รู้สึกท้อกับการทำสมาธิ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ทิดทิด, 26 สิงหาคม 2009.

  1. motorm

    motorm เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    29
    ค่าพลัง:
    +169
    ภาวนาว่าื อิติ สัมมาสัมพุทธัสสะ มะมะจิตตัง ของสมเด็จพระสัมมาพุทธเจ้า
    ท่านอนุญาติให้ใช้ได้แก้ฟุ้งซ่าน พยายามฟุ้งแต่เรื่องดี
    โมทนา
     
  2. วิญญาณนิพพาน

    วิญญาณนิพพาน ทีมงานอาสาฯ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    22,458
    กระทู้เรื่องเด่น:
    51
    ค่าพลัง:
    +21,011
    ต้องอย่าไปสนเขาครับ คือคิดอะไร ปล่อยไป คือไม่ต้องไปสน สนอยู่เเต่ลมหายใจเข้าออกพุทโธเราพอครับ เเต่ก่อนผมก็เป็นครับ พอเรากล้างัดกับเขา ไม่ไปทุกข์ร้อนกับเขา ไม่บัีงคับให้หยุด อ้อ พูดมาถึงตรงนี้ อย่าได้ไปคิดบังคับให้เขาหยุดนะครับ เพราะถ้าทําอย่างนั้น เขาจะมีเเต่คิดเพิ่มมากขึ้น ต้องปล่อยเขาไปอย่างที่ผมบอก เดี๋ยวก็เอาอยู่ครับ มันใช้เวลาเท่านั้นครับ เจริญในธรรมครับท่าน เป็นกําลังให้เสมอครับ
     
  3. 5th-Lotus

    5th-Lotus เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    354
    ค่าพลัง:
    +306
    อืม...มันก็แล้วแต่จริตคนมั้ง อิอิ
    สำหรับผู้นิยมลัทธิเสพสุข
    และมีราคจริตเป็นเจ้าเรือนอย่างอิฉันนั้น
    ถ้าไม่ เซทเวลาในการนั่งไว้
    จะเกิดอาการจิตป่วนได้ง่าย ๆ อ่ะ

    นั่งไปวิตกจริตไป ประมาณว่า ที่นั่ง ๆ อยู่เนี่ย
    มันจะถึง ครึ่ง ชม.หรือยังฟะ
    ตูอยากจะออกจากสมาธิเต็มแก่แล้ว ฯลฯ
    ( แต่ก็อยากทำให้ได้นาน ๆ นิดนึง )

    ปกติ อิฉัน ตั้งเวลาเพราะ กัวนั่งเพลินจนลืมกินข้าวอ่ะเจ้าค่ะ
    อิฉันถือคติ อดข้าวดอกหนาชีวาวาย
    ไม่ตายดอกเพราะอดไปนิพพาน นี่เจ้าคะ
    ขืนไม่ตั้งเวลา คนเห็นแก่กิน อย่างอิฉันสติแตกแหง๋ ๆ อิอิ
    แต่ถึงตั้งก็มีเป๋เหมือนกันแหล่ะ

    ปกติจะเดินจงกรมก่อน ประมาณ ชม. นึง
    แล้วต่อด้วย นั่ง มาธิ อีก ครึ่ง ชม.
    ชีวิตปุถุชนไม่ใช่สมณะนี่นะ
    จะได้มีเวลาปฏิบัติเหลือเฟือ
    แต่เท่าที่สังเกต จากการนั่งมาอาทิตย์กว่า ๆ
    เวลาใกล้ ๆ จะถึง ครึ่ง ชม. ก็เห็น ความอยากจะลืมตานะ
    อยากมากกกกกกกกกกกกกก
    เจ้าฟามอยากตบตีกับ เจ้ามานะ ประจ๊ำ

    แต่พอ รู้สึกว่า อยาก/มานะ ก็นั่งดูเจ้าความอยาก/มานะ อ่ะ
    (ไม่รู้ดิ สำหรับอิฉัน คำว่า อยาก กับ รู้สึกว่าอยาก มันต่างกันอ่ะ )
    ดูไปสักพัก มันก็หายหัวไปเลย
    ( แล้วจิตมันก็ฟุ้งเรื่ออื่นมาอวดอิฉัน ต่อ แหะ ๆ )

    ส่วนอันนี้จะแชร์เทคนิคการนั่งสมาธิของตัวเองให้ฟัง
    1. ศีลเป็นบาทฐานของวิปัสสนา
    ลองถือศีล ทวนศีล ต่อศีล ทวนจิต และ เดินจงกรม
    ก่อนแล้วค่อยนั่งสมาธิ ดูดิ
    จากการสังเกต ถ้าวันไหนทำเรื่องพวกนี้ ครบองค์ประชุม
    มันจะไปไว (ทั้งเดินจงกรม ทั้งนั่งสมาธิ )

    การเดินจงกรม ก็เหมือนการ วอร์มร่างกายก่อนวิ่งร้อยเมตรมั้ง
    วันไหนถ้าเดินจงกรมแป๊บ ๆ แล้วไม่นิ่ง พอ
    วันนั้นนั่ง สมาธิก็แล้วหลุดบ่อย ๆ

    2.ก่อนเดินจงกรม และนั่ง มาธิ
    ก็ไม่ได้ พล่าม เอ๊ย สวดมนต์อะไรยืดยาวหรอกนะ
    ขี้เกียจเปลืองน้ำลาย เอาเวลาไปเม้าส์เรื่องอื่นดีก่า อิอิ
    อิฉันมันบัวเหล่าที่ 5 นี่คู๊ณ
    เลยไม่ใส่ใจจะยึดไตรสรณะ เป็นที่พึ่ง
    ถ้าจะพึ่งอิฉันใช้บริการ อัตตาหิ อัตตาโน นาโถ ดีกว่า
    เดี๋ยวนี้ ก่อนเดินจงกรม และ นั่งสมาธิ
    อิฉันใช้หลักการหว่านล้อม Id ( จิตใต้สำนึก )ตัวเองอ่ะ
    ยืน/นั่ง แล้ว บอกตัวเองว่า

    " นู๋บี ปล่อยวางอดีต ปล่อยวางอนาคต อยู่กับปัจจุบันขณะ
    แต่ก็ปล่อยวางทุกสิ่ง โดยเฉพาะ อัตตา ตัวเอง" อ่ะ

    ไม่ใช่คิดอย่างเดียวน่ะ ณ เวลานั้น
    จะระลึกถึงกรรม ที่ผ่านมาในวันนั้น ๆ
    ที่ทำให้ขุ่นข้องหมองใจ แล้ววางมันลงให้ได้
    พร้อมกับตัดความวิตกจริตต่าง ๆ เกี่ยวกับเรื่องอนาคตด้วย
    ถ้าจิตยัง ปล่อยไม่ได้ วางไม่ได้ ( ตามมาตรฐานของอิฉัน )
    ตีนจะไม่เดิน/ ตาจะไม่หลับ )

    3.อืม...ตะวานก่อนตอนเดินจงกรมรอบโรงบาล
    ได้เทคนิค ใหม่ในการเดินมาน่ะ
    ปกติ เมื่อก่อน ฟุ้งเมื่อไรก็หยุดเดิน
    หายฟุ้งเก๊าะเดินต่อ

    แต่ตอนนี้ รู้สึกว่าพอฟุ้ง
    แล้วลองหายใจเข้าลึก ๆ แล้วนึกคำว่า หยุด
    พอหายใจออก ก็พูดคำว่า ปล่อย
    ถ้า มันยัง หยุดไม่ได้ ปล่อยไม่ได้
    ก็ยืนนิ่ง ๆ อยู่ตรงนั้น แล้ว ดูมันฟุ้ง อ่ะ
    หยุดฟุ้งเมื่อไรค่อยเดินต่อสำหรับอิฉันเทคนิคนี้
    มันทำให้เรียกสติสตังกลับเข้าฐานได้เร็วขึ้นนะ

    และ จากการได้เรียนรู้เทคนิคนี้ ตะวานซืน
    พอนั่งสมาธิต่อ อิฉันก็เลยเอามาใช้กับการนั่งสมาธิอ่ะ
    ฟุ้งเมื่อไร รู้สึกตัวก็ หายใจเข้าแรง ๆ แล้วนึกคำว่า หยุด
    หายใจออก ก็พูดคำว่าปล่อย
    ก็ได้ผลดีนะ สงบระงับ และ มีสติ รู้ทันการปรุงแต่งของจิตเร็วขึ้นกว่าเดิม

    แล้วจิตนี่มันแปลกนะคุณ
    พอเรารู้ทันมันเมื่อไร ดูมันเรื่อย ๆ
    โดยไม่ไปมีอารมณ์ร่วมกะมัน
    มันก็จะงอน แล้วเล่นตัวหยุดฟุ้งซะเฉย ๆ อ่ะ
    ลองเอาไปใช้ดูดิ เผื่อได้ผล

    ตอนนี้ อิฉันก็กะลังมีไอเดีย
    ว่าถ้าเมื่อยก็จะเปลี่ยนจากนั่งขัดสมาธิ
    เป็น นั่งเหยียดขาเหยียดแขน หลับตาเข้าสมาธิแล้วอ่ะ
    นั่งมาก ๆ เหน็บกิน ขี้เกียจดูปวดดูเมื่อย
    ดูนาน ๆ มันเบื่อ อิฉันมันพวก
    ธาตุแข็ง ติดสบาย ไม่อยากเป็นเหน็บตาย อ่ะ

    ปฏิบัตืแบบตึง ก็ได้ แบบหย่อนก็ได้ ยืดได้หดได้
    ถ้ารู้คอนเซปท์แล้ว นึกครึ้ม อิฉันก็ พลิกแพลงไปเรื่อยแหล่ะ
    ปฏิบัติธรรม แนว โมเดิร์น อ่ะ ไม่ชอบ แบบ คลาสิค
    อิฉันมันพวก ครูพักลักจำ แถมเป็น ลูกศิษย์คิดล้างครู ตัวยงนี่นะ หุหุ

    3. เรื่องเวลาในการนั่งสมาธิ
    อืม...แล้วเท่าที่อ่าน นาฬิกาชีวิต
    ช่วงที่เหมาะกับการ ทำสมาธิ คือ ทุ่ม ถึง สาม ทุ่มมั้ง
    เพราะมันช่วยส่งเสริมการทำงานของเยื่อหุ้มหัวใจ
    อิฉันเลยเลือกช่วงเวลานี้ อีกอย่างมันสะดวกอิฉันด้วย

    4.ถ้าไม่อยาก ระทดระทวย ท้อถอย ในการนั่งสมาธิ
    คุณก็อย่าคาดหวังอะไร ให้มันมากนักดิ
    คิดซะว่า ปฏิบัตเล่น ๆ เป็นงานอดิเรก
    มองมันเป็นเรื่อง ขำ ๆ ซะ
    อย่ามองมันเป็น ของขลัง ที่จับต้องไม่ได้ดิ

    การปฏิติธรรม มันไม่ได้สูงจนสุดสอย ขนาดน้านนนน
    แค่คุณได้กลิ่นดอกปีบ ได้กลิ่นขี้วัว หรือ ใส่ปุ๋ยหมักให้ต้นโหระพา
    มันก็เป็นการปฏิบัติได้ ถ้าคุณรู้จักเอามาคิด

    เหอะ ไว้ครึ้ม ๆ อิฉันจะตั้งกาทู้ แนว
    " ขอปุจฉาถามบรรดาทั่นนักปฏิบัติฯทั้งหลาย ถึงกลเม็ดเด็ดพราย ในการปฏิบัติ"
    มาเม้าส์ให้ฟัง ( แต่ตอนนี้ชัก ขี้เกียจ แหะ ๆ )

    เฮ้อ จริง ๆ อยากจะบอกว่า
    แต่ละคนก็มีปัญหาในการปฏิบัติฯของตนนะ
    สำคัญที่ว่า เขาเหล่านั้น ได้เรียนรู้อะไรบ้าง จากปัญหาที่เจอ
    อิฉันเรียนรู้ที่ใช้ประโยชน์อุปสรรคที่มาเกะกะขวางทางนะ
    อิฉันเรียนรู้ที่จะบอกกับตัวเองว่า
    อัตตาหิ อัตตาโน นาโถ
    ( ด้วยความยโสเกินกว่า จะพึ่งพาสิ่งใด นอกจากพึ่งพาใจตน)
    และเหนือ สิ่งอื่นใด อิฉันขอบใจ
    กับอุปสรรคทุกอย่างที่ถาโถมเข้ามาในชีวิต
    เพราะมันทำให้ฉัน ระลึกชาติได้ว่า
    " ปัญหามีไว้แก้ ไม่ได้มีไว้กลุ้ม ! "

    แล้ว คุณ จขกท. ล่ะ คะ
    ได้เรียนรู้อะไรบ้าง เอ่ย ?
    เมื่อต้องถูก อุปสรรคมันโขกสับเอาน่ะ
    จขกท. ลองเงยหน้ามอง เพดานที่ห้องของคุณดูสิ
    เห็นอะไรบ้างไหม (นอกจากหยากไหย่ กับ หลอดไฟ ?)
    อืม...อิฉันเห็น โทมัส เอวา เอดิสัน กับ หลอดไฟดวงแรกของโลกอ่ะ
    อิฉันได้ยิน ประโยคหลาย ๆ ประโยค ที่เขาพูดต่างกรรมต่างวาระ

    ก่อนที่เขาจะประดิษฐ์หลอดไฟดวงแรกของโลกขึ้นมา
    หลายคนถามเขาว่า
    "เขาทนกับ ความล้มเหลว นับพันครั้ง ได้อย่างไร
    เมื่อ หลอดไฟเจ้ากรรมที่เขาสร้างมันส่องสว่างไม่ได้เลย "

    เขาตอบว่า

    “ผมไม่ได้ล้มเหลวหนึ่งพันครั้ง
    ผมเพียงค้นพบหนึ่งพันวิธีที่ทำหลอดไฟไม่ได้ก็เท่านั้นเอง”

    แทนที่จะคิดว่า "ล้มเหลว"
    แต่กลับความคิดเป็นแง่บวกก็คือ "แค่ค้นพบสิ่งที่ไม่ถูกต้อง"

    เคยมีครั้งนึงที่ห้องแล็บของเอดิสันถูกไฟไหม้...หายเกลี้ยง
    แต่เขากลับบอกว่า

    "ก็ดีเหมือนกัน เพราะความผิดพลาดทั้งหลายจะได้ถูกเผาไปให้หมด"

    และหลังจากที่เขา ประสบความสำเร็จกับ หลอดไฟดวงแรกของโลก เขาพูดว่า

    “ผมล้มเหลวไปข้างหน้าจนประสบความสำเร็จ”

    เฮ้ออออออออออออ
    ขนาด เอดิสัน ไม่เคยปีนกะไดไปอ่านตะกร้าสามใบ
    เขายังรู้จักปฏิบัติตามหลัก อิทธิบาท 4 เลยคุณเอ๋ย
    นั่ง มาธิแล้ว ฟุ้งซ่าน บ่อย ๆ แค่เนี๊ยะ
    สาวกสมณะโคดม อย่างคุณ ก็ถึงกับ ถอดใจ ท้อแล้วหรือเจ้าคะ
    คาดหวังอะไรกันนักหนา กะจะ ทะลุธรรม เอ๊ย บรรลุธรรมใน 7 วันเลยหรือไง

    ก็ได้แต่หวังนะ ว่า ความล้มเหลวในการนั่งสมาธิ ของ คุณในวันนี้
    คือการ ล้มเหลวไปข้างหน้า นะเจ้าคะ
    บ๊าย...บาย ...พล่ามจบแล้ว
    จะไปเดินจงกรมรอบโรงบาลล่ะ 5555
    เจริญในธรรม ( แค้ก ...แค้ก... ) ^ - ^

    ปล.
    อ่ะอันนี้ ฝากมาให้อ่านเล่น ๆ เจ้าค่ะ
    ความล้มเหลวเชิงบวก
    http://www.posttoday.com/lifestyle.php?id=20539
     
  4. รักในหลวงครับ

    รักในหลวงครับ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    136
    ค่าพลัง:
    +101
    จะมีคาถาอยู่1บทกันจิตฟุ้งซ่านได้
     
  5. แว๊ด

    แว๊ด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    982
    ค่าพลัง:
    +509
  6. ผู้พันจุ่น

    ผู้พันจุ่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    1,396
    ค่าพลัง:
    +2,983
    คาถา 1 แผ่เมตตา 1 สวดมนต์ 1 เดินจงกรม 1 ทั้งหมดนี้เป็นอุบายกล่อมใจเราให้พร้อม ลองพิจารณาดูความมุ่งหมายของแต่ละอย่างดูซิ ...ครู-อาจารย์เรา ท่านเก่งที่หาช่องทางให้เราเข้าสู่ " สภาวะที่ปราศจากความเศร้าหมองชั่วขณะ และมีช่องทางที่สามารถเข้าถึงสภาวะนั้นได้โดยรอบ "

    จงภูมิใจเถิดที่มาพบพุทธศาสนา ไม่ต้องอ้อนวอนให้ใครมาดลบันดาล นอกจากต้องทำเอาเอง ตามทางที่ผู้รู้ทั้งหลายเดินทางสำเร็จมาแล้ว..............สาธุ.
     
  7. |ฅนจร|

    |ฅนจร| เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    26
    ค่าพลัง:
    +229
    ผมแนะนำลองไปเข้าเวปของพระอาจารย์ปราโมทย์ ครับ ท่านเก่งมากครับ ลองฟังสิ่งที่ท่านสอนครับ ตอนนั่งสมาธิ คนที่ไม่เคยนั่งสมาธิก็รู้เรื่องเข้าใจครับ เพราะท่านพูดง่ายๆ เราเข้าใจได้ไม่ลำบาก หากเราจิตฟุ่งก็ให้ดูจิตว่าตอนนั้นเป็นอย่างไรๆ แต่อย่าไปจับไปเพ่งนะครับ ให้รู้ ให้มีสติ ฝึกแบบนี้ได้ทั้งวันครับไม่จำเป็นต้องเฉพาะตอนนั่งสมาธิ โดยส่วนตัวผมก็พยายามทำอยู่ครับ คือใช้ชีวิตประจำวันเรื่อยๆ จิตของเราก็ย่อมที่จะคิดไรมากมาย เราก็หมั่นดูจิตว่าคิดไรมั้ง หากจิตโกรธ เราก็รู้ตัว จิตเรากำลังโกรธอยู่ ดีใจก็รู้ว่าดีใจ ทำแบบนี้บ่อยๆ เมื่อจิตฟุ้งไป เราก็จะมีสติโดยอัตโนมัติครับ นะ เเล้วพี่จะรู้ว่า กายกับจิตนั้นมันแยกกันจริงๆๆครับ ลองทำดูครับไม่เสียหายแล้วเราจะรู้อะไรมากขึ้นอีกครับ นี้คือเวปเสียงที่บรรดาลูกศิษย์ของพระอาจารย์ทำไว้ครับ www.pramote.naddalim.com หรืออีกเวปครับ www.wimutti.net/pramote/
    ไปกดฟังได้เลยครับ เพราะผมก็ฟังจากนี้เหมือนกันครับแล้วนำคำสอนของท่านไปปฏิบัติครับ
     
  8. ปีศาจร้าย

    ปีศาจร้าย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    670
    ค่าพลัง:
    +1,240
    ๕. มาลุงกยปุตตเถรคาถา
    คาถาสุภาษิตของพระมาลุงกยเถระ.
    [๓๘๙] เมื่อบุคคลได้เห็นรูปแล้ว มัวใส่ใจถึงรูปนั้นว่าเป็นนิมิตที่น่ารัก สติก็
    ลุ่มหลง เมื่อเป็นเช่นนั้น ผู้นั้นย่อมมีจิตกำหนัดเพลิดเพลินอยู่ ทั้งยึด
    มั่นรูปนั้นด้วย เวทนามิใช่น้อยซึ่งมีรูปเป็นแดนเกิด ย่อมเจริญมากขึ้น
    แก่ผู้นั้น อภิชฌาและวิหิงสาย่อมเบียดเบียนจิตของผู้นั้นให้เดือดร้อน
    ความทุกข์ย่อมเป็นไปแก่ผู้นั้น ผู้มัวคำถึงรูปอยู่อย่างนั้น พระผู้มีพระภาค
    ตรัสผู้นั้นว่า เป็นผู้ห่างไกลนิพพาน เมื่อบุคคลได้ฟังเสียงแล้ว มัวใส่ใจ
    ถึงเสียงนั้นว่าเป็นนิมิตที่น่ารัก สติก็ลุ่มหลง เมื่อเป็นเช่นนั้น ผู้นั้น
    ย่อมมีจิตกำหนัดเพลิดเพลินอยู่ ทั้งยึดมั่นเสียงนั้นด้วย เวทนามิใช่น้อย
    ซึ่งมีเสียงเป็นแดนเกิด ย่อมเจริญมากขึ้นแก่ผู้นั้น อภิชฌาและวิหิงสา
    ย่อมเบียดเบียนจิตของผู้นั้นให้เดือดร้อน ความทุกข์ย่อมเป็นไปแก่ผู้นั้น
    ผู้มัวคำนึงถึงเสียงอยู่อย่างนั้น พระผู้มีพระภาคตรัสผู้นั้นว่า เป็นผู้ห่างไกล
    นิพพาน เมื่อบุคคลได้ดมกลิ่นแล้ว มัวใส่ใจถึงกลิ่นนั้นว่าเป็นนิมิตที่
    น่ารัก สติก็ลุ่มหลง เมื่อเป็นเช่นนั้นผู้นั้นย่อมมีจิตกำหนัดเพลิดเพลิน
    อยู่ ทั้งยึดมั่นกลิ่นนั้น ด้วยเวทนามิใช่น้อยซึ่งมีกลิ่นเป็นแดนเกิด ย่อม
    เจริญมากขึ้นแก่ผู้นั้น อภิชฌาและวิหิงสาย่อมเบียดเบียนจิตของผู้นั้น
    ให้เดือดร้อน ความทุกข์ย่อมเป็นไปแก่ผู้นั้น ผู้มัวคำนึงถึงกลิ่นอยู่อย่าง
    นั้น พระผู้มีพระภาคตรัสผู้นั้นว่า เป็นผู้ห่างไกลนิพพาน เมื่อบุคคลใด
    ลิ้มรสแล้ว มัวใส่ใจถึงรสนั้นว่าเป็นนิมิตที่น่ารัก สติก็ลุ่มหลง เมื่อเป็น
    เช่นนั้น ผู้นั้นย่อมมีจิตกำหนัดเพลิดเพลินอยู่ ทั้งยึดมั่นรสนั้นด้วย
    เวทนามิใช่น้อยซึ่งมีรสเป็นแดนเกิด ย่อมเจริญมากขึ้นแก่ผู้นั้น อภิชฌา
    และวิหิงสาย่อมเบียดเบียนจิตของผู้นั้นให้เดือดร้อน ความทุกข์ย่อม
    เป็นไปแก่ผู้นั้น ผู้มัวคำนึงถึงรสอยู่อย่างนั้น พระผู้มีพระภาคตรัสผู้นั้น
    ว่า เป็นผู้ห่างไกลนิพพาน เมื่อบุคคลถูกต้องผัสสะแล้ว มัวใส่ใจถึง
    ผัสสะนั้นว่าเป็นนิมิตที่น่ารัก เมื่อเป็นเช่นนั้น ผู้นั้นย่อมมีจิตกำหนัด
    เพลิดเพลินอยู่ ทั้งยึดมั่นผัสสะนั้นด้วย เวทนามิใช่น้อยซึ่งมีผัสสะ
    เป็นแดนเกิด ย่อมเจริญมากขึ้นแก่ผู้นั้น อภิชฌาและวิหิงสาย่อมเบียด-
    เบียนจิตของผู้นั้นให้เดือดร้อน ความทุกข์ย่อมเป็นไปแก่ผู้นั้น ผู้มัว
    คำนึงถึงผัสสะอยู่อย่างนั้น พระผู้มีพระภาคตรัสผู้นั้นว่า เป็นผู้ห่างไกล
    นิพพาน เมื่อบุคคลรู้ธรรมารมณ์แล้ว มัวใส่ใจถึงธรรมารมณ์นั้นว่าเป็น
    มิตรที่น่ารัก สติก็มีลุ่มหลง เมื่อเป็นเช่นนั้น ผู้นั้นย่อมมีจิตกำหนัด
    เพลิดเพลินอยู่ ทั้งยึดมั่นธรรมารมณ์นั้นอยู่ เวทนามิใช่น้อยซึ่งมีธรรมา-
    รมณ์เป็นแดนเกิด ย่อมเจริญขึ้นมากแก่ผู้นั้น อภิชฌาและวิหิงสาย่อม
    เบียดเบียนจิตของผู้นั้นให้เดือดร้อน ความทุกข์ย่อมเป็นไปแก่ผู้นั้น
    ผู้มัวคำนึงถึงธรรมารมณ์อยู่อย่างนั้น พระผู้มีพระภาคตรัสผู้นั้นว่า เป็น
    ผู้ห่างไกลนิพพาน ส่วนผู้ใดเห็นรูปแล้วเป็นผู้มีสติเฉพาะหน้า ผู้นั้นไม่
    กำหนัดยินดีในรูป เป็นผู้มีจิตคลายกำหนัดเสวยอารมณ์อยู่ ทั้งไม่ยึดมั่น
    รูปนั้น กิเลสชาติมีอภิชฌาเป็นต้น ย่อมไม่เป็นไปแก่พระโยคี ผู้พิจารณา
    เห็นรูปโดยความเป็นของไม่เที่ยงเป็นต้น หรือแม้กิเลสทั้งปวงของ
    พระโยคีผู้เสวยเวทนาอยู่ ย่อมสิ้นไป ก่อรากขึ้นไม่ได้ ฉันใด ผู้นั้นมี
    สติประพฤติอยู่ ก็ฉันนั้น ทุกข์ย่อมไม่เป็นไปแก่ผู้นั้น ผู้ไม่คำนึงถึง
    อย่างนั้น พระผู้มีพระภาคตรัสผู้นั้นว่า มีในที่ใกล้นิพพาน ผู้ใดได้ฟัง-
    มีเสียงแล้วเป็นผู้มีสติเฉพาะหน้า ผู้นั้นไม่กำหนัดยินดีในเสียง เป็นผู้
    จิตคลายกำหนัดเสวยอารมณ์ ทั้งไม่ยึดมั่นเสียงนั้น กิเลสชาติมีอภิชฌา
    เป็นต้น ย่อมไม่เป็นไปแก่พระโยคีผู้ได้ฟังเสียง โดยความเป็นของไม่
    เที่ยงเป็นต้น กิเลสทั้งปวงของพระโยคีผู้เสวยเวทนาอยู่ ย่อมสิ้นไป
    ก่อรากขึ้นไม่ได้ ฉันใด ผู้นั้นเป็นผู้มีสติประพฤติอยู่ ก็ฉันนั้น ทุกข์
    ย่อมไม่เป็นไปแก่ผู้นั้น ผู้ไม่คำนึงถึงอย่างนั้น พระผู้มีพระภาคตรัสผู้นั้น
    ว่า มีในที่ใกล้นิพพาน ผู้ใดได้ดมกลิ่นแล้ว เป็นผู้มีสติเฉพาะหน้า
    ผู้นั้นไม่กำหนัดยินดีในกลิ่น เป็นผู้มีจิตคลายกำหนัดเสวยอารมณ์อยู่
    ทั้งไม่ยึดมั่นกลิ่นนั้น กิเลสชาติมีอภิชฌาเป็นต้น ย่อมไม่เป็นไปแก่พระ
    โยคีผู้ดมกลิ่นโดยความเป็นของไม่เที่ยงเป็นต้น หรือแม้กิเลสทั้งปวง
    ของพระโยคีผู้เสวยเวทนาอยู่ย่อมสิ้นไป ก่อรากขึ้นไม่ได้ ฉันใด ผู้นั้น
    เป็นผู้มีสติประพฤติอยู่ ก็ฉันนั้น ทุกข์ย่อมไม่เป็นไปแก่ผู้นั้น ผู้ไม่คำนึงถึง
    อยู่อย่างนั้น พระผู้มีพระภาคตรัสผู้นั้นว่า มีในที่ใกล้นิพพาน ผู้ใดได้
    ลิ้มรสแล้ว เป็นผู้มีสติเฉพาะหน้า ผู้นั้นไม่กำหนัดยินดีในรส เป็น
    ผู้มีจิตคลายกำหนัดเสวยอารมณ์อยู่ ทั้งไม่ยึดมั่นรสนั้น กิเลสชาติมี
    อภิชฌาเป็นต้น ย่อมไม่เป็นไปแก่พระโยคีผู้ลิ้มรส โดยความเป็นของ
    ไม่เที่ยงเป็นต้น กิเลสทั้งปวงของพระโยคีผู้เสวยเวทนาอยู่ย่อมสิ้นไป
    ก่อรากขึ้นไม่ได้ ฉันใด ผู้นั้นเป็นผู้มีสติประพฤติอยู่ ก็ฉันนั้น ทุกข์ย่อม
    ไม่เป็นไปแก่ผู้นั้น ผู้ไม่คำนึงถึงอย่างนั้น ผู้ใดถูกต้องผัสสะแล้วเป็น
    ผู้มีสติเฉพาะหน้า ผู้นั้นไม่กำหนัดยินดีในผัสสะ เป็นผู้มีจิตคลาย
    กำหนัดเสวยอารมณ์อยู่ ทั้งไม่ยึดมั่นผัสสะนั้น กิเลสชาติมีอภิชฌา
    เป็นต้น ย่อมไม่เป็นไปแก่พระโยคีผู้ถูกต้องผัสสะ โดยความเป็นของ
    ไม่เที่ยงเป็นต้น กิเลสทั้งปวงของพระโยคีผู้เสวยเวทนาอยู่ย่อมสิ้นไปไม่
    ก่อรากขึ้นได้ ฉันใด ผู้นั้นเป็นผู้มีสติประพฤติอยู่ ก็ฉันนั้น ทุกข์ย่อม
    ไม่เป็นไปแก่ผู้นั้น ผู้ไม่คำนึงถึงอย่างนั้น พระผู้มีพระภาคตรัสผู้นั้นว่า
    มีในที่ใกล้นิพพาน ผู้ใดรู้แจ้งธรรมารมณ์แล้วเป็นผู้มีสติเฉพาะหน้า
    ผู้นั้นไม่กำหนัดยินดีในธรรมารมณ์ เป็นผู้มีจิตคลายกำหนัดเสวยอารมณ์
    อยู่ ทั้งไม่ยึดมั่นธรรมารมณ์นั้น กิเลสชาติมีอภิชฌาเป็นต้น ย่อมไม่
    เป็นไปแก่พระโยคีผู้รู้แจ้งธรรมารมณ์ โดยความเป็นของไม่เที่ยงเป็นต้น
    หรือแม้กิเลสทั้งปวง ของพระโยคีผู้เสวยเวทนาอยู่ย่อมสิ้นไป ไม่ก่อราก
    ขึ้นได้ ฉันใด ผู้นั้นเป็นผู้มีสติประพฤติอยู่ ก็ฉันนั้น ทุกข์ย่อมไม่เป็น
    ไปแก่ผู้นั้น ผู้ไม่คำนึงถึงอย่างนั้น พระผู้มีพระภาคตรัสผู้นั้นว่า มีในที่
    ใกล้นิพพาน.
     
  9. ทิดทิด

    ทิดทิด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    75
    ค่าพลัง:
    +203
    ขอบพระคุณอย่างสูงครับ
    สำหรับทุกคำแนะนำรวมทั้งท่านที่ส่ง Web load File ทำสมาธิมาให้ด้วย
    ผมมีกำลังใจอีกเยอะเลยครับ
    วันหยุดที่ผ่านมาก็ชวนแฟนไปนั่งกรรมฐานกัน 2คืน 2วัน
    ดีขึ้นเยอะเลยครับ รวมทั้งแฟนผมเขาก็รู้สึกดีขึ้นเหมือนกัน
     
  10. ทิดทิด

    ทิดทิด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    75
    ค่าพลัง:
    +203
    ขอบพระคุณอย่างสูงครับ
    สำหรับทุกคำแนะนำรวมทั้งท่านที่ส่ง Web load File ทำสมาธิมาให้ด้วย
    ผมมีกำลังใจอีกเยอะเลยครับ
    วันหยุดที่ผ่านมาก็ชวนแฟนไปนั่งกรรมฐานกัน 2คืน 2วัน
    ดีขึ้นเยอะเลยครับ รวมทั้งแฟนผมเขาก็รู้สึกดีขึ้นเหมือนกัน
     
  11. สิงหนาท

    สิงหนาท เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    673
    ค่าพลัง:
    +4,805
    เป็นอารมณ์ครับ เมื่อไม่ได้มาก็เกิท้อ หากไปได้ก็อยากจะนั่งต่อครับ ฉะนั้นเรื่องการทรงอารมณ์ ครับ

    มีหลายคนเขาก็ท้อกันครับ เป็นเหมือนจุด ๆ หนึ่ง ที่เราต้องผ่านกัน เกือบทุกคน ครับ

    ลองไปอ่านด้านล่างนี่ดูนะครับ จะช่วยได้ ครับ


    http://palungjit.org/threads/ภาวนาแล้วเครียด.203009/
     
  12. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ท่านครับ ใครบ้างที่ฝึกหัดนั่งสมาธิใหม่ๆแล้วไม่เคยท้อ
    คนที่ไม่เคยท้อนั้น แสดงว่าไม่เคยทำ "สมาธิ"
    การฝึกอบรมจิตใหม่ๆ ก็เหมือนจับปูใส่กระด้ง ปูอยู่นิ่งเสียที่ไหน

    ถ้ามีเจตจำนงที่มุ่งมั่น ความชำนาญก็จะเกิดขึ้นครับ
    รู้จักมัดปูให้ดีก่อนจับใส่กระด้ง ความสงบก็จะเกิดขึ้น

    เท่าที่อ่านมา แต่ละท่านล้วนมีประสบการณ์มากมาย

    ความอดทนสูงส่งกว่าความงาม
    การดูจิตโดยไม่เคยผ่านสมาธิกรรมฐานภาวนาจนจิตตั้งมั่นไม่หวั่นได้แล้ว
    ยิ่งดูจิตไป ก็มีแต่ติดอาการของจิตโดยไม่รู้ตัวเท่านั้น "ติดดีในดี"

    ;aa24
     
  13. วิศว

    วิศว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    2,349
    ค่าพลัง:
    +5,104
    ปัญหาเรื่องเวลาทำสมาธิแล้ว จิตฟุ้งซ่านตลอด...
    เป็นเรื่องปกติสามัญของผู้ปฏิบัติเริ่มต้นทุกคน..
    เพราะจิตใจที่เคยฟุ้งซ่าน..แล้วจะให้จิตสงบนะมันยากเย็นแสนเข็ญ..
    เหมือนจับปูใส่กระด้ง..ในขั้นตอนฝึกขั้นเริ่มแรกต้องใช้ความมานะพยายามสูง..
    เอาความเพียรตั้งใจ...ขันติความอดทนปฏิบัติทำทุกวัน..อย่างต่อเนื่อง..
    อย่าท้อแท้ใจ..ทุกคนต้องผ่านขั้นตอนการทดสอบจิตใจด้วยกันทั้งนั้น
    เมื่อได้หลักใจในเรื่องความสงบแล้ว..จะมีเครื่องอยู่..ไม่ฟุ้งซ่านอย่างที่จิตใจเคยเป็น..
    เข้าใจในเรื่องบาปบุญคุณโทษและคำสอนพระศาสดาอย่างเข้าใจยิ่งขึ้น..เป็นลำดับ


    ขอแนะนำให้ปฏิบัติกรรมฐาน...อาณาปาณสติกรรมฐาน
    ธรรมดาของผู้ฝึกกรรมฐาน เมื่อจิตเริ่มเข้าสู่ความสงบสู่ฐานของใจ
    ลมหายใจจะเริ่มละเอียดขึ้นเรื่อยๆ
    เช่นเดียวกันกับจิตที่ละเอียดขึ้นเป็นลำดับ..
    ขอผู้ฝึกกรรมฐานอย่าวิตกหรือตกใจในเรื่องของลมหายใจ
    การที่รู้สึกเสมือนลมหายใจเหมือนจะหายไปหรือเบาบาง
    บางครั้งจะรู้สึกอึดอัดในลมหายใจ...
    ถ้าไปวิตกเกี่ยวกับลมหายใจ จะทำให้ขาดสติจากการจับลมหายใจทำให้ถอยจากสมาธิ
    เปรียบเสมือนการเปลี่ยนฐานที่ตั้งสติบ่อยๆ..อันเป็นสิ่งไม่ควรในการภาวนา
    เหมือนต้องเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่..ทำให้ไม่ก้าวหน้า..และสงสัยไม่จบสิ้น

    ผู้ฝึกกรรมฐานไม่ควรไปสนใจวิตกลมหายใจ..
    โปรดกำหนดลมหายใจที่จุดเดิมที่ตั้งฐานสติเอาไว้ เช่น ที่ปลายจมูกดูลมหายใจเข้า-ออก
    อย่าเปลี่ยนความสนใจหรือเปลี่ยนฐานที่ตั้งสติเดิมเป็นอันขาด
    เพราะการเช่นนั้น..เป็นการเผลอสติจะทำให้ไม่ก้าวหน้าในการปฏิบัติภาวนา
    ให้กำหนดรู้ในลมหายใจของฐานที่ตั้งสติเดิมอย่างนั้น..เรื่อยไป
    ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น..อย่าทิ้งความรู้ในการกำหนดฐานที่ตั้งสติเดิม..
    เมื่อลมหายใจละเอียดขึ้นเป็นลำดับ..
    จะทำให้จิตใจนี้ละเอียดเช่นเดียวกับลมหายใจ

    เมื่อจิตละเอียดจนเข้าสู่ฐานความสงบของใจ..
    อย่ากำหนดเข้าหรือออกจากฐานความสงบตรงนั้น
    เพราะจิตจะได้กำลังแห่งความสงบตามกำลังสติที่อบรมมา..
    ถ้าจิตดิ่งสงบตั้งมั่นได้นาน...เกิดมาจากสติที่ฝึกมาดีอย่างต่อเนื่อง
    ถ้าจิตดิ่งสงบตั้งมั่นได้ชั่วครู่..เกิดจากสติที่ฝึกมายังไม่ค่อยชำนาญต่อเนื่อง
    ไม่ต้องกลัวจะติดฌานหรือจะไปเป็นพรหมลูกฟัก
    เพราะจิตจะถอนออกจากสมาธิเองตามกฏพระไตรลักษณ์..

    ขอให้กำหนดผู้รู้ในฐานสติคือลมหายใจ..
    เพราะนี่คือ...การภาวนาอาณาปาณสติกรรมฐาน
    กรรมฐานเอกของพระพุทธเจ้า..ไม่ใช่เรื่องสมาธินอกศาสนา
    ฉะนั้นไม่ต้องกลัว..ขอให้ประสบความสำเร็จในการประพฤติปฏิบัติภาวนา
    สาธุ..<!-- google_ad_section_end -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 สิงหาคม 2009
  14. วิศว

    วิศว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    2,349
    ค่าพลัง:
    +5,104
    สิ่งสำคัญ..ก่อนปฏิบัติภาวนาทุกครั้ง

    สวดมนต์ไหว้พระตามปกติทุกวัน

    ควรระลึกถึงบุญกุศล..และแผ่เมตตาทุกครั้ง

    เพื่อทำจิตใจให้เยือกเย็น..เป็นกุศล..

    จิตใจนี้จะได้ร่มๆสดชื่น..อารมณ์ของใจจะได้เบิกบานไม่มัวหมองขุ่นข้องใจ

    จะทำให้การภาวนาจิตรวมสงบได้ง่ายขึ้นครับ..

    ขอให้เจริญในธรรม..ปฏิบัติ
     
  15. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,272
    ค่าพลัง:
    +82,730
    อนุโมทนาสาธุกับท่านเจ้าของกระทู้ค่ะ
    สงบก็รู้....
    ไม่สงบก็รู้....
    ฟุ้งซ่านก็รู้....
    อยากสงบ...ไม่สงบ....
    ดูไปเรื่อยๆ...
    เดี๋ยวสงบเอง
    ....ความสุขทำให้เกิดสมาธิ
    ขอให้ท่านเจริญในธรรม...สาธุ
     
  16. wuttichai0329

    wuttichai0329 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    1,015
    ค่าพลัง:
    +741
    ท่านจางซันฟง ท่านใช้หมัดไท่เก็ก หรืออย่างไร ท่านนิวรณ์
     
  17. Rupanama

    Rupanama สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    202
    ค่าพลัง:
    +25
    เอาแบบเด็กๆ อย่างผมบ้างน่ะครับ

    ผมมีเป้าหมายครับ เช่น เพื่อชำระจิตให้บริสุทธ์ เพื่มประสิทธิภาพของใจ อะไรทำนองนั้น หรือ เอาไปแบบไหลๆ ก็เริ่มทำเร็วเท่าไหร่ ก็เข้านิพพานเร็วเท่านั้น

    พอเราคิดอย่างนี้บ่อยๆ เราจะมีความรักที่จะทำ ตัวนี้มันก็จะช่วยเรื่องความเบื่อได้บ้างครับ

    อย่าไปเบื่อมากเลยครับ เราปล่อยชีวิตเรามาตั้งนาน พอเราเริ่มทำให้มันอยู่กับร่องกับรอย มันก็ต้องมีฝืนบ้างครับ มีเบื่อมากครับ อย่างน้อยมันทำให้เราเห็นว่าทุกอย่างมีธรรมชาติเป็นของมัน บังคับ ไม่ได้

    อย่าไปอยากให้มัน สงบ หรือ ไม่อยากฟุ้งซ่านเลย ครับ มันทำให้เราเป็นทุกข์ และ พอไม่ได้อย่างใจ ก็เบื่อครับ ลองเรียนรู้ความฟุ้งซ่านตัวนั้นดู แบบกลางๆ ซิครับ ว่ามันเป็นอย่างไร

    อีกอย่างหนึ่ง ลองสังเกตดูในชีวิตประจำวัน ว่าเราทำเรื่องอื่น ที่ไม่ใช่นั่งสมาธิ แล้ว ไม่ฟุ้งซ๋านมีไหม เช่น อ่านหนังสือที่ชอบ ฟังเพลง เล่นดนตรี ลองมองดูว่าอะไรเป็นเหตุ ที่ทำให้ไม่ฟุ้งครับ แล้ว apply มาใช้

    สุดท้ายไปเข้าคอร์ส เรียนกรรมฐานดูครับ อาจได้อุบาย มากกว่านี้ เช่น มีองค์บริกรรม

    หาครูอาจารย์ ที่เหมาะกับจริต เรา และมีภูมิรู้ภูมิธรรม ที่ดีครับ

    ผมก็ยังหาอยู่เหมือนกันครับ
     
  18. Rupanama

    Rupanama สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    202
    ค่าพลัง:
    +25
    เอาแบบเด็กๆ อย่างผมบ้างน่ะครับ

    ผมมีเป้าหมายครับ เช่น เพื่อชำระจิตให้บริสุทธ์ เพื่มประสิทธิภาพของใจ อะไรทำนองนั้น หรือ เอาไปแบบไกลๆ ก็เริ่มทำเร็วเท่าไหร่ ก็เข้านิพพานเร็วเท่านั้น

    พอเราคิดอย่างนี้บ่อยๆ เราจะมีความรักที่จะทำ ตัวนี้มันก็จะช่วยเรื่องความเบื่อได้บ้างครับ

    อย่าไปเบื่อมากเลยครับ เราปล่อยชีวิตเรามาตั้งนาน พอเราเริ่มทำให้มันอยู่กับร่องกับรอย มันก็ต้องมีฝืนบ้างครับ มีเบื่อมากครับ อย่างน้อยมันทำให้เราเห็นว่าทุกอย่างมีธรรมชาติเป็นของมัน บังคับ ไม่ได้

    อย่าไปอยากให้มัน สงบ หรือ ไม่อยากฟุ้งซ่านเลย ครับ มันทำให้เราเป็นทุกข์ และ พอไม่ได้อย่างใจ ก็เบื่อครับ ลองเรียนรู้ความฟุ้งซ่านตัวนั้นดู แบบกลางๆ ซิครับ ว่ามันเป็นอย่างไร

    อีกอย่างหนึ่ง ลองสังเกตดูในชีวิตประจำวัน ว่าเราทำเรื่องอื่น ที่ไม่ใช่นั่งสมาธิ แล้ว ไม่ฟุ้งซ๋านมีไหม เช่น อ่านหนังสือที่ชอบ ฟังเพลง เล่นดนตรี ลองมองดูว่าอะไรเป็นเหตุ ที่ทำให้ไม่ฟุ้งครับ แล้ว apply มาใช้

    สุดท้ายไปเข้าคอร์ส เรียนกรรมฐานดูครับ อาจได้อุบาย มากกว่านี้ เช่น มีองค์บริกรรม

    หาครูอาจารย์ ที่เหมาะกับจริต เรา และมีภูมิรู้ภูมิธรรม ที่ดีครับ

    ผมก็ยังหาอยู่เหมือนกันครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 กันยายน 2009
  19. นิยายธรรม

    นิยายธรรม สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    108
    ค่าพลัง:
    +20
    คืออยากจะบอกว่าไอ้ตัวท้อแท้ มันก็คือ ตัวฟุ้งซ่านรำคาญ เป็นส่วนหนึ่งของนิวรณ์ครับ ไม่สนใจซะอย่าง เอาลมหายใจเป็นหลักก็พอ พ้นนิวรณ์เมื่อไร ก็ เป็นปฐมฌานทันที
     
  20. วิศว

    วิศว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    2,349
    ค่าพลัง:
    +5,104
    ถ้าเราเป็นคนจริง ทำจริง ปฏิบัติเอาจริง....

    ธรรมะซึ่งเป็นของจริง...จะได้มาจากความเพียรและขันติวิริยะความอดทนเข้าแลก..

    สิ่งที่ได้มายาก เกิดจากการฝึกฝนอบรมตนย่อมมีคุณค่า...แก่หัวใจเราเอง.

    .
     

แชร์หน้านี้

Loading...