เป็นการให้ ที่สกปรกหรือเปล่า

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย pimpanit91, 24 ธันวาคม 2009.

  1. pimpanit91

    pimpanit91 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    7
    ค่าพลัง:
    +12
    สวัสดีค่ะ
    หนูมีปัญหาอย่างหนึ่งที่ยังไม่เข้าใจ ค่ะ คือพ่อและย่านั้นลำบาก หนูก็พยายามหาหนทางช่วยเหลือทุกๆด้าน ถ้าตอนนี้หนูโตและทำงานหาเงินได้แล้ว คิดว่าพ่อและย่าต้องสบายที่สุดค่ะ หนูสวดมนต์เป็นประจำเพื่อให้พ่อและย่าและทุกๆคนมีความสุข นั้นทำให้หนูมีความสุข และหนูก็ทำงานด้วยค่ะไปช่วยยายทำงาน ยายนั้นมีฐานะดีไม่ลำบากเหมือนพ่อและย่า (ครอบครัวหนูหย่าร้างกันค่ะ) ด้วยต้องการให้ย่ากับพ่อได้ของดีๆบ้าง หนูเลยคิดอุบายหยิบเงินเพิ่มจากการทำงานกับยายเพิ่มมาอีกวันละสองร้อยมากค่ะ (ปกติหนูทำงานกับยายอาทิตย์ละสองวันค่ะ) ปกตินั้นหนูได้มาวันละสองร้อยบากท รวมทั้งสิ้นที่หนูได้ก็คืออาทิตย์ละ800บาท หนูจะแบ่งเงินเอาไว้ซื้อยาอาหารดีๆและเอาไปทำบุญ และซื้อของที่ตัวเองต้องใช้ โดยจะได้ไม่ต้องขอแม่ หนูทำอย่างนี้มาสักพัก นึกดีใจเสมอที่เห็นพ่อยิ้มด้วยความรู้สึกตื้นตัน ที่หนูยังรักและไม่ลืมพระคุณ แต่ก็มาเกิดความไม่สบายใจขึ้นเมื่อหนูเอาเรื่องไปเล่าให้เพื่อนคนหนึ่งฟัง เค้าบอกหนูว่า เท่ากับทำบาป และพ่อกับย่าก็เหมือนกับรับของโจร หนูจึงเกิดความทุกข์ใจค่ะ ที่มาทำให้พ่อและย่าพลอยไม่ดีไปด้วย ตกลงนี้หนูทำถูกหรือเปล่าค่ะ ตลอดเวลาที่หนูโตขึ้นมานี้ก็คิดเองตัดสินใจเองอยู่คนเดียว เลยไม่รู้ว่าอะไรถูกผิด แต่คิดโดยรวมแล้วหนูว่าถูก หนูจึงทำ เพราะจะให้หนูเห็นพ่อ ย่าลำบากโดยไม่เข้าไปช่วยเหลือนั้นไม่ถูกต้องสำหรับหนู หนูตั้งใจค่ะ ว่าโตไปจะคืนเงินยายให้หมด หากหนูจบไปได้งานทำแล้วแม้จะอดยังไงก็จะคืนเงินที่ยักยอกเอามาโดยพละการจากยายคืนจนกว่าชีวิตจะหาไม่ ถ้าหนูทำอย่างนี้จะบาปไหมค่ะ ช่วยชี้แจ้งด้วยค่ะ หนูเชื่อว่าคำตอบที่ได้จากที่นี้มันจะเป็นทางสว่างนำทางหนูไปในทางที่ถูกต้อง
     
  2. kungfuloma

    kungfuloma เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2009
    โพสต์:
    234
    ค่าพลัง:
    +1,011
    หลักการทำกรรมในพระพุทธศาสนาไม่ว่าฝ่ายดีหรือฝ่ายชั่ว ท่านเน้นที่ “เจตนา” เป็นใหญ่ ถ้ามีเจตนาแรง กรรมที่ทำลงไปนั้นก็ย่อมจะมีผลมาก ถ้ามีเจตนาอ่อน กรรมที่ทำลงไปนั้น ก็มีผลน้อย
    นอกจากจะเน้นที่เจตนาแล้ว ในการทำความดีต่างๆ ยังต้องรักษาจิตให้มีศรัทธาคือความเชื่อ และปสาทะคือความเลื่อมใส ในขณะที่ก่อนทำ กำลังทำ และหลังจากทำแล้วด้วย จึงจะได้รับอานิสงส์แรง ยิ่งมีปีติซาบซ่าน มีความอิ่มใจ ปลื้มใจด้วย ก็ยิ่งจะเสริมให้บุญจริยานั้นๆ มีอานิสงส์แรงยิ่งขึ้น ดังนั้น ในการประกอบการกุศลต่างๆ ในแต่ละครั้ง ถ้าท่านต้องการให้มีอานิสงส์แรง ก็ควรที่จะต้องระลึกถึงเงื่อนไขดังนี้

    ๑. วัตถุสิ่งของที่ให้ต้องบริสุทธิ์ เป็นของที่ได้มาโดยชอบธรรม ไม่ผิดกฎหมายบ้านเมือง ไม่ผิดศีลธรรมและต้องไม่เบียดเบียนตนและผู้อื่นด้วย ประกอบกับเป็นสิ่งของที่เลิศด้วย
    ๒. ผู้ให้ (ทายก) เป็นผู้บริสุทธิ์ เป็นผู้มีศีลเป็นพื้นฐาน คือ ศีล ๕ ถ้ายังไม่มีศีลมาก่อน ก็ควรที่จะสมาทานศีลก่อน แล้วจึงค่อยให้ทานหรือประกอบการบุญกุศลต่างๆ
    ๓. ผู้รับ (ปฏิคาหก) เป็นผู้บริสุทธิ์ เป็นผู้หมดกิเลส หรือกำลังทำให้หมดกิเลส หรืออย่างน้อยก็ต้องเป็นผู้มีศีล ถ้าไม่ได้ผู้รับอย่างนี้ ผลแห่งทานก็ย่อมจะลดลงมาตามส่วน
    ๔. ต้องประคองจิตให้เป็นกุศลอยู่ตลอดเวลา กล่าวคือ ก่อนให้ทาน กำลังให้อยู่ หรือให้แล้วก็ตาม จะต้องพยายามรักษาจิตให้ “ศรัทธา” กับ “ปสาทะ” เดินคู่กันไปตลอดเวลา จงกำจัดความลังเลสงสัยออกไปให้หมด จึงจะได้กุศลแรง
    ๕. ต้องมีปัญญาร่วมด้วย กล่าวคือ ในการประกอบงานบุญทุกประเภท ก่อนทำควรพิจารณาก่อนว่า สิ่งที่จะทำนั้นๆ มีคุณประโยชน์มากน้อยแค่ไหน ? ถูกต้องตามแนวคำสอนของพระพุทะเจ้าหรือไม่ ? ทำอย่างไรจึงจะเสียวัตถุน้อยที่สุด แต่ได้รับผลบุญมากที่สุด ?
    มิฉะนั้นอาจจะเกิดผลข้างเคียงที่ไม่พึงปรารถนาติดตามมาอีกมาก เช่น
    ก. ส่งเสริมโจรที่ปล้นศาสนา ให้มีกำลังยิ่งขึ้น
    ข. ให้กำลังแก่คนชั่ว ได้มีกำลังก่อกวนสังคมมากขึ้น
    ค. จะเกิด “วิปฏิสารใจ” ว่าไม่ควรทำเลย
    เพื่อป้องกัน “วิปฏิสารใจ” ถ้าไม่อาจที่จะรักษา “ศรัทธา” “ปสาทะ” หรือ “ปีติ” ไว้ได้ ภายหลังจากการประกอบกุศลแล้ว ก็อย่าให้เกิดวิปฏิสารใจคือความเดือดร้อนใจว่ากระทำในสิ่งที่ไม่สมควร เราควรจะคิดปลงใจ ดังนี้
    - ทำแล้วเหมือนทิ้งไปอย่างอาลัยถึงอีก
    - คิดว่าเกิดอกุศลดลจิต ให้เราเห็นผิดทำไป
    - เอาสติหักห้ามใจไว้ ไม่ให้คิดในแง่อกุศล
    ถ้าเราสามารถดำเนินปฏิปทาตามที่ได้เสนอแนะไว้นี้ การทำทานหรือประกอบการบุญต่างๆ ของเรา ก็ย่อมจะมีแต่ผลบวกอย่างเดียว ไม่อาจประสบผลลบเลย หรือหากว่าจะประสบผลลบ เราก็ไม่ยอมลบด้วยเพราะเรามีสติเป็นเครื่องเหนี่ยวรั้ง หรือยับยั้งใจไว้ได้แล้ว​

    ถ้าน้องไปหยิบฉวยเงินของยายมาโดยไม่บอกกล่าว ถึงแม้ว่าจะเอาไปทำอะไรก็เป็นการขโมยนะครับ เข้าข่าย วัตถุทานไม่บริสุทธิ์ และตัวเราก็ผิดศีลข้อ ๒

    กุศลเจตนา และความกตัญญูเป็นสิ่งที่ดีแล้ว แต่เมื่อรู้ว่าวิธีการที่ทำไม่ถูกต้อง ก็ไม่เป็นไร ลองหาวิธีใหม่ได้ ก็ขอคุณยายเอาตรงๆเลยได้ไหมครับ หรือถ้าจะยืมก็บอกท่านเลยว่าขอยืมเพิ่มส่วนนี้ โดยจะใช้คืนให้เมื่อไหร่ก็ว่าไป

    ลองอ่านเรื่องนี้เพิ่ม
    http://palungjit.org/threads/ประวัติของวัดคณิกาผล-วัดใหม่ยายแฟง.210423/
     
  3. Pariyawit

    Pariyawit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2008
    โพสต์:
    229
    ค่าพลัง:
    +777
    เรื่องถูกผิดนั้น น้อง pimpanit91<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_2766407", true); </SCRIPT> ทราบได้ด้วยตนเองแล้วครับ
    ด้วยจิตใจที่มีความสำนึกดีของน้อง
    การที่น้อง อยากดูแลพ่อและย่านั้น ถือเป็นการกตัญญู อันนี้ดี
    แต่กลับเป็นการเบียดเบียนทางคุณยายครับ อันนี้ไม่ดีครับ จุดนี้แหละที่บอกว่า จิตสำนึกดีของน้องทำงาน (ตรงนี้ทำให้เข้าใจได้ว่า น้องมีจิตใจที่ดี เพียงแต่เดินไม่รู้ทาง ไม่ถูกวิธีครับ)
    ให้สังเกตง่าย ๆ ครับ เมื่อน้องทำอะไรบางอย่างไป แล้วรู้สึกไม่สดใส ไม่เบิกบาน
    ต้องมานั่งรู้สึกไม่ดี ให้เข้าใจไว้ก่อนเลยครับว่า ผิดหรือป่าวไม่รู้ แต่ไม่น่าจะถูกต้องครับ

    ส่วนในการแก้ไขปัญหา
    1. ให้หยุดการหยิบเงินเพิ่มเองโดยพลการทันทีครับ
    เพราะแม้เงินนี้จะนำไป ดูแลพ่อและย่า หรือ ทำบุญ
    แต่ที่มาของเงินไม่บริสุทธิ์ อันนี้ไม่ดีครับ (โดยเฉพาะเรื่องนำมาทำบุญ ถ้าน้องไม่พร้อมหรือมีปัจจัยน้อย แนะนำว่า ให้รักษาศีล และสวดมนต์แทนก่อน เมื่อทุกอย่างพร้อมแล้ว น้องจะมีเงินทำบุญเองในอนาคต)

    2. น่าจะเป็นการขอค่าแรงจากคุณยายเพิ่มมากกว่า การหยิบเพิ่มเองโดยไม่บอกนะครับ
    โดยอาจให้เหตุผลว่า มีค่าใช้จ่ายที่จำเป็น และอาจจะทำงานเพิ่มเติมให้ท่านอีกสักหน่อย จะดีกว่าครับ จากการที่อ่านคิดว่า คุณยายน่าจะใจดี และเข้าใจครับ

    3. การขอเงินคุณแม่ (อันนี้ไม่รู้ว่า คุณแม่ลำบากหรือไม่) แต่เป็นธรรมดาที่ผู้เป็นแม่ย่อมต้องดูแลลูกครับ การที่แม่ให้เงินลูกนั้น แม่ก้อได้ทำหน้าที่ของแม่ ด้วยครับ เป็นมงคลชีวิตอย่างนึง และการที่เรานำเงินที่ได้มาใช้อย่างรู้คุณค่าก้อถือเป็นการตอบแทนคุณแม่และเงินที่แม่ให้ครับ

    4. อันนี้ ใต้องพิจารณาให้ดีครับ
    ให้หาจังหวะที่เหมาะสมนะครับ ย้ำว่าต้องเป็นเวลาที่เหมาะสม
    กราบขอโทษคุณยาย และบอกความจริงไปครับ
    ผลที่จะออกมามีสองทางครับ
    -- ถ้าคุณยายเข้าใจ ยายจะให้อภัยและให้ทำงานต่อ
    -- ถ้าคุณยายไม่เข้าใจ ยายจะไม่ให้อภัย และอาจไม่ได้ทำงานต่อ เพราะไม่ไว้ใจแล้วครับ
    ถ้าพิจารณาแล้ว คุณยายจะไม่เข้าใจล่ะก้ออย่าเพิ่งบอกครับ ให้รอทำงานได้เองแล้ว นำเงินที่เคยหยิบเพิ่มไปไปกราบขอโทษคุณยายทีหลังครับ

    เอาใจช่วยนะครับ
    เมื่อก่อนเราก้อเคยหยิบเงินพ่อแม่ไปซื้อนู้นซื้อนี่ (ก้อเหมือนขโมยอ่ะแหละครับ)
    แต่ก้อคิดได้ว่า ไม่ถูกต้อง และก้อหยุดทำ
    พอโตมาก้อกราบขอโทษท่าน และเมื่อทำงานได้ก้อให้เงินท่านเท่าที่เราจะสามารถครับ
    เอาความรู้สึกผิดนี้เป็นครู และสงสัยให้เราไม่ทำผิดอีก และทำความดีให้มากขึ้นครับ


    เอาใจช่วยครับ
     
  4. @^น้ำใส^@

    @^น้ำใส^@ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    2,330
    ค่าพลัง:
    +4,674
    บอกยายตรงๆเลยนะคะ การขโมยของเป็นสิ่งที่ไม่ดีนะคะ ทำดีก็ดีให้ตลอด ดีให้ทุกทาง ดีต่อทุกฝ่ายนะคะ

    น้องมีความกตัญญูน่ายกย่อง คะ

    ขอคุณพระคุ้มครองนะคะ

    ^^
     
  5. ยอดยาหยี

    ยอดยาหยี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    576
    ค่าพลัง:
    +2,697
    ทำอย่างนั้นไม่ดีแน่ ๆ ค่ะ ถึงได้บุญแต่ก้อไม่มากเพราะของที่เอามาไม่บริสุทธิ์
    ผิดศีลข้อ 2 ค่า รีบปรับปรุงตัวด่วนค่า ยังไม่สาย
     
  6. ปีศาจร้าย

    ปีศาจร้าย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    670
    ค่าพลัง:
    +1,240
    ใช่ครับการขโมยไม่ถูกต้อง ถ้าเป็นไปได้ก็เลิกขโมยแล้วก็พอใจกับเงินที่หามาได้ตามกำลังทรัพย์จะดีกว่านะครับ หากเราทำดีไปเรื่อยๆๆกุศลผลบุญมันจะยิ่งเพิ่มพูลขึ้นให้เราเองครับ
     
  7. ชัยธนันท์

    ชัยธนันท์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    859
    ค่าพลัง:
    +1,488
    อนุโมทนาสาธุครับ สำนึกได้อย่างน้อยก็มีหิริโอตัปปะน้องต้องหยุดโขมยเสียตั้งแต่ตอนนี้เลยครับ อะไรจะเกิดก็ต้องให้มันเกิดอะไรที่ทำผิดพลาดไปแล้วก็อย่าไปทำซ้ำอีก ถึงต่อมาจะฐานะดีขึ้นแต่เจ้ากรรมนายเวรเขาก็จะมาทวงเงินของเขาคืนอาจจะตีค่าไม่ได้อาจจะรู้สึกว่าทำไมเราต้องมีค่าใช้จ่ายเสมอๆ ชักหน้าไม่ถึงหลัง การทำบุญกับผู้มีพระคุณได้ผลตอบแทนแน่นอนไม่ช้าก็เร็ว
     
  8. somemaybe

    somemaybe เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2009
    โพสต์:
    218
    ค่าพลัง:
    +143
    ตัวเราคิดเองว่าไม่เป็นไร
    แต่ก็ไม่รู้ว่าเจ้าของเงินจะคิดยังไง
    ยังมีผู้มีพระคุณอีก2คนที่เค้ารับเงินจากเราไปอีก

    ไม่ได้ผิดแค่ข้อลักขโมย แต่เข้าข่ายข้อมุสา
    ด้วยเจตนาให้คนที่มีบุญคุณกับเราถึง 3 คนเข้าใจผิดไปด้วย

    สำหรับตัวเราเองเวลาที่ไม่มีเงินหรือมีเงินน้อย ซึ่งปัจจุบันก็ยังมีเงินน้อยมาก
    วันพระเราไปทำบุญเราหยอดตู้แค่ 2-3 บาทเอง กับข้าวก็ซื้อตามเท่าที่ปัจจัยจะมี ประมาณ 25-100 บาท(ถ้ามีศรัทธามากหน่อย) บางทีประหยัดทรัพย์หน่อยก็ใช้วิธีหุ้นกันออกสมทบคนละแค่20

    แต่เราก็โมทนาบุญกับคนอื่น เพราะมีความรู้สึกยินดีเวลาที่เห็นคนอื่นเค้าทำความดี
    เราพยายามไม่โกรธ ไม่เกลียดใคร ทำใจให้มีสติมีความร่าเริงผ่องใส
    พยายามประคองชีวิตให้ไปตามหน้าที่และบทบาทโดยที่ไม่ไปล่วงละเมิดต่อผู้อื่น
    ซึ่งเราว่ามันก็เป็นการทำบุญที่ให้ผลมหาศาลแล้ว




    ทรัพย์สินเงินทองข้าวของต่างๆมีที่มาที่ไป
    เงินของยายที่แอบเอามา อาจมีเหตุที่มาของทรัพย์ที่เราก็ไม่รู้ หรือนึกไปไม่ถึง

    คนบางคนได้มรดกเป็นทรัพย์สินร้อน เพราะเงินทองเกิดจากที่มาที่ไม่บริสุทธิ์
    เอามาทำกินก็ทำกินไม่ขึ้น ยิ่งถ้าเป็นคนไม่ดี ไม่นานก็พาให้ทรัพย์ดีอื่นๆที่มี
    หมดตามไปด้วย


    คนเราอาจสืบทอดกรรมตามสายเลือด แต่ก็อาจสืบทอดมรดกกรรม
    ตามจำนวนทรัพย์สินเงินทอง ข้าวของ ที่มาหล่อเลี้ยงความเป็นตัวของเราด้วย

    "อย่าประมาทแม้ในกรรมเพียงเล็กน้อย"
    เพราะมันอาจนำมาในผลกรรมซึ่งใหญ่กว่า

    เพราะเงินจำนวนเล็กน้อย ไม่ได้เป็นเครื่องรับประกันว่า
    ความโลภในใจของเราจะไม่มีเพิ่มขึ้นอย่างมากมาย

    ยกตัวอย่างง่ายๆ แม้แต่การทำบุญ หลายๆคนยังโลภในบุญเลย


    เคยอ่านหนังสือของแม่ชีทศพรเล่มหนึ่ง เขียนเล่าว่า
    ครั้งหนึ่งแม่ชีเคยลักลอบเข้าเมืองอื่นอย่างผิดกฏหมาย พอเวลาจะแผ่บุญ
    ปรากฏว่าผลบุญก็ยังไปได้ไม่ถึง สาเหตุก็เพราะแม่ชีแอบเข้าเมืองอย่างไม่ถูกต้องนั่นเอง

    ---------

    เราว่าอย่าโลภในการทำบุญจะดีกว่า
    มิฉะนั้นบุญที่ควรจะได้อาจกลายเป็นของร้อนนอนนิ่งอยู่ในใจตน








     
  9. pimpanit91

    pimpanit91 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    7
    ค่าพลัง:
    +12
    ขอบคุณทุกคนมากเลยค่ะ เท่านี้หนูก็ซึ้งใจแล้ว ว่าตนเองควรปฎิบัติตัวให้ดี ไม่ขโมยและพูดโกหกอีก นั้นละค่ะเป็นสิ่งที่ลึกๆแล้วหนูอยากจะกระทำจริงๆ หนูเองก็ไม่อยากโกหกและขโมยอีกแล้ว เพราะไม่สบายใจ หนูจะให้เท่าที่ตนมี แต่จะทำดีให้มากๆ จะสวดมนต์บ่อยๆค่ะ ชอบคุณมากจริงๆค่ะ ซึ้งใจจริงๆ อ้อ หนูได้อ่านเรื่องวัดใหม่ยายแฟงแล้ว สะท้อนใจมากค่ะ ขอบคุณจริงๆค่ะ ขอให้ทุกท่านมีความสุขทั่วหน้ากัน ค่ะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...