การเตรียมการอพยพมนุษย์โลก เพื่อช่วยเหลือระหว่างการชำระโลก ของมิตรจากต่างพิภพ และข้อมูลอื่นๆจากสาธารณรัฐเช็ก

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย Chayutt, 19 มิถุนายน 2009.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. panseak

    panseak Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    33
    ค่าพลัง:
    +30
    ผมไม่รู้จักคุณAvatar_boyเลยครับ อาจเป็นเพราะผมสมัครได้ไม่นานแต่ผมไปดู
    กระทู้เก่าๆเห็นคุณชยุตพูดถึงงานเขียนของคุณAvatar_boyที่ได้แปลไปผมอยาก
    อ่าน แล้วก็อยากรู้ว่าเขาเป็นใคร พอจะมีใครช่วยบอกได้บ้างครับผมเริ่มสังเกตุอะไร
    ที่มันน่าจะเชื่อมต่อกันได้นิดหน่อย ไว้ทำรายงานผ่านช่วงสอบเสร็จจะลองมาเขียน
    ให้ครับ พี่ชยุตคงยุ่งเหมือนกันแน่ๆเลยแล้วก็คนอื่นๆด้วย
     
  2. axzon47

    axzon47 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    737
    ค่าพลัง:
    +3,155
    รีบน ครับ ลองไปค้นอ่านที่คุณ ชยุตโพสไว้ทุกตอนสิครับ คำตอบมีอยู่แล้วคับ อิอิ



    ปล. ขอบคุณ Avatar_boy ที่แนะนำ

     
  3. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    ข้อความส่วนนี้ขอลบทิ้งนะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 ธันวาคม 2012
  4. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    นี่ก็ด้วยนะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 ธันวาคม 2012
  5. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    THIS IS THE DIVINE DICHOTOMY
    คู่ที่แตกต่างกันทางจิตวิญญาณ.<o></o>

    <o></o>


    ...นี่คือคู่เหมือนที่ต่างกันทางจิตวิญญาณ นี่คือความลึกลับทางจิตวิญญาณที่จนกระทั่งเดี๋ยวนี้
    มีเพียงผู้ที่มีจิตใจสูงส่งเท่านั้นที่เข้าใจมันได้ ที่ฉันเปิดเผยให้เธอรู้มานี่ ฉันได้ใช้วิธีที่เข้าใจได้ง่ายๆแล้วนะ
    เรื่องนี้เป็นเรื่องที่อยู่ในหนังสือเล่มที่หนึ่ง และสัจธรรมขั้นพื้นฐานอันนี้เธอจะต้องเข้าใจนะ เธอจะต้องรู้ให้ลึกซึ้ง
    ถ้าเธอสามารถรู้และเข้าใจมันได้แล้วความจริงที่สูงส่งยิ่งกว่านี้เรื่องอื่นๆก็จะตามมา ที่นี่ ในหนังสือเล่มที่สาม เล่มนี้

    <o></o>
    ตอนนี้ขอให้ฉันพูดถึงมันสักเล็กน้อยก่อนดีไหม๊ เพราะว่ามันมีคำตอบที่จะตอบคำถามส่วนที่สองของเธอได้<o></o>
    <o></o>

    นีล: ผมก็หวังว่าเราจะย้อนกลับไปสู่ประเด็นคำถามนั้นเหมือนกันครับ ที่ว่าพ่อแม่ที่มีความรักต่อลูกควรทำอย่างไร
    ถ้าสิ่งที่ต้องพูดและทำเพื่อให้ลูกได้ในสิ่งที่ดีที่สุด แต่พ่อแม่จำเป็นต้องฝืนความต้องการของลูก
    ไม่ให้ลูกทำตามที่ลูกต้องการ หรือว่าพ่อแม่ควรจะแสดงความรักที่แท้จริงที่สุดต่อลูก
    โดยการปล่อยให้ลูกเล่นอยู่กลางถนนแบบนั้นดีครับ<o></o>

    <o></o>

    พระเจ้า : นี่เป็นคำถามที่ดีมากเลย และมันก็เป็นคำถามที่พ่อแม่ทุกคนมักจะถามกันตั้งแต่เริ่มเป็นพ่อเป็นแม่โน่นแล้วหละ
    แม้ว่าคำถามอาจจะออกมาในรูปแบบอื่นๆก็ตาม และคำตอบสำหรับเธอในฐานะผู้เป็นพ่อเป็นแม่ก็เหมือนกับ
    คำตอบของฉันในฐานะพระเจ้า
    <o></o>

    <o></o>

    นีล: แล้วคำตอบมันคืออะไรหละครับ?<o></o>
    <o></o>

    พระเจ้า : อดทนไว้ก่อน ลูกรัก อดทนไว้ “สิ่งดีๆทั้งหลายมักจะบังเกิดกับผู้ที่รอคอย”
    เธอไม่เคยได้ยินคำพูดนี้บ้างเลยเหรอ?
    <o></o>

    <o></o>

    นีล: มันก็ใช่ครับ คุณพ่อของผมก็เคยพูดแบบนี้ แต่ผมเกลียดมันชะมัดเลย<o></o>
    <o></o>

    <o></o>
    พระเจ้า : ฉันเข้าใจ แต่เธอก็ต้องอดทนไว้ โดยเฉพาะเมื่อสิ่งที่เธอเลือกไม่ใช่สิ่งที่เธอคิดว่าเธอต้องการ
    คำตอบของคำถามส่วนที่สองของเธอ ก็คือ

    <o></o>
    เมื่อเธอบอกว่าเธอต้องการคำตอบ แต่เธอไม่ได้เลือกมัน เธอก็รู้ว่าเธอไม่ได้เลือกมัน
    เพราะว่าเธอไม่เคยมีประสบการณ์ของการได้คำตอบนั้น ในความเป็นจริงแล้ว เธอมีคำตอบแล้ว
    และก็มีอยู่ตลอดเวลาซะด้วย เพียงแต่เธอไม่ได้เลือกมันเฉยๆเท่านั้นเอง เธอเลือกที่จะเชื่อว่า
    เธอยังไม่ได้รับคำตอบ เธอจึงยังไม่ได้รับคำตอบยังไงหละ<o></o>

    <o></o>

    นีล: ใช่ครับ ท่านได้พูดถึงเรื่องนี้มาแล้วในหนังสือเล่มที่หนึ่ง ผมจะมีทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมเลือกที่จะมีในตอนนี้
    รวมถึงรื่องความเข้าใจอย่างถ่องแท้เกี่ยวกับพระเจ้าด้วย ผมจะยังไม่มีประสบการณ์ของการมีมัน
    จนกระทั่งผมรับรู้ว่าผมมีมันแล้วซะก่อน<o></o>

    <o></o>

    พระเจ้า : ถูกเผ็งเลย! เธอพูดได้เยี่ยมมาก<o></o>
    <o></o>

    นีล: แต่ผมจะรู้ได้อย่างไรว่าผมมีมันแล้ว ถ้าผมไม่เคยมีประสบการณ์ว่าผมมีมันแล้ว
    ผมจะรู้อะไรที่ผมยังไม่เคยมีประสบการณ์เกี่ยวกับมันได้อย่างไร ผู้ที่มีจิตใจสูงส่งท่านหนึ่งไม่ได้พูดหรอกเหรอว่า

    “ทุกการรับรู้คือประสบการณ์
    ”<o></o>

    <o></o>

    พระเจ้า : เขาพูดผิด การรับรู้ไม่ได้ตามหลังประสบการณ์ แต่การรับรู้มาก่อนประสบการณ์
    ในกรณีนี้ผู้คนครึ่งโลกเข้าใจสลับกัน<o></o>

    <o></o>

    นีล: เพราะฉะนั้น..ความหมายของท่านคือ ผมมีคำตอบของคำถามช่วงที่สองของผมแล้วอย่างนั้นหรือครับ
    นี่ผมยังไม่รู้ตัวเลยนะเนี่ย<o></o>

    <o></o>

    พระเจ้า : แน่นอนสิ<o></o>
    <o></o>

    นีล: เพราะฉะนั้น ถ้าผมยังไม่รับรู้ว่าผมได้คำตอบแล้ว ก็แปลว่าผมยังไม่ได้<o></o>
    <o></o>

    พระเจ้า : นั่นเป็นคำพูดที่ดูเหมือนขัดแย้งกัน..แต่ก็ใช่<o></o>
    <o></o>

    นีล: ผมไม่เข้า..นอกจากว่าผมจะเข้าใจ<o></o>
    <o></o>

    พระเจ้า : จริงแท้แน่นอน<o></o>
    <o></o>

    นีล: เพราะฉะนั้นผมจะไปถึงจุดที่ ”รับรู้ในสิ่งที่ผมรู้” อะไรเหล่านั้นได้อย่างไร ถ้าผมยังไม่ “รับรู้ในสิ่งที่ผมรู้” <o></o>
    <o></o>

    พระเจ้า : เพื่อที่จะ “รับรู้ในสิ่งที่เธอรู้” ก็คือทำเหมือนกับว่าเธอรู้แล้วสิ<o></o>
    <o></o>

    นีล: เกี่ยวกับเรื่องนี้ท่านก็ได้พูดเอาไว้แล้ว ในเล่มที่ 1<o></o>
    <o></o>

    พระเจ้า : ใช่, และฉันก็คิดว่าการเริ่มเรื่องที่ดีในตอนนี้ ก็น่าจะเป็นการพูดถึงสิ่งที่เคยสอนไปแล้วก่อนหน้านี้ซ้ำอีกครั้งหนึ่ง
    เพราะเธอก็เพิ่งถามคำถามนี้กับฉันไปหยกๆ ฉันขออธิบายสรุปแบบย่อๆ
    เกี่ยวกับสิ่งที่เราได้คุยกันไปแล้วก่อนหน้านี้
    ให้ละเอียดขึ้นอีกสักหน่อย ตั้
    งแต่ตอนต้นๆของหนังสือเล่มนี้เลยดีกว่า<o></o>

    <o></o>
    ในหนังสือเล่มที่หนึ่ง เราได้พูดถึงรูปแบบของการ “เป็น - ทำ – มี” กันไปแล้ว
    รวมถึงว่าคนส่วนใหญ่ใช้มันในทางกลับกันอย่างไร<o></o>


    คนส่วนใหญ่เชื่อว่าถ้าพวกเขา
    “มี” อะไรสักอย่าง (เช่น มีเวลา,เงิน,ความรัก หรืออะไรก็ตามแต่มากขึ้น)
    พวกเขาจึงจะ “ทำ” สิ่งนั้นๆได้ (เช่น เขียนหนังสือ,ทำงานอดิเรก,ไปเที่ยว,ซื้อบ้าน,มีสัมพันธภาพ)
    ซึ่งนั่นจึงจะทำให้พวกเขา “เป็น” สิ่งนั้นๆได้ (เช่น ความสุข, ความสงบ, ความเพียงพอ,หรือความรัก เป็นต้น)<o></o>

    <o></o>
    แท้ที่จริงแล้ว พวกเขาใช้มันกลับทิศทางกัน เพราะความเป็นจริงของเอกภพนี้ (ซึ่งตรงกันข้ามกับแบบที่เธอคิดว่ามันเป็น)
    “การมี” ไม่ได้ก่อให้เกิด “การเป็น” แต่อย่างใดเลย แต่เป็นอย่างอื่นต่างหาก

    <o></o>
    ตอนแรกเธอต้อง “เป็น” สิ่งที่เรียกว่า “ความสุข” (หรือ “ความรู้” หรือ “ความเฉลียวฉลาด” หรือ “ความเห็นอกเห็นใจ”
    หรืออะไรก็ตามแต่) ก่อน จากนั้นเธอจึงจะ “ทำ” สิ่งนั้นๆจากความเป็นนั้นๆของเธอ
    แล้วในไม่ช้าเธอจะพบว่าสิ่งที่เธอกำลังกระทำอยู่นั้น จะเหนี่ยวนำเอาสิ่งที่เธอต้องการจะ “มี” นั้นๆมาสู่เธอ<o></o>

    <o></o>
    วิธีที่จะขับเคลื่อนขบวนการสรรค์สร้างนี้ (จริงๆแล้วมันก็คือ “ขบวนการแห่งการสร้างสรรค์”)
    ก็คือการมองหาสิ่งที่เธอต้องการจะ “มี” แล้วถามตัวเองว่า เธอน่าจะ “เป็น” อย่างไร ถ้าเธอ “มี” สิ่งนั้นๆแล้ว
    จากนั้นเธอก็เดินหน้าเพื่อให้ ”เป็น” สิ่งนั้นๆ

    <o></o>
    แต่ด้วยความเข้าใจผิด เธอจึงได้กระทำสวนทิศทางของกระบวนการแห่งการสร้างสรรค์ของเอกภพ “เป็น – ทำ – มี”
    ที่แท้จริงนี้มาโดยตลอด แล้วเธอก็ได้กำหนดให้มันเป็นทิศทางที่ถูกต้องสำหรับเธอไปแล้ว
    และก็ใช้งานมันในทิศทางนี้มาตลอด<o></o>

    <o></o>
    คำอธิบายหลักการของกระบวนการนี้อย่างสั้นๆก็คือ<o></o>
    ในชีวิตเธอ เธอไม่จำเป็นต้องทำอะไรเลย<o></o>
    สิ่งเดียวที่ควรใส่ใจก็คือ เธอกำลังเป็นอย่างไร เพียงเท่านั้น<o></o>
    <o></o>
    นี่คือหนึ่งในสามข้อความที่ฉันจะลงในรายละเอียดอีกครั้งหนึ่งในตอนท้ายของบทสนทนาของเรา
    เอาไว้ปิดท้ายหนังสือเล่มนี้

    <o></o>
    ตอนนี้ เพื่อที่จะทำให้เธอมองเห็นภาพ ลองนึกถึงใครสักคนหนึ่งที่คิดว่าถ้าตัวเองมีเวลา, มีเงิน,
    หรือได้รับความรักมากขึ้นอีกสักหน่อยแล้ว เขาคงจะมีความสุขมาก<o></o>

    <o></o>

    N: เขาไม่รู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่าง “การไม่มีความสุข” ของตัวเขาเอง ในปัจจุบันขณะนี้กับ “การไม่มีเวลา, ไม่มีเงิน,
    หรือ ไม่ได้รับความรัก” ตามที่เขาต้องการ<o></o>

    <o></o>

    G: ถูกต้อง หรืออีกนัยหนึ่งคือ คนที่มีความสุขอยู่แล้ว มักจะมีเวลาที่จะทำสิ่งต่างๆที่สำคัญๆ
    มีเงินใช้เพียงพอต่อความจำเป็น และได้รับความรักอย่างเพียงพอชั่วชีวิตของเขา<o></o>

    <o></o>

    N: เขาพบว่าเขามีทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาต้องการเพื่อที่จะทำให้เขามีความสุข โดยเริ่มที่การเป็นคนที่มีความสุขซะก่อน<o></o>
    <o></o>

    G: แน่นอนสิ การตัดสินใจไว้ล่วงหน้าในสิ่งที่เธอเลือกที่จะเป็น จะนำพาประสบการณ์นั้นมาสู่เธอ<o></o>
    <o></o>

    N: จะเป็นหรือจะไม่เป็น คือประเด็นสำคัญ<o></o>
    <o></o>

    G: ถูกเผ็งเลย ความสุขเป็นสภาวะทางใจอย่างหนึ่ง ซึ่งก็เหมือนกับสภาวะทางใจอื่นๆ
    ที่สามารถถ่ายทอดตัวมันเองไปเป็นสภาวะทางกายภาพได้
    <o></o>

    มีคำกล่าวที่น่าสนใจอยู่ว่า

    <o></o>
    “ทุกสภาวะทางจิต สามารถถ่ายทอดตัวมันเองได้”
    <o></o>

    N: แล้วท่านจะสามารถเริ่ม “เป็น” คนที่มีความสุข หรือเป็นอะไรอื่นที่ท่านกำลังต้องการจะเป็น
    เช่น เป็นคนที่มั่งคั่งมากขึ้น หรือ เป็นคนที่ได้รับความรักมากขึ้น ได้อย่างไร ถ้าท่านยังไม่มีในสิ่งที่ท่าน
    คิดว่าท่านต้องการ เพื่อที่จะให้ได้ “เป็น” แบบนั้นๆ<o></o>

    <o></o>

    G: ทำประหนึ่งว่าเธอเป็นอย่างนั้นจริงๆ แล้วเธอจะได้มันมา อะไรที่เธอแสดงออกมาประหนึ่งว่าเธอเป็นเช่นนั้นจริงๆ
    เธอก็จะเป็นอย่างนั้นจริงๆ<o></o>

    <o></o>

    N: หรือจะพูดอีกอย่างก็คือ “แสร้งทำมัน จนกว่าจะได้มันมา”<o></o>
    <o></o>

    G: ใช่ จะว่าอย่างนั้นก็ได้นะ เพียงแต่ว่าเธอไม่สามารถเสแสร้งแบบให้มันเป็นจริงๆได้เท่านั้นเอง
    การแสดงออกของเธอต้องเป็นการแสดงออกมาจากใจจริง
    “ทุกอย่างที่เธอทำโดยปราศจากความจริงใจ
    ผลตอบแทนของการกระทำนั้นๆก็จะสูญสลายไป”<o></o>

    <o></o>
    ที่เป็นเช่นนี้ไม่ใช่ว่าเพราะฉันจะไม่ให้รางวัลแก่เธอนะ พระเจ้าไม่ “ให้รางวัล” และไม่ “ลงโทษ” ใครอย่างที่เธอรู้
    แต่กฎของธรรมชาติต้องการให้ร่างกาย จิตใจ และจิตวิญญาณ ประสานเป็นหนึ่งเดียวกันทั้งการคิด การพูด
    และการกระทำ เพื่อให้กระบวนการของการสรรสร้างดำเนินไปได้<o></o>

    <o></o>
    เธอไม่สามารถหลอกลวงจิตใจของเธอเองได้ ถ้าเธอไม่มีความจริงใจ เธอก็จะรู้อยู่แก่ใจของเธอเอง
    ซึ่งนั่นก็จะเท่ากับว่าเธอเพิ่งปิดโอกาสที่จิตใจของเธอจะสามารถช่วยเหลือเธอในกระบวนการแห่งการสร้างสรรนี้ไป
    แต่ว่า แน่นอน เธอสามารถสร้างมันขึ้นมาได้โดยปราศจากการช่วยเหลือจากจิตใจของเธอ
    แต่มันอาจจะยากขึ้นมาอีกโขเลยเท่านั้นเอง
    .<o></o>

    <o></o>
    เธออาจจะขอให้ร่างกายของเธอทำอะไรสักอย่าง โดยที่จิตใจของเธอไม่ได้เชื่อเช่นนั้นด้วยก็ได้
    และถ้าร่างกายของเธอทำมันไปเป็นเวลานานๆแล้ว จิตใจของเธอก็จะเริ่มละทิ้งความคิดดั้งเดิมของมันเกี่ยวกับเรื่องนั้นๆ
    แล้วสร้างความเชื่อใหม่ขึ้นมาแทนที่ และเมื่อความเชื่อใหม่เกี่ยวกับอะไรบางอย่างนี้ ได้อย่างเกิดขึ้นมาแล้ว
    เธอก็จะสามารถสร้างสรรค์สิ่งนั้นๆได้ดี เสมือนหนึ่งว่ามันเป็นมุมมองที่ถาวรของตัวเธอไปแล้ว
    ไม่ใช่เป็นเพียงสิ่งที่เธอแค่แสร้งทำไปเฉยๆอีกต่อไป
    <o></o>
    <o></o>
    เมื่อเป็นเช่นนี้อะไรๆมันก็จะยากขึ้น และแม้แต่ตัวอย่างเมื่อสักครู่นี้ การกระทำก็ต้องกระทำออกมาด้วยความจริงใจ
    ไม่เหมือนกับสิ่งที่เธอสามารถทำได้กับคนอื่นๆ เพราะเธอจะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงจักรวาลได้
    <o></o>
    <o></o>
    เมื่อเป็นเช่นนี้เราจึงมีความสมดุลที่ละเอียดอ่อนมาก เมื่อร่างกายทำอะไรที่จิตใจไม่เชื่อตาม
    แต่จิตใจก็จำเป็นต้องใส่ส่วนผสมของความจริงใจเข้าไปให้กับกิจกรรมที่ร่างกายทำเพื่อให้มันทำงานไปได้<o></o>

    <o></o>

    N: แล้วจิตใจมันจะสามารถใส่ความจริงใจเข้าไปได้อย่างไรครับ เมื่อมันไม่ได้เชื่อตามสิ่งที่ร่างกายกำลังกระทำอยู่<o></o>
    <o></o>

    G: ก็โดยการนำเอาส่วนที่บุคคลจะได้รับเพื่อตัวเองออกไปให้แทน<o></o>
    <o></o>

    N: ยังไงเหรอครับ?<o></o>
    <o></o>

    G: จิตใจอาจจะไม่สามารถเห็นด้วยอย่างจริงใจกับสิ่งที่ร่างกายแสดงออกว่าจะสามารถนำสิ่งที่เธอต้องการ
    มาให้ได้จริงๆ
    แต่จิตใจมักจะรู้แน่ชัดว่าพระเจ้าจะนำพาสิ่งดีๆไปให้ผู้อื่นผ่านเธอเสมอ
    เพราะฉะนั้น อะไรก็ตามที่เธอเลือกเพื่อตัวเธอเอง จงให้ผู้อื่น<o></o>

    <o></o>

    N: ท่านช่วยกรุณาพูดซ้ำอีกครั้งหนึ่งได้ไหมครับ?<o></o>
    <o></o>

    G : แน่นอน ได้สิ

    อะไรก็ตามที่เธอเลือกเพื่อตัวเธอเอง จงให้ผู้อื่น<o></o>

    ถ้าเธอเลือกที่จะมีความสุข จงทำให้ผู้อื่นมีความสุข<o></o>

    ถ้าเธอเลือกที่จะมั่งคั่ง จงทำให้ผู้อื่นมั่งคั่ง<o></o>

    ถ้าเธอเลือกที่จะได้รับความรักมากขึ้นในชีวิตเธอ จงทำให้ผู้อื่นได้รับความรักมากขึ้นในชีวิตของพวกเขา<o></o>

    จงทำเช่นนี้ด้วยความจริงใจ ไม่ใช่เพราะว่าเธอต้องการได้รับมันเอง แต่เพราะว่าเธอต้องการให้ผู้อื่นได้รับมันจริงๆ
    และทุกสิ่งทุกอย่างที่เธอให้ออกไป มันจะย้อนกลับมาหาเธอ<o></o>

    <o></o>

    N: ทำไมมันถึงเป็นอย่างนั้นหละครับ มันเป็นอย่างนั้นได้อย่างไรครับ?<o></o>


    G: ยิ่งเธอให้อะไรออกไปมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งทำให้เธอมีประสบการณ์ถึงความเป็นผู้ที่มีสิ่งนั้นๆที่จะสามารถให้ผู้อื่นได้
    แต่ถ้าเธอไม่เคยให้อะไรใครเลยเธอก็จะไม่มีประสบการณ์ตรงนี้ จิตใจของเธอก็จะก้าวไปสู่ข้อสรุปใหม่
    และแนวความคิดใหม่เกี่ยวกับตัวเธอเองว่า
    เธอต้องมีสิ่งนี้ก่อน ไม่เช่นนั้นเธอจะไม่สามารถให้ใครได้<o></o>

    <o></o>
    ความคิดใหม่นี้ก็จะกลายมาเป็นประสบการณ์ของเธอ เมื่อเธอเริ่มเป็นแบบนั้นแล้ว วันหนึ่งเธอก็จะเริ่มเป็นสิ่งนั้นด้วย
    เธอได้หมุนฟันเฟืองแห่งการสร้างสรรค์ที่มีพลังอำนาจมากที่สุดในจักรวาลแล้ว นั่นก็คือจิตวิญญาณของเธอเอง
    <o></o>
    <o></o>
    อะไรก็ตามที่เธอเป็น เธอก็จะสร้างสรรค์สิ่งนั้น วงจรนี้สมบูรณ์แบบ และเธอก็จะสร้างสรรค์สิ่งต่างๆมากขึ้น
    มากขึ้นเรื่อยๆในชีวิตของเธอ และมันจะถูกเนรมิตให้เกิดขึ้นจริงในโลกทางกายภาพของเธอด้วย
    <o></o>
    <o></o>
    นี่คือความลับที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของชีวิต มันคือสิ่งที่หนังสือเล่มที่หนึ่งและสองได้บอกเธอไปแล้ว
    รายละเอียดลึกๆกว่านี้ ได้เขียนไว้ในนั้นแล้ว<o></o>

    <o></o>

    N: ได้โปรดอธิบายให้ผมเข้าใจได้ไหมครับว่า ทำไมความจริงใจที่จะให้อะไรกับคนอื่นๆ
    ในสิ่งที่เราเองก็ต้องการอยู่ ถึงได้มีความสำคัญนัก<o></o>

    <o></o>

    G : ถ้าเธอให้อะไรแก่ผู้อื่น เพื่อเป็นอุบายที่จะให้ได้บางสิ่งบางอย่างกลับมา จิตใจของเธอรู้ดี

    นั่นคือเธอได้ส่งสัญญาณออกไปให้จิตใจเธอรู้ว่าตอนนี้เธอไม่มีสิ่งนี้อยู่ และก็เพราะว่า
    เอกภพนี้ไม่ใช่อะไรอื่น แต่มันคือเครื่องถ่ายสำเนาขนาดใหญ่ มันก็จะถ่ายสำเนาความคิดของเธอ
    แปรสภาพออกไปสู่รูปแบบทางกายภาพ ซึ่งก็จะไปเป็นประสบการณ์ของเธอ
    นั่นคือ เธอจะยังคงมีประสบการณ์ของความ “ไม่มี” อยู่ต่อไป ไม่ว่าเธอจะทำอะไรก็ตามแต่<o></o>

    <o></o>
    ยิ่งกว่านั้น นั่นจะเป็นประสบการณ์ของผู้ที่เธอพยายามจะให้อะไรเขาไปด้วย พวกเขาจะมองว่า
    เธอเพียงแต่ต้องการทำเพื่อที่จะให้ได้อะไรบางอย่างมาเท่านั้นเอง เพราะว่าจริงๆแล้ว เธอไม่มีอะไรที่จะให้
    และการให้ของเธอนั้น ก็จะกลายเป็นการกระทำที่สูญเปล่า และถูกตัดสินว่าเป็นการกระทำเพื่อตัวเองทั่วๆไปเท่านั้นเอง


    <o></o>ยิ่งเธอไขว่คว้าเพื่อที่จะให้ได้มันมามากเท่าใด เธอก็จะยิ่งผลักมันออกไปไกลมากเท่านั้น

    แต่ถ้าเธอให้อะไรแก่ผู้อื่นไปด้วยความบริสุทธิ์ใจ เพราะว่าเธอเห็นว่าพวกเขาต้องการมันจริงๆ ขาดแคลนมันจริงๆ
    และสมควรที่จะได้มัน เมื่อนั้นเธอจะพบว่า เธอเป็นผู้มีที่จะให้ และนั่นแหละ คือการค้นพบที่ยิ่งใหญ่หละ<o></o>



    ..................................................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 กุมภาพันธ์ 2010
  6. panseak

    panseak Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    33
    ค่าพลัง:
    +30
    ขอบคุณครับ ขออนุโมทนา
     
  7. LadyOfLight

    LadyOfLight เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    755
    ค่าพลัง:
    +2,472
    ช่วงสุดท้าย ถ้าแปลว่า

    G: การให้อะไรแก่ผู้อื่นที่เป็นอุบายเพื่อให้ได้บางสิ่งบางอย่างกลับมา


    คุณชยุตก็จะแปลต่อได้จนจบ

    เพราะนัยสำคัญคือ การให้โดยหวังผลให้มีกลับมาสู่ตัวเรา คืออุบาย จิตจะรู้ได้ว่าเราก็ยังไม่มีอยู่นั่นเอง มันจะไร้ประโยชน์ เราก็จะยังไม่มี เพราะเรายังไม่รู้ว่าเรามี เราจึงสร้างอุบาย

    แต่ถ้าเราให้ด้วยใจที่บริสุทธิ์ เพราะเราเห็นว่าผู้นั้นต้องการมันจริงๆ เราก็จะพบว่าเรามีสิ่งที่เค้าต้องการ เพราะเรามีอยู่แล้ว รู้อยู่แล้ว อย่างแท้จริง ไม่ใช่การแสร้งว่ามี ไม่ใช่การแสร้งว่ารู้ มันเป็นความรู้ ความมีจากภายใน ไม่ต้องแสร้งว่ามีเพื่อต้องการให้สิ่งใดกลับมา
     
  8. zipper

    zipper เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2004
    โพสต์:
    5,226
    ค่าพลัง:
    +10,590
    จากความเข้าใจ ถ้าเราให้โดยหวังผลตอบแทน จิตเราก็จะรู้อยู่ลึกๆ ว่าเราขาดแคลนในเรื่องนั้น

    แต่ถ้าเราให้ด้วยใจที่อยากจะให้ เราก็จะเห็นว่าเรานั้นมีในสิ่งที่คนอื่นต้องการ แล้วเราก็จะพบว่าตัวเราเองนั้น "มี" ไม่ได้ "ขาด"
     
  9. avatar_boy

    avatar_boy Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12
    ค่าพลัง:
    +77
    After I left the net world for almost 1 year,
    K. Chayuut (the master of english-thai translation)
    has advanced himself in exploring and translating deeper into the universal reality (beyond Earth).

    It is fun and exciting adventure YET
    it is confusing and doubting for
    HIGHER spiritual information at the same time
    because of the level of spiritual development/belief/understanding,
    language, background, etc....

    The spiritual growth should start from Earth level
    such as
    physical,
    mental,
    emotional,
    spiritual and so on...
    (Example from kindergarten, year 1, 2, 3,..., 12 and beyond)

    However the world is going very fast with
    the highest technology at the present
    (Computer and Internet)
    and also the UNIVERSE is changing and transforming
    so we all are living in the most crisis point from all history of mankind
    that is bombarded with loads of information from many sources (seen and unseen, this world and out of this world).

    From earth to another planet, solar system, galaxy, universe, multi universe,...omniverse and beyond....

    When our spiritual growth is not yet advanced,
    it is very hard to understand a new higher reality and beyond. It is like children in YEAR 6
    trying to read and comprehend YEAR 12 subject.

    I just want to share and clarify about something
    that is confusing and misunderstanding
    (Of course and always use your own judgement:)

    If you want to play and interact with higher reality
    beyond Earth level into
    Solar System,
    Galaxy,
    Dimension,
    Universe and
    beyond then...
    you must understand the UNIVERSAL LANGUAGE.

    1) GOD is...
    CONSCIOUSNESS or
    INFINITE CONSCIOUSNESS or
    SPIRIT or
    CREATOR or
    PRIMARY CONSCIOUSNESS
    or etc.....

    2) BUDDHA is SA-TI (In Thai) or
    CONSCIOUSNESS or
    PRIMARY CONSCIOUSNESS.

    (So if your level of understanding
    the word of GOD
    as a man with long white beard
    who is creating the world and judging the world
    and creating heaven and hell
    then that's a limited and
    not correct version of higher truth of reality.

    So that's why ...
    it is very hard to accept and understand messages from
    higher dimension beyond earth.

    3) Not all of messages from higher dimension or beyond Earth is always correct and truth because there are many level of spiritual development.

    However, in the universal spirit, there are 2 part,
    there are
    LOVE (light, constructive, share, co-operation, high energy and consciousness)
    and
    FEAR (darkness, destruction, close, control, low energy and consciousness)

    4) Lord Guatama Buddha is...
    one of the Spiritual Master
    who is part of spiritual council of this planet Earth
    (Also included
    Master Sananda (Jesus),
    Lady Master Mary,
    Lady Master Kyaun Yin,
    Lord Maitreya (Krishna)
    Lord Khuthumi,
    St Germain (Christopher Columbus),
    Lao Tze and
    many Master and Lady master from Earth, Venus
    and others in this solar system and beyond.)

    They are looking after our spiritual growth of all mankind
    on this palnet Earth in the unseen.


    The Path of Enlightened Master is NOT selfless,
    they still have their own character and EGO but
    all expression in higher energy called LOVE!!!

    For some it is very hard to accept and understand.
    Some might thought after we all get enlightenment
    then we are forever and live happily in NIRVANA.

    Well that's truth but...
    even after ENLIGHTENMENT,
    there is still growing and evolving in spiritual development
    or another play/adventure of spirit.
    (Example: Nova Analai' spirit/consciousness
    is still learning and evolving)

    However I will not go very deep into it at the moment.

    5) Always remember,
    you must listen to your own inner intuition or
    feeling or
    turn within yourself for all truths and understanding,
    no matter the messages from higher dimension or beyond.

    Accept only what you feel right within your heart
    and
    Reject what is not feel right within your heart.

    Even the higher truth is correct but
    sometimes from your own level spiritual understanding,
    you might be not be ready yet in this moment
    so it will take you 1 or 10 or 100 years to understand the higher truth.

    Above 5 keys is to...
    clarify some reader about UNIVERSAL COMMUNICATION
    when reading and interpreting and understanding all mesages beyond EARTH.

    The previous translation of messages from other world
    on this board, I was not part of it.
    It was Khun Chayutt's presentation.


    However, the world is growing very fast and
    I can feel some reader would open mind and
    understand about the other world more than ever.


    My previous project (1 year ago) was sharing
    about the original of the VOID and Spirit/Consciousness
    ANCIENT SECRET SCHOOL #1 : The VOID and SPIRIT/CONSCIOUSNESS

    This year, I love to share about human being who
    is just like you and me
    but their spiritual development is more advancing than us.

    They are living in the inner center of our Earth at the moment.
    Let call this topic
    ANCIENT SECRET SCHOOL #2: "MESSAGES FROM THE INNER EARTH."


    If Khun Chayutt and others want to translate once again,
    then let me know,
    then our exciting project would be started soon...
    ;aa44
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 กันยายน 2009
  10. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    ขอบคุณสำหรับคำแนะนำนะครับ

    และผมก็ได้แก้ไขข้อความเดิมไปแล้ว
    ลองอ่านกันดูใหม่นะครับ ว่ามันรื่นหูขึ้นหรือเปล่า

    และสำหรับคุณ Avatar_boy
    ผมก็ยังยินดีที่จะร่วมเดินทางไปกับคุณด้วยตลอดเช่นเดิมหนะแหละครับ
    มีอะไรให้แปลก็จัดมาได้เลยนะครับ
    เพราะเดี๋ยวนี้ รู้สึกจะแปลเก่งขึ้นกว่าแต่ก่อนนิดหน่อยแล้วครับ

    เพราะว่าแปลมาเยอะพอสมควรแล้วครับ

    ปล.ช่วงนี้ที่ผมหายหน้าไปค่อนข้างนาน
    ก็เพราะว่า

    1. ต้องรีบเคลียร์อ่านพระไตรปิฎกเสียงลงเวปให้เสร็จหนะครับ
    กะว่าจะให้เสร็จก่อนวันที่ 9/9/09 นี้

    2. เมื่อวันที่ 27/8/09 ที่ผ่านมาเกิดอุบัติเหตุขึ้นกับผมหนะครับ
    คือผมปั่นจักรยานสวนเลนขึ้นไปเลยโดนคนเมาขับมอเตอร์ไซด์ชน
    กระเด็นตกลงมาจากจักรยานเลย ถลอกปอกเปิกไปหลายที่เลยทีเดียว
    แต่ตอนนี้ก็ค่อยยังชั่วขึ้นแล้วหละครับ

    และถ้าผมจะพร้อมแปลได้เต็มที่จริงๆ ก็น่าจะเป็นช่วงหลังวันที่ 20/9/09 เป็นต้นไปนะครับ
    เพราะว่าวันที่ 8/9/09 นี้ผมจะเดินทางกลับเมืองไทย
    เพื่อไปเข้าคอสส์วิปัสนาของสำนักโกเอ็นก้าตั้งแต่วันที่ 9/9/09 - 20/9/09 โน่นเลยหละครับ
    และพอออกจากคอสส์แล้ว ผมก็จะเดินทางกลับเวียดนามในวันเดียวกันนั้นเลยครับ

    ก็หวังว่าจะได้รับเกียรติ ให้มีโอกาสได้ทำประโยชน์เพื่อตนเองและผู้อื่น
    (โดยการแปลงานเขียนของคุณ avatar_boy) ต่อไปเช่นเคยนะครับ


    .....................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 กันยายน 2009
  11. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,116
    ค่าพลัง:
    +62,425
    ขี่มาดีๆยังโดนคนเมาเฉี่ยวชนเอาได้นะครับ
    ยังไงขอให้ผิวหนังตรงแผลถลอกสมานกันเร็วๆด้วยครับคุณชยุต
    บางทีเราไม่ประมาทแต่ผู้อื่นประมาทก็เป็นเหตุแบบนี้ได้
    ความบังเอิญย่อมไม่มีครับ..

    โมทนากับคุณชยุตด้วยครับ เรื่องอ่านพระไตรฯ
    เห็นงานเข้าตลอดเลยนะครับช่วงนี้
     
  12. arinrum

    arinrum เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มกราคม 2009
    โพสต์:
    137
    ค่าพลัง:
    +179
    [​IMG]
    The 8-rayed or spoked ATLAS detector at CERN, the behemoth designed
    to search for the unseen, unknown God Particle.

    [​IMG]
    In Mayan belief a serpent rope emerges from the center of the
    galaxy, symbolized by an 8-rayed or 8-spoked wheel. Cosmic
    sap oozes from this world tree or cosmic cross.



    Wormholes and Stargates in 2012
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 กันยายน 2009
  13. panseak

    panseak Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    33
    ค่าพลัง:
    +30
    ขอให้คุณชยุตหายเร็วๆครับ เพื่อจะได้ทำสิ่งดีๆต่อไป
     
  14. axzon47

    axzon47 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    737
    ค่าพลัง:
    +3,155
    หายเร็วๆนะครับคุณชยุต
     
  15. LadyOfLight

    LadyOfLight เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    755
    ค่าพลัง:
    +2,472
    ยินดีมากค่ะที่ได้เห็นคุณ avatar_boy อีกครั้ง และมีกุญแจ 5 ดอกที่สำคัญๆมาฝาก *0* โดยเฉพาะดอกที่ 5 สำคัญมากทีเดียว

    คุณชยุตหายไวๆนะคะ จะรอโปรเจ็คใหม่ของคุณกับคุณ avatar_boy *0*

    ปล.ดิชั้นเพียงเห็นว่าคุณชยุตไม่เข้าใจในตอนท้ายสุด ก็เลยลองแนะดูน่ะค่ะ
    ปล2.ขอให้ความรักจงสถิตย์ในทุกสิ่งนะคะ *0*
     
  16. threeam

    threeam เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    447
    ค่าพลัง:
    +1,364
    ดีใจจังกับการกลับมาของคุณ Avatar_Boy
    Take care นะคะ คุณชยุต
    เห็นด้วยกับความเห็นของคุณ LadyOfLight เรื่องกุญแจดอกที่ห้า
    ขอเรียนถามคุณ Avatar_Boy และคุณชยุตค่ะ
    ไม่ทราบว่าพอจะเป็นไปได้ไหมที่จะโพสท์ทั้งภาคภาษาไทย และภาษาอังกฤษ
    ตื่นเต้น ตื่นเต้น จะคอยติดตามค่ะ ขอบคุณมากๆ
     
  17. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    Conversations With GOD - An Uncommon Dialogue - Book III<o></o>
    <o></o>

    By: Neale Donald Walsch<o></o>
    <o></o>

    Free electronic version from: www.angels-light.org - Talks with teachings from my Cosmic Friends<o></o>
    <o></o>


    Chapter 1-1:<o></o>
    <o></o>


    วันนี้เป็นวันอาทิตย์ในเทศกาลอีสเตอร์ ผมกำลังนั่งคอยพระเจ้าอยู่ พร้อมกับปากกาด้ามหนึ่งที่เตรียมไว้ในมือ
    พระเจ้าสัญญาว่าจะมา เหมือนเมื่อเทศกาลอีสเตอร์ทั้งสองครั้งที่ผ่านมาแล้ว
    เพื่อมาเริ่มต้นการสนทนาที่ยาวนานนับแรมปีอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งครั้งนี้ จะเป็นครั้งที่สามและเป็นครั้งสุดท้ายแล้ว<o></o>
    <o></o>

    ในขั้นตอนนี้ หมายถึง การสื่อสารที่ไม่ธรรมดาในครั้งนี้ ได้เริ่มต้นขึ้นเมื่อปี 1992 ซึ่งจะเสร็จสมบูรณ์ในเทศกาลอีสเตอร์ของปี 1995
    ใช้เวลารวม 3 ปี กับหนังสือ 3 เล่ม

    ซึ่งหนังสือเล่มแรกได้กล่าวถึงเรื่องราวส่วนบุคคลเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความสัมพันธ์กับผู้อื่น การค้นหางานที่เหมาะสมกับตัวเอง
    เรื่องอานุภาพของพลังเงินตรา ความรัก เพศสัมพันธ์ และเรื่องพระเจ้า และเกี่ยวกับวิธีการนำเรื่องเหล่านี้มาใช้ให้เกิดประโยชน์
    ในชีวิตประจำวัน

    ส่วนหนังสือเล่มที่ 2 เป็นการขยายความของเนื้อหาของเล่มแรก ตลอดจนกล่าวครอบคลุมออกไปสู่แง่มุมของภูมิศาสตร์และการเมือง
    เช่น เกี่ยวกับธรรมชาติของรัฐบาล การสร้างโลกโดยปราศจากสงคราม ความเป็นหนึ่งเดียวกันขั้นพื้นฐาน สังคมนานาชาติ เป็นต้น

    และสำหรับหนังสือเล่มที่ 3 เล่มสุดท้าย เล่มนี้ จะมุ่งประเด็นไปที่คำถามส่วนใหญ่ที่มนุษย์กำลังเผชิญอยู่ อย่างที่ผมได้เคยบอกไปแล้ว
    เช่น หลักการในการรับมือกับโลกแห่งความเป็นจริงอื่นๆ มิติอื่นๆ และทำไมโลกถึงได้ประสานสิ่งเหล่านี้เข้าด้วยกันได้อย่างลงตัวแบบนี้<o></o>
    <o></o>

    เรื่องที่มีเพิ่มเข้ามาในหนังสือเล่มที่สามนี้ได้แก่<o></o>

    สัจธรรมระดับบุคคล<o></o>
    สัจธรรมระดับโลก<o></o>
    สัจธรรมระดับเอกภพ<o></o>
    <o></o>

    ก็เหมือนกันกับต้นฉบับของหนังสือทั้งสองเล่มที่ผ่านมา ผมไม่สามารถรู้ได้เลยว่าต้นฉบับของหนังสือเล่มนี้มันจะไปทางไหน
    เพราะขั้นตอนการเขียนนั้นแสนง่าย คือผมจรดปลายปากกาลงบนกระดาษ ถามคำถาม และคอยดูว่า มีกระแสความคิดอะไร
    ถูกส่งเข้ามาในหัวของผม ถ้าไม่มีอะไรเลย หรือไม่มีคำพูดใดๆตอบกลับมาเลย ผมก็จะวางทุกอย่างลงแล้วรอเริ่มใหม่ในวันต่อมา

    กระบวนการทั้งหมดนี้ใช้เวลาประมาณ 1 ปีสำหรับหนังสือเล่มแรก และใช้เวลาปีกว่าสำหรับเล่มที่สอง (ซึ่งหนังสือเล่มนั้น
    ยังคงอยู่ในระหว่างกระบวนการจัดพิมพ์ ในขณะที่ต้นฉบับของเล่มที่สามนี้กำลังถูกดำเนินการอยู่)
    ผมหวังว่าหนังสือเล่มนี้จะเป็นเล่มที่มีความสำคัญมากที่สุดในบรรดาสามเล่มนี้<o></o>
    <o></o>

    นับตั้งแต่ได้เริ่มต้นเขียนหนังสือเล่มนี้มา ผมรู้สึกว่าตัวเองมีสติสัมปชัญญะมาก สองเดือนผ่านไปแล้ว
    นับตั้งแต่ที่ผมได้เริ่มต้นเขียนสี่หรือห้าย่อหน้าแรกเสร็จไป สองเดือนนับจากเทศกาลอีสเตอร์จนกระทั่งเดี๋ยวนี้ ไม่มีอะไรมาเลย
    ไม่มีอะไรเว้นแต่สติสัมปชัญญะ<o></o>
    <o></o>

    ผมได้ใช้เวลาหลายสัปดาห์ก่อน ในการทบทวนและแก้ไขต้นฉบับที่พิมพ์แล้วของหนังสือเล่มแรก
    ซึ่งผมก็เพิ่งได้รับฉบับที่แก้ไขครั้งสุดท้ายของมันในสัปดาห์นี้เอง เหลือแค่ส่งกลับไปจัดพิมพ์ใหม่อีกครั้งเท่านั้นเอง
    เพราะยังมีส่วนที่ผิดที่ต้องแก้ไขอยู่ 43 แห่ง ในขณะที่หนังสือเล่มที่สองซึ่งยังเป็นต้นฉบับลายมืออยู่
    ก็เพิ่งเขียนเสร็จไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้วนี่เอง ล่าช้ากว่ากำหนดไป 2 เดือน เพราะว่าอันที่จริงมันควรจะเสร็จไป
    ตั้งแต่เทศกาลอีสเตอร์ปี 1994 โน่นแล้ว

    ส่วนหนังสือเล่มที่สาม เล่มนี้ ก็เพิ่งเริ่มเขียนไปเมื่อวันอาทิตย์ ในเทศกาลอีสเตอร์นี้เอง ทั้งๆที่ตอนนั้นหนังสือเล่มที่สองก็ยังไม่เสร็จ
    ยังถูกเก็บอยู่ในแฟ้มอย่างไม่แยแสอยู่เลย แต่ว่าตอนนี้ มันเสร็จแล้วนะ และร้องอยากจะออกไปโชว์ตัวเต็มแก่แล้ว<o></o>
    <o></o>

    ในตอนแรกที่ผมเริ่มเขียนหนังสือพวกนี้ คือตั้งแต่ปี 1992 โน้น ผมค่อนข้างจะรู้สึกต่อต้านมันพอสมควร จนเกือบจะไม่พอใจมันด้วยซ้ำไป
    ผมรู้สึกสับสนที่ถูกมอบหมายให้ทำภารกิจนี้ ซึ่งผมก็ไม่เคยชื่นชอบในสิ่งที่ผมต้องทำนี้เลย จากการที่ผมได้นำสำเนาต้นฉบับ
    ที่เขียนด้วยลายมือของผมไปลองแจกให้คนกลุ่มเล็กๆลองอ่านดู เพื่อดูปฏิกิริยาตอบโต้ของคนเหล่านั้น มันทำให้ผมตระหนักว่า
    ในอนาคต หนังสือทั้งสามเล่มนี้ จะถูกกระจายไปสู่ผู้อ่านอย่างกว้างขวาง ถูกพินิจพิจารณาอย่างถี่ถ้วน
    ถูกวิเคราะห์โดยใช้ทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง และก็ ถูกโต้แย้งอย่างรุนแรงนานนับสิบๆปีเลยทีเดียว<o></o>


    นั่นแหละ มันถึงทำให้ผมเขียนมาถึงหน้านี้ได้อย่างยากลำบาก และมันก็เป็นการยากมากที่จะหยิบปากกาคู่ใจของผม
    ขึ้นมาเขียนได้แต่ละครั้ง แม้ว่าผมจะรู้ว่ายังไงมันก็ต้องทำอยู่ดีก็ตาม เพราะผมรู้ว่าผมกำลังเปิดช่องว่างให้ตัวเอง
    ถูกโจมตีอย่างหยาบคายที่สุด รวมถึงการถูกเยอะเย้ย และอาจจะถูกคนทั้งหลายเกลียดชังเพราะบังอาจตีพิมพ์ข้อมูลพวกนี้
    แต่ก็อาจจะมีบ้างส่วนน้อย ที่จะเกลียดชังผมเพราะเหตุผลที่ว่า ผมกล้าประกาศในสิ่งที่ถูกถ่ายทอดโดยตรงจากพระเจ้ามาสู่ผม<o></o>
    <o></o>

    ผมคิดว่าสิ่งที่ผมกลัวที่สุดก็คือการที่จะต้องพิสูจน์ว่า ผมคือผู้ต่ำต้อยด้อยค่า ไม่คู่ควรที่จะเป็นผู้ถ่ายทอดพระวัจนะอันสูงส่ง
    ของพระผู้เป็นเจ้า และการที่ตัวผมเป็นผู้ที่มีความผิดพลาด และมีความไม่ชอบมาพาควรจนเป็นที่ประจักษ์แก่สายตาคนอื่นๆ
    อยู่เป็นเนืองนิตย์นั้น มันได้กลายมาเป็นภาพลักษณ์ของชีวิตและตัวกำหนดพฤติกรรมของผมไปแล้ว<o></o>
    <o></o>

    คนที่รู้ความเป็นมาของผมดี เช่น ภรรยา และลูกๆของผม ก็มีสิทธิ์ที่จะออกมาประณามงานเขียนพวกนี้ได้
    เพราะความเป็นคนที่ไม่ได้ความของผมเอง ที่ลำพังการทำหน้าที่ขั้นพื้นฐานของการเป็นสามีและพ่อที่ดีนั้น
    ผมยังทำมันพังมาตลอดเลย จะประสาอะไรกับมุมมองด้านอื่นๆของชีวิตผม ไม่ว่าจะเป็นด้านความสัมพันธ์กับผู้อื่นและความสื่อสัตย์
    ด้านความอุตสาหะและความรับผิดชอบ ซึ่งก็ล้มเหลวมาตลอดเช่นเดียวกัน<o></o>
    <o></o>


    (ยังมีต่อครับ)<o></o>
    ........................................<o></o>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 กุมภาพันธ์ 2010
  18. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    Conversations With GOD - An Uncommon Dialogue - Book III<o></o>
    <o></o>
    By: Neale Donald Walsch<o></o>
    <o></o>
    Free electronic version from: www.angels-light.org - Talks with teachings from my Cosmic Friends<o></o>

    <o> </o>
    Chapter 1-2:<o></o>
    <o>
    </o>
    นีล: พูดสั้นๆก็คือ ผมก็ฉลาดพอที่จะรู้นะว่า ผมมันไม่คู่ควรที่จะเป็นตัวแทนของคนของพระผู้เป็นเจ้า
    หรือเป็นผู้ถ่ายทอดสัจธรรมจากพระผู้เป็นเจ้า ผมควรจะเป็นคนสุดท้ายในโลกด้วยซ้ำไปที่ควรจะถูกเลือก
    หรือทึกทักเอาเองว่าถูกเลือกให้มาทำหน้าที่นี้ ผมทำในสิ่งที่ไม่ถูกไม่ควรต่อสัจธรรม ด้วยการเป็นผู้พูดมันออกมา
    เพราะว่าผมเป็นคนที่ไม่ได้ความเอาซะเลย หลักหลักฐานยืนยันถึงความไม่ได้ความของผม ก็คือชีวิตทั้งชีวิตของผมเองนั่นแหละ<o></o>
    <o></o>
    ด้วยเหตุนี้ พระผู้เป็นเจ้า ขอท่านได้โปรดปลดผมออกจากหน้าที่อาลักษณ์ของท่านเสียเถิด
    และโปรดหาคนอื่นที่ชีวิตของเขามีเกียรติและมีความเหมาะสมกว่ามาแทนเถิด<o></o>
    <o></o>

    พระเจ้า : ฉันอยากจะขอปิดประเด็นที่เราเพิ่งเปิดมันขึ้นมานี้เลยได้ไหม๊ เพราะว่าอันที่จริงแล้ว เธอไม่ได้อยู่ภายใต้สัญญาผูกมัดใดๆ
    ให้ต้องมาทำเช่นนี้ เธอไม่ได้มีหน้าที่อะไรต่อฉันหรือต่อใครอื่นเลย ฉันว่าความคิดของเธอเองนั่นแหละที่ทำให้รู้สึกผิดมากมายเช่นนี้<o></o>
    <o></o>

    นีล: ก็เพราะว่าผมทำให้คนอื่นผิดหวังมาตลอดนี่ครับ รวมถึงลูกๆของผมเองด้วย<o></o>
    <o></o>

    พระเจ้า : ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นมาในชีวิตเธอ มันได้เกิดขึ้นอย่างสมบูรณ์แบบแล้ว ในอันที่จะนำพาเธอ
    และจิตวิญญาณทั้งหลายที่เกี่ยวข้องด้วย ให้เจริญเติบโตไปในแนวทางที่เธอจำเป็นต้องเติบโตและต้องการมันจริงๆ<o></o>

    <o></o>
    นีล: นั่นเป็นความสมบูรณ์แบบ ที่ถูกสร้างขึ้นมาโดยผู้คนในยุกต์ New Age นี้ ที่ต้องการปัดความรับผิดชอบต่อการกระทำของตัวเอง
    และหลีกเลี่ยงผลที่ไม่พึงปรารถนาใดๆของการกระทำของตนเองเขาทำกันต่างหาก
    <o></o>
    ผมรู้สึกว่า ผมเห็นแก่ตัว เห็นแก่ตัวอย่างร้ายกาจเลยเชียวหละ เพราะตลอดชีวิตของผม ผมทำแต่ในสิ่งที่ผมพึงพอใจ
    โดยไม่คำนึงถึงผลกระทบที่จะมีต่อผู้อื่น<o></o>
    <o></o>

    พระเจ้า : มันไม่มีอะไรผิดหรอก ที่จะทำในสิ่งที่เราพึงพอใจ<o></o>
    <o></o>

    นีล: แต่ว่า มีหลายคนที่ต้องเจ็บปวดและผิดหวังนะครับ<o></o>

    <o></o>
    พระเจ้า : มันมีแค่คำถามเพียงคำถามเดียวว่า อะไรที่ทำให้เธอพึงพอใจมากที่สุด ดูเหมือนเธอจะต้องตอบว่า
    อะไรที่เธอพึงพอใจมากที่สุดในตอนนี้แล้วหละ<o></o>
    <o></o>

    นีล: เอ่อ..มันคือการกระทำใดๆที่ไม่ทำร้ายหรือทำร้ายผู้อื่นน้อยที่สุดหรือเปล่าครับ<o></o>
    <o></o>

    พระเจ้า : นั่นก็ถูกเพียงบางส่วน เพราะหลักสำคัญคือเธอต้องเรียนรู้ที่จะสุภาพอ่อนโยนกับตัวเธอเอง และหยุดตัดสินตัวเองซะที<o></o>
    <o></o>

    นีล: แต่มันยากนะครับ..โดยเฉพาะเมื่อคนอื่นๆจ้องที่จะตัดสินเราอยู่แล้วด้วย ผมจึงรู้สึกว่า ผมกำลังเป็นความอัปยศของท่าน
    และของสัจธรรมด้วย ถ้าผมยังยืนกรานที่จะเขียนและเผยแพร่หนังสือชุดนี้อยู่ต่อไป ผมจะเป็นดั่งฑูติอนาถาสำหรับวัจนะของท่าน
    ซึ่งมันจะทำลายความน่าเชื่อถือของวัจนะนั้นเสียมากกว่า<o></o>
    <o></o>

    พระเจ้า : เธอไม่สามารถทำลายความน่าเชื่อถือของสัจธรรมไปได้หรอกนะ
    เพราะสัจธรรมก็คือสัจธรรม มันมีทั้งที่สามารถพิสูจน์ได้ และที่พิสูจน์ไม่ได้ มันเป็นเช่นนั้นเอง
    ความอัศจรรย์และความงดงามของวัจนะของฉัน ไม่ได้ขึ้นอยู่ และจะไม่ขึ้นอยู่กับว่าใครจะคิดกับเธอยังไง
    <o></o>
    แท้ที่จริงแล้ว เธอเป็นหนึ่งในฑูตที่ดีที่สุดของฉันด้วยซ้ำไป เพราะว่าเธอได้ใช้ชีวิตในแบบที่เธอเรียกมันว่าไม่ได้เรื่อง
    ผู้คนสามารถเชื่อมโยงกับเธอได้ ทั้งๆที่พวกเขายังตัดสินเธออยู่อย่างนั้นแหละ แต่ถ้าพวกเขาเห็นว่าเธอมีความจริงใจอย่างแท้จริง
    พวกเขาก็จะสามารถอภัยให้กับอดีตอันแปดเปื้อนของเธอได้
    <o></o>
    ฉันบอกเธอไปหรือยังนะว่า ยิ่งเธอเป็นกังวลกับความคิดของผู้อื่นที่มีต่อเธอนานเท่าใด เธอก็จะถูกครอบงำโดยผู้อื่นมากเท่านั้น
    มีเพียงการไม่ใส่ใจต่อความคิดเห็นจากภายนอกตัวเธอเท่านั้น ถึงจะทำให้เธอเป็นตัวของตัวเองได้<o></o>
    <o></o>

    นีล: สิ่งที่ผมกังวลอยู่ ไม่ใช่เกี่ยวกับตัวผมแต่เป็นเกี่ยวกับวัจนะของท่านมากกว่า ผมกังวลว่าวัจนะของท่านอาจจะมีมลทินได้เพราะผม<o></o>
    <o></o>

    พระเจ้า : ถ้าเธอกังวลเรื่องวัจนะของฉัน ก็โยนมันทิ้งไป อย่าไปกังวลกับการมีมลทินของมัน วัจนะของฉันมันจะพูดแทนตัวมันเอง<o></o>
    <o></o>
    จงจดจำในสิ่งที่ฉันได้สอนเธอมาตลอดว่า มันไม่ได้สำคัญสักเท่าไหร่เลย ว่าวัจนะของฉันจะถูกรับและถูกส่งได้ดีแค่ไหน
    และจงจำไว้อีกอย่างหนึ่งด้วยว่า เธอสอนในสิ่งที่เธอต้องเรียน<o></o>

    มันไม่จำเป็นว่า ต้องบรรลุความสมบูรณ์แบบแล้วเท่านั้น จึงจะสามารถพูดถึงความสมบูรณ์แบบได้<o></o>

    มันไม่จำเป็นว่า ต้องบรรลุความชำนาญแล้วเท่านั้น จึงจะสามารถพูดถึงความชำนาญได้<o></o>

    มันไม่จำเป็นว่า ต้องบรรลุวิวัฒนาการระดับสูงสุดแล้วเท่านั้น จึงจะสามารถพูดถึงวิวัฒนาการระดับสูงสุดได้<o></o>

    ค้นหาเฉพาะทางที่จะทำให้เธอกลายเป็นของแท้ แล้วพยายามแสดงมันออกมาด้วยความจริงใจ <o></o>

    ถ้าเธอปราถนาที่จะกลับไปแก้ไขสิ่งที่เธอคิดว่าได้เคยทำผิดพลาดไว้ในอดีต ก็จงแสดงมันออกมาเท่าที่เธอจะทำได้ แล้วก็ปล่อยมันไป

    <o></o>

    (ยังมีต่อครับ)
    ………………………………………………………….
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 กุมภาพันธ์ 2010
  19. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    Conversations With GOD - An Uncommon Dialogue - Book III<o></o>
    <o></o>
    By: Neale Donald Walsch<o></o>
    <o></o>
    Free electronic version from: www.angels-light.org - Talks with teachings from my Cosmic Friends<o></o>
    <o>
    </o>
    Chapter 1-3:<o></o>
    <o></o>
    <o></o>
    นีล: พูดง่ายแต่ทำยากนะครับ เพราะบางครั้งผมก็รู้สึกผิดมาก<o></o>
    <o></o>

    พระเจ้า : ความรู้สึกผิดและความกลัวคือศัตรูของมนุษย์<o></o>
    <o></o>

    นีล: ความรู้สึกผิดเป็นสิ่งที่สำคัญ เพราะมันเกิดขึ้นเวลาที่เราได้ทำความผิดลงไป<o></o>
    <o></o>

    พระเจ้า : มันไม่มีอะไรที่เธอเรียกว่า “ความผิด” หรอกนะ มันจะมีก็เพียงแต่สิ่งที่ไม่ตอบสนองความต้องการของเธอ
    ไม่บอกความเป็นตัวตนที่แท้จริงของเธอและตัวตนที่เธออยากจะเป็น ความรู้สึกผิดมันจะทำให้เธอยังติดอยู่กับสิ่งที่เธอไม่ได้เป็น<o></o>
    <o></o>

    นีล: แต่ว่าความรู้สึกผิด อย่างน้อยก็เป็นสิ่งที่ช่วยเตือนเราเวลาเราเดินหลงทางนะครับ<o></o>

    <o></o>
    พระเจ้า : ความตระหนักรู้ต่างหาก ที่เธอกำลังพูดถึง ไม่ใช่ความรู้สึกผิด
    <o></o>
    ฉันจะบอกเธอให้นะ ว่าความรู้สึกผิด คือผืนดินที่เสื่อมโทรม ที่เป็นผู้ร้ายฆ่าพืชพันธุ์ต่างๆให้ตายลง
    ความรู้สึกผิดไม่สามารถทำให้เธอเติบโตได้ มีแต่จะทำให้เหี่ยวเฉาและในที่สุดก็ตายเท่านั้น<o></o>
    <o></o>

    นีล: แปลว่า ผมไม่ควรรู้สึกผิดเกี่ยวกับอะไรเลยใช่ไหมครับ<o></o>
    <o></o>

    พระเจ้า : ไม่ควร และไม่ควรตลอดไปด้วย มันมีอะไรดีหละ มันมีแต่จะทำให้เธอไม่รักตัวเองเท่านั้น
    แล้วมันก็จะกำจัดโอกาสที่เธอจะรักผู้อื่นไปด้วย<o></o>
    <o></o>

    นีล: แล้ว ผมก็ไม่ควรกลัวอะไรใช่ไหมครับ<o></o>
    <o></o>

    พระเจ้า : ความกลัวและความระมัดระวัง สองอย่างนี้ต่างกันนะ การระมัดระวัง คือการมีสติ แต่ไม่ใช่ความกลัว
    เพราะว่าความกลัวทำให้หยุดชงัก แต่ความมีสติทำให้เคลื่อนไหวไปได้ จงเคลื่อนไหวแต่อย่าหยุดชงัก<o></o>
    <o></o>

    นีล: ผมถูกสอนให้กลัวพระเจ้ามาตลอดเลยครับ<o></o>

    <o></o>
    พระเจ้า : ฉันรู้ และความสัมพันธ์ที่เธอมีต่อฉันก็หยุดชงักตั้งแต่นั้นมา เธอต้องเลิกกลัวฉันเท่านั้น
    เธอถึงจะสามารถสร้างความสัมพันธ์ที่ดีต่างๆกับฉันได้ หากฉันสามารถให้ของขวัญที่พิเศษบางอย่างกับเธอได้
    เพื่อที่จะทำให้เธอค้นพบฉัน ฉันจะให้ความไม่กลัวแก่เธอ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายพวกเขาปราศจากความกลัวพระเจ้า
    เพราะเขารู้จักพระเจ้าดี
    <o></o>
    นั่นหมายความว่า เธอจะต้องเลิกกลัวแล้วทิ้งสิ่งที่เธอคิดว่าเธอรู้เกี่ยวกับพระเจ้าไปเสีย เธอจะต้องเลิกกลัว
    แล้วก้าวออกมาจากภาพลักษณ์เกี่ยวกับพระเจ้าในแบบที่ผู้อื่นพร่ำบอกกับเธอ
    และนอกจากนี้ เธอยังจะต้องไม่รู้สึกผิดเกี่ยวกับมันอีกด้วย เมื่อประสบการณ์เกี่ยวกับพระเจ้าของเธอขัดแย้ง
    กับสิ่งที่เธอคิดว่าเธอรู้ และขัดแย้งกับสิ่งที่ผู้อื่นบอกเธอมา เธอจะต้องไม่รู้สึกผิดต่อมัน
    <o></o>
    “ความกลัวและความรู้สึกผิด คือศัตรูของมนุษย์”<o></o>
    <o></o>

    นีล: แต่ว่ามีคนเขาบอกเอาไว้ว่า ถ้าทำอย่างที่ท่านแนะนำมานี้ คือการขายวิญญาณให้กับปีศาจ
    เพราะว่ามีเพียงปีศาจเท่านั้นที่จะแนะนำแบบนั้น<o></o>
    <o></o>

    พระเจ้า : มันไม่มีปีศาจที่ไหนหรอกนะ<o></o>

    <o></o>
    นีล: นี่ก็เป็นอีกคำพูดหนึ่งที่ปีศาจจะต้องพูดแน่ๆ<o></o>
    <o></o>

    พระเจ้า : ปีศาจที่เธอว่านี่ จะต้องพูดเหมือนกับที่พระเจ้าพูดทุกอย่างเลยหรือไง?<o></o>
    <o></o>

    นีล: แค่ ฉลาดกว่าเท่านั้น<o></o>
    <o></o>

    พระเจ้า : ปีศาจฉลาดกว่าพระเจ้ายังงั้นเหรอ?<o></o>
    <o></o>

    นีล: ใช้คำว่าเจ้าเล่ห์กว่าดีกว่าครับ<o></o>

    <o></o>
    พระเจ้า : เพราะฉะนั้น ปีศาจก็เลยแอบสวมรอยมาพูดอย่างที่พระเจ้าจะพูด อย่างนั้นใช่ไหม๊<o></o>

    <o></o>
    นีล: แต่อาจจะทำให้ผิดเพี้ยนไปนิดหน่อย แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้ใครบางคนหลงทางได้ เพื่อที่จะชักจูงคนไปในทางที่ผิด

    <o></o>

    (ยังมีต่อครับ)
    …………………………………………………
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 กุมภาพันธ์ 2010
  20. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    Conversations With GOD - An Uncommon Dialogue - Book III<o></o>
    <o></o>
    By: Neale Donald Walsch<o></o>
    <o></o>
    Free electronic version from: www.angels-light.org - Talks with teachings from my Cosmic Friends<o></o>
    <o>
    </o>
    Chapter 1-4:<o></o>
    <o></o>
    <o></o>
    พระเจ้า : ฉันว่าเรามาพูดถึงเรื่องปีศาจกันซักเล็กน้อยดีกว่านะ<o></o>
    <o></o>

    นีล: แต่ว่า เราได้พูดถึงเรื่องนี้กันมาเยอะแล้วในเล่มที่หนึ่งนี่ครับ<o></o>
    <o></o>

    พระเจ้า : แต่ก็เห็นได้ชัดว่ามันยังไม่เพียงพอ นอกจากนี้ อาจจะยังมีใครที่ยังไม่ได้อ่านหนังสือเล่มที่หนึ่ง หรือเล่มที่สอง
    เกี่ยวกับเรื่องนี้มาก่อนก็ได้ ดังนั้นฉันคิดว่าจุดเริ่มต้นที่ดีน่าจะเริ่มจากการสรุปเรื่องต่างๆที่ได้กล่าวไว้ในหนังสือเหล่านั้นก่อน
    เพื่อปูพื้นให้กับหัวข้อใหญ่ต่อๆไปในเล่มที่สามนี้ นั่นคือเรื่องสัจธรรมระดับเอกภพ
    แล้วเราค่อยมาพูดถึงเรื่องของปีศาจกันอีกครั้งหนึ่งด้วย เพราะฉันอยากให้เธอรู้ว่าทำไมเรื่องปีศาจนี้ถึงได้ถูกแต่งขึ้น
    และแต่งขึ้นมาได้อย่างไร<o></o>
    <o></o>

    นีล: ก็ได้ครับ ท่านชนะ ผมพร้อมที่จะกลับเข้าสู่การสนทนาต่อแล้วครับ ดังจะเห็นได้ว่ามันกำลังจะดำเนินต่อไปแล้ว
    แต่ว่ามีอยู่อย่างหนึ่งที่ผู้คนควรจะรู้ ก็คือเรื่องที่ผมได้เริ่มการสนทนาในเล่มที่สามนี้ครึ่งปีผ่านไปแล้ว
    นับตั้งแต่วันที่ผมได้เริ่มเขียนคำแรกลงไป จนเดี๋ยวนี้วันที่ 25 พฤศจิกายน 1994 แล้ว
    ซึ่งเป็นวันถัดจากวันขอบคุณพระเจ้ามาหนึ่งวัน รวมเวลาก็ 25 สัปดาห์เข้าไปแล้ว
    25 สัปดาห์นับจากคำพูดสุดท้ายของท่าน จนกระทั่งมาถึงคำพูดของผมในย่อหน้านี้
    มีหลายอย่างเกิดขึ้นในช่วง 25 สัปดาห์นี้ แต่มีอยู่อย่างหนึ่งที่ไม่เคยมีความคืบหน้าเกิดขึ้นเลยแม้แต่นิ้วเดียว
    ก็คือหนังสือเล่มนี้ ทำไมมันถึงใช้เวลานานนักหละครับ<o></o>
    <o></o>

    พระเจ้า : เธอเห็นไหม๊หละ ว่าเธอสามารถปิดกั้นตัวเธอเองได้มากแค่ไหน เธอเห็นไหม๊หละว่าเธอสามารถทำร้ายตัวเธอเอง
    ได้มากแค่ไหน เธอเห็นไหม๊หละว่าเธอสามารถหยุดตัวเองให้อยู่กับร่องกับรอยได้ เพียงแค่เปิดสู่สิ่งที่ดีเท่านั้น
    เธอได้ทำเช่นนี้มาชั่วชีวิตของเธอ<o></o>
    <o></o>

    นีล: เฮ้! เดี่ยวก่อนนะครับ ผมไม่ใช่คนถ่วงเวลานะ แต่ผมทำอะไรไม่ได้เลยต่างหาก แม้แต่จะเขียนอะไรซักตัวหนึ่งยังไม่ได้
    ถ้าผมไม่ได้รับแรงกระตุ้น เว้นแต่ผมจะรู้สึกว่า..แหม ผมไม่อยากจะใช้คำนี้เลย
    แต่คาดว่าคงจำเป็นต้องใช้มัน..ถูกดลใจให้มาเขียนอะไรลงไปในสมุดฉีกสีเหลืองเล่มนี้ต่อ
    และหน้าที่ดลใจนี้ก็เป็นส่วนของท่าน ไม่ใช่ผม<o></o>
    <o></o>

    พระเจ้า : ฉันรู้ ดังนั้น เธอเลยคิดว่าฉันเป็นคนถ่วงเวลา ไม่ใช่เป็นเพราะเธอ ใช่ไหม๊หละ<o></o>
    <o></o>

    นีล: ใช่ครับ อะไรทำนองนั้น
    <o></o>

    พระเจ้า : เจ้าเพื่อนยากเอ๋ย สมกับที่เป็นเธอเลยจริงๆนะ มนุษย์คนอื่นๆก็เช่นเดียวกัน ทั้งๆที่เป็นเธอเองนั่นแหละ
    ที่นั่งจับเจ่าอยู่นานครึ่งปี โดยไม่ได้ทำอะไรเลยที่เป็นความพยายามจนถึงที่สุดของเธอ
    อันที่จริงแล้วเธอผลักไสมันออกไปจากเธอด้วยซ้ำไป แล้วเธอก็มาโทษคนอื่นหรือสิ่งอื่นๆรอบตัวเธอ
    ว่าทำให้เธอไปไม่ถึงไหน เธอไม่เห็นรูปแบบของมันเหรอ<o></o>
    <o></o>

    นีล: เอ่อ...<o></o>
    <o></o>

    พระเจ้า : ฉันจะบอกให้นะ ว่าไม่มีช่วงเวลาไหนเลยที่ฉันไม่ได้อยู่กับเธอ ไม่มีแม้สักเสี้ยวนาที ที่ฉันไม่พร้อมสำหรับเธอ
    ไม่ใช่ฉันเคยบอกเธอมาแล้วเหรอ?<o></o>
    <o></o>

    นีล: เอ่อ...ใช่ครับ..แต่ว่า...<o></o>
    <o></o>

    พระเจ้า : ฉันอยู่กับเธอเสมอ แม้ตราบชั่วกัลปาวสาน แม้ว่าฉันจะไม่บังคับเธอให้ทำตามที่ฉันต้องการ
    และจะไม่บังคับตลอดไปด้วยก็ตาม แต่ฉันก็เลือกสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเธอให้กับเธอ
    ยิ่งกว่านั้น ฉันเลือกสิ่งที่เธอต้องการให้กับเธอ และนี่แหละคือสิ่งที่ใช้วัดค่าของความรักที่แท้จริง
    <o></o>
    เมื่อสิ่งที่ฉันต้องการมอบให้เธอก็คือสิ่งที่เธอเองก็ต้องการเพื่อตัวเธอเองด้วย นั่นเพราะว่าฉันรักเธออย่างแท้จริง
    เมื่อสิ่งที่ฉันต้องการมอบให้เธอก็คือสิ่งที่เธอเองก็ต้องการเพื่อตัวเธอเองด้วย นั่นก็เพราะฉันรักตัวฉันเอง โดยผ่านเธอ
    <o></o>
    เพราะฉะนั้น ด้วยวิธีการวัดแบบเดียวกันนี้ เธอสามารถตอบได้ไหม๊ว่าคนอื่นๆรักเธอหรือไม่ หรือเธอรักคนอื่นๆจริงๆหรือไม่
    เพราะว่าความรักคือการไม่เลือกอะไรเพื่อตัวเอง แต่เป็นเพียงการค้นหาวิธีที่จะให้กับผู้ที่เรารักเท่านั้น<o></o>
    <o></o>

    นีล: นี่มันขัดแย้งกับสิ่งที่ท่านพูดไว้ในเล่มที่หนึ่งโดยตรงเลยนะครับเนี่ย เพราะท่านเคยบอกไว้ว่า
    รักคือการไม่ใส่ใจว่าผู้อื่นจะเป็นอย่างไร กำลังทำอะไร และมีอะไร แต่เป็นการใส่ใจเพียงว่าเราเป็นอะไร กำลังทำอะไร และมีอะไร
    <o></o>
    มิหนำซ้ำ มันยังเปิดประเด็นคำถามใหม่ขึ้นมาเพิ่มอีก เช่นว่า..ทำไมแม่ถึงต้องตะโกนใส่ลูกว่า “ออกมาจากถนนเดี๋ยวนี้นะ”
    หรือแม้แต่ยอมเสี่ยงชีวิตของเธอวิ่งฝ่าการจราจรออกไปคว้าลูกออกมาจากกลางถนน ทำไมหละ?
    เธอไม่ได้รักลูกของเธอหรอกเหรอ แม้ว่าเธอจะบังคับลูกให้ทำตามความประสงค์ของเธอก็ตาม
    โปรดจำไว้ว่าเด็กออกไปเล่นกลางถนนเพราะความต้องการของเด็กเองนะครับ
    <o></o>
    ท่านจะอธิบายข้อขัดแย้งนี้ว่าอย่างไรครับ<o></o>
    <o></o>

    พระเจ้า : ไม่เห็นมีอะไรขัดแย้งกันตรงไหนเลย เพียงแต่เธอมองไม่เห็นความสอดคล้องลงตัวกันเท่านั้น
    เธอจะยังไม่เข้าใจปรัชญาของพระผู้เป็นเจ้าเกี่ยวกับความรัก จนกว่าเธอจะเข้าใจว่าสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับฉัน
    ก็คือสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเธอด้วย ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าเธอและฉันคือหนึ่งเดียว<o></o>
    <o></o>
    เธอเห็นไหม๊ ว่าปรัชญาของพระผู้เป็นเจ้า ก็คือปรัชญาของคู่เหมือนที่แตกต่างทางจิตวิญญาณด้วย
    และนั่นก็เป็นเพราะว่าชีวิตก็มีความเป็นคู่เหมือนที่แตกต่างโดยตัวมันเองอยู่แล้ว
    คู่เหมือนที่แตกต่างที่ว่านี้ก็หมายถึง ประสบการณ์ใดๆที่มีความจริงที่ขัดแย้งกันอย่างชัดเจนสองสิ่งเกิดขึ้นในสถานที่และเวลาเดียวกัน

    ในกรณีนี้ ความจริงที่ขัดแย้งกันอย่างชัดเจนก็คือเธอกับฉันเป็นคนละคนกัน และเธอกับฉันเป็นหนึ่งเดียวกัน
    ในทำนองเดียวกันความขัดแย้งอย่างชัดเจนเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างเธอและคนอื่นๆก็เป็นแบบเดียวกันนี้ด้วย<o></o>
    <o></o>
    ฉันยังคงยืนยันในสิ่งที่ฉันได้กล่าวไว้ในหนังสือเล่มที่หนึ่งอยู่ ว่าความผิดพลาดที่ใหญ่หลวงที่สุดของผู้คน
    เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างกันก็คือ การใส่ใจอยู่แต่ว่าผู้อื่นต้องการอะไร เป็นอะไร กำลังทำอะไร และมีอะไร
    ควรจะหันมาใส่ใจแต่เพียงเรื่องของตัวเอง ว่าเราต้องการอะไร กำลังทำอะไร หรือมีอะไร อะไรคือสิ่งที่เรากำลังต้องการ
    อะไรคือสิ่งที่กำลังจำเป็นสำหรับเรา อะไรคือสิ่งที่เรากำลังเลือก อะไรคือสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเรา
    <o></o>
    และฉันก็ยังจะยืนยันข้อความอีกข้อความหนึ่ง ที่ฉันได้กล่าวไว้ในหนังสือเล่มนั้นอีกว่า สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับตัวเราเอง
    จะกลายเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับผู้อื่นด้วย ก็ต่อเมื่อตัวเราเองตระหนักรู้อย่างแจ่มชัดแล้วว่า มันไม่มีคนอื่นที่ไหนเลย
    <o></o>
    ความผิดพลาดทำให้เธอไม่สามารถเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับตัวเอง แต่ในทางตรงข้าม ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอะไรคือสิ่งที่ดีที่สุด
    ซึ่งจะรู้ได้ก็ต่อเมื่อต้องรู้ก่อนว่าจริงๆแล้วตอนนี้เธอเป็นใคร และต้องรู้ว่าใครที่เธอต้องการจะเป็นด้วย<o></o>
    <o>

    (ยังมีต่อครับ)</o>
    ........................................................<o></o>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 กุมภาพันธ์ 2010
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...