วัตถุมงคลยอดขลัง พลังเวทสุดมหัศจรรย์"หลวงพ่อผินะ ปิยธโร"

ในห้อง 'ประสบการณ์ เรื่องเล่า' ตั้งกระทู้โดย MOUNTAIN, 18 พฤษภาคม 2006.

  1. ขลัง

    ขลัง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    23
    ค่าพลัง:
    +52
    เงียบจัง

    พวกพี่ๆๆๆครับไปไหนกันหมดครับ_Love+U_
     
  2. urma

    urma เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    83
    ค่าพลัง:
    +165
    ;aa4
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  3. ชะมด

    ชะมด สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    28
    ค่าพลัง:
    +7
    เยี่ยมๆทั้งนั้นเลยนะครับของพี่ยูม่าเวลาหามาได้เนี่ยครับ ของแปลกหายากน่าใช้นะครับพี่ ไม่ทราบว่าด้านหลังมีจารหรือเป่ลาครับพี่
     
  4. ชะมด

    ชะมด สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    28
    ค่าพลัง:
    +7
    :z10พึ่งได้มาครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  5. hemwiwan

    hemwiwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    59
    ค่าพลัง:
    +160
    อยากมีไว้บูชาบ้าง จะหาได้ที่ไหนครับ ขอเป็นของแท้นะครับ
     
  6. เยาวราช

    เยาวราช เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,298
    ค่าพลัง:
    +2,481
    ผมได้รออยู่นาน...ไม่มีคำชี้แจงใดๆกลับมา...ที่ผ่านมาผมได้บอกเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นแก่หลวงพ่อนะท่านเรียบร้อย...จบท้ายด้วย

    อุดมคติเตือนใจ (ในหนังสือของหลวงพ่อนะ)

    คนจริงชอบทำ คนระยำชอบติ
    คนชั่วชอบทำลาย คนดีชอบแก้ไข
    คนจัญไรชอบแก้ตัว คนเมามัวชอบผลัด
    ค่าของคนอยุ่ที่ผลของงาน ซื่อกินไม่หมด คดกินไม่นาน
    นอนนาน งานน้อย กินบ่อยเงินหมด รันทดใจ

    เกิด มาเพียรก่อสร้างความดี แก่ เฒ่ากุศลมีเสาะบ้าง
    เจ็บ ป่วยพยาธิมีกันทั่วนา ตาย แต่กาย ชื่อยังชั่วฟ้าดินสลาย
    คน จะงามงามน้ำใจใช่ใบหน้า คน จะสวยสวยจรรยาใช่ตาหวาน
    คน จะแก่แก่ความรู้ใช่อยู่นาน คน จะรวยรวยสินทานใช่บ้านโต
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 สิงหาคม 2009
  7. เยาวราช

    เยาวราช เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,298
    ค่าพลัง:
    +2,481
    ที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไปขี้เกียจติดใจแล้ว....ต่อกันด้วยพระชุดที่เป็นตำนานหาชมกันได้ยากยิ่ง....พระสมเด็จปางสามธิ(นามว่าสมเด็จสิบร้าน) ประวัติพระพิมพ์นี้หาอ่านได้จากที่พี่พรสวรรค์เคยเขียนเอาไว้ครับ...ขออำนาจพุทธคุณอันโดดเด่นของพระพิมพ์นี้จงบังเกิดกับผู้ที่ศรัทธาในองค์หลวงพ่อผินะทุกๆท่านครับ...เฮงๆๆๆๆรวยๆๆๆๆ..โชคดีมีชัยทุกๆท่านครับ...
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  8. Youri_

    Youri_ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มกราคม 2007
    โพสต์:
    214
    ค่าพลัง:
    +441
    อ่านดู บทที่หลวงปู่ชอบอีกบทหนึ่ง

    คิริมานนนทสูตร ( อุบายรักษาโรค ) : ทางไปสู่พระนิพพาน<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    ดูกรอานนท์ บุคคลผู้ที่เข้าใจว่าบุญกุศล สวรรค์ และพระนิพพานมีผู้นำมาให้ บาปกรรม ทุกข์โทษ นรก และสัตว์ดิรัจฉาน ก็มีผู้พาไปทั้งสิ้น บุคคลผู้ที่เข้าใจอย่างนี้ชื่อว่าเป็นผู้หลงโลกหลงทาง หลงสงสาร บุคคลจำพวกนั้น แม้จะทำบุญให้ทานสร้างกุศลใดๆ ที่สุดจนออกบวชในพระพุทธศาสนา ก็หาความสุขมิได้ จะได้เสวยแต่ทุกข์โดยฝ่ายเดียวฯ<o:p></o:p>
    ดูกรอานนท์ บุญกับสุขหากเป็นอันเดียวกัน เมื่อมีบุญก็ชื่อว่ามีสุข บาปกับทุกข์ก็เป็นอันเดียวกัน เมื่อมีบาปก็ได้ชื่อว่ามีทุกข์ ถ้าไม่รู้บาปก็ละบาปไม่ได้ ถ้าไม่รู้จักบุญก็หาบุญไม่ได้ เปรียบเหมือนเราอยากได้ทองคำแต่เราหารู้ไม่ว่าทองคำนั้นมีรูปพรรณสัณฐานอย่างไร ถึงทองคำนั้นมีอยู่ แลเห็นอยู่เต็มตา ก็ไม่อาจถือเอาได้โดยเหตุที่ไม่รู้จัก แม้บุญก็เหมือนกัน ถ้าไม่รู้จักบุญก็หาบุญไม่ได้ อย่าว่าแต่บุญซึ่งเป็นของที่ไม่มีรูปร่างเลย แม้แต่สิ่งของอื่นๆ ที่มีรูปร่าง ถ้าหากว่าเราไม่รู้จักก็ถือเอาไม่ได้ฯ<o:p></o:p>
    ดูกรอานนท์ บุคคลที่ไม่รู้จักบุญและไม่รู้จักสุข ทำบุญจะไม่ได้บุญไม่ได้สุขเสียเลย เช่นนั้น ตถาคตก็หากล่าวปฏิเสธไม่ ทำบุญก็คงได้บุญและได้สุขอยู่นั่นแล แต่ทว่าตัวเราหากไม่รู้ไม่เข้าใจ บุญและความสุขก็บังเกิดอยู่ที่ตัวนั่นเอง แต่ตัวหากไม่รู้ไม่เข้าใจ จึงเป็นอันมีบุญและสุขไว้เปล่าๆ ฯ<o:p></o:p>
    ดูกรอานนท์ บุคคลจำพวกที่ไม่รู้จักว่าบุญคือความสุข เมื่อทำบุญแล้วปรารถนาเอาความสุข น่าสมเพชเวทนานักหนา ทำตัวบุญก็ได้บุญในทันใดนั้นเอง มิใช่ว่าเมื่อทำแล้วนานๆ จึงจักได้ ทำเวลาใดก็ได้เวลานั้นแต่ตัวไม่รู้ นั่งทับนอนทับบุญอยู่เปล่าๆ ตัวก็ไม่ได้รับบุญคือความสุขเพราะตัวไม่รู้ จึงว่าเสียทีที่เกิดมาเป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าตรัสเทศนาแก่ข้าฯ อานนท์ ด้วยประการฉะนี้ฯ<o:p></o:p>
    ข้าแต่พระมหากัสสปะผู้มีอายุ พระพุทธเจ้าทรงตรัสเทศนาต่อไปอีกว่า อานนฺท ดูกรอานนท์ บุคคลที่เข้าใจว่าทำบุญไว้มากๆ แล้วจะรู้และไม่รู้ก็ไม่เป็นไร บุญจักพาไปให้ได้รับความสุขเอง เช่นนี้ชื่อว่าเป็นคนหลงโดยแท้ เพราะเหตุไรบุญจักพาตัวไปให้ได้รับความสุข เพราะบุญกับความสุขเป็นอันเดียวกัน เมื่อไม่รู้สุขก็คือไม่รู้จักบุญ เมื่อเรารู้สุขเห็นสุข ก็คือเรารู้บุญเห็นบุญนั่นเอง จะให้ใครพาไปหาใครที่ไหนฯ<o:p></o:p>
    ดูกรอานนท์ สุขทุกข์นี้ใครจักช่วยใครไม่ได้ ใครจะพาใครไปนรก สวรรค์ และพระนิพพานนั้นไม่ได้ จะไปนรก สวรรค์ และพระนิพพานต้องไปด้วยตนเอง จะพาเอาคนอื่นไปด้วยไม่ได้เป็นอันขาด ก็แลผู้ใดอยากพ้นนรกสุกในเมืองผี ก็จงทำตนให้พ้นจากนรกดิบในเมืองคนเรานี้เสียก่อน จึงจะพ้นจากนรกสุกในเมืองผีได้ ถ้าอยากได้ความสุขในภายหน้า ก็จงทำตนให้ถึงสวรรค์ดิบในเมืองคนเรานี้เสียก่อน ถ้าไม่ได้สวรรค์ดิบในเมืองคนนี้ แม้เมื่อตายไปแล้ว ก็ไม่อาจได้สวรรค์สุกเลย ถ้าไม่ได้สวรรค์ดิบไว้ก่อนแล้ว ตายไปก็มีนรกเป็นที่อยู่โดยแท้ แม้ความสุขในสวรรค์ก็ยังไม่ปราศจากทุกข์ มิใช่ทุกข์แต่ในสวรรค์ดิบในเมืองคนเราเท่านั้นก็หามิได้ ถึงสวรรค์สุกในชั้นฟ้าใดๆ ก็ดี สุขกับทุกข์มีอยู่เสมอกัน เป็นความสุขที่ยังไม่ปราศจากทุกข์ ไม่เหมือนพระนิพพานซึ่งเป็นเอกันต บรมสุข มีแต่สุขโดยส่วนเดียว ไม่ได้เจือปนด้วยทุกข์เลยฯ<o:p></o:p>
    ดูกรอานนท์ อันว่าสวรรค์ดิบในเมืองคนเรานี้ ก็คือได้เป็นเจ้าเป็นใหญ่ในสมบัติข้าวของ และเกียรติยศ และบริวารยศ และนามยศ เมื่อบุคคลผู้ใดได้เป็นเจ้าเป็นใหญ่เช่นนั้น ได้ชื่อว่าเป็นผู้ได้เสวยสุขในสวรรค์ดิบผู้ปรารถนาความสุขในภายภาคหน้า ก็จงให้ได้รับความสุขแต่เมื่อยังมีชีวิตอยู่ อย่าเห็นความลำบากยากแค้น ในสวรรค์ชั้นใดๆ จะเป็นสวรรค์ดิบในเมืองคน หรือสวรรค์สุกในเมืองฟ้าทุกชั้น ย่อมเจือปนอยู่ด้วยความทุกข์ทั้งนั้น ไม่แปลกต่างกัน และไม่มากไม่น้อยกว่ากัน ความสุขในสวรรค์ก็หากเป็นความสุขจริง จะว่าไม่สุขนั้นก็ไม่ได้ แต่ว่าเป็นสุขที่เจืออยู่ด้วยทุกข์ แม้ถึงกระนั้นก็คงดีกว่าตกอยู่ในนรกโดยแท้ฯ<o:p></o:p>
    ดูกรอานนท์ สวรรค์ดิบในชาตินี้กับสวรรค์สุกในชาติหน้า อย่าสงสัยว่าจะต่างกัน ถึงจะต่างบ้างก็เพียงเล็กน้อย เมื่อต้องการความสุขเพียงใดก็จงพากเพียรให้ได้แต่เมื่อยังมีชีวิตอยู่ในเมืองคนนี้ จะนั่งจะนอนคอยให้สุขมาหานั้นไม่ได้ ไม่เหมือนพระนิพพาน ความสุขในพระนิพพานนั้นไม่ต้องขวนขวาย เมื่อจับถูกที่แล้ว นั่งสุขนอนสุขได้ทีเดียว ความสุขในพระนิพพานว่าจะยากก็เหมือนง่าย ว่าจะง่ายก็เหมือนยาก ที่ว่ายากนั้น ยากเพราะไม่รู้ ไม่เห็น พาลปุถุชนคนตามืดทั้งหลาย รู้ไม่ถูกที่ เห็นไม่ถูกที่ จับไม่ถูกที่ จึงต้องพากเพียรพยายามหลายอย่างหลายประการ และเป็นการเปล่าจากประโยชน์ด้วย ส่วนท่านที่มีปัญญาพิจารณาถูกที่ จับถูกที่แล้ว ก็ไม่ต้องทำอะไรให้ยากหลายสิ่งหลายอย่าง นั่งๆ นอนๆ อยู่เปล่าๆ เท่านั้น ความสุขในพระนิพพานก็มาบังเกิดขึ้นแก่ท่านได้เสมอ เพราะเหตุฉะนั้น จึงว่าความสุขในพระนิพพานไม่เป็นสุขที่เจือปนไปด้วยทุกข์ฯ<o:p></o:p>
    ดูกรอานนท์ เมื่ออยากรู้ว่าเราจะได้รับความสุขในสวรรค์ หรือจะได้รับความทุกข์ในนรก ก็จงสังเกตดูใจของเราในเวลาที่ยังไม่ตายนี้ ใจของเรามีสุขมากหรือมีทุกข์มาก ทุกข์เป็นส่วนนรกดิบ เมื่อตายแล้วก็ต้องไปตกนรกสุก สุขเป็นส่วนสวรรค์ดิบ เมื่อตายแล้วก็ได้ขึ้นสวรรค์สุก เมื่อยังเป็นคนอยู่ มีสุขหรือทุกข์มากเท่าใด แม้เมื่อตายไปก็คงมีสุขและมีทุกข์มากเท่านั้น ไม่มีพิเศษกว่ากัน บุคคลผู้ปรารถนาความสุขในภพนี้และในภพหน้าแล้ว จงรักษาในให้ได้รับความสุข ส่วนตัวตนร่างกายข้างนอกนั้นไม่สำคัญ จักได้รับความสุขและความทุกข์ประการใดก็ช่างเถิด เมื่อตายแล้วก็ทิ้งอยู่เหนือแผ่นดินหาประโยชน์มิได้ ส่วนใจนั้นเป็นของติดตามตนไปในอนาคตเบื้องหน้าได้ เพราะจิตใจเป็นของไม่ตาย ที่ว่าตายนั้น ตายแต่รูปร่างกายธาตุแตกขันธ์ดับเท่านั้น ถ้าจิตใจตายแล้วก็ไม่ต้องเกิดไม่ต้องตายต่อไปอีกกล่าวคือถึงพระนิพพานฯ<o:p></o:p>
    ดูกรอานนท์ ในอดีตชาติ เราตถาคตก็ได้หลงท่องเที่ยวอยู่ในสังสารวัฏนี้ช้านาน นับด้วยร้อยด้วยพันแห่งชาติเป็นอันมาก ทำบุญทำกุศลก็ปรารถนาแต่จะให้พ้นทุกข์ ให้เสวยสุขในเบื้องหน้า เข้าใจว่าตายแล้วจึงจะพ้นจากทุกข์ ครั้นเมื่อตายจริงก็ตายแจ่ธาตุแต่ขันธ์เท่านั้น ส่วนใจนั้นไม่ตายจึงต้องไปเกิดอีก เมื่อไปเกิดอีกก็ต้องตายอีก เมื่อเห็นเช่นนี้จะพ้นทุกข์ได้อย่างไร ที่นิยมกันว่าตาย ก็คือตายเน่าตายเหม็นอยู่อย่างทุกวันนี้ ชื่อว่าตายเล่น ตายไม่แท้ ตายแล้วเกิด เกิดแล้วตาย หาต้นหาปลายมิได้ ที่ตายแท้ตายจริงคือตายทั้งรูปแตกขันธ์ดับ ตายทั้งจิตใจ มีแต่พระพุทธเจ้ากับเหล่าพระอรหันตขีณาสพเท่านั้น ท่านเหล่านี้ไม่ต้องกลับมาเกิดอีกฯ<o:p></o:p>
    ดูกรอานนท์ ในอดีตชาติเมื่อเรายังไม่รู้ เข้าใจว่าตายแล้วจึงจะพ้นทุกข์ ทำบุญก็มุ่งแต่เอาความสุขในเบื้องหน้า ครั้นตายไปก็หาได้พ้จจากทุกข์ตามความประสงค์ไม่ มาปัจฉิมชาตินี้เราจึงรู้ว่า สวรรค์และพระนิพพานมีอยู่ที่ตัวเรานี้เอง เราจึงได้รับเร่งปฏิบัติให้ได้ให้ถึงแต่เมื่อยังเป็นคนอยู่ จึงพ้นจากทุกข์และได้เสวยสุขอันปราศจากอามิส เป็นพระบรมครูสั่งสอนเวไนยสัตว์อยู่ทุกวันนี้ ข้าแต่พระมหากัสสปะผู้มีอายุ พระพุทธเจ้าตรัสเทศนาแก่ข้าฯ อานนท์ ดังนี้แลฯ<o:p></o:p>
    ตทนนฺตรํ ลำดับนั้น พระพุทธเจ้าจึงตรัสเทศนาต่อไปอีกว่า อานนฺท ดูกรอานนท์ ความทุกข์ในนรกและความสุขในสวรรค์ และพระนิพพานนั้นใครจะช่วยใครไม่ได้ เมื่อใครชอบอย่างใดก็ทำอย่างนั้น แม้เราตถาคตก็ช่วยใครให้พ้นทุกข์ และช่วยใครให้ได้สวรรค์และพระนิพพานไม่ได้ ได้แต่เพียงสั่งสอยชี้แจงให้รู้สุขรู้ทุกข์ ให้รู้สวรรค์ ให้รู้พระนิพพานด้วยวาจาเท่านั้น อันกองทุกข์โทษบาปกรรมทั้วปวงนั้น ก็คือตัวกิเลสตัณหา ครั้นดับกิเลสตัณหาได้แล้วก็ไม่ต้องตกนรก ถ้าดับกิเลสตัณหาได้มาก ก็ขึ้นไปเสวยสุขอยู่ในสวรรค์ ถ้าดับกิเลสตัณหาได้สิ้นเชิงหาเศษมิได้แล้ว ก็ได้เสวยสุขในพระนิพพานทีเดียว<o:p></o:p>
    เราตถาคตบอกให้รู้แต่ทางไปเท่านั้น ถ้าผู้รู้ทางแห่งความสุข แล้วประพฤติปฏิบัติตามได้ ก็ประสบสุขสมประสงค์ อย่าว่าแต่เราตถาคตเลย แม้พระพุทธเจ้าทั้งหลายที่ล่วงไปแล้วนับไม่ถ้วนก็ดี และจักมาตรัสรู้ในกาลภายหลังก็ดี จักมาช่วยพาเอาสัตว์ทั้งหลายไปให้พ้นจากทุกข์ แล้วให้ได้เสวยสุขเช่นนั้นไม่มี มีแต่มาสั่งสอนให้รู้สุขรู้ทุกข์ รู้สวรรค์และพระนิพพานอย่างเดียวกับเราตถาคตนี้ พระพุทธเจ้าทั้งหลายก็ทรงไว้ซึ่งทศพลญาณ มีอาการเหมือนอย่างเราตถาคตนี้ทุกๆ พระองค์ บุคคลจำพวกใดเข้าใจว่าพระพุทธเจ้าต่างกันด้วยศีล ด้วยฌาณ ด้วยอิทธิ บุคคลจำพวกนั้นเป็นคนหลง ผู้ที่ได้ยามว่าพระพุทธเจ้านั้น ต้องมีทศพลญาณสำหรับขับขี่เข้าสู่พระนิพพานด้วยกันทุกพระองค์ จะได้เป็นพระพุทธเจ้าแต่เราองค์เดียวนั้นหามิได้ ผู้ใดมีทศพลญาณ ผู้นั้นได้ชื่ว่าเป็นพระพุทธเจ้าด้วยกันทุกพระองค์ ไม่ควรจะมีความสงสัย ฌาน ๑๐ ประการนั้นเป็นเครื่องหมายของพระพุทธเจ้า ถ้าไม่มีญาณ ๑๐ ประการแล้ว จะรู้ดีมีอิทธิดำดินบินบนได้อย่างไรก็ตาม ก็ไม่เรียกว่าพระพุทธเจ้า ถ้ามีญาณ ๑๐ ประการแล้ว จะไม่มีอิทธาศักดานุภาพอย่างไรก็ตาม ก็ให้เรียกท่านผู้นั้นว่าพระพุทธเจ้า เพราะทศพลญาณ ๑๐ ประการเป็นเครื่องหมายของพระพุทธเจ้า ถ้าไม่มีเครื่องหมายนี้ ผู้ใดมีฤทธิ์มีเดชขึ้น ก็จักตั้งตัวเป็นพระพุทธเจ้าเต็มบ้านเต็มเมือง ก็เห็นทางแห่งความเสียหายวายโลกเท่านั้นฯ<o:p></o:p>
    ดูกรอานนท์ ทศพลญาณ ๑๐ ประการนั้น เป็นของสำคัญอยู่สำหรับโลก ไม่มีผู้ใดแต่งตั้งขึ้น เป็นแต่เราตถาคตเป็นผู้รู้ผู้เห็นก่อน แล้วยกออกตีแผ่ให้โลกเห็น พระพุทธเจ้าทั้งหลายบำเพ็ญ ๑๐ ประการได้แล้ว ก็ขับขี่เข้าสู่พระนิพพาน เมื่อถึงพระนิพพานแล้ว ก็ปล่อยวางญาณนั้นไว้ให้แก่โลกตามเติม หาได้เอาตัวตนจิตใจเข้าสู่พระนิพพานด้วยไม่ เอาจิตใจไปได้เพียงนรก สวรรค์ และพรหมโลกเท่านั้น ส่วนพระนิพพานนั้น ถ้าดับจิตใจไม่ได้แล้วก็ไปไม่ได้ ถ้าเข้าใจว่าจักเอาจิตใจไปเป็นสุขในพระนิพพานแล้ว ต้องหลงขึ้นไปเป็นอรูปพรหมเป็นแน่ฯ <o:p></o:p>
    ดูกรอานนท์ การตกนรกและขึ้นสวรรค์ จะเอาตัวไปไม่ได้ เอาแต่จิตไป จิตนั้นมครจับต้องรูปคลำไม่ได้ เป็นแต่ลมเท่านั้น เพราะจิตเป็นของละเอียด ใครจะจับถือไม่ได้ เมื่อจิตไปตกนรก ใครจะไปช่วยยกขึ้นได้ ถ้าจิตนั้นเป็นตัวเป็นตนก็พอจะช่วยกันได้ บุคคลจำพวกใดคอยท่าให้ผู้อื่นมาช่วยยกตัวให้พ้นจากทุกข์ นำตัวไปให้ได้เสวยสุข บุคคลจำพวกนั้นเป็นคนโง่เขลาหาปัญญามิได้ แต่เราตถาคตรู้นรกสวรรค์ทุกข์สุขอยู่แล้ว และหาอุบายที่จะพ้นจากทุกข์ให้ได้เสวยสุข ก็เป็นการแสนยากแสนลำบาก จะไปพาจิตใจของท่านผู้อื่นให้พ้นจากทุกข์ได้อย่างไร ถึงแม้พระพุทธเจ้าองค์ที่จักตรัสรู้ในเบื้องหน้าก็เหมือนกัน มีแต่แนะนำสั่งสอนให้รู้สุขทุกข์ สวรรค์และพระนิพพานเท่านั้น<o:p></o:p>
    ผู้ที่ต้องการจะสุขทุกข์อย่างใดนั้น แล้วแต่อัธยาศัย แต่ว่าต้องศึกษาให้รู้แท้แน่นอนแก่ใจเสียก่อนว่า ทุกข์ในนรกเป็นอย่างนั้น สุขในสวรรค์เป็นอย่างนั้น สุขในพระนิพพานเป็นอย่างนั้น เมื่อรู้แล้วจึงจักยังมีทางได้ถึงบ้างคงจักไม่ท่องเที่ยวอยู่ในวัฏสงสารเนิ่นนานเท่าไรนัก ถ้าไม่รู้แจ้งแต่เมื่อยังมีชีวิตอยู่ ก็ไม่อาจจักพ้นได้เลย และได้ชื่อว่าเป็นผู้เกิดมาเสียชาติเป็นมนุษย์ เสียความปรารถนาเดิมซึ่งหมายว่าจะเป็นผู้เกิดมาเพื่อความสุข ครั้นเกิดมาแล้วก็พลอยไม่ให้คนได้รับความสุข ซ้ำยังตนให้จมอยู่ในนรก ทำให้เสียสัตย์ ความปรารถนาแห่งตน น่าสังเวชสลดใจยิ่งนัก ข้าแต่พระมหากัสสปะผู้มีอายุ พระพุทธเจ้าตรัสเทศนาแก่ข้าฯ อานนท์ ดังนี้แลฯ<o:p></o:p>
    อิโต ปรํ คิริมานนฺทสตฺตํ อนุสนฺธํ ฆเฏตฺวา ภาสิสฺ สามีติ เบื้องหน้าแต่นี้ จักแสดงคิริมานนทสูตรสืบต่อไปฯ มีคำพระอานนท์ปฏิญญาว่าดังนี้<o:p></o:p>
    ภนฺเต อริยกสฺสป ข้าแต่พระอริยเจ้าทั้งหลาย มีพระมหากัสสปะเป็นประธาน ภควา อันว่าพระผู้มีพระภาคเจ้า เทเสสิ ก็ตรัสเทศนาแก่ข้าฯ อานนท์ สืบต่อไปว่า <o:p></o:p>
    อานนฺท ดูกรอานนท์ อันว่าความทุกข์และความสุขนั้น ก็มีอยู่แต่ในนรกและสวรรค์เท่านั้น ส่วนพระนิพพานมีอยู่นอกสวรรค์และนรกต่างหาก บัดนี้จักแสดงทุกข์และสุขในนรกและสวรรค์ให้แจ้งก่อนฯ<o:p></o:p>
    จิตใจของเรานี้ เมื่อมีทุกข์หรือสุขแล้ว ใครจะสามารถช่วยยกออกจากจิตของเราได้ อย่าว่าแต่ตัวเราเลย แม้ท่านผู้อื่นเราก็ไม่สามารถจะช่วยยกออกได้ มีอาการเหมือนกันทุกรูปทุกนาม ทุกตัวตนสัคว์บุคคล<o:p></o:p>
    อนึ่ง เมื่อท่านมีทุกข์แล้ว จะนำทุกข์ของท่านมาให้เราก็ไม่ได้ เรามีทุกข์แล้วจะนำทุกข์ไปให้ท่านผู้อื่นก็ไม่ได้ แม้ความสุขก็มีอาการเช่นกัน สุขและทุกข์ไมมีใครจะช่วยกันได้ สิ่งที่จะช่วยให้พ้นจากทุกข์ได้มีแต่อำนาจกุศลผลบุญ มีการให้ทานและรักษาศีลเป็นต้นเท่านั้น ที่เป็นผู้ช่วยให้พ้นจากทุกข์ได้ มนุษย์ เทวดา อินทร์ พรหม และมครๆ จะมาช่วยให้พ้นทุกข์และให้ได้เสวยสุขนั้นไม่ได้ ที่สุดแม้เราตถาคตผู้ทรงไว้ซึ่งญาณเห็นปานนี้ก็ไม่อาจช่วยใครได้ ได้แต่เป็นผู้ช่วยแนะนำตักเตือนให้รู้สุขทุกข์และสวรรค์นรกเท่านั้น ตัวต้องยกตัวอย่าง ถ้ารู้ว่านรกและสวรรค์อยู่ที่ตัว แล้วยกตัวให้ขึ้นสวรรค์ไม่ได้ ก็ชื่อว่าเกิดมาเสียชาติและเสียเวลาที่เกิดมาพบพระพุทธศาสนา น่าเสียกายชาติที่ได้เกิดเป็นรูปร่างกาย มีอวัยวะพรักพร้อมบริบูรณ์ทุกอย่าง ทั้งได้พบพระพุทธศาสนาด้วย สมควรจะได้สวรรค์และพระนิพพานโดยแท้ เหตุไฉนจึงเหยียบย่ำตัวเองให้จมอยู่ในนรกเช่นนั้น น่าสังเวชนักฯ<o:p></o:p>
    ดูกรอานนท์ สุขทุกข์นั้นให้หมายเอาที่จิต จิตสุขเป็นสวรรค์ จิตทุกข์เป็นนรก จะเข้าใจว่านรกและสวรรค์มีอยู่นอกจิตใจเช่นนั้น ได้ชื่อว่าเป็นคนหลง นรก และสวรรค์ บาปบุญคุณโทษ ย่อมมีอยู่ในอกในใจทั้งสิ้น อยากพ้นทุกข์ ก็ให้รักษาจิตใจจากสิ่งที่เป็นบาปเป็นทุกข์เสีย ถ้าต้องการสวรรค์ก็ทำงานที่หาโทษมิได้ เพระการบุญการกุศลนั้นเมื่อทำก็ไม่เดือดร้อน และเมื่อทำแล้วระลึกถึงก็ให้เกิดความสุขสำราญบานใจทุกเมื่อ เช่นนี้ชื่อว่าเราได้ขึ้สวรรค์ และถ้าอยากได้สุขในพระนิพพาน ก็ให้วางเสียซึ่งสุขและทุกข์ คือวางจิตใจอย่าถือว่าเป็นของของตน ก็ชื่อว่าได้ถึงพระนิพพาน เพราะว่าใจเป็นใหญ่ เป็นประธาน สุขทุกข์ทั้งสวรรค์และพระนิพพานสำเร็จแล้วด้วยใจ คือว่ามีอยู่ที่จิตที่ใจของเราทั้งสิ้น บุคคลจำพวกใดไม่รู้ว่าของเหล่านี้มีในตน แล้วไปเที่ยวค้นคว้าหาในที่อื่น บุคคลจำพวกนั้นชื่อว่าเป็นคนหลงคนเมา เป็นผู้หนาอยู่ด้วยกิเลสตัณหา มือมนอยู่ด้วยมลทินแห่งนรกฯ<o:p></o:p>
    ดูกรอานนท์ สัตว์ที่ตกอยู่ในนรกมากมายนับมิได้ แน่นอัดยัดเยียดกันอยู่ในนรก ดังข้าวสารหรือเมล็ดถั่วเมล็ดงาในกระสอบ แต่ก็ไม่เห็นดันได้ด้วยเขาไม่รู้ไม่เห็นซึ่งนรก ไม่รู้สุขทุกข์บาปบุญคุณโทษ ไม่รู้ว่าจิตของตนเป็นทุกข์เป็นสุข มีแต่มัวเมาอยู่ด้วยตัณหากามาราคาทิกิเลส จึงชื่อว่าตกอยู่ในนรก ยัดเยียดกันดังข้าวสารหรือเมล็ดถั่วเมล็ดงาในกระสอบ ร้องเรียกหากันไม่เห็นกัน คือไม่เห็นทุกข์ไม่เห็นสุขแห่งกันและกันเท่านั้นเองฯ<o:p></o:p>
    ดูกรอานนท์ จิตใจนั้น ใครก็ไม่แลเห็นของกันและกันได้ ผู้ที่รู้เห็นจิตใจของผู้อื่นได้นั้น มีแต่พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์เท่านั้น พระพุทธเจ้าที่จะรู้เห็นจิตใจของผู้อื่นได้ ก็ด้วยญาณแห่งพระอรหันต์ ถ้าละกิเลสตัวร้ายมิได้ คุณความเป็นแห่งพระอรหันต์ก็ไม่มาตั้งอยู่ในสันดาน จึงไม่อาจหยั่งรู้วาระจิตของสัตว์ทั้งปวงได้ แม้พระตถาคตจะหยั่งรู้วาระของสัตว์ทั้งปวงได้ ก็เพราะปราศจากกิเลส คือความเป็นไปแห่งพระอรหันต์ บุคคลผู้ที่ไม่พ้นกิเลส คือไม่ได้สำเร็จพระอรหันต์ แลจะมาปฏิญาณว่ารู้เห็นจิตแห่งบุคคลอื่น จะควรเชื่อฟังได้ด้วยเหตุใด ถึงแม้จะรู้ได้ด้วยวิชาคุณอย่างอื่น รู้ด้วยสมาธิคุณเป็นต้น ก็รู้ไปไม่ถึงไหน แม้จะรู้ก็รู้ผิดๆ ถูกๆ ไปอย่างนั้น จะรู้จริงแจ้งชัดดังที่รู้ด้วยอรหันต์คุณนั้นไม่ได้<o:p></o:p>
    ถ้าบุคคลที่ยังไม่พ้นกิเลส มีความรู้ดียิ่งกว่าเราตถาคตผู้เป็นพระอรหันต์แล้ว การที่เราตถาคตสละบุตรภรรยาทรัพย์สมบัติ อันเป็นเครื่องเจริญแห่งความสุขออกบวชนี้ ก็ชื่อว่าเป็นผู้ที่โง่เขลากว่าบุคคลจำพวกนั้น เพราะเขายังจมอยู่ในกิเลส แต่มีความรู้ดียิ่งกว่าพระพุทธเจ้าผู้เป็นพระอรหันต์ ผู้ไกลจากกิเลส ข้อที่ละกิเลสไม่ได้ คือไม่ได้สำเร็จพระอรหันต์แล้วจะมีปัญญารู้จิตใจแห่งสัตว์ทั้งหลายยิ่งกว่าพระพืธเจ้าหรือพระอรหันต์หรือจะมีปัญญารู้เสมอกันนั้นไม่มีเลย ผู้ที่ยังละกิเลสไม่ได้ คือยังไม่ได้สำเร็จพระอรหันต์ มากล่าว ว่าตนรู้เห็นจิตใจของสัตว์ทั้งหลายนั้น กล่าวอวดเปล่าๆ ความรู้เพียงนั้นยังพ้นนรกไม่ได้ ไม่ควรจะเชื่อถือ ถ้าใครเชื่อถือก็ชื่อว่าเป็นคนนอกพระศาสนา ไม่ใช่ลูกศิษย์ของเราตถาคต แท้ที่จริงหากเอาศาสนธรรมอันวิเศษของเรานี้ บังหน้าไว้สำหรับหลอกลวงโลกเท่านั้น บุคคลจำพวกนี้ แม้จะทำบุญกุศลเท่าไรก็ไม่พ้นนรก แม้ผู้ที่มาเชื่อถือบุคคลจำพวกนี้ ก็มีทุคติเป็นที่ไปในเบื้องหน้าเหมือนกันฯ<o:p></o:p>
    ดูกรอานนท์ บุคคลจำพวกที่อวดรู้อวดดีอย่างนี้แหละ จะเป็นผู้เบียดเบียนศาสนาของเราให้เศร้าหมองเสื่อมทรามลงไป เมื่อเขาเกิดมาแล้วก็จะมาเบียดเบียนพระมหาเถระและสามเณรน้อย ด้วยถ้อยคำอันไม่เจริญใจ ผู้มีปัญญาน้อย ใจเบา ก็จะพากันแตกตื่นสึกหาลาเพศออกจากศาสนา พระศาสนาของเราก็จักเสื่อมถอยลงไปฯ<o:p></o:p>
    ดูกรอานนท์ บุคคลจำพวกใด หากเบียดเบียนเสียดสีหมิ่นประมาทใจพระสังฆเถระและภิกษุสามเณร ที่เป็นศิษย์ของพระตถาคต โดยที่ท่านทั้งหลายนั้นมีโทษไม่ถึงปาราชิก และบังคับให้สึกออกจากเพศพรหมจรรย์ หรือกระทำปัพพาชนียกรรมไปเสียก็ดี บุคคลจำพวกนั้นเป็นบาปยิ่งนัก ไม่อาจพ้นนรกได้ บุคคลจำพวกใด มีความเชื่อความเลื่อมใสในคุณธรรมคำสั่งสอนของเราตถาคต แล้วเชิดชูยกย่องไว้ให้ดี มิได้ดูถูกดูหมิ่นบุคคลจำพวกนั้น ก็จะมีความเจริญด้วยความสุขทั้งในโลกนี้และโลกหน้า แม้ปรารถนาสุจอันใดซึ่งไม่เหลือวิสัย ก็อาจสำเร็จสุขอันนั้นได้ตามปรารถนา บุคคลที่ทำลายพระพุทธรูป พระสถูป พระเจดีย์ และตัดไม้ศรีมหาโพธิ์ หรือบุคคลจำพวกที่กล่าวหมิ่นประมาทเย้ยหยัน แก่สานุศิษย์ของเราตถาคตที่มีโทษไม่ถึงปาราชิก บุคคลจำพวกนี้มีโทษหนักยิ่งกว่าจำพวดที่ทำลายประพุทธรูป และพระสถูปพระเจดีย์นั้นหลายเท่า บุคคลที่ทำลายพระพุทธรูปเป็นต้นนั้น เป็นบาปมากก็จริงอยู่ แต่ยังไม่นับว่าเป็นการทำลายพระพุทธศาสนา ผู้ที่กล่าวหมิ่นประมาทนั้น ได้ชื่อว่าทำลายศาสนาของพระตถาคต เพราะว่าผู้ที่มีความผิดโทษไม่ถึงปาราชิกนั้น ยังนับว่าเป็นลูกศิษย์ของเราตถาคตอยู่ ต่อเมื่อเป็นปาราชิกแล้วจึงขาดจากความเป็นลูกศิษย์ของเรา ถ้าเป็นโทษเช่นนั้น แม้จะลงโทษหรือกระทำปัพพาชนียกรรม ก็หาโทษมิได้ และได้ชื่อว่าช่วยพระศาสนาของเราด้วย<o:p></o:p>
    การทำลายพระพุทธรูปหรือพระสถูปเจดีย์นั้น ยังมีทางกุศลได้อยู่ดังพระพุทธรูปไม่ดีไม่งามแล้วทำลายเสีย แก้ไขให้งามให้ดีขึ้น แม้พระเจดีย์หรือไม้ศรีมหาโพธิ์ก็เช่นกัน ต้นโพธิ์ที่ตั้งอยู่ในที่ไม่สมควร เช่นตั้งอยู่ในที่ใกล้ถาวรวัตถุ อาจทำลายถาวรวัตถุนั้นได้ จะตัดเสียก็หาโทษมิได้ ถ้าทำลายเพื่อหาประโยชน์แก่ตน หรือทำลายโดยความอิจฉาริษยาเช่นนั้น ย่อมเป็นบาปเป็นกรรมโดยแท้ แม้ถึงอย่านั้นก็ยังไม่ชื่อว่าเป็นการทำลายศาสนา พวกที่หมิ่นประมาท ทำให้สงฆ์ที่มีโทษยังไม่ถึงอันติมะ ให้ได้รับความเดือดร้อนถึงแก่เสื่อมจากพรหมจรรย์ ได้ชื่อว่าทำลายพระพุทธศาสนาโดยแท้ ข้าแต่พระมหากัสสปะ พระพุทธเจ้าได้ตรัสเทศนาแก่ข้าฯ อานนท์ ดังนี้ฯ
    แล้วจึงตรัสเทศนาแก่ข้าฯ อานนท์ สืบต่อไปอีกว่า<o:p></o:p>

    อานนฺท ดูกรอานนท์ บุคคลที่ปรารถนาซึ่งสวรรค์และพระนิพพานก็จงรีบพากเพียรกระทำให้ได้ให้ถึงแต่เมื่อยังมีชีวิตอยู่ เพราะมีอยู่ที่ใจของเราทุกอย่าง จะเป็นการลำบากมากอยู่ก็แต่พระนิพพาน ผู้ที่ปรารถนาความสุขในพระนิพพาน จงทำตัวให้เหมือนแผ่นดินหรือเหมือนดังคนตายแล้วคือให้ปล่อยความสุขและความทุกข์เสีย ข้อสำคัญก็คือ ให้ดับกิเลส ๑,๕๐๐ นั้นเสีย

    กิเลส ๑,๕๐๐ นั้น เมื่อย่นลงให้สั้นแล้วก็เหลืออยู่แค่ ๕ เท่านั้น คือ โลภะ ๑ โทสะ ๑ โมหะ ๑ มานะ ๑ ทิฎฐิ ๑

    โลภะ นั้นคือความทะเยอทะยานมุ่งหวังอยากได้กิเลสกาม คือรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ๑ อยากได้วัตถุกาม คือสมบัติข้าวของซึ่งมีวิญญาณและหาวิญญาณมิได้ ๑ เหล่านี้ชื่อว่า โลภะ

    โทสะ นั้นได้แก่ ความเคืองแค้นประทุษร้ายเบียดเบียนท่านผู้อื่น เหล่านี้ชื่อว่า โทสะ

    โมหะ นั้นคือความหลง มีหลงรัก หลงชัง หลงลาภ หลงยศ เป็นต้น เหล่านี้ชื่อว่าโมหะ

    มานะ นั้นคือความถือตัวถือตน ดูถูกดูหมิ่นท่านผู้อื่น ชื่อว่ามานะ

    ทิฏฐิ นั้นคือความถือมั่นในลัทธิอันผิด เห็นเป็นอุจเฉททิฏฐิและสัสสคทิฏฐิ ปล่อยวางความเห็นผิดไม่ได้ ชื่อว่า ทิฏฐิ<o:p></o:p>

    ถ้าดับกิเลสทั้ง ๕ นี้ได้แล้ว ก็ชื่อว่าดับกิเลสได้ทั้งสิ้น ๑,๕๐๐ ถ้าดับกิเลสทั้ง ๕ นี้ไม่ได้ ก็ชื่อว่าดับกิเลสไม่ได้เลยฯ<o:p></o:p>
    ดูกรอานนท์ ปุถุชนคนหนาทั้งหลานที่ปรารถนาพระนิพพานได้ด้วยยากนั้น ก็เพราะเหตุที่ไม่รู้จักดับกิเลสตัณหา เข้าใจเสียว่าทำบุญทำกุศลให้มากแล้ว บุญกุศลนั้นจักเลื่อนลอยมาจากอากาศเวหา นำตัวขึ้นไปสู่พระนิพพาน ส่วนว่าพระนิพพานนั้น จะอยู่แห่งหนตำบลใดก็หารู้ไม่ แต่คาดคะเนเอาอย่างนั้น จึงได้พระนิพพานด้วยยาก แท้ที่จริงพระนิพพานนั้นไม่มีอยู่ในที่อื่นไกลเลย หากมีอยู่ที่จิตใจนั่นเอง ครั้นดับโลภะ โทสะ โมหะ มานะ ทิฏฐิ ได้ขาดแล้ว ก็ถึงพระนิพพานเท่านั้น ถ้าไม่รู้และดับกิเลสตัณหายังไม่ได้ เป็นแต่ปรารถนาว่า ขอให้ได้พระนิพพานดังนี้ แม้สิ้นหมื่นชาติแสนชาติก็ไม่ได้พบปะเลย เพราะกิเลสตัณหาทั้งหลายย่อมมีอยู่ที่ตัวตนของเราทั้งสิ้น เมื่อตัวไม่รู้จักระงับกิเลสตัณหาที่มีอยู่ให้หมดไป ก็ไม่ได้ไม่ถึงเท่านั้น จะคอยท่าให้บุญกุศลมาช่วยระงับดับกิเลสของตัวเช่นนี้ ไม่ใช่ฐานะที่จะพึงคิด บุญกุศลนั้นก็คือตัวเรานี้เอง เราแลจะเป็นผู้ระงับดับกิเลสให้สิ้นไปหมดไป จึงจะสำเร็จได้ดังสมประสงค์ฯ<o:p></o:p>
    ดูกรอานนท์ ปุถุชนคนเขลาทั้งหลายที่ได้ที่ถึงพระนิพพานด้วยยากนั้น เพราะเขาปรารถนาเปล่าๆ จึงไม่ได้ไม่ถึง เขาไม่รู้ว่าพระนิพพานอยู่ในใจของเขา มีแต่คิดในใจว่า จะไปเอาในชาติหน้า หารู้ไม่ว่านรก สวรรค์ และพระนิพพานมีอยู่ในตน เหตุฉะนั้นจึงพากันตกทุกข์ได้ยากลำบากยิ่งนัก พากันเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏสงสารนี้ ถือเอากำเนิดในภพน้อยภพใหญ่อยู่ไม่มีที่สิ้นสุด ข้าแต่พระมหากัสสปะ พระพุทธเจ้าทรงตรัสเทศนาแก่ข้าฯ อานนท์ ด้วยประการฉะนี้ฯ<o:p></o:p>
    ......................................................................................................................................<o:p></o:p>
    ขอขอบคุณที่มาบทความ : คิริมานนทสูตร ( อุบายรักษาโรค )<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
     
  9. Youri_

    Youri_ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มกราคม 2007
    โพสต์:
    214
    ค่าพลัง:
    +441
    สัญญาสิบ ในคิริมานันทะสุตตะปาโฐ


    <O:p></O:p>

    สัญญาสิบ ในคิริมานันทะสุตตะปาโฐ (ถอดความสำคัญ จากบทสวดมนต์) <O:p></O:p>

    <O:p></O:p>
    สัญญาขันธ์ คือ ความจำได้หมายรู้ หมายจำ หมายระลึกได้ เช่น เห็นมีดคมๆ ยาวๆ แล้วรู้สึกเสียวโดยอัตโนมัติ, เห็นซากสัตว์แล้วอาเจียนในทันที, เด็กที่เห็นเข็มฉีดยาแล้วร้องไห้ (ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ถูกฉีดยา), เห็นพระแล้วยกมือไหว้โดยฉับพลัน ฯลฯ เหล่านี้ ล้วนเป็นอาการของสัญญาขันธ์ที่ปรุงแต่งไว้ทั้งสิ้น ผลของสัญญาขันธ์มักเป็นด้านลบ เพราะเอื้อไปสู่การยึดมั่นถือมั่น จนนำไปสู่ความทุกข์ แต่ก็มีสัญญาบางประการที่เป็นสัญญาส่วนดี นำไปสู่ความสุข เช่น สัญญาขันธ์ที่เห็นพระแล้วรีบยกมือไหว้อย่างรวดเร็ว และแม้ว่าสัญญาขันธ์จะเป็นปัจจัยเครื่องปรุงแต่งธรรม จนทำให้บดบังความบริสุทธิ์ตรงไปตรงมาของธรรม จนมองไม่เห็นสัจธรรมที่บริสุทธิ์ไปก็ตาม แต่ก็มี สัญญาบางประเภทอีกเช่นกันที่อุปการะ เอื้อต่อการบรรลุธรรม เอื้อต่อการเข้าถึงธรรม เช่น สัญญาขันธ์ที่หมายกำหนดเอาคำบริกรรมอยู่ในใจเนืองๆ เป็นต้น บทความฉบับนี้ได้ถอดความสัญญาขันธ์สิบประการในพระสูตร “คิริมานนทสูตร” ซึ่งเคยมีผู้แปลไว้มาก แต่ขาดความในส่วนของสัญญาสิบประการนี้ ผู้เขียนขออนุญาตอรรถาธิบายขยายความ ดังต่อไปนี้ <O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    ๑) อนิจจะสัญญา <O:p></O:p>
    พิจารณาอนิจจัง คือ ความไม่เที่ยงของสรรพสิ่ง อันเป็นสัจธรรม จนเกิดเป็นสัญญาขันธ์ใหม่ ความจำได้หมายรู้ ความระลึกถึงอนิจจังประทับอยู่ในใจอย่างนี้เนืองๆ เช่น เห็นอะไรเข้าก็ระลึกได้ว่า เดี๋ยวมันก็พัง สลาย ในสักวัน แล้วหมดอาลัยอยากทันที <O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    ๒) อนัตตาสัญญา <O:p></O:p>
    พิจารณาอนัตตา คือ ความไม่อาจเป็นตัวตนของใครได้แน่ชัด จนเกิดเป็นสัญญาขันธ์ใหม่ ความจำได้หมายรู้ ความระลึกถึงอนัตตาประทับอยู่ในใจอย่างนี้เนืองๆ เช่น เห็นอะไรเข้าก็ระลึกได้ว่า ยึดไปก็ทุกข์ ไม่สามารถยึดเป็นของใครได้ แล้วคลายอยากลง <O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    ๓) อสุภสัญญา <O:p></O:p>
    พิจารณาอสุภ คือ สภาพความไม่น่าปรารถนาต่างๆ ของร่างกายและปฏิกูล จนเกิดเป็นสัญญาขันธ์ใหม่ ความจำได้หมายรู้ ความระลึกถึงอสุภ อยู่ในใจอย่างนี้เนืองๆ เช่น เห็นอะไรเข้า ก็ระลึกสภาพรูปร่างตอนที่พังสลายทันที จนหมดความอยาก <O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    ๔) อาทีนวสัญญา <O:p></O:p>
    พิจารณาร่างกายเป็นรังแห่งโรค คือ ทุกส่วนของร่างกายล้วนนำมาซึ่งโรค และทำให้เกิดความเจ็บปวด ความทุกข์ ไม่ใช่ของที่จะอยากหรือยึด จนเกิดเป็นสัญญาขันธ์ใหม่ ความจำได้หมายรู้ ความระลึกถึงร่างกายที่เป็นรังแห่งโรค อยู่ในใจอย่างนี้เนืองๆ เช่น ระลึกถึงโรคตา หู จมูก ผิวหนัง ตับ ไต ล้วนมีแต่โรค จนหมดความอยาก <O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    ๕) ปหานสัญญา <O:p></O:p>
    พิจารณาการละทำให้พ้น เบาสบาย ได้แก่ ตทังคปหาน คือ การละชั่วคราว เป็นครั้งๆ ไปแบบปุถุชนผู้ทรงศีล, วิกขัมภนปหาน คือ การละด้วยกำลังจิตสะกดข่มไว้ของผู้ทรงฌาน, สมุทเฉทปหาน คือ การละด้วยปัญญาแบบพระอริยะ ระลึกถึงการละนี้ อยู่ในใจอย่างนี้เนืองๆ เช่น เห็นของสวยงาม แล้วคิดว่าละเว้นดีกว่า จนหมดความอยาก ระลึกถึงภาวะอารมณ์ขณะละแล้วเบาสบายนี้ ต่อเนื่องเนืองๆ จนจิตมีกำลังที่จะละ <O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    ๖) วิราคะสัญญา <O:p></O:p>
    วิราคะ หมายถึง ภาวะว่างพ้นจากราคะ ภาวะที่ยังไม่มีราคะปรากฏ ให้ระลึกอารมณ์ที่นิ่งว่างเบาสบายสงบสุข ปราศจากราคะนั้นให้ได้ต่อเนื่องยาวนานไปตลอด ระลึกอยู่อย่างนี้ซ้ำๆ จนชำนาญ และเกิดเป็น “สัญญา” ในใจตนเอง แล้วใช้สัญญานี้ ในการประคองภาวะจิต ให้ว่างจากราคะให้ได้ตลอดเวลา จิตจะมีกำลังสลัดราคะได้ง่าย <O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    ๗) นิโรธสัญญา <O:p></O:p>
    พิจารณาความสุขสงบอันเกิดจากภาวะว่างโล่งพ้นไปของเหตุแห่งทุกข์ คือ ความสุขสงบจากความว่าง ความหลุดพ้นจากกิเลสชั่วคราว ระลึกถึงภาวะนี้ อยู่ในใจอย่างนี้เนืองๆ เช่น เห็นอะไรเข้า ก็ระลึกถึงภาวะความสุขสงบจากความว่างหลุดพ้น จนจิตมั่นคง อิ่มเต็ม ไม่บกพร่อง ไม่คิดอยากได้ ไม่คิดยึดไว้ ถอนเสียจากสิ่งยั่วยุทั้งปวง <O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    ๘) สัพพะโลเก อนภิรตสัญญา* <O:p></O:p>
    ระลึกถึงสัจธรรมความจริงที่ว่า ใดๆ ในโลกนี้ ล้วนดั่งภาพมายา โลกนี้คือโรงละครโรงใหญ่ หลอกหลอนให้ผู้คนลุ่มหลงไป ไม่มีสาระแก่นสารใดให้ยึดเป็นหลักชัยแก่ชีวิตได้ สรรพสิ่งในโลกนี้ล้วนแต่ ไม่เที่ยง ไม่ใช่เป็นตัวเป็นตนของใครของมัน และนำมาซึ่งความทุกข์แก่ผู้ที่หลงโลก ระลึกอยู่อย่างนี้เสมอ จนเกิดเป็นสัญญาในใจชัดเจน ทุกครั้งที่เห็นใดๆ ในโลกก็เห็นความไม่มีสาระแก่นสาร นำไปสู่ความน่าเบื่อในโลกียสุข และนำไปสู่การแสวงหาสัจธรรมที่เที่ยงแท้แน่นอน อันนำไปสู่นิพพานสืบไป <O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    ๙) สัพพะสังขาเรสุ อนิจจังสัญญา <O:p></O:p>
    ระลึกถึงสัจธรรมความจริงที่ว่า สังขารใดๆ ล้วนไม่เที่ยง มีวันต้องแตกดับสลายไปทุกสังขาร ไม่ว่าสังขารผู้อื่นที่ยั่วยุต่อเรา ทั้งด้านดีและร้าย หรือแม้แต่สังขารของเราเองที่เราต้องอาศัย, หล่อเลี้ยง, ปรนเปรออยู่นี้ ระลึกจนจำได้ขึ้นใจเนืองๆ ตลอดเวลา ถึงภาวะความไม่เที่ยงของสังขารทั้งหลายทั้งปวง ก็จะเกิดเป็นสัญญาในใจ ประคองสัญญานี้ไว้ตลอด จิตจะมีกำลังในการสลัดละกิเลสได้ง่าย บรรลุธรรมได้ง่ายขึ้น <O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    ๑๐)อานาปานสติ <O:p></O:p>
    พิจารณาลมหายใจ คือ ลมหายใจที่เข้าออกไม่เที่ยง แปรปรวนเป็นอนิจจัง ไม่สามารถยึดเอาเป็นของเราได้ เป็นอนัตตา ระลึกถึงลมหายใจ อยู่ในใจอย่างนี้เนืองๆ เช่น เห็นอะไรเข้า ก็ระลึกถึงลมหายใจ กลับมากำหนดสติที่ลมหายใจ แล้วละจิตออกจากสิ่งนั้นๆ เสีย ก็ไม่มีกระบวนการปรุงแต่งให้อยาก ไม่คิดอยาก ไม่ยึด อีกต่อไป <O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    อนึ่ง สัญญาสิบในคิริมานนทสูตรนี้ แปลแตกต่างจากฉบับอื่นๆ โดยนำหลักสัญญาสิบนี้มาจากบทสวดมนต์พิธี สำหรับพระภิกษุสามเณรและพุทธศาสนิกชนทั่วไป ฉบับรวบรวมโดยพระครูอรุณ ธรรมรังสี (เอี่ยม สิริวณฺโณ) หน้า ๑๐๘ (คิริมานันทะสุตตะปาโฐ) ทั้งนี้ ผู้เขียนได้ขยายความตามความเข้าใจเพื่อให้เหมาะสมกับยุคสมัยปฏิบัติตามๆได้ง่าย ได้ผลจริง ดังนั้น คำแปลจึงไม่ได้แปลตรงตัวตรงไปตรงมานัก จึงทำให้ฝึกตามได้ง่าย เพียงแต่ฝึกระลึกถึงสัจธรรมความจริงข้อใดข้อหนึ่งในสัญญาสิบ ระลึกให้ชำนาญ จนเคยชิน จนเหมือนคำติดใจ ประคองภาวะความรู้สึกนึกรู้นี้ไว้ให้ชัดเจนต่อเนื่องตลอดเวลา ก็จะช่วยละความทุกข์ที่เกิดจากกิเลส ความโลภ, ความโกรธ, ความหลงได้ นำมาซึ่งสติปัญญาในการใช้ชีวิตอย่างสงบสุขขึ้นในลำดับต่อไป <O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    ด้วยเหตุนี้ ขอให้ท่านผู้ปฏิบัติทดลองปฏิบัติดูเพื่อพิสูจน์ผลก่อน หากได้ผลดี ช่วยในการสงบจิตใจ ละความโลภ, โกรธ, หลง ได้ เกิดปัญญาแจ่มใส ช่วยในการดำรงชีพได้อย่างสง่างามมากขึ้น ก็นับว่าเป็นผลดีแก่ท่านเอง (ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหีติ) แต่หากเกิดความขัดข้องผิดพลาดประการใด ผู้เขียนขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วย <O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    * หมายเหตุ คำแปลในย่อหน้า สัพพะโลเก อะนะภิระตะสัญญา” ยังไม่แน่ชัด ท่านผู้อ่านโปรดใช้วิจารณญาณประกอบ ข้อความเดิมในบทสวดมนต์มีดังนี้ กะตะมา จานันทะ สัพพะโลเก อะนะภิระตะสัญญาฯ อิธานันทะ ภิกขุ เย โลเก อุปายุปาทานา เจตะโส อะธิฏฐานาภินิเวสานุสะยา เต ปะชะหันโต วิระมะติ นะ อุปาทิยันโต อะยัง วุจจะตานันทะ สัพพะโลเก อะนะภิระตะสัญญา <O:p></O:p>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 4 สิงหาคม 2009
  10. Youri_

    Youri_ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มกราคม 2007
    โพสต์:
    214
    ค่าพลัง:
    +441
    แนะนำ

    "ธรรม"


    นี่แระประเสริฐที่สุด

    ขอขอบคุณทุกท่านที่อนุโมทนา ในทุกที่ย่อมมีเกิด มีดับ เป็นธรรมดา



    555+
     
  11. urma

    urma เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    83
    ค่าพลัง:
    +165
    พิฆาตสลากกินแบ่ง
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 05082009032.jpg
      05082009032.jpg
      ขนาดไฟล์:
      102.2 KB
      เปิดดู:
      190
  12. ชะมด

    ชะมด สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    28
    ค่าพลัง:
    +7
    องค์นี้ขอจองเลยครับพี่ยูม่า ชอบครับชอบ 555+
     
  13. ท่าเกย

    ท่าเกย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    75
    ค่าพลัง:
    +158
    แล้วถ้ามีรุ่นที่คล้ายกันแบบนี้ออกมา อยู่ในสนามพระหรือตามแผงล่ะ พวกกองเชียร์ทั้งหลายจะว่าอย่างไร ใครรู้จักเบื้องหลังนายทุนกลุ่มนี้บ้างไหม..ทำไมถึงทำแบบนี้ ฝากถามลูกศิษย์หรือเจ้าอาวาสวัดสนมลาวเลยก็ได้ ว่าพิมพ์เหมือนกันแบบนี้ จะให้แยกอย่างไร มีลิขสิทธิ์ไหม.... แล้วที่บอกว่าเป็นศิษย์จริงหรือไม่....ถ้าเป็นจริงทำไมทำของเลียนแบบครูอาจารย์...จะวัดรอยเท้าหรืออย่างไร....ไม่ทราบว่าพระที่องค์ที่ปลุกเสกนั้นท่านรู้ความจริงหรือเปล่าว่าท่านกำลังทำอะไรอยู่.....ทำไมไม่ทำแบบวัดตำหนัก หรือที่ท่านอโสโกทำล่ะ...ใครช่วยตอบทีอย่ามัวแต่เชียร์กันอยู่เลย....แบบว่าเลี่ยนน่ะ....พวกวัวสันหลังหวะ..ทั้งหลายที่เขาจับได้แล้วก็พยายามเปลี่ยนชื่อเข้ามาเล่นอีก...แต่ไม่ทิ้งนิสัยเดิมๆ..เขาก็รู้อีกอยู่ดีว่าเป็นใคร....เฮ้อ...


    http://www.amuletinter.com/viewboard.asp?CatID=28&itemID=49496&Add=view
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 สิงหาคม 2009
  14. ชะมด

    ชะมด สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    28
    ค่าพลัง:
    +7
    พี่ยูม่าครับ ชอบจิงๆครับ ตกลงพี่ออกต่อไหมครับอยากได้จริงๆนะไม่ได้ย้อเย่นครับ (ตื้อๆๆๆๆๆๆ)
     
  15. urma

    urma เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    83
    ค่าพลัง:
    +165
    พระได้มาใหม่;aa7
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  16. twicebirth

    twicebirth สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    1
    ค่าพลัง:
    +0
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 สิงหาคม 2009
  17. ท่าเกย

    ท่าเกย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    75
    ค่าพลัง:
    +158
    55555555555555555
    ก็ดีครับ..........ไม่เป็นไร....ถ้าเพื่อนสมาชิกที่เห้นต่างกับผมแล้วไม่กล้าแสดงตัว..ก็ไม่เป็นไร.....เพราะบางครั้งอาจจะน้ำท่วมปาก.....แต่ก็ขอยืนยันไว้ตรงนี้เลยนะครับว่า...วัตถุมงคลที่บอกว่าเป็นของหลวงพ่อผินะ ปิยธโร...บางชิ้น....บางชิ้นที่ลงโชว์ในเว๊ปนี้...จะใช่ของหลวงพ่อผินะท่านสร้างเสียทั้งหมด.....เพราะเครือข่ายกองเชียร์ยังเยอะเหลือเกิน....ยืนยันครับ....หากสมาชิกใหม่ที่เพิ่งเข้ามาดูจะได้ไม่ไขว้เขวครับ......ระวังตัวให้ดีเพราะวัตถุมงคลของหลวงพ่อราคาสูงมาก......พลาดไปแล้วจะเสียใจภายหลัง...............เอาไปคิดดู
     
  18. kikujams

    kikujams สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    5
    ค่าพลัง:
    +6
    จะช่วยเสริมของคุณท่าเกย..อันที่จริงของหลวงพ่อเเท้ไม่เเท้ไม่ใช่เรื่องที่จะมานั่งเถียงกัน..เเท้เเล้วไง..มันอยู่ที่พวกคุณมีปัญญาหรือเปล่าใช้เป็นหรือเปล่าดาวรุ่นต่างๆที่พูดกันมาก็มั่วพูดทั้งนั้น..ยกตัวอย่างเช่น..ดาวเคียงเดือนที่พวกคุณเรียกกันรู้ไหมที่จริงหลวงพ่อนะเรียกอะไรและทำมาเพื่อคนจำพวกไหน..บอกให้ตาสว่างกันเสียที..เขาเรียกว่ารุ่นเปาบุ้นจิ้น..หลวงพ่อทำมาเพื่อเเจกพวก..อัยการ..เพราะคนที่จะทำหน้าที่นี้จะต้องซื่อสัตย์เหมือนเปาบุ้นจิ้น ถ้าจะใช้รุ่นนี้คุณเเน่ใจหรือเปล่า ว่าจะไม่โกหก แล้วอีกอย่างรุ่นนี้ปลอมเป็นเเสน..โดยผู้มีผลประโยชน์ในวัด..แล้วดาวเเม่เนื้อหอมก็มีเเค่ไม่เกิน120ดวงเป็นเนื้อเเท้ๆแค่8ดวงเท่านั้นที่เกินจากหลวงพ่อสั่งต้องไปถาม..ลูกสัตว์มีอยู่2ตัวที่เเอบเอาเนื้อชมดมาผสม..จริงไหมคุณท่าเกย..ดาวของหลวงพ่อนะปลอมทั้งนั้นของเเท้ต้องขึ้น15ค่ำเดือน12เห็นชัดมีเพียบเเท้ๆทั้งนั้น..ป.ล วันหลังจะมาบอกใหม่พอดีที่เเถวนี้ไฟฟ้าเพิ่งเข้า..ดวงตาเลยเห็นเเสงสว่าง..ครับ..ตายเเหงๆ..
     
  19. ท่าเกย

    ท่าเกย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    75
    ค่าพลัง:
    +158
    ครับเรื่องดาวเคียงเดือนหรือเปาบุ้นจิ้นนั้น..ไม่ได้หมายถึงเปาบุ้นจิ้นยักษ์นะครับ....อันนั้นไปเครียร์กันเอง...ถ้าลูกศิษย์จริงๆแล้วเขาจะรู้ว่าหลวงพ่อท่านทำเพื่ออะไรตามที่คุณบอกนั่นแหละ....แต่ใครทำเสริมหรือได้ประโยชน์นั้นผมไม่เกี่ยวเขาต้องได้รับผลเกี่ยวกับการกระทำของเขาเอง...ผมมั่นใจ.....ส่วนแม่เนื้อหอมนั้นคุณเก่งจังนะครับ...รู้ละเอีเยดมากเลย...ไปช่วยหลวงพ่อท่านตำมวลสารมาหรือครับถึงรู้ละเอียดขนาดนั้น.......ผมว่าแม้แต่พระหรือลูกศิษยืวัดที่ช่วยท่านกดพิมพ์พระตอนนั้นไม่น่าจะมีใครมานั่งจดหรอว่าวันนี้กดกี่องค์.เมื่อคืนกดกี่องค์...หรือรวมแล้วกดไปกี่องค์แล้ว......แต่คุณรู้ทุกเม็ดเลย....เก่งจริงๆๆ.....แต่ผมไม่รู้ว่าคุณมาแนวไหน..จะเขี่ยเหมือนคนบางคน..หรือจะเชียร๋และเลียเหมือนคนบางคน........แต่ผมว่าคุณไม่น่าจะใช้คำพูดที่ว่า..."ดาวของหลวงพ่อปลอมทั้งนั้น"...ผมว่าน่าจะใช้สมองคิดก่อนนะครับ....ก่อนที่จะโพสท์แบบนี้ออกมา....คิดหรือยังครับ...สมองน่ะ....คุณไปเอามาแขวนคอได้ไหม 15 ค่ำเดือน12 น่ะ....ไม่รู้ว่าเอามันหรือไม่ได้คิด.......แล้วลูกศิษย์ที่เขาได้จากหลวงพ่อจริงๆ.เขาจะรู้สึกอย่างไร.....ไม่คิด...ไม่คิด....จะเปลี่ยนกี่ชื่อถ้าสมองมีแค่นี้อย่าเปลี่ยนมาเล่นดีกว่า.....
    แต่ก็ชั่งมันเถอะเรื่องนั้นไม่ใช่สิ่งที่ผมต้องการ.....กลับมาประเด็นเดิมดีกว่าอย่าเปลี่ยนเรื่อง.........

    ปรเด็นอยู่ที่ว่าพระองค์นั้นเป็นใคร....ลูกศิษย์หลวงพ่อผินะหรือเปล่า........ถ้าลูกศิษย์แล้วทำวัตถุมงคลเลียนแบบอาจารย์.....ทำให้คนที่ศรัทธาอาจารย์ไขว้เขว....แบบนี้เรียกว่าวัดรอยเท้าอาจารย์หรือเปล่า......อย่าเปลี่ยนประเด็น.......แต่คุณkiku.....นี่ไม่คิขุเหมือนชื่อเลยนะครับ......เหมือนสมาชิกในเว๊ปที่เชี่ยวชานในวัตถุหลวงพ่อท่าน...แต่ไปเปลี่ยนชื่อมาใหม่.....ชื่อเก่ามันเป็นอย่างไรหรือครับ.....ขายไม่ได้หรือไม่มีใครเชื่อถือหรืออย่างไร.........ถ้าแน่นจริงเรื่องประวัติเก่าๆของหลวงพ่อท่านเอาไว้ก่อน....เพราะประวัติศาสน์ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้.....แต่ปัจจุบันนี่ซิ....ที่ไม่ชอบมาพากล.....น่าจะช่วยกันสร้างให้มันเป็นมาตราฐานเดียวกันไม่ดีกว่าหรือ......
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 สิงหาคม 2009
  20. urma

    urma เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    83
    ค่าพลัง:
    +165
    เก่งกันเหลือเกิน เรื่องสวดขอให้บอกเก่งกันมั่กๆๆๆๆๆ จะสวดเค้าก้อเอาของมาให้ดูด้วย ไม่ใช่ดีแต่พูด เบื่อว่ะ........
     

แชร์หน้านี้

Loading...