็บบาตรและจีวร แล้วชำระพระบาท แล้วประทับนั่ง ณ อาสนะที่จัดถวาย.[/FONT]:<o>></o>>
    [FONT=&quot]ประโยคนี้ได้กล่าวถึงการประพฤติปฎิบัติพุทธจริยาที่งดงามยิ่ง ตั้งแต่บิณฑบาตรเอง(ไม่มีใครบิณฑบาตรมาถวายให้) ทรงทำภัตกิจ(ฉันอาหาร)ด้วยพระองค์เอง เก็บบาตรและจีวร(ด้วยพระองค์เองไม่ต้องมีใครมาทำให้ ก็คงต้องซักล้างเองด้วย) ชำระพระบาท(ด้วยพระองค์เองอีกนั่นแหละ) ปูลาดอาสนะ(ก็ด้วยพระองค์เองอีก) [/FONT]<o>></o>>
    [FONT=&quot]ข้อความนี้แตกต่างจากเจ้าลัทธิสมัยนั้นที่ต้องมีสานุศิษย์คอยโอ้โลมปฎิโลม มีคนคอยปรนนิบัติรับใช้เยี่ยงทาส บีบนวดเฟ้น หาอาหารให้กิน ล้างถ้วยล้างจาน ปูลาดอาสนะให้ [/FONT]<o>></o>>
    [FONT=&quot]แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ยิ่งใหญ่แต่ทรงมีน้ำพระทัยเสมอกัน ทรงเคารพสรรพสัตว์และเหล่าเวไนยสัตว์ด้วยการจาริกบิณฑบาตรโดยลำดับโดยเท่ากัน เมื่อทรงทำภัตกิจ ชำระล้างเท้า ด้วยพระองค์เองเนื่องเพราะด้วยความเคารพในผู้อื่น เคารพในสังฆะ (ไม่ต้องมีคนรับใช้ ) <o>></o>>[/FONT]
    <o>> </o>>
     
  10. horasarn

    horasarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +3,255
    善現啟請分第二 [FONT=&quot]ปริเฉทที่ ๒ กราบทูลขอให้ทรงแสดงธรรม<o>></o>>[/FONT]
    <o>> </o>>
    時長老須菩提在大眾中,即從座起,偏袒右肩,右膝著地,合掌恭敬。<o>></o>>
    [FONT=&quot]เมื่อนั้นพระสุภูติผู้มีอายุ อยู่ในท่ามกลางที่ชุมนุมสงฆ์นั้น แสดงความเคารพด้วยการ ลุกขึ้นจากอาสนะ เปลื้องจีวรลดไหล่ขวา คุกเข่าเบื้องขวาลงกับพื้น แล้วประคองอัญชุลี <o>></o>>[/FONT]
    而白佛言:「希有!世尊。如來善護念諸菩薩,善付囑諸菩薩。<o>></o>>
    [FONT=&quot]แล้วกราบทูลว่า “ข้าแต่พระโลกนาถเจ้า ช่างหาได้ยากยิ่งนักพระพุทธเจ้าข้าฯ ที่พระตถาตคเจ้าทรงคุ้มครองเหล่าพระโพธิสัตว์และผู้บำเพ็ญธรรมทั้งหลายด้วยการระลึกถึง ด้วยการอบรมสอนสั่งได้อย่างดียิ่ง <o>></o>>[/FONT]
    世尊!善男子、善女人,發阿耨多羅三藐三菩提心,應云何住?云何降伏其心?」<o>></o>>
    [FONT=&quot]ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หากกุลบุตรกุลธิดาใดตั้งอยู่ในธรรม อฐิษฐานจิตมุ่งสู่อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ จักควรตั้งจิตและวางจิตอย่างไร ควรกำราบจิตของตนอย่างไร <o>></o>>[/FONT]
    佛言:「善哉!善哉!須菩提!如汝所說,如來善護念諸菩薩,善付囑諸菩薩。汝今諦聽,當為汝說。善男子、善女人,發阿耨多羅三藐三菩提心,應如是住,如是降伏其心。」「唯然!世尊!願樂欲聞。」 <o>></o>>
    [FONT=&quot]<o>> </o>>[/FONT]
    [FONT=&quot]พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงดำรัสตอบว่า “ดีแล้วๆ สุภูติเอย..เป็นดังเธอกล่าว เราตถาคตได้ระลึกถึงและคุ้มครองเหล่าพระโพธิสัตว์และผู้บำเพ็ญธรรมทั้งปวง ด้วยการกล่าวสั่งสอนเน้นย้ำไว้อย่างดียิ่ง [/FONT]<o>></o>>
    [FONT=&quot]สุภูติเอย...เธอจงฟัง เราจักแสดงแก่เธอในบัดนี้...หากกุลบุตรกุลธิดาใดตั้งอยู่ในธรรม อฐิษฐานจิตมุ่งสู่อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ จักควรตั้งจิตและวางจิตดังนี้ ควรกำราบจิตของตนดังนี้<o>></o>>[/FONT]
    [FONT=&quot]สุภูติทูลว่า “รับด้วยเกล้าฯ ข้าแต่พระโลกนาถเจ้า ข้าพระองค์มีความยินดีเฝ้าสดับอยู่ [/FONT]<o>></o>>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 13 มิถุนายน 2009
  11. horasarn

    horasarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +3,255
    大乘正宗分第三 [FONT=&quot]ปริเฉทที่ ๓ สัมมาทิฐิแห่งมหายาน<o>></o>>[/FONT]

    佛告須菩提:「諸菩薩摩訶薩,應如是降伏其心:<o>></o>>
    [FONT=&quot]พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบสุภูติว่า “พระโพธิสัตว์มหาสัตว์และผู้บำเพ็ญธรรมทั้งปวง [/FONT]<o>></o>>
    [FONT=&quot]ควรกำราบจิตของตนดังนี้<o>></o>>[/FONT]
    所有一切眾生之類─若卵生、若胎生、若濕生、若化生;<o>></o>>
    [FONT=&quot]สรรพสัตว์เหล่าใด อันมีอัณฑชะกำเนิด (เกิดจากฟองไข่) ชลาพุชะกำเนิด (เกิดจากครรภ์) สังเสทชะกำเนิด (เกิดจากความชื้น) โอปปาติกะกำเนิด (เกิดขึ้นได้เอง) [/FONT]<o>></o>>
    若有色、若無色;若有想、若無想;若非有想非無想,<o>></o>>
    [FONT=&quot]ทั้งที่มีรูป ทั้งที่ไม่มีรูป ทั้งที่มีสัญญาหมายรู้ ทั้งที่ไม่มีสัญญาหมายรู้ ทั้งที่มิใช่มีสัญญาและไม่มีสัญญาหมายรู้(เนวสัญญานาสัญญายตนะ) [/FONT]<o>></o>>
    我皆令入無餘涅槃而滅度之。<o>></o>>
    [FONT=&quot]แล้วเข้าใจว่า เราจักโปรดสรรพสัตว์ทั้งหลายทั้งปวงนั้นเข้าสู่อนุปาทิเลสนิพพานให้จนหมดสิ้น[/FONT]<o>></o>>
    如是滅度無量無數無邊眾生,<o>></o>>
    [FONT=&quot]หากว่าได้โปรดสรรพสัตว์ทั้งหลายทั้งปวงให้หลุดพ้น โดยไม่มีจำนวน ไม่มีขอบเขต ไม่มีประมาณแล้วไซร้[/FONT]<o>></o>>
    實無眾生得滅度者。<o>></o>>
    [FONT=&quot]แต่แท้ที่จริงแล้วไม่มีสรรพสัตว์ใดใดที่ได้รับการโปรดให้หลุดพ้นเลยแม้แต่น้อย[/FONT]<o>></o>>
    何以故?須菩提!<o>></o>>
    [FONT=&quot]ทั้งนี้ด้วยเหตุใด สุภูติเอย..[/FONT]<o>></o>>
    若菩薩有我相、人相、眾生相、壽者相,即非菩薩。」<o>></o>>
    [FONT=&quot]หากพระโพธิสัตว์หรือผู้บำเพ็ญธรรม ยังคิดว่ามีตัวตนอยู่(อาตมะลักษณะ) ยังเห็นเป็นบุคคล(บุคลลักษณะ) ยังมีสัตว์ (สัตวลักษณะ)ทั้งหลายอยู่[/FONT][FONT=&quot]ยังเห็นว่ายังมีความมีอายุอยู่ (อายุรลักษณะ ก็คือเห็นว่ามีการสืบเนื่อง ไม่เห็นการเกิดดับ) [/FONT]<o>></o>>
    [FONT=&quot]สุภูติเอย. เช่นนี้ย่อมมิใช่พระโพธิสัตว์ ย่อมมิใช่ผู้บำเพ็ญธรรม.[/FONT][FONT=&quot]<o>></o>>[/FONT]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 13 มิถุนายน 2009
  12. horasarn

    horasarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +3,255
    妙行無住分第四 [FONT=&quot]ปริเฉทที่ ๔ การละอุปาทานคือการบำเพ็ญอันประเสริฐ<o>></o>>[/FONT]

    復次:「須菩提!菩薩於法,應無所住,行於布施。<o>></o>>
    [FONT=&quot]สุภูติเอย นัยเหล่านี้ยังมีอีก พระโพธิสัตว์ผู้ที่อิงอาศัยธรรมในการบำเพ็ญ ย่อมจักต้องสลัดทิ้งซึ่งการยึดติดในการอุทิศตน (การเสียสละ,การบำเพ็ญบุญ,การบริจาคทาน) <o>></o>>[/FONT]
    所謂不住色布施,不住聲、香、味、觸、法布施。<o>></o>>
    [FONT=&quot]กล่าวคือย่อมอุทิศตนด้วยการไม่ยึดติดในรูป เสียง กลิ่น รส โผฎฐัพพะ และในธรรมารมณ์ใดใด(ผ่านอายตนะทั้ง๖) <o>></o>>[/FONT]
    須菩提!菩薩應如是布施,不住於相。何以故?<o>></o>>
    [FONT=&quot]สุภูติเอย....พระโพธิสัตว์ควรต้องเสียสละอุทิศตนดังที่กล่าวนี้ และไม่ยึดติดในรูปลักษณะเหล่านั้น ทั้งนี้เพราะเหตุใด[/FONT]<o>></o>>
    若菩薩不住相布施,其福德不可思量。須菩提!於意云何?<o>></o>>
    [FONT=&quot]หากพระโพธิสัตว์และผู้บำเพ็ญธรรม ได้อุทิศตน(การเสียสละ,การบำเพ็ญบุญ,การบริจาคทาน) โดยไม่ยึดติดในรูปลักษณะ ย่อมเกิดผลบุญกุศลมหาศาลไม่มีขอบเขตไม่มีประมาณ สุภูติเอย..ท่านเห็นเป็นเช่นใด[/FONT]<o>></o>>
    東方虛空可思量不?」「不也,世尊!」<o>></o>>
    [FONT=&quot]อากาศธาตุเบื้องตะวันออกมีขอบเขตมีประมาณได้ฤา[/FONT][FONT=&quot] พระสุภูติกราบทูลว่า”ประมาณมิได้ พระเจ้าข้าฯ ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า” [/FONT]<o>></o>>
    「須菩提!南、西、北方、四維、上、下虛空,可思量不?」<o>></o>>
    [FONT=&quot]สุภูติเอย..ท่านเห็นอากาศธาตุเบื้องทิศใต้ ทิศตะวันตก ทิศเหนือ ทั้งสี่ทิศ ทั้งเบื้องบน ทั้งเบื้องล่าง จักประมาณได้ฤา [/FONT]<o>></o>>
    「不也。世尊!」<o>></o>>
    [FONT=&quot]พระสุภูติกราบทูลว่า”ประมาณมิได้ พระเจ้าข้าฯ ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า” [/FONT]<o>></o>>
    「須菩提!菩薩無住相布施,福德亦復如是,不可思量。須菩提!菩薩但應如所教住!」<o>></o>>
    [FONT=&quot]สุภูติเอย.เธอจงสดับ พระโพธิสัตว์และผู้บำเพ็ญธรรม หากได้สละการยึดติดในรูปลักษณะแล้ว บุญกุศลก็จักประมาณมิได้เช่นกัน เหล่าโพธิสัตว์และผู้บำเพ็ญธรรมทั้งหลายต้องมีมนสิการเช่นนี้ [/FONT]<o>></o>>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 13 มิถุนายน 2009
  13. horasarn

    horasarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +3,255
    如理實見分第五 [FONT=&quot]ปริเฉทที่ ๕ เห็นสภาวะที่เกิดขึ้นตามความเป็นจริง[/FONT]<o>></o>>
    <o>> </o>>
    「須菩提!於意云何?可以身相見如來不?」<o>></o>>
    [FONT=&quot]สุภูติเอย....เธอเห็นเป็นเช่นใด สามารถเห็นตถาคตด้วยกายลักษณะ ด้วยมหาปุริสลักษณะ หรือเห็นด้วยสรรพกายของตถาคตได้ฤา.. [/FONT]<o>></o>>
    「不也,世尊!不可以身相得見如來。<o>></o>>
    [FONT=&quot]พระสุภูติกราบทูลว่า”หามิได้ ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระพุทธเจ้าทั้งปวงย่อมมิสามารถเห็นได้ด้วยกายลักษณะ ด้วยมหาปุริสลักษณะ หรือเห็นด้วยสรรพกายอย่างใดใดได้เลย. [/FONT]<o>></o>>
    何以故?如來所說身相,即非身相。」<o>></o>>
    [FONT=&quot]ก็ด้วยเหตุใด ก้ด้วยเหตุที่พระพุทธเจ้าทั้งปวงล้วนตรัสว่า รูปใดใด ล้วนแล้วแต่มิใช่รูป มิใช่กาย มิใช่อินทรีย์ [/FONT]<o>></o>>
    佛告須菩提:「凡所有相,皆是虛妄。若見諸相非相,即見如來。」 <o>></o>>
    [FONT=&quot]พระพุทธเจ้าตรัสตอบพระสุภูติว่า “อันรูปทั้งปวงล้วนแล้วแต่เป็นลวง เป็นเท็จ เป็นมายา หากได้เห็นรูปทั้งปวงคือความมิใช่รูป คือความไม่มีรูป รูปคือความว่าง ความว่างคือรูปนั้นแหละ ย่อมได้เห็นตถาคต”[/FONT]<o>></o>>
    [FONT=&quot]หมายเหตุผู้แปล[/FONT]<o>></o>>
    [FONT=&quot] มหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการอนุพยัญชนะ ๘๐ ประการเป็นลักษณะเฉพาะของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระมหาจักรพรรดิราช หากยึดว่าเห็นพระพุทธองค์ด้วยรูปกาย และด้วยมหาปุริสลักษณะแล้วก็ย่อมมิใช่พุทธองค์ร้อยเปอร์เซนต์ อาจจะเป็นพระมหาจักรพรรดิ์ก็เป็นได้ แต่เมื่อใดเราเห็นความว่างในรูป เห็นรูปในความว่างนั่นแหละคือการเห็นตถาคต(สภาวะธรรมแห่งความเป็นเช่นนั้นเอง) [/FONT]<o>></o>>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 13 มิถุนายน 2009
  14. horasarn

    horasarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +3,255
    正信希有分第六[FONT=&quot] ปริเฉทที่ ๖ สัมมาทิฐิอันหาได้ยาก[/FONT]<o>></o>>

    須菩提白佛言:<o>></o>>
    [FONT=&quot]พระสุภูติผู้มีอายุ กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า <o>></o>>[/FONT]
    「世尊!頗有眾生,得聞如是言說章句,生實信不?」<o>></o>>
    [FONT=&quot]“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ยังมีสรรพสัตว์อีกจำนวนมาก เมื่อได้รับฟังคำสอน(อันลึกซึ้ง)เช่นนี้ จักสามารถมีความเห็นอันตรง จักมีทิฐิอันตรง และยังให้เกิดศรัทธาได้หรือไม่” [/FONT]<o>></o>>
    佛告須菩提:<o>></o>>
    [FONT=&quot]พระพุทธเจ้าตรัสตอบว่า<o>></o>>[/FONT]
    「莫作是說!如來滅後,後五百歲,有持戒修福者,於此章句,能生信心,以此為實。<o>></o>>
    [FONT=&quot]“ดูกร..สุภูติ เธออย่ากล่าวเช่นนั้น เมื่อตถาคตปรินิพพานไปแล้ว ๕๐๐ ปี จักมีผู้ถือศีลบำเพ็ญบุญประพฤติปฎิบัติตามคำสอนดังที่กล่าวมานี้ และจักได้เกิดสัมมาทิฐิ จักได้มีความเห็นอันชอบว่าคำสอนนี้เป็นความจริง”[/FONT]<o>></o>>
    當知是人,不於一佛、二佛、三四五佛而種善根,已於無量千萬佛所種諸善根。聞是章句,乃至一念生淨信者;<o>></o>>
    [FONT=&quot]“เธอจงรู้ด้วยอีกว่า บุคคลผู้มีปัญญาเหล่านี้ได้เคยปลูกฝังกุศลมูลแล้ว มิใช่ด้วยพระพุทธเจ้าหนึ่งพระองค์ สองพระองค์ สาม สี่ ห้าพระองค์เท่านั้น แต่บุคคลเหล่านี้ได้เคยปลูกฝังกุศลมูลไว้ในพระพุทธเจ้านับพันนับหมื่นพระองค์จนประมาณมิได้ และหากแต่บุคคลเหล่านั้นเพียงได้ยินได้ฟังคำสอน(อันลึกซึ้ง)เช่นนี้ ก็จะเกิดความศรัทธาอันบริสุทธิ์(สัมมาปัญญา)ภายในชั่วขณะจิตเดียวเท่านั้น.<o>></o>>[/FONT]
    <o>> </o>>
    須菩提!如來悉知悉見,是諸眾生得如是無量福德。<o>></o>>
    [FONT=&quot]“สุภูติ... ตถาคตได้รู้ได้เห็นเช่นนี้ว่า ชนเหล่านั้นย่อมได้รับผลบุญกุศลมหาศาลอันประมาณมิได้”<o>></o>>[/FONT]
    何以故?是諸眾生,無復我相、人相、眾生相、壽者相、<o>></o>>
    [FONT=&quot]“ทั้งนี้ด้วยเหตุ สุภูติ... หากชนเหล่าใด มิได้ยึดถือในอัตตาตัวตน บุคคล สัตว์ เราเขา ความเป็นของเที่ยง (ไม่เห็นการเกิดดับ) <o>></o>>[/FONT]
    無法相,亦無非法相。何以故?是諸眾生若心取相,<o>></o>>
    [FONT=&quot]เห็นว่าไม่มีแม้แต่ธรรมและอธรรม (ไม่มีผิดถูกดีชั่ว) ทั้งนี้ด้วยเหตุใด ด้วยหากว่าชนเหล่านี้ หากยังยึดติดในรูป เกิดอุปาทานในรูปขันธ์ [/FONT]<o>></o>>
    即為著我、人、眾生、壽者。<o>></o>>
    [FONT=&quot]ก็ย่อมได้ชื่อว่า ได้จับต้องในอัตตาตัวตน บุคคล สัตว์ ในความเป็นของเที่ยง(นิจจัง)[/FONT]<o>></o>>
    <o>> </o>>
    若取法相,即著我、人、眾生、壽者。<o>></o>>
    [FONT=&quot]หากเกิดอุปาทานในธรรม ยึดติดในธรรมฝ่ายกุศล (ยึดติดในความดี) ก็ย่อมได้ชื่อว่า ได้จับต้องในอัตตาตัวตน บุคคล สัตว์ ในความเป็นของเที่ยง(นิจจัง) <o>></o>>[/FONT]
    何以故?若取非法相,即著我、人、眾生、壽者。<o>></o>>
    [FONT=&quot]ทั้งนี้ด้วยเหตุใด หากชนเหล่าใดเกิดอุปาทานในอธรรม ยึดติดในธรรมฝ่ายอกุศล (ยึดติดในความชั่ว) ก็ย่อมได้ชื่อว่า ได้จับต้องในอัตตาตัวตน บุคคล สัตว์ ในความเป็นของเที่ยง(นิจจัง) [/FONT]<o>></o>>
    是故不應取法,不應取非法。<o>></o>>
    [FONT=&quot]ด้วยเพราะเหตุนี้ จึงไม่ควรยึดติดในธรรมทั้งสองฝ่ายทั้งกุศลและอกุศล<o>></o>>[/FONT]
    以是義故,如來常說:汝等比丘!知我說法,如筏喻者;法尚應捨,何況非法?」<o>></o>>
    [FONT=&quot]ก็โดยนัยนี้ ตถาคตจึงกล่าวอยู่เสมอว่า “ดูกร ภิกษุทั้งหลาย จงรู้ว่าบรรดาธรรมทั้งหลายอันตถาคตได้แสดงมานั้น อุปมาดั่งแพ แม้ธรรมยังต้องสลัดทิ้ง แล้วนับประสาอะไรกับอธรรมเล่า”[/FONT]<o>></o>>
    <o>> </o>>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 13 มิถุนายน 2009
  15. k_karn

    k_karn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    185
    ค่าพลัง:
    +149
    ทางขึ้นดอยอ่างขาง จ. เชียงใหม่ มีพระโพธิสัตว์กวนอิมทำจากหยกขาว
    ถ้าผ่านไปแนะนำให้แวะกราบค่ะ
     
  16. Jenny_Lee

    Jenny_Lee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    414
    ค่าพลัง:
    +1,357
    hello10สวัสดีค่ะ อ.นีโม่และกัลยาณมิตรทุกท่าน...

    ดิฉันเป็นคนนึงค่ะที่ศรัทธาพระแม่กวนอิม เลิกทานเนื้อวัวมาตั้งแต่อายุ 19 ค่ะ และก็ทานเจทุกปีช่วงเทศกาลกินเจ ทานมา 5-6 ปีแล้วค่ะ แต่ไม่ได้บูชาหรือสวดมนต์อะไรเลย(แต่ปัจจุบันกำลังตั้งใจสวดมนต์ทำสมาธิให้ได้ทุกคืน ก็จะมีสวดมนต์บูชาพระแม่กวนอิมด้วยค่ะ) แต่เจอที่ใหนก็จะเข้าไปใหว้ขอพรค่ะ......และเมื่อหลายปีก่อนคุณแม่สามีพาไปทำพิธีใหว้ขอพรให้ได้ลูกชายกับพระแม่กวนอิม ก็เลยได้มา 2 คนค่ะ....แล้วเมื่อปีกลายได้ไปดูหมอดูที่นั่งสมาธิเข้าณานนะคะ หมอดูท่านแรกก็บอกว่าเห็นพระแม่กวนอิมพันมือมาลอยอยู่บนศรีษะดิฉัน แล้วต่อมาก็มาดูอีกหมอดูคนที่ 2 บอกว่าให้ดิฉันบูชาพระแม่กวนอิมและเสด็จพ่อ ร.5 เท่านั้นไม่ต้องไปบูชาอะไรมากมาย.....

    แต่ดิฉันยังไม่เคยได้สัมผัสกับพระเม่กวนอิมเลยค่ะ(สงสัยตัวเองยังมีกรรม หรือมีบุญน้อยไป หรือว่าพลังจิตยังไม่มากพอคะ ถึงยังไม่ได้สัมผัสพูดคุยกับองค์พระแม่) ต้องทำยังไงบ้างคะถึงจะได้มีบุญได้สัมผัสกับพระแม่กวนอิมบ้างค่ะ;aa40
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 มิถุนายน 2009
  17. catwoman121

    catwoman121 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    101
    ค่าพลัง:
    +87
    รักและศรัทธาพระแม่มากกกกกกกกกก


    ตอนนี้กินมังฯ ให้พระแม่อยู่นะค่ะ


    คิดถึงพระแม่เหลือเกิน


    พระแม่ท่านมีเมตตามากล้นเหลือ


    ลูกเคยแอบหนีไปกินเนื้อวัวมา


    จนไม่สบาย เจ็บป่วย ซึ่งก็รู้แล้วว่าเป็นการลงโทษที่ไม่เชื่อฟัง


    พอถามพระแม่ พระแม่ตอบว่า "แค่รู้สึกผิด สำนึก และมาขอโทษต่อหน้าเนียเนี้ย


    เนียเนี้ยก็ให้อภัยแล้ว"


    ซึ้งใจจังเลย TT_TT หนูรักเนียเนี้ยมากกกกก


    ท่านทรงเป็นพระโพธิสัตว์ที่มีเมตตาเหลือล้นจริงๆ

    -------------------------------------------------------------------------------

    หนูขอเป็นลูกเนียเนี้ยตลอดไป ชาตินี้ ชาติไหน ภพหน้า หรือภพใดๆ


    ทุกที่ที่ท่านเสด็จไปขอให้ลูกเป็นผู้รับใช้และอยู่ข้างกายท่านตลอดไปด้วยเถิด


    ---------------------------------------------------------------------


    นำโมไต๋ซือ กวนสี่อิมผู่สัก


    โอม ศรี คเณ ศายะ นะมะฮา


    โอม ศรี สุรัสวตี เจ นะมะฮา


    โอม ศรี มหาลักษมี เจ นะมะฮา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 มิถุนายน 2009
  18. ผู้นอบน้อมสุดใจ

    ผู้นอบน้อมสุดใจ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    955
    ค่าพลัง:
    +2,094
    ผมเพิ่งฝากตัวเป็นลูกศิษย์พระแม่มาเมื่อวันอาทิตย์ที่่ผ่านมานี้เองครับ

    จากที่ไม่เคยสนใจเลย เพราะมีพี่ท่านนึงทักว่าผมมีพระแม่ดูแลอยู่ห่างๆ ซึ่้งผมก็ไปทางฮินดูตลอด ตอนนี้ฝากตัวเป็นศิษย์ท่านแล้วครับ

    ก็เลยไปไหว้ท่านที่พระแม่กวนอิมท่าฉลอม เลิกกินเนื้อวัวเด็ดขาด และถือศีล 8 ทุกวันพระ ถวายท่านครับ
     
  19. Taksamun

    Taksamun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2008
    โพสต์:
    258
    ค่าพลัง:
    +180
    ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ คุณผู้นอบน้อมสุดใจ
    อยู่จ.สมุทรสาคร หรือป่าวคะ
    เห็นว่าไปไหว้พระแม่ที่ท่าฉลอม
     
  20. ผู้นอบน้อมสุดใจ

    ผู้นอบน้อมสุดใจ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    955
    ค่าพลัง:
    +2,094

    ใช่ครับผม
     

แชร์หน้านี้

Loading...