ชมรมนักปฏิบัติธรรมและคนมีองค์

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย Pleased, 30 พฤษภาคม 2009.

  1. sakichan02

    sakichan02 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มกราคม 2009
    โพสต์:
    224
    ค่าพลัง:
    +328

    คนเราจะมีกุศลได้
    ต้องภาวนาให้ใจใสสะอาดออกมาจากดวงใจ
    จะมีเมตตา ปรารถนาดีต่อทุกคน
    จะไม่อิจฉาริษยาแต่ประการใด
    นี่ก็เป็นทานอันสำคัญ
    ที่เราพยายามเสียสละความชั่วออกจากตัวได้..

    จะเป็นคนดี ปฏิบัติข้อเดียวคือ ละความชั่ว
    ละความชั่วไม่ได้..ดีไม่ได้แน่นอน
    เอาแต่ความชั่วใส่ตัวตลอดราชการ เลยมีทิฐิ
    คนชั่วคนดีมันต้องทะเลาะกัน
    คนชั่วมันทำดีไม่ได้ คนดีทำชั่วไม่ได้หรอกนะ ดูตรงนี้อย่าไปว่ากัน
    แต่การนินทามันเรื่องธรรมดา มันเรื่องของคนที่ชอบ
    พระพุทธเจ้านั้น ใครจะด่าจะว่าท่านก็ไม่ถือ
    เพราะคนที่รู้ไม่จริง เขาถึงด่าเรา
    เราสอนให้เขาเป็นคนดี เขากลับมาด่าเรา
    เพราะเขารู้ไม่จริง เป็นอย่างนี้ แล้วจะเอาอะไรมาเป็นหลักก็หามีไม่..




    หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม
    <!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->J.Sayamol<!-- google_ad_section_end -->
     
  2. sakichan02

    sakichan02 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มกราคม 2009
    โพสต์:
    224
    ค่าพลัง:
    +328
    เมื่อไม่หวั่นไหวต่อความนินทาว่าร้าย
    ความอิจฉาริษยาจากผู้อื่น บุญบารมีก็แก่ขึ้น
    ถ้าผู้ใดมีจิตใจหวั่นไหวกับคำสรรเสริญ หรือนินทาจากผู้อื่นแล้ว
    บุญบารมีก็ไม่แก้กล้าขึ้นได้ ขอให้พากันเข้าใจ

    หลวงปุ่เหรียญ วรลาโก
    J.Sayamol
     
  3. sakichan02

    sakichan02 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มกราคม 2009
    โพสต์:
    224
    ค่าพลัง:
    +328
    คนที่หลงจึงต้องแสวงหา
    ถ้าไม่หลงก็ไม่ต้องหา จะหาไปให้ลำบากทำไม
    อะไรๆก็มีอยู่กับตนเองอย่างสมบูรณ์อยู่แล้ว
    จะตื่นเงา ตะครุบเงาไปทำไม
    เพราะรู้แล้วว่า เงาไม่ใช่ตัวจริง

    หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
    J.Sayamol
     
  4. sakichan02

    sakichan02 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มกราคม 2009
    โพสต์:
    224
    ค่าพลัง:
    +328
    ความสงบแห่งจิต


    การทำจิตให้สงบ คือ การวางจิตให้พอดี
    ตั้งใจเกินไปมันก็เลยไป ปล่อยเกินไปมันก็ไม่ถึง
    เพราะขาดความพอดี จิตของเราจึงไม่มีกำลัง
    การทำจิตให้มีกำลัง
    คือการทำจิตให้สงบ ให้อยู่ในขอบเขตของมัน
    หลองพ่อชา สุภัทโท
    J.Sayamol
     
  5. จิตโขง

    จิตโขง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    99
    ค่าพลัง:
    +181
    อยากสมัครเป็นสมาชิกครั้งต่อไปคับ
     
  6. ภราดรภาพ

    ภราดรภาพ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2009
    โพสต์:
    1,578
    ค่าพลัง:
    +2,762
    ยินดีครับ รอรุ่นต่อไปนะครับ คาดว่ากลางเดือนมีนาคม 2553 นี้ ครับ
    อดจนรอนิดหนึ่ง
     
  7. ภราดรภาพ

    ภราดรภาพ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2009
    โพสต์:
    1,578
    ค่าพลัง:
    +2,762
    ประกาศ ชมรมนักปฏิบัติธรรมและคนมีองค์ ขอขอบคุณทุกๆ ท่านที่ได้มาร่วมกิจกรรมในรุ่นที่ 2 ประจำปี 2553

    สำหรับรายละเอียด จะสรุปโดยสังเขป ขอให้อดใจรอนิดหนึ่ง
     
  8. ภราดรภาพ

    ภราดรภาพ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2009
    โพสต์:
    1,578
    ค่าพลัง:
    +2,762
    รายงานสรุปผลกิจกรรมชมรมฯ ครั้งที่ 2 / 2553

    ก่อนอื่นขอขอบคุณทุกๆ ท่่านที่ได้ร่วมกิจกรรมของชมรมฯ ในวันเสาร์ที่ 20 ก.พ. 2553 ที่ผ่านมา

    กิจกรรมการบรรยาย มุ่งเน้นในเรื่องแก่นพระพุทธศาสนา พลังจิตตานุภาพ การเจริญกรรมฐานวิปัสสนา สำหรับไฟล์เอกสารการบรรยายจะจัดส่งผ่านทางอีเมล์ในโอกาสต่อไป

    กิจกรรมการเจริญสมาธิ มีทั้งผู้ฝึกหัดเก่าและใหม่ ได้รับการชี้แนะการฝึกจิตโดยใช้สังโยชน์สิบเป็นแนวทางวิปัสสนา

    ในการตัดสังโยชน์ควรกระทำอย่างต่อเนื่อง 1 - 10 เหมือนดื่มน้ำจากแก้วและไหลเป็นสายลงมา มั่นนำมาภาวนาและปฎิบัติทุกขณะจิต ไม่จำเป็นต้องเข้าฌานลึก หรือเพียงแค่ใช้สติระลึกรู้อยู่กับสังโยชน์

    หากเปรียบเทียบการตัดสังโยชน์กับวลีที่ว่า " สะอาดแล้วศีล สงบด้วยสมาธิ สว่างด้วยปัญญา) ต้องมีความเชื่อในสองข้อแรกก่อนว่า กายนี้ไม่ใช่ของเรา (สักกายทิฎฐิ
    ) เป็นไปตามกฏไตรลักษณ์ ไม่ต้องสงสัยใดๆ (วิจิกิจฉา) เลยว่า กายนี้เป็นแดนกักขังดวงจิต จิตที่ได้รับการชำระและหล่อหลอมแล้วเท่า่นั้น ย่อมจะหลุดพ้นพันธนาการได้ ดังนั้น การรักษาศีลไม่ให้มัวหมอง (ศีลลัพตปรามาส) นั้นแหละ ที่จะช่วยชำระจิตใจของเราให้สะอาด (สะอาดด้วยศีล) ศีลจะเป็นพื้นฐานให้สมาธิ ทั้งรูปฌาน และอรูปฌาน แต่ก่อนที่อื่นต้องขจัดกามฉันทะ และปฏิฆะให้เบาบางหรือหมดจากจิตไปเสียก่อน ซึ่งถึอกันว่าทั้งกามฉันทะและปฏิิฆะเป็นนิวรณ์แห่งองค์สมาธิ (สงบด้วยสมาธิ) เมื่อสมาธิเกิดพลัง จิตตานุภาพก็เกิดตามไปด้วย แม้จะมีพลังมากเพียงใด ก็ไร้ประโยชน์หากไร้ซึ่งปัญญา จึงจำเป็นต้องประมาณกำลังให้พอดี ไม่ยึดติดกับองค์ฌานทั้งรูปและอรูปจนเป็นเลิศจนเกิดมานะ (มานะ) จนกระทั่งยึดติดยึดมั่นจนกลายเป็นหลง เมื่อจิตไม่ยึดมั่นแล้ว ไม่ปรุงแต่งแล้ว (อุจธจะ) จิตไม่ฟุ้งซ่าน จิตไม่ปรุงแต่ง จิตที่ผ่องแผ้ว ย่อมทำให้เกิดปัญญาญาณ เห็นอวิชา (อวิชชา) เป็นสิ่งที่ต้องขจัดให้หมดสิ้นไป ดั่งมีพลังและอาวุธพร้อมที่ประหารกิเลสทั้งปวง (สว่างด้วยปัญญา)

    การตัดสังโยชน์จะกระทำแบบวนซ้ำไปเรื่อยๆ จนกว่าจะเข้าสภาวะเหล่านั้นได้ เปรียบเหมือนปลาแซมอลว่ายข้ามมหาสมุทร ข้ามลำธาร เพื่อจะกลับไปยังถิ่นเดิม (จิตเดิม / แดนสรวง) เพื่อหนทางแห่งการหลุดพ้นจากพันธการทั้งปวง ปลาแซลมอลย่อมรู้เองว่าตอนนี้ อยู่ที่ไหนในมหาสมุทร (น้ำเค็ม) ตอนนี้อยู่ไหนในลำธาร (น้ำจืด) และย่อมรู้ว่าตอนนี้ถึงจุดหมายปลายทางแล้วยัง บางก็ตายระหว่างทางเพราะหมดแรง บางก็ตายเพราะโรคภัย และบางก็ตายเพราะหมีตะปบกิน ทั้งนี้ก็ขึ้นอยุ่กับวาระกรรมและบุญบารมีของแต่ละท่าน

    ความเห็นถูกผิดเช่นใด ก็ขอให้ใช้พิจารณาด้วยญาณทัสนะ
    ผู้แสดงความเห็น มีเจตนาเพียงเพื่อร่วมเล่าประสบการณ์

    ขอให้ทุกๆ ท่านเจริญในธรรมสูงมากยิ่งๆ ขึ้น




     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 กุมภาพันธ์ 2010
  9. ภราดรภาพ

    ภราดรภาพ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2009
    โพสต์:
    1,578
    ค่าพลัง:
    +2,762
    อ้างอิง ข้อมูลจาก: คุณ tossapornk

    สังโยชน์ 10 มีดังนี้


    1.สักกายะทิฏฐิ มีความเห็นว่าเราไม่มี ไม่มีเรา ไม่มีตัวตนของเรา ไม่มีเราเป็นตัวตน เป็นเพียง รูปและนาม เกิดดับ เท่านั้น รู้ได้ด้วยอารมณ์ใจ เป็นบาทฐานแห่ง ปัญญาที่จะเข้าถึง พระไตรลักษณ์

    2.วิจิกิจฉา สิ้นความสงสัย ในการปฏิบัติ และ พระรัตนตรัย ในเรื่องการเวียนว่าย ตายเกิด นั้นต้องไม่สงสัย นิพพาน ต้องไม่สงสัย พูดง่าย ๆ ความสงสัย ในธรรมะ ไม่มี เมื่อความสงสัยในธรรมะ ไม่มี ความสงสัย ในพระพุทธเจ้า และ พระสงฆ์ จึงไม่มี เมื่อไม่มีความสงสัย ในพระรัตนตรัย จึงมีความเคารพอย่างสูง และ ระมัดระวัง เอาใจใส่ ใคร่ครวญ ต่อพระรัตนตรัย อย่างมาก ถึงตอนนี้ จะมีการแสดงออกมา ด้วยกาย ด้วยวาจา จากใจไม่มีอ้ำอึ้งกับพระรัตนตรัย จะไม่อาย ที่จะแสดงออก ต่อพระรัตนตรัย ทั้งต่อหน้า และ ลับหลัง แม้ต่อหน้าตนเอง และผู้อื่น ข้อนี้ สำคัญมาก เพราะถ้าไม่ผ่านด่านนี้ไปได้ก็ไม่ต้องพูด หรือ ภาวนาที่เหลือ เลย

    3.สีลัพพะตะปะรามาส ไม่สำคัญผิด จากความเห็นเนื่องจากการปฏิบัติผิด จากธรรมเนียม ความหลงผิดจากระเบียบแบบแผน เพราะฉะนั้นท่านผู้ที่ทำได้ถึงตรงนี้ จึงมั่นคงในศีล คือตั้งใจรักษาศีลอย่างมั่นคง ไม่ยุยงให้ผู้อื่นผิดศีล และไม่ยินดี เมื่อเห็นผู้อื่นผิดศีล และไม่ทุกข์ หรือ เดือดร้อนเพราะการมีศีล

    4.กามราคะ ไม่ยึดมั่นกำหนัดหรือชอบใจ ในการหลงรูป หลง เสียง หลงกลิ่น หลงรส หลงสัมผัส ไม่พอใจด้วยอารมณ์ ถึงตรงนี้แล้ว กายคตาสติ จะเกิดขึ้นอย่างสูง อีกนัยหนึ่ง สังขารุเบกขาญาณ จะเกิดขึ้นมาก ๆ จากจุดนี้

    5.ปฎิฆะ ไม่ขุ่นเคือง โกรธพยาบาท ต่อผู้ใด เพราะเหตุแห่งกิเลส คือโทสะ ตรงนี้อารมณ์ ที่เห็นจะเหมือนพรหม มาก ๆ เพราะมีความเมตตา กรุณา มุทิตา และอุเบกขา เกิดขึ้นอย่างชัดเจน มาก ๆ อารมณ์ จะดับ ด้วยวิปัสสนาญาณ เพราะมองเห็นความเป็นจริงจาก กายคตาสติ และ มรณัสสติ จะสูงขึ้น

    6.รูปราคะ ละความหลงใหลในรูป ในมโนจิต ที่ล้ำลึก ในที่นี้ หมายถึง รูปฌาน สำหรับพระอภิญญา ถ้าเป็นแบบพระสุกขวิปัสสโก แล้ว แทบไม่ต้องทำเลยเพราะจะหมด ตั้งแต่ ข้อที่ 4 กามราคะ

    7.อรูปราคะ ละความหลงใหล ในอรูป ในมโนจิต ที่ล้ำลึก ในที่นี้ หมายถึง อรูปฌาน สำหรับพระอภิญญา ถ้าเป็นแบบพระสุกขวิปัสสโก แล้ว แทบไม่ต้องทำเลยเพราะจะหมด ตั้งแต่ ข้อที่ 5 ปฎิฆะ แต่สำหรับสายอภิญญานั้น อารมณ์ ฌานที่ 8 นั้นทิ้งกาย ซึ่งไปทำลาย อายตนะสัมผัส หมด คงเหลือแต่ มโนอายตนะจึงทำให้ จิต เป็นนามเท่านั้น ซึ่งการปฏิบัติอย่างนี้ ยังผิด เพราะการปฏิบัติธรรม นั้นมีไว้ในปัจจุบัน ใช้ในปัจจุบัน จึงต้องพาไปทั้ง 2 อย่าง คือ รูปและนาม หรือ ที่เราเรียกว่า ขันธ์ 5

    8.มานะ ละความหลงผิด ที่ว่าเรา เสมอเขา เราดีกว่าเขา เราเลวกว่าเขา เพราะถ้าเป็นสุกขวิปัสสโก มาตั้งแต่ต้น ก็ต้องเข้มข้น ในเรื่อง กายคตาสติ ส่วน สายอภิญญา นั้นจะรู้แจ้งได้เอง หลังจาก ละ รูปฌาน และอรูปฌาน

    9.อุทธัจจะ ละความฟุ้งซ่าน ที่หลงเพ้อพก ขันธ์ 5 และ หลง ในรูป นาม ความหลงตน สำหรับพระอนาคามีนั้นข้อนี้จะหมายถึงความฟุ้งไปอารมณ์ที่ติดจิต ซึ่งเป็นสถานที่หรือความพะวง พระอรหันต์หลายท่านกล่าวว่าเป็นอารมณ์ที่เกาะสุทธาวาส

    10.อวิชชา มาถึงตรงนี้ แล้ว มันน้อยมาก เพราะ กิเลสมันบางลงมาตั้งแต่ ข้อแรก มาถึงตรงนี้เป็นวิชชาเอง เป็นบทสรุป ของสังโยชน์ โดยไม่ต้องทำอะไรเลยเพราะว่า ข้อนี้ ก็คือการละ ทั้ง 9 ข้อ นั้นเอง ซึ่งท้ายที่สุด พระอรหันต์ ทั้ง 2 แบบ จะได้อาสวักขยญาณ โดย อัตตโนมัติ ทันที ไม่ต้องรออนุมัติจากใคร ๆ หลังจากตรงนี้ เพื่อให้ได้ทบทวน อาสวักขยญาน ตั้งแต่ ผู้ที่ละสังโยชน์ ได้ตั้งแต่ 5 ข้อมา จะสามารถ
    เข้านิโรธสมาบัติได้ เฉพาะพระอภิญญา เท่านั้น

    ( หลวงพ่อได้แนะนำเพิ่มว่า ผู้ที่ได้ละอวิชชา จะเป็นผู้ยินดีใน อริยทรัพย์ และมองเห็นโทษ ของ โลกียะทรัพย์ และไม่ยึดติดใน โลกียะทรัพย์ )

    การละ สังโยชน์เป็นที่ระบุระดับชั้นของพระอริยะ
    ผู้ที่กำลังละสังโยชน์ ตั้งแต่ข้อที่ 1 – 3
    ชื่อว่าผู้ได้ โสดาปัตติมรรค ชื่อว่าผู้ได้ดวงตาเห็นธรรม ( ผู้ทรงอารมณ์แห่งพระโสดาบันอย่างต่อเนื่อง )

    ผู้ที่ละสังโยชน์ ได้ตั้งแต่ข้อที่ 1 – 3
    ชื่อว่าผู้ได้บรรลุโสดาปัตติผล ตรงนี้ชื่อว่าพระโสดาบัน ( ผู้เสวยอารมณ์แห่งพระโสดาบันอย่างถาวร )

    พระโสดาบัน เป็นผู้มีอารมณ์ตั้งมั่นในการปฏิบัติธรรม เป็นผู้ปฏิบัติดี ไม่มีการประพฤติ ผิดในธรรม

    สมดังคำสรรเสริญสังฆคุณ ว่า “สุปะฎิปันโน สาวะกะสังโฆ ผู้ประพฤติดีพร้อม ด้วยกาย วาจา และ ใจ”

    ปัจจะเวกขะณะญาณ ของพระโสดาบัน มี 2
    1.มรรค 2.ผล ( 3.กิเลสที่ละได้แล้ว 4.กิเลสที่เหลืออยู่ 5.นิพพาน 3 ข้อท้ายไม่ชัดเจน )
    พระโสดาบันมี 3 ประเภท
    1.เอกพีชี เกิดชาติเดียวเป็นพระอรหันต์
    2.โกลังโกละ เกิดอีก 2-3 ชาติ เป็นพระอรหันต์
    3.สัตตักขัตตุงปรมะ เกิดอีก 7 ชาติเป็นพระอรหันต์

    ผู้ที่เป็นพระโสดาบันแล้ว กำลังเริ่มละ สังโยชน์ข้อที่ 4 – 5 แบบเบาบาง
    ชื่อว่าได้บรรลุเป็น พระสกิทาคามิมรรค ( ผู้ทรงอารมณ์แห่งพระสกิทาคามีอย่างต่อเนื่อง )
    ผู้ที่เป็นพระโสดาบันแล้ว ละสังโยชน์ ข้อที่ 4 – 5 ได้อย่างเบาบางแล้ว
    ชื่อว่าได้บรรลุเป็น พระสกิทาคามิผล หรือ พระสกิทาคามี ( ผู้เสวยอารมณ์แห่งพระสกิทาคามีอย่างถาวร )
    พระสกิทาคามี นั้นจะมีอารมณ์ เพียรเผากิเลสอย่างแรงกล้า พยายามที่จะละออกจากกามคุณ และ พยายามละอารมณ์พยาปาทะ อันขุ่นเคือง ในใจ ไม่ให้กำเริบ
    ปัจจะเวกขะณะญาณ ของพระสกิทาคามี มี 5
    1.มรรค 2.ผล 3.กิเลสที่ละได้แล้ว 4.กิเลสที่เหลืออยู่ 5.นิพพาน จิตเหนี่ยวนิพพานเป็นอารมณ์
    สมดังคำสรรเสริญสังฆคุณ ว่า “อุชุปะฎิปันโน สาวะกะสังโฆ เป็นพระสงฆ์ผู้ประพฤติตรงต่อ พระนิพพาน”
    พระสกิทาคามี มี 5 ประเภท
    1.บรรลุเป็นพระสกิทาคามีแล้วในโลกนี้ และนิพพานในโลกนี้ ชาติปัจจุบัน
    2.บรรลุเป็นพระสกิทาคามีแล้วในโลกนี้ นิพพานในเทวะโลก
    3.บรรลุเป็นพระสกิทาคามีแล้วในเทวะโลก และนิพพานในเทวะโลก
    4.บรรลุเป็นพระสกิทาคามีแล้วในเทวะโลก หมดอายุในเทวะโลก มาเกิดอีกครั้งในโลก จึงนิพพาน
    5.บรรลุเป็นพระสกิทาคามีแล้วในโลกนี้ จุติในเทวะโลก แล้วหมดอายุในเทวะโลก มาเกิดอีกครั้งในโลก จึงนิพพาน

    ผู้ที่เป็นพระสกิทาคามี แล้ว กำลังละ สังโยชน์ข้อที่ 4 – 5 อย่างสิ้นเชิง
    ชื่อว่าได้บรรลุเป็น พระอนาคามิมรรค ( ผู้ทรงอารมณ์แห่งพระอนาคามีอย่างต่อเนื่อง )
    ผู้ที่เป็นพระสกิทาคามี แล้วละสังโยชน์ ข้อที่ 4- 5 ได้สิ้นเชิง
    ชื่อว่าได้บรรลุเป็น พระอนาคามิผล หรือ พระอนาคามี ( ผู้เสวยอารมณ์แห่งพระอนาคามีอย่างถาวร )
    พระอนาคามี เป็นผู้มีอารมณ์ ละ กามราคะ และ ปฏิฆะ ได้อย่างสิ้นเชิง แต่ยังมีอารมณ์ ติดอยู่ในสุทธาวาส 5
    คือ ชอบทำบุญ เลยติดบุญ รูปราคะและอรูปราคะ ชอบแจกธรรมสอนธรรม เลยติดมานะ ชอบค้นคว้าศึกษาเรื่องธรรม เลยติดอุทธัจจะ บ้างเพียงเล็กน้อย แต่ก็มีนิพพานแน่นอน อย่างน้อยอีก 1 ชาติ
    ปัจจะเวกขะณะญาณ ของพระอนาคามี มี 5
    1.มรรค 2.ผล 3.กิเลสที่ละได้แล้ว 4.กิเลสที่เหลืออยู่ 5.นิพพาน ทบทวนกลับไป กลับมาอย่างยิ่งยวด เริ่มเหือด
    สมดังคำสรรเสริญสังฆคุณ ว่า “ญายะปะฎิปันโน สาวะกะสังโฆ เป็นพระสงฆ์ ผู้รู้ดีแล้ว”
    พระอนาคามี มี 5 ประเภท
    1.อันตราปรินิพพายี เมื่อเกิดในภพใดภพหนึ่ง อายุไม่ถึงกึ่งแห่งภพนั้นก็เข้า นิพพาน
    2.อุปหัจจปรินิพพายี เมื่อเกิดในภพใดภพหนึ่ง อายุพ้นกึ่งแห่งภพนั้นก็เข้า นิพพาน
    3.อสังขารปรินิพพายี เมื่อเกิดในภพใดภพหนึ่ง อายุใกล้จะหมด ก็เข้านิพพาน
    4.สสังขารปรินิพพายี เข้าถึงนิพพานด้วยความเพียรมาก ๆในชาติปัจจุบัน
    5.อุทธังโสโต อกนิฏฐคามี เมื่อเกิดในภพใดภพหนึ่ง สิ้นอายุแห่งภพนั้นเลื่อนขึ้นไป สู่ อกนิฏฐภพ จึงเข้า นิพพาน

    ผู้ที่เป็นพระอนาคามี แล้วกำลังละสังโยชน์ ข้อที่ 6 -10
    ชื่อว่าได้บรรลุเป็น พระอรหัตมรรค ( ผู้ทรงอารมณ์แห่งพระอรหันต์อย่างต่อเนื่อง )
    ผู้ที่เป็นพระอนาคามี แล้วละสังโยชน์ข้อที่ 6 – 10
    ได้ชื่อว่า พระอรหัตผล หรือ พระอรหันต์ ( ผู้เสวยอารมณ์แห่งพระอรหันต์ อย่างถาวร )
    สำหรับพระอรหันต์ไม่มีการเกิดอีกต่อไป ซึ่งที่ผมได้แจกแจงลงไว้เพราะ หลวงพ่อพระเถระหลายท่านให้ช่วยแจกแจงให้เพื่อให้ทราบว่า การเวียนว่ายตายเกิดหลังจากสิ้นชีพแล้วมีจริง ไม่ได้เป็นด้วยอรรถแห่งนิพพานที่อยู่บนโลกด้วยอารมณ์ใจเท่านั้น
    ปัจจะเวกขะณะญาณ ของพระอรหันต์ มี 1
    1.นิพพาน เท่านั้น
    สมดังคำสรรเสริญสังฆคุณ ว่า “สามิจิปะฎิปันโน สาวะกะสังโฆ เป็นพระสงฆ์ ผู้ปฎิบัติชอบแล้ว ”
     
  10. ภราดรภาพ

    ภราดรภาพ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2009
    โพสต์:
    1,578
    ค่าพลัง:
    +2,762
    สำหรับแนวทางการตัดสังโยชน์สิบ เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน แม้จะใช้เป็นบรรทัดฐาน แต่รายละเอียดมุ่งเน้นอาจต่างกันทางเทคนิค ขึ้นอยู่กับว่าใครมีจริตแบบไหน มีความละเอียดมากน้อยแค่ไหน ก็ขอให้มั่นปฏิบัติอยู่เป็นเนืองๆ สิ่งสำคัญอย่าติดรูปฌาน อรูปฌาน อย่างได้ติดพรหม ติดฌาน เพราะคนมีองค์มักจะติดสิ่งนี้ ทำให้ไม่สามารถรุดหน้าในการปฏิบัติได้ ดังนั้นเมื่อสามารถรวมจิตอาตมันกับปรมาตมันเป็นหนึ่งเดียวแล้ว หากมีความพร้อมแล้ว ก็ขอได้อย่ายึด ให้ปล่อยวางกับสิ่งนี้แล้้วชำระกิเลสด้วยสังโยชน์สิบนี้ นับว่าประเสริฐยิ่งแล้ว
     
  11. ภราดรภาพ

    ภราดรภาพ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2009
    โพสต์:
    1,578
    ค่าพลัง:
    +2,762
    ขออนุญาตคุณภูเตศวร
    นำบทความจากคอลัมภ์ "ธรรมะ 5 นาที"
    มาเป็นของฝากนักภาวนาทุก ๆ ท่านด้วยค่ะ

    หลายวันมานี้มี โทรศัพท์มามากมาย
    ถามถึงเรื่องราวของครูบาอาจารย์รูปหนึ่ง ที่กำลังมีชื่อเสียงในแวดวงสอนพระกรรมฐาน
    ผู้เขียนเองไม่เคยได้กราบท่าน หรือรู้จักท่านโดยส่วนตัวมาก่อน
    หากเคยได้ฟังบรรยายธรรมจากสื่อซีดีมา บ้างเล็กน้อย
    และเคยอ่านหนังสือ "ทางเอก" หนังสือที่ท่านเขียนนานมาแล้ว

    คำ ถามส่วนใหญ่ที่ลูกศิษย์ลูกหาอยากรู้
    คือความเห็นของผู้เขียนต่อแนวทางการ สอนของท่าน ...
    ก็ได้แต่ตอบสั้น ๆ "หลวงปู่พรมก็สอนอย่างนั้น"
    หลวง ปู่พรม พรหมโชโต ปัจจุบัน ท่านเป็นเจ้าอาวาสวัดชนะสงคราม
    ที่คณะศรัทธาทมยันตี - ภูเตศวร ดำเนินการสร้างมาตั้งแต่ปี 2541
    สมัยท่านเป็นฆราวาส เคยเป็นโยมอุปัฏฐากหลวงปู่บัว สิริปุณโณ มานานหลายปี

    จำได้ว่าหลายปี ที่ผ่านมา หลวงปู่พรมได้ปรารภกับผู้เขียนในวันหนึ่ง

    "คนทำงานอย่าง แม้ว มักหาโอกาสนั่งภาวนาได้ยาก
    ปู่จะแนะวิธีปฏิบัติง่าย ๆ ให้นะ"

    หลัง จากนั้นท่านก็สอนให้เจริญสติด้วยการสังเกตอาการของจิต
    อะไรที่กระทบ และจิตรู้สึกอย่างไรให้ "รู้" ตามนั้น

    เช่น โกรธ ก็ให้ตามรู้ว่า โกรธ รักให้รู้ว่ารัก เกลียดให้รู้ว่าเกลียด
    เกิดราคาก็รู้ว่าเกิดราคะ ฯลฯ

    ไม่เพียงหลวงปู่จะย้ำว่า ทำไปเรื่อยสติของเราจะกล้าขึ้นไปเรื่อย ๆ เท่านั้น
    ท่านยังรับรองว่า ...
    "เป็นการปฏิบัติที่ลัดเลาะตัดตรง ที่สุด"
    เพราะตรงกับสิ่งที่ท่านเคยสอนมานาน

    "ทุกอย่างอยู่ที่จิต ใจดวงนี้ จะนรกสวรรค์
    หรือ พระนิพพานอยู่ที่ใจดวงนี้เท่านั้น"

    เมื่อ เป็นเช่นนี้ ก็คือบทสรุปของคำตอบของผู้เขียนที่ชัดเจนว่า
    แนวทางของครูบา อาจารย์รูปนั้นเป็นอย่างไร

    เมื่อได้คำตอบเช่นนั้น หลายท่านก็เลยขยายความต่อถึงเรื่องราววุ่น ๆ ที่ว่า
    เวลานี้มีกระแสโจมตี ออกมามากมายหลายประเด็น
    และอยากให้ภูเตศวรแสดงความคิดเห็นบ้าง

    "อย่า เพ่งโทษครูบาอาจารย์"
    ผู้เขียนตอบสั้นตามที่เคยเรียนรู้มา
    เพราะ ปฏิปทาข้อวัตร ข้อปฏิบัติของครูบาอาจารย์แต่ละรูป แต่ละองค์
    ย่อมมีข้อ ผิดแผกแตกต่างกันไปตามวาสนาบารมี
    เราไม่รู้ภูมิธรรมของท่านว่าท่านอยู่ ระดับไหน ...

    "ไปเพ่งโทษท่านระวังจะลงนรก"

    ถึงตรงนี้ก็เลยขอ ยกตัวอย่างบางเรื่องมาเป็นอุทาหรณ์สอนใจพวกเรากันบ้าง
    เรื่องนี้มาจากปาก คำของคุณอนุชิต ปุรสาชิด
    ลูกศิษย์ใกล้ชิดหลวงปู่บุญจันทร์ กมโล
    วัด ป่าสันติกาวาส อ.ไชยวาน จ.อุดรธานี

    วันหนึ่งหลวงปู่บุญจันทร์ พาพระลูกวัดเดินทางไปกราบครูบาอาจารย์
    เพื่อเป็นมงคลแก่ชีวิต ก่อนออกเดินทางท่านก็คอยพร่ำบอกลูกศิษย์
    กรณี "เพ่งโทษ" ครูบาอาจารย์ว่า "อย่าทำ อย่าทำ"

    ครูบาอาจารย์องค์แรกที่หลวงปู่บุญจันทร์พาไปคารวะ คือ
    หลวงปู่ขาว อนาลโย วัดถ้ำกลองเพล
    จากนั้นมุ่งไปวัดนิโครธาราม จ.หนองบัวลำภู ที่ไม่ไกลจากวัดถ้ำกลองเพลนัก
    เพื่อกราบนมัสการหลวงปู่ อ่อน ญาณสิริ
    ว่ากันว่าวันที่ไปถึง หลวงปู่อ่อนท่านนุ่งผ้าสบง กับอังสะผืนเดียวนั่งเหลาไม้ทำกลดอยู่
    เมื่อหลวงปู่บุญจันทร์มาถึง และกราบคารวะหลวงปู่อ่อน
    ท่านก็เอาจีวรมาพาดบ่าแล้วรับไหว้

    มีพระ ลูกศิษย์ที่ติดตามหลวงปู่บุญจันทร์ นั่งคิดสงสัย ...

    "ก็ไหนใครต่อ ใครบอกว่าหลวงปู่อ่อนสำเร็จภูมิธรรมชั้นสูงแล้ว
    แต่ทำไมไม่มีมารยาทเลย
    หลวง ปู่เรานุ่งห่มเรียบร้อยมากราบ
    แต่ท่านรับไหว้ไม่เรียบร้อยอย่างนั้นจะถูก หรือ?"

    คิดเพ่งโทษปุ๊บ หลวงปู่อ่อนก็หันมาปั๊บ ท่านเอ่ยคำทันควัน

    "ไอ้ พวกตาเนื้อ ตาเน่า จะไปรู้อะไร
    ดีแต่มัวเพ่งโทษครูบาอาจารย์อยู่หรือไง หือ?"

    กลับถึงวัด ว่ากันว่าหลวงปู่บุญจันทร์ เรียกพระรูปนั้นมาเทศน์อบรมกัณฑ์ใหญ่
    ถึงบาปกรรมในการเพ่งโทษครูบา อาจารย์
    โดยเฉพาะท่านเป็นถึงพระอริยเจ้าว่า ผลกรรมนั้นสาหัส สากรรจ์เพียงใด?

    ถึงตรงนี้จึงอยากบอกท่านทั้งหลายว่า ...

    "รู้ อะไรยังไม่แน่ชัด อย่าเพิ่งวิพากษ์วิจารณ์
    อย่าตื่นข่าวตามคำพูดใคร จะมีโทษมากกว่าคุณ"

    ก็ต้องขอบอกตรง ๆ แหละครับ
    วันนี้มีญาติโยม ที่เป็นผู้รู้เยอะเหลือเกิน
    โดยเฉพาะตามเว็ปไซด์ต่าง ๆ รู้มาก
    จนถึง ขนาดนั่งวิพากษ์ วิจารณ์ครูบาอาจารย์ที่ท่านมีศีลถึง 227 ข้อ
    ขณะที่ตัว เองศีล 5 ข้อ ยังกะพร่อง กะแพร่งเลยครับ
    พวกตามแห่ก็เลยร่วมแจมกันมันหยด ...
    หารู้ไม่ไฟนรกลุกโชติอยู่บนหัวทุกวันโดยไม่รู้ตัว

    เมื่อมี ปุจฉามา ...
    ก็ต้องวิสัชนาไปตามปัญญาขี้เท่อไปตามการณ์ละครับ
    สำหรับ ความเห็นของภูเตศวร คือ ...


    "ถ้ามีใครสักคนสอนให้คนถือศีล ... ฝึกสติ
    นำพาผู้คนที่จมอยู่แต่กิเลส มาขัดเกลาให้ดีขึ้น ..
    ผู้นั้นมี คุณประโยชน์กับชาติ และพระศาสนา
    มีค่าควรกราบไหว้บูชา"

    สำหรับการ ดักจิต ดักใจ สอบอารมณ์ลูกศิษย์ลูกหานั้น
    ใครคิดอย่างไรไม่รู้
    แต่ เป็นสิบ ๆ ปีที่ผ่านมา ครูบาอาจารย์ของภูเตศวร
    ใช้กระหนาบลูกศิษย์ดื้อ ๆ อย่างเรามานานแล้ว
    และเราเชื่ออย่างสุดหัวใจ
    ครูบาอาจารย์เก่ง ๆ อย่างนี้มีในเมืองไทยเยอะ

    ขนาดท่านรู้ ท่านสอนอย่างนั้น
    ทุก วันนี้กิเลสมันยังกดหัวเราซะจนโงไม่ขึ้นเลย

    อยากเพิ่มเติมอีกนิดคือ เรื่องของการปฏิบัติเพื่อก้าวสู่ความพ้นทุกข์
    อันนี้พระพุทธเจ้าท่านก็ ทรงตรัสไว้ชัดเจนว่า เป็นไปตามจริตนิสัยของแต่ละบุคคล
    อันไหนทำแล้วก้าว หน้า ละวางกิเลส .. มีปัญญาได้เร็ว ก็ทำตามนั้น
    ถ้าวิธีการของตนไม่ เหมือนของคนอื่น ก็มิได้หมายความว่าของคนอื่นไม่ดีจริงไหม

    สำหรับ ภูเตศวร หลวงปู่เสน ปัญญาธโร ท่านย้ำอยู่เสมอ ...

    "เอาแต่โลกธรรมแปด นี่แหละ เข้าใจมัน
    อยู่เหนือมันให้ได้ ก็พอได้อาศัยแล้ว"

    ทุก วันนี้ก็เลยนึกขึ้นได้ ...
    แค่อนุโมทนากับความดีที่ผู้อื่นทำ
    และไม่ ริษยาความดีมีชื่อเสียงของผู้อื่น
    คนเรามันยังทำยากเลย

    ... เพราะเมตตาธรรมค้ำจุนโลกมันเหลือน้อย ...

    จึงอยากฝากทุกคนว่า ควรหมั่นเจริญเมตตาให้มาก ๆ
    โลกปัจจุบันจะได้เย็นขึ้นบ้าง
    ถ้าไม่ เหลือบ่าฝ่าแรงละก็ ให้ละแล้วต่อกันเถิด
    เพราะไฟพยาบาทที่ "เผาใจ"
    มัน ร้อนกว่า "ไฟนรก" นะโยม

     
  12. ภราดรภาพ

    ภราดรภาพ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2009
    โพสต์:
    1,578
    ค่าพลัง:
    +2,762
    ประกาศ เปิดรับสมัครนักปฏิบัติธรรมรุ่นที่ 3 ประจำปี 2553

    กลุ่มเป้าหมาย: ผู้ที่สนใจและตั้งใจจริงทุกๆ ท่าน

    จำนวนที่รับ: 15 ท่าน

    วัตถุประสงค์:
    1) เพื่อพบปะ สนทนา และสร้างสัมพันธ์ที่ดีระหว่างกัลยาณมิตร
    2) เพื่อศึกษา วิเคราะห์ และปฏิบัติสมาธิแบบ TM และแบบกรรมฐาน-วิปัสสนา
    3) เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนนักปฏิบัติธรรมให้มีความรู้และความเข้าใจอย่างถ่องแท้ รวมถึงร่วมกิจกรรมสร้างบุญกุศลและสาธารณประโยชน์แก่สังคม

    กำหนดการ:
    วันเสาร์ที่ 20 มีนาคม 2553 เวลา 10.00 น. - 17.00 น.

    กิจกรรม:
    09.30 น. พบปะ แนะนำ สนทนา แบบพี่ๆ น้องๆ
    10.00 น. บรรยายเรื่อง: แก่นธรรม สังโยชน์สิบ พลังจิตตานุภาพ
    12.00 น. พักทานอาหารกลางวัน (ไม่มีค่าใช้จ่าย)
    13.00 น. นั่งสมาธิแบบกรรมฐาน-วิปัสสนา
    14.00 น. สอบอารมณ์
    15.00 น. จบโปรแกรม

    สถานที่:
    98/318 หมู่บ้านลัดดารมย์ ปิ่นเกล้า ถนนวงแหวนรอบนอก ต. บางคูเวียง อ. บางกรวย จ. นนทบุรี แผนที่ตามแนบ

    [​IMG]

    สถานที่ตั้ง
    1) เส้นทางหลัก คือ ถนนกาญจนาภิเษก หรือวงแหวนรอบนอก
    2) อยู่ตรงข้ามกับ เทสโก โลตัส บางใหญ่
    3) ก่อนถึงที่หมาย สังเกตุ ป้ายปั้มน้ำมัน ปตท. (ปั้ม jet เดิม) ถัดจากปั๊ม ปตท. ประมาณ 100 ม. จะถึงหมู่บ้านพฤกภิรมย์ก่อน ถัดไปอีก 200 เมตร ก็จะถึง หมู่บ้านลัดดารม์ ปิ่นเกล้า (จะมีป้ายตัวโตๆ บอกไว้)
    4) อย่าลืมบอก บ้านเลขที่ แก่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย: 98/318 ซอย 2/18

    หากต้องการทราบรายละเอียดเพิ่มเติม ติดต่อ คุณภราดรภาพ 081-808 6695
     
  13. ภราดรภาพ

    ภราดรภาพ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2009
    โพสต์:
    1,578
    ค่าพลัง:
    +2,762
    รายนามผู้สมัครนักปฏิบัติธรรมและคนมีองค์รุ่นที่ 3 ประจำปี 2553

    ยินดีต้อน รับ คุณนพดลและครอบครัว

    รับจำนวน: 15 ท่าน


    1) คุณนพดล
    2) ภรรยาคุณนพดล


    ยอดผู้สมัคร จำนวน 2 ท่าน
    ยอดคงเหลือ จำนวน 13 ท่าน

    ยังสมัครได้อยู่นะครับ

     
  14. จิตโขง

    จิตโขง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    99
    ค่าพลัง:
    +181
    ช่วง20มีนานี้ไม่รู้จะว่างไม่คับขอช่วงกลางเดือนพฤษภามีไหมคับ*-*คุณภราดรภาพ
     
  15. ภราดรภาพ

    ภราดรภาพ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2009
    โพสต์:
    1,578
    ค่าพลัง:
    +2,762
    งั้น ผมจะจองให้คุณจิตโขง ไปก่อนแล้วกัน หากมีการเปลี่ยนแปลง โปรดแจ้งให้ทราบล่วงหน้า สักก่อนอาทิตย์นะครับ
     
  16. ภราดรภาพ

    ภราดรภาพ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2009
    โพสต์:
    1,578
    ค่าพลัง:
    +2,762
    รายนามผู้สมัครนักปฏิบัติธรรมและ คนมีองค์รุ่นที่ 3 ประจำปี 2553

    ยินดีต้อน รับ คุณจิตโขง

    รับจำนวน: 15 ท่าน


    1) คุณนพดล
    2)
    ภรรยาคุณนพดล
    3) คุณจิตโขง

    ยอดผู้สมัคร จำนวน 3 ท่าน
    ยอดคงเหลือ จำนวน 12 ท่าน

    ยังสมัครได้อยู่นะครับ

     
  17. ภราดรภาพ

    ภราดรภาพ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2009
    โพสต์:
    1,578
    ค่าพลัง:
    +2,762
    ประกาศ เปิดรับสมัครนักปฏิบัติธรรมรุ่นที่ 3 ประจำปี 2553

    กลุ่มเป้าหมาย: ผู้ที่สนใจและตั้งใจจริงทุกๆ ท่าน

    จำนวนที่รับ: 15 ท่าน

    วัตถุประสงค์:
    1) เพื่อพบปะ สนทนา และสร้างสัมพันธ์ที่ดีระหว่างกัลยาณมิตร
    2) เพื่อศึกษา วิเคราะห์ และปฏิบัติสมาธิแบบ TM และแบบกรรมฐาน-วิปัสสนา
    3) เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนนักปฏิบัติธรรมให้มีความรู้และความเข้าใจอย่างถ่องแท้ รวมถึงร่วมกิจกรรมสร้างบุญกุศลและสาธารณประโยชน์แก่สังคม

    กำหนดการ:
    วันเสาร์ที่ 20 มีนาคม 2553 เวลา 10.00 น. - 17.00 น.

    กิจกรรม:
    09.30 น. พบปะ แนะนำ สนทนา แบบพี่ๆ น้องๆ
    10.00 น. บรรยายเรื่อง: แก่นธรรม สังโยชน์สิบ พลังจิตตานุภาพ
    12.00 น. พักทานอาหารกลางวัน (ไม่มีค่าใช้จ่าย)
    13.00 น. นั่งสมาธิแบบกรรมฐาน-วิปัสสนา
    14.00 น. สอบอารมณ์
    15.00 น. จบโปรแกรม

    สถานที่:
    98/318 หมู่บ้านลัดดารมย์ ปิ่นเกล้า ถนนวงแหวนรอบนอก ต. บางคูเวียง อ. บางกรวย จ. นนทบุรี แผนที่ตามแนบ

    [​IMG]

    สถานที่ตั้ง
    1) เส้นทางหลัก คือ ถนนกาญจนาภิเษก หรือวงแหวนรอบนอก
    2) อยู่ตรงข้ามกับ เทสโก โลตัส บางใหญ่
    3) ก่อนถึงที่หมาย สังเกตุ ป้ายปั้มน้ำมัน ปตท. (ปั้ม jet เดิม) ถัดจากปั๊ม ปตท. ประมาณ 100 ม. จะถึงหมู่บ้านพฤกภิรมย์ก่อน ถัดไปอีก 200 เมตร ก็จะถึง หมู่บ้านลัดดารม์ ปิ่นเกล้า (จะมีป้ายตัวโตๆ บอกไว้)
    4) อย่าลืมบอก บ้านเลขที่ แก่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย: 98/318 ซอย 2/18

    หากต้องการทราบรายละเอียดเพิ่มเติม ติดต่อ คุณภราดรภาพ 081-808 6695
     
  18. ภราดรภาพ

    ภราดรภาพ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2009
    โพสต์:
    1,578
    ค่าพลัง:
    +2,762
    ข้อแสดงความเห็นส่วนตัว

    ทุกวันนี้กระแสของคติศาสนาทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะศรัทธาจนขาดปัญญาพิจารณาว่า แท้ิจริงแล้ว แก่นศาสนาคืออะไร เรามัวมักจะถกปัญหาและเปรียบเทียบศาสนากันในแง่จิตนิยม กล่าวคือ มักเห็นว่าของตนดีกว่าประเสริฐกว่า เพราะความยึดมั่นถือมั่นกลับกลายเป็นหลงอยู่ในวังวน กลับกลายเป็นอวิชชา

    หากมองที่ตัวศาสนาเอง จะเห็นได้ว่าศาสนาหนึ่งๆ ก็มีลัทธิและนิกายแฝงอีกมากมาย เพราะอะไรหรือ เพราะความเชื่อ ความศรัทธา ความขัดแย้งของปัจเจกบุคคล บ้างก็หวังในลาภสักการะ บ้างก็หวังในศรัทธา บ้างก็เป็นเครื่องมือให้กับชนชั้นปกครองในการกล่อมเกลาจิตใจไม่ให้หึกเหิม หรือลบบล้างอำนาจตน

    วิวัฒนาการศาสนาอันมีรากฐานมานานแสนนานมาอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นศาสนาอียิปต์ ศาสนาโรมัน ศาสนาเปอร์เซีย ศาสนาฮินดู ศาสนาเชน ศาสนาพุทธ ศาสนาเต๋า จวบจนปัจจุบันโลกใบนี้มีศาสนามากถึง 12 ศาสนาหลักๆ แต่ก่อนที่จะเป็นศาสนา ซึ่งมีมูลฐานมาจากการรวมลัทธิและนิกายต่างๆ เข้าด้วยกันเป็นสำคัญ

    แต่จากกระทู้ที่ถกปัญหา มักจะกล่าวอ้างว่าพระคัมภีร์ของศาสนาตนนั้นแท้จริง ไม่ใช่เรื่องแต่ง หรือไม่ใช่เรื่องนิยาย แต่โดยแท้จริงแล้ว พระคำภีร์ก็ดี ชาดกก็ดี เทพปกรณัมก็ดี เป็นไปเพื่อการสร้างสรรค์และจูงใจให้คนเกิดศรัทธาและเชื่อในคุณงามความดี และคงปฏิเสธไม่ได้ว่าุไม่มีการปรุงแต่งใดๆ เลย

    แต่เท่าที่ศึกษามาเกี่ยวกับหลักปรัชญาศาสนาของพราหมณ์เป็นรากฐานให้แก่ศาสนา เชน และศาสนาพุทธ เป็นสำคัญ แต่เรามักจะลืมรากเหง้าตัวเอง และมักจะกลับดูถูกเหยียดหยาม เหมือนหมิ่นแคลนปู่ ย่า ตา ยาย ของตน แล้วเราจะสรรเสริญคนเหล่านี้ได้อย่างไร ในเมื่อใจนั้นยังสกปรกอยู่เลย

    หากพิจารณาแล้วว่า ของเราดีจริง ประเสริฐสุดจริงๆ ทำไมศาสนาเรานั้นจึงไม่เป็นหนึ่งเดียวในโลกใบนี้ละ เพราะมันเป็นไม่ได้ไม่ใช่หรือ? เมื่อมันเป็นไปไม่ได้ ก้ไม่ต้องไปยึด หาตัวตนแท้จริงให้เจอ หาหลักปฏิบัติที่ถูกจริตตนให้เจอแล้วปฏิบัติให้ถึงแก่น อย่าเพียรเพื่อแค่อยากรู้ แค่บอกใครๆ ว่าของฉันดีแล้ว ประเสริฐแล้ว อย่าพูดแต่ปาก ทำให้รู้แจ้งได้ก่อนแล้วค่อยมาพูด

    จริงเท็จเพียงใด ก็ขอให้ปัญญาพิจารณา
    กระทบกระทั่งจิตไปบ้าง ก็ขออโหสิกรรมไว้ ณ ที่นี้
     
  19. ภราดรภาพ

    ภราดรภาพ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2009
    โพสต์:
    1,578
    ค่าพลัง:
    +2,762
    รายนามผู้สมัครนักปฏิบัติธรรมและ คนมีองค์รุ่นที่ 3 ประจำปี 2553

    ยินดีต้อน รับ คุณลิ้ง

    รับจำนวน: 15 ท่าน

    1) คุณนพดล
    2)
    ภรรยาคุณนพดล

    3) คุณจิตโขง
    4) คุณลิ้ง

    ยอดผู้สมัคร จำนวน 4 ท่าน
    ยอดคงเหลือ จำนวน 11 ท่าน

    ยังสมัครได้อยู่นะครับ


    สำหรับคุณลิ้งที่ได้ติดต่อมา แต่ยังไม่ได้สมัครสมาชิกพลังจิต
    ผมได้สมัครจองให้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว อย่างไรก็ตาม หากสมัครเว็บพลังจิตได้แล้ว
    ก็ขอให้คอนเฟริมผ่านกระทู้อีกครั้งนะครับ
     
  20. โคมฉาย

    โคมฉาย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    3,058
    ค่าพลัง:
    +26,744
    ขอแสดงความชื่นชม ชมรมนักปฏิบัติธรรมและคนมีองค์ ที่รวมตัวกันเพื่อปฏิบัติธรรม อนุโมทนากับความตั้งใจจริงของเจ้าของกระทู้และทีมงานที่สละเวลา ทั้งแรงกายและแรงใจ เพื่อเปิดมิติอีกมิติหนึ่งขึ้นมาสู่สายตาชาวเว็บ โดยไม่หวั่นไหว
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • T001.jpg
      T001.jpg
      ขนาดไฟล์:
      135.2 KB
      เปิดดู:
      62

แชร์หน้านี้

Loading...