การเตรียมการอพยพมนุษย์โลก เพื่อช่วยเหลือระหว่างการชำระโลก ของมิตรจากต่างพิภพ และข้อมูลอื่นๆจากสาธารณรัฐเช็ก

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย Chayutt, 19 มิถุนายน 2009.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    Conversations With GOD - An Uncommon Dialogue - Book III<o></o>
    <o></o>
    By: Neale Donald Walsch
    <o></o>
    Free electronic version from: www.angels-light.org - Talks with teachings from my Cosmic Friends<o></o>
    <o>
    </o>
    Chapter 1-5:
    <o></o>
    <o></o>
    นีล: ผมไม่เข้าใจ<o></o>
    <o></o>

    พระเจ้า : ถ้างั้น เดี่ยวฉันจะช่วยให้เธอมองเห็นภาพได้ชัดขึ้นนะ เช่น
    ถ้าเธอกำลังอยากจะชนะการแข่งขันรถยนต์ในรายการอินเดียน่าโพลิส 500 ในกรณีนี้การขับรถด้วยความเร็ว
    150 ไมล์ต่อชั่วโมง
    อาจจะเป็นวิธีที่ดีที่สุดสำหรับเธอ
    แต่ถ้าเธอเพียงต้องการไปให้ถึงร้านขายของชำที่ไหนสักแห่งอย่างปลอดภัยหละก็
    มันก็จะไม่ใช่วิธีที่ดีที่สุดแล้ว<o></o>
    <o></o>

    นีล: คำพูดของท่านทำให้ผมมองเห็นภาพเลยหละครับ<o></o>
    <o></o>

    พระเจ้า : ใช่ ชีวิตทุกชีวิตก็เป็นแบบนี้แหละ คำว่าดีที่สุดมันก็ขึ้นอยู่กับว่าเธอเป็นใคร และเธอต้องการเป็นใคร
    เธอจะยังไม่รู้ทันทีหรอกว่าอะไรคือสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเธอ จนกระทั่งเธอรู้แล้วว่าเธอเป็นใครและต้องการจะเป็นใครโน่นแหละ
    <o></o>
    ตอนนี้ ฉันในฐานะพระเจ้า ก็รู้นะว่าฉันเป็นใครและต้องการจะเป็นอะไร เพราะฉะนั้นฉันถึงรู้แล้วว่าอะไรคือสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับฉัน<o></o>
    <o></o>

    นีล: แล้วมันคืออะไรหละครับ ไอ้ที่ว่าสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับพระเจ้าหนะครับ มันต้องเป็นสิ่งที่น่าสนใจแน่ๆเลยใช่ไหมครับ<o></o>
    <o></o>

    พระเจ้า : สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับฉัน ก็คือให้เธอได้ในสิ่งที่เธอคิดว่ามันดีที่สุดสำหรับเธอ เพราะว่าผู้ที่ฉันต้องการจะเป็นก็คือตัวฉันเอง
    ชัดเจนเลย และฉันก็เป็นอย่างนี้ผ่านเธอ เธอตามทันไหม๊<o></o>
    <o></o>

    นีล: ใช่ครับ เชื่อหรือเปล่าว่าผมตามทันจริงๆ<o></o>
    <o></o>

    พระเจ้า : ดี งั้นฉันจะบอกอะไรบางอย่าง ที่เธออาจจะคิดว่ามันเหลือเชื่อ นั่นก็คือฉันได้ให้สิ่งที่ดีที่สุดกับเธอเสมอมานั่นแหละ
    แต่ฉันก็ยอมรับว่า เธออาจจะไม่รับรู้มันตลอดเวลา ความลึกลับนี้กระจ่างชัดขึ้นมาเล็กน้อยแล้วเมื่อเธอเริ่มเข้าใจสิ่งที่ฉันพูด

    ฉันคือพระเจ้า ฉันคือเทพเจ้า ฉันคือสิ่งสูงสุด ฉันคือทุกสิ่งทุกอย่าง คือจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุด คือพยัญชนะตัวแรกและตัวสุดท้าย<o></o>
    <o></o>
    ฉันคือผลรวมและตัวแปร คือคำถามและคำตอบ คือการขึ้นและการลงของมัน คือซ้ายและขวา คือที่นี่และเดี่ยวนี้ คือก่อนหน้าและภายหลัง

    ฉันคือแสงสว่างและฉันก็คือความมืดที่ก่อเกิดแสงสว่าง และทำให้มันเป็นแสงสว่างขึ้นมาได้

    ฉันคือความดีที่ไม่มีที่สิ้นสุด และฉันก็คือความชั่วที่ทำให้ความดีกลายเป็นความดีขึ้นมาได้

    ฉันคือทุกสิ่งทุกอย่างที่กล่าวมานี้ ฉันคือทุกสิ่งทุกอย่าง และฉันก็ไม่สามารถมีประสบการณ์กับส่วนใดๆของฉันเองได้
    โดยปราศจากการมีประสบการณ์กับทุกๆส่วนของตัวฉันเอง<o></o>
    <o></o>
    และนี่แหละคือสิ่งที่เธอยังไม่เข้าใจเกี่ยวกับตัวฉัน เธอต้องการทำให้ฉันเป็นอย่างใดอย่างหนึ่ง โดยไม่เป็นอย่างอื่นเลย

    เธอต้องการให้ฉันเป็นสูงและไม่เป็นต่ำ เป็นความดีและไม่เป็นความชั่ว หากเธอปฏิเสธอีกครึ่งหนึ่งของฉัน
    ก็เท่ากับว่าเธอปฏิเสธอีกครึ่งหนึ่งของเธอเองด้วย และเมื่อเธอทำเช่นนั้น เธอก็จะไม่มีวันเป็นตัวตนที่แท้จริงของเธอได้จริงๆ<o></o>
    <o></o>
    ฉันคือทุกสิ่งทุกอย่างที่เลอเลิศ และสิ่งที่ฉันกำลังค้นหาอยู่ก็คือการได้รู้จักตัวฉันเองผ่านทางประสบการณ์ต่างๆ
    ซึ่งฉันก็กำลังทำอย่างนั้นอยู่โดยผ่านเธอ และผ่านทุกๆสิ่งทุกๆอย่างที่มีอยู่ และฉันก็กำลังมีประสบการณ์
    เกี่ยวกับความเลอเลิศของตัวฉันเอง ผ่านทางตัวเลือกต่างๆ ซึ่งแต่ละตัวเลือก มันได้สร้างมาจากตัวของมันเอง
    แต่ละตัวเลือกมันมีความเป็นตัวของมันเอง แต่ละตัวเลือกมันก็เป็นตัวแทนของฉัน นั่นคือ
    มันเป็นตัวแทนที่ฉันเลือกที่จะเป็นมันอยู่ในขณะนี้<o></o>
    <o></o>
    แต่ว่า ฉันจะไม่สามารถเลือกที่จะเป็นสิ่งเลอเลิศใดๆได้ถ้าไม่มีอะไรให้ฉันเลือก
    ดังนั้นบางส่วนของฉันจึงต้องเป็นอะไรที่ด้อยกว่าสิ่งที่ “เลอเลิศ” เพื่อที่ฉันจะได้เลือกส่วนที่เป็นส่วนที่ “เลอเลิศ” ของฉันได้
    <o></o>
    เพราะฉะนั้น ความเลอเลิศที่ว่านี้มันก็มีอยู่ในตัวเธอเองด้วยนะ ฉันคือพระเจ้าผู้ซึ่งก่อเกิดตัวฉันเองขึ้นมา
    และเธอเองก็เป็นเฉกเช่นเดียวกับฉัน นี่คือสิ่งที่จิตวิญญาณของเธอปราถนาที่จะทำ นี่คือสิ่งที่จิตวิญญาณของเธอโหยหา
    <o></o>
    หากฉันขัดขวางไม่ให้เธอได้ในสิ่งที่เธอเลือก ก็เท่ากับว่าฉันขัดขวางตัวฉันเองไม่ให้ได้ในสิ่งที่ฉันเลือกด้วย
    เพราะว่าสิ่งที่ฉันปรารถนามากที่สุดก็คือการได้มีประสบการณ์กับตัวฉันเองในแบบที่เป็นฉัน
    ในแบบที่ฉันได้พยายามอธิบายอย่างระมัดระวังไว้แล้วในหนังสือเล่มแรกนั่นแหละ
    ฉันจะมีประสบการณ์ในสิ่งที่ฉันเป็นได้ก็ต่อเมื่อฉันอยู่ในสิ่งที่ฉันไม่ได้เป็นเท่านั้น
    <o></o>
    ดังนั้น ฉันจึงได้สร้างสิ่งที่ไม่ใช่ฉันขึ้นมาอย่างระมัดระวัง เพื่อที่จะให้ฉันสามารถมีประสบการณ์กับสิ่งที่ฉันเป็นได้
    <o></o>
    เพราะว่าฉันคือทุกสิ่งทุกอย่างที่ฉันสร้างขึ้นมา ดังนั้นฉันจึงเป็นสิ่งนั้น และอีกนัยหนึ่งคือฉันก็ไม่ได้เป็นสิ่งนั้นด้วย

    (ยังมีต่อครับ)<o></o>
    .............................<o></o>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 กุมภาพันธ์ 2010
  2. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    Conversations With GOD - An Uncommon Dialogue - Book III<o></o>
    <o></o>
    By: Neale Donald Walsch<o></o>
    <o></o>
    Free electronic version from: www.angels-light.org - Talks with teachings from my Cosmic Friends<o></o>
    <o>
    </o>
    Chapter 1-6:<o></o>
    <o></o>
    <o></o>
    นีล: แล้วใครจะเป็นสิ่งที่เขาไม่ได้เป็นได้ยังไงกันหละครับ<o></o>

    <o></o>
    พระเจ้า : ง่ายจะตายไป เธอก็ทำมันอยู่แล้วตลอดเวลา ลองสังเกตดูพฤติกรรมของตัวเองดูสิ
    พยายามทำความเข้าใจคำพูดนี้ดูนะ “ไม่มีอะไรที่ฉันไม่ได้เป็น ดังนั้น ฉันจึงเป็นสิ่งที่ฉันเป็น และฉันก็เป็นสิ่งที่ไม่เป็นฉันด้วย”<o></o>
    <o></o>
    นี่คือคู่เหมือนที่ต่างกันทางจิตวิญญาณ นี่คือความลึกลับทางจิตวิญญาณ ที่จนกระทั่งเดี๋ยวนี้มีเพียงผู้ที่มีจิตใจสูงส่งเท่านั้น
    ที่เข้าใจมันได้ ที่ฉันเปิดเผยให้เธอรู้มานี่ ฉันได้ใช้วิธีที่เข้าใจได้ง่ายๆแล้วนะ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่อยู่ในหนังสือเล่มที่หนึ่ง
    และสัจธรรมขั้นพื้นฐานอันนี้เธอจะต้องเข้าใจนะ เธอจะต้องรู้ให้ลึกซึ้ง ถ้าเธอสามารถรู้และเข้าใจมันได้แล้ว
    ความจริงที่สูงส่งยิ่งกว่านี้เรื่องอื่นๆก็จะตามมา ที่นี่ ในหนังสือเล่มที่สาม เล่มนี้
    <o></o>
    ตอนนี้ขอให้ฉันพูดถึงมันสักเล็กน้อยก่อนดีไหม๊ เพราะว่ามันมีคำตอบที่จะตอบคำถามส่วนที่สองของเธอได้
    <o></o>

    นีล: ผมก็หวังว่าเราจะย้อนกลับไปสู่ประเด็นคำถามนั้นเหมือนกันครับ ที่ว่าพ่อแม่ที่มีความรักต่อลูกควรทำอย่างไร
    ถ้าสิ่งที่ต้องพูดและทำเพื่อให้ลูกได้ในสิ่งที่ดีที่สุด แต่พ่อแม่จำเป็นต้องฝืนความต้องการของลูกไม่ให้ลูกทำตามที่ลูกต้องการ
    หรือว่าพ่อแม่ควรจะแสดงความรักที่แท้จริงที่สุดต่อลูก โดยการปล่อยให้ลูกเล่นอยู่กลางถนนแบบนั้นดีครับ<o></o>
    <o></o>

    พระเจ้า : นี่เป็นคำถามที่ดีมากเลย และมันก็เป็นคำถามที่พ่อแม่ทุกคนมักจะถามกันตั้งแต่เริ่มเป็นพ่อเป็นแม่โน่นแล้วหละ
    แม้ว่าคำถามอาจจะออกมาในรูปแบบอื่นๆก็ตาม และคำตอบสำหรับเธอในฐานะผู้เป็นพ่อเป็นแม่
    ก็เหมือนกับคำตอบของฉันในฐานะพระเจ้า<o></o>
    <o></o>

    นีล: แล้วคำตอบมันคืออะไรหละครับ?<o></o>
    <o></o>

    พระเจ้า : อดทนไว้ก่อน ลูกรัก อดทนไว้ “สิ่งดีๆทั้งหลายมักจะบังเกิดกับผู้ที่รอคอย” เธอไม่เคยได้ยินคำพูดนี้บ้างเลยเหรอ?<o></o>
    <o></o>

    นีล: มันก็ใช่ครับ คุณพ่อของผมก็เคยพูดแบบนี้ แต่ผมเกลียดมันชะมัดเลย<o></o>
    <o></o>

    พระเจ้า : ฉันเข้าใจ แต่เธอก็ต้องอดทนไว้ โดยเฉพาะเมื่อสิ่งที่เธอเลือกไม่ใช่สิ่งที่เธอคิดว่าเธอต้องการ
    คำตอบของคำถามส่วนที่สองของเธอ ก็คือ
    <o></o>
    เมื่อเธอบอกว่าเธอต้องการคำตอบ แต่เธอไม่ได้เลือกมัน เธอก็รู้ว่าเธอไม่ได้เลือกมัน
    เพราะว่าเธอไม่เคยมีประสบการณ์ของการได้คำตอบนั้น ในความเป็นจริงแล้ว เธอมีคำตอบแล้ว และก็มีอยู่ตลอดเวลาซะด้วย
    เพียงแต่เธอไม่ได้เลือกมันเฉยๆเท่านั้นเอง เธอเลือกที่จะเชื่อว่าเธอยังไม่ได้รับคำตอบ เธอจึงยังไม่ได้รับคำตอบยังไงหละ<o></o>
    <o></o>

    นีล: ใช่ครับ ท่านได้พูดถึงเรื่องนี้มาแล้วในหนังสือเล่มที่หนึ่ง ผมจะมีทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมเลือกที่จะมีในตอนนี้
    รวมถึงรื่องความเข้าใจอย่างถ่องแท้เกี่ยวกับพระเจ้าด้วย ผมจะยังไม่มีประสบการณ์ของการมีมัน
    จนกระทั่งผมรับรู้ว่าผมมีมันแล้วซะก่อน<o></o>
    <o></o>

    พระเจ้า : ถูกเผ็งเลย! เธอพูดได้เยี่ยมมาก<o></o>
    <o></o>

    นีล: แต่ผมจะรู้ได้อย่างไรว่าผมมีมันแล้ว ถ้าผมไม่เคยมีประสบการณ์ว่าผมมีมันแล้ว
    ผมจะรู้อะไรที่ผมยังไม่เคยมีประสบการณ์เกี่ยวกับมันได้อย่างไร
    ผู้ที่มีจิตใจสูงส่งท่านหนึ่งไม่ได้พูดหรอกเหรอว่า “ทุกการรับรู้คือประสบการณ์”<o></o>
    <o></o>

    พระเจ้า : เขาพูดผิด การรับรู้ไม่ได้ตามหลังประสบการณ์ แต่การรับรู้มาก่อนประสบการณ์ ในกรณีนี้ผู้คนครึ่งโลกเข้าใจสลับกัน<o></o>
    <o></o>

    นีล: เพราะฉะนั้น..ความหมายของท่านคือ ผมมีคำตอบของคำถามช่วงที่สองของผมแล้วอย่างนั้นหรือครับ นี่ผมยังไม่รู้ตัวเลยนะเนี่ย<o></o>
    <o></o>

    พระเจ้า : แน่นอนสิ<o></o>
    <o></o>

    นีล: เพราะฉะนั้น ถ้าผมยังไม่รับรู้ว่าผมได้คำตอบแล้ว ก็แปลว่าผมยังไม่ได้<o></o>
    <o></o>

    พระเจ้า : นั่นเป็นคำพูดที่ดูเหมือนขัดแย้งกัน..แต่ก็ใช่
    <o></o>

    นีล: ผมไม่เข้า..นอกจากว่าผมจะเข้าใจ<o></o>
    <o></o>

    พระเจ้า : จริงแท้แน่นอน<o></o>
    <o></o>

    นีล: เพราะฉะนั้นผมจะไปถึงจุดที่ ”รับรู้ในสิ่งที่ผมรู้” อะไรเหล่านั้นได้อย่างไร ถ้าผมยังไม่ “รับรู้ในสิ่งที่ผมรู้”<o></o>
    <o></o>

    พระเจ้า : เพื่อที่จะ “รับรู้ในสิ่งที่เธอรู้” ก็คือทำเหมือนกับว่าเธอรู้แล้วสิ

    <o></o>

    (ยังมีต่อครับ)
    ..........................................................<o></o>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 กุมภาพันธ์ 2010
  3. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    Conversations With GOD - An Uncommon Dialogue - Book III<o></o>
    <o></o>
    By: Neale Donald Walsch<o></o>
    <o></o>
    Free electronic version from: www.angels-light.org - Talks with teachings from my Cosmic Friends<o></o>
    <o>
    </o>
    Chapter 1-7:<o></o>
    <o>
    </o>
    นีล: เกี่ยวกับเรื่องนี้ท่านก็ได้พูดเอาไว้แล้ว ในเล่มที่ 1<o></o>
    <o></o>

    พระเจ้า : ใช่, และฉันก็คิดว่าการเริ่มเรื่องที่ดีในตอนนี้ ก็น่าจะเป็นการพูดถึงสิ่งที่เคยสอนไปแล้วก่อนหน้านี้ซ้ำอีกครั้งหนึ่ง
    เพราะเธอก็เพิ่งถามคำถามนี้กับฉันไปหยกๆ ฉันขออธิบายสรุปแบบย่อๆเกี่ยวกับสิ่งที่เราได้คุยกันไปแล้วก่อนหน้านี้
    ให้ละเอียดขึ้นอีกสักหน่อย ตั้งแต่ตอนต้นๆของหนังสือเล่มนี้เลยดีกว่า<o></o>
    <o></o>
    ในหนังสือเล่มที่หนึ่ง เราได้พูดถึงรูปแบบของการ “เป็น - ทำ – มี” กันไปแล้ว
    รวมถึงว่าคนส่วนใหญ่ใช้มันในทางกลับกันอย่างไร
    <o></o>
    คนส่วนใหญ่เชื่อว่าถ้าพวกเขา “มี” อะไรสักอย่าง (เช่น มีเวลา,เงิน,ความรัก หรืออะไรก็ตามแต่มากขึ้น)
    พวกเขาจึงจะ “ทำ” สิ่งนั้นๆได้ (เช่น เขียนหนังสือ,ทำงานอดิเรก,ไปเที่ยว,ซื้อบ้าน,มีสัมพันธภาพ)
    ซึ่งนั่นจึงจะทำให้พวกเขา “เป็น” สิ่งนั้นๆได้ (เช่น ความสุข, ความสงบ, ความเพียงพอ,หรือความรัก เป็นต้น)<o></o>
    <o></o>
    แท้ที่จริงแล้ว พวกเขาใช้มันกลับทิศทางกัน เพราะความเป็นจริงของเอกภพนี้ (ซึ่งตรงกันข้ามกับแบบที่เธอคิดว่ามันเป็น)
    “การมี” ไม่ได้ก่อให้เกิด “การเป็น” แต่อย่างใดเลย แต่เป็นอย่างอื่นต่างหาก
    <o></o>
    ตอนแรกเธอต้อง “เป็น” สิ่งที่เรียกว่า “ความสุข” (หรือ “ความรู้” หรือ “ความเฉลียวฉลาด” หรือ “ความเห็นอกเห็นใจ”
    หรืออะไรก็ตามแต่) ก่อน จากนั้นเธอจึงจะ “ทำ” สิ่งนั้นๆจากความเป็นนั้นๆของเธอ
    แล้วในไม่ช้าเธอจะพบว่าสิ่งที่เธอกำลังกระทำอยู่นั้น จะเหนี่ยวนำเอาสิ่งที่เธอต้องการจะ “มี” นั้นๆมาสู่เธอ<o></o>
    <o></o>
    วิธีที่จะขับเคลื่อนขบวนการสรรค์สร้างนี้ (จริงๆแล้วมันก็คือ “ขบวนการแห่งการสร้างสรรค์”) ก็คือการมองหาสิ่งที่เธอต้องการจะ “มี”
    แล้วถามตัวเองว่า เธอน่าจะ “เป็น” อย่างไรถ้าเธอ “มี” สิ่งนั้นๆแล้ว จากนั้นเธอก็เดินหน้าเพื่อให้ ”เป็น” สิ่งนั้นๆ
    <o></o>
    แต่ด้วยความเข้าใจผิด เธอจึงได้กระทำสวนทิศทางของกระบวนการแห่งการสร้างสรรค์ของเอกภพ “เป็น – ทำ – มี”
    ที่แท้จริงนี้มาโดยตลอด แล้วเธอก็ได้กำหนดให้มันเป็นทิศทางที่ถูกต้องสำหรับเธอไปแล้ว
    และก็ใช้งานมันในทิศทางนี้มาตลอด<o></o>

    <o></o>
    คำอธิบายหลักการของกระบวนการนี้อย่างสั้นๆก็คือ<o></o>
    ในชีวิตเธอ เธอไม่จำเป็นต้องทำอะไรเลย
    <o></o>
    สิ่งเดียวที่ควรใส่ใจก็คือ เธอกำลังเป็นอย่างไร เพียงเท่านั้น<o></o>
    <o></o>
    นี่คือหนึ่งในสามข้อความที่ฉันจะลงในรายละเอียดอีกครั้งหนึ่งในตอนท้ายของบทสนทนาของเรา เอาไว้ปิดท้ายหนังสือเล่มนี้
    <o></o>
    ตอนนี้ เพื่อที่จะทำให้เธอมองเห็นภาพ ลองนึกถึงใครสักคนหนึ่งที่คิดว่าถ้าตัวเองมีเวลา, มีเงิน,
    หรือได้รับความรักมากขึ้นอีกสักหน่อยแล้ว เขาคงจะมีความสุขมาก<o></o>
    <o></o>

    นีล: เขาไม่รู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่าง “การไม่มีความสุข” ของตัวเขาเอง ในปัจจุบันขณะนี้กับ “การไม่มีเวลา, ไม่มีเงิน,
    หรือ ไม่ได้รับความรัก” ตามที่เขาต้องการ<o></o>
    <o></o>

    พระเจ้า : ถูกต้อง หรืออีกนัยหนึ่งคือ คนที่มีความสุขอยู่แล้ว มักจะมีเวลาที่จะทำสิ่งต่างๆที่สำคัญๆ
    มีเงินใช้เพียงพอต่อความจำเป็น และได้รับความรักอย่างเพียงพอชั่วชีวิตของเขา<o></o>

    <o></o>
    นีล: เขาพบว่าเขามีทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาต้องการเพื่อที่จะทำให้เขามีความสุข โดยเริ่มที่การเป็นคนที่มีความสุขซะก่อน<o></o>

    <o></o>
    พระเจ้า : แน่นอนสิ การตัดสินใจไว้ล่วงหน้าในสิ่งที่เธอเลือกที่จะเป็น จะนำพาประสบการณ์นั้นมาสู่เธอ<o></o>
    <o></o>

    นีล: จะเป็นหรือจะไม่เป็น คือประเด็นสำคัญ<o></o>
    <o></o>

    พระเจ้า : ถูกเผ็งเลย ความสุขเป็นสภาวะทางใจอย่างหนึ่ง ซึ่งก็เหมือนกับสภาวะทางใจอื่นๆ
    ที่สามารถถ่ายทอดตัวมันเองไปเป็นสภาวะทางกายภาพได้ มีคำกล่าวที่น่าสนใจอยู่ว่า<o></o>
    <o></o>
    “ทุกสภาวะทางจิต สามารถถ่ายทอดตัวมันเองได้”<o></o>
    <o></o>

    นีล: แล้วท่านจะสามารถเริ่ม “เป็น” คนที่มีความสุข หรือเป็นอะไรอื่นที่ท่านกำลังต้องการจะเป็น เช่น เป็นคนที่มั่งคั่งมากขึ้น
    หรือ เป็นคนที่ได้รับความรักมากขึ้น ได้อย่างไร ถ้าท่านยังไม่มีในสิ่งที่ท่านคิดว่าท่านต้องการ เพื่อที่จะให้ได้ “เป็น” แบบนั้นๆ<o></o>
    <o></o>

    พระเจ้า : ทำประหนึ่งว่าเธอเป็นอย่างนั้นจริงๆ แล้วเธอจะได้มันมา อะไรที่เธอแสดงออกมาประหนึ่งว่าเธอเป็นเช่นนั้นจริงๆ
    เธอก็จะเป็นอย่างนั้นจริงๆ<o></o>
    <o></o>

    นีล: หรือจะพูดอีกอย่างก็คือ “แสร้งทำมัน จนกว่าจะได้มันมา”<o></o>
    <o></o>

    พระเจ้า : ใช่ จะว่าอย่างนั้นก็ได้นะ เพียงแต่ว่าเธอไม่สามารถเสแสร้งแบบให้มันเป็นจริงๆได้เท่านั้นเอง
    การแสดงออกของเธอต้องเป็นการแสดงออกมาจากใจจริง “ทุกอย่างที่เธอทำโดยปราศจากความจริงใจ
    ผลตอบแทนของการกระทำนั้นๆก็จะสูญสลายไป”<o></o>
    <o></o>
    ที่เป็นเช่นนี้ไม่ใช่ว่าเพราะฉันจะไม่ให้รางวัลแก่เธอนะ พระเจ้าไม่ให้ “รางวัล” และไม่ “ลงโทษ” ใครอย่างที่เธอรู้

    แต่กฎของธรรมชาติต้องการให้ร่างกาย จิตใจ และจิตวิญญาณ ประสานเป็นหนึ่งเดียวกันทั้งการคิด การพูด และการกระทำ
    เพื่อให้กระบวนการของการสรรสร้างดำเนินไปได้<o></o>
    <o></o>
    เธอไม่สามารถหลอกลวงจิตใจของเธอเองได้ ถ้าเธอไม่มีความจริงใจ เธอก็จะรู้อยู่แก่ใจของเธอเอง
    ซึ่งนั่นก็จะเท่ากับว่าเธอเพิ่งปิดโอกาสที่จิตใจของเธอจะสามารถช่วยเหลือเธอในกระบวนการแห่งการสร้างสรรค์นี้ไป

    แต่ว่า แน่นอน เธอสามารถสร้างมันขึ้นมาได้โดยปราศจากการช่วยเหลือจากจิตใจของเธอ
    แต่มันอาจจะยากขึ้นมาอีกโขเลยเท่านั้นเอง.<o></o>
    <o></o>
    เธออาจจะขอให้ร่างกายของเธอทำอะไรสักอย่าง โดยที่จิตใจของเธอไม่ได้เชื่อเช่นนั้นด้วยก็ได้
    และถ้าร่างกายของเธอทำมันไปเป็นเวลานานๆแล้ว จิตใจของเธอก็จะเริ่มละทิ้งความคิดดั้งเดิมของมันเกี่ยวกับเรื่องนั้นๆ
    แล้วสร้างความเชื่อใหม่ขึ้นมาแทนที่ และเมื่อความเชื่อใหม่เกี่ยวกับอะไรบางอย่างนี้ ได้อย่างเกิดขึ้นมาแล้ว
    เธอก็จะสามารถสร้างสรรค์สิ่งนั้นๆได้ดี เสมือนหนึ่งว่ามันเป็นมุมมองที่ถาวรของตัวเธอไปแล้ว
    ไม่ใช่เป็นเพียงสิ่งที่เธอแค่แสร้งทำไปเฉยๆอีกต่อไป<o></o>
    <o></o>
    เมื่อเป็นเช่นนี้อะไรๆมันก็จะยากขึ้น และแม้แต่ตัวอย่างเมื่อสักครู่นี้ การกระทำก็ต้องกระทำออกมาด้วยความจริงใจ
    ไม่เหมือนกับสิ่งที่เธอสามารถทำได้กับคนอื่นๆ เพราะเธอจะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงจักรวาลได้<o></o>
    <o></o>
    เมื่อเป็นเช่นนี้เราจึงมีความสมดุลที่ละเอียดอ่อนมาก เมื่อร่างกายทำอะไรที่จิตใจไม่เชื่อตาม
    แต่จิตใจก็จำเป็นต้องใส่ส่วนผสมของความจริงใจเข้าไปให้กับกิจกรรมที่ร่างกายทำเพื่อให้มันทำงานไปได้

    (ยังมีต่อครับ)<o></o>
    …………………………………………………
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 กุมภาพันธ์ 2010
  4. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    Conversations With GOD - An Uncommon Dialogue - Book III<o></o>
    <o></o>
    By: Neale Donald Walsch<o></o>
    <o></o>
    Free electronic version from: www.angels-light.org - Talks with teachings from my Cosmic Friends<o></o>
    <o>
    </o>
    Chapter 1-8:<o></o>
    <o>
    </o>
    N: แล้วจิตใจมันจะสามารถใส่ความจริงใจเข้าไปได้อย่างไรครับ เมื่อมันไม่ได้เชื่อตามสิ่งที่ร่างกายกำลังกระทำอยู่<o></o>
    <o></o>

    G: ก็โดยการนำเอาส่วนที่บุคคลจะได้รับเพื่อตัวเองออกไปให้แทน<o></o>
    <o></o>

    N: ยังไงเหรอครับ?<o></o>
    <o></o>

    G: จิตใจอาจจะไม่สามารถเห็นด้วยอย่างจริงใจกับสิ่งที่ร่างกายแสดงออกว่าจะสามารถนำสิ่งที่เธอต้องการ
    มาให้ได้จริงๆ
    แต่จิตใจมักจะรู้แน่ชัดว่าพระเจ้าจะนำพาสิ่งดีๆไปให้ผู้อื่นผ่านเธอเสมอ
    เพราะฉะนั้น อะไรก็ตามที่เธอเลือกเพื่อตัวเธอเอง จงให้ผู้อื่น<o></o>

    <o></o>

    N: ท่านช่วยกรุณาพูดซ้ำอีกครั้งหนึ่งได้ไหมครับ?<o></o>
    <o></o>

    G : แน่นอน ได้สิ

    อะไรก็ตามที่เธอเลือกเพื่อตัวเธอเอง จงให้ผู้อื่น<o></o>

    ถ้าเธอเลือกที่จะมีความสุข จงทำให้ผู้อื่นมีความสุข<o></o>

    ถ้าเธอเลือกที่จะมั่งคั่ง จงทำให้ผู้อื่นมั่งคั่ง<o></o>

    ถ้าเธอเลือกที่จะได้รับความรักมากขึ้นในชีวิตเธอ จงทำให้ผู้อื่นได้รับความรักมากขึ้นในชีวิตของพวกเขา<o></o>

    จงทำเช่นนี้ด้วยความจริงใจ ไม่ใช่เพราะว่าเธอต้องการได้รับมันเอง แต่เพราะว่าเธอต้องการให้ผู้อื่นได้รับมันจริงๆ
    และทุกสิ่งทุกอย่างที่เธอให้ออกไป มันจะย้อนกลับมาหาเธอ<o></o>

    <o></o>

    N: ทำไมมันถึงเป็นอย่างนั้นหละครับ มันเป็นอย่างนั้นได้อย่างไรครับ?<o></o>


    G: ยิ่งเธอให้อะไรออกไปมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งทำให้เธอมีประสบการณ์ถึงความเป็นผู้ที่มีสิ่งนั้นๆที่จะสามารถให้ผู้อื่นได้
    แต่ถ้าเธอไม่เคยให้อะไรใครเลยเธอก็จะไม่มีประสบการณ์ตรงนี้ จิตใจของเธอก็จะก้าวไปสู่ข้อสรุปใหม่
    และแนวความคิดใหม่เกี่ยวกับตัวเธอเองว่า
    เธอต้องมีสิ่งนี้ก่อน ไม่เช่นนั้นเธอจะไม่สามารถให้ใครได้<o></o>

    <o></o>
    ความคิดใหม่นี้ก็จะกลายมาเป็นประสบการณ์ของเธอ เมื่อเธอเริ่มเป็นแบบนั้นแล้ว วันหนึ่งเธอก็จะเริ่มเป็นสิ่งนั้นด้วย
    เธอได้หมุนฟันเฟืองแห่งการสร้างสรรค์ที่มีพลังอำนาจมากที่สุดในจักรวาลแล้ว นั่นก็คือจิตวิญญาณของเธอเอง
    <o></o>
    <o></o>
    อะไรก็ตามที่เธอเป็น เธอก็จะสร้างสรรค์สิ่งนั้น วงจรนี้สมบูรณ์แบบ และเธอก็จะสร้างสรรค์สิ่งต่างๆมากขึ้น
    มากขึ้นเรื่อยๆในชีวิตของเธอ และมันจะถูกเนรมิตให้เกิดขึ้นจริงในโลกทางกายภาพของเธอด้วย
    <o></o>
    <o></o>
    นี่คือความลับที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของชีวิต มันคือสิ่งที่หนังสือเล่มที่หนึ่งและสองได้บอกเธอไปแล้ว
    รายละเอียดลึกๆกว่านี้ ได้เขียนไว้ในนั้นแล้ว<o></o>

    <o></o>

    N: ได้โปรดอธิบายให้ผมเข้าใจได้ไหมครับว่า ทำไมความจริงใจที่จะให้อะไรกับคนอื่นๆ
    ในสิ่งที่เราเองก็ต้องการอยู่ ถึงได้มีความสำคัญนัก<o></o>

    <o></o>

    G : ถ้าเธอให้อะไรแก่ผู้อื่น เพื่อเป็นอุบายที่จะให้ได้บางสิ่งบางอย่างกลับมา จิตใจของเธอรู้ดี

    นั่นคือเธอได้ส่งสัญญาณออกไปให้จิตใจเธอรู้ว่าตอนนี้เธอไม่มีสิ่งนี้อยู่ และก็เพราะว่า
    เอกภพนี้ไม่ใช่อะไรอื่น แต่มันคือเครื่องถ่ายสำเนาขนาดใหญ่ มันก็จะถ่ายสำเนาความคิดของเธอ
    แปรสภาพออกไปสู่รูปแบบทางกายภาพ ซึ่งก็จะไปเป็นประสบการณ์ของเธอ
    นั่นคือ เธอจะยังคงมีประสบการณ์ของความ “ไม่มี” อยู่ต่อไป ไม่ว่าเธอจะทำอะไรก็ตามแต่<o></o>

    <o></o>
    ยิ่งกว่านั้น นั่นจะเป็นประสบการณ์ของผู้ที่เธอพยายามจะให้อะไรเขาไปด้วย พวกเขาจะมองว่า
    เธอเพียงแต่ต้องการทำเพื่อที่จะให้ได้อะไรบางอย่างมาเท่านั้นเอง เพราะว่าจริงๆแล้ว เธอไม่มีอะไรที่จะให้
    และการให้ของเธอนั้น ก็จะกลายเป็นการกระทำที่สูญเปล่า และถูกตัดสินว่าเป็นการกระทำเพื่อตัวเองทั่วๆไปเท่านั้นเอง


    <o></o>ยิ่งเธอไขว่คว้าเพื่อที่จะให้ได้มันมามากเท่าใด เธอก็จะยิ่งผลักมันออกไปไกลมากเท่านั้น

    แต่ถ้าเธอให้อะไรแก่ผู้อื่นไปด้วยความบริสุทธิ์ใจ เพราะว่าเธอเห็นว่าพวกเขาต้องการมันจริงๆ ขาดแคลนมันจริงๆ
    และสมควรที่จะได้มัน เมื่อนั้นเธอจะพบว่า เธอเป็นผู้มีที่จะให้ และนั่นแหละ คือการค้นพบที่ยิ่งใหญ่หละ<o></o>



    ..................................................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 กุมภาพันธ์ 2010
  5. VeggieGuy

    VeggieGuy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    3,942
    ค่าพลัง:
    +4,262
    ...

    ยินดีมากที่เห็นข้อความของคุณ Avatar_boy
    และยินดีมีส่วนร่วมในการแปลองค์ความรู้ชิ้นสำคัญที่กำลังจะมาถึง
    (ถ้าคุณชยุต หัวหน้าทีมไม่ขัดข้อง)
    ขอเสนอว่าน่าจะเปิดเป็นกระทู้ใหม่เหมือนคราวที่แล้วดีมั้ยครับ
     
  6. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    ข้อความภาษาอังกฤษของคุณ Avatar_boy ที่ผมบอกว่าจะแปลให้นั้น
    ตอนนี้ผมได้แปลและโพสต์ไว้ในโพสต์ที่ 581 แล้วนะครับ


    สำหรับจิตวิญญาณต่างร่างแต่ร่วมวัตถุประสงค์ทั้งหลาย
    ผู้ที่เคยร่วมด้วยช่วยกันแปลงานเขียนของคุณ avatar_boy เมื่อปีที่แล้วนั้น
    หากปีนี้ ใครยังพอจะมีเวลาว่าง อยากช่วยกันอีก ก็ช่วยโพสต์ หรือ PM แจ้งผมมาหน่อยนะครับ

    หรือท่านอื่นๆที่พอจะมีฝีมือแปลภาษาอังกฤษเป็นไทยอยู่บ้าง ถ้าอยากเสนอตัวเข้าร่วมด้วย
    พวกเราก็ไม่ขัดข้องนะครับ

    รูปแบบการทำงานก็คือ

    1. คุณ Avatar_boy เขาจะเขียนต้นฉบับออกมาเป็นภาษาอังกฤษของเขาก่อน
    แล้วจะโพสต์เป็นเวอร์ชั่นอังกฤษก่อน (ในกระทู้ใหม่ของเขาเอง) หรือไม่ก็แล้วแต่เขาจะตัดสินใจหนะนะครับ
    แต่ที่แน่ๆ เขาจะส่งให้ผม หรือโพสต์เอาไว้ในกระทู้นั้นเลยก็แล้วแต่เขาเช่นกันครับ

    2. ผมจะเป็น Center ในการแบ่งงานให้พวกเราเอาไปแปลกัน ใครเอาอันไหนไปก่อน-หลัง

    3. จากนั้น พอทุกคนแปลเสร็จแล้ว ก็ส่ง PM กลับมาที่ผมก่อนนะครับ อย่าเพิ่งโพสต์
    เพราะเดี๋ยวผมจะดูให้ก่อนว่า อารมณ์ของคนอ่านจะต่อเนื่องกันหรือไม่ หากได้อ่านแล้ว
    ดังนั้น บางที ผมอาจจะต้องขออนุญาตผู้ที่แปลแต่ละคน ดัดแปลง ตัด แต่ง งานแปลของท่านสักเล็กน้อย
    เพื่อความเหมาะสม และ เพื่อความสละสลวยของภาษาด้วยนะครับ

    4. จากนั้น ผมก็จะส่งกลับไปให้เจ้าของต้นฉบับคือ คุณ Avatar_boy เป็นผู้ตรวจทานความถูกต้องให้อีกครั้งหนึ่งก่อน

    5. จากนั้น ถ้าไม่มีอะไรต้องแก้ไขอีก ผมก็จะเอามาโพสต์ลงในกระทู้นั้น ก็เป็นอันเสร็จพิธี ของแต่ละตอนนั้นๆไปหนะครับ



    ปีที่แล้วจำได้ว่ามีใครบ้างน๊า ถ้าเจ้าตัวได้อ่านโพสต์นี้แล้ว หรือใครพบเห็นผู้ต้องหาเหล่านี้ที่ไหน
    ก็ช่วยแจ้งเจ้าตัวให้ด้วยนะครับ (ถ้าตกหล่นใครไปขออภัยด้วยนะครับ)


    1. คุณ <!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->VeggieGuy<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_2403033", true); </SCRIPT>
    2. คุณ Sarissa
    3. คุณ เซลล์
    4. คุณ Zipper
    5. คุณ Falkman
    6. คุณ Jintawadee

    มีใครอีกไหม๊เนี่ย...

    ........................................................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 กันยายน 2009
  7. avatar_boy

    avatar_boy Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12
    ค่าพลัง:
    +77
    Thank You Khun Chayutt,
    Khun <!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->axzon47<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_2393079", true); </SCRIPT>
    Khun Veggie Guy,
    Khun LadyofLight,
    KhunThreeam

    New topic will be following link...


    Ancient Secret School #2 : The Secret Life of The Inner Earth
    (ความลับของโรงเรียนแห่งการรู้แจ้ง #2 : ความลับจากโลกภายใน)<!-- google_ad_section_end -->


    http://palungjit.org/posts/2403426
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 กันยายน 2009
  8. panseak

    panseak Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    33
    ค่าพลัง:
    +30
    คำทำนายโบราณเก้าประการจากเปรู


    หนังสือเล่มนี้คือหนังสือของอาจารย์สุวินัย ภรณวลัยค่ะ
    และน่าจะเป็นเล่มล่าสุดด้วยนะ เพราะเพิ่งพิมพ์ออกมาเมื่อเดือนมีนาคมนี้เอง
    หนังสือชื่อ “ยอดคนวิถีเซน” ค่ะ
    ที่เห็นมีคำโปรยเป็นภาษาอังกฤษแว่บๆ ว่า Life and Enlightenment
    เพราะฉะนั้นถ้าจะถามว่าแล้วหนังสือเล่มนี้น่าจะเป็นหนังสือเกี่ยวกับอะไร
    หรืออ่านแล้วเราจะได้อะไรบ้าง
    เราว่าจากชื่อก็น่าจะพอสรุปรวมความคิดได้นะ ว่าเราจะต้องเจอกับอะไรบ้างในหนังสือเล่มนี้
    แล้วอ่านแล้วเราจะได้อะไร

    หนังสือหนาเกือบห้าร้อยหน้า เพราะฉะนั้นเรายังอ่านไม่จบหรอกค่ะ
    จะว่าไป เพิ่งอ่านได้ตอนเดียวเองมั้ง ที่เป็นช่วงแรกๆ ในหนังสือ
    และก็เป็นตอนแรกๆ ที่เริ่มมีการเอ่ยถึง คำทำนายโบราณเก้าประการจากเปรู
    หรือที่เรียกว่า ปัญญาโบราณเก้าประการจากเปรู ค่ะ

    จะว่าไปคำทำนายโบราณเก้าประการจากเปรูนั้น
    แท้จริงแล้วก็คือการทำนายถึงความเป็นไปของมนุษยชาติในอนาคตนั่นเอง
    เมื่อมันเป็นคำทำนายจากอดีตมาถึงอนาคต
    เจ้าอนาคตของอดีต มันก็คือช่วงเวลาของปัจจุบันนี้นั่นเองค่ะ
    เพราะฉะนั้น จริงๆ แล้วเจ้าคำทำนายนี้ก็คือการพูดถึงสิ่งที่โลกมนุษย์กำลังจะเป็นไปอยู่ในทุกวันนี้น่ะสิคะ

    นักโบราณคดีที่ค้นพบบันทึกคำทำนายโบราณเหล่านี้ บอกว่ามันมีอายุหกร้อยปีก่อนคริสตกาล
    และทำนายถึงความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของสังคมมนุษย์ครับ”
    “ความเปลี่ยนแปลงในช่วงไหนหรือครับ”
    “ในช่วงยี่สิบปีก่อนสิ้นศตวรรษที่ยี่สิบนี้”
    “ก็ปัจจุบันนี้น่ะสิครับ”
    “ใช่แล้ว การเปลี่ยนแปลงที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้แหละ”
    ........................
    “การเปลี่ยนแปลงชนิดไหนที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ครับ”
    “การฟื้นฟูขึ้นมาใหม่ของจิตสำนึกที่ไม่ใช่ในเชิงศาสนา แต่ในเชิงจิตวิญญาณของมนุษยชาติ
    พวกเรากำลังอยู่ในช่วงแห่งการกำลังค้นพบสิ่งใหม่
    หรือความจริงใหม่เกี่ยวกับความหมายแห่งการดำรงอยู่ของพวกเรา
    รวมทั้งการใช้ชีวิตของพวกเราบนโลกใบนี้
    เมื่อได้พบสิ่งนี้แล้ว จะทำอารยธรรมของมนุษยชาติเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
    คำทำนายโบราณกล่าวไว้เช่นนั้น”
    “คำทำนายโบราณได้ถูกบันทึกไว้ในรูปลักษณ์ใดครับ”
    “มันมีบันทึกอยู่ในศิลาโบราณ คำทำนายแบ่งออกได้เป็นบทๆ จำนานเก้าบทด้วยกัน
    และแต่ละบทจะสอนปัญญาในการใช้ชีวิตหรือเกี่ยวกับชีวิต
    หากในช่วงนี้ มนุษยชาติสามารถเรียนรู้ปัญญาเหล่านี้ได้ทีละบทๆ ตามลำดับด้วยความเข้าใจ
    ก็จะทำให้มนุษยชาติสามารถเปลี่ยนแปลงจากอารยธรรมทางวัตถุในปัจจุบัน
    ไปสู่อารยธรรมทางจิตวิญญาณโดยสมบูรณ์ได้”
    .......................
    “แล้วคำทำนายโบราณเหล่านี้น่าเชื่อถือได้แค่ไหนครับ”
    “ไม่รู้สินะ ว่าแต่ว่าคุณลองเหลียวดูความเป็นไปรอบๆ ตัวคุณดูซิ
    หากคุณรู้สึกว่าคนเราจำเป็นต้องแสวงหาอะไรที่ต่างไปจากเดิม
    ซึ่งเป็นความปรารถนาอย่างล้ำลึกของจิตใต้สำนึกของพวกเราแล้วละก็
    นี่แหละเป็นสัญลักษณ์ที่คำทำนายบทที่หนึ่งหรือปัญญาโบราณอันที่หนึ่งได้บอกพวกเรา
    ว่าคือการเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่อันนี้แล้วล่ะ”
    “แล้วมีสัญลักษณ์อะไรอื่นอีกนอกจากนี้มั้ยครับ”
    “มีครับ เพราะปัญญาโบราณอันที่หนึ่งยังได้บอกอีกว่า
    เมื่อใดก็ตามที่พวกเราตระหนักถึงความคล้องจองกันของความบังเอิญเมื่อไหร่ในชีวิตของเรา
    เมื่อนั้นแหละคือ จุดเริ่มต้นของความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่อันนี้”
    “ความคล้องจองกันของความบังเอิญหรือครับ”
    “ถูกแล้วครับ หากความคล้องจองกันของความบังเอิญได้เกิดขึ้นแก่ชีวิตเราในขณะนี้
    บ่อยครั้งมากเสียจนเรารู้สึกได้ว่ามันไม่น่าจะใช่เรื่องบังเอิญอีกต่อไปแล้ว
    เมื่อนั้นแหละ เราจะค้นพบและสำเหนียกได้ว่า
    มีพลังที่ยากแก่การอธิบายกำลังชี้นำชีวิตเราไปในทิศทางหนึ่ง ราวกับถูกลิขิตเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว
    ซึ่งจะทำให้เราได้พบประสบการณ์ที่เร้นลับและพิสดาร
    ที่จะนำความมีชีวิตชีวามาให้แก่จิตวิญญาณของเรา
    ความเคลื่อนไหวที่พิสดารอันนี้เป็นของจริง
    และจำนวนผู้คนที่เริ่มเชื่อมั่นว่ากำลังจะมีอะไรเกิดขึ้นภายใต้ผิวน้ำราบเรียบแห่งความปกติในชีวิตประจำวันนี้
    ก็มีเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
    คำทำนายโบราณบทที่หนึ่งกล่าวไว้เช่นนั้น”
    ....................
    “แต่ผมไม่คิดว่าปัญญาโบราณอันที่หนึ่งนี้ได้บอกอะไรใหม่ๆ แก่เราหรอกนะครับ
    เพราะความรู้สึกเช่นที่ว่านี้เกิดได้ทุกยุคทุกสมัยไม่เจาะจงว่าต้องเป็นในช่วงปลายศตวรรษที่ยี่สิบนี้เท่านั้น”
    “ก็ถูกของคุณครับ แต่ที่แตกต่างออกไปจากครั้งก่อนๆ ก็คือ จำนวนของผู้คนที่เริ่มตระหนักเช่นนี้ครับ
    เพราะไม่เคยมียุคไหนเลยในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ
    ที่มนุษย์จะตื่นตัวในเชิงจิตวิญญาณเป็นจำนวนมากพร้อมเพรียงกันถึงขนาดนี้
    ซึ่งจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางอารยธรรมครั้งใหญ่อย่างแน่นอน
    มิหนำซ้ำคำทำนายโบราณยังเขียนไว้ด้วยครับว่า
    จำนวนผู้คนที่เริ่มตระหนักถึงความคล้องจองกันของความบังเอิญ
    จะมีเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วนับตั้งแต่ปี ๑๙๖๐ เป็นต้นมา
    และจะถึงจุดที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในราวๆ ต้นศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดนี้ครับ”
    ......................
    “มีหลักฐานอะไรบ้างครับที่จะทำให้เชื่อได้ว่าคำทำนายโบราณเหล่านี้จะถูกต้องจริงครับ”
    “ประสบการณ์โดยตรงของตัวคุณเองนั่นแหละ คือหลักฐานที่ดีที่สุด”
    “..........”

    “ปัญญาโบราณอันที่สอง กล่าวไว้ว่ายังไงบ้างครับ”
    “คุณจะไม่มีทางเข้าใจปัญญาโบราณอันที่สองนี้ได้เลย
    หากคุณไม่มีทัศนะมุมมองที่ยาวนานเป็นร้อยๆ พันๆ ปีของประวัติศาสตร์
    และไม่ตระหนักว่า ประวัติศาสตร์นั้นที่แท้ก็เป็นเรื่องของวิวัฒนาการของโลกทัศน์
    หรือวิวัฒนาการของความคิดและวิธีคิดเสียก่อน”
    “เพราะอะไรหรือครับ”
    “ปัญญาโบราณอันที่สองนี้มุ่งให้วิสัยทัศน์เชิงประวัติศาสตร์แก่พวกเราน่ะสิ”
    “..............”
    “ปัญญาโบราณอันที่สองได้บอกว่า
    ขอให้พิจารณาจิตสำนึกของพวกเราในปัจจุบัน ท่ามกลางวิสัยทัศน์ทางประวัติศาสตร์อันยาวไกล
    ซึ่งจะทำให้เราตระหนักได้ว่า การสิ้นสุดของทศวรรษที่ ๑๙๙๐ นี้นั้น
    นอกจากจะหมายถึงการสิ้นสุดของพันปีรอบที่สองอีกด้วย
    มนุษยชาติจำเป็นจะต้องเข้าใจให้ได้ก่อนว่า ในช่วงหนึ่งพันปีที่กำลังจะผ่านไปนี้ได้เกิดอะไรขึ้นบ้าง
    เพื่อที่จะได้รู้ได้ว่า จะเกิดอะไรขึ้นต่อไปอีกในกาลข้างหน้า
    .................................
    คำทำนายโบราณยังบอกอีกว่า เมื่อใกล้จะสิ้นสุดรอบปีที่สองพันปีหรือในยุคปัจจุบันนี้
    พวกเราจะเริ่มสามารถที่จะพิจารณาหรือมองประวัติศาสตร์ในรอบหนึ่งพันปีนี้อย่างเป็นองค์รวมได้
    โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกเราจะตระหนักได้ว่า
    พวกเราส่วนใหญ่ได้หลงติดอยู่กับความเข้าใจผิดอย่างหนึ่งที่ก่อตัวในช่วงห้าร้อยปีมานี้
    ที่เรียกกันว่าโมเดิร์นหรือสมัยใหม่นั่นเอง
    และการตระหนักถึงความคล้องจองกันของความบังเอิญนั้นที่แท้ก็คือการตื่นจากความหลงผิดอันนี้นี่เอง”
    “ความหลงผิดนี้คืออะไรครับ”
    “พูดง่ายๆ ก็คือสิ่งที่เรียกว่าความคิดที่เป็นวิทยาศาสตร์นั่นเอง”
    “ผมยังไม่เข้าใจอยู่ดีครับ”
    “......... คุณพร้อมที่จะทบทวนประวัติศาสตร์ในช่วงหนึ่งพันปีนี้กับผมมั้ยล่ะ”
    “ตกลงครับ”
    “สมมุติว่าตอนนี้คุณกับผมกำลังอยู่ในยุคกลางเมื่อปี ค.ศ. ๑๐๐๐
    คุณต้องเข้าใจว่า ขณะนี้วิธีการรับรู้โลกได้ถูกกำหนดโดยผู้มีอำนาจในศาสนาคริสต์คาธอลิค
    บิดาของคุณถ้าไม่สังกัดในชนชั้นเจ้าขุนมูลนายก็ต้องเป็นชนชั้นชาวนา
    และชีวิตคุณจะถูกผูกติดกับชนชั้นที่คุณสังกัดนี้ไปจนตลอดชีวิต
    ตอนนี้คุณจินตนาการตัวเองเห็นความเป็นจริงในยุคนั้นด้วยตัวคุณเองได้หรือยังครับ”
    “ได้แล้วครับ”
    “ดีครับ คราวนี้ลองจินตนาการเห็นภาพค่อยๆ ล่มสลายของความจริงนี้ดูสิครับ
    โลกทัศน์แบบยุคกลางค่อยๆ ล่มสลายตั้งแต่ศตวรรษที่ ๑๕ เป็นต้นมา
    ผู้คนเริ่มปฏิเสธความเชื่อทุกอย่างที่ตัวเองเคยเชื่อตามที่ศาสนาสอน
    และยัดเยียดให้โลกอยู่ท่ามกลางทะเลแห่งความสงสัย
    ผู้คนแต่ละคนอยู่ในสภาวะที่ไม่แน่นอนทางความคิด..................
    ตอนนี้คุณรู้สึกยังไงครับ”
    “เกิดวิกฤตศรัทธาและรู้สึกหวั่นไหวไม่แน่ใจว่าตัวเองควรจะยึดอะไรเป็นสรณะของชีวิตดีครับ”
    “ใช่ครับ ทุกอย่างมันกลับตาลปัตรหมดเลยจริงไหมครับ
    โลกไม่ได้เป็นศูนย์กลางของจักรวาลอีกต่อไปดังที่เคยเชื่อกันแล้ว
    โลกเป็นแค่ดาวเคราะห์เล็กๆ ดวงหนึ่งของจักรวาลเท่านั้น
    ผู้คนเลิกเชื่อศาสนาและหันมาบูชาวิทยาศาสตร์แทน แต่............”
    “แต่อะไรครับ”
    “ผู้คนก็ได้เสียเป้าหมายทางจิตวิญญาณไปด้วยโดยไม่รู้ตัว
    เพราะพวกเขาเลิกแสวงหาความสงบทางใจ
    แต่หันมาแสวงหาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและทางสังคมแทน
    .....................
    ผู้คนส่วนใหญ่สวิงไปสุดขั้วอีกด้านหนึ่ง หันมาหลงผิดบูชาการพัฒนาเศรษฐกิจแทนพระเจ้า
    และผลักดันตัวเองอย่างรุนแรงจนทำลายธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของโลกนี้จนถึงขั้นวิกฤตร้ายแรงแล้วในปัจจุบัน”
    “หมายความว่าในช่วงห้าร้อยปีมานี้ มนุษยชาติส่วนใหญ่อยู่ในสภาวะจิตที่สุดขั้วไปในอีกทางหนึ่ง
    โดยเป็นปฏิกิริยาโต้ตอบกับวิกฤตศรัทธาทางศาสนาที่พวกเขาประสบในยุคกลางยังงั้นหรือครับ”
    “ถูกแล้วครับ สภาพเช่นนี้ไม่ต่างไปจากอดีตนักปฏิวัติผู้เคยมีอุดมการณ์สูงส่ง
    แล้วประสบกับวิกฤตศรัทธาของขบวนการปฏิวัติ จึงสวิงสุดขั้วมาเป็นนายทุนที่ทำทุกอย่างเพื่อความมั่งคั่งของตัวเอง
    แต่สิ่งนี้ได้เกิดขึ้นในระดับเผ่าพันธุ์ และกำลังถึงจุดไคลแมกซ์ก่อนสิ้นศตวรรษที่ยี่สิบนี้ครับ
    ปัญญาโบราณอันที่สองว่าไว้อย่างนั้น”
    “โอ....นี่มนุษย์ส่วนใหญ่ไม่รู้จักและเข้าใจประวัติศาสตร์ของตังเองถึงขนาดนี้เชียวหรือครับ
    .................
    มันน่าเศร้าใจจริงๆ นะครับ”
    “ถึงแม้ว่าจะเป็นเช่นนั้นนะครับ
    แต่มนุษย์บางส่วนเริ่มรู้ตัวและได้คิดกันแล้ว
    พวกเขาจึงเริ่มแสวงหาความหมายในการดำรงชีวิตของเขาบนโลกนี้กันใหม่
    พวกเขามีอยู่ทั่วโลก แม้ยังเป็นคนส่วนน้อย แต่จะมีแนวโน้มเพิ่มจำนวนมากขึ้นในช่วงก่อนสิ้นศตวรรษนี้ครับ
    ปัญญาโบราณอันที่สองกล่าวไว้เช่นนี้ครับ”
    “ขอให้เป็นจริงตามคำทำนายโบราณนี้เถอะครับ
    เพราะนี่คือความหวังเพียงหนึ่งเดียวที่จะช่วยโลกนี้ให้รอดพ้นจากหายนะที่กำลังจะเกิดขึ้น”

    อ้างอิง:http://www.semsikkha.org/review/ind...nt&task=view&id=87&Itemid=190&date=2009-04-01
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 กันยายน 2009
  9. panseak

    panseak Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    33
    ค่าพลัง:
    +30
    “ปัญญาโบราณอันที่สามได้บอกอะไรบ้างครับ”
    “ความรับรู้ใหม่เกี่ยวกับโลกทางวัตถุ จะทำให้มนุษย์ค้นพบพลังที่มองไม่เห็น หรือพลังภายใน พลังจักรวาล”
    “หมายถึง แควนตัมฟิสิกส์ใช่ไหมครับ”
    “ใช่แล้วครับ หลักการทางแควนตัมที่เพิ่งค้นพบไม่กี่สิบปีมานี้ทำให้เราได้รู้ความจริงว่า
    กลไกการทำงานของธรรมชาติในระดับที่ละเอียดที่สุด การเกิดขึ้น การดำรงอยู่
    และการแปรเปลี่ยนไปของสรรพสิ่งทั้งหลายในโลกหรือดวงดาว
    เมื่อพิจารณาจุดที่ย่อยละเอียดที่สุดแล้ว ล้วนเป็นการทำงานด้วยกลไกแควนตัมทั้งสิ้น
    คุณยอมรับมั้ยละครับว่า อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ คืออัจฉริยะคนสำคัญที่สุดคนหนึ่งแห่งศตวรรษนี้”
    “แน่นอนครับ”
    “เขาได้สรุปรวบยอดความรู้แห่งแควนตัมออกมาในปี ค.ศ.๑๙๓๕ หรือเมื่อหกสิบปีก่อนว่า
    มนุษย์เราเป็นส่วนเล็กน้อยของความเป็นหนึ่งเดียวที่ยิ่งใหญ่ที่เรียกว่า จักรวาล
    ส่วนเล็กน้อยที่ว่านี้ดำรงอยู่ในขอบเขตของรูปกาย ของสถานที่ ของเวลาที่จำกัดยิ่ง
    ด้วยขอบเขตที่จำกัดดังกล่าว มนุษย์จึงยึดมั่นต่อความรู้ที่เขาได้มาจากประสบการณ์ที่จำกัดเช่นเดียวกัน
    ประสบการณ์ที่เกี่ยวข้องเฉพาะตัวของเขา ความคิดของเขา ความต้องการและความรู้สึกของเขา
    ................
    ทั้งหมดนี้เป็นเช่นการใส่แว่นลวงตาที่บดบังจิตวิญญาณ
    มนุษย์จึงเบี่ยงเบนตัวเอง แบ่งแยกตัวเองออกจากสิ่งต่างๆ รอบตัวเขา
    และภาพลวงตานี้เองที่เป็นคุกตะรางจองจำมนุษย์เอาไว้
    บังคับให้มนุษย์อยู่กับกิเลสตัณหาเพื่อตัวเองหรือเพื่อคนเพียงไม่กี่คนที่สนิทชิดเชื้อเท่านั้น
    งานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของมนุษย์ทุกคนจึงอยู่ที่การปลดปล่อยตัวเองจากที่คุมขังนี้”
    “ครับ”
    “ไอน์สไตน์ยังบอกอีกว่า
    ที่สุดของที่สุดของอนุภาคนั้นคือ พลัง หรือ พลังงาน
    มิหนำซ้ำพฤติกรรมของผู้สังเกตการณ์เกี่ยวกับอนุภาคอันนี้ยังสามารถมีผลสะเทือนต่อ
    การเปลี่ยนแปลงผลลัพธ์ของการเคลื่อนไหวของอนุภาคด้วย
    ซึ่งนี่ก็หมายความว่า
    เจตนารมณ์ของมนุษย์นั้นสามารถโน้มน้าวพลังได้
    และพลังนี้จะไปส่งผลสะเทือนต่อโลก ต่อวัตถุ และพลังอื่นๆ อีกทีหนึ่ง”

    “ก็แสดงว่าคำทำนายโบราณประการที่สามที่ว่า จะเกิดการเปลี่ยนแปลงในโลกทัศน์เกี่ยวกับฟิสิกส์
    ก็ถูกต้องแล้วสิครับ”
    “แค่เปลี่ยนวิธีคิดเกี่ยวกับฟิสิกส์เท่านั้นยังไม่พอหรอกครับ
    คำทำนายยังบอกอีกว่า
    มนุษย์คงจะยังค้นพบพลังจักรวาลได้ก่อนสิ้นศตวรรษนี้ด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ครับ”
    “ความจริงถึงไม่ต้องใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์
    คนเราก็สามารถสัมผัสพลังจักรวาลนี้ได้โดยการฝึกวิชาลมปราณของศาสตร์ตะวันออกไม่ใช่หรือครับ”
    “นั่นก็ใช่ครับ แต่นักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่ยังไม่ยอมรับวิธีการโบราณแบบตะวันออกนี้นี่ครับ”
    “แล้วจะค้นคว้ายังไงดีล่ะครับ”
    “............. คงต้องเริ่มจากการค้นคว้าเกี่ยวกับแหล่งหรือที่มาของพลังนี้
    ซึ่งที่ค้นคว้าได้ง่ายหน่อย
    ก็คงจะเป็นพลังที่ถูกปล่อยออกมาจากป่าหรือต้นไม้ใหญ่ที่มีอายุหลายสิบหรือหลายร้อยปีครับ”
    “ถึงยังพิสูจน์วัดพลังนี้ในทางวิทยาศาสตร์ไม่ได้
    แต่พวกเราทุกคนคงเคยมีประสบการณ์ไม่ใช่หรือครับที่เข้าไปใกล้ต้นไม้ใหญ่ๆ แล้วจะรู้สึกสดชื่นขึ้นมาทันที
    นั่นแหละครับ คือพลังที่พวกเราได้รับจากต้นไม้ใหญ่”
    “แต่มนุษย์สมัยนี้กลับทำลายต้นไม้ใหญ่ในป่าจนเหลือน้อยลงทุกทีๆ ด้วยความละโมบ
    ทั้งๆ ที่ป่าเป็นต้นตอของพลังจักรวาล นอกเหนือไปจากดวงอาทิตย์ แม่น้ำ และทะเล
    ตอนนี้ไม่ใช่แค่ป่าเท่านั้นที่ถูกทำร้าย
    ทะเลและแม่น้ำที่เป็นแหล่งพลังอีกแหล่งหนึ่งก็แปดเปื้อนไปด้วยมลพิษสิ่งโสโครกที่เกิดจากเงื้อมมือมนุษย์
    ...................
    ส่วนดวงอาทิตย์ที่ให้พลังแก่เราเช่นกัน
    ก็กำลังถูกปิดกั้นโดยภาวะเรือนกระจกที่เกิดจากการเผาผลาญน้ำมัน
    ผมรู้สึกหดหู่จริงๆ ครับ ที่พวกมนุษย์กำลังทำลายแหล่งพลังของตัวเองด้วยความโง่เขลาเบาปัญญา
    ปัญญาโบราณอันที่สามยังได้บอกอีกว่า
    เมื่อไรก็ตามที่พวกเราได้สติ แลเห็นถึงความงามของธรรมชาติอีกครั้งอย่างแท้จริง
    พวกเราจะเริ่มหันมาค้นคว้าแหล่งพลังงานนี้อย่างจริงจัง”
    “น่าเสียดายนะครับที่กลุ่มคนที่สนใจค้นคว้าและฝึกฝนปฏิบัติพลังนี้อย่างเอาจริงเอาจัง
    ยังเป็นแค่คนส่วนน้อยของสังคมเท่านั้น”
    “ตรงนี้แหละครับที่ทำให้ผมเป็นห่วงว่าความคิดที่ร้ายๆ ของคนส่วนใหญ่
    จะชักนำพลังไปในทิศทางที่ร้ายกาจรุนแรงต่อโลกวัตถุใบนี้
    ซึ่งเริ่มสำแดงอาการออกมาแล้วในรูปของภัยพิบัติทางธรรมชาติรูปแบบต่างๆ ที่กำลังเกิดขึ้นถี่มากทั่วทุกมุมโลก”

    “ปัญญาโบราณอันที่สี่ กล่าวถึง การแย่งชิงพลังของผู้คน”
    “แย่งชิงพลังหรือครับ”
    “ใช่แล้วครับ คำทำนายโบราณประการที่สี่ได้บันทึกไว้ว่า
    ในที่สุดมนุษย์ก็จะเข้าใจได้ว่า พวกเขาธำรงอยู่ได้ก็ด้วยพลังจักรวาล
    อันเป็นพลังที่พลวัติ ที่ค้ำจุนพวกเขา และตอบสนองต่อความคาดหวังของเขา
    และพวกเขาจะตระหนักได้ว่า
    สาเหตุที่พวกเขาอ่อนแอลง รู้สึกว่าขาดความมั่นคงในจิตใจเหมือนกับขาดอะไรไปบางอย่าง
    ก็เพราะพวกเขาได้ตัดขาดตัวเองจากต้นตออันยิ่งใหญ่ของพลังจักรวาลนี่เอง”
    “นี่ก็หมายความว่า เท่าที่ผ่านมา เมื่อมนุษย์รู้สึกว่าตัวเองขาดพลัง
    แทนที่เขาจะกลับไปหาต้นตอของพลังที่ไม่มีวันสิ้นสุด
    เขากลับพยายามเพิ่มพลังของตัวเขาด้วยการแย่งชิงพลังมาจากคนอื่น
    ในเชิงจิตวิทยา เกิดสภาพการแข่งขัน ช่วงชิงพลังของกันและกันโดยไม่รู้ตัว
    ซึ่งกลายเป็นที่มาของการต่อสู้ขัดแย้งของผู้คนทั่วโลกใช่มั้ยครับ”
    “ผมเคยศึกษาปัญหาว่า
    ทำไมคนเราต่างฝ่ายต่างก็ชอบใช้ความรุนแรงกับคนอื่น ไม่ว่าทางกาย วาจา ใจ
    แล้วผมก็พบว่า ความรู้สึกเหล่านี้มาจากความอยาก
    หรือแรงกระตุ้นข้างในของคนที่ต้องการอยู่เหนือคนอื่น หรือครอบงำคนอื่นนั่นเอง
    ........................
    เมื่อติดตามศึกษาดูในขณะที่คนๆ หนึ่งเข้าไปพูดจากับคนอีกคนหนึ่ง
    อันเป็นปรากฏการณ์ธรรมดาที่เกิดขึ้นทุกวันทั่วโลก วันละเป็นพันล้านครั้งนี้
    ภายในใจของคนผู้นั้น เขาเกิดความรู้สึกเช่นใด
    และผมก็ได้คำตอบว่า มันจะเกิดอย่างใดอย่างหนึ่งในสองอย่างนี้ในระหว่างสองคนนั้น
    คือถ้าไม่รู้สึกว่าตัวเองได้พลังเพิ่มขึ้น ก็รู้สึกว่าตัวเองสูญพลังไป อย่างใดอย่างหนึ่งนี้
    .......................
    พูดง่ายๆ ก็คือ การที่คนเราพยายามทำตนเหนือกว่าคนอื่นนั้น
    หาใช่เพราะมีเป้าหมายรูปธรรมทางวัตถุภายนอกเท่านั้น
    แต่เพราะต้องการได้ความสะใจหรือคะนองใจด้วย
    และที่ร้ายก็คือปัญหาความรุนแรงต่อจิตใจนี้
    มักเกิดขึ้นในครอบครัวก่อน โดยเฉพาะพ่อแม่ที่กระทำต่อลูกตั้งแต่วัยเด็ก”
    “หมายความว่ายังไงครับ”
    “พ่อแม่บางคนชอบครอบงำลูกโดยคิดว่านั่นคือความรัก
    แต่จริงๆ แล้ว ไม่ใช่เลย
    เด็กที่ถูกพ่อแม่พยายามครอบงำจะกลายเป็นเด็กที่มีบาดแผลในจิตใจ
    ครั้นเมื่อเขาโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ก็จะกลายเป็นคนที่ชอบควบคุมและครอบงำคนอื่นไปโดยไม่รู้ตัว
    ดุจเดียวกับพ่อแม่ของเขา โดยเฉพาะเขาจะชอบครอบงำคนที่อยู่ในฐานะที่อ่อนแอกว่าเขา
    .......................
    เพราะคนเราเมื่อได้รับความบีบคั้นทางจิตใจมากๆ จะแสดงออกด้วยความรุนแรงกลับไป
    ด้วยเหตุนี้เอง ความรุนแรงทางจิตใจจึงได้รับการสืบทอดจากคนรุ่นหนึ่งไปสู่คนอีกรุ่นหนึ่ง
    รุ่นแล้วรุ่นเล่า
    ลองคิดดูซิครับว่า ในสังคมหนึ่งจะมีพ่อแม่ประเภทนี้อยู่เป็นจำนวนมากมายขนาดไหน
    คนที่ชอบครอบงำคนอื่นนั้น แท้ที่จริงแล้วก็คือคนที่มีบาดแผลในจิตใจเช่นกัน”
    “ถ้ามองจากมุมมองของภูมิปัญญาโบราณอันที่สี่
    ในขณะที่คนๆ หนึ่งกำลังครอบงำคนอีกคนหนึ่ง ขณะนี้เขากำลังดูดพลังจากคนๆ นั้น
    เป็นการเติมพลังให้แก่ตัวเองให้เต็ม บนความสูญเสียของคนอื่น ใช่มั้ยครับ
    และนี่คือสิ่งที่เป็นแรงกระตุ้นภายในให้เกิดการใช้ความรุนแรงทางจิตใจต่อคนอื่นใช่มั้ยครับ”
    “ใช่ครับ ในขณะที่ปัญญาโบราณอันที่สามบอกกับเราว่า
    จักรวาลทั้งหมดดำรงอยู่ได้ด้วยพลังนี้
    และพวกเราเหล่ามนุษย์ได้ใช้พลังนี้ในการส่งผลสะเทือนต่อสรรพสิ่งรอบๆ ตัวเรา
    ส่วนปัญญาโบราณอันที่สี่
    ได้ชี้ให้พวกเราแลเห็นถึงปัญหาที่เกิดจากการที่พวกเราได้ตัดขาดตัวเองจากต้นตอของพลังจักรวาล
    จึงต้องหันมาแย่งชิงเบียดเบียนพลังของมนุษย์และสิ่งอื่นๆ ที่ไม่ใช่ต้นตอแทน
    ......................
    แต่ผมไม่คิดว่าผู้คนส่วนใหญ่จะเข้าใจในประเด็นนี้หรอกครับ
    พวกเขารู้ว่า การได้ครอบงำคนอื่นนั้นเป็นเรื่องที่สะใจตัวเองก็จริง สร้างความพึงพอใจให้แก่ตัวเองได้จริง
    แต่พวกเขาแทบไม่เคยเฉลียวใจเลยว่า
    ความสะใจ หรือความพึงพอใจนี้มาจากการสูญเสียของผู้อื่น
    ผู้คนส่วนใหญ่แย่งชิงพลังของคนอื่นมาโดยไม่รู้ตัว
    แล้วยังมีหน้ามาแสวงหาพลังนี้จากคนอื่นต่อไปอีกจนชั่วชีวิต
    ในรูปของความสำเร็จ ความมั่นคง อำนาจ การยอมรับของสังคม”
    “.......”
    “อ้อ...ปัญญาโบราณอันที่สี่ยังบอกอีกว่า
    ผู้ที่จะเข้าใจปัญญาอันที่สี่นี้ก็คือผู้ที่มองออกว่า
    โลกมนุษย์นี้นั้นที่แท้ก็คือ สนามแข่งขันอันมโหฬาร
    ที่ผู้เข้าแข่งขันต่างพยายามแย่งชิงพลังและอำนาจของกันและกันนั่นเอง
    .................
    และเมื่อใดก็ตามที่เราเข้าใจอย่างแท้จริงถึงความหมายที่แท้จริงของการแข่งขันต่อสู้ของตัวเรา
    ในโลกนี้หรือในสังคมนี้
    เราก็จะสามารถเริ่มข้ามพ้นการทะเลาะเบาะแว้งเบียดเบียนอันนี้ไปได้
    และเราจะสามารถเป็นอิสระจากการแย่งชิงพลังของคนอื่น
    เพราะเราจะรู้สึกได้ว่า มีแหล่งพลังอื่นที่ยิ่งใหญ่เหลือเกิน และไม่มีวันสิ้นสุด
    ที่เราสามารถได้รับพลังมาได้อยู่ตลอดเวลา”


    “ปัญญาโบราณอันที่ห้า กล่าวถึงเรื่องอะไรครับ”
    “กล่าวถึงประสบการณ์เร้นลับของปัจเจกครับ”
    “ประสบการณ์ยังไงครับ”
    “อธิบายเป็นคำพูดยากครับ
    เอาเป็นว่ามันเป็นความรู้สึกเป็นสุขที่ได้รู้สึกว่าตัวเองผูกพันและสัมพันธ์กับทุกสรรพสิ่ง
    บวกกับความรู้สึกอบอุ่นในใจ มั่นคงในจิตใจ และไม่เกิดความรู้สึกเหนื่อยล้าอีกเลยครับ”

    “ท่านมีประสบการณ์เช่นที่ว่านี้ที่ไหนครับ”
    “............ ในป่าทึบบนยอดเขาครับ
    อ้อ.... ปัญญาโบราณอันที่ห้ายังบอกอีกว่า ในช่วงยี่สิบปีสุดท้ายของศตวรรษที่ยี่สิบนี้
    จะมีผู้คนจำนวนไม่น้อยที่สามารถมีโอกาสได้รับประสบการณ์เร้นลับที่เป็นสภาวะจิตเช่นที่ว่านี้
    ซึ่งเป็นสภาวะจิตที่ในอดีตมีแต่นักบุญหรือผู้ปฏิบัติธรรมที่คร่ำเคร่งจำนวนน้อยนิดเท่านั้นที่จะได้รับ
    และผู้คนจำนวนมากจะเริ่มกล่าวขวัญถึงสภาวะจิตประเภทนี้กันมากขึ้น
    ราวกับไม่ใช่เรื่องไกลสุดเอื้อมอีกต่อไป
    ..................
    นอกจากนี้นะครับ ปัญญาโบราณอันที่ห้ายังบอกด้วยว่า
    ประสบการณ์เร้นลับอันนี้แหละ ที่จะเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้มนุษย์เลิกต่อสู้ขัดแย้งเบียดเบียนกันได้
    ทั้งนี้ก็เพราะว่า ในระหว่างที่ผู้คนประสบกับประสบการณ์เร้นลับอันนี้
    เขาจะได้พลังจากแหล่งอื่น ที่ไม่ใช่ของผู้อื่นดังที่เคยไปแย่งชิงมา”
    “ปัญญาโบราณอันที่ห้าบอกมั้ยครับว่า
    แหล่งอื่นที่คนเราสามารถได้พลังนี้ โดยไม่ต้องไปเบียดเบียนผู้อื่นนั้นมีอะไรบ้าง”
    “แหล่งแรกสุดเลยก็คือ อาหารที่เรารับประทานเข้าไป โดยเฉพาะจากพืช ผัก ผลไม้ครับ
    แต่การจะได้รับพลังจากอาหารทั้งหมดนั้น
    เราจะต้องมีจิตที่สำนึกขอบคุณมันในขณะที่เรากำลังรับประทานอาหารด้วย”
    “ทำยังไงครับ”
    “ก็ด้วยการเปิดใจให้กว้าง ตระหนักถึงความสัมพันธ์ที่อาหารผูกพันกับฟ้าในขณะที่เรารับประทานมันเข้าไป
    เมื่อสามารถเพิ่มพลังให้แก่ตัวเองด้วยวิธีรับประทานอาหารแบบนี้แล้ว
    ต่อไปเราจะมีสัมผัสที่ไวขึ้นต่อพลังที่อยู่ในสิ่งต่างๆ
    และเราจะสามารถดูดซับพลังจากสิ่งเหล่านั้นเข้ามาสู่ตัวเราได้
    โดยไม่ต้องการทานอาหารหรือทานอาหารน้อยลง”
    “นอกจากอาหารแล้ว มีสิ่งใดบ้างที่เราสามารถรับพลังได้โดยง่ายด้วยครับ”
    “ต้นไม้ครับ ในขณะที่ผมมีประสบการณ์เร้นลับนั้น
    ผมรู้สึกว่าทิวทัศน์ทั้งหมดที่อยู่รอบตัวผมในขณะนั้นได้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของผม
    ผมรู้สึกรักมันไปหมดเลยครับ
    เหมือนกับที่ผมรักตัวเอง
    หลังจากนั้นเป็นต้นมา ผมได้ลองมีความรู้สึกเช่นนั้นกับต้นไม้ดู แล้วผมก็ได้รับพลังจากมัน”
    “เดี๋ยวก่อนครับ ความรักน่าจะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ
    ไม่น่าจะเป็นสิ่งที่ตั้งใจทำหรือลองทำขึ้นมาไม่ใช่หรือครับ”
    “ก็ไม่เชิงตั้งใจที่จะรักหรอกครับ
    เพียงแต่ผมยอมให้ความรักโผบินเข้ามาสู่ตัวผมในขณะที่อยู่ต่อหน้าต้นไม้
    มันเป็นความรู้สึกเดียวกับความรู้สึกของเด็กเล็กที่มีต่อมารดาของเขา
    และเป็นความรู้สึกเดียวกับที่ผมเคยมีต่อสาวน้อยคนหนึ่งในขณะที่ผมยังเป็นวัยรุ่นอยู่ครับ
    มันเป็นความรู้สึกเดียวกันจริงๆ”
    “หลังจากผ่านประสบการณ์เร้นลับนั้นแล้ว มันเกิดซ้ำอีกมั้ยครับ”
    “ประสบการณ์เร้นลับครั้งแรกนั้น มันเป็นประสบการณ์แบบที่เซนเขาเรียกว่า ซาโตริ ครับ
    มันทำให้ผมมองโลกเปลี่ยนไปจากเดิม
    หลังจากนั้นผมก็ค่อยๆ เรียนรู้วิธีที่จะสร้างประสบการณ์เช่นนั้นให้เกิดขึ้นมาอีกด้วยตัวของผมเองครับ
    ผมยังได้ตระหนักอีกว่า
    ในขณะที่ผมรับพลังจากต้นไม้นั้น ผมก็ได้ให้พลังแก่ต้นไม้ด้วยเช่นกัน
    กล่าวคือ เราทั้งคู่ต่างมีพลังเพิ่มขึ้นทั้งสองฝ่าย ทั้งตัวผมและต้นไม้ครับ”
    “ผมเข้าใจแล้วครับว่า ปัญญาโบราณอันที่ห้าต้องการจะบอกแก่พวกเราว่า
    หากเราเปิดใจออกรับความรักจากสรรพสิ่ง
    จักรวาลหรือฟ้าจะให้ทุกสิ่งทุกอย่างที่จำเป็นแก่ตัวเราในการดำเนินชีวิตในทางที่ถูกที่ควร”
    “ถูกแล้วครับ เมื่อเราได้รับพลังจากจักรวาลและสั่งสมมันเอาไว้เรื่อยๆ
    จนถึงระดับหนึ่งที่ปริมาณเปลี่ยนไปเป็นคุณภาพ
    คุณจะกลายเป็นคนใหม่ไปโดยไม่รู้ตัว
    คุณจะใช้ชีวิตอยู่ในระดับพลังที่สูงขึ้นกว่าแต่ก่อน
    และอยู่ในระดับคลื่นที่สูงยิ่งขึ้นไปเรื่อยๆ
    คุณจะสามารถวิวัฒนาการตัวเอง พร้อมกับวิวัฒนาการจักรวาลไปด้วยในขณะเดียวกัน”


    “แต่การจะได้รับพลังงานจากจักรวาลอย่างถาวร
    คุณจะต้องข้ามอุปสรรคอีกอันหนึ่งก่อน ซึ่งเป็นคำสอนของปัญญาโบราณอันที่หก”
    “มีอุปสรรคอะไรที่จะต้องข้ามพ้นให้ได้ก่อนที่จะสามารถรับพลังจักรวาลครับ”
    ”แต่ละคนจะต้องพิจารณาทบทวนตัวเองว่า
    ตัวเองได้เล่นละครเป็นตัวอะไรในวัยเด็ก ในส่วนที่เกี่ยวกับการแย่งชิงพลังครับ”
    “ผมยังไม่ค่อยเข้าใจดีนักครับ”
    “พูดง่ายๆ ก็คือ คอนที่คุณอยู่ในวัยเด็กกับครอบครัวของคุณนั้น
    สมาชิกแต่ละคนในครอบครัวของคุณต่างเล่นละครตามบทของตน เพื่อดูดพลังจากเด็กทั้งสิ้น
    พอคุณเข้าใจความจริงในเรื่องนี้แล้ว คุณก็ต้องหาทางดึงพลังนั้นกลับมาให้ได้...
    ว่าแต่ว่าคุณพ่อของคุณเป็นคนยังไงครับ”
    “ท่านก็เป็นคนดีที่รักสนุกครับ ทำงานก็คล่องแคล่ว แต่.......”
    “แต่อะไรครับ”
    “ท่านมักจะหาเรื่องวิจารณ์หรือติโน่นตินี่ผมอยู่ตลอดเวลาครับ
    ท่านชอบตั้งคำถามให้ผมตอบ แล้วหาข้อผิดพลาดจากคำตอบของผมครับ”
    “แล้วตอนนั้น พลังของคุณเป็นอย่างไรบ้างครับ”
    “ผมรู้สึกเหนื่อยล้าครับ จึงพยายามที่จะไม่พูดคุยกับท่าน”
    “แสดงว่าคุณพ่อของคุณเล่นบทผู้ซักฟอก โดยคุณเอาแต่คอยหลีกเลี่ยงใช่มั้ยครับ
    การเป็นผู้ซักฟอกก็เป็นละครการครอบงำคนอื่นอีกประเภทหนึ่ง
    ที่ใช้การตั้งคำถามของตนเองเข้าไปแทรกแซงในโลกและชีวิตของคนอื่น
    หากคุณถูกดึงเข้าไปเล่นในละครนี้ เอาแต่คอยระแวงระวังตั้งรับ
    พลังของคุณก็จะถูกดูดออกไป...
    ในชีวิตจริง คนที่เล่นบทผู้ซักฟอกมีเยอะไปครับ ไม่เชื่อก็ลองสังเกตดูรอบๆ ตัวคุณซิครับ”
    “ปัญญาโบราณอันที่หก ได้จำแนกละครการครอบงำคนอื่น ออกเป็นกี่ประเภทครับ”
    “แบ่งออกเป็นสี่ประเภทครับ คือ
    ผู้ขู่เข็ญบังคับ ผู้ซักฟอก ผู้ยืนดูเฉยๆ และผู้รับเคราะห์ครับ
    ผู้รับเคราะห์ คือผู้ที่สูญเสียพลังจากการถูกครอบงำนั้น
    ผู้ยืนดูเฉยๆ คือผู้ที่พยายามตั้งรับให้สูญเสียพลังให้น้อยที่สุด”
    “ถ้าเช่นนั้นผมก็เล่นบทผู้ยืนดูเฉยๆ ในขณะที่พ่อแม่ของผมเล่นบทผู้ซักฟอกน่ะสิครับ”
    “ถูกแล้วครับ ผู้ซักฟอกเป็นผู้สร้าง ผู้ยืนดูเฉยๆ และผู้ขู่เข็ญบังคับ ก็เป็นผู้สร้าง
    ให้เกิดผู้รับเคราะห์ครับ
    และในทางกลับกัน ผู้ที่เล่นบทผู้ยืนดูเฉยๆ ก็เป็นผู้สร้าง ผู้ซักฟอกด้วยเช่นกัน”
    “ในกรณีที่ผู้ขู่เข็ญบังคับไม่สามารถสร้างผู้รับเคราะห์ขึ้นมาได้อย่างราบรื่นล่ะครับ อะไรจะเกิดขึ้น”
    “ก็จะเกิดผู้ขู่เข็ญบังคับอีกคนขึ้นมาน่ะสิครับ
    จำภาพยนตร์เรื่อง Dead Poet Society ได้มั้ยครับ
    พ่อของนักเรียนในเรื่องที่ตอนหลังฆ่าตัวตายนั้นก็คือผู้ขู่เข็ญบังคับ
    ส่วนตัวนักเรียนที่ฆ่าตัวตายคือ ผู้รับเคราะห์ครับ”
    “ผมควรจะทำอย่างไรดีครับ”
    “คุณต้องชำระอดีตของตัวคุณก่อนครับว่า ละครการครอบงำที่พ่อแม่คุณแสดงกับคุณนั้นเป็นอย่างไร”
    “ท่านเป็นผู้ซักฟอกทั้งคู่ครับ จึงทำให้ผมโตขึ้นมาเป็นผู้ยืนดูเฉยๆ”
    “ดีครับ ต่อจากนั้นคุณต้องค้นหาเหตุผลที่แท้จริงให้ได้ว่า
    ทำไมคุณถึงต้องเกิดมาเป็นลูกของพ่อแม่คู่นี้ เพื่อการพัฒนาทางจิตวิญญาณของคุณในแง่ใด
    เพราะชีวิตทางจิตวิญญาณของคุณในแต่ละชาตินั้น
    มันเป็นกระบวนการที่ยาวนานมากและสืบเนื่องกัน
    คุณต้องหาความหมายทางจิตวิญญาณในชาตินี้ของคุณให้พบ”

    “แม่ผมท่านเป็นคนเคร่งศาสนา ผมจึงได้เรียนรู้ปัญหาของจิตวิญญาณจากท่าน
    ส่วนพ่อผมเป็นคนรักสนุก ผมจึงได้เรียนรู้ว่าชีวิตคือการผจญภัยกับสิ่งท้าทายจากท่านครับ
    อ้อ...หากพ่อของเราเป็นคนเกียจคร้านหรือเป็นคนโกงล่ะครับ
    เราจะได้เรียนรู้อะไรได้ในเชิงจิตวิญญาณล่ะครับ”
    “เราก็เรียนรู้ได้ในเชิงบทเรียนทางด้านกลับไงครับ
    ยกตัวอย่างเช่น หากท่านเป็นคนเกียจคร้าน คุณก็จะได้เรียนรู้ความสำคัญของความมีวิริยะอุตสาหะ
    หรือหากท่านเป็นคนโกง คุณก็จะได้เรียนรู้คุณค่าของความซื่อสัตย์
    ที่มีต่อการเจริญเติบโตทางจิตวิญญาณของคุณในชาตินี้ครับ
    ....................

     
  10. panseak

    panseak Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    33
    ค่าพลัง:
    +30
    “ปัญญาโบราณอันที่สามได้บอกอะไรบ้างครับ”
    “ความรับรู้ใหม่เกี่ยวกับโลกทางวัตถุ จะทำให้มนุษย์ค้นพบพลังที่มองไม่เห็น หรือพลังภายใน พลังจักรวาล”
    “หมายถึง แควนตัมฟิสิกส์ใช่ไหมครับ”
    “ใช่แล้วครับ หลักการทางแควนตัมที่เพิ่งค้นพบไม่กี่สิบปีมานี้ทำให้เราได้รู้ความจริงว่า
    กลไกการทำงานของธรรมชาติในระดับที่ละเอียดที่สุด การเกิดขึ้น การดำรงอยู่
    และการแปรเปลี่ยนไปของสรรพสิ่งทั้งหลายในโลกหรือดวงดาว
    เมื่อพิจารณาจุดที่ย่อยละเอียดที่สุดแล้ว ล้วนเป็นการทำงานด้วยกลไกแควนตัมทั้งสิ้น
    คุณยอมรับมั้ยละครับว่า อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ คืออัจฉริยะคนสำคัญที่สุดคนหนึ่งแห่งศตวรรษนี้”
    “แน่นอนครับ”
    “เขาได้สรุปรวบยอดความรู้แห่งแควนตัมออกมาในปี ค.ศ.๑๙๓๕ หรือเมื่อหกสิบปีก่อนว่า
    มนุษย์เราเป็นส่วนเล็กน้อยของความเป็นหนึ่งเดียวที่ยิ่งใหญ่ที่เรียกว่า จักรวาล
    ส่วนเล็กน้อยที่ว่านี้ดำรงอยู่ในขอบเขตของรูปกาย ของสถานที่ ของเวลาที่จำกัดยิ่ง
    ด้วยขอบเขตที่จำกัดดังกล่าว มนุษย์จึงยึดมั่นต่อความรู้ที่เขาได้มาจากประสบการณ์ที่จำกัดเช่นเดียวกัน
    ประสบการณ์ที่เกี่ยวข้องเฉพาะตัวของเขา ความคิดของเขา ความต้องการและความรู้สึกของเขา
    ................
    ทั้งหมดนี้เป็นเช่นการใส่แว่นลวงตาที่บดบังจิตวิญญาณ
    มนุษย์จึงเบี่ยงเบนตัวเอง แบ่งแยกตัวเองออกจากสิ่งต่างๆ รอบตัวเขา
    และภาพลวงตานี้เองที่เป็นคุกตะรางจองจำมนุษย์เอาไว้
    บังคับให้มนุษย์อยู่กับกิเลสตัณหาเพื่อตัวเองหรือเพื่อคนเพียงไม่กี่คนที่สนิทชิดเชื้อเท่านั้น
    งานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของมนุษย์ทุกคนจึงอยู่ที่การปลดปล่อยตัวเองจากที่คุมขังนี้”
    “ครับ”
    “ไอน์สไตน์ยังบอกอีกว่า
    ที่สุดของที่สุดของอนุภาคนั้นคือ พลัง หรือ พลังงาน
    มิหนำซ้ำพฤติกรรมของผู้สังเกตการณ์เกี่ยวกับอนุภาคอันนี้ยังสามารถมีผลสะเทือนต่อ
    การเปลี่ยนแปลงผลลัพธ์ของการเคลื่อนไหวของอนุภาคด้วย
    ซึ่งนี่ก็หมายความว่า
    เจตนารมณ์ของมนุษย์นั้นสามารถโน้มน้าวพลังได้
    และพลังนี้จะไปส่งผลสะเทือนต่อโลก ต่อวัตถุ และพลังอื่นๆ อีกทีหนึ่ง”

    “ก็แสดงว่าคำทำนายโบราณประการที่สามที่ว่า จะเกิดการเปลี่ยนแปลงในโลกทัศน์เกี่ยวกับฟิสิกส์
    ก็ถูกต้องแล้วสิครับ”
    “แค่เปลี่ยนวิธีคิดเกี่ยวกับฟิสิกส์เท่านั้นยังไม่พอหรอกครับ
    คำทำนายยังบอกอีกว่า
    มนุษย์คงจะยังค้นพบพลังจักรวาลได้ก่อนสิ้นศตวรรษนี้ด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ครับ”
    “ความจริงถึงไม่ต้องใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์
    คนเราก็สามารถสัมผัสพลังจักรวาลนี้ได้โดยการฝึกวิชาลมปราณของศาสตร์ตะวันออกไม่ใช่หรือครับ”
    “นั่นก็ใช่ครับ แต่นักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่ยังไม่ยอมรับวิธีการโบราณแบบตะวันออกนี้นี่ครับ”
    “แล้วจะค้นคว้ายังไงดีล่ะครับ”
    “............. คงต้องเริ่มจากการค้นคว้าเกี่ยวกับแหล่งหรือที่มาของพลังนี้
    ซึ่งที่ค้นคว้าได้ง่ายหน่อย
    ก็คงจะเป็นพลังที่ถูกปล่อยออกมาจากป่าหรือต้นไม้ใหญ่ที่มีอายุหลายสิบหรือหลายร้อยปีครับ”
    “ถึงยังพิสูจน์วัดพลังนี้ในทางวิทยาศาสตร์ไม่ได้
    แต่พวกเราทุกคนคงเคยมีประสบการณ์ไม่ใช่หรือครับที่เข้าไปใกล้ต้นไม้ใหญ่ๆ แล้วจะรู้สึกสดชื่นขึ้นมาทันที
    นั่นแหละครับ คือพลังที่พวกเราได้รับจากต้นไม้ใหญ่”
    “แต่มนุษย์สมัยนี้กลับทำลายต้นไม้ใหญ่ในป่าจนเหลือน้อยลงทุกทีๆ ด้วยความละโมบ
    ทั้งๆ ที่ป่าเป็นต้นตอของพลังจักรวาล นอกเหนือไปจากดวงอาทิตย์ แม่น้ำ และทะเล
    ตอนนี้ไม่ใช่แค่ป่าเท่านั้นที่ถูกทำร้าย
    ทะเลและแม่น้ำที่เป็นแหล่งพลังอีกแหล่งหนึ่งก็แปดเปื้อนไปด้วยมลพิษสิ่งโสโครกที่เกิดจากเงื้อมมือมนุษย์
    ...................
    ส่วนดวงอาทิตย์ที่ให้พลังแก่เราเช่นกัน
    ก็กำลังถูกปิดกั้นโดยภาวะเรือนกระจกที่เกิดจากการเผาผลาญน้ำมัน
    ผมรู้สึกหดหู่จริงๆ ครับ ที่พวกมนุษย์กำลังทำลายแหล่งพลังของตัวเองด้วยความโง่เขลาเบาปัญญา
    ปัญญาโบราณอันที่สามยังได้บอกอีกว่า
    เมื่อไรก็ตามที่พวกเราได้สติ แลเห็นถึงความงามของธรรมชาติอีกครั้งอย่างแท้จริง
    พวกเราจะเริ่มหันมาค้นคว้าแหล่งพลังงานนี้อย่างจริงจัง”
    “น่าเสียดายนะครับที่กลุ่มคนที่สนใจค้นคว้าและฝึกฝนปฏิบัติพลังนี้อย่างเอาจริงเอาจัง
    ยังเป็นแค่คนส่วนน้อยของสังคมเท่านั้น”
    “ตรงนี้แหละครับที่ทำให้ผมเป็นห่วงว่าความคิดที่ร้ายๆ ของคนส่วนใหญ่
    จะชักนำพลังไปในทิศทางที่ร้ายกาจรุนแรงต่อโลกวัตถุใบนี้
    ซึ่งเริ่มสำแดงอาการออกมาแล้วในรูปของภัยพิบัติทางธรรมชาติรูปแบบต่างๆ ที่กำลังเกิดขึ้นถี่มากทั่วทุกมุมโลก”

    “ปัญญาโบราณอันที่สี่ กล่าวถึง การแย่งชิงพลังของผู้คน”
    “แย่งชิงพลังหรือครับ”
    “ใช่แล้วครับ คำทำนายโบราณประการที่สี่ได้บันทึกไว้ว่า
    ในที่สุดมนุษย์ก็จะเข้าใจได้ว่า พวกเขาธำรงอยู่ได้ก็ด้วยพลังจักรวาล
    อันเป็นพลังที่พลวัติ ที่ค้ำจุนพวกเขา และตอบสนองต่อความคาดหวังของเขา
    และพวกเขาจะตระหนักได้ว่า
    สาเหตุที่พวกเขาอ่อนแอลง รู้สึกว่าขาดความมั่นคงในจิตใจเหมือนกับขาดอะไรไปบางอย่าง
    ก็เพราะพวกเขาได้ตัดขาดตัวเองจากต้นตออันยิ่งใหญ่ของพลังจักรวาลนี่เอง”
    “นี่ก็หมายความว่า เท่าที่ผ่านมา เมื่อมนุษย์รู้สึกว่าตัวเองขาดพลัง
    แทนที่เขาจะกลับไปหาต้นตอของพลังที่ไม่มีวันสิ้นสุด
    เขากลับพยายามเพิ่มพลังของตัวเขาด้วยการแย่งชิงพลังมาจากคนอื่น
    ในเชิงจิตวิทยา เกิดสภาพการแข่งขัน ช่วงชิงพลังของกันและกันโดยไม่รู้ตัว
    ซึ่งกลายเป็นที่มาของการต่อสู้ขัดแย้งของผู้คนทั่วโลกใช่มั้ยครับ”
    “ผมเคยศึกษาปัญหาว่า
    ทำไมคนเราต่างฝ่ายต่างก็ชอบใช้ความรุนแรงกับคนอื่น ไม่ว่าทางกาย วาจา ใจ
    แล้วผมก็พบว่า ความรู้สึกเหล่านี้มาจากความอยาก
    หรือแรงกระตุ้นข้างในของคนที่ต้องการอยู่เหนือคนอื่น หรือครอบงำคนอื่นนั่นเอง
    ........................
    เมื่อติดตามศึกษาดูในขณะที่คนๆ หนึ่งเข้าไปพูดจากับคนอีกคนหนึ่ง
    อันเป็นปรากฏการณ์ธรรมดาที่เกิดขึ้นทุกวันทั่วโลก วันละเป็นพันล้านครั้งนี้
    ภายในใจของคนผู้นั้น เขาเกิดความรู้สึกเช่นใด
    และผมก็ได้คำตอบว่า มันจะเกิดอย่างใดอย่างหนึ่งในสองอย่างนี้ในระหว่างสองคนนั้น
    คือถ้าไม่รู้สึกว่าตัวเองได้พลังเพิ่มขึ้น ก็รู้สึกว่าตัวเองสูญพลังไป อย่างใดอย่างหนึ่งนี้
    .......................
    พูดง่ายๆ ก็คือ การที่คนเราพยายามทำตนเหนือกว่าคนอื่นนั้น
    หาใช่เพราะมีเป้าหมายรูปธรรมทางวัตถุภายนอกเท่านั้น
    แต่เพราะต้องการได้ความสะใจหรือคะนองใจด้วย
    และที่ร้ายก็คือปัญหาความรุนแรงต่อจิตใจนี้
    มักเกิดขึ้นในครอบครัวก่อน โดยเฉพาะพ่อแม่ที่กระทำต่อลูกตั้งแต่วัยเด็ก”
    “หมายความว่ายังไงครับ”
    “พ่อแม่บางคนชอบครอบงำลูกโดยคิดว่านั่นคือความรัก
    แต่จริงๆ แล้ว ไม่ใช่เลย
    เด็กที่ถูกพ่อแม่พยายามครอบงำจะกลายเป็นเด็กที่มีบาดแผลในจิตใจ
    ครั้นเมื่อเขาโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ก็จะกลายเป็นคนที่ชอบควบคุมและครอบงำคนอื่นไปโดยไม่รู้ตัว
    ดุจเดียวกับพ่อแม่ของเขา โดยเฉพาะเขาจะชอบครอบงำคนที่อยู่ในฐานะที่อ่อนแอกว่าเขา
    .......................
    เพราะคนเราเมื่อได้รับความบีบคั้นทางจิตใจมากๆ จะแสดงออกด้วยความรุนแรงกลับไป
    ด้วยเหตุนี้เอง ความรุนแรงทางจิตใจจึงได้รับการสืบทอดจากคนรุ่นหนึ่งไปสู่คนอีกรุ่นหนึ่ง
    รุ่นแล้วรุ่นเล่า
    ลองคิดดูซิครับว่า ในสังคมหนึ่งจะมีพ่อแม่ประเภทนี้อยู่เป็นจำนวนมากมายขนาดไหน
    คนที่ชอบครอบงำคนอื่นนั้น แท้ที่จริงแล้วก็คือคนที่มีบาดแผลในจิตใจเช่นกัน”
    “ถ้ามองจากมุมมองของภูมิปัญญาโบราณอันที่สี่
    ในขณะที่คนๆ หนึ่งกำลังครอบงำคนอีกคนหนึ่ง ขณะนี้เขากำลังดูดพลังจากคนๆ นั้น
    เป็นการเติมพลังให้แก่ตัวเองให้เต็ม บนความสูญเสียของคนอื่น ใช่มั้ยครับ
    และนี่คือสิ่งที่เป็นแรงกระตุ้นภายในให้เกิดการใช้ความรุนแรงทางจิตใจต่อคนอื่นใช่มั้ยครับ”
    “ใช่ครับ ในขณะที่ปัญญาโบราณอันที่สามบอกกับเราว่า
    จักรวาลทั้งหมดดำรงอยู่ได้ด้วยพลังนี้
    และพวกเราเหล่ามนุษย์ได้ใช้พลังนี้ในการส่งผลสะเทือนต่อสรรพสิ่งรอบๆ ตัวเรา
    ส่วนปัญญาโบราณอันที่สี่
    ได้ชี้ให้พวกเราแลเห็นถึงปัญหาที่เกิดจากการที่พวกเราได้ตัดขาดตัวเองจากต้นตอของพลังจักรวาล
    จึงต้องหันมาแย่งชิงเบียดเบียนพลังของมนุษย์และสิ่งอื่นๆ ที่ไม่ใช่ต้นตอแทน
    ......................
    แต่ผมไม่คิดว่าผู้คนส่วนใหญ่จะเข้าใจในประเด็นนี้หรอกครับ
    พวกเขารู้ว่า การได้ครอบงำคนอื่นนั้นเป็นเรื่องที่สะใจตัวเองก็จริง สร้างความพึงพอใจให้แก่ตัวเองได้จริง
    แต่พวกเขาแทบไม่เคยเฉลียวใจเลยว่า
    ความสะใจ หรือความพึงพอใจนี้มาจากการสูญเสียของผู้อื่น
    ผู้คนส่วนใหญ่แย่งชิงพลังของคนอื่นมาโดยไม่รู้ตัว
    แล้วยังมีหน้ามาแสวงหาพลังนี้จากคนอื่นต่อไปอีกจนชั่วชีวิต
    ในรูปของความสำเร็จ ความมั่นคง อำนาจ การยอมรับของสังคม”
    “.......”
    “อ้อ...ปัญญาโบราณอันที่สี่ยังบอกอีกว่า
    ผู้ที่จะเข้าใจปัญญาอันที่สี่นี้ก็คือผู้ที่มองออกว่า
    โลกมนุษย์นี้นั้นที่แท้ก็คือ สนามแข่งขันอันมโหฬาร
    ที่ผู้เข้าแข่งขันต่างพยายามแย่งชิงพลังและอำนาจของกันและกันนั่นเอง
    .................
    และเมื่อใดก็ตามที่เราเข้าใจอย่างแท้จริงถึงความหมายที่แท้จริงของการแข่งขันต่อสู้ของตัวเรา
    ในโลกนี้หรือในสังคมนี้
    เราก็จะสามารถเริ่มข้ามพ้นการทะเลาะเบาะแว้งเบียดเบียนอันนี้ไปได้
    และเราจะสามารถเป็นอิสระจากการแย่งชิงพลังของคนอื่น
    เพราะเราจะรู้สึกได้ว่า มีแหล่งพลังอื่นที่ยิ่งใหญ่เหลือเกิน และไม่มีวันสิ้นสุด
    ที่เราสามารถได้รับพลังมาได้อยู่ตลอดเวลา”


    “ปัญญาโบราณอันที่ห้า กล่าวถึงเรื่องอะไรครับ”
    “กล่าวถึงประสบการณ์เร้นลับของปัจเจกครับ”
    “ประสบการณ์ยังไงครับ”
    “อธิบายเป็นคำพูดยากครับ
    เอาเป็นว่ามันเป็นความรู้สึกเป็นสุขที่ได้รู้สึกว่าตัวเองผูกพันและสัมพันธ์กับทุกสรรพสิ่ง
    บวกกับความรู้สึกอบอุ่นในใจ มั่นคงในจิตใจ และไม่เกิดความรู้สึกเหนื่อยล้าอีกเลยครับ”

    “ท่านมีประสบการณ์เช่นที่ว่านี้ที่ไหนครับ”
    “............ ในป่าทึบบนยอดเขาครับ
    อ้อ.... ปัญญาโบราณอันที่ห้ายังบอกอีกว่า ในช่วงยี่สิบปีสุดท้ายของศตวรรษที่ยี่สิบนี้
    จะมีผู้คนจำนวนไม่น้อยที่สามารถมีโอกาสได้รับประสบการณ์เร้นลับที่เป็นสภาวะจิตเช่นที่ว่านี้
    ซึ่งเป็นสภาวะจิตที่ในอดีตมีแต่นักบุญหรือผู้ปฏิบัติธรรมที่คร่ำเคร่งจำนวนน้อยนิดเท่านั้นที่จะได้รับ
    และผู้คนจำนวนมากจะเริ่มกล่าวขวัญถึงสภาวะจิตประเภทนี้กันมากขึ้น
    ราวกับไม่ใช่เรื่องไกลสุดเอื้อมอีกต่อไป
    ..................
    นอกจากนี้นะครับ ปัญญาโบราณอันที่ห้ายังบอกด้วยว่า
    ประสบการณ์เร้นลับอันนี้แหละ ที่จะเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้มนุษย์เลิกต่อสู้ขัดแย้งเบียดเบียนกันได้
    ทั้งนี้ก็เพราะว่า ในระหว่างที่ผู้คนประสบกับประสบการณ์เร้นลับอันนี้
    เขาจะได้พลังจากแหล่งอื่น ที่ไม่ใช่ของผู้อื่นดังที่เคยไปแย่งชิงมา”
    “ปัญญาโบราณอันที่ห้าบอกมั้ยครับว่า
    แหล่งอื่นที่คนเราสามารถได้พลังนี้ โดยไม่ต้องไปเบียดเบียนผู้อื่นนั้นมีอะไรบ้าง”
    “แหล่งแรกสุดเลยก็คือ อาหารที่เรารับประทานเข้าไป โดยเฉพาะจากพืช ผัก ผลไม้ครับ
    แต่การจะได้รับพลังจากอาหารทั้งหมดนั้น
    เราจะต้องมีจิตที่สำนึกขอบคุณมันในขณะที่เรากำลังรับประทานอาหารด้วย”
    “ทำยังไงครับ”
    “ก็ด้วยการเปิดใจให้กว้าง ตระหนักถึงความสัมพันธ์ที่อาหารผูกพันกับฟ้าในขณะที่เรารับประทานมันเข้าไป
    เมื่อสามารถเพิ่มพลังให้แก่ตัวเองด้วยวิธีรับประทานอาหารแบบนี้แล้ว
    ต่อไปเราจะมีสัมผัสที่ไวขึ้นต่อพลังที่อยู่ในสิ่งต่างๆ
    และเราจะสามารถดูดซับพลังจากสิ่งเหล่านั้นเข้ามาสู่ตัวเราได้
    โดยไม่ต้องการทานอาหารหรือทานอาหารน้อยลง”
    “นอกจากอาหารแล้ว มีสิ่งใดบ้างที่เราสามารถรับพลังได้โดยง่ายด้วยครับ”
    “ต้นไม้ครับ ในขณะที่ผมมีประสบการณ์เร้นลับนั้น
    ผมรู้สึกว่าทิวทัศน์ทั้งหมดที่อยู่รอบตัวผมในขณะนั้นได้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของผม
    ผมรู้สึกรักมันไปหมดเลยครับ
    เหมือนกับที่ผมรักตัวเอง
    หลังจากนั้นเป็นต้นมา ผมได้ลองมีความรู้สึกเช่นนั้นกับต้นไม้ดู แล้วผมก็ได้รับพลังจากมัน”
    “เดี๋ยวก่อนครับ ความรักน่าจะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ
    ไม่น่าจะเป็นสิ่งที่ตั้งใจทำหรือลองทำขึ้นมาไม่ใช่หรือครับ”
    “ก็ไม่เชิงตั้งใจที่จะรักหรอกครับ
    เพียงแต่ผมยอมให้ความรักโผบินเข้ามาสู่ตัวผมในขณะที่อยู่ต่อหน้าต้นไม้
    มันเป็นความรู้สึกเดียวกับความรู้สึกของเด็กเล็กที่มีต่อมารดาของเขา
    และเป็นความรู้สึกเดียวกับที่ผมเคยมีต่อสาวน้อยคนหนึ่งในขณะที่ผมยังเป็นวัยรุ่นอยู่ครับ
    มันเป็นความรู้สึกเดียวกันจริงๆ”
    “หลังจากผ่านประสบการณ์เร้นลับนั้นแล้ว มันเกิดซ้ำอีกมั้ยครับ”
    “ประสบการณ์เร้นลับครั้งแรกนั้น มันเป็นประสบการณ์แบบที่เซนเขาเรียกว่า ซาโตริ ครับ
    มันทำให้ผมมองโลกเปลี่ยนไปจากเดิม
    หลังจากนั้นผมก็ค่อยๆ เรียนรู้วิธีที่จะสร้างประสบการณ์เช่นนั้นให้เกิดขึ้นมาอีกด้วยตัวของผมเองครับ
    ผมยังได้ตระหนักอีกว่า
    ในขณะที่ผมรับพลังจากต้นไม้นั้น ผมก็ได้ให้พลังแก่ต้นไม้ด้วยเช่นกัน
    กล่าวคือ เราทั้งคู่ต่างมีพลังเพิ่มขึ้นทั้งสองฝ่าย ทั้งตัวผมและต้นไม้ครับ”
    “ผมเข้าใจแล้วครับว่า ปัญญาโบราณอันที่ห้าต้องการจะบอกแก่พวกเราว่า
    หากเราเปิดใจออกรับความรักจากสรรพสิ่ง
    จักรวาลหรือฟ้าจะให้ทุกสิ่งทุกอย่างที่จำเป็นแก่ตัวเราในการดำเนินชีวิตในทางที่ถูกที่ควร”
    “ถูกแล้วครับ เมื่อเราได้รับพลังจากจักรวาลและสั่งสมมันเอาไว้เรื่อยๆ
    จนถึงระดับหนึ่งที่ปริมาณเปลี่ยนไปเป็นคุณภาพ
    คุณจะกลายเป็นคนใหม่ไปโดยไม่รู้ตัว
    คุณจะใช้ชีวิตอยู่ในระดับพลังที่สูงขึ้นกว่าแต่ก่อน
    และอยู่ในระดับคลื่นที่สูงยิ่งขึ้นไปเรื่อยๆ
    คุณจะสามารถวิวัฒนาการตัวเอง พร้อมกับวิวัฒนาการจักรวาลไปด้วยในขณะเดียวกัน”


    “แต่การจะได้รับพลังงานจากจักรวาลอย่างถาวร
    คุณจะต้องข้ามอุปสรรคอีกอันหนึ่งก่อน ซึ่งเป็นคำสอนของปัญญาโบราณอันที่หก”
    “มีอุปสรรคอะไรที่จะต้องข้ามพ้นให้ได้ก่อนที่จะสามารถรับพลังจักรวาลครับ”
    ”แต่ละคนจะต้องพิจารณาทบทวนตัวเองว่า
    ตัวเองได้เล่นละครเป็นตัวอะไรในวัยเด็ก ในส่วนที่เกี่ยวกับการแย่งชิงพลังครับ”
    “ผมยังไม่ค่อยเข้าใจดีนักครับ”
    “พูดง่ายๆ ก็คือ คอนที่คุณอยู่ในวัยเด็กกับครอบครัวของคุณนั้น
    สมาชิกแต่ละคนในครอบครัวของคุณต่างเล่นละครตามบทของตน เพื่อดูดพลังจากเด็กทั้งสิ้น
    พอคุณเข้าใจความจริงในเรื่องนี้แล้ว คุณก็ต้องหาทางดึงพลังนั้นกลับมาให้ได้...
    ว่าแต่ว่าคุณพ่อของคุณเป็นคนยังไงครับ”
    “ท่านก็เป็นคนดีที่รักสนุกครับ ทำงานก็คล่องแคล่ว แต่.......”
    “แต่อะไรครับ”
    “ท่านมักจะหาเรื่องวิจารณ์หรือติโน่นตินี่ผมอยู่ตลอดเวลาครับ
    ท่านชอบตั้งคำถามให้ผมตอบ แล้วหาข้อผิดพลาดจากคำตอบของผมครับ”
    “แล้วตอนนั้น พลังของคุณเป็นอย่างไรบ้างครับ”
    “ผมรู้สึกเหนื่อยล้าครับ จึงพยายามที่จะไม่พูดคุยกับท่าน”
    “แสดงว่าคุณพ่อของคุณเล่นบทผู้ซักฟอก โดยคุณเอาแต่คอยหลีกเลี่ยงใช่มั้ยครับ
    การเป็นผู้ซักฟอกก็เป็นละครการครอบงำคนอื่นอีกประเภทหนึ่ง
    ที่ใช้การตั้งคำถามของตนเองเข้าไปแทรกแซงในโลกและชีวิตของคนอื่น
    หากคุณถูกดึงเข้าไปเล่นในละครนี้ เอาแต่คอยระแวงระวังตั้งรับ
    พลังของคุณก็จะถูกดูดออกไป...
    ในชีวิตจริง คนที่เล่นบทผู้ซักฟอกมีเยอะไปครับ ไม่เชื่อก็ลองสังเกตดูรอบๆ ตัวคุณซิครับ”
    “ปัญญาโบราณอันที่หก ได้จำแนกละครการครอบงำคนอื่น ออกเป็นกี่ประเภทครับ”
    “แบ่งออกเป็นสี่ประเภทครับ คือ
    ผู้ขู่เข็ญบังคับ ผู้ซักฟอก ผู้ยืนดูเฉยๆ และผู้รับเคราะห์ครับ
    ผู้รับเคราะห์ คือผู้ที่สูญเสียพลังจากการถูกครอบงำนั้น
    ผู้ยืนดูเฉยๆ คือผู้ที่พยายามตั้งรับให้สูญเสียพลังให้น้อยที่สุด”
    “ถ้าเช่นนั้นผมก็เล่นบทผู้ยืนดูเฉยๆ ในขณะที่พ่อแม่ของผมเล่นบทผู้ซักฟอกน่ะสิครับ”
    “ถูกแล้วครับ ผู้ซักฟอกเป็นผู้สร้าง ผู้ยืนดูเฉยๆ และผู้ขู่เข็ญบังคับ ก็เป็นผู้สร้าง
    ให้เกิดผู้รับเคราะห์ครับ
    และในทางกลับกัน ผู้ที่เล่นบทผู้ยืนดูเฉยๆ ก็เป็นผู้สร้าง ผู้ซักฟอกด้วยเช่นกัน”
    “ในกรณีที่ผู้ขู่เข็ญบังคับไม่สามารถสร้างผู้รับเคราะห์ขึ้นมาได้อย่างราบรื่นล่ะครับ อะไรจะเกิดขึ้น”
    “ก็จะเกิดผู้ขู่เข็ญบังคับอีกคนขึ้นมาน่ะสิครับ
    จำภาพยนตร์เรื่อง Dead Poet Society ได้มั้ยครับ
    พ่อของนักเรียนในเรื่องที่ตอนหลังฆ่าตัวตายนั้นก็คือผู้ขู่เข็ญบังคับ
    ส่วนตัวนักเรียนที่ฆ่าตัวตายคือ ผู้รับเคราะห์ครับ”
    “ผมควรจะทำอย่างไรดีครับ”
    “คุณต้องชำระอดีตของตัวคุณก่อนครับว่า ละครการครอบงำที่พ่อแม่คุณแสดงกับคุณนั้นเป็นอย่างไร”
    “ท่านเป็นผู้ซักฟอกทั้งคู่ครับ จึงทำให้ผมโตขึ้นมาเป็นผู้ยืนดูเฉยๆ”
    “ดีครับ ต่อจากนั้นคุณต้องค้นหาเหตุผลที่แท้จริงให้ได้ว่า
    ทำไมคุณถึงต้องเกิดมาเป็นลูกของพ่อแม่คู่นี้ เพื่อการพัฒนาทางจิตวิญญาณของคุณในแง่ใด
    เพราะชีวิตทางจิตวิญญาณของคุณในแต่ละชาตินั้น
    มันเป็นกระบวนการที่ยาวนานมากและสืบเนื่องกัน
    คุณต้องหาความหมายทางจิตวิญญาณในชาตินี้ของคุณให้พบ”

    “แม่ผมท่านเป็นคนเคร่งศาสนา ผมจึงได้เรียนรู้ปัญหาของจิตวิญญาณจากท่าน
    ส่วนพ่อผมเป็นคนรักสนุก ผมจึงได้เรียนรู้ว่าชีวิตคือการผจญภัยกับสิ่งท้าทายจากท่านครับ
    อ้อ...หากพ่อของเราเป็นคนเกียจคร้านหรือเป็นคนโกงล่ะครับ
    เราจะได้เรียนรู้อะไรได้ในเชิงจิตวิญญาณล่ะครับ”
    “เราก็เรียนรู้ได้ในเชิงบทเรียนทางด้านกลับไงครับ
    ยกตัวอย่างเช่น หากท่านเป็นคนเกียจคร้าน คุณก็จะได้เรียนรู้ความสำคัญของความมีวิริยะอุตสาหะ
    หรือหากท่านเป็นคนโกง คุณก็จะได้เรียนรู้คุณค่าของความซื่อสัตย์
    ที่มีต่อการเจริญเติบโตทางจิตวิญญาณของคุณในชาตินี้ครับ
    ....................

     
  11. panseak

    panseak Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    33
    ค่าพลัง:
    +30

    พูดตรงๆ ก็คือ ไม่มีอะไรเลยที่เราเรียนรู้ไม่ได้ในทางจิตวิญญาณ
    และการที่คนเราเกิดมาเป็นลูกของพ่อแม่คู่ใด ก็ไม่ใช่เรื่องบังเอิญอย่างเด็ดขาด
    แต่คุณจะต้องหาความหมายของการเกิดมาเป็นลูกของคุณพ่อคุณแม่ของคุณในชาตินี้ให้พบ ให้จงได้
    เมื่อพบแล้ว คุณถึงจะสามารถเรียนรู้วิธีรับพลังจักรวาลได้อย่างราบรื่น
    เพราะคุณได้ชำระอดีตของคุณแล้วครับ”
    “แต่การจะชำระอดีตของตนเองได้
    คงต้องใช้เวลานานพอสมควรในการเรียนรู้และเข้าใจตนเองนะครับ”
    “ใช่ครับ ก่อนอื่นคนเราต้องให้เวลากับตัวเองในการเรียนรู้หัวใจและจิตวิญญาณของตัวเองครับ”

    “........ ผมอยากให้คุณลองสูดหายใจลึกๆ ในที่ที่อากาศดี
    ซึ่งมีแหล่งพลังจักรวาลจำนวนมากอย่างใต้ต้นไม้ใหญ่นี้
    แล้วคุณกลั้นลมหายใจสักห้าวินาที ก่อนที่จะหายใจออกดูสิครับ
    ถ้าทำเช่นนี้ แล้วทุกๆ ครั้งที่คุณสูดลมหายใจเข้าไป คุณจะได้รับพลังจักรวาลเข้าไปในตัว
    ดุจลูกโป่งที่อัดลมเข้าไป แล้วคุณจะรู้สึกว่าตัวเองเบาขึ้น”
    “ครับ”
    “พอสูดพลังจักรวาลเข้าไปแล้ว
    คราวนี้ คุณลองตรวจสอบอารมณ์และจิตใจของตัวเองดูว่า
    อยู่ในภาวะที่ดีงามหรือเป็นสัมมาหรือไม่
    เพราะตรงนี้แหละครับ ที่จะเป็นตัววัดว่า คุณสามารถเชื่อมต่อกับต้นตอของพลังจักรวาลได้จริงหรือไม่”
    “หมายถึงความรักที่ท่านเคยบอกแก่ผม ในตอนที่ท่านเคยมีประสบการณ์เร้นลับใช่มั้ยครับ”
    “ใช่ครับ ความรักในทัศนะของประสบการณ์เร้นลับ
    มันไม่ใช่สิ่งที่คิดด้วยสมอง และก็ไม่ใช่คำสอนในเชิงศีลธรรม
    แต่มันเป็นความรู้สึกที่เป็นพื้นฐานของจิตใจของคุณในตอนที่คุณเชื่อมกับพลังจักรวาลครับ
    และคุณก็จะรู้ว่า พลังนี้เป็นพลังของฟ้า หรือของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือของพระเจ้านั่นเอง

    .........................
    เมื่อใดก็ตามที่คุณเลิกเล่นละครการครอบงำบนโลกนี้
    ภาษาต่างๆ ที่ก่อตัวอยู่ในหัวสมองของคุณตามความเคยชิน มันจะหยุดทำงานชั่วขณะ
    ครั้นพอคุณได้รับพลังจักรวาลเข้ามาในตัวคุณ
    คราวนี้ ความคิดประเภทอื่นที่แตกต่างจากแต่ก่อนจะไหลเข้าสู่ตัวคุณจากที่สูงเบื้องบน
    กลายเป็นสัมผัสพิเศษของคุณครับ”

    “หมายความว่าในขั้นแรก ตัวผมจะต้องเริ่มสะสมพลังจักรวาลภายในตัวผมก่อน
    หลังจากที่ผมได้ชำระอดีตของตัวเองไปแล้วใช่ไหมครับ”
    “ครับ ปัญญาโบราณอันที่เจ็ดกล่าวไว้ว่า
    พอคนเราเริ่มสะสมพลัง
    เขาจะเริ่มตระหนักถึงเป้าหมายของชีวิตของเขาที่ได้รับมาจากพ่อแม่
    ซึ่งเชื่อมกับกระบวนการวิวัฒนาการของตัวคุณทั้งหมด นับเป็นร้อยๆ พันๆ ชาติ
    จากนั้นเขาจะเรียนรู้จากปัญหาเล็กๆ ในชีวิตประจำวัน
    เพื่อเข้าสู่ใจกลางของเส้นทางแห่งชีวิตของคุณ ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่สุดครับ”
    “ยังงั้นหรือครับ”
    “สิ่งที่ยากในชีวิตของเรา ไม่ใช่การได้รับคำตอบหรอกครับ
    แต่คือการรับรู้ปัญหาขณะนี้ของเราอย่างมีสติรู้ตัวอยู่เสมอต่างหากครับ

    เพราะถ้ารู้อย่างถูกต้อง ว่าอะไรคือปัญหาแล้ว
    ย่อมหาคำตอบได้อย่างแน่นอนครับ”
    “...............”
    “เมื่อไรก็ตามที่คุณสามารถมีสภาวะแห่งความรักที่เชื่อมต่อกับพลังจักรวาลได้แล้ว
    ไม่ว่าสิ่งใด หรือผู้ใดก็ตาม ก็ไม่สามารถแย่งชิงพลังนี้ไปจากคุณ
    ในระดับที่เกินกว่าคุณจะเสริมเติมใหม่ให้แก่ตัวเองได้

    พลังที่หลั่งไหลออกจากตัวคุณไปเป็นกระแสเท่าใด
    มันก็จะไหลกลับเข้ามาหาคุณ อยู่ในตัวคุณด้วยความเร็วเท่านั้น
    พลังของคุณจะไม่มีการเหือดแห้งอับเฉา
    แต่คุณจะอยู่ในกระแสแห่งพลังเช่นนี้ได้
    คุณจำเป็นจะต้องมีสติ สำนึกรู้ตัวในกระบวนการแห่งพลังนี้เสมอ
    โดยเฉพาะในตอนที่คุณสัมพันธ์กับผู้คน”
    “ปัญญาโบราณอันที่เจ็ดจึงเป็นเรื่องของการฝึกตัวเองให้มีวิวัฒนาการทางจิตวิญญาณอย่างตั้งใจ ใช่มั้ยครับ
    แต่ผมก็ยังรู้สึกว่า การตัดสินใจเลือกในเรื่องต่างๆ ที่ประดังเข้ามาเป็นเรื่องยากอยู่ดีครับ”
    “ชีวิตคือการต่อเนื่องของการเลือกอย่างไม่มีวันจบสิ้น กว่าจะตายไปครับ
    ปัญญาโบราณอันที่เจ็ดบอกว่า
    การที่คนเราจะตัดสินใจเลือกได้อย่างถูกต้องนั้น
    คนผู้นั้นจะต้องผ่อนคลายตนเองทั้งทางร่างกายและจิตใจให้ได้เสียก่อน
    แล้วจึงเชื่อมกับพลังจักรวาล ก่อนที่จะตัดสินใจเลือกใดๆ ครับ”

    “ผมยังติดใจในเรื่องบิดามารดาอยู่อีกเรื่องหนึ่งครับว่า
    คนเราไม่มีสิทธิ์จะโทษความล้มเหลวของชีวิตตนว่า มีสาเหตุมาจากพ่อแม่ของตนเลยหรือครับ
    เพราะผมเห็นคนที่เป็นพ่อเป็นแม่หลายคนทำตัวไม่สมกับคนที่เป็นคนเลย
    และเป็นผู้ทำร้ายลูกๆ ของตัวเอง ก่อนที่สังคมจะทำร้ายพวกเด็กๆ เสียอีก”
    “ไม่ว่าในวัยเด็ก พวกเราจะเผชิญกับภาวะเลวร้ายที่พ่อแม่ให้มาอย่างไรก็ตาม
    ปัญญาโบราณบอกว่า
    จงมองวัยเด็กของตัวเองในแง่ดี แล้วรับเอาไว้ครับ”
    “พ่อแม่ไม่เคยทำผิดหรือยังไงครับ”
    “ต่อให้ทำผิดจริง ลูกก็ต้องให้อภัยพ่อแม่ของตนครับ
    เพราะถ้ามองจากกระบวนการวิวัฒนาการทางจิตวิญญาณของคนแต่ละคน
    พ่อแม่ของคนทุกคนย่อมให้สิ่งที่ดีที่สุด
    ที่จิตวิญญาณของผู้เป็นลูกจะต้องเรียนรู้เข้าใจความให้ได้อยู่แล้วครับ”
    ....................
    ความผิดที่พ่อแม่กระทำต่อผู้เป็นลูก
    จึงเป็นบทเรียนอันมีค่าทางจิตวิญญาณที่ผู้เป็นลูกจะต้องเรียนรู้ให้จงได้ภายในชีวิตนี้
    หากเรียนรู้ไม่ได้ พอตายไปแล้วไปเกิดใหม่ในชาติหน้า
    คนผู้นั้นอาจจะต้องเจอบทเรียนที่ยากขึ้นกว่าเก่าอีกก็เป็นได้นะครับ”
    “สิ่งนี้แหละคือความรักใช่ไหมครับ
    โอ...ผมนึกไม่ถึงเลยว่า ความรักนอกจากจะให้พลังแก่คนเราแล้ว
    ยังช่วยยกระดับคลื่นความคิดของตัวเรา
    และทำให้เรามีสุขภาพกายใจที่สมบูรณ์ได้อีกด้วย”
    “โลกนี้ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าความรักที่มีพลังพื้นฐานเชื่อมต่อกับพลังจักรวาลหรอกครับ”


    “แล้วปัญญาโบราณอันที่แปด กล่าวถึงเรื่องอะไรครับ”
    ”กล่าวถึงวิธีการใหม่ในการมีมนุษยสัมพันธ์กับผู้คน ว่าควรจะใช้พลังจักรวาลเยี่ยงไร
    โดยเริ่มจากการให้คำแนะนำในการมีมนุษยสัมพันธ์กับพวกเด็กๆ เป็นอย่างแรก”
    “ทำอย่างไครับ”
    “มองเด็กทุกคนอย่างที่ตัวเขาเป็นครับ
    เด็กเป็นฝ่ายที่ต้องการพลังของพวกเรา เพื่อการวิวัฒนาการของตัวเขาเสมอ
    เพราะฉะนั้น สิ่งที่เลวร้ายที่สุดสำหรับเด็กก็คือ การที่จะพยายามไปยัดเยียดดัดแปลงตัวเด็กตามใจเรา
    เพราะนั่นคือ การแย่งชิงพลังไปจากตัวเด็กครับ
    ....................
    ดังที่ผมได้กล่าวไปแล้วในเรื่องละครการครอบงำซึ่งอยู่ในเรื่องของภูมิปัญญาโบราณข้อที่หก
    ไม่ว่าจะเป็นในสถานการณ์ไหนก็ตาม ผู้ใหญ่จะต้องเป็นฝ่ายให้พลังที่จำเป็นแก่เด็กเสมอ
    เพราะฉะนั้น ผู้ใหญ่จึงควรดึงเด็กเข้ามาอยู่ในวงสนทนาด้วย
    โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเป็นเรื่องสนทนาที่เกี่ยวกับเรื่องเด็กด้วยแล้ว ก็ยิ่งจำเป็นยิ่งขึ้นไปอีก
    นอกจากนี้ ปัญญาโบราณยังบอกอีกว่า
    ผู้เป็นพ่อแม่ ไม่ควรมีลูกเกินจำนวนกว่าที่จะดูแลรับผิดชอบได้อย่างสมบูรณ์ทั่วถึงครับ”
    “ทำไมจำนวนบุตรจึงมีความสำคัญด้วยล่ะครับ”
    “เพราะผู้ใหญ่คนหนึ่งจะสามารถเอาใจใส่เด็กได้เพียงคนเดียวในแต่ละครั้งน่ะสิครับ
    หากจำนวนเด็กมีมากกว่าจำนวนผู้ใหญ่
    อาจทำให้ผู้ใหญ่ไม่รู้ว่าจะให้พลังแก่เด็กได้เพียงพออย่างไรและทำตัวไม่ถูก
    ส่วนพวกเด็กๆ ก็อาจจะเริ่มแข่งขันกันช่วงชิงเวลาของผู้ใหญ่ครับ”
    “สุดท้ายเลยกลายเป็นการแข่งขันกันเองในหมู่พี่น้องใช่มั้ยครับ”
    “ใช่ครับ ปัญญาโบราณบอกว่าปัญหานี้เป็นปัญหาที่สำคัญเกินกว่าที่สังคมคาดคิดมากมายนักเชียวแหละครับ
    คนส่วนใหญ่มักจะคิดว่าการมีครอบครัวใหญ่ที่มีพี่น้องเยอะๆ นั้นดี
    แต่จริงๆ แล้วเด็กควรจะเรียนรู้เรื่องราวของโลกจากผู้ใหญ่มากกว่าจากเด็กคนอื่นครับ
    ....................
    คุณไม่เห็นหรือครับว่าตอนนี้ในหลายประเทศมีเด็กเป็นจำนวนมากที่เข้าร่วมแก๊งโจร
    หากไม่มีผู้ใหญ่อย่างน้อยหนึ่งคนขึ้นไปที่จะคอยดูแลเอาใจใส่เด็กอย่างเต็มที่แล้วละก็
    ปัญญาโบราณบอกว่าอย่ามีลูกเสียดีกว่า เพราะจะกลายเป็นปัญหาทางสังคมครับ”
    “แต่ผู้คนสมัยนี้ ทั้งพ่อและแม่ต่างก็ต้องออกไปทำงานเพื่อการยังชีพทั้งคู่ แล้วจะทำอย่างไครับ
    พวกเขาไม่ควรที่จะมีลูกหรือครับ”
    “ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกครับ
    ปัญญาโบราณบอกว่า ในที่สุดผู้คนก็จะเรียนรู้ว่า
    คำว่าครอบครัวนั้นมีความหมายเกินกว่าแค่ความผูกพันทางสายเลือดครับ
    คนให้พลังแก่เด็กนั้น ไม่จำเป็นจะต้องมาจากพ่อแม่ทั้งหมดเสมอไป จะมาจากคนอื่นก็ได้
    แต่จะต้องยึดหลัก ผู้ใหญ่หนึ่งคนควรเอาใจใส่อย่างเต็มที่แก่เด็กเพียงหนึ่งคนเท่านั้น
    และผู้ใหญ่ควรจะพูดความจริงกับเด็กเสมอ ในภาษาระดับที่เด็กสามารถทำความเข้าใจได้”
    “ต่อจากความสัมพันธ์กับเด็กแล้ว ปัญญาโบราณยังให้คำแนะนำในความสัมพันธ์กับบุคคลใดอีกครับ”
    “ปัญญาโบราณยังเน้นถึงความสัมพันธ์ระหว่างชายหญิงที่เป็นคู่รักกันครับ
    ว่าจะต้องระวังไม่ให้ความรักระหว่างคนทั้งสอง
    แปรสภาพกลายเป็นละครการครอบงำ หรือการแย่งชิงอำนาจหรือพลังของกันและกัน
    เพราะนั่นไม่ธาตุแท้ของความรัก
    .......................
    เนื่องจากความรักจะต้องเป็นการให้พลังแก่กันและกัน
    หาใช่การแย่งชิงพลังจากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งแต่เพียงข้างเดียวไม่

    ลองดูคู่รักหลายๆ คู่ในสังคมนี้ซิครับ
    บางทีคุณจะเห็นว่าพวกเขามิได้เป็นคู่รักกันอย่างแท้จริงเลย
    แต่เป็นคู่แข่งในการแย่งชิงพลังกันต่างหาก”
    “ผมยังไม่ค่อยเข้าใจดีนักครับ”
    “ผู้หญิงต้องการพลังของเพศชาย ดุจเดียวกับผู้ชายก็ต้องการพลังของเพศหญิงเช่นกัน
    ในการสร้างสมดุลแก่บุคลิกภาพของแต่ละคน
    เพราะฉะนั้นผู้คนจึงยังต้องการคู่รักที่เป็นเพศตรงข้าม
    โดยมองข้ามความลี้ลับของต้นตอแห่งพลังจักรวาลไปว่า
    พลังจักรวาลนี้มีทั้งความเป็นเพศชายและเพศหญิงสมบูรณ์อยู่แล้วในตัวเอง
    ....................
    คนเราถ้าหากสามารถเชื่อมกับต้นตอของพลังจักรวาลได้
    เขาไม่จำเป็นต้องมีความรักเลย
    หรือพูดง่ายๆ ก็คือ คนเราไม่จำเป็นต้องมีคนรัก
    แต่จำเป็นจะต้องมีความรักอยู่เสมอภายในจิตใจ
    ...................
    หากคนเราจะมีคนรัก นั่นก็เพราะเหตุผลเดียวเท่านั้นคือ
    คุณต้องการเป็นฝ่ายให้พลังแก่คนรักของคุณ โดยไม่หวังได้สิ่งใดตอบแทนใดๆ
    และคนรักของคุณก็ต้องคิดเช่นนั้น
    ทั้งคู่จึงจะเป็นคู่รักที่สมบูรณ์แท้”

    “หมายความว่า กว่าที่คนเราจะคู่ควรหรือมีคุณสมบัติที่จะมีคู่รักได้
    คนๆ นั้นจะต้องฝึกฝนพัฒนาตัวเองให้เป็นคนที่มีพลัง และเชื่อมกับพลังจักรวาลได้อย่างมั่นคงก่อนใช่มั้ยครับ”
    “ใช่ครับ กระบวนการนี้กินเวลาก็จริง แต่มันจะให้หลักประกันที่ดีที่สุดที่จะไม่ล้มเหลวในชีวิตคู่ครับ
    อย่าลืมสิครับว่า ปัญหาคู่รักนี้เป็นปัญหาที่ใหญ่มากในชีวิตของผู้คนเลยนะครับ”
    “ผู้ใดก็ตามที่เป็นคู่รักของมนุษย์ ที่สามารถเชื่อมกับพลังของจักรวาลได้
    พวกเขาก็ย่อมให้กำเนิดซุปเปอร์เบบี้หรือเด็กๆ ที่มีคุณภาพออกมา
    โดยที่ความสัมพันธ์ฉันคู่รักนี้ ก็หาได้เป็นอุปสรรคขัดขวางวิวัฒนาการทางจิตวิญญาณของแต่ละคนไม่...
    .................
    เรียกว่ายิงทีเดียวได้นกถึงสามตัวเชียวแหละครับ
    แต่การจะมีชีวิตรักที่สมบูรณ์เช่นนี้ได้ ผู้คนจะต้องทำลายมายาภาพแบบผิดๆ ที่พวกเขาเคยมีต่อเพศตรงข้ามไปเสียก่อน
    และพวกเขาจะต้องปลดปล่อยตัวเองให้ได้ก่อนจากความเป็นทาสรักของใครก็ตามด้วย”
    “....................
    แล้วความสัมพันธ์กับผู้คนในที่ทำงานหรือกับพรรคพวกล่ะครับ
    ปัญญาโบราณมีคำแนะนำอะไรบ้างครับ”
    “เมื่ออยู่เป็นกลุ่มจงอย่าพยายามผูกขาดความคิดของกลุ่ม
    ในขณะที่มีการสนทนากันในกลุ่มนั้น
    ในแต่ละช่วงจะมีคนเพียงคนเดียวเท่านั้นที่มีความคิดเข้มแข็งชัดเจนกว่าใคร
    จนคนทุกคนสามารถตระหนักได้ถ้าเอาใจใส่อย่างเพียงพอ
    .......................
    เป็นหน้าที่ที่คนอื่นๆ ในกลุ่มจะต้องปล่อยพลังของแต่ละคนไปที่คนๆ นี้
    เพื่อช่วยให้เขาสามารถพูดความคิดของเขาออกมาได้อย่างชัดเจนแจ่มแจ้งยิ่งขึ้น
    ถ้าทำเช่นนี้ได้ พลังของกลุ่มจะเพิ่มขึ้น และจะพัฒนาไปเป็นกลุ่มที่มีพลังและประสิทธิภาพสูงมาก
    เพราะกลุ่มนี้จะสามารถรวมพลังของแต่ละคนให้เป็นหนึ่งเดียวได้...
    ......................
    อนึ่ง คนที่เอาแต่แก่งแย่งแข่งขันกับคนอื่นนั้นมักจะแก่เกินวัย
    แต่คนที่พยายามปรองดองกับสิ่งแวดล้อมมักจะดูอ่อนกว่าวัยเสมอ”


    “ในที่สุดแล้ว มนุษยชาติจำเป็นจะต้องสถาปนาวัฒนธรรมประเภทใหม่ขึ้นมา
    ในการมีสัมพันธ์ทางสังคมต่อกันและกัน
    ที่ไม่ใช่การครอบงำคนอื่นอีกต่อไป
    แต่จะเป็นการช่วยให้คนอื่นสามารถดึงเอาสิ่งที่ดีที่สุดที่มีอยู่ภายในตัวของคนๆ นั้นออกมา
    ......................
    ปัญญาโบราณอันที่เก้า กล่าวไว้อย่างนั้น
    และสิ่งนี้จะเกิดขึ้นมาได้ในฐานะที่เป็นผลพวงของวิวัฒนาการทางจิตสำนึกของผู้คน
    ซึ่งจะนำไปสู่การสร้างอารยธรรมใหม่ในรอบหนึ่งพันปีข้างหน้าด้วย”
    “มนุษย์ในรอบหนึ่งพันปีข้างหน้าหลังปี ค.ศ. ๒๐๐๐ จะมีความเป็นอยู่ยังไงครับ”
    “ปัญญาโบราณได้ทำนายเอาไว้ว่า
    มนุษยชาติจะมีจำนวนประชากรน้อยลงกว่าปัจจุบันมาก
    และจะกระจุกตัวอาศัยอยู่ในสถานที่ที่สวยงามและเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังจักรวาล
    มนุษย์ที่รอดพ้นจากหายนะและสามารถมีชีวิตอยู่ในรอบหนึ่งพันปีที่สาม
    จะเลิกตัดต้นไม้ในป่าอย่างตั้งใจแน่วแน่
    ปล่อยให้ต้นไม้ได้เติบโตและสั่งสมพลังจักรวาล....
    ......................
    ครั้นเมื่อถึงราวๆ ช่วงกลางของรอบพันปีข้างหน้า
    ผู้คนจะอาศัยอยู่ในสวนที่มีแต่ต้นไม้ที่มีอายุเกินกว่าห้าร้อยปีขึ้นไป
    ระบบการผลิตในตอนนี้จะเป็นแบบอัตโนมัติหมด
    และจะไม่มีการใช้เงินตรากันอีกต่อไปครับ”
    “นี่ไม่ใช่ยูโทเปียหรือความเพ้อฝันของมนุษยชาติตั้งแต่ยุคโบราณหรอกหรือครับ”
    “ในอดีต ยูโทเปียเป็นเพียงความเพ้อฝัน ก็เพราะไม่รู้วิธีการน่ะสิครับ
    ตัวอย่างเช่น คาร์ล มาร์กซ์ เป็นต้น
    ระบบคอมมิวนิสต์ที่เขาคิดค้น หาใช่สิ่งอื่นใดเลย
    นอกจากโศกนาฏกรรมอันเกิดจากความใฝ่ฝันถึงโลกที่เป็นยูโทเปียเช่นนี้เอง
    ........................
    ในช่วงห้าร้อยปีมานี้ มนุษย์ได้พัฒนาวิทยาศาสตร์ขึ้นมา
    ตัดขาดตัวเองจากศาสนาและสิ่งเร้นลับ มุ่งเสาะหาแต่ความมั่งคั่งทางวัตถุเป็นหลัก
    แต่สิ่งนี้แหละจะกลายเป็นฐานสำคัญให้มนุษย์ก้าวเข้าสู่รอบพันปีใหม่
    โดยดึงเอาศาสนา ความจริงแห่งชีวิต และความลี้ลับทางจิตวิญญาณกลับมาอยู่ในชีวิตของพวกเราอีกครั้งครับ”
    “ผมยังไม่เห็นช่องทางเลยครับ”
    “ระบบวัฒนธรรมโดยรวมจะเปลี่ยนไปจากปัจจุบันอย่างหน้ามือเป็นหลังมือ
    เมื่อจำนวนผู้ตื่นมีมากถึงระดับหนึ่ง จนสามารถมีผลสะเทือนต่อสังคม
    ให้หันมาทบทวนแนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจและการใช้ชีวิตกันใหม่อย่างจริงจัง

    โดยเฉพาะการได้ตระหนักว่า ภูเขา ป่าไม้ แม่น้ำ คือวิหารแห่งพลังอันยิ่งใหญ่ของจักรวาล
    ธรรมชาติคือสิ่งที่สวยงามเหลือเกิน และให้การเติบโตทางจิตวิญญาณแก่จิต
    ........................
    พวกเขาจะเรียกร้องให้ยุติกิจการทางเศรษฐกิจที่ทำลายธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมโดยสิ้นเชิง
    และสถาปนารูปแบบการดำรงชีวิตแบบใหม่ขึ้นมาแทน
    ภายหลังจากต้องผ่านประสบการณ์หายนะที่ปวดร้าวในระดับโลกขั้นเด็ดขาดครับ”

     
  12. สิงหนวัติ

    สิงหนวัติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มกราคม 2009
    โพสต์:
    788
    ค่าพลัง:
    +2,107
    มีท่านใดได้รวบรวมไฟล์ไว้บ้างไหมครับ word หรือ PDF ก็ช่วยมาโพสไว้กันหน่อยนะครับ อยากได้ไว้อ่าน และสำเนาแจกจ่ายเพื่อนๆครับ
     
  13. แม่นายมล

    แม่นายมล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    1,069
    ค่าพลัง:
    +6,258
    เดี๋ยวจะเอาไฟล์ PDF ไปไว้ ที่กระทู้ของคุณ avata_boy นะคะ
    แต่ไม่มีปกนะ
     
  14. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    <TABLE class=tborder id=post2424953 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 0px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid">13-09-2009, 12:18 PM </TD><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 0px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid" align=right> #79 </TD></TR><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175><!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->mead<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_2424953", true); </SCRIPT>
    สมาชิก

    [​IMG]

    วันที่สมัคร: Apr 2005
    ข้อความ: 5,831
    Groans: 2
    Groaned at 10 Times in 9 Posts
    ได้ให้อนุโมทนา: 58,689
    ได้รับอนุโมทนา 81,701 ครั้ง ใน 5,887 โพส
    พลังการให้คะแนน: 6150 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]


    </TD><TD class=alt1 id=td_post_2424953 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><!-- google_ad_section_start -->วันก่อนมีน้องที่น่ารักคนนึงเล่าให้ฟัง...(แถวๆนี้ล่ะครับ คงไม่ต้องการเผยตัว อิอิ )
    ขออนุญาตินำมาบอกต่อนะครับ น้อง D
    เห็นว่ามีประโยชน์และสร้างแรงบันดาลใจให้กับท่านอื่นๆได้เป็นอย่างดีเลยครับ

    น้องเค้าบอกว่าได้ติดต่อกับจิตวิญญาณภายในตัวเองได้แล้ว หลังจากที่ได้เริ่มอ่านกระทู้ของคุณ ชยุต โดยการตั้งจิตปรารถนาขอติดต่อกับพวกเขา ทางจักระ 4 เมื่อกลางเดือน ส.ค. ก็เกิดมีการสื่อสารทางจิตเกิดขึ้น และสามารถ ถาม-ตอบกับเขาได้มาเรื่อยๆครับ

    เขาบอกว่า เขาเป็นจิตวิญญาณรู้ในอดีตที่จะมาติดกับกับเราในปัจจุบัน และอย่างที่รู้ๆ กัน อดีต ปัจจุบัน อนาคต มันกำลังขับเคลื่อนไปพร้อมกัน เขาบอกว่าจะมอบคืนความ ฉลาด การตระหนักรู้ ปัญญา ความมีสุขภาพดีให้ อย่างน้อย 20% ก่อน และเหนือจากนั้น ขึ้นอยู่กับเราด้วยที่ต้องหมั่นฝึกจิตควบคู่กันไป ซึ่งเขาบอกว่า เรามีความพร้อมสมบูรณ์เเหล่านี้มานานแล้ว และเขารอที่จะให้เราติดต่อกับเขาได้ เขาบอกเขาก็คือเรานี่แหละ ไม่ต้องสงสัยอะไรเลย ต่อมาน้องเค้าเข้าใจว่า นั่นคือ พระเจ้าในตัวเรานี่เอง

    เขาได้สื่อสอน อะไรๆ หลายๆ อย่างที่ไม่เคยรู้มาก่อน และเมื่อลองถามเขาในใจ และเราเงิยบพอที่จะฟังเขา โดยที่จิตเราต้องนิ่ง และต้องไม่คิดอุปทานเอง แล้วก็จะมีคำตอบในสิ่งที่เราอยากรู้จริงๆ จิตรู้เขาสื่อว่า ให้เป็นตัวแทนของความรักความเมตตา และก่อนนอนให้ ระลึกถึงคำเหล่านั้น ให้มันฝังในจิตวิญญาณและบอกว่า พระเจ้าอยู่ในมนุษย์ทุกคน ดังนั้นอย่าเกลียดใคร จงรักมนุษย์ทุกคน

    และเขาก็อธิบายต่อ...
    เดิมทีแล้วในการสร้างโลกและจักรวาล พระเจ้าได้ออกแบบว่า ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เหตุการณ์เลวร้ายแค่ไหน โลกและจักรวาลไม่มีวันแตกดับ หรือสูญสลาย เพราะท่านได้ตั้งโปรแกรมไว้ว่า ให้ความรักนี้เป็นตัวเชื่อม และแทรกซึมผ่านทุกอย่างได้ ไม่ว่าที่ไหน หรือเมื่อไร ผ่านได้ทั้งของเหลว และของแข็งทุกสภาวะ ทุกกาลเวลา ดังนั้น สิ่งมีชีวิตและไม่มีชีวิต เรียงร้อยเชื่อมโยงกันด้วยความรัก หากใครจะออกนอกลู่นอกทาง ก็ใช้ความรักนี้แหละดึงกลับมา
    ยกตัวอย่างเช่น มีจิตทั้งหมด 10 ดวง หลงทาง ไป 9แต่ 1จิต ตื่นรู้ 1จิตนั้น อย่างไรซะต้องฉุดช่วยจิต 9 ดวงให้ได้ โดยไม่มีข้อแม้ เพราะอยู่ในกฏข้อที่ว่าในทุกๆ สิ่งประกอบไปด้วยความรักที่ไม่จำกัดและไม่มีที่สิ้นสุด

    น้องเค้ารู้สึกดีและอบอุ่นเป็นอย่างมากและต้องขอบคุณพวกเราทุกคนที่เคยเคยเน้นย้ำให้เสาะหาตัวตนจากภายใน ตอนนี้น้องเค้าพบกับประสบการณ์เหล่านี้ด้วยตัวเองแล้ว น้องเค้าฝากขอบคุณคุณชยุต และคุณอวตารบอยมากๆ ต้องขอบคุณ โลก จักรวาล และความรัก ที่ทำให้เราได้พบและสื่อสารกัน เพราะกระทู้คุณชยุตนี่แหละทีทำให้จิตน้องเค้าเปิดกว้าง และขยายขอบเขตออกไปอย่างมากครับ

    อ่านแล้วก็รู้สึกชื่นชมยินดีและตื่นเต้นไปกับน้องเค้าจริงๆนะครับเนี่ย

    (deejai)<!-- google_ad_section_end -->
    __________________

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  15. tenis

    tenis เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    343
    ค่าพลัง:
    +1,228
    คุณแม่นายมล
    ขอไฟล์ หรือลิงค์กระทู้ที่จะนำวางด้วยคะ
    ขอบคุณคะ
     
  16. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    ขออนุญาตเล่าเรื่องการไปอบรมวิปัสสนา หลักสุตร 10 วัน
    ตามแนวทางของท่านอาจารย์โกเอ็นก้า ให้ฟังสักเล็กน้อยนะครับ


    เพราะว่านี่ก็ไปทำงานของระบบด้วยเช่นกันครับ

    ตอนแรกที่อาจารย์นีโม่บอกว่าที่ผมต้องมาอบรมนี่ ก็เพราะระบบนะเนี่ย
    ก่อนจะไปผมก็ยังไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่หรอกครับ แต่พอได้ไปแล้วค่อยเชื่อมากขึ้น

    เพราะว่า...

    ผมได้สมัครไว้หลายเดือนแล้ว แต่เพิ่งได้รับจดหมายตอบรับให้เข้าอบรมได้เมื่อวันที่ 3/8/09
    ซึ่งเป็นวันที่เพิ่งกลับจากไปทริปที่เขากะลามาหมาดๆ 1 วันเท่านั้นเอง

    กำหนดการณ์ที่ผมต้องกลับเมืองไทยเพื่อเข้าอบรมวิปัสสนาของผมคือวันที่ 8/9/09
    เพราะหลักสูตรจะเริ่มต้นขึ้นในวันที่ 9/9/09

    ก่อนจะมาเมืองไทยไม่นานนัก ผมเองก็เคยฝันว่าเขาให้บัตรหมายเลขมาถือไว้ พร้อมกับบอกว่า
    นี่คือหมายเลขของคุณคะ ว่างั้นนะครับ ซึ่งหมายเลขนั้นก็คือ "หมายเลข 7" ครับ

    พอไปถึงสถานที่อบรมแล้ว เขาก็จัดให้พักอยู่ห้องส่วนตัวของใครของมัน
    และผมเองก็ได้ห้องหมายเลข 7 ตามใบสั่งจริงๆด้วย


    [​IMG]

    จำนวนคนเข้าอบรมเฉพาะผู้ชายคือ 17 คน ส่วนผู้หญิงน่าจะประมาณ 65 คน

    [​IMG]

    สไตน์การฝึกนี่เป็นที่ประทับใจของผมมากๆเลยครับ เพราะเขามีขั้นมีตอนให้เราทำไปอย่างดีเลย
    ทำให้เรารู้ว่าเราตามทันหรือไม่ทัน โดยที่ 3 วันแรกจะฝึกจับลมหายใจเข้าออกเฉยๆ ห้ามภาวนา ห้ามนึกภาพนิมิตร
    เพื่อให้อยู่กับธรรมชาติล้วนๆ ตรงไปตรงมา ตามความเป็นจริง ไม่ต้องหาอะไรมาผูกจิตให้เกิดสมาธิเร็วขึ้นแต่อย่างใด
    เพราะจุดประสงค์ไม่ได้ต้องการให้ลงลึกในสมาธิมาก เพียงแต่ให้จิตคมกล้า เพื่อจะเอาไปใช้ในช่วงวิปัสสนาเท่านั้น

    วันที่ 4 ก็จะมาที่วิปัสสนาครับ เข้าจะให้ทำความรู้สึกไปทั่วร่างกาย คอยกำหนดตามรู้เวทนาที่เกิดกับกายตลอด
    แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีขั้นมีตอนนะครับ ที่ผมชอบคือเพราะมีขั้นมีตอนนี่แหละ

    คือว่า เริ่มวิปัสสนาแรกๆให้กำหนดรู้จากหัวไปเท้า ทุกๆส่วนของร่างกายก่อน ทีละส่วนๆ ให้ทำแบบนั้นอยู่ทั้งวันเลย
    จากนั้นวันต่อมา ก็ค่อยให้กำหนดรู้จากหัวไปเท้า และจากเท้าไปหัวด้วย ทีละส่วนๆของร่างกาย ก็ทำแบบนั้นทั้งวันอีก
    วันต่อมาก็กำหนดรู้หัวไปเท้า - เท้าไปหัว ทีละส่วนของร่างกาย สลับกับทีละ 2 ส่วนพร้อมๆกัน เช่น แขนซ้ายกับแขนขวาเป็นต้น
    วันต่อมาก็ไล่ขึ้น-ลงแบบคร่องขึ้นๆ และสลับกับแยกดูทีละส่วนด้วย ทำแบบนี้จนครบ 10 วันหนะครับ

    และตลอดทั้ง 10 วันนั้น ห้ามพูดคุยกันเลย แม้แต่คำเดียว ห้ามส่งสัญญาณใดๆถึงกันด้วย
    และตลอดทั้ง 10 วันนั้น ก็จะมีธรรมบรรยายให้เราได้รู้ว่าที่เราทำไปในแต่ละวันนั้น มีเหตุผลอะไร
    มีความเกี่ยวข้องอะไรกับธรรมะข้อไหน และอื่นๆ ซึ่งเป็นส่วนที่ผมและคนอื่นๆ (คิดว่านาจะทุกคนนะ) ชอบมากที่สุดด้วย
    เพราะมันเป็นอะไรที่ชัดเจน ฉะฉาน และเข้าใจได้ง่าย จำง่าย และเยี่ยมยอดมากๆเลยครับ

    ลองดาวโหลดไปฟังกันดูนะครับ
    <table class="tborder" id="post9573" width="100%" align="center" border="0" cellpadding="6" cellspacing="0"><tbody><tr><td class="thead" style="border-style: solid; border-color: rgb(255, 255, 255); border-width: 1px 0px 1px 1px; font-weight: normal;">03-03-2009, 07:14 PM </td><td class="thead" style="border-style: solid; border-color: rgb(255, 255, 255); border-width: 1px 1px 1px 0px; font-weight: normal;" align="right">#1 </td></tr><tr valign="top"><td class="alt2" style="border-style: solid; border-color: rgb(255, 255, 255); border-width: 0px 1px;" width="175"><!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->aonlin<!-- google_ad_section_end --><script type="text/javascript"> vbmenu_register("postmenu_9573", true); </script>
    ทีมงาน

    วันที่สมัคร: Sep 2006
    โพสต์: 172
    ได้ให้อนุโมทนา: 214
    ได้รับอนุโมทนา 2,080 ครั้ง ใน 201 โพส
    [​IMG]

    </td><td class="alt1" id="td_post_9573" style="border-right: 1px solid rgb(255, 255, 255);">[​IMG] <center><!-- google_ad_section_start -->ธรรมบรรยายหลักสูตร 10 วัน โดยท่านอาจารย์โกเอ็นก้า<!-- google_ad_section_end -->

    </center>
    <hr style="color: rgb(255, 255, 255); background-color: rgb(255, 255, 255);" size="1"><fieldset class="fieldset"><legend>ไฟล์แนบข้อความ</legend><table border="0" cellpadding="0" cellspacing="3"><tbody><tr><td width="20"><input id="play_22121" onclick="document.all.music.url=document.all.play_22121.value;" value="attachment.php?attachmentid=22121" name="Music" type="radio">ฟัง</td><td>[​IMG]</td><td>10 Day- Day1 60 mins.mp3 (13.98 MB, 1791 views)</td></tr><tr><td width="20"><input id="play_22122" onclick="document.all.music.url=document.all.play_22122.value;" value="attachment.php?attachmentid=22122" name="Music" type="radio">ฟัง</td><td>[​IMG]</td><td>10 Day- Day2 65 mins.mp3 (15.05 MB, 841 views)</td></tr><tr><td width="20"><input id="play_22123" onclick="document.all.music.url=document.all.play_22123.value;" value="attachment.php?attachmentid=22123" name="Music" type="radio">ฟัง</td><td>[​IMG]</td><td>10 Day- Day3 84 mins.mp3 (19.26 MB, 653 views)</td></tr><tr><td width="20"><input id="play_22124" onclick="document.all.music.url=document.all.play_22124.value;" value="attachment.php?attachmentid=22124" name="Music" type="radio">ฟัง</td><td>[​IMG]</td><td>10 Day- Day4 81 mins.mp3 (18.62 MB, 668 views)</td></tr><tr><td width="20"><input id="play_22125" onclick="document.all.music.url=document.all.play_22125.value;" value="attachment.php?attachmentid=22125" name="Music" type="radio">ฟัง</td><td>[​IMG]</td><td>10 Day- Day5 72 mins.mp3 (16.64 MB, 613 views)</td></tr><tr><td width="20"><input id="play_22126" onclick="document.all.music.url=document.all.play_22126.value;" value="attachment.php?attachmentid=22126" name="Music" type="radio">ฟัง</td><td>[​IMG]</td><td>10 Day- Day6 81 mins.mp3 (18.57 MB, 687 views)</td></tr><tr><td width="20"><input id="play_22127" onclick="document.all.music.url=document.all.play_22127.value;" value="attachment.php?attachmentid=22127" name="Music" type="radio">ฟัง</td><td>[​IMG]</td><td>10 Day- Day7 73 mins.mp3 (16.62 MB, 540 views)</td></tr><tr><td width="20"><input id="play_22128" onclick="document.all.music.url=document.all.play_22128.value;" value="attachment.php?attachmentid=22128" name="Music" type="radio">ฟัง</td><td>[​IMG]</td><td>10 Day- Day8 80 mins.mp3 (18.24 MB, 501 views)</td></tr><tr><td width="20"><input id="play_22129" onclick="document.all.music.url=document.all.play_22129.value;" value="attachment.php?attachmentid=22129" name="Music" type="radio">ฟัง</td><td>[​IMG]</td><td>10 Day- Day9 86 mins.mp3 (19.72 MB, 512 views)</td></tr><tr><td width="20"><input id="play_22130" onclick="document.all.music.url=document.all.play_22130.value;" value="attachment.php?attachmentid=22130" name="Music" type="radio">ฟัง</td><td>[​IMG]</td><td>10 Day- Day10 89 mins.mp3 (20.28 MB, 525 views)</td></tr><tr><td width="20"><input id="play_22131" onclick="document.all.music.url=document.all.play_22131.value;" value="attachment.php?attachmentid=22131" name="Music" type="radio">ฟัง</td><td>[​IMG]</td><td>10 Day- Day11 42 mins.mp3 (9.57 MB, 536 views)</td></tr></tbody></table></fieldset>
    <!-- google_ad_section_start -->
    ธรรมบรรยายหลักสูตร 10 วัน
    โดยท่านอาจารย์โกเอ็นก้า
    ตามแนวทางของอาจารย์อูบาขิ่น


    [​IMG]



    credit : CaoCao

    สนใจสมัครรับการอบรมได้ที่ www.thai.dhamma.org/

    </td></tr></tbody></table>


    สำหรับท่านที่เชี่ยวชาญวิปัสสนาแล้ว แต่อาจจะยังไม่เคยฟังธรรมบรรยายของท่านโกเอ็นก้า
    ผมก็ยังอยากจะขอแนะนำให้ฟังกันอยู่ดีหละครับ เพื่อท่านจะได้รู้แนวความคิดและรู้จักท่านผู้นี้ให้มากขึ้นอีก
    แล้วท่านจะทึ่งว่า ท่านอาจารย์โกเอ็นก้าผู้นี้ ท่านเป็นคนที่สุดยอดมากๆท่านหนึ่งเลยหละครับ

    นี่ผมยังคิดว่าผมจะไปทุกๆปีอยู่เลยนะเนี่ย และปีต่อๆไปก็จะพยายามลากคุณพ่อคุณแม่ไปด้วยให้ได้เลย

    เพราะว่าตั้งแต่ผมได้ฝึกปฏิบัติธรรมมา 10 กว่าปีนี่ ยังไม่เคยเจอที่ไหนดีขนาดตามแนวทางของท่านโกเอ็นก้าผู้นี้เลยครับ
    อันที่จริงจะเรียกว่าตามแนวของท่านก็ไม่ถูก เพราะท่านก็เดินตามพระพุทธเจ้านั่นแหละครับ
    และรูปแบบของหลักสูตรนี้ ก็ทำตามอาจารย์ของท่านชาวพม่า คือท่านอุบาขิ่น ที่พาทำต่อๆกันมาเท่านั้นเอง

    ถ้าท่านใดยังไม่เคยเจอทางปฏิบัติที่ใช่ของตนเอง ผมก็อยากนำเสนอให้ท่านไปอบรมตามแนววิปัสสนานี้ดูนะครับ

    ดุรายละเอียดหลักสูตรได้ที่นี่นะครับ

    ข้อมูลคำแนะนำในการเข้าอบรม
    (INTRODUCTION AND CODE OF DISCIPLINE)

    ท่านอาจารย์โกเอ็นก้า (GOENKAJI)


    ตารางการอบรม และการเดินทาง

    ศูนย์ฯ ธรรมกมลา จ.ปราจีนบุร (http://www.thai.dhamma.org/d-kamala.html)ี
    ศูนย์ฯ ธรรมอาภา จ.พิษณุโลก (DHAMMA ABHA)
    ศูนย์ฯ ธรรมสุวรรณา จ.ขอนแก่น (DHAMMA SUVANNA)[/URL]
    สำนักงานและศูนย์ฯ ธรรมธานี จ.กรุงเทพฯ (DHAMMA ABHA)
    ศูนย์ฯ ธรรมกาญจนา จ.กาญจนบุรี (DHAMMA KANCHANA)
    การจัดอบรมนอกศูนย์ (OTHER DHAMMA COURSES)



    ใบสมัคร (ALL APPLICATION)

    http://www.thai.dhamma.org/images/links13.gif
    Vipassana Meditation Website (Vipassana Meditation Website)

    เฉพาะศิษย์เก่า (http://www.thai.dhamma.org/os)
    http://www.thai.dhamma.org/images/bodhi.gif

    ตอนนีที่เมืองไทยมี 5 ศูนย์

    ปราจีนบุรี(ธรรมกมลา)089-7829180
    พิษณุโลก(ธรรมอาภา)081-6055576, 087-1352128
    ขอนแก่น(ธรรมสุวรรณา)081-5444953, 086-7135617
    กรุงเทพ(ธรรมธานี)02-9932711
    และกาญจนบุรี(ธรรมกาญจนา)081-8116447 ค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 กุมภาพันธ์ 2010
  17. natthapatpun

    natthapatpun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +25,214
    ถึงจะเข้ามาใหม่แต่พอได้เริ่มอ่านกระทู้นี้ทำให้ต้องอดใจไม่คลิกไปหน้าสุดท้าย ขออ่านตั้งแต่หน้าแรกก่อน แล้วก็ทั้งทึ่งและตื่นเต้น คุณชยุตแปลออกมาจากจิตวิญญาณจริง ๆ ทำให้ดิฉันสัมผัสได้จากความรู้สึกลึก ๆ ขออนุโมทนาในความรักความเมตตาที่คุณชยุตกรุณามีต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน จะติดตามอ่านไปเรื่อย ๆ ค่ะ มีอะไรดี ๆ ก็มาแบ่งปันกันอีกนะคะ ขอบคุณค่ะ
     
  18. phonsiri

    phonsiri Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    44
    ค่าพลัง:
    +70
  19. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    เดี๋ยวว่างๆจะมา Update ให้อีกครับ
    เพราะข้อมูลจากการสื่อสารทางกระแสจิต
    มาถึงผู้ที่มีจิตใจดีงามทั่วโลก จากรูปธรรมชีวิตต่างมิติ
    มีมาแทบทุกวันหนะแหละครับ

    และมิหนำซ้ำ นอกจากจะสื่อสารมาจากเบื้องบนแล้ว
    ยังมีสื่อสารมาจากเบื้องล่างด้วยนะครับ

    ผมยังงงเลยว่า เออนะ..ท่าทางยุคนี้จะเป็นยุคหัวเลี้ยวหัวต่อ
    ของมนุษยชาติจริงๆ เพราะข้อมูลจากต่างมิติหลั่งไหลเข้ามามาก
    ทั้งจากเบื้องบนและเบื้องล่าง ทำให้มนุษย์ได้รู้ความจริงกันมากขึ้น

    อะไรที่เคยเป็นความลับอยู่ อะไรที่คิดว่าเป็นไปไม่ได้
    มันก็จะค่อยๆเปิดเผยตัวมันเองออกมาทีละน้อยๆ

    น่าลุ้น น่าติดตาม น่าจับตาดูเป็นอย่างยิ่ง
    พวกเราโชคดีที่ได้มีชีวิตอยู่ในยุคนี้
    และกำลังจะได้เป็นสักขีพยานแห่งเหตุการณ์สำคัญๆ
    ระดับจักรวาลหลายอย่าง เช่น การยกระดับจิตขึ้นของทั้งโลก
    อภิญญา ชีวิตที่เป็นอมตะ โทรจิต การล่องหน หายตัว เป็นต้น

    ....................................
     
  20. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,680
    ค่าพลัง:
    +51,926
    *** คิดเลข เรื่องศาสนา กับ ๕๐๐๐ ปี ****

    เมื่อ....
    กาลีศักราช ที่ ๒๔๑๑ ... เป็น อัญชันศักราช ที่ ๑
    พระพุทธเจ้าประสูติ...กาลีศักราช ที่ ๒๔๗๘....อัญชันศักราช ที่ ๖๘
    อีก ๓๕ ปี....กาลีศักราช ที่ ๒๕๐๓...อัญชันศักราช ที่ ๑๐๓ ....ตรัสรู้
    อีก ๔๕ ปี...กาลีศักราช ที่ ๒๕๕๘....อัญชันศักราช ที่ ๑๔๘ ....ปรินิพพาน...เป็นพุทธศักราช ที่ ๑
    ครบรอบ ๕๐๐๐ ปี ...
    ตรง กาลีศักราช ที่ ๕๐๐๑....พุทธศักราช ที่ ๒๔๔๔
    ต่อไปอีก ๑๑๑ ปี
    กาลีศักราช ที่ ๕๑๑๒....พุทธศักราช ที่ ๒๕๕๕...คริสต์ศักราช ที่ ๒๐๑๒....จะตรงปฏิทินมายาโบราณสิ้นสุดพอดี

    จะอย่างไรก็ตาม ขอให้ทุกคนรักษาสัจจะไว้กับตน
    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...