อาหาร...แห่งจิตวิญญาณ

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย คีตราชันย์, 24 ตุลาคม 2009.

  1. คีตราชันย์

    คีตราชันย์ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    10
    ค่าพลัง:
    +10
    ของขวัญจากศิษย์พระบรมครูองค์ชีวกโกมารภัจ<O:p</O:p


    บทที่ 1<O:p</O:p


    สภาพของพลังชีวิต<O:p</O:p

    <O:p</O:p
    มิติที่ 1 เป็นพลังชีวิตที่แท้จริง เป็นพลังแบบอากาศธาตุ อยู่ในส่วนลึกสุดของจิตวิญญาณ พลังชีวิตนี้แยกตัวมาจากพระผู้สร้างโลกสร้างมนุษย์ บริสุทธิ์ผุดผ่องมาแต่ก่อนเกิด ปราศจากราคีใด ๆ<O:p</O:p
    มิติที่ 2 ถูกบรรจุลงในกายเนื้อ เริ่มมีกิเลสเกาะกุม เริ่มต้องการอาหารหล่อเลี้ยงชีวิต<O:p</O:p
    มิติที่ 3 เป็นวิญญาณที่แทรกซ้อนเข้ามา เช่น วิญญาณของสัตว์ หรือเจ้ากรรมนายเวรที่เคยก่อกรรมทำเข็ญไว้ <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ฉะนั้น การกินอาหารของมนุษย์ จึงแบ่งออกไปหล่อเลี้ยงร่างกายมนุษย์เป็น 3 มิติ เช่นเดียวกัน<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    มิติที่ 1 ไม่ต้องการอาหารใด ๆ นอกจากพลังงานตามธรรมชาติ คืออากาศธาตุ 4 ได้แก่ ดิน น้ำ ลม ไฟ<O:p</O:p
    มิติที่ 2 ต้องการอาหารหล่อเลี้ยงบ้าง แต่เป็นอาหารที่ค่อนข้างสะอาด เช่น พวกพืช ผัก ผลไม้<O:p</O:p
    มิติที่ 3 ต้องการอาหารสด คาว เต็มไปด้วยซากศพ อาหารที่ปรุงด้วยเนื้อหนังมังสา<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    จะเห็นได้ว่าแต่ละมิติจะต้องการอาหารไม่เหมือนกัน คนที่ถือศีลกินเจ เป็นพวกที่ได้ปรับร่างกายให้มาอยู่ในมิติที่ 1 และที่ 2 จะไม่ยอมรับอาหารสดคาวใด ๆ คนเหล่านี้จะรู้สึกอ่อนเพลียไม่สบายทันทีเมื่อบริโภคเนื้อสัตว์ แต่จะรู้สึกแข็งแรงสดชื่นเมื่อได้รับบริโภคอาหารประเภทพืชผักผลไม้ ส่วนที่มีมิติที่ 3 อยู่ในตัวนั้น จะรู้สึกมีกำลังวังชาแข็งแรงเมื่อได้กินอาหารประเภทเนื้อสัตว์ ความจริงเป็นความรู้สึกที่หลอกตัวเอง เพราะเนื้อสัตว์เหล่านี้ความจริงเข้าไปบำรุงวิญญาณที่สิงอยู่ในตัวท่านให้แข็งแรงต่างหาก ไม่ใช่ไปบำรุงตัวท่านเอง ข้าพเจ้าขอรับรองว่าท่านได้ชำระล้างร่างกายของท่านให้สะอาดบริสุทธิ์ ให้คืนมาอยู่ในมิติที่ 1 และที่ 2 จะมีกลิ่นกายที่เรียกว่าเป็น ความแรง เหลืออยู่น้อยมาก รวมถึงระบบขับถ่ายตลอดจนกระทั่งอารมณ์ต่าง ๆ ก็มีความรู้สึกเบาบางมากจนเกือบไม่มีอารมณ์ใด ๆ หลงเหลืออยู่ จะกลายเป็นคนที่มีอารมณ์เย็นอย่างยิ่งยวด มีสติสัมปชัญญะ ที่มั่นคงยิ่งกว่าบุคคลธรรมดา อย่างที่เรียกกันว่ามี พลังจิตสูง สิ่งเหล่านี้เป็นอาการของคนที่มีกำลังจะสลายตัวจากการเป็นตะกอนคืนสู่สภาวะของน้ำที่สะอาดเป็นขั้น ๆ ไป จนกระทั่งสู่ความเป็นมิติที่ 1 คืออากาศที่บริสุทธิ์ หมดสิ้นความเป็นตะกอนใด ๆ โดยสิ้นเชิง<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p

    บทที่ 2<O:p</O:p


    มนุษย์ เป็นตะกอนของเทพเจ้าที่ประกอบด้วยธาตุ<O:p</O:p


    ดิน น้ำ ลม ไฟ จริงหรือไม่<O:p</O:p

    <O:p</O:p
    วรกายหรือความบริสุทธิ์แห่งเทพเจ้าแบ่งแยกออกให้เห็นชัด ประดุจความบริสุทธิ์สะอาดของ น้ำกลั่น เปรียบเสมือนวรกายของเทพเจ้าเบื้องสูงสุด เป็นความสะอาดที่กลั่นกรองครั้งแล้งครั้งเล่าจนสะอาดบริสุทธิ์หมดสิ้น ซึ่งสิ่งปฏิกูลทั้งปวง ปราศจากสี กลิ่น และรส เปรียบกับสภาวะจิตก็แน่วแน่ อยู่ในอุเบกขาฌาน ปราศจากอารมณ์ใด ๆ สิ้นเชิง <O:p</O:p
    น้ำสะอาด เปรียบเสมือนวรกายเทพเจ้าเบื้องกลาง ยังมีกลิ่น รส น้ำขุ่น เปรียบเสมือนวรกายเทพเจ้าเบื้องต่ำ คือ เริ่มมีกิเลสเกาะกุมอยู่บ้าง ทำให้กระแสน้ำนั้นขุ่น แลเห็นเป็นรูปอากาศธาตุ ส่วนมนุษย์หมายถึงผู้มีกิเลสเกาะกุมหนาแน่นถึงขั้นตกตะกอน <O:p</O:p
    ฉะนั้นมนุษย์ไม่อาจแลเห็นคนละมิติกัน คงได้รับกระแสสัมผัสทางร่างกายแบบอากาศธาตุเท่านั้น จะแลเห็นกันได้ต่อเมื่อต่างได้ปรับร่างกายและจิตใจให้มาอยู่ในมิติเดียวกัน เช่นเทพเจ้าลงมาเป็นตะกอนก็เห็นมนุษย์ หรือมนุษย์คืนจากความเป็นตะกอนไปเป็นน้ำที่บริสุทธิ์ก็ย่อมเห็นเทพเจ้า ฉะนั้น เมื่อวรกายของเทพเจ้ามีกำเนิดมาจากอากาศธาตุ 4 ดิน น้ำ ลม ไฟ มนุษย์ซึ่งตกตะกอนมาจากสิ่งนี้ กายเนื้อจึงหนีไม่พ้นการเป็นอากาศธาตุ 4 คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ จะสังเกตได้ว่า<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    1. สีของผิว (ธาตุดิน) สีผิวของมนุษย์ใกล้เคียงกับสีของดิน เมื่อมนุษย์ล้มตายไปแล้วจะเผาหรือฝังก็สลายเน่าเปื่อยไปเป็นดินตามเดิม เพราะเป็นธาตุเดียวกัน จะไม่สลายตัวไปเป็นธาตุอื่นที่ไม่ใช่ธาตุดินโดยเด็ดขาด<O:p</O:p
    2. เลือด (ธาตุน้ำ/ไฟ) กลายเป็นเลือด ปกติน้ำจะต้องมีสีขาวและความเย็น แต่เลือดเป็นของเหลวมีสีแดงและอุ่นทั้งนี้ เนื่องจากการรวมตัวของ น้ำ/ไฟ กลายเป็นเลือด หล่อเลี้ยงร่างกายให้ได้รับความอบอุ่น ถ้าธาตุหนึ่งธาตุใดรุนแรงไป ธรรมชาติก็จะแก้ไขโดยที่มนุษย์ต้องดื่มน้ำเสมอ เพื่อระงับความร้อนของธาตุไฟ ถ้าเลือดจางหมายถึงธาตุไฟเสื่อมคุณภาพ ก็มีวิธีรักษาหาหยูกยาที่เพิ่มความร้อน คือ เพิ่มกำลังงานให้แก่ธาตุไฟมาดื่มกิน เมื่อมนุษย์ล้มตาย ธาตุทั้ง 2 นี้ หมดอำนาจบังคับ จะสลายตัวออกจากกันคืนสภาพเป็นน้ำตามเดิม แต่เนื่องจากการตายของมนุษย์คือการนิ่งสนิทหมดประโยชน์ใด ๆ โดยสิ้นเชิง ทางพระก็ถือเสมือนผู้เข้าสภาวะอุเบกขา คือนิ่งสนิทด้วยประการทั้งปวง เลือดจึงกลายสภาพจากน้ำเป็นน้ำเหลือง คือน้ำมีสีเหลืองเหมือนสีของผู้จำศีล คือน้ำนั้นหมดสภาพที่จะทำประโยชน์ใด ๆ ได้โดยสิ้นเชิง<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    3. ธาตุลม (วาโยธาตุ) ธาตุลมมีความจำเป็นสำหรับมนุษย์มาก เพราะจะต้องทำหน้าที่พัฒนาเลือด คือธาตุน้ำและไฟไปหล่อเลี้ยงร่างกายให้ทั่วถึง มนุษย์จึงต้องมีการหายใจเอาอากาศธาตุคือลมเข้าสู่ร่างกาย นับว่าธาตุลมมีความสำคัญยิ่งต่อระบบร่างกายของมนุษย์ ผู้ใดมีสภาพของธาตุลมอ่อน ก็จะมีอาการหน้ามืด คลื่นเหียร วิงเวียน อย่างหนึ่งที่เรียกว่า คนเป็นลม ความจริง ขาดธาตุลม ที่จะพัดพาให้น้ำและไฟไปหล่อเลี้ยงร่างกายให้ทั่วถึง จึงต้องหายาลมมากิน เพื่อเร่งให้ธาตุลมเข้มข้นขึ้น ลมที่ใช้แล้วก็มีการเสื่อมสภาพเก็บเอาไว้ก็จะเป็นก๊าซพิษ ต้องมีการระบายออกเช่นเดียวกับการปล่อยก๊าซเสียของเครื่องจักรกลต่าง ๆ เช่นเดียวกัน และธาตุลมเป็นตัวจักรสำคัญยิ่ง ที่ช่วยให้มนุษย์เคลื่อนไหวแขนขาและร่างกายได้<O:p</O:p
    เมื่อมนุษย์มีธาตุแท้ที่ประกอบด้วยธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ เช่นนี้ การเจ็บไข้ได้ป่วยของมนุษย์ จึงมาจากการเสื่อมสภาพของธาตุทั้ง 4 นี้ เป็นสำคัญกว่าเหตุอื่น ประดุจขี้ขมวนหรือตะกอนที่ใกล้จะหมดสภาพของความเป็นประโยชน์อยู่แล้ว ยังเตรียมที่จะสลายตัวยุ่ยเปื่อย สูญหายไปโดยหมดประโยชน์ใด ๆ โดยสิ้นเชิง ผู้ใดที่รู้ซึ่งถึงความเป็นสภาพของมนุษย์ หมั่นปรับปรุงเพิ่มเติมธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ ให้แก่ร่างกายมีสภาพสมดุลกันอยู่ในธาตุทั้ง 4 นี้ ก็จะเป็นผู้ที่มีพลานามัยและสุขภาพที่สมบูรณ์เป็นเยี่ยม <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    วิธีรักษาธาตุทั้ง 4 ให้คงสภาพอยู่ได้ก็ง่ายเหมือนเส้นผมบังภูเขา เมื่อมนุษย์กำเนิดมาจากสิ่งนี้ เราก็เข้าหาธรรมชาติ สรุปก็คือ อยู่กับธรรมชาติให้มากที่สุดกว่าการอยู่ในสภาพที่แปลกปลอมด้วยภาวะวิทยาศาสตร์ที่รังแต่จะทำลายสภาพของธรรมชาติให้หมดสิ้นไป และสุดท้ายก็คือทำลายแม้สภาพร่างกายของตนเอง ท่านก็จะเป็นคนสมัยโบราณที่มีร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ อันเป็นที่ต้องการอย่างยิ่งของคนในยุคปัจจุบัน ที่ต่างพากันแสวงหาด้วยวิธีการรักษาต่าง ๆ นานา ซึ่งเป็นการรักษาปลายเหตุ หรือไม่รู้ที่มาหรือต้นตอที่แท้จริงของร่างกายมนุษย์ ก็ทำให้การรักษานั้นเป็นไปโดยยาก<O:p</O:p
    <O:p</O:p



    บทที่ 3<O:p</O:p


    ต้นเหตุของการเป็นโรคที่แท้จริง<O:p</O:p


    <O:p</O:p

    ต้นเหตุของการเป็นโรคที่แท้จริงมีอยู่ 3 ประการ ได้แก่<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    1. เกิดจากการสลายตัวของพลังธรรมชาติ เพราะธาตุทั้ง 4 คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ ธาตุใดธาตุหนึ่งเกิดอ่อนแอ ปรวนแปรสภาพ ทำให้เลือดลมไม่สมบูรณ์ เนื่องจากใช้พลังงานในร่างกายออกมามากไปหรือได้รับการดูดซึงพลังจากภายนอกได้ไม่เท่าที่ควร<O:p</O:p
    2. เกิดจากความอาฆาตพยาบาทของวิญญาณ อันเป็นต้นตอของโรคมะเร็ง จุดแก้ไขที่สำคัญที่สุด คือปรับสภาพการกินอาหารให้มาอยู่ในวิธีทางธรรมชาติให้มากที่สุด งดการกินเนื้อสัตว์ที่มีชีวิตทุกประเภทเพราะทำให้เป็นแผล ฝี หนอง เลือดเป็นพิษ เนื่องจากวิญญาณเหล่านี้สูบเลือดเนื้อกินเหมือนผีดูดเลือด<O:p</O:p
    3. เกิดจากกฎแห่งกรรมทั่วไปเช่น ได้ก่อกรรมเวร ทุบต่อยเตะตีใครไว้ในอดีต เกิดมาก็มีอาการง่อยเปลี้ยเสียขา พิกลพิการได้ แม้แต่เหตุเล็กน้อยที่สุด เช่น การขโมยรองเท้าใครมาใส่ในอดีตก็อาจเป็นแผลที่ขาได้ ซึ่งข้าพเจ้าได้พบด้วยตนเอง และแก้ไขให้เป็นปกติแล้ว โรคเหล่านี้จะมีข้อสังเกตได้ว่าหมอจะหาสาเหตุไม่พบ ไม่มีอาการของเชื้อโรคปรากฎอยู่ ไม่มีทางรักษาได้ นอกจากจะค้นคว้าไปให้พบต้นตอที่ได้สร้างกรรมไว้ และแก้กรรมนั้นให้หมดไปเท่านั้น<O:p</O:p
    <O:p</O:p



    บทที่ 4<O:p</O:p


    โรคมะเร็ง<O:p</O:p


    <O:p</O:p

    เป็นโรคที่รักษายากเป็นพิเศษ เชื้อโรคมีอานาจเหนือยา เหนือการรักษาของแพทย์ เนื่องจากเชื้อมะเร็งเป็นโรคที่มีชีวิตวิญญาณ เกิดจากการกินเนื้อสัตว์ของมนุษย์แทนพืชพันธุ์ธัญญาหาร สัตว์โลกที่มีชีวิตทั้งหลายทั้งปวงเป็นสิ่งที่พระเจ้าสร้างขึ้นเพื่อประดับโลกให้สวยงาม เป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกัน อาหารของสัตว์และมนุษย์ คือพืชพันธุ์ธัญญาหารที่มีอยู่อย่างอุดมสมบูรณ์นานาชนิดอันเกิดจากพลังงานตามธรรมชาติ สัตว์มีความมักน้อยกว่ามนุษย์อาศัยผักหญ้าอย่างเดียวก็มีกำลังร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ให้มนุษย์ใช้งานได้ แต่มนุษย์เราซึ่งมีอาหารธรรมชาติอยู่อย่างอุดมสมบูรณ์เหลือเฟือ กลับเสพเนื้อสัตว์เป็นอาหารแทน เนื่องจากการหลงผิด เพราะมีผู้แต่งตำราแนะนำไว้ให้เสพเนื้อสัตว์เป็นอาหาร เป็นเพราะอาหารจะมีพละกำลังแข็งแรง แต่สัตว์เหล่านี้ได้รับการทนทุกข์เวทนาจากการฆ่าแกงของมนุษย์ เกิดเป็นวิญญาณอาฆาตขึ้นสิงสู่ในร่างกายมนุษย์ ทำร้ายทำลายร่างกายให้เน่าเปื่อยผุพัง เช่นเดียวกับที่ได้ทำกับตนไว้ เป็นการใช้กรรมใช้เวรซึ่งกันและกัน เชื้อโรคเหล่านี้ไม่มีทางรักษาให้หายขาดได้ด้วยระบบของการแพทย์สมัยใหม่<O:p</O:p
    ผู้รักษาจะต้องศึกษาให้ลึกซึ้งถึง กฎแห่งกรรม การผูกพันระหว่างชีวิตวิญญาณ สามารถที่จะร้องขอให้วิญญาณนั้นอโหสิ ให้อภัยแก่ผู้ก่อกรรมให้เป็นผลสำเร็จเสียก่อน แล้วจึงซ่อมแซมเนื้อเยื่อใหม่ที่ถูกเชื้อโรคร้ายทำลายไป จะต้องเป็นผู้ที่มีพลังจิตสะอาดเป็นผู้ที่มีความบริสุทธิ์ และเมตตาจิตต่อมนุษย์สัตว์ทั้งปวง ไม่เสพเนื้อสัตว์ใด ๆ โดยสิ้นเชิง เมื่อไม่กินเนื้อเขา เขาก็ไม่กินเนื้อเรา แม้แต่ผู้ป่วยเมื่อหายแล้ว ก็ต้องปฏิบัติให้ได้อย่างผู้รักษา โรคจึงจะหายขาดได้โดยไม่หวนกลับมาอีก ผู้รักษาจะต้องมีหลักธรรมะสูง พอที่จะเกลี้ยกล่อมจิตใจให้วิญญาณเหล่านั้นหมดความอาฆาตพยาบาทได้ อันเป็นการรักษาที่ออกจะลำบากยากเย็นยิ่ง<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    วิธีที่จะตัดรากฐานของการเป็นโรคมะเร็ง ก็ด้วยการฝึกให้จิตเกิดเมตตา ให้พยายามคิดอยู่เสมอว่าเพื่อนสัตว์ทั้งหลายก็มีชีวิตวิญญาณเช่นเดียวกันเรา ย่อมไม่ปรารถนาการตายด้วยวิธีเจ็บปวดทรมาน โดยเฉพาะสัตว์บ้าน ซึ่งมีความเชื่องชินกับเรา ไม่ทำร้ายเรา สัตว์ใหญ่บางชนิดแถมให้เราใช้พลังงานเสียด้วย แล้วเรากลับโหดร้าย ทารุณ กินเนื้อหนังมังสาเขาเป็นอาหาร เช่นนี้ เป็นการยุติธรรมแก่กันแล้วหรือ เมื่อค้นคว้าเหตุผลให้เกิดความเป็นธรรมขึ้นในจิตใจแล้ว ต้องระงับดับเสียซึ่งความอยาก คือ การหลงติดในรสอาหาร พึงคิดว่า เนื้อหนังมังสาเหล่านี้ถ้ามีประโยชน์และเป็นอาหารแก่มนุษย์จริง เหตุใดเมื่อฆ่าแกงแล้วจึงไม่สามารถกินได้ทันที อย่างเช่นพืชพันธุ์ธัญญาหารซึ่งกินกันดิบ ๆ ได้เลย จะต้องเอามาปรับปรุงแต่งให้มีรสชาติกันการเน่าเปื่อย มิฉะนั้นก็จะเกิดการเน่าเหม็น เสียหายกินไม่ได้ มีรสกลิ่นไม่ผิดอะไรกับซากอกุศเหมือนเนื้อหนังมังสาของเรา ตายแล้วก็ควรเผาควรฝัง ใครเอาเรามาต้มยำทำแกง นั่งกินให้เราเห็น เราก็ย่อมโกรธแค้น ขอให้ท่านสละทิ้งรสชาติซึ่งเย้ายวนชวนใจแต่ภายนอก ภายในก็คือ การชักนำให้ท่านเดินไปหาหลุมศพ คือ โรคมะเร็ง อันเป็นการตายที่เจ็บปวดทรมานเยี่ยงเดียวกับการเจ็บปวดของวิญญาณที่ถูกท่านแล่เนื้อเถือหนังเขากินเป็นอาหารอย่างเอร็ดอร่อยไม่ผิดกันเลย<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    อาหารธรรมชาติที่จะแบ่งเบาการหลงผิดในรสอาหารให้ท่านได้แก่ อาหารเจ ซึ่งผู้ปรุงพยายามค้นคว้าดัดแปลงจากพืชมาปรุงแต่งให้มีลักษณะและรสชาติใกล้เคียงกับอาหารสัตว์ จะผิดแปลกแตกต่างกันก็ยังเป็นการบรรเทาความหลงติดในรสอาหารให้เบาบางลง เหมือนบรรเทาอาการลงแดงให้แก่ คนเสพฝิ่น ถ้าท่านปฏิบัติได้ถึงขั้นกินอาหารโดยธรรมชาติ งดเว้นเนื้อสัตว์และสิ่งที่ชีวิตทั้งปวง ท่านจะเป็นคนที่มีสุขภาพร่างกายดีเลิศ ร่างกายจะไม่เป็น ฝีหนอง การตายของท่านจะเป็นการตายแบบสำเร็จ ไม่มีการทนทุกข์เวทนาใด ๆ ไม่เหมือนการตายในแบบวิญญาณอาฆาต ตายด้วยโรคภัยไข้เจ็บ ร่างกายผุกร่อน เจ็บปวดทรมาน ดิ้นรนกระวนกระวาย อยู่ท่ามกลางวิญญาณที่รุมล้อมแล่เนื้อเถือหนังท่าน ทวงชีวิตและวิญญาณของท่าน ให้เกิดการเจ็บปวดเช่นเดียวกันที่ทำไว้กับเขา อันเป็นการตายที่เจ็บปวดทรมานน่าสะพึงกลัวอย่างยิ่ง<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ข้อสังเกต ผู้ที่กินเนื้อสัตว์แต่ไม่เป็นโรคมะเร็ง มักจะเป็นผู้ที่มีจิตเป็นกุศล ใจบุญสุนทาน ช่วยเหลือความทุกข์ยากของผู้อื่น กุศลเหล่านี้จะมาทดแทนเหมือนสีดำที่หมั่นเอาสีขาวมาเพิ่มเติมอยู่เสมอ ก็ทำให้เคราะห์กรรมนั้นเจือจางลงได้ ส่วนมากโรคมะเร็งจึงมักเป็นกับผู้ที่ขูดเลือดขูดเนื้อมนุษย์เห็นแก่ตนเองเป็นที่ตั้ง ขาดการเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่และใจบุญสุนทาน จึงต้องชดใช้กรรมให้แก่วิญญาณเหล่านี้เป็นการทดแทน บางรายเป็นมากถึงขนาดรักษาจนหมดเนื้อหมดตัวก็ยังไม่หาย ท่านที่ระลึกได้ถึงกฎแห่งกรรมอันนี้ ขอได้ละเลิกความเห็นแก่ตัว สร้างบุญสร้างกุศลในทุกอย่างที่ถือว่าเป็นความดี เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่มีเมตตาจิตต่อมนุษย์และเพื่อนสัตว์ด้วยกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าท่านละเลิกจากการบริโภคเนื้อสัตว์ได้ ก็จะตัดขาดจากการเป็นโรคภัยไข้เจ็บ เป็นแผล ฝี หนอง หน้าจะเปล่งปลั่งสดใส ไม่มีสนิมเกาะกิน คือไม่เป็นฝ้า เป็นสิว อีกต่อไป<O:p</O:p
    <O:p</O:p



    โรคที่เกิดจากการกินเนื้อสัตว์<O:p</O:p

    <O:p</O:p
    บิด ท้องร่วง ท้องเดิน กระเพาะอาหาร ริดสีดวงทวาร มะเร็ง หัวใจ เบาหวาน <O:p></O:p>
    ความดันโลหิตสูง โรคอ้วน ฯลฯ เกิดจากการกินเนื้อสัตว์ใหญ่ เล็กทุกชนิด<O:p></O:p>
    หวัด ไอ จาม ไซนัส ฯ เกิดจากการกินไขมันที่ผลิตจากไขของสัตว์ทุกชนิด<O:p></O:p>
    ปวดฟัน แผล ฝี หนอง ฯลฯ เกิดจากการกินกุ้ง หอย ปู ปลา เนื้อสัตว์เล็กทุกชนิด และกินทั้งเนื้อ ทั้งกระดูกเป็นเหตุที่สำคัญของโรค ฟันผุ เหมือน เรากินกระดูกเขา เขากินกระดูกเรา<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    อาการของโรคที่เกิดจากความอาฆาตของสัตว์ มาในรูปแบบที่แตกต่างกันเช่น บางคนเกิดกระดูกงอกที่หัวเข่า หมอเอ็กซเรย์ ปรากฎเหมือนรูปกรามหมูโค้งอยู่ในรูปหัวเข่า ได้ซักถามถึงอาหารที่ชอบ ปรากฏว่าชอบส่วนที่เป็นกระดูกอ่อนของหมูที่เคี้ยวดังกรุบ ๆ เป็นที่สุด บางคนเกิดอาการกล้ามเนื้อของกรามอักเสบเพื่อให้เคี้ยวอาหารไม่ได้ พยายามรักษาด้วยวิธีต่าง ๆ ก็ไม่หายขาด ปรากฎว่า ตามปกติบุคคลนี้เป็นผู้ที่รับประทานอาหารเก่ง ชอบเสาะหาอาหารเนื้อสัตว์ที่แปลก ๆ และอร่อยทานโดยไม่เลือกชนิดจึงลงโทษให้กรามอักเสบ เพื่อให้เคี้ยวอาหารไม่ได้ <O:p</O:p
    มีอยู่คนหนึ่ง เป็นโรคเยื่อหูอักเสบมีขี้หูเปียกเน่าเหม็นเป็นประจำ ประวัติส่วนตัวเป็นผู้ปรุงอาหารเก่งมาก รู้เคล็ดลับในการทำอาหารถึงกระทั่งว่า มีปลาชนิดหนึ่งมีเส้นเอ็นที่ซ่อนอยู่ในช่องหู เป็นเหตุที่ทำให้ปลาตัวนั้นมีกลิ่นคาวจัด เวลาทำอาหารต้องใช้ไม้เข้าไปแคะพันเส้นเอ็นนั้นให้ติดกับปลายไม้ แล้วดึงออกมา ทำให้ปลานั้นหมดความคาวไปได้ และสามารถปรุงอาหารได้อย่างเอร็ดอร่อยเป็นที่ติดอกติดใจ โดยที่หลาย ๆ คนปรุงอาหารด้วยปลาชนิดนี้ไม่ได้ เมื่อบุคคลที่ว่านี้มีอายุมากเข้าก็เกิดอาการโรคหูอย่างที่ว่านี้ และรักษาไม่หายเสียด้วย หมอลงความเห็นว่าให้เข้าโรงพยาบาลผ่าตัดเอาเนื้อเยื่อที่เสียออกไป แม้กระทั่งกรามอักเสบก็ลงความเห็นว่าควรผ่าตัด <O:p</O:p
    เมื่อถึงขั้นนี้ก็สันนิษฐานได้ว่า วิญญาณของสัตว์อาฆาตถึงที่สุด บังคับให้ถึงขั้นผ่าตัด เมื่อถึงขั้นผ่าตัด เมื่อถึงขั้นแล่เนื้อเถือหนังซึ่งกันและกันแล้ว โรคที่ว่านี้อาจหายขาดได้ เพราะหมดเวรกรรมซึ่งกันและกัน สำหรับสัตว์ไม่เป็นไรเพราะเขาเป็นวิญญาณไปแล้ว แต่คนเราซิ ยังมีชีวิตอยู่ แต่ในสภาพที่อวัยวะภายในภายนอกไม่สมประกอบถูกตัดทอนออกไป บางคนก็ปรากฎบาดแผลให้เห็นอยู่ภายนอก เปรียบเสมือนเครื่องจักรก็พิกลพิการขาดความสมบูรณ์หรือบกพร่องไป ท่านจะมีชีวิตอยู่ด้วยความสุขได้อย่างไร <O:p</O:p
    ถ้าท่านยังไม่มีโรคที่ทำให้เกิดความรุนแรง ถึงขั้นผ่าตัด ท่านควรจะรีบคิดถึงโทษของการกินอาหารที่เป็นเนื้อสัตว์เสียตั้งแต่บัดนี้ เพื่อตัวของท่านเองการหลีกพ้นให้พ้นจากสภาพของกฎแห่งกรรม ไม่มีทางอื่น นอกจากงดเว้นการกินอาหารเนื้อสัตว์ที่มีชีวิต ท่านจะเป็นผู้ประเสริฐด้วยความไม่เป็นโรค ถ้าท่านกลัวขาดวิตามินให้ปฏิบัติดังนี้<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    โดยปกติสภาพเลือดของคนในยุคปัจจุบันนี้ เนื่องจากกินอาหารเนื้อสัตว์เป็นประจำ ทำให้เลือดที่บริสุทธิ์สูญเสียไป เลือดที่บริสุทธิ์เกิดจากอากาศธาตุที่บริสุทธิ์ที่มนุษย์หายใจเข้าไปมีเหลืออยู่เป็นจำนวนน้อยมาก ถ้าแบ่งเลือดออกเป็น 4 ส่วน จะเป็นเลือดที่เกิดจากเลือดเนื้อสัตว์เสีย 3 ส่วน เมื่อท่านงดอาหารเนื้อสัตว์ในขั้นแรก เป็นความจริงที่เลือดบริสุทธิ์จะเหลืออยู่เพียงส่วนเดียว อันเป็นเหตุให้ท่านรู้สึกอ่อนเพลียบ้าง ความจริงเลือดบริสุทธิ์นี้จะเพิ่มตัวเองได้โดยอัตโนมัติ โดยได้จากการหายใจเอาอากาศที่บริสุทธิ์เข้าไป เพราะวิตามินต่าง ๆ มีอยู่ในแสงแดด ก็เข้าไปกับอากาศก็จะเพิ่มจำนวนเลือดในตัวท่านขึ้นทันที แต่เนื่องจากสภาพอากาศบริสุทธิ์ ในสิ่งแวดล้อมที่เป็นพิษเช่นในเมืองนี้ มีอยู่น้อยมาก ท่านต้องอาศัยยาที่เป็นตัวนำของเลือดที่ดีเข้าไปช่วยเพิ่มเลือดให้เร็วขึ้นดังนี้<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    1. ดอกมะลิแห้ง(ปลอดสารพิษ) เป็นดอกไม้ที่บริสุทธิ์ ดูดพลังงานจากอากาศธาตุไว้ได้มาก ให้นำดอกมะลิที่บูชาพระแห้งแล้ว หรือตากแดดให้แห้งก็ได้ คั่วให้เหลือง ใช้ชงรับประทานแทนน้ำชาอุ่น ๆ ครั้งละหยิบมือทุกวัน ความบริสุทธิ์จากดอกมะลิจะเข้าไปฟอกเลือดท่านให้สะอาด ท่านจะไม่มีอาการไอจาม น้ำมูกเสมหะเหนียวข้นอันบอกถึงความสกปรกของเลือดว่ามีมากหรือน้อย การไอ หรือจาม เป็นอาการที่สภาพของเลือดที่บริสุทธิ์ ไม่ยอมรับสิ่งที่สกปรกที่จะเข้าไปผสมกันให้เกิดเป็นพิษ จึงเกิดการระคายเคืองจนเกิดการไอจามให้แยกออกจากกัน ถ้าสิ่งสกปรกมากเกินไปก็เกิดอาการไอจามจนเป็นไข้ตัวร้อน เพราะเกิดการอักเสบของอวัยวะภายในขึ้น อย่างที่เรียกว่า ไข้หวัด<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    2. ลูกสมอแห้งกับเกลือ ลูกสมอเป็นผลของพืชที่ดูดซึมพลังงานจากแสงอาทิตย์ หรืออากาศธาตุที่บริสุทธิ์ไว้ได้ครบทุกชนิดมีทั้งรสเปรี้ยว ฝาด ขม หวาน ในตัวเองครบทุกรส จึงเป็นวิตามินรวมที่สำคัญปกติตัวยาที่จะสกัดมาเป็นวิตามินรวม จะต้องมาจากตัวยาหลายชนิดเดียวกัน เอามาผสมกันเข้าถึงจะเกิดเป็นวิตามินรวมขึ้น แต่ลูกสมอที่คุณภาพในตัวเองครบบริบูรณ์ เลือดที่สมบูรณ์จะต้องได้รับการบำรุงด้วยวิตามินรวมลูกสมอจึงเป็นยาบำรุงเลือดที่สำคัญที่สุด และไม่ต้องยุ่งยากอะไรเลย เมื่อกลั่นออกมาเป็นน้ำก็หมายถึงว่าท่านได้เลือดที่บริสุทธิ์มาดื่มกินได้ทันที โดยไม่ต้องไปปรุงแต่งด้วยตัวยาอย่างอื่น หรือหามาจากอาหารเนื้อสัตว์ที่ก่อให้เกิดโทษแทนประโยชน์ <O:p></O:p>
    สำหรับเกลือก็คือ ธาตุดิน ที่บริสุทธิ์ ท่านไม่ต้องวิตกกังวลว่าจะเป็นต่อมไทรอยด์เพราะขาดธาตุไอโอดีนซึ่งจะต้องไปเสาะหามาจากอาหารทะเล เช่น กุ้ง ปู หอย ซึ่งตรงกันข้ามการกินสิ่งมีชีวิตพวกนี้ดูจะเป็นต้นเหตุให้เกิดโรคไทรอยด์เสียมากกว่า จะมีสิ่งเดียวเท่านั้นที่ท่านอาจจะปฏิบัติได้ค่อนข้างยาก เพราะการดื่มน้ำลูกสมอต้มกับเกลือ จะหาความเอร็ดอร่อยเหมือนบริโภคอาหารเนื้อสัตว์ไม่ได้ ท่านอาจจะปฏิเสธในข้อนี้ แต่ถ้าท่านนึกถึงกฎแห่งความจริง และโทษทุกข์ที่เกิดกับท่านภายหลังที่บริโภคอาหารเนื้อสัตว์แล้ว ท่านควรใช้พลังจิตต่อสู้กับความหลงติดในรสอาหารเพื่อตัวท่านเอง พยายามเลือกเฟ้นอาหารที่ปรุงแต่งด้วยเนื้อสัตว์ให้น้อยที่สุด ค่อย ๆ จะเลิกไป จนพ้นจากความเป็นทาสสู่ความเป็นไทแก่ตัวท่านเองในที่สุด<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    วิธีต้มลูกสมอแห้งกับเกลือ ลูกสมอแห้ง 3 กำมือ เกลือเม็ดใหญ่ประมาณ 2 ช้อนโต๊ะปาด ๆ ต้มด้วยหม้อดินขนาดกลางใส่น้ำให้ท่วมลูกสมอประมาณ 3 ส่วนของหม้อ ตั้งไฟให้เดือด เคี่ยวให้งวดเล็กน้อย ให้มีรสเข้มข้นพอดี ใช้ดื่มประจำหลังจากรับประทานอาหาร หรือจิบบ่อย ๆ เวลาไอ หรือจามเป็นยาช่วยเพิ่มเลือด บำรุงเลือด ในขณะที่ท่านหยุดกินเนื้อสัตว์ ท่านไม่ต้องกลัวว่า จะขาดเลือดหรือขาดวิตามิน หรือง่อยเปลี้ยเสียขาแต่ประการใด<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    ยาทั้ง 2 ขนานนี้ เป็นตำราแท้ดั้งเดิมมาแต่สมัยเริ่มสร้างโลกมนุษย์ เจ้าของตำรับได้แก่ องค์อัครมหาพรหม พระบรมครู พระบุตรหัวปีของพระผู้สร้างโลกสร้างมนุษย์ หรือในภาคสุดท้ายที่จุติมาโปรดในโลกมนุษย์ก็คือพระบรมครูแพทย์ชีวกโกมารภัจ พระบรมครูการแพทย์แห่งโลกมนุษย์ ผู้ใดระลึกถึงพระคุณท่าน เวลาต้ม จุดธูปปักกลางแจ้ง 1 ดอก ระลึกถึงพระนามท่าน ยาจะเพิ่มคุณภาพเข้มข้นเพราะอำนาจพลังที่พระบรมครูจะเพิ่มให้กับจิตที่บริสุทธิ์ของท่าน<O:p</O:p
    <O:p</O:p


    <O:p</O:p


    ว.รัตนภูมิ ถ่ายทอดด้วยพลังปัญญาจากพระบรมครู<O:p</O:p

    <O:p</O:p
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 ตุลาคม 2009
  2. คีตราชันย์

    คีตราชันย์ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    10
    ค่าพลัง:
    +10
    ความจริงที่ไม่อยากรับฟัง
     
  3. คีตราชันย์

    คีตราชันย์ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    10
    ค่าพลัง:
    +10
    อาหาร...ต้านมะเร็ง
     
  4. หงษ์

    หงษ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    474
    ค่าพลัง:
    +821
    ชอบกระทู้นี้มากเจ้าค่ะ ร่วมอนุโมทนาอย่างสูงค่ะ:cool:นี่แหละคือสิ่งจริงแท้
     

แชร์หน้านี้

Loading...