ชมรมนักปฏิบัติธรรมและคนมีองค์

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย Pleased, 30 พฤษภาคม 2009.

  1. ครูพระ

    ครูพระ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    131
    ค่าพลัง:
    +601
    ขออนุโมทนาบุญ สาธุ สาธุ

    สัพพะทุกขะวินาสสะตุ-สัพพะภะยะวินาสสะตุ-สัพพะโรคะวินาสสะตุ ภะวันตุเต
    เจริญพร
    ครูพระบุญสม ฉนฺทกโร
     
  2. Likely

    Likely เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    4,151
    ค่าพลัง:
    +3,821
    เย้ยยยยยยยยยยยยยยย เรียนเส็จตั้งก่า สิบโมงแย้ว ><
    อีกที ก็บ่ายปู๊นนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนน;aa6
     
  3. sakichan02

    sakichan02 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มกราคม 2009
    โพสต์:
    224
    ค่าพลัง:
    +328

    ประมาณนั้นล่ะค่ะ ^^ จิตของเราต้องละเอียดพอถึงจะสื่อสารได้

    ของพี่คงเป็นข้อ2มั้งน้องมิมิ เอิ้กก

    ต้องหมั่นปฏิบัตินั่งสมาธิอย่างสม่ำเสมอ

    และต้องการช่วยเหลือผู้อื่น โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน
     
  4. Likely

    Likely เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    4,151
    ค่าพลัง:
    +3,821
    ู^
    ^
    ^
    ^
    ^
    ^
    รวมองค์นี้ด้วยป่าว ก๊ะ -*-
     
  5. sakichan02

    sakichan02 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มกราคม 2009
    โพสต์:
    224
    ค่าพลัง:
    +328
    เง้ออออ ไม่เกี่ยวน้อง 555+

    นั้นมันดุ๊กดิ๊กเกินไปนะน้องมิมิ

    :z6
     
  6. sakichan02

    sakichan02 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มกราคม 2009
    โพสต์:
    224
    ค่าพลัง:
    +328
    พระอานนท์กับการระลึกถึงความตาย
    ธรรมะ


    <?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>

    พระอานนท์กับการระลึกถึงความตายพระสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสถามพระอานนท์ว่า อานนท์เธอระลึกถึงความตายวันละกี่ครั้งกี่หนท่านอานนท์ก็ทูลตอบว่า “วันละพันหน” พระพุทธเจ้าก็ทรงตรัสตอบว่า “อานนท์ยังประมาทอยู่”เราตถาคตระลึกถึงความตาย “ทุกลมหายใจ” ที่นี้เมื่อเรามาพิเคราะห์หรือพิจารณาความเป็นจริงตามพระดำรัสนี้ โดยธรรมชาติของผู้เป็นพุทธะหรือองค์พระพุทธเจ้า ย่อมมีพระสติสัมปชัญญะรู้พร้อมทั่วอยู่ทุกขณะจิตดังนั้นคำที่ว่าระลึกถึงลมหายใจอยู่ทุกขณะจิต ก็หมายความว่าพระองค์รู้ระลึกถึงลมหายใจเข้าหายใจออกอยู่เป็นปกตินั่นเอง

    ที่นี่วันหนึ่ง ๆ คนเราหายใจวันละกี่ครั้งกี่คน เมื่อเรามีสติกำหนดรู้ลมหายใจของเราเข้าออกอยู่ตลอดเวลา ก็ได้ชื่อว่าเราได้ระลึกถึงความตายอยู่ตลอดเวลา

    ดังนั้นพระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสกับพระอานนท์ว่า เราระลึกถึงลมหายใจอยู่ทุกขณะจิต ทุกขณะที่มีลมหายใจความหมายของพระองค์เป็นอย่างนี้ระลึกถึงความตาย ความตายโดยปกติที่เราไม่ค่อยจะได้พิจารณาให้รู้เห็นกันได้พระพุทธเจ้าทรงถามพระอานนท ์ว่า "อานนท์ เธอระลึกถึงความตายวันละกี่ครั้ง" พระอานนท์ก็ทูลตอบว่า "ข้าพระองค์ระลึกถึงความตายวันละพันครั้ง" พระพุทธเจ้ารับสั่งว่า "อานนท์ยังประมาทอยู่มาก ระลึกถึงความตายวันละพันครั้ง เราตถาคตระลึกถึงความตายอยู่ทุกลมหายใจ" นี้ลองพิจารณาคำพระดำรัสของพระพุทธเจ้าว่าพระองค์ระลึกถึงความตายทุกลมหายใจ ท่านกำหนดเอาอะไรที่ระลึกถึงความตายทุกลมหายใจ ท่านกำหนดเอาลมหายใจเข้า ลมหายใจออกเป็นเครื่องหมายเพราะว่าลมหายใจที่สูดเข้าไปแล้ว ถ้ามันไม่ออกมาก็ตาย ลมหายใจที่ปล่อยออกไปแล้ว ถ้าไม่กลับคืนมาก็ตาย พระพุทธเจ้ากำหนดรู้ลงไปที่ลมหายใจเข้า-ออก เข้า-ออก รู้อยู่ที่ลมหายใจทุกจังหวะลมหายใจ อันนี้เรียกว่าการระลึกถึงความตาย เอาลมหายใจเป็นเครื่องหมายแห่งการเกิดและความตาย เอาลมหายใจเป็นเครื่องหมายแห่งความเกิดและความดับ อันนี้เป็นอุบายระลึกถึงความตายโดยย่อ ๆการระลึกถึงความตาย ต้องนึกด้วยความแยบคาย โดยอาการ ๘ นัย คือ

    (๑) ความตายนี้เปรียบดังเพชฌฆาตที่จ้องจะประหารอยู่เป็นนิจ แม้ตัวเราก็ถูกจ้อง อยู่ตลอดเวลา

    (๒) ความตายนี้ย่อมเข้าถึง ความฉิบหาย วิบัติ พลัดพราก จากทรัพย์สมบัติ ลาภยศ ญาติพี่น้อง ซึ่งเราก็จะเป็นเช่นนี้เข้าสักวันหนึ่ง

    (๓) ความตายนี้ไม่เห็นแก่หน้าไม่เลือกบุคคล ไม่ว่าจะเป็นผู้มีบุญ มีอำนาจ มีทรัพย์ มียศ มีปัญญา ก็ตายไปแล้วมากกว่ามาก เราเองก็จะต้องตายแน่

    (๔) ความตายมีอยู่ทั่วกายในอวัยวะทุกส่วน แม้หมู่สัตว์ที่อยู่ภายนอก และที่อาศัยเบียดเบียนอยู่ภายในร่างกาย ก็สามารถทำให้ตายได้ทุกเมื่อ เราก็ไม่พ้นอย่างนี้ไปได้

    (๕) อายุนี้เป็นสิ่งที่ไม่ถาวรแข็งแรง เป็นของทุพพลภาพ ที่ยังคงดำรงอยู่ได้ ก็อาศัยอยู่ได้ด้วยธรรมทั้ง ๔

    คือ ลมหายใจ, อิริยาบถทั้ง ๔, ความร้อนความเย็น และอาหาร หากธรรมทั้ง ๔ นี้แม้แต่เพียงอย่างเดียวไม่


    เป็นไปตามปกติ เราก็จะตายเป็นแน่นอน

    (๖) ระลึกว่า ความตายนี้ไม่มีนิมิต ไม่มีเครื่องหมายแต่อย่างใดเลย นิมิตนั้นมี ๕ อย่าง คือ

    ก. ชีวิตํ ไม่มีนิมิตให้รู้ว่า ชีวิตนี้จะอยู่นานสักปานใดจึงจะตาย

    ข. พยาธิ ไม่มีนิมิตให้รู้ว่า จะตายด้วยโรคอะไร

    ค. กาโล ไม่มีนิมิตให้รู้ว่า จะตายเวลาไหน

    ง. เทหนิกฺเขปนํ ไม่มีนิมิตให้รู้ว่า จะตายที่ตรงไหน

    จ. คติ ไม่มีนิมิตให้รู้ว่า เมื่อตายแล้วจะไปเกิดเป็นอะไรที่ไหน

    (๗) ระลึกว่าอายุของมนุษย์นี้น้อยนัก อย่างมากไม่ใคร่ถึง ๑๐๐ ปี ก็จะต้องตายไปแล้ว จึงควรทำความดี

    ประกอบการกุสล ประพฤติพรหมจรรย์ ไม่ตั้งอยู่ในความประมาท เพราะความตายจักมาถึงเราในบัดนี้ก็ได้

    (๘) ระลึกว่า ชีวิตนี้ เป็นอยู่ มีอยู่ คงอยู่ ชั่วขณะนิดเดียว กล่าวโดยทางปรมัตถ ก็ปรากฏอยู่ชั่วขณะจิตเดียวเท่านั้นเอง เมื่อจิตเกิดขึ้นก็ได้ชื่อว่า สัตว์เกิดแล้ว จิตตั้งอยู่ ก็ได้ชื่อว่าสัตว์นั้นเป็นอยู่ และเมื่อจิตดับไป จิตไม่เกิดสืบต่อไปอีกในภพนี้ ก็ได้ชื่อว่า สัตว์นั้นตายเสียแล้ว


    ที่มา www.buddhamahayan.com
     
  7. sakichan02

    sakichan02 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มกราคม 2009
    โพสต์:
    224
    ค่าพลัง:
    +328
    (ต่อ)
    พึงระลึกถึงความตาย โดยความแยบคายตามนัยแห่งอาการ ๘ อย่างนี้ อย่างใดอย่างหนึ่งก็ตาม ก็จะเป็นที่ตั้งแห่งความสลด เป็นเหตุให้เบื่อหน่าย ไม่ยินดีในภพ ปราศจากความตระหนี่ เบิกบานในการบริจาคทาน มีการขวนขวายน้อย มีความเป็นอยู่โดยความไม่ประมาทตั้งหน้าบำเพ็ญเพียรในกุสลกรรม ไม่หวาดหวั่นต่อความตาย และไม่งมงายในเวลาตายด้วย เผชิญความตายโดยไม่กลัว ความตายเป็นสิ่งที่แน่นอนสิ่งเดียวเท่านั้นในชีวิต คือเกิดแล้วต้องตายอย่างแน่แท้ นอกจากนั้น ความตายยังเป็นสิ่งที่เราได้ตระเตรียมกันน้อยเสียเหลือเกิน เราวางแผนและตระเตรียมเพื่อสิ่งอื่นต่าง ๆ รวมทั้งการสอบ การแต่งงาน การประกอบธุรกิจ แต่เราไม่เคยแน่ใจว่าแผนการดังกล่าวนั้นของเราจะปรากฏเป็นจริงขึ้นตามที่ปรารถนาไว้ทั้งหมดได้หรือไม่

    ส่วนความตายนั้นแม้ว่าเราจะไม่ได้วางแผนและตระเตรียมไว้เลยก็ตามแต่ เราก็แน่ใจอยู่ดีว่า ความตายนั้น จะมาถึงเราไม่เวลาใดก็เวลาหนึ่ง ไม่ช้าก็เร็ว ไม่ว่าเราจะเป็นเด็ก ผู้ใหญ่ คนพาล บัณฑิต คนมั่งมีหรือคนยากจนก็ตาม ตามนัยพุทธวจนะที่ปรากฏในมหาปรินิพพานสูตร๑ แห่งคัมภีร์ทีฆนิกาย สรรพสัตว์เอาความตายติดตัวมาตั้งแต่เกิด เหมือนกับดอกเห็ดโผล่ขึ้นมาจากพื้นดิน โดยพาเอาดินติดหัวขึ้นมาด้วยฉะนั้น๒

    ในอรกานุสาสนีสูตร๓ แห่งคัมภีร์อังคุตตรนิกาย ได้แสดงว่า ชีวิตเป็นสิ่งที่ไม่เที่ยงแท้แน่นอนด้วยอุปมา ๗ ประการด้วยกัน คือ

    ๑. ชีวิตของมนุษย์เปรียบเหมือนหยาดน้ำค้าง กล่าวคือ หยาดน้ำค้างบนยอดหญ้า เมื่ออาทิตย์ขึ้นมา ก็พลันแห้งหายไป ชีวิตมนุษย์ก็ฉันนั้นเหมือนกันคือนิดหน่อย รวดเร็ว มีทุกข์มาก มีความคับแคบมาก จะพึงเข้าใจได้ด้วยปัญญาควรกระทำกุศล ควรประพฤติพรหมจรรย์เพราะสัตว์ที่เกิดแล้วจะไม่ตายไม่มี (ชีวิตของมนุษย์ประมาณ ๑๐๐ ปี เกินกว่านั้นไปก็มี แต่เป็นส่วนน้อย)

    ๒. ชีวิตของมนุษย์เปรียบเหมือนฟองน้ำ กล่าวคือ เมื่อฝนตกหนักฟองน้ำ (อันเกิดขึ้นเพราะฝน) ย่อมแตกไปเร็ว

    ๓. ชีวิตของมนุษย์เปรียบเหมือนรอยไม้ที่ขีดลงไปในน้ำ กล่าวคือ (น้ำเป็นของไม่แยกกัน) รอยไม้ที่ขีดลงไปในน้ำ ก็พลันกลับเข้าหากัน

    ๔. ชีวิตของมนุษย์เปรียบเหมือนแม่น้ำที่ไหลลงจากภูเขา กล่าวคือ แม่น้ำไหลลงจากภูเขาไหลไปไกล กระแสเชี่ยว พัดสิ่งต่าง ๆ ไปด้วย ไม่มีหยุด (แม้สักครู่เดียว) โดยที่แท้ แม่น้ำมีแต่ไหลเรื่อยไปเท่านั้น

    ๕. ชีวิตของมนุษย์เปรียบเหมือนก้อนเขฬะ (น้ำลาย) กล่าวคือ บุรุษที่แข็งแรงอมก้อนเขฬะไว้ที่ปลายลิ้น แล้วพึงถ่มไปได้โดยง่ายดาย

    ๖. ชีวิตของมนุษย์เปรียบเหมือนชิ้นเนื้อ กล่าวคือ ชิ้นเนื้อที่บุคคลใส่ไว้ในกระทะเหล็กร้อนตลอดวันยังค่ำ ย่อมจะไหม้ไปอย่างรวดเร็ว

    ๗. ชีวิตของมนุษย์เปรียบเหมือนแม่โคที่จะถูกฆ่า กล่าวคือ แม่โคที่จะถูกฆ่า ซึ่งเขานำไปสู่ที่ฆ่า ก้าวเท้าเดินไปเท่าใด ก็ใกล้ความตายเข้ามาเท่านั้น

    คัมภีร์ขุททกนิกาย ธรรมบท๔ เปรียบอัตภาพ (กาย) ซึ่งมีการเกิดขึ้นและการแตกดับไปเป็นธรรมดา เหมือนกับฟองน้ำ พยับแดด และหม้อ (ดินเหนียว) ด้วยเหตุนี้ ในคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนาจึงได้เน้นถึงความไม่ยั่งยืนไม่เที่ยงแท้ของชีวิต และความยั่งยืนเที่ยงแท้ของความตายด้วยอุปมาต่าง ๆ ไว้ครั้งแล้วครั้งเล่า

    เป็นที่ยอมรับกัน ในฐานะที่เป็นความจริงสากลว่า “สัตว์ทั้งหลายทั้งปวงย่อมกลัวต่อความตาย” (สพฺเพ ภายนฺติ มจฺจุโน) ๕



    ความตายเป็นเหตุการณ์ธรรมดาเหมือนกันกับเวลากลางคืน แม้ว่าเราจะไม่ชอบความตายเสียเลยก็ตาม แต่เราก็ต้องยอมรับกันอยู่ดีว่า ความตายเป็นสิ่งที่เราหลีกเลี่ยงไม่ได้ และก็ไม่มีทางใดที่เราจะหนีรอดพ้นไปจากมรณกรรมนี้ได้ คัมภีร์ทางพระพุทธศาสนาได้แนะนำการเจริญมรณสติว่า “ชีวิตของเราไม่ยั่งยืน ความตายของเรายั่งยืน เราพึงตายแน่แท้ ชีวิตของเรามีความตายเป็นที่สุด ชีวิตของเราไม่เที่ยงแท้ ความตายของเราเที่ยงแท้” ไว้ครั้งแล้วครั้งเล่าแก่เรา เพื่อว่าเราจะได้ตระหนักถึงความตายเมื่อความตายนั้นเกิดขึ้นแก่เรา เพื่อเผชิญกับความตายอย่างสงบ เราต้องเรียนรู้ศิลปะ อีกทั้งการดำเนินชีวิตอย่างสงบจากตัวเราเองและบุคคลอื่นรอบตัวเรา วิธีหนึ่งสำหรับการกระทำเช่นนั้นก็คือ การระลึกอยู่เสมอว่าความตายเป็นสิ่งที่เราหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งจะช่วยยับยั้งชั่งใจมิให้เรากระทำกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต การปฏิบัติสมาธิ (คือ มรณสติ นั่นเอง) เป็นวิธีการที่ดีที่สุด ซึ่งช่วยทำให้เราสามารถดำเนินชีวิตได้อย่างสงบสุข ทั้งเพื่อตัวเราเอง และเพื่อบุคคลอื่นอีกด้วย

    การเจริญเมตตา (เมตตาภาวนา) เป็นวิธีการที่มีประสิทธิภาพอีกวิธีหนึ่งของสมาธิ อานิสงส์หรือผลของเมตตาประการหนึ่ง (ในบรรดาอานิสงส์ ๑๑ ประการ) คือ ไม่หลงตาย๖ (อสมฺมุฬฺโห กาล กโรติ) ในภัททกสูตร๗ แห่งคัมภีร์อังคุตตรนิกาย พระสารีบุตรอธิบายถึงวิธีเตรียมตัวตายอย่างสงบ ภิกษุต้องจัดระบบชีวิตของตนเอง และมีท่าทีที่เหมาะสมเกี่ยวกับการเตรียมตัวอย่างสงบ

    คำแนะนำที่พระสารีบุตรได้ให้ไว้แก่ภิกษุ คือ

    ๑. ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ไม่ชอบ ไม่ยินดี และไม่ขวนขวายความชอบชีวิตที่สับสนวุ่นวายด้วยกิจกรรมต่าง ๆ

    ๒. ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ไม่ชอบ ไม่ยินดี และไม่ขวนขวายความชอบการคุย

    ๓. ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ไม่ชอบ ไม่ยินดี และไม่ขวนขวายความชอบความหลับ

    ๔. ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ไม่ชอบ ไม่ยินดี และไม่ขวนขวายความชอบคลุกคลีกับหมู่คณะ

    ๕. ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ไม่ชอบ ไม่ยินดี และไม่ขวนขวายความชอบคลุกคลีกับคฤหัสถ์

    ๖. ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ไม่ชอบ ไม่ยินดี และไม่ขวนขวายความชอบธรรมที่เป็นเหตุให้เนิ่นช้า (คือ ตัณหา มานะ และทิฏฐิ)


    ภิกษุผู้จัดระบบชีวิตของตนเช่นนี้ ย่อมชื่อว่ามีความตายอย่างสงบ ภิกษุเช่นนี้เรียกว่าผู้ยินดีนิพพาน ละสักกายะ เพื่อทำที่สุดแห่งทุกข์โดยชอบ

    ภยสูตรและลักขณสูตร๘ แห่งคัมภีร์อังคุตตรนิกาย อธิบายว่า “ถ้าบุคคลละเว้นจากกายทุจริต วจีทุจริต และมโนทุจริต เขาก็ไม่จำเป็นต้องกลัวตาย” ส่วนมหาปรินิพพานสูตร๙ กล่าวไว้อย่างชัดเจนว่า “บุคคลทุศีล มีศีลวิบัติแล้ว ย่อมหลงตาย ในขณะที่บุคคลมีศีล ถึงพร้อมแล้วด้วยศีล ย่อมไม่หลงตาย (คือตายอย่างมีสติ)” ดังนั้น ถ้าเราดำเนินชีวิตตามทำนองคลองธรรมอย่างธรรมดาดังกล่าวนี้แล้ว เราก็ไม่จำเป็นจะต้องไปกลัวอะไรกับความตาย ครั้งหนึ่ง พระเจ้ามหานามศากยะ กราบทูลพระพุทธเจ้าว่า ถ้าข้าพระองค์สิ้นชีวิตบนท้องถนน ข้าพระองค์มีความกังวลใจว่าคติของข้าพระองค์จะเป็นอย่างไร พระพุทธเจ้าตรัสอธิบายว่า ผู้ที่ได้รับอบรมด้วยธรรมะ คือ ศรัทธา ศีล สุต จาคะ และปัญญา เป็นเวลานาน ไม่จำเป็นจะต้องมีความกลัวเช่นนั้น (คือกลัวว่าตายไปแล้วจะไปเกิดที่ไหน) เพื่อจะแสดงให้ชัดเจนยิ่งขึ้น พระพุทธองค์จึงทรงยกอุปมา (ประกอบการอธิบาย) ดังนี้ “ในสถานการณ์ที่น่าเศร้าโศกเช่นนั้น ร่างกายอันประกอบด้วยมหาภูตรูป ๔… ย่อมถึงการแตกดับไปเป็นธรรมดา และถูกสัตว์ เช่น แร้ง, สุนัขจิ้งจอกกัดกิน แต่จิตที่อบรมด้วยศรัทธา ศีล สุตะ จาคะ และปัญญา เป็นเวลานาน ย่อมเป็นคุณชาติไปในเบื้องบนถึงคุณวิเศษ (เกิดในสุคติ) เปรียบเหมือนบุคคลลงไปยังห้วงน้ำลึกแล้วพึงทุบหม้อเนยใสหรือหม้อน้ำมัน สิ่งใดที่มีอยู่ในหม้อนั้น จะเป็นก้อนกรวดหรือกระเบื้องก็ตาม สิ่งนั้นจะจมลง สิ่งใดเป็นเนยใสหรือน้ำมัน สิ่งนั้นจะลอยขึ้นฉะนั้น” ๑๐


    เรื่องความป่วยไข้ของนกุลบิดา ก็เป็นอีกตอนหนึ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับท่าทีของพระพุทธศาสนาที่มีต่อความตาย ครั้งหนึ่ง นกุลบิดาป่วยหนัก และภรรยาของเขาคือนกุลมารดา สังเกตว่าเขามีความห่วงใยมากเสียเหลือเกิน จึงแนะนำเขาว่า การตายของผู้ที่มีความห่วงใยเป็นทุกข์ และพระผู้มีพระภาคก็ทรงติเตียน นางหลังจากปลอบโยนเขาแล้วจึงกล่าวว่า ท่านจะพึงมีความห่วงใยอย่างนี้ว่า เมื่อเราตายไปแล้ว นกุลมารดาจักไม่สามารถเลี้ยงดูบุตรและอยู่ครองเรือนได้ นางรับรองกับเขาว่า ดิฉันเป็นคนฉลาดในการปั่นฝ้ายและทำขนสัตว์ ดังนั้น ดิฉันจึงสามารถเลี้ยงดูบุตรและอยู่ครองเรือนได้ ท่านจะพึงมีความห่วงใยอีกว่าเมื่อเราตายไปแล้ว นกุลมารดาจะแต่งงานใหม่ นางจึงกล่าวว่า ทั้งท่านและดิฉันย่อมรู้ว่า ดิฉันไม่นอกใจ (ซื่อสัตย์) ต่อท่านนับตั้งแต่ได้แต่งงานกับท่านเมื่อ ๑๖ ปี และดิฉันสาบานว่า ดิฉันจะไม่แต่งงานใหม่หลังจากที่ท่านตายไปแล้ว… บางทีเขาอาจจะมีความห่วงใยเกี่ยวกับการพัฒนาจิตของนาง แต่นางก็รับรองกับเขาว่า ดิฉันจะกระตือรือร้นในการพัฒนาจิตของตนต่อไป ดังนั้น เขาจึงได้เผชิญหน้าต่อความตาย ถ้าจำเป็นต้องเป็นเช่นนั้น โดยปราศจากความห่วงใย ดังกล่าวมานี้ คือคำแนะนำของนกุลมารดาที่มีต่อสามีของนางผู้ป่วยหนักถึงขั้นจะเอาชีวิตไม่รอด กล่าวได้ว่า เมื่อนกุลมารดาได้แนะนำแก่นกุลบิดาผู้สามีเช่นนี้แล้วความเจ็บป่วยของเขานั้น ก็ได้สงบระงับโดยฉับพลันทันทีและเขาได้หายจากความเจ็บป่วยนั้น พระพุทธองค์จึงตรัสชมเชยถึงความฉลาดและความมีสติของนกุลมารดาแก่นกุลบิดา นอกจากนั้น สัญญาสูตรที่ ๑๑๒ และ ๒๑๓ แห่งคัมภีร์อังคุตตรนิกาย ได้กล่าวไว้ว่า “การกำหนด หรือการพิจารณาความตาย (มรณสัญญา) ที่ภิกษุกระทำบ่อย ๆ ย่อมมีอานิสงส์มาก” ในปฏิปทาสูตรที่ ๔๑๔ พระพุทธเจ้าทรงแสดงแก่ภิกษุว่า การเจริญมรณสติบ่อย ๆ ย่อมมีอานิสงส์มาก หยั่งลงสู่อมตะ มีอมตะเป็นที่สุด ต่อจากนั้นจึงตรัสถึงวิธีเจริญมรณสติไว้ ดังนี้

    “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เมื่อกลางวันสิ้นไป กลางคืนเวียนมา (และเมื่อกลางคืนสิ้นไปกลางวันเวียนมาถึง) ย่อมพิจารณาดังนี้ว่า ปัจจัยแห่งความตายของเรามีมากหนอ คืองูพึงกัดเราก็ได้ แมงป่องพึงต่อยเราก็ได้ ตะขาบพึงกัดเราก็ได้ อาหารที่เราบริโภคแล้วไม่ย่อยเสียก็ได้ ดีของเราพึงซ่านก็ได้ เสมหะของเราพึงกำเริบก็ได้ ลมมีพิษดังศัสตราของเราพึงกำเริบก็ได้ มนุษย์ทั้งหลายพึงเบียดเบียนเราก็ได้ พวกอมนุษย์พึงเบียดเบียนเราก็ได้ เพราะเหตุนั้น เราพึงสิ้นชีวิต ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุนั้นพึงพิจารณา (ต่อไป) ดังนี้ว่า ธรรมอันเป็นบาป (และ) อกุศลที่เรายังละไม่ได้ ที่จะพึงเป็นอันตรายแก่เราผู้สิ้นชีวิตในกลางคืนมีอยู่หรือหนอแล ถ้าภิกษุพิจารณาก็จะรู้อย่างนี้ว่า ธรรมอันเป็นบาป (และ) อกุศลที่เรายังละไม่ได้ ที่จะพึงเป็นอันตรายแก่เราผู้สิ้นชีวิตในกลางคืนมีอยู่ ภิกษุนั้นพึงกระทำความพอใจ ความพยายาม ความอุตสาหะ ความเพียร ความไม่ท้อถอย สติและสัมปชัญญะให้ยิ่ง เพื่อละธรรมอันเป็นบาป (และ) อกุศลเหล่านั้นเสีย เปรียบเหมือนคนที่มีผ้าไฟไหม้หรือศีรษะถูกไฟไหม้ พึงกระทำความพอใจ ความพยายาม ความอุตสาหะ ความเพียร ความไม่ท้อถอย สติและสัมปชัญญะให้ยิ่ง เพื่อดับไฟไหม้ผ้าหรือศีรษะนั้นฉะนั้น ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ถ้าภิกษุพิจารณาอยู่ก็จะรู้อย่างนี้ว่า ธรรมอันเป็นบาป (และ) อกุศลที่เรายังละไม่ได้ ที่จะพึงเป็นอันตรายแก่เราผู้สิ้นชีวิตในกลางคืนไม่มี ภิกษุนั้นพึงเป็นผู้มีปีติและปราโมทย์หมั่นศึกษาทั้งกลางวันและกลางคืนในกุศลธรรมทั้งหลายอยู่” ดังนั้น คัมภีร์ทางพระพุทธศาสนาจึงได้ย้ำไว้เสมอเกี่ยวกับอานิสงส์ หรือผลของการพิจารณาหรือการระลึกถึงความตายอยู่เป็นประจำ จากการระลึกถึงความตายนี้เอง ช่วยทำให้เราเผชิญหน้ากับความตาย ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่แน่นอน เพียงเหตุการณ์เดียวเท่านั้นในชีวิตด้วยความมีสติและความมีปัญญารู้เท่าทันโดยปราศจากความกลัว <?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    ที่มา www.buddhamahayan.com
     
  8. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870
    ฝึกพลังจักรวาลในห้องเเชตทุกวันค่ะfly_pig

    :z10เชิญที่นี้ค่ะ >>> http://chat.palungjit.org/

    สันโดษอยู่ จ.-ศ. หลังหกโมงเย็นจนนอนนะคะ

    ส่วน เสาร์-อาทิตย์ ก็อยู่ทั้งวัน

    เเต่จะเข้ามาต้องเปิดใจนะคะ

    เพราะว่า พวกเรา ให้อิสระกับการเเสดงออก

    (มากจนคนอื่นสามารถมองว่าพวกเราเป็นบ้าได้!!!)


    เเต่พวกเรามีสติ ระลึกเเละรู้ตัวตลอดเวลา มันเป็นปรากฎการณ์

    ที่เกิดจากการปลดปล่อยจิตให้เป็นอิสระเท่านั้นเองค่ะ

    เช่น เทพต่างๆ หรือ ปีศาจ มาร หรือ มนุษย์ต่างดาว

    อาการเหมือนจะเหมือนถูกสิง เเต่พวกเรา มีสติรู้ตัวตลอดจริงๆของจริงๆ ค่ะ

    มันเหมือนกับว่า เรามีหน้าที่ในการเป็น ประจักษ์พยานของ ในโลกของวิญญาณเท่านั้นเอง

    ที่พวกเขาอยากเเสดงตัวว่าพวกเขามีตัวตน

    ตรงไหนที่ติดขัดเเละสงสัย สันโดษไม่ได้เเก้นะคะ

    สอนให้ดูจิตที่เขาเเสดงออกให้ดูอย่างเดียวจริงๆ<!-- google_ad_section_end -->
     
  9. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 มิถุนายน 2009
  10. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870
    [BIGVDO]http://audio.palungjit.org/attachment.php?attachmentid=26537[/BIGVDO]​
     
  11. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=3 width=522 bgColor=white border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD width=140 bgColor=white>[​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    </TD><TD width=382 background=./image/bg04.gif bgColor=white>[​IMG]
    <TABLE width=382 border=1><TBODY><TR vAlign=top><TD align=middle bgColor=#993399 colSpan=2>จักร์มงกุฏ</TD></TR><TR vAlign=top><TD width=100>ศูนย์พลัง</TD><TD>สีม่วง</TD></TR><TR vAlign=top><TD width=100>ที่ตั้ง</TD><TD>กระหม่อม</TD></TR><TR vAlign=top><TD width=100>ธาตุ</TD><TD>รู้ , เจตน์จำนงค์</TD></TR><TR vAlign=top><TD width=100>หน้าที่</TD><TD>ให้ชีวิตชีวา ช่วยสมองส่วนบน</TD></TR><TR vAlign=top><TD width=100>ต่อมอวัยวะ</TD><TD>ต่อมไพนีล ศุนย์รวมระบบประสาทตาข้างขวา</TD></TR><TR vAlign=top><TD width=100>อัญมณี , แร่ธาตุ</TD><TD>เพชร , พลอย สีม่วง</TD></TR><TR vAlign=top><TD width=100>อาหาร</TD><TD>ผลไม้ พืชผักสีม่วง</TD></TR><TR vAlign=top><TD width=100>ถ้ามีคุณภาพหรือได้เรียนรู้</TD><TD>จะสามารถสัมผัสกับสิ่งที่เรามองไม่เห็น เช่น วิญญาณในภพภูมิต่าง ๆ เชื่อเกี่ยวกับเทพและวิญญาณระดับต่าง ๆ และสามารถติดต่อได้ มีเอกภาพ มีอุดมคติ เสียสละ เชื่อเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด และชีวิตนอกโลกว่ามีจริง </TD></TR><TR vAlign=top><TD width=100>ถ้าไม่มีคุณภาพหรือมีพลังน้อย</TD><TD>จะขาดความกระตือรือร้น สับสนวุ่นวาย มีความลังเล ทำตัวแปลก เหินห่างสังคม แก่เกินวัย ไม่เชื่อเกี่ยวกับศาสนา</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE width=382 border=1><TBODY><TR vAlign=top><TD align=middle bgColor=#000099 colSpan=2>จักร์หน้าผาก</TD></TR><TR vAlign=top><TD width=100>ศูนย์พลัง</TD><TD>สีน้ำเงิน</TD></TR><TR vAlign=top><TD width=100>ที่ตั้ง</TD><TD>หน้าผากหรือเหนือระหว่างคิ้ว</TD></TR><TR vAlign=top><TD width=100>ธาตุ</TD><TD>แสงสว่าง</TD></TR><TR vAlign=top><TD width=100>หน้าที่</TD><TD>เป็นตาที่สาม ใช้ชีวิตชีวาแก่สมองส่วนล่างและระบบประสาทให้เกิดญาณทัศนะ</TD></TR><TR vAlign=top><TD width=100>ต่อมอวัยวะ</TD><TD>ต่อมพิจูอิทารี ต่อฐานสมองเกี่ยวกับตาข้างซ้าย จมูกและหูทั้ง 2 ข้าง</TD></TR><TR vAlign=top><TD width=100>อัญมณี , แร่ธาตุ</TD><TD>อัญมณีสีน้ำเงินแก่และแร่ธาตุสีน้ำเงินแก่</TD></TR><TR vAlign=top><TD width=100>อาหาร</TD><TD>ผลไม้ พืชผักสีน้ำเงินแก่</TD></TR><TR vAlign=top><TD width=100>ถ้ามีคุณภาพหรือได้เรียนรู้</TD><TD>จะสามารถเข้าสมาธิได้ง่าย เกิดวิปัสสนาญาณ มีตาทิพย์ จิตใจสงบสุข มีความจงรักภักดี สัมผัสกับสิ่งที่สัมผัสได้ยาก มีจินตนาการในทางที่ดี </TD></TR><TR vAlign=top><TD width=100>ถ้าไม่มีคุณภาพหรือมีพลังน้อย</TD><TD>ขาดสมาธิ มีความกลัว ชอบเยาะเย้ย ถากถาง เครียด ปวดหัว สายตามีปัญหา ฝันร้าย เบื่อหน่ายโลกอย่างไม่มีเหตุผล</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE width=382 border=1><TBODY><TR vAlign=top><TD align=middle bgColor=#66ccff colSpan=2>จักร์ลำคอ</TD></TR><TR vAlign=top><TD width=100>ศูนย์พลัง</TD><TD>สีน้ำเงินอ่อน หรือสีฟ้า</TD></TR><TR vAlign=top><TD width=100>ที่ตั้ง</TD><TD>ลำคอ</TD></TR><TR vAlign=top><TD width=100>ธาตุ</TD><TD>อากาศ</TD></TR><TR vAlign=top><TD width=100>หน้าที่</TD><TD>เกี่ยวกับการแสดงออกทางคำพูด เสียง การสื่อความหมาย</TD></TR><TR vAlign=top><TD width=100>ต่อมอวัยวะ</TD><TD>ต่อมไธรอยด์ พาราไธรอยด์ ลำคอ ปาก</TD></TR><TR vAlign=top><TD width=100>อัญมณี , แร่ธาตุ</TD><TD>เพชร พลอย สีน้ำเงินอ่อน</TD></TR><TR vAlign=top><TD width=100>อาหาร</TD><TD>ผลไม้ พืชผัก สีน้ำเงินอ่อนหรือสีฟ้า</TD></TR><TR vAlign=top><TD width=100>ถ้ามีคุณภาพหรือได้เรียนรู้</TD><TD>มีความสามารถในการแสดงวาทะศิลป์ สื่อความหมายได้ชัดเจน พูดแบบถ่อมตน สร้างสรรค์ มีความเมตตา เชื่อถือได้ ให้เกียรติผู้อื่น สุภาพอ่อนโยน </TD></TR><TR vAlign=top><TD width=100>ถ้าไม่มีคุณภาพหรือมีพลังน้อย</TD><TD>ไม่สามารถสื่อความหมายได้อย่างชัดเจน มีปัญหาในหารพูด ใช้ความรู้อย่างไม่ฉลาด ขาดการใช้วิจารณญาณ มีความหดหู่ ไม่ร่าเริง มีปัญหาเกี่ยวกับไธรอยด์ </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE width=382 border=1><TBODY><TR vAlign=top><TD align=middle bgColor=green colSpan=2>จักร์หัวใจ</TD></TR><TR vAlign=top><TD width=100>ศูนย์พลัง</TD><TD>สีเขียว</TD></TR><TR vAlign=top><TD width=100>ที่ตั้ง</TD><TD>ทรวงอก</TD></TR><TR vAlign=top><TD width=100>ธาตุ</TD><TD>ลม</TD></TR><TR vAlign=top><TD width=100>หน้าที่</TD><TD>รับพลังมาจากจักรวาล เทพ หรือวิญญาณชั้นสูง ทำให้เกิดพลังชีวิตที่สมบูรณ์ โลหิตไหลเวียนดี ช่วยให้ร่างกายแข็งแรง</TD></TR><TR vAlign=top><TD width=100>ต่อมอวัยวะ</TD><TD>หัวใจ ต่อมไร้ท่อ ที่อยู่ข้างกระดูกเต้านมขึ้นไปถึงบริเวณต่อมไธรอยด์ คือต่อมไร้ท่อ 2 พู ที่อยู่ข้างหลอดคอ ช่วยระบบหมุนเวียน แขนทั้งสองข้างและมือทั้งสองและปอด</TD></TR><TR vAlign=top><TD width=100>อัญมณี , แร่ธาตุ</TD><TD>หยก เพชร พลอย สีมรกต</TD></TR><TR vAlign=top><TD width=100>อาหาร</TD><TD>ผลไม้ ผัก พืชสีเขียว</TD></TR><TR vAlign=top><TD width=100>ถ้ามีคุณภาพหรือได้เรียนรู้</TD><TD>มีความรักที่แท้จริง มีอัปปมัญญาธรรม สงสารเพื่อนมนุษย์ ให้อภัย ยอมรับความคิดเห็นของเพื่อนมนุษย์ เปิดเผย อยู่ร่วมกับเพื่อนมนุษย์อย่างมีความสุข ไม่เอารัดเอาเปรียบ ไม่เห็นแก่ตัว </TD></TR><TR vAlign=top><TD width=100>ถ้าไม่มีคุณภาพหรือมีพลังน้อย</TD><TD>จะผิดหวังเรื่องความรัก เอาแต่ใจตัวเอง ควบคุมตัวเองไม่ได้ โรคหัวใจ การไหลเวียนโลหิตไม่ดี </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE width=382 border=1><TBODY><TR vAlign=top><TD align=middle bgColor=#ffcc00 colSpan=2>จักร์สุริยประสาท</TD></TR><TR vAlign=top><TD width=100>ศูนย์พลัง</TD><TD>สีเหลือง</TD></TR><TR vAlign=top><TD width=100>ที่ตั้ง</TD><TD>กลางหัวใจกับสะดือ</TD></TR><TR vAlign=top><TD width=100>ธาตุ</TD><TD>ไฟ</TD></TR><TR vAlign=top><TD width=100>หน้าที่</TD><TD>ช่วยให้ระบบประสาททำงานได้ดี ช่วยระบบขับย่อย ช่วยการสันดาบ ( metabolism ) ควมคุมอารมณ์</TD></TR><TR vAlign=top><TD width=100>ต่อมอวัยวะ</TD><TD>ตับอ่อน ต่อมหมวกไต ท้อง ตับ ถุงน้ำดี ระบบประสาท กล้ามเนื้อ</TD></TR><TR vAlign=top><TD width=100>อัญมณี , แร่ธาตุ</TD><TD>อัญมณีสีเหลือง แก้วตาเสือ ทองคำ แร่ธาตุสีเหลือง</TD></TR><TR vAlign=top><TD width=100>อาหาร</TD><TD>ผลไม้ ผัก พืชสีเหลือง</TD></TR><TR vAlign=top><TD width=100>ถ้ามีคุณภาพหรือได้เรียนรู้</TD><TD>จะสามารถมีความมั่นใจในตัวเอง มีเจตน์จำนงค์แน่วแน่ ควบคุมความต้องการของตนเองได้ ตื่นตัวเสมอ มีอารมณ์ขัน มีความร่าเริงแจ่มใส เชื่อในความเป็นอมตะ </TD></TR><TR vAlign=top><TD width=100>ถ้าไม่มีคุณภาพหรือมีพลังน้อย</TD><TD>เป็นคนที่มีความหวาดระแวง ไม่เชื่อมั่นในตัวเอง มักมีความโกรธ เกลียด มีปัญหาระบบขับถ่ายและย่อยอาหาร </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE width=382 border=1><TBODY><TR vAlign=top><TD align=middle bgColor=#ff9922 colSpan=2>จักร์สะดือ</TD></TR><TR vAlign=top><TD width=100>ศูนย์พลัง</TD><TD>สีส้ม</TD></TR><TR vAlign=top><TD width=100>ที่ตั้ง</TD><TD>สะดือ</TD></TR><TR vAlign=top><TD width=100>ธาตุ</TD><TD>น้ำ</TD></TR><TR vAlign=top><TD width=100>หน้าที่</TD><TD>ให้เกิดความรู้สึกทางเพศ นำอาหารไปหล่อเลี้ยงร่างกาย ทำให้มีชีวิตชีวา</TD></TR><TR vAlign=top><TD width=100>ต่อมอวัยวะ</TD><TD>รังไข่ ลูกอัณฑะ ต่อมลูกหมาก อวัยวะสืบพันธุ์ ม้าม มดลูก กระเพาะปัสสาวะ</TD></TR><TR vAlign=top><TD width=100>อัญมณี , แร่ธาตุ</TD><TD>อัญมณีสีส้ม โกราล แร่ธาตุสีส้ม</TD></TR><TR vAlign=top><TD width=100>อาหาร</TD><TD>ส้มและน้ำส้ม ผลไม้ ผัก พืชสีส้ม</TD></TR><TR vAlign=top><TD width=100>ถ้ามีคุณภาพหรือได้เรียนรู้</TD><TD>จะสามารถรู้จักให้และรับ ควบคุมอารมณ์ได้ดี ชอบความเปลี่ยนแปลง ยอมรับความคิดใหม่ ๆ แปลก ๆ รู้จักยอมตัวอยู่ร่วมกับครอบครัวได้ดี มีความคิดในทางสร้างสรรค์ร่วมกับเพื่อนมนุษย์ </TD></TR><TR vAlign=top><TD width=100>ถ้าไม่มีคุณภาพหรือมีพลังน้อย</TD><TD>มักมากในกามคุณ มีปัญหาเรื่องทางเพศ สับสน วุ่นวาย เห็นแก่ตัว อิจฉา ริษยา ต้องการที่จะครอบครองทั้งที่ไม่สามารถ มีปัญหาเกี่ยวกับกระเพาะ ไร้สมรรถภาพทางเพศ </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE width=382 border=1><TBODY><TR vAlign=top><TD align=middle bgColor=#cc0033 colSpan=2>จักร์ฐาน</TD></TR><TR vAlign=top><TD width=100>ศูนย์พลัง</TD><TD>สีแดง</TD></TR><TR vAlign=top><TD width=100>ที่ตั้ง</TD><TD>กันกบ</TD></TR><TR vAlign=top><TD width=100>ธาตุ</TD><TD>ดิน</TD></TR><TR vAlign=top><TD width=100>หน้าที่</TD><TD>ทำให้ร่างกายแข็งแรง มีชีวิตชีวา มีสัญชาตญาณในการต่อสู้เพื่อตัวเอง มีภูมิต้านทานดี</TD></TR><TR vAlign=top><TD width=100>ต่อมอวัยวะ</TD><TD>หมวกไต ไต กระดูกสันหลัง ลำไส้ใหญ่ ขาทั้งสอง กระดูกทั้งหมด</TD></TR><TR vAlign=top><TD width=100>อัญมณี , แร่ธาตุ</TD><TD>อัญมณีสีแดง แร่ธาตุสีแดง</TD></TR><TR vAlign=top><TD width=100>อาหาร</TD><TD>โปรตีนสีแดง เช่น พวกเนื้อแดงต่าง ๆ ผลไม้ ผัก พืชสีแดง</TD></TR><TR vAlign=top><TD width=100>ถ้ามีคุณภาพหรือได้เรียนรู้</TD><TD>จะสามารถมีสุขภาพพลานมัยที่ดี แข็งแรง มีความสำเร็จในทางวัตถุ แบบนักวัตถุนิยมที่มีความสำเร็จ มีความมั่นคงทั้งทางกายและจิตใจ มีความอดทน มีความกล้าหาญในการต่อสู้เพื่อความอยู่รอด </TD></TR><TR vAlign=top><TD width=100>ถ้าไม่มีคุณภาพหรือมีพลังน้อย</TD><TD>โลภ เป็นคนเห็นแก่ตัว มีความอ่อนแอ มักโกรธ มีความเครียด ท้องผูกเสมอ ปวดตามกระดูกสันหลัง </TD></TR></TBODY></TABLE></TH>
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  12. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870
    <CENTER>= พ ลั ง ก า ย ทิ พ ย์ =

    </CENTER>




    [​IMG]

    พ ลั ง ก า ย ทิ พ ย์ ..
    อวกาศสีขาว . .

    . . . ม นุ ษ ย์ นั้ น มี ร่างกายและจิตใจ ทำงานร่วมกัน

    ร่างกายของมนุษย์เรานอกจากรูปร่างหน้าตาภายนอกซึ่งเรียกว่ากายเนื้อหรือกายหยาบแล้ว ยังมีร่างกายภายใน ที่เป็นกายละเอียดเกาะเกี่ยวซ้อนทับอยู่ภายในร่างกายซึ่งเรียกว่ากายทิพย์ กายทิพย์นั้นเป็นคลื่นพลังงานที่มีรัศมีเรืองรอง สามารถแผ่ซ่านออกมานอกกายเนื้อตามกระแสพลังของจิตใจ-อารมณ์-ความคิด-และความสมบูรณ์ของร่างกาย ซึ่งบางคนอาจมองเห็นด้วยตาเปล่า หรือที่เรียกว่าออร่า

    กายทิพย์หากมีรัศมีหม่นมัว สีสันไม่แจ่มจ้าสดใส อาจหมายถึงโรคภัยไข้เจ็บ หรือมีอารมณ์ความคิดที่เป็นด้านลบ การสัมผัสถึงกายทิพย์หรือรัศมีกายทิพย์ของผู้อื่น สามารถทำได้ แม้นจะไม่ใช่การมองเห็นด้วยตาเปล่า แต่อาจรับรู้ด้วยความรู้สึก ล่วงรู้ว่าบุคคลนั้นกำลังตกอยู่ในความสุขความเศร้า เป็นคนนิสัยใจคออย่างไร แม้รูปร่างภายนอกจะดูดี พูดจาดี แต่เราอาจรู้สึกว่าเขากำลังเจ็บป่วยทางใจ คือไม่เหมือนอย่างที่เห็น คนที่รู้สึกถึงกายทิพย์นี่ได้ จะต้องเป็นผู้มีสมาธิจิตพอควร ไม่ใช่ทึกทักเอาตามความคิด

    กายทิพย์และรัศมีกายทิพย์มีความละเอียดซับซ้อนมาก นอกจากจะบอกเรื่องสุขภาพหรือปัญหาสุขภาพที่จะเกิดขึ้นกับกายหยาบล่วงหน้า ยังบอกถึงสภาพอารมณ์จิตใจ โชควาสนา และยังมีความเชื่อกันว่า สามารถบ่งบอกถึงอดีตชาติซึ่งเป็นกายทิพย์ชาติก่อนๆ ซ้อนทับกันลงไปเรื่อยๆ แม้กายภายนอกของชาติก่อนๆ จะตายไปแล้ว แต่กายทิพย์ของชาติก่อนๆ ยังซ้อนกันอยู่ นี่เป็นเหตุที่ทำให้คนเราในชาตินี้ มีนิสัยใจคอ-ความรู้ความสามารถติดตัวมาจากชาติก่อนๆ ด้วย

    จิตนั้นต้องเดินทางผ่านกาลเวลามาอย่างยาวนาน อาศัยรูปขันธ์เกิดตามวิบากกรรมหรือที่เรียกว่าวาสนาบารมี จะเกิดมาดีบ้างหรือไม่ดีบ้างขึ้นลงวนอยู่ในภพภูมิสูงต่ำไปตามยถากรรม ซึ่งตัวเองปรุงแต่งไว้ตามกิเลสความลุ่มหลงและอุปาทานในขณะนั้นๆ เกิดดับเรื่อยมาช้านานด้วยความไม่รู้ และความไม่รู้นี้เองที่นำพาจิตเวียนว่ายอยู่ในทะเลทุกข์ หาทางหลุดพ้นไม่เจอ จนกว่าจะเกิดความรู้ขึ้นมา และหาทางยุติกรรมได้ด้วยความรู้นั้น

    แต่ในขณะที่จิตยังต้องท่องเที่ยวอยู่ในสังสารวัฏฏะ ก็ยังต้องอาศัยรูปหรือร่างกายเป็นแดนเกิดเพื่อสะสางกรรมที่สร้างไว้ รูปหรือร่างกายที่อาศัยนี้ก็ไม่มีความคงทน เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ตามกฎของธรรมชาติและกฎกรรมตลอดเวลา มีความเสื่อมและเจ็บป่วยอยู่เสมอ สร้างความทุกข์ให้มิใช่น้อยแม้นยังไม่ตาย การเสริมสร้างพลังกายทิพย์ นับว่าเป็นการเสริมสร้างพลังทางร่างกาย และทำให้มีสุขภาพที่แข็งแรงขึ้นด้วย เพราะการเสริมสร้างพลังกายทิพย์ ก็คือการดูแลร่างกายและจิตใจให้ดีขึ้นนั่นเอง

    แม้นปัจจุบัน วิทยาการแพทย์ในยุคดิจิตอลจะก้าวหน้าไปมาก แต่ท่ามกลางความเจริญก็กลับนำพาสารพิษและมลภาวะรวมถึงความเครียดในการดำรงชีวิตในสังคมที่ต้องแก่งแย่งแข่งขันมาสู่สุขภาพอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะคนในสังคมเมือง

    ในร่างกายมนุษย์ที่เกิดขึ้นมาได้ ประกอบด้วยธาตุหก คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ อากาศ วิญญาณ (จิต) หากรักษาความสมดุลของธาตุทั้งหลายเหล่านี้ไว้ได้ สุขภาพก็จะแข็งแรง กายทิพย์เองก็เป็นตัวบ่งบอกถึงความสมดุลในร่างกายเช่นกัน ทั้งยังสามารถพัฒนากายทิพย์ให้ทรงอานุภาพมากยิ่งขึ้นได้ด้วยการปฏิบัติทางจิตและทางกาย

    นอกจากกายทิพย์จะมีความคงทนถาวรกว่ากายเนื้อ ทั้งยังต้องเดินทางเกาะเกี่ยวไปกับจิตอีกเนิ่นนานและจะอีกนาน.. ไปจนกว่าจิตจะชำระล้างกิเลสเข้าสู่ความบริสุทธิ์หรือเข้านิพพาน หากกายเนื้อตายลงนั้น กายทิพย์หรือกายวิญญาณที่อยู่กับจิตก็จะต้องหาร่างกายใหม่หรือรูปขันธ์ใหม่อาศัย ซึ่งจะเป็นไปตามวิบากบุญบาปที่สร้างเอาไว้ หากไปเกิดเป็นเทวดาหรือพรหม กายใหม่จะละเอียดมากกว่ากายทิพย์ขณะเป็นมนุษย์ และจะมีผลต่อกายทิพย์ในกายใหม่นั้นด้วย กายทิพย์นั้นจะแปรเปลี่ยนไปตามบุญวาสนาและสภาพจิตใจ

    กายทิพย์ที่มีพลานุภาพ ย่อมทำให้กายหยาบมีพลานุภาพไปด้วย การเพิ่มพลังอานุภาพให้กายทิพย์คนเรานั้น สามารถฝึกฝนปฏิบัติได้ด้วยการรักษาสภาพร่างกายและจิตใจให้สมบูรณ์ การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์เช่นผักผลไม้สะอาด การอยู่ในธรรมชาติที่สะอาด มีผลต่อสุขภาพร่างกายฉันใด การให้อาหารจิตที่ดี เช่นมีความคิดในด้านบวก มีความรักความเอื้ออาทร หรือการฝึกฝนสมาธิจิต ฯลฯ ก็มีผลต่อสุขภาพจิตฉันนั้น

    [​IMG]
    .. ภายในกายเนื้อหรือกายทิพย์ จะมีจักระหรือศูนย์พลังทั้ง 7 อยู่ภายใน เป็นทางขับเคลื่อนของปราณก่อนกระจายไปทุกอณูในร่างกาย จักระแต่ละจุดจะมีสีแห่งชีวิต จักระ1 อยู่ตรงฝีเย็บระหว่างอวัยวะเพศและทวารหนักมีสีแดง จักระ2 อยู่ตรงก้นกบมีสีส้ม จักระ3 อยู่บนกระดูกสันหนังแนวเดียวกับสะดือมีสีเหลือง จักระ4 อยู่บนกระดูกสันหลังแนวเดียวกับหัวใจมีสีเขียว จักระ5 อยู่บนกระดูกสันหลังช่วงต้นคอมีสีฟ้า จักระ6 อยู่ระหว่างคิ้วตรงหน้าผากหรือดวงตาที่สามมีสีไพลิน จักระ7 อยู่บนกระหม่อมมีสีม่วง

    เมื่อปราณหรือพลังกุณฑาลินี ที่สถิตปลายสุดของกระดูกสันหลัง ถูกปลุกให้ตื่นขึ้น มันจะพุ่งสู่จักระสุดท้ายเหนือศีรษะ ซึ่งเชื่อมต่อกับพลังจักรวาลที่มีอยู่ทั้งหมด มันจะมอบความรู้แจ้งในตนเองให้กับผู้ที่ทำได้ แต่ละจักระจะมีคุณสมบัติทางจิตวิญญาณ เมื่อจักระทั้งเจ็ดถูกเปิดขึ้น สามารถเดินลมปราณได้ทะลุทะลวงทั่วร่างกาย จะทำให้ร่างกายสามารถแก้ไขความไม่สมดุลทั้งทางร่างกายและจิตใจ โดยการนำคลื่นพลังหรือปราณไปแก้ไขในจุดที่บกพร่อง ทั้งยังช่วยให้ผู้ปฏิบัติขั้นสูงรวมเป็นหนึ่งเดียวกับความสุขสงบ และพบความสมบูรณ์ทางจิต การปฏิบัติสมาธิเป็นประจำ และนำพลังชีวิตไปใช้ในทางสร้างสรรค์ อ่อนน้อมถ่อมตน เอื้ออาทรและมีความเมตตา นอกจากสุขภาพจะพัฒนาดีขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ ยังช่วยให้ตื่นตัวไวต่อการรับรู้ถึงพลังธรรมชาติรอบ ๆ ตัวของเราได้อย่างน่าอัศจรรย์ เราจึงสามารถทำให้กายทิพย์แข็งแรงทั้งด้วยการขับเคลื่อนปราณในร่างกาย และนำพลังจักรวาลเข้ามาฟื้นฟูพลังกายทิพย์เราได้

    ขุมพลังสู่การเพิ่มอานุภาพพลังกายทิพย์
    ด้วย พลังสมาธิ - พลังปราณ - พลังคอสมิค


    พลังสมาธิ (พลังจิต) การจะฝึกฝนศาสตร์และองค์ความรู้ทุกแขนง จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องใช้สมาธิ-สติ-ปัญญา เป็นตัวนำพาเราไปสู่ขบวนการความรู้แจ้งในศาสตร์นั้นๆ สมาธินับเป็นฐานกำลังสำคัญต่อกระบวนทั้งร่างกายและจิตใจ การฝึกสมาธิให้จิตสงบแน่วแน่มีพลานุภาพต่อการรับรู้และนำมาใช้งานนั้นเป็นเรื่องจำเป็น เพราะจิตใจที่ไม่เป็นระเบียบและไม่เป็นสมาธิ จะไม่สามารถนำไปใช้งานอะไรได้เลย สมาธิเองเป็นฐานที่จะปฏิบัติให้พลังกายทิพย์ก้าวหน้าด้วยเช่นกัน การรวบรวมสมาธิได้ ย่อมปลุกพลังปราณและรับพลังคอสมิคได้ การรับปราณภายนอกตัวและพลังคอสมิค ในขั้นต้น ไม่จำเป็นต้องใช้สมาธิสูงอะไรเลยด้วยซ้ำ

    พลังปราณ (พลังชีวิตหรือพลังกุณฑาลิณีหรือคนจีนเรียกว่าชี่) พลังปราณหรือพลังชีวิต เป็นพลังดั้งเดิมของจักรวาลที่สั่นสะเทือนอยู่ในร่างกายเรา บ่งบอกถึงความเป็นหนึ่งเดียวกับจักรวาลในตัวเรา แม้นเราจะแยกตัวออกมาแล้ว เราสามารถเชื่อมต่อพลังชีวิตของเรากับจักรวาลได้ การฝึกสมาธิจนสามารถกระตุ้นปราณในตัวให้ตื่นขึ้น ไหลเวียนไปตามจักระทั้งเจ็ดในร่างกาย จะส่งผลต่อสุขภาพ ที่ทำให้มีชีวิตชีวา เป็นแรงขับเคลื่อนอยู่ภายในซึ่งหล่อเลี้ยงชีวิตให้กระชุ่มกระชวย นอกจากปราณในตัวแล้ว พลังชีวิตนอกตัวหรือปราณนอกตัว ยังมีอยู่ในอากาศ สายลม ดอกไม้ ต้นไม้ น้ำค้าง ก้อนหิน ฯลฯ สรรพสิ่งในโลกล้วนมีพลังซ่อนอยู่ในตัวเอง ธรรมชาติที่บริสุทธิ์จะช่วยให้ร่างกายของเราฟื้นสมรรถภาพได้แม้ในยามเจ็บป่วย แม้นแต่พลังจากดวงดาวต่างๆ ที่ส่องมายังโลก ก็นำมาใช้ในการฟื้นฟูจักระทั้งเจ็ดในร่างกาย พลังแสงอาทิตย์นับเป็นพลังชีวิตขนาดยิ่งใหญ่มหาศาล ก่อให้เกิดสิ่งมีชีวิตต่างๆ หากเราต้องอยู่ในที่อับแสงมืดมิดเป็นเวลานานเกินไป จะส่งผลให้ร่างกายห่อเหี่ยวและอาจถึงตายได้

    พลังคอสมิค (ต่างจากกัมมันตรังสีcosmic ในอวกาศและแสงอาทิตย์ที่เป็นอันตราย) หรือที่เรียกพลังจักรวาล (จิตจักรวาล) เชื่อว่ามีอยู่รอบๆ ตัวเรา เป็นพลังที่ส่งมาจากจักรวาลหรือจิตจักรวาล เป็นคลื่นพลังงานจากจิตเบื้องบน หรือจิตที่สูงส่ง มีความรักความเมตตาหาประมาณไม่ได้ เชื่อว่าเป็นพลังแห่งความรัก พลังศักดิ์สิทธิ์ พลังแห่งการรักษา-โอบอุ้ม-คุ้มครอง เราสามารถรับพลังคอสมิคได้ชัดเจนเมื่อจิตมีสมาธิ หากสามารถกระตุ้นจักระทั้งเจ็ดในตัวและรับคลื่นพลังจักรวาลได้ นอกจากจะช่วยให้กายทิพย์และกายเนื้อเรามีพลานุภาพมากขึ้น รักษาโรคภัยไข้เจ็บในตัวเอง ยังสามารถส่งพลังนี้ผ่านตัวเราไปรักษาผู้ป่วยคนอื่นๆ โดยเชื่อว่าพลังจักรวาลจะสื่อจากตัวเราส่งผ่านมือเปล่าไปรักษาอาการเจ็บป่วยของผู้ที่ต้องการมาให้ช่วยเหลือ พลังคอสมิคมีพลังอำนาจ สามารถนำมาใช้ในด้านรักษาและทำลายล้างได้ตามจิตใจของตัวเราเอง หากนำมาใช้ในด้านดีงามพลังก็จะพัฒนาไปถึงขีดสุด แต่หากนำมาใช้ในเรื่องไม่ดีก็จะทำลายล้างตัวเราเองเช่นกัน

    จะเห็นได้ว่า เราแทบจะแยกพลังสมาธิตัวเราเอง พลังปราณในตัว-ปราณนอกตัว และพลังจักรวาลได้ยาก การมีพลังจิตจนสามารถนำพลังนอกตัวมาประสานกับตัวเอง กายทิพย์ก็จะทรงพลังมากขึ้น เมื่อนำพลังงานจักรวาลและพลังงานของดวงดาวต่างๆ มาใช้ด้วยสมาธิ โดยการใช้ตัวเองเป็นตัวกลางในการรับคลื่นพลังก่อนส่งผ่านไปยังบุคคลอื่น จะช่วยให้เราไม่สูญเสียพลังตัวเอง อีกทั้งยังช่วยให้เรามีพลังกายทิพย์มากขึ้นอีก

    .....................

    * เว็บวิชาพลังกายทิพย์ โดย คุณย่าเยาวเรศ บุนนาค
    http://www.khunya.in.th/default.asp
    * ศึกษาวิชาพลังกายทิพย์ สอนโดยคุณย่าเยาวเรศ บุนนาค
    วิชาพลังกายทิพย์ สอนโดย คุณย่าเยาวเรศ บุนนาค<!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --> <!-- / message --><!-- sig -->
     
  13. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870
    [MUSIC]http://audio.palungjit.org/attachment.php?attachmentid=28098[/MUSIC]​
     
  14. sakichan02

    sakichan02 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มกราคม 2009
    โพสต์:
    224
    ค่าพลัง:
    +328
    อนุโมทนาคุณสันโดษที่เอาเกร็ดความรู้เพิ่มเติมมาฝากค่ะ ^^
     
  15. hastin

    hastin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,116
    ค่าพลัง:
    +3,084
    ผมสนใจมากครับ รอรอบต่อไปที่จะเปิดรับครับ
     
  16. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870

    [​IMG]

    ลองฟังหลวงพ่อปราโมทย์บ่อยๆ จะทำให้เข้าใจเรื่อง ดูจิตได้ดีมากขึ้นค่ะ

    ท่านสอนตั้งเเต่เริ่มเลยค่ะ http://www.fungdham.com/sound/pramote.html
     
  17. ภราดรภาพ

    ภราดรภาพ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2009
    โพสต์:
    1,578
    ค่าพลัง:
    +2,762
    ประกาศรายนามนักปฏิบัติธรรมและคนมีองค์รุ่นที่ 2/2552

    คนที่ 1 lilbz<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_2161079", true); </SCRIPT>
    คนที่ 2, 3 คุณ Kittikawin + น้องสาว
    คนที่ 4 คุณจิน
    คนที่ 5 คุณนิดา
    คนที่ 6 คุณกายเวทนาจิตธรรม<!-- google_ad_section_end -->
    คนที่ 7 คุณส้ม
    คนที่ 8 คุณรุจนี
    คนที่ 9 คุณอ้อย
    คนที่ 10 คุณ sawasdeebangkok
    คนที่ 11 คุณมหาทูตดูดดาว
    คนที่ 12 คุณเอ
    คนที่ 13 คุณ sattabongkoj
    คนที่ 14 คุณพงศ์พล
    คนที่ 15 คุณหยุ่น
    คนที่ 16.มังกรหยก
    คนที่ 17.คุณเก๋
    คนที่ 18.คุณจี๊ด
    คนที่ 19.คุณต๋อย
    คนที่ 20.คุณชัยยุทธ
    คนที่ 21.คุณ tripoom

    ขอให้ผู้มีรายนามข้างต้น โปรดตรวจสอบและยืนยันอีกครั้ง

    หากท่านใด มีปัญหาไม่สามารถเข้าร่วมกิจกรรมได้ โปรดแจ้งกลับมาด้วยนะครับ
    เพราะตอนนี้ มีผู้สนใจที่จะสำรองหรือ Waiting List
    พร้อมนี้ ก็ขอเปิดรับสมัครรุ่นที่ 3/2552 ในวันเสาร์ที่ 22 สิงหาคม 2552
     
  18. Likely

    Likely เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    4,151
    ค่าพลัง:
    +3,821
    รอบสองหนูมาอีกได้มั้ยก๊ะ ป๊ะป๋า ^-^
    เอ แต่ป๋าไม่ได้แปะวันที่ ของรอบสองเลยรึ ^^"
     
  19. ภราดรภาพ

    ภราดรภาพ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2009
    โพสต์:
    1,578
    ค่าพลัง:
    +2,762

    ประกาศ กำหนดการ ชมรมนักปฏิบัติธรรมและคนมีองค์รุ่นที่ 2/2552


    ในวันเสาร์ที่ 18 กรกฎาคม 2552
    เวลา 10.00 - 16.00 น.
    สถานที่ เลขที 98/318 ซอย 2/18 หมู่บ้านลัดลารมย์ ปิ่นเกล้า
    ต. บางคูเวียง อ. บางกรวย จ. นนทบุรี แผนที่

    [​IMG]

    ข้อสังเกตุ
    1) เส้นทางหลัก คือ ถนนกาญจนาภิเษก หรือวงแหวนรอบนอก
    2) อยู่ตรงข้ามกับ เทสโก โลตัส บางใหญ่
    3) ก่อนถึงที่หมาย สังเกตุ ป้ายปั้มน้ำมัน ปตท. (ปั้ม jet เดิม) ถัดจากปั๊ม ปตท. ประมาณ 100 ม. จะถึง หมู่บ้านพฤกภิรมย์ก่อน ถัดไปอีก 200 เมตร ก็จะถึง หมู่บ้านลัดดารม์ ปิ่นเกล้า (จะมีป้ายตัวโตๆ บอกไว้)

    โปรแกรม
    10.00 - 11.00 พบปะและสนทนากลุ่ม
    11.00 - 12.00 สแกนกรรม สแกนอดีตชาติ และสแกนองค์
    12.00 - 13.00 รับประทานอาหารเที่ยง
    13.00 - 14.00 บรรยายธรรม หัวข้อเรื่อง การภาวนา (สติ สมาธิ และปัญญา)
    14.00 - 15.00 นั่งสมาธิ
    15.00 - 16.00 สอบอารมณ์

    หมายเหตุ
    1. การสแกน
    - ก่อนการสแกน ขอให้ผู้ร่วมสแกน โปรดนำเงินใส่ซองที่จัดให้ จำนวนเงินตามจำนวนอายุ บวกอีก 1 บาท เช่น อายุ 35 ปี ใส่ซองเงิน 36 บาท เมื่อสแกนแล้วเสร็จ ขอให้นำซองเงินของตนกลับคืนไป เพื่อสร้างบุญกุศล ทั้งนี้ ให้นำเงิน 1 บาท ใส่กลับไปในพานให้กับเจ้าภาพนำไปสร้างบุญกุศลให้กับเจ้ากรรมนายเวรของท่าน เพื่อเป็นการแก้เคล็ด
    - ผู้รับการสแกน ควรเตรียมคำถามไว้ล่วงหน้า คำถามควรเป็นสิ่งที่เปิดเผยได้ หากเป็นความใน จะขอให้คุยนอกรอบเป็นการส่วนตัวครับ
    - เนื่องจากเวลาค่อนข้างจำกัด และจำนวนคนค่อนข้างมาก คำถามควรกระฉับและไม่มากจนเกินไป
    - ผู้ร่วมสแกนสามารถเล่าประสบการณ์และความรู้ เพื่อแบ่งบันให้กับพี่น้องและญาติธรรมได้ตามแต่เห็นสมควร


    2. อาหารและเครื่องดื่ม
    - เจ้าภาพได้จัดอาหารและเครื่องดื่มเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่หากท่านใดมีศัทธาจะขอร่วมบุญด้วย ขออนุโมทนาเต็มกำลังครับ


    3. หัวข้อบรรยายธรรม
    - เนื่องจากผู้เข้าร่วม ล้วนแล้วแต่เป็นปัญญาชน มีการศึกษาในระดับสูง ผู้บรรยายจะมุ่งเน้นและนำเสนอหลักธรรมพระพุทธศาสนาเชิงวิชาการ แต่หากมีศาสนาอื่นๆ เช่น คริสต์ อิสลาม ฮินดู ผู้บรรยายจะขอปรับเปลี่ยนหัวข้อตามความเหมาะสม


    4. การสอบอารมณ์
    - เนื่องจากผู้เข้าร่วมปฏิบัติ มีการฝึกฝนและจริตแตกต่างกัน บางท่าน ฝึกพลังจิต พลังกุลฑาลินี พลังจักระ พลังธรรมจักร พลังหมุน บางท่านฝึกแบบสุขวิปัสสโก บางท่านฝึกแบบวิชชาสาม บางท่านฝึกแบบมโนมยิทธิ บางท่านฝึกแบบมีองค์บารมี รวมไปถึงการเข้าฌาน 1 - 4 และฌานสมาบัติ ซึ่งสภาวะต่างๆ เหล่านี้ ทำให้ผู้สอบอารมณ์อาจดูแลได้ไม่ทั่วถึง และเวลาค่อนข้างจำกัด ผู้สอบอารมณ์จะให้ท่านจับกลุ่มกับนักปฏิบัติธรรมขั้นสูงหรือจริตคอเดียวกัน เพื่อช่วยเหลือซึ่งกันและกัน

    หากท่านใดมีข้อสงสัย สอบถามได้ที่ 081 - 808 6695 คุณภราดรภาพ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 มิถุนายน 2009
  20. sakichan02

    sakichan02 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มกราคม 2009
    โพสต์:
    224
    ค่าพลัง:
    +328
    ขอสมัครรุ่นที่ 3/2552 ในวันเสาร์ที่ 22 สิงหาคม 2552<!-- google_ad_section_end --> ล่วงหน้าเลยพี่
     

แชร์หน้านี้

Loading...