รับตอบข้อสงสัยในการเจริญพระกรรมฐาน

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย Xorce, 26 พฤศจิกายน 2008.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ฝึกสมาธิที่สวนลุม

    ตั้งแต่วันอาทิตย์ที่ 7 มีนาคม จนถึงปลายพฤษภาคม

    จะมีการฝึกสมาธิทุกๆวันอาทิตย์ ที่สวนลุมครับ

    ผมจัดทุกวันอาทิตย์เลยครับ มาฝึกกันจนจิตใจเกิดความอิ่มเอิบ ชุ่มเย็น ชุ่มฉ่ำด้วยเมตตากันไปเลย

    เริ่มครั้งแรกวันอาทิตย์ที่ 7 มีนาคมครับ แล้วพบกันครับ

    ท่านใดอยากมาอาทิตย์ไหนก็ได้ครับ แต่ถ้ามาครบทุกครั้ง
    ผมรับรองครับ ว่าจะเกิดผลก้าวหน้าในการปฏิบัติอย่างแน่นอน
    และแน่นอนว่าไม่มีค่าใช้จ่ายทุกประการครับ

    โดยในการสอนทุกครั้งนั้น ผมตั้งกำลังใจเอาไว้ว่า
    "ไม่ได้สอนเพื่อให้ใครมายกย่องสักการะบูชาว่าเราเป็นอาจารย์ เพราะผมก็ไม่มีอะไรดีให้ใครเขายกย่อง และอยากให้มองว่าผมเป็นเพียงเพื่อนนักปฏิบัติคนนึงเท่านั้น
    ในการสอนทุกครั้งนั้น ประการหนึ่งก็เพื่อตอบแทนพระคุณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ให้ผมได้มีโอกาสสัมผัสกับพระธรรมของพระองค์
    ประการที่สอง ก็เพราะอยากจะเห็นจิตใจที่งดงามของทุกๆคน ได้ตื่นขึ้น เบ่งบาน เบิกบาน เข้าถึงดวงจิตอันประภัสสร ความงดงามที่มีอยู่ในดวงจิตทุกๆดวง
    ประการสุดท้าย ก็เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยค้ำจุนพระศาสนาให้ครบ5000ปี ตราบใดที่ยังมีผู้ปฏิบัติ ย่อมยังมีพระอริยเจ้าอยู่ตราบนั้น
    สิ่งที่ผมทำก็คือการช่วยให้การปฏิบัตินั้น มีความง่ายขึ้น ทั้งในวิธีการปฏิบัติ การรักษา และทำให้ยิ่งๆขึ้นซึ่งสิ่งที่ทุกๆท่านได้เข้าถึงแล้ว"

    ขอให้ทุกๆดวงจิต ได้เข้าถึงซึ่งความงดงาม ความประภัสสรของทุกๆดวงจิตเอง ได้โดยเร็วไว ได้โดยฉับพลันทันใด ด้วยพระบารมีแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยเทอญ
     
  2. นายวีระศักดิ์ ท

    นายวีระศักดิ์ ท เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กันยายน 2006
    โพสต์:
    309
    ค่าพลัง:
    +1,003
    อนุโมทนาสาธุ ครับ ดีใจจังช่วงเวลาดังกล่าวจะขึ้นไปอบรมพอดีเลยครับ จะไปทุกอาทิตย์เลย อนุโมทนาสาธุในการอุทิศเวลา ความรู้ทางธรรมช่วยเหลือผู้อื่นด้วยครับ และยอมรับว่าการปฏิบัตินั้น หากไม่มีผู้รู้แนะนำจะก้าวหน้าช้า หรือไม่ก็หลงทางเลยครับ
     
  3. นายวีระศักดิ์ ท

    นายวีระศักดิ์ ท เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กันยายน 2006
    โพสต์:
    309
    ค่าพลัง:
    +1,003
    และตามที่ท่านได้แนะนำให้อธิฐานปักหมุดตอนออกจากสมาธินั้น ผมได้ทำตามแล้วสามารถเข้าฌานได้รวดเร็วขึ้น(เร็วมาก) ดีมากครับ และการที่เราเข้าได้เร็ว เราจะจำอารมณ์ของการเข้าได้ดีครับ
     
  4. NICKAZ

    NICKAZ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    173
    ค่าพลัง:
    +812
    ฌาณในพระนิพพานจะเหนือล้ำกว่าอรูปฌาณแค่ไหนกันนะ? ชักอยากจะพิสูจน์เสียแล้ว

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของกระทู้และคุณตถาตาที่ได้กรุณาอธิบาย แนะนำความรู้โดยละเอียดให้กับผู้มีปัญญาทึบอย่างผม เกรงใจสมาชิกท่านอื่นอย่างมากที่ทำให้เจ้าของกระทู้ต้องแซงคิวตอบให้ก่อน ดังนั้น ต้องขออภัยสมาชิกทุกท่านไว้ณ ที่นี้ด้วยครับ

    ตกลงรูปราคะและอรูปราคะไปตัดเอาจริงๆตอนพระอนาคามี ฉะนั้น แค่ปุถุชนฌาณโลกีย์เล็กๆน้อยๆอย่างผม เอาแค่ทำให้เบาบางลงก่อน เพื่อสัมผัสอารมณ์นิพพานเป็นการชั่วคราวแค่นั้นก็พอนะครับ อย่างนี้เล่นไม่ยาก พอจะเห็นช่องเข้าตีแล้วครับ

    ตอนนี้คงจะหมดข้อสงสัยต่างๆแล้ว เดี๋ยวต้องขอลองกลับไปปฏิบัติทบทวนดูว่าจะเป็นอย่างที่เจ้าของกระทู้แนะนำไว้หรือไม่ ขอขอบคุณอีกครั้งนะครับ
     
  5. wuttichai0329

    wuttichai0329 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    1,015
    ค่าพลัง:
    +741
    ยุคพลังจิต ใกล้จะมาถึงแล้ว หลายท่าน ๆ ได้ฌาณโลกีย์ น่าอนุโมทนาสาธุ ยิ่ง แล้ว
     
  6. sagi_kaew

    sagi_kaew เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    26
    ค่าพลัง:
    +232
    สวัสดีค่ะ มีคำถามและอยากขอคำแนะนำค่ะ

    นั่งสมาธิแบบพุทโธไปจนละคำภาวนา และลมหายใจละเอียดจนไม่รู้สึกแล้ว ละทีนี้มันก็นิ่งไปเลย ก็งงว่าต้องทำยังไงต่อ คือถ้าปล่อยให้นิ่งไปเรื่อยๆบางทีจิตมันจะไปคิดเรื่องอื่นแทน แล้วก็จะกลายเป็นว่าต้องตามพุทโธกลับมาอีกครั้ง

    บางทีก็เห็นแสงขาวๆ บางทีรู้สึกตัวเหวี่ยงหมุนๆๆ บางทีก็รู้สึกเหมือนถูกดูดเข้าไปในโพรงใหญ่ๆ บางทีก็ปวดบริเวณตา (เหมือนจะเพ่งมากเกิน) ...แต่พอถ้าไม่สนใจในสิ่งที่เกิดขึ้นแบบนี้ ก็จะมาเป็นเสียงแทนค่ะ ก็เกิดอาการกลัวเสียงรอบตัว

    แต่ในบางทีก็ไม่สนใจพวกที่ว่าข้างบนนี้ได้ ไม่สนใจเสียงได้ ...แล้วมันก็นิ่งเฉยๆ แป๊ปเดียวละก็ไปคิดเรื่องอื่นแทน

    ไม่รู้ว่าต้องทำยังไงอ่ะค่ะ ช่วยกรุณาแนะนำด้วยค่ะ


    (ปล. ไม่ทราบว่า มีใครพอรู้บ้างไหมคะ ว่าที่เชียงใหม่ที่ไหนสอนฝึกมโนบ้างคะ)
     
  7. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    คำถามที่คนสอบถามมาจากช่องทางอื่นๆครับ

    1. เวลาเราทำสมาธิแล้วถ้าเรารู้สึกกังวล มันจะไม่เกิดสมาธิ เรามีวิธีการจัดการกับมันยังไงคะ วิธีที่ใช้กันได้ผล เขาทำกันยังไงคะ

    วิธีนะครับพอเริ่มทำสมาธิ
    ก่อนที่จะจับลมหายใจ หรือพุทโธ หรือแบบใดก็ตาม
    ให้ระลึกถึงพระพุทธเจ้า
    ขอบารมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเมตตาสงเคราะห์ ให้จิตของข้าพเจ้าสงบ ระงับ หยุด นิ่ง เป็นสมาธิ ได้โดยฉับพลันทันใด ด้วยบารมีแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยเทอญ

    จากนั้นให้หายใจเข้าลึกๆ ช้าๆ จนลมหายใจเต็มปอด สัมผัสความเบาสบายของลมหายใจ ประคองลมหายใจเอาไว้ อย่าพึ่งหายใจออก
    จากนั้นให้ภาวนาพุทโธ ธัมโม สังโฆ ซ้ำไปซ้ำมา อย่างต่อเนื่อง ที่กลางท้องของเรา
    พร้อมๆกับ ให้ผ่อนคลาย ความรู้สึกทั้งร่างกายของเราทั้งศรีษะ แขน ขา มือ เท้า ให้ผ่อนคลาย ให้เบา ให้สบาย ให้รู้สึกคล้ายไร้น้ำหนักทั้งร่างกาย
    พอเราผ่อนคลายความรู้สึกจนครบทั้งร่างแล้ว หรือประคองลมหายใจเอาไว้ไม่อยู่แล้ว จึงค่อยหายใจออก

    ทำซ้ำ 5 - 10 ครั้ง
    จากนั้นให้จับลมหายใจสบายๆ ปล่อยให้ร่างกายหายใจไปเองของมัน
    ให้เราตามดูลมหายใจไปเรื่อยๆ ด้วยอารมณ์ที่สบาย ผ่อนคลาย พักผ่อนจากความคิด
    ลมหายใจจะช้าลง เบาลง จนหยุดนิ่งไป อย่างรวดเร็ว
    แล้วเราก็ประคองสภาวะของจิต ที่นิ่ง หยุด เบา สบาย ปราศจากความคิด ปราศจากลมหายใจนี้เอาไว้

    วิธีการนี้เรียกว่า การกักลมและล้างลมหยาบ
    ลมหายใจที่ไม่ราบรื่น ไม่ต่อเนื่อง ไม่ลื่นไหล ไม่สบาย
    จะทำให้จิตวุ่นวายฟุ้งซ่านไม่สงบ
    พอเราล้าง ปรับ ลมหายใจของเราใหม่ ให้ราบรื่น ให้ต่อเนื่อง ให้เบาสบาย
    จิตก็จะสงบได้อย่างรวดเร็ว
    จะจับคำภาวนา ไม่จับคำภาวนา ก็ได้
    หากลมหายใจราบรื่น จิตก็จะดิ่งสงบอย่างรวดเร็ว

    2. สมาธิ ช่วยอะไรเราได้บ้างคะ ซึ่ง นอกเหนือจากการช่วยให้เรามีสติ ในการดำเนินชีวิตแล้ว จะเกิดผลดีอย่างไรกับเราอีกบ้างคะ เช่น
    2.1 ช่วยทำให้ชีวิตเราดีขึ้นมั๊ย

    ดีขึ้น ในทุกๆด้านครับ
    1.ถ้าจิตของเราเป็นสมาธิ ลมหายใจจะราบรื่น และสมาธิจะปรับธาตุในร่างกายทั้งหมด
    ทำให้สุขภาพแข็งแรง โรคภัยไข้เจ็บน้อยลง หรือหายอย่างน่าอัศจรรย์
    2.ใบหน้าจะยิ้มแย้มแจ่มใส เพราะเรามีความสุข จากสมาธิ
    ทำให้คนรอบข้างอยากเข้าใกล้ เป็นมิตรกับทุกๆคน
    3.การขับรถ ทำงาน ทุกอย่าง
    จะมีความละเอียด ประณีต ใจเย็นมากขึ้น ความผิดพลาดจะน้อยลง
    4.เราจะมีสติปัญญามากขึ้น เพราะใช้เวลาในการพิจารณา และมีกำลังของสมาธิในการพิจารณาเหตุการณ์ต่างๆ
    หากฝึกจนได้ญาณทัศนะ สามารถจะทำให้การตัดสินใจ ทางธุรกิจ ทางชีวิตโลก มีความแม่นยำ
    ลงทุนยังไงก็ได้กำไร แต่ต้องตั้งกำลังใจให้ดี
    เช่น เงินส่วนหนึ่งที่ได้เราจะนำมาทำบุญ เพื่อค้ำจุนพระศาสนาเป็นต้น



    2.2 นั่งสมาธิแก้กรรมได้มั๊ยคะ

    นั่งสมาธิแก้กรรมได้
    เพราะบุญทำได้โดย ทาน ศีล ภาวนา
    นั่งสมาธิคือการภาวนา เป็นอานิสงค์สูงสุด
    และเมตตา มีคำกล่าวว่าเป็นเครื่องล้างบาป
    เพราะหากเราแผ่เมตตาด้วยสมาธิแล้ว จะมีอานิสงค์สูง จนเจ้ากรรมนายเวรยอมให้อภัยกับเราได้เร็ว

    และเวลาทำบุญทุกครั้ง หากเข้าสมาธิก่อน และตั้งกำลังใจให้ยิ่งใหญ่
    จะได้อานิสงค์สูงกว่าเดิมหลายเท่านัก
    ลองเปรียบเทียบระหว่างเราทำบุญธรรมดาทั่วๆไปโดยไม่ได้ตั้งจิตอะไร
    เทียบกับเรา เข้าสมาธิให้สูงที่สุด ได้มโนมยิทธิก็ใช้มโนมยิทธิ
    และตั้งกำลงใจว่า
    ขอให้ทานในครั้งนี้มีอานิสงค์ถึงทุกๆดวงจิต ส่งผลให้พระพุทธศาสนาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ในอนาคต มีความรุ่งเรือง ตลอดไป
    มากด้วยพระอริยเจ้า พระอรหันตเจ้า พระโพธิสัตว์เจ้า
    ยังประโยชน์ให้สรรพสัตว์ได้เข้าถึงซึ่งพระนิพพานได้โดยเร็วไว ได้โดยฉับพลันทันใด เพียงได้รับฟังธรรมะจากพระพุทธองค์ด้วยเทอญ
    ขอให้ประเทศไทยมีสันติสุข ปราศจากซึ่งศึกสงคราม ซึ่งภัยพิบัติ อุดมสมบูรณ์ด้วยพฤกษาหาร มังสาหาร ธัญญาหาร
    ขอให้องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระชนมายุยิ่งยืนนาน เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรของปวงประชาตลอดไป

    ถ้าอธิษฐานกันแบบนี้ ทำบุญ1บาท ก็ย่อมมีอานิสงค์สูงกว่า ทำบุญ1000บาทโดยไม่ได้อธิษฐาน ไม่ได้ตั้งจิตอะไร

    2.3 การนั่งสมาธิสามารถสื่อสารติดต่อกับองค์เทพได้จริงหรือป่าวคะ

    ติดต่อกับเทพได้ พรหมได้ พระอรหันต์ได้ ถ้าถึงที่สุด รับฟังธรรมะจากพระพุทธองค์เลยก็ได้
    ผู้ที่ได้รับธรรมะโดยตรงจากพระพุทธเจ้า จะมีพัฒนาการทางจิตที่สูงมาก
    และสามารถเจริญจิตตัดสังโยชน์ ตัดกิเลสได้เร็วกว่าบุคคลธรรมดาทั่วไป
    เป็นเหตุผลที่ว่า ยิ่งวิสัยในการปฏิบัติสูง จะยิ่งบรรลุธรรมเร็ว

    2.4 ทำให้เจ้ากรรมนัยเวร อโหสิกรรมให้จริงมั๊ยคะ

    หากมีคนมากราบขอขมาเรา เราก็อโหสิกรรม ให้อภัยกับคนที่เคยทำไม่ดีกับเราได้
    เมื่อเรากราบขอขมาต่อเจ้ากรรมนายเวร แผ่เมตตา อุทิศบุญจาก ทาน ศีล สมาธิไปให้
    เขาก็ย่อมให้อภัยกับเราได้เช่นกัน
    แต่ระยะเวลาขึ้นอยู่กับ ความเข้มข้น ชุ่มเย็น ของบุญที่เราทำ กับความฝังใจของเจ้ากรรมนายเวร
    ถ้าไม่แค้นเรามาก ก็แปปเดียว หากแค้นเรามาก ก็นานหน่อย


    ขอบารมีแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเมตตาสงเคราะห์
    ให้สามารถเข้าถึงซึ่งจิตใจที่ดีงาม จิตใจที่งดงามของตัวเราเอง
    ได้โดยง่ายดาย ได้โดยฉับพลันทันใด และประคองรักษาจิตใจที่งาม ความงดงามในจิตใจของเราเองนี้เอาไว้ได้ตลอดไป
    ทุกครั้ง ทุกเวลา ทุกสถานที่ ทุกขณะจิตตลอดไป ตราบเท่าเข้าถึงซึ่งพระนิพพานด้วยเทอญ
     
  8. oze

    oze Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    162
    ค่าพลัง:
    +94
    เข้าใจ ใน จิต

    จิตอยู่ใน ใจ

    มองจิตในใจ

    รู้ใจเห็นจิต
     
  9. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ถึงคุณ ตถาตา ครับ

    ผมนั่งมาก็หลายปีแล้วไม่ก้าวหน้าไปไหนเพราะไม่ได้นั่งทุกวัน แต่เมื่อไรที่ว่างนึกขึ้นได้ก็จะจับลมหายใจเข้าออกบริกรรม พุทธ โธ ตลอดแม้แต่ตอนขับรถ แต่ถ้าตอนขับรถแล้วบริกรรมพุทธ โธจับลมหายใจ จะรู้สึกว่าเหนื่อยมันหายใจขัด ๆ ไม่เหมือนกับตอนนั่งสมาธิซึ่งจะไม่ขัดสบาย ๆครับ จิตนิ่งดีกว่าเยอะ

    เพราะจิตต้อง คุมการขับรถไปพร้อมๆกับ จับลมหายใจด้วย มันเลยดึงกันไปดึงกันมา
    ถ้าจะเอาให้ไม่รู้สึกขัดๆ ให้เราจับ อารมณ์ที่จิตของเราหยุดไปเลยครับ หรือแผ่เมตตาพร้อมๆกับขับรถ
    หรือถ้าสูงกว่านั้น สามารถจะผสาน ผนึกความรู้สึกของเราเข้ากับรถ
    แล้วเราจะสามารถสัมผัสความรู้สึกทั้งใน และนอกรถ ในรัศมีพอสมควรได้ทั้งหมด
    จะทำให้การขับรถมีความปลอดภัยไม่เกิดอุบัติเหตุ แม้แต่ประการใด

    เมื่อก่อนนั่งสมาธิ ภาวนาพุทธ โธตามลมหายใจในขณะเดียวกันก็จะพิจารณา สติปัฏฐาน4ไปพร้อม ๆกัน จนคำภวนาหายไป ลมหายใจหยุดนิ่ง
    แต่พอรู้สึกนิด ๆ อาการปีติเกิดสักพัก(ตัวโยกเหมือนเรือกระทบฝั่ง บางครั้งเหมือนหมุนเหมือนล้อรถคือหมุนหัวตีลังกา)ก็ปล่อยวาง อาการได้ยินรู้สึกว่าจะเบาลงมากจนไม่ค่อยได้ยินเสียงภายนอกซึ่งมีรถวิ่งอยู่ อาการชาตามขามีสักพักทนไปก็หายปวดสุดท้ายจะมานิ่ง

    อารมณ์นี้
    ตรงรอบตัวรู้สึกว่ามืดแต่จิตรู้สึกเหมือนดวงแก้วกลม ๆขนาดเท่าแผ่นซีดีรอบลูกกลมนี้มีแสงพอมองเห็นแต่ไม่สว่างสักเท่าไรคือแสงมันจะสว่างรอบ ๆลูกกลมนี้เหมือนห่วงสะท้อนแสงทั้งลูกอยู่ตรงกลางท่ามกลางความมืด ขณะจิตทรงอยู่ลักษณะแบบนี้รู้สึกว่ามันเวิ้งว้าง คิดอะไรไม่ออกว่าจะพิจารณาอะไรต่อไปอีก
    เป็นอารมณ์ของฌาณ4ครับ ต้องฝึกจนทำให้ได้ ทุกครั้ง ทุกเวลา ทุกสถานที่ ที่ต้องการ

    ถ้าต้องการจะพิจารณาให้ถอนจิตออกจากอารมณ์นี้ก่อนนะครับ
    หากอยู่ในอารมณ์นี้จะพิจารณาไม่ได้ เพราะจิต นิ่ง สงบเกินไป
    วิธีการเดินจิตนะครับ
    ให้เราเข้าฌาณ4อารมณ์นี้ จนจิตเกิดความเบาสบาย ชุ่มเย็น สว่างไสวเสียก่อน
    จากนั้นให้ถอนจิตออกมา จนสามารถพิจารณาได้ และจึงค่อยเริ่มพิจารณา
    เวลาพิจารณา ก็ให้เราเน้นพิจารณาในพุทธานุสติ ธัมมานุสติ สังฆานุสติ
    คือ ระลึกถึงความดีของพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆเจ้า
    ให้เราตั้งใจและอธิษฐาน ในไตรสรณคม คือถือเอาพระรัตนตรัย
    เป็นสรณเป็นที่พึ่งสูงสุด ตลอดทุกสถานที่ ทุกเวลา ทุกภพชาติ ตราบเท่าเข้าถึงซึ่งพระนิพพาน
    มีความเคารพในพระรัตนตรัยประจำจิตอยู่เสมอ
    หากศีล5เรา รักษาให้ตลอดไม่ได้ ก็ให้ระลึกถึงความเคารพในพระรัตนตรัย
    ไตรสรณคม เป็นสมบัติ เป็นเพชร เป็นคุณธรรมที่เราสามารถรักษาเอาไว้ได้ตลอดเวลา
    ผู้ที่มีไตรสรณคมประจำจิตอยู่เสมอ จะไม่ตกลงไปยังอบายภูมอ หรือที่ต่ำ
    อย่างแย่สุดก็คือได้เกิดเป็นมนุษย์ จะไม่ต่ำกว่านั้น

    สักพักหนึ่งได้ก็คิดย้อมคำภวานาพร้อมค่อย ๆจับลมหายใจกลับมา อาการนั้นเวิ้งว้างท่ามกลางความมืดก็หายไป ก็เลยภาวนาต่อไปพอจิตเริ่มรู้สึกว่า พอแล้วสำหรับวันนี้ก็อธิฐานแผ่เมตราให้กับเจ้ากรรมนายเวรแล้วค่อยๆคลาสยสมาธิช้า ๆ ที่น่าแปลกใจคือระยะเวลานั่งจะได้1ชั่วโมงเต็ม ๆไม่ขาดไม่เกิน คือว่าก่อนนั่งจะดูนาฬิกาไว้ว่านั่งตอนกี่โมง นั่ง09.00 ออก10.00 พอดี ผมมีอาการอย่างที่บอกล่ะครับมันไม่ไปถึงไหนอีกเลยเป็นมานานแล้วหลงทางอยู่อย่างนี้ตลอด ส่วนเรื่อง กสินไม่เคยลองฝึกเลยคิดว่านั่งสมาธิให้มันคล่องก่อนค่อยฝึกเป็นขั้น ๆไปครับ แต่ความคิดของผมเองน่าจะมาจากศีล5ที่ไม่บริสุทธ์คือว่าผมมีบ้านเล็กพูดกันตามจริง ปิดบ้านใหญ่ไว้ส่วนบ้านเล็กเขารู้ ฉนั้นก็ต้องมุสากันบ้างนิดหน่อย (ผิดไปแล้ว2ข้อ)ส่วนอีก3ข้อพยายามรักษาให้ดีที่สุดอย่างตั้งแต่คิดว่าจะหันมาทางนี้ก็เลยตัดสินใจว่าจะเลิกกินเหล้าอีกถึงตอนนี้ก็เลิกเหล้ามาแล้วประมาณปีเห็นจะได้พวกอาหารถ้าเป็นสัตว์เป็น ๆผมจะไม่สั่งไม่ซื้อมากิน เคยเห็นกุ้งย่างที่เป็น ๆแล้วรู้สึกสงสารมาก คือคิดว่าอย่างไหนที่สามารถละได้ก็ควรละ อย่างที่มีบ้านเล็กจะทำไงได้มันมีไปแล้วและมีลูกด้วยก็เลยต้องรับตามกรรม มีก่อนที่จะหันมานั่งสมาธิ แต่ตัวผมเองคิดว่าถึงแม้นว่าตัวเราผิดศีล5ไม่สามารถรักษาให้บริสุทธ์ได้ก็ตามแต่มีความตั้งใจปฏิบัติ เข้าหาทางธรรม ยังดีกว่าคนที่ไม่คิดที่จะปฏิบัติเลยทั้ง ๆที่เกิดมาพบพุทธศาสนาแท้ ๆ กับประกอบอาชีพไม่สุจริต คดโกงเอารัดเอาเปรียบต่าง ๆนานา จริงมั้ยครับ

    ผมเชื่อว่า ทุกๆคน ทุกๆดวงจิต มีความงดงาม ความสวยงาม ความดีงามในจิตใจของทุกๆคน
    ไม่ว่าบุคคลนั้น จะแย่ หรือเรามองเขาว่ามีความเลวซักเพียงใด
    แต่ภายในก้นลึกของจิตใจ ทุกๆดวง ยังมีแสงสว่างแห่งความดีงามซึ่งสามารถถูกจุดประกายขึ้นมาได้
    พระองคุลิมาล สมัยก่อนบวช ท่านเป็นโจร สังหารคนมาเกือบจะครบหนึ่งพันคน
    แต่ท่านยังสามารถพลิกจิต เข้าถึงซึ่งความเป็นพระอรหันต์ได้
    แม้คนเราจะทำความไม่ดีมาซักเพียงไร ถ้าตั้งใจจริง ย่อมกลับเป็นคนดีได้ทุกคน ไม่มีข้อยกเว้น

    ความดีเปรียบดังแสงสว่าง หากเราทำความดีไปเรื่อยๆ
    แสงสว่างก็มากขึ้นๆ กระทั่งสลายความืดในดวงจิตของเราจนหมดสิ้นได้เอง
    ความดีใดที่ได้เข้าถึงแล้ว ขอให้สามารถประคอง รักษา ความดี แสงสว่าง คุณธรรมนั้น เอาไว้ได้ตลอดไป
    ความดีใดที่ยังไม่เข้าถึง ก็ขอให้สามารถเข้าถึงซึ่งความดีนั้น ได้โดยเร็วไว ได้โดยฉับพลันทันใด
    ด้วยพระบารมีแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยเทอญ
     
  10. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ถึงคุณ suthipongnuy ครับ

    สวัสดีครับท่านชัด ช่วงนี้ไม่ค่อยได้มารบกวนบ่อยเหมือนเมื่อก่อน เพราะได้รับคำแนะนำไปหมดแล้ว อยู่ที่ตัวผมเองว่าจะปฏิบัติได้มากน้อยแค่ไหน การปฏิบัติของผมในตอนนี้ก็ดีบ้าง ไม่ดีบ้าง ขึ้นบ้างลงบ้าง ทำบ้างไม่ทำบ้างครับ อิอิ

    วันสองวันที่ผ่านมาท่านพระอาจารย์ที่ผมนับถือท่านได้โทรศัพท์มาพูดคุย และได้สอบถามถึงการปฏิบัติของผม ผมก็เล่าให้ท่านฟังว่า ช่วงนี้รู้สึกว่าการปฏิบัติของผม มีแต่ทรงกับทรุด การเข้าสมาธิรู้สึกว่ายากกว่าแต่ก่อน ทำให้กำลังใจตกไปมากทีเดียว ท่านก็เมตตาให้กำลังใจบอกว่า เมื่อเราตั้งใจทำความดี มีความพยายามที่จะฆ่ากิเลส กิเลสมันก็ต้องสู้เป็นธรรมดา รวมทั้งมารต่างๆที่จะทำทุกอย่างเพื่อขัดขวางเรา ท่านบอกให้ผมมีความเพียรทำให้บ่อยๆ แล้วจะได้ดีเอง และท่านยังบอกให้สวดมนต์บ่อยๆอีกด้วย แล้วปัญหาต่างๆจะคลี่คลาย รวมทั้งความเครียดที่เกิดขึ้น พอช่วงบ่ายของวันนั้น ก็มีเรื่องให้ปวดหัวทันทีเลยเป็นปัญหาที่ผมสร้างมานาน แต่พอเจอกับปัญหาผมก็พยายามทำใจให้สบาย พยายามเจรจาต่อรอง จนปัญหาที่ผมก่อไว้ ก็สามารถหาทางออกได้แบบราบรื่น จนผมอดสงสัยไม่ได้ว่ามันจะออกมาในแบบนี้

    มีเรื่องที่ผมอยากขอคำแนะนำหลายเรื่องครับ เพราะผมเป็นคนขี้สงสัย และคิดมาก ทำให้คำถามในบางเรื่องกลายเป็นเรื่องจุกจิกไร้สาระไปก็มี

    1. มีอยู่ครั้งหนึ่งผมนั่งสมาธิ พอจัดท่านั่งวางมือและหลับตาเรียบร้อย ในช่วงที่ลากลมยาว3รอบภาวนาพุทโธ ธัมโม สังโฆ แล้วหายใจไปได้ไม่กี่ครั้งรู้สึกว่าจิตรวมอย่างรวดเร็ว ลมหายใจหายไปแทบจะทันที จนผมตกใจคิดว่าเฮ้ยไรเนี่ย ยังไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจเลย หลังจากหายตกใจ ก็หันกลับมารู้ลมหายใจ ทำให้เสียดายอยู่เหมือนกันครับ

    ในขั้นของจับลมหายใจนั้น
    ให้เน้น อารมณ์ของความเบา สบาย ผ่อนคลาย ทั้งร่างกายและจิตใจ
    ยอ่งร่างกายผ่อนคลายมากเท่าไหร่ ลมหายใจก็ยิ่งราบรื่น
    ยิ่งลมหายใจราบรื่นมากเท่าไหร่ ความคิดก็ยิ่งบางเบา สงบระงับ
    ยิ่งความสงบระงับมากเท่าไหร่ จิตของเราก็ยิ่งนิ่ง หยุด รวมตัว ตั้งมั่นอยู่ในความสบายมากเท่านั้น

    2. ผมลองปฏิบัติโดยดูลมหายใจ ภาวนาพุทโธ และจับภาพพระไปด้วย รู้สึกปวดแถวๆหว่างคิ้วมากครับ คิดว่าน่าจะเป็นเพราะจับภาพพระผิดตำแหน่ง และใช้ลูกตาเพ่ง เพราะผมวางไว้ด้านหน้าเลย ที่จริงต้องนึกเอา เคยลองจับภาพบริเวณเหนือสะดือ2นิ้วก็ไม่ถนัด เลยเลิกทำไปแล้วครับ ตอนนี้กลับมาอยู่กับลมหายใจอย่างเดียว ตั้งใจไว้ว่าจะทำไปสัก1เดือน แล้วค่อยมาประเมินผลกันใหม่

    ใช้อารมณ์ผิดครับ เพ่งมากเกินไป
    เวลาเรานึกถึงหน้าของคุณพ่อคุณแม่ เราปวดระหว่างคิ้วไหมครับ
    ก็ไม่ปวด ให้จับภาพพระด้วยอารมณ์เดียวกันครับ
    ผมขอใช้คำว่าจินตนาการ เพราะจะให้ความรู้สึกที่เบากว่า
    จินตนาการ ด้วยอารมณ์ที่สบาย ที่เบา และเราต้องเห็นภาพพระท่านยิ้ม
    ถ้าไม่เห็นภาพพระท่านยิ้ม จิตจะยังไม่เย็น ไม่ชุ่มฉ่ำ ยังแห้งอยู่

    3. ลูกสาวชอบฟังเรื่องพญานาคมากครับ (9 ขวบ) แกชอบค้นหาในกูเกิ้ล ผมเลยเอาไฟล์เสียงอ่านของหนังสือโลกทีปนี ให้แกฟังแกก็ชอบครับ ถามว่าสวรรค์เป็นยังไง เทวดานางฟ้าสวยไหม ผมก็บอกว่าสวย บอกแกว่าให้ทำบุญเยอะๆจะได้ขึ้นสวรรค์ บางทีก็สอดแทรกเรื่องมรณสติไปด้วย ถามแกว่าถ้าพ่อตายไปหนูจะทำยังไง เสียใจไหม แกก็ตอบตามประสาเด็กครับ ผมก็แนะนำไปว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา ทุกคนต้องตาย แม้แต่หนูก็ต้องตายเหมือนกัน กลัวไหม แกก็บอกว่ากลัว ผมบอกว่าถ้ากลัวก็ทำบุญเยอะๆ ตายไปจะได้ไปสวรรค์ ถ้าตายแล้วได้ไปสวรรค์จะกลัวไหม แกบอกไม่กลัว บางวันที่จังหวะเหมาะๆก็ชวนลูกทำสมาธิครับ โดยการจับภาพพระ แกทำได้ดีทีเดียว แล้วให้แกแผ่เมตตาโดยทำตามคำแนะนำของท่านชัด ให้นึกภาพพระเป็นประกายสว่างไสวไปทั่วโลกทั่วจักรวาล แกก็ทำตาม แกบอกว่ารู้สึกเย็นๆในกลางอก

    ลองหา ไฟล์เสียงสมาธิของหลวงพ่อฤาษี ที่เกี่ยวกับ มโนมยิทธิ เปิดให้ฟังสิครับ
    ผมเชื่อว่า แค่ฟังและนึกตาม ลูกของคุณจะได้มโนมยิทธิเลย
    เพราะจิตค่อนข้างใสมาก
    และที่บอกว่ารู้สึกเย็นที่อกนั้น ถูกแล้วครับ
    จริงๆ ทุกคนที่แผ่เมตตาควรจะรู้สึกแบบนั้น ใครยังไม่เย็นก็อย่ายอมแพ้เด็กนะครับ
    ให้สอนเพิ่มด้วยนะครับว่า
    อารมณ์ที่เย็นนี้ เกิดจากความรู้สึกดีๆ เป็นความปรารถนาดี ความเมตตาที่เรามอบให้กับคนอื่น
    ยิ่งเรามีจิตใจที่นึกถึงผู้อื่น จิตใจที่งดงาม ดังดอกไม้มากเท่าไหร่
    เราเองก็จะยิ่งมีความสุขมากเท่านั้น
    ถ้าเรารักษา ความงดงามในจิตใจของเราเอาไว้ได้
    ความสุข ชุ่มเย็นที่เกิดจากจิตใจนี้ ก็จะอยู่ตลอดไป

    ลูกค่อนข้างจะมีบุญนะครับ สามารถจะฝึกสมาธิได้ตั้งแต่เด็ก ลองนำๆสมาธิให้ดูก็ได้ครับ

    4. ตอนนี้ผมเข้าสมาธิยากมากครับ เพราะเวลาทำรู้สึกจิตไม่นิ่ง ไม่สงบ รู้ทั้งรู้ว่าต้องกำจัดนิวรณ์5ให้ได้ซะก่อน แต่ก็ยังทำไม่ได้ ช่วงนี้เลยหลอกล่อตัวเองโดยการหันไปสนใจเรื่องทางโลกตามเคย เพื่อให้ลืมๆเรื่องที่กังวลใจที่จิตไม่สงบ แล้วก็กลับมาปฏิบัติใหม่ ตอนนี้ก็ยึดหลักอานาปาณสติอย่างเดียว พิจารณาว่าทำไปเรื่อยๆ ได้บ้างไม่ได้บ้างก็ไม่เป็นไร ขอให้ทำไปเรื่อยๆก็พอ ก็รู้สึกดีขึ้นบ้างครับ

    กลับไปล้างลมหายใจครับ อย่างที่ผมเคยแนะนำเอาไว้ครับ
    ถ้าจิตของเราเครียด วุ่นวาย ฟุ้งซ่านมาเป็นระยะเวลาหนึ่งๆ
    กายจะปรับธาตุให้ตามจิต ซึ่งจะเป็นธาตุที่วุ่นวาย ทำให้เกิดสมาธิยาก
    หากเราปรับกาย ธาตุในกายของเราก่อน คือ
    1.ล้างลมหายใจ ปรับระบบกายใจของเรา ให้ไหลลื่น ให้ราบรื่น ให้เบาสบาย
    2.ปรับกายของเราทำได้โดยการตั้งจิตว่า
    ขอบารมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเมตตาสงเคราะห์ ให้ธาตุทั้ง4ในกายของข้าพเจ้า เป็นธาตุธรรม ธาตุทิพย์ ธาตุพระนิพพาน ด้วยพลังแห่งสัมมาทิษฐิ พลังแห่งความดี พลังจากบารมีของพระพุทธองค์ด้วยเทอญ
    จากนั้นให้เรานึกภาพ ทำความรู้สึกว่า มีพลังแห่งความดีงาม พลังแห่งสัมมาทิษฐิ พลังแห่งความชุ่มเย็น
    เป้นแสงสว่างสีขาว สีเพชร หลั่งไหลจากทุกๆทิศทาง พุ่งเข้ามายังร่างกายของเรา
    เข้ามาปรับธาตุในร่างกายของเราให้เป็นเพชร ใส ประกายระยิบระยับ ทุกๆส่วน
    ยิ่งเราดึงแสงสว่าง เป็นเพชร เข้ามาในร่างกายของเรามากเท่าไหร่
    ร่างกายก็ยิ่งผ่อนคลาย ยิ่งเบา สบาย ชุ่มเย็น
    จิตของเราก็ยิ่งเย็น ยิ่งเบา ยิ่งสบาย
    ดึงแสงสว่างเข้ามาเรือยๆ จนกว่าจะรู้สึกว่ามีความชุ่มเย็นเกิดขึ้นที่จิตของเรา
    พอเราปรับกายของเราแล้ว คราวนี้มาทำสมาธิใหม่ จิตก็จะเป็นสมาธิได้โดยง่าย

    5. ผมมีความคิดที่จะทำแผ่นซีดีธรรมแจกจ่ายให้กับเพื่อนร่วมงาน และผู้มาใช้บริการที่เกี่ยวกับงานของผม (ผมทำงาน ร.พ.เป็น จนท.ธรรมดา แต่ละวันมีผู้ป่วยมากมายมาใช้บริการ) มีคำแนะนำไหมครับว่าจะต้องเริ่มจากธรรมะข้อไหนกัน ที่ผมคิดๆไว้ก็จะเป็นธรรมะเบื้องต้นเกี่ยวกับความรู้ของศาสนาเป็นการปูพื้นฐานไว้ก่อน แล้วต่อมาก็เป็นธรรมะเกี่ยวกับการทำสมาธิ การเจริญวิปัสสนา

    ถ้าเป็นโรงพยาบาล ลองทำเรื่อง ที่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างโรคภัยไข้เจ็บ กับสภาวะของจิตใจ
    เรื่องที่น่าสนใจก็มี message from water แต่บางอันมีลิขสิทธิ์
    เพราะโรคแปลกๆหลายโรคเกิดจากจิตใจ เช่น ไมเกรน มะเร็ง อัลไซเมอร์ ซี๊ด ความดันโลหิต
    มีหลายคนที่เพียงปรับจิต ปรับสภาพแวดล้อมใหม่ ก็หายจากโรคเหล่านี้ ซึ่งยารักษาไม่หาย


    ปูความรู้พื้นฐาน ลองพุทธประวัติ ชาดก พระเจ้า500ชาติ ให้เป็นเรื่องเล่าเข้าไว้คนจะเข้าถึงได้ง่ายกว่า
    เวลาแจกเราตั้งใจว่า เราให้ทั้งธรรมทาน และให้ทั้งกรรมฐาน
    กรรมฐานที่ให้คือ พุทธานุสติ ธัมมานุสติ สังฆานุสติ และให้ไตรสรณคมแก่ผู้อื่น
    เราให้ด้วยเมตตา มีความตั้งใจว่าอยากจะให้ผู้ที่ได้ไปนี้ เข้าถึงซึ่งพระนิพพานได้เร็วยิ่งขึ้น
    ให้พระพุทธศาสนามีความเจริญรุ่งเรือง ตลอดจนครบ5000ปี มากด้วยพระอริยเจ้า พระอรหันต์ พระโพธิสัตว์ พระมหาโพธิสัตว์ พระอริยโพธิสัตว์
    แล้วด้วยอานิสงคืที่เราให้ธรรมะกับผู้อื่นนี้ ก็ขอให้ตัวเราเองสามารถเข้าถึงซึ่งธรรมะในพระพุทธศาสนาได้อย่างละเอียดลึกซึ้งพิศดาร

    ช่วงเดือน มีนาคม พอผมพ้นจากธุระทางโลก ช่วงนี้แล้ว ค้างมาหลายเดือน
    ผมจะตะลุยสอนสมาธิ กับอัดไฟล์เสียงสมาธิ เวอชั่นต่างๆ
    ถ้าสนใจเดี้ยวผมจะส่งให้ลองฟังดูก็ได้ครับ

    จิตตั้งมั่นในไตรสรณคมแล้ว ไม่เสื่อมไปโดยง่าย สามารถกั้นอบายภูมิไว้ได้แล้ว
    เหลือเพียงแต่เจริญจิต ให้ถึงปลายทางเท่านั้น
    ธรรมใดที่พระอรหันต์ทุกๆพระองค์ได้เข้าถึงแล้ว ขอให้สามารถเข้าถึงซึ่งธรรมนั้นได้โดยฉับพลันทันใด
    ด้วยพระบารมีแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยเทอญ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 มิถุนายน 2010
  11. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ถึงคุณ makoto12 ครับ

    มีอยู่จุดๆหนึ่งก่อนที่ลมจะหมดไปร่างกายหยุดนิ่งร่างกายไม่ต้องการ ลมหายใจคอ่ยๆหยุดห่างออกไป แล้วสักประเดี๋ยว มีความเบา สบายเหมือนกับเราเป็นอนู และ ความรู้สึก(ไม่ได้จับแต่รับรู้) ราวกับว่าตัวผมเองเป็นดั่งเสมือน เม็ดๆเล็กๆมีประกายระยิบลอยขึ้นไปคล้ายกับฟองอากาศที่ลอยขึ้นสู่ผิวน้ำยังไงยังงั้น ไม่สงสัยอะไรนะถ้าทำต่อ แต่ ร่างกายควรได้พักก็เลยหยุดประคองแค่นั้น ผ่อนคลายลงไป

    จิตเป็นฌาณ4 และจะเคลื่อนออกเป็นมโนเต็มกำลัง

    อีกทั้งเวลาเดินตามทางที่ต่างๆ ทุกครั้งเดี๋ยวนี้ทำไมเรามีความรู้สึกเหมือนกับว่าทุกคนเป็นอย่างท่อนไม้ คล้ายๆกันหมด ตัวเราก็เช่นกัน ท่อนไม้ที่เคลื่อนไหว และก็มองทะลุท่อนไม้นั้น เห็นประกายไม่เท่ากันแต่ละดวงจิตที่อยู่ภายในท่อนไม้นั้นๆ เราก็มีความรู้สึกราวกับเราไม่ได้อยู่ที่นี้ ที่นี้ไม่น่าอยู่เอาเสียเลยไม่จีรัง
    อีกสักพัก ภาพอสุภะก็ค่อยๆปลากฏเมื่อเรามองเห็นคนที่หน้า สวย หล่อ หน้าตาดี ผิวพรรณดี รูปร่างดี
    (ถึงครานั้นก็ยังมีความกำหนัด หรือมาร ที่มันพยายามจะผุดขึ้นมาอยู่ร่ำไป)

    จิตเริ่มจับวิปัสสนาญาณ ที่เห็นเป็นท่อนไม้ และดวงจิตข้างในนั้น ถูกแล้วครับ
    ความจริงก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ คุณค่าของคนจึงอยู่ที่ความงามในจิตใจ มากกว่ารูปกายภายนอก
    ความงามของจิตใจนี้มีแต่จะยิ่งงดงามมากขึ้น ส่วนความงามของร่างกายนั้นมีแต่จะยิ่งพังทลาย แตกสลายลงไปทุกวัน
    ต้องอย่าให้ใจของเราเสื่อมไปตามร่างกาย แต่กลับงดงาม ใสสว่าง เป็นเพชรยิ่งขึ้นทุกวัน

    บางทีจิตและความคิด คิดว่าขณะนี้ เราเป็นบรรชิตถือศีลอยู่ในสถานที่เงียบสงบ แต่ที่อยู่ในร่างของมนุษย์ที่ยังคงมีกิเลส บางทีเราก็คล้อยตามมัน
    พูดง่ายๆ ใจนึกคิดเป็นพระ แต่อารมณ์เป็นมาร ความกำหนัดก็ยังมี อารมณ์ที่หนักอยู่ก็ยังมีบ้างอาจจะไม่มากเหมือนแต่ก่อนแต่ก็น้อยลงมาก อยู่กลางๆ ดีบ้างเลวบ้าง

    อารมณ์มันจะเริ่มคานๆ ค้านๆกัน ระหว่างทางโลกกับทางธรรม
    เราก็ตั้งใจว่า เราก็ใช้ชีวิตทางโลกไปตามปรกติ แต่ให้ใจของเราเลยตัวอยู่สูงเหนือขึ้นไปจากกระแสของโลก
    ร่างกายมันก็ต้องดำรงอยู่ตามโลกของมันไป ส่วนใจของเราก็ดำรงอยู่ในธรรม ไม่เกาะกับร่างกายจนเกินพอดี
    กลางๆ พอดีๆ ไม่มากจนเกินไป รักษาความเป็นธรรมดานี้เอาไว้เรื่อยๆ

    ช่วงหลังๆมานี้ผมอัดลมบ่อยมากจน มันเบาโล่ง เริ่มอัดลมไม่ค่อยได้แล้วเพราะมันเบาจนอัดไม่ได้

    ถูกแล้วครับ พอทำถึงจุดนึง มันจะเต็มแล้ว สุดแล้ว
    ถ้าฝืนอัดเพิ่มมากๆ กลับจะทำให้ใจไม่สบายครับ เพราะเกินพอดี
    (แต่ผมนอนดึก นอนน้อย เวลาปฏิบัติสมาธิก็ตอนดึกๆ ดึกมากๆ(มันไม่ีมีความกลัวแล้ว) ผักผ่อนไม่เพียงพอ รู้ว่าไม่ดี และก็รู้ตัวคับแต่ความง่วงก็ไม่ค่อยมีผลมากเท่าไหร่เพราะผมทรงอารมณ์นี้ไว้)

    อนุโมทนากับการเริ่มต้นที่ดีคับ คุณชัด

    ขอบารมีพระพุทธ พระธรรม พระอาริยะสงฆ์ ทุกๆสิ่งทุกอนูที่รวมตัวกันเป็นสิ่งที่ทำให้ทุกๆท่านทุกๆคน ทุกๆตน ทุกๆนาม ที่รวมกันมาอยู่ในจุดๆนี้ให้ได้พุ้งตรงไปยังพระนิพพานในชาติปัจุบันด้วยเทอญ

    ปฏิปทาเพื่อสาธารณประโยชน์ใดที่ได้ตั้งใจไว้ดีแล้ว
    ก็ขอให้ทำให้ยิ่งๆขึ้นไป ทุกสถานที่ ทุกเวลา ทุกขณะจิต ทุกชาติภพ ตราบเท่าเข้าถึงซึ่งพระนิพพานด้วยเทอญ
    <!-- google_ad_section_end -->
     
  12. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ของคุณ Maxzimon
    เนื่องจากเกี่ยวกับความฝัน ผมตอบให้ทางpm แล้วนะครับ
     
  13. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ถึงคุณ nataphat ครับ

    วิชาใดในโลกที่สามารถต้านทานศัสตราวุธได้ทุกชนิดแม้แต่นิวเคลียร์ อิอิ ไม่มีไรครับถามเล่นๆ

    หนึ่งในวิชชาเหล่านั้น ก็มี เมตตาอัปปมาณฌาณ พรหมวิหาร4 นี่แหละ

    อานิสงค์ของการเจริญเมตตา

    1. หลับอยู่ก็เป็นสุขสบาย
    2. ตื่นอยู่ก็เป็นสุขสบาย
    3. ไม่ฝันร้าย
    4. เป็นที่รักของเหล่ามนุษย์ทั้งหลาย
    5. เป็นที่รักของเหล่าอมนุษย์ทั้งหลาย
    6. เทวดาย่อมคุ้มครองรักษา
    7. ไฟก็ดี ยาพิษก็ดี ศาสตราก็ดี ย่อมทำอันตรายไม่ได้
    8. จิตย่อมเป็นสมาธิได้เร็ว
    9. ผิวหน้าย่อมผ่องใส และมีผิวพรรณดี
    10. เป็นผู้ไม่หลงกาลกิริยาตาย (เวลาตายมีสติ)
    11. เมื่อยังไม่บรรลุคุณวิเศษยิ่งๆขึ้นไป ย่อมไปสู่พรหมโลก (ได้สุคติชั้นสูง)

    ข้อที่7 ไฟก็ดี ยาพิษก็ดี ศาสตราวุธก็ดี ทำอันตรายไม่ได้
    ไม่ได้นี่ ไม่ได้จริงๆ คือถ้าทรงอยู่ในเมตตาแบบเต็มที่ ไฟเผาไม่ไหม้ ของมีคมก็ฟันแทงไม่เข้า
    แต่ไม่ต้องมาลองแทงผมนะครับ
    ถ้าอยากลอง ก็แผ่เมตตาเอง แล้วก็แทงตัวเองก็แล้วกัน
    หากมีการยิงอาวุธนิวเคลียร์จริงๆ ร่างกายก็จะไม่ได้รับอันตราย

    ที่ต่างประเทศมีคนไปพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ด้วย
    คือเขาให้เครื่องตรวจจับการทำงานของร่างกาย
    แล้วก็ให้คนเข้าสมาธิ
    ปรากฏว่า พอจิตเป็นสมาธิ ร่างกายจะหลั่งสารชนิดนึง ซึ่งเป็นสารต้านกัมมันตรังสีของอาวุธนิวเคลียร์
    ดังนั้นถ้ามัน เกิดสงครามนิวเคลียร์จริงๆ
    มันก็เป็นระบบคัดกรองของธรรมชาติ ที่จะทำให้ผู้ที่มีสมาธิ มีเมตตา มีชีวิตรอดมาได้ จากละอองนิวเคลียร์

    แล้วก็ในห้อง ภัยพิบัติ ก็มีกระทู้แจกเหรียญทำน้ำมนต์ทั่วประเทศ
    ซึ่งตอนนี้แจกหมดไป2รอบแล้วครับ
    แต่ก่อนจะมีรูปคน ขอบารมีพระ แผ่เมตตา แล้วแทงให้ดูด้วยครับ แทงกันเลย
    แต่ตอนนี้รูปหายไปแล้ว
    เอามาลงเพื่อให้ร่วมโมทนากับการแจกเหรียญทำน้ำมนต์ด้วยกันครับ
    ตอนนี้แจกเหรียญได้เกือบทั่วประเทศแล้ว โดยเฉพาะตามจุดสำคัญๆ
    คาดว่า หากเกิด มีคนยิงอาวุธนิวเคลียร์ หรือภัยพิบัติขึ้นมาจริงๆ
    ผมเชื่อว่าบารมีของพระพุทธศาสนาจะทำให้ประเทศไทย ปลอดภัยอย่างแน่นอนครับ



    <TABLE class=tborder id=post1401338 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175><!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->kananun<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_1401338", true); </SCRIPT>
    หัวหน้ากลุ่มพลังจิตพิชิตภัยพิบัติ

    [​IMG]

    วันที่สมัคร: May 2006
    ข้อความ: 9,332
    Groans: 10
    Groaned at 18 Times in 18 Posts
    ได้ให้อนุโมทนา: 39,249
    ได้รับอนุโมทนา 170,577 ครั้ง ใน 9,297 โพส
    พลังการให้คะแนน: 10092 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]




    </TD><TD class=alt1 id=td_post_1401338 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><CENTER><!-- google_ad_section_start -->แจกเหรียญทำน้ำมนต์เพื่อบรรเทาภัยพิบัติ ทั่วประเทศไทย<!-- google_ad_section_end -->

    </CENTER>
    <HR style="COLOR: #ffffff; BACKGROUND-COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- google_ad_section_start --><SCRIPT type=text/javascript><!--google_ad_client = "pub-2576485761337625";/* 250x250, created 31/01/09 */google_ad_slot = "7252767143";google_ad_width = 250;google_ad_height = 250;//--> </SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/show_ads.js" type=text/javascript> </SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/expansion_embed.js"></SCRIPT><SCRIPT src="http://googleads.g.doubleclick.net/pagead/test_domain.js"></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/render_ads.js"></SCRIPT><SCRIPT>google_protectAndRun("render_ads.js::google_render_ad", google_handleError, google_render_ad);</SCRIPT>
    มีโครงการที่พวกเราจะแจกเหรียญทำน้ำมนต์ เพื่อบรรเทาภัยพิบัติทั่วประเทศไทย ฟรี....

    ซึ่ง สำหรับการแจกเพื่อรายบุคคลนั้น ขณะนี้เราได้แจกไปจนครบจำนวนแล้วครับ

    ดังนั้นในตอนนี้เพื่อให้เกิดคุณประโยชน์ต่อส่วนรวมสูงสุด ทางเราจะเน้นการแจกเหรียญทำน้ำมนต์ไปยัง กลุ่มพลังจิตพิชิตภัยพิบัติ ที่รวมตัวกันในภาคต่างๆ และร่วมงานในการร่วมใจกันหย่อนเหรียญทำน้ำมนต์ลงในแหล่งน้ำต่างๆ ในอาณาบริเวณสำคัญของพื้นที่เพื่อให้ครอบคลุม จังหวัด อำเภอ หมู่้บ้านให้มากที่สุดครับ


    ต้องขออภัยสำหรับท่านที่ขอส่วนตัว แล้วอาจไม่ได้รับด้วยครับ


    โดยงานที่เราแจกเหรียญแบ่งออกเป็นงานดังนี้

    1. จัดส่งมอบเหรียญทำน้ำมนต์จำนวณมาก ให้กลุ่มผู้ปฏิบัติธรรมของจังหวัดต่างๆ หรือภาคต่างๆ เพื่อนำไป บรรจุ นำไปประดิษฐานในบ่อน้ำมนต์ตามวัดวาอารามหรือสถานธรรมต่างๆ และร่วมกันอธิฐานจิตไว้ในแหล่งน้ำต่างๆ

    เพื่อให้บ่อน้ำมนต์และแหล่งน้ำแห่งนั้นเป็นทิพย์มนต์ ช่วยบำบัดทุกข์บำรุงสุขสันติให้กับภูมิภาคพื้นที่ของท่านทั้งหลายเอง และเพื่อประเทศไทยโดยส่วนรวม ให้ปลอดภัยจากภัยพิบัติทางธรรมชาติก็ดี โรคระบาดก็ดี สงครามหรือกัมมันตรังสีก็ดี




    ขณะนี้ได้จัดส่งแล้วครับ โดยจัดส่งมอบให้กลุ่มต่างๆที่จะนำไปบรรจุและอธิฐานจิตเพื่อส่วนรวมก่อนครับ


    หากกลุ่มใด คณะใดปรารถนาจะร่วมใจในงานเพื่อประเทศชาติครั้งนี้ ขอเชิญแจ้งความจำนงมาได้ในกระทู้นี้ครับ

    สำหรับวิธีการขั้นตอนในการอารธนาใช้ เพื่อช่วยเพื่อสงเคราะห์ส่วนรวม เมื่อได้รับเหรียญน้ำมนต์ไปแล้ว ทั้งก่อนและหลังได้รับแล้วมีดังนี้ครับ


    ให้มีการรวมตัว ในกลุ่มผู้ปฏิบัติธรรมกันก่อนแจ้งให้หมู่คณะเราทราบในวัตถุประสงค์

    ที่เราจะร่วมใจกันทำงานเพื่อส่วนรวม

    จากนั้นเราก็มารวบรวมข้อมูลในจังหวัดของเราก่อนว่า

    -มีวัดในเขตจังหวัดที่เรารู้จักมีจุดใดที่มีบ่อน้ำพระพุทธมนต์บ้าง

    -มีแหล่งน้ำสำคัญในจังหวัดของเรา ที่แห่งใดบ้าง

    -มีเขตพุทธาวาสใดที่มีพระสุปฏิปันโนบ้าง

    เพื่อกำหนดจำนวนเหรียญทำน้ำมนต์ที่จะแจ้งความจำนงขอมา

    จากนั้น เมื่อได้รับเหรียญทำน้ำมนต์แล้ว ก็ ให้รวบรวม ญาติธรรมในพื้นที่ที่เข้าใจในวัตถุประสงค์และมีจิตศรัทธาที่จะทำเพื่อชาติเพื่อส่วนรวม นัดหมายมาปฏิบัติธรรม ทำสมาธิตามแนวทางที่หมู่คณะได้ปฏิบัติมา รักษาศีล และร่วมจิตกันอธิฐาน จิตร่วมกัน ดังนี้(หากมีพระสุปฏิปันโนที่ท่านเคารพนับถือ ก็ขอให้ท่านเมตตานำหมู่คณะในการอธิฐานจิต) ท่านที่ได้มโนมยิทธิก็ขอให้ทรงอารมณ์ใจบนพระนิพพานขอบารมีจากพระพุทธองค์โดยตรง

    (ท่านที่เป็นสายหลวงปู่ดู่ก็อาราธนาบารมีท่านและอธิฐานสวดบทสวดพระจักรพรรดิ์ร่วมหลังจากอิติปิโสด้วย)

    ว่านะโม (สามจบ) อิติปิโส....

    "ข้าพเจ้าทั้งหลายขอตั้งจิตอธิฐานด้วยดวงจิตอันบริสุทธิ์ ขอกราบอาราธนา บารมีคุณพระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า พระอริยสงฆ์เจ้า มากมายยิ่งกว่า เม็ดทรายในท้องมหาสมุทร บารมีสามสิบทัศน์แห่งพระโพธิสัตว์และพระมหาโพธิสัตว์ทุกๆพระองค์

    บารมีแห่งเทพพรหมเทวาสัมมาทิษฐิ

    คุณบิดามารดา ครูอุปปัชชาย์อาจารย์ ท่านผู้มีพระคุณ

    พระบรมเดชานุภาพแห่งองค์พระมหาบูรพกษัตริยาธิราชเจ้าผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐทุกๆพระองค์

    พระสยามเทวาธิราช ผู้รักษาชาติไทย

    แม่พระธรณี แม่พระคงคา แม่พระโภสพ พ่อพระเพลิง พ่อพระพาย

    ตลอดจนหมู่นาคทั้งหลาย

    ขอจงได้รวมบารมีมาสถิตรักษาน้ำในเขตนี้แหล่งนี้ ให้เปี่ยมไปด้วยพุทธานุภาพ เป็นน้ำพระพุทธมนต์อันศักดิ์สิทธิ์ ชำระล้างปัดเป่าภัยพิบัติทั้งปวงให้ปราศนาการสิ้นไปจากเขตคามแห่งนี้

    ขอให้อำนาจแห่งพุทธคุณขอให้ สิ่งอัปมงคล คุณไสยอวิชชา คุณผี คุณคน ทั้งปวงสลายตัวสิ้นจาก ผู้ได้รับสัมผัสน้ำพุทธมนต์นี้

    ขอให้โรคภัยไข้เจ็บ โรคระบาด โรคเวร โรคกรรม โรคอันเกิดจาก เจ้ากรรมนายเวรทั้งปวงขอจงสิ้นไปจากผู้ได้สัมผัสน้ำพุทธมนต์นี้

    ขอให้รังสีจากอาวุธศาตราวุธทั้งปวงจงสลายตัวจนหมดสิ้นด้วยอำนาจพุทธคุณนี้

    ขอให้ไทยธำรงคงความเป็นชาติเอาไว้ตราบนานเท่านาน

    ขอให้พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองดั่งสมัยพุทธกาล ดำรงคงมั่นตราบเท่า ห้าพันปี

    ขอพระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นธรรมมิกราชเจ้า สืบสายรักษาแผ่นดินไทยและอาณาประชาราษฎร์ตลอดไปไม่มีที่สิ้นสุด

    ขอให้ปวงชนชาวไทยทั้งปวงร่มเย็นเป็นสุขมีศีลมีธรรมใต้ร่มพระบารมี

    และขอให้ผืนแผ่นดินไทยในเขตคามที่ข้าพเจ้าทั้งปวงมีจิตสามัคคี ร่วมจิตกันด้วยแรงกตัญญูต่อแผ่นดินเกิดนี้จง อุดมสมบูรณ์ร่มเย็นเป็นสุข ผู้คนทั้งหลายมีศีลธรรมประจำใจ ฝนฟ้าตกต้องตามฤดูกาล ธัญญาหาร พฤกษาหาร มังสาหาร อุดมสมบูรณ์ มีแต่สิ่งดีงามในเขตคาม เจริญจิต เจริญธรรม เป็นอาณาจักรแห่งสัมมาทิษฐิด้วยเทอญ"

    เมื่อร่วมกันตั้งจิตอธิฐานแล้ว ก็ร่วมกันนำเหรียญทำน้ำมนต์นี้ บรรจุลงในบ่อน้ำพุทธมนต์ ในเขตวัดหรือสถานปฏิบัติธรรมแห่งนั้น เพื่อให้เป็นเขตที่ปลอดภัยจากภัยพิบัติทั้งปวง

    สำหรับแหล่งน้ำของจังหวัดก็ขอให้ล่องเรือไปกลางลำน้ำอธิฐานจิตขอให้พญานาคผู้รักษาแหล่งน้ำแห่งนั้นได้โมทนาและรักษาเหรียญทำน้ำมนต์นี้ ก่อนหย่อนลงในน้ำ และขอให้อธิฐานขอให้น้ำอันระเหยและก่อตัวเป็นฝน ก็ขอจงให้ปรากฏ เป็นฝอยน้ำพุทธมนต์ประพรมให้อาณาเขตคามและบุคคลทั้งหลายได้อยู่ร่มเย็นเป็นสุข

    ความศักดิ์สิทธิ์จะยิ่งปรากฏเมื่อ พวกเราร่วมจิตกันวางกำลังใจปรารถนาดีต่อส่วนรวมกันอย่างแท้จริง

    ความศรัทธามั่นคงในพุทธบารมีอย่างไม่ลังเลสงสัย

    สามัคคีธรรมที่ร่วมใจกันทำอภิจิตให้อำนาจแห่งสมาธิจิตรวมตัวกัน

    หากคณะใด กลุ่มใดตั้งใจทำเพื่อสงเคราะห์ส่วนรวมอย่างแท้จริงจะขอเป็นจำนวนมากสักหน่อยก็ยินดีครับ

    และหากได้ไปทำพิธีไว้ยังสถานที่ใดแล้วกรุณาแจ้งให้ทราบด้วยครับ เผื่อจะได้ไม่ซ้ำกันครับ และได้ได้หาอกาสไปทำพิธีในส่วนที่ขาดครับ
    __________________

    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ kananun [​IMG]
    ปัจจัยที่ทำให้พระเครื่องศักดิ์สิทธิ์

    --- ประกอบไปด้วยจิตเจตนาของผู้สร้าง ถ้าจิตเจตนาของท่านผู้สร้างเป็นไปเพื่อช่วยเหลือหรือสงเคราะห์ผู้คน แจกให้โดยไม่หวังผล พระท่านก็จะบังเกิดความศักดิ์สิทธิ์



    --- ความบริสุทธ์และคุณธรรมของผู้สร้าง ผู้จัดสร้างมีศีล ทรงพรหมวิหารสี่เต็มเปี่ยม พระเครื่องที่จัดสร้างก็ทรงความศักดิ์สิทธิ์

    --- ความศักดิ์สิทธ์จากธาตุและเนื้อมวลสารขององค์พระเครื่องหรือวัตถุมงคลนั้นเอง ขอยกตัวอย่างเช่น พระสมเด็จจิตรลดาที่องค์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท่านทรงสร้างเพื่อพระราชทานให้ข้าราชบริพาญ โดยรวบรวมจากเส้นพระเกสาของพระองค์ท่าน นำมนต์จากทั่วประเทศ และวัตถุขลังอย่างอื่นเช่น เหล็กนำพี้ ตะไคร้จากองค์พระธาตุทั่วประเทศเป็นต้น พระของหลวงพ่อฤาษีลิงดำท่านมี พระคำข้าว พระหางหมาก ที่มีมวลสารจาก ธาตุอันบริสุทธ์ของพระอรหันต์



    ---จากพิธีพุทธาภิเษก การอธิฐานจิต และการอาราธนาคุณพระ ถ้าพิธีกรมที่ทำนั้น ทำเพียงรูปแบบของพิธีกรรมโดยไม่มีพลังสมาธิของเจ้าพิธี พระเครื่องก็จะศักดิ์สิทธ์น้อยกว่าการที่เจ้าพิธีและพระที่ร่วมในพิธีอธิฐานจิตประจุพลังลงไปในองค์พระ แต่ก็ไม่เท่าที่เจ้าพิธีท่านอาราธนาบารมีของพระพุทธเจ้าให้มาสถิตอยู่ในเครื่องรางนั้นๆ (อ่านจากที่หลวงพ่อท่านเล่าให้ฟัง )

    --- คำอธิฐานจิตที่กำหนดจิตเอาไว้ในพระเครื่องนั้นๆ เป็นการเหมือนการใช้อธิฐานบารมีกำกับเพื่อวัตถุประสงค์ที่ปรารถนา

    ---ส่วนปัจจัยสุดท้ายที่ทำให้พระท่านแสดงความศักดิ์สิทธิ์ ให้ปรากฏประจักษ์แจง คือ ตัวของผู้ใช้ครับ ยิ่งผู้ใช้ศรัทธามีความมั่นคงในพระรัตนไตร ได้ตั้งมั่นมากเท่าไร บารมีพระท่านก็ยิ่งคุ้มครองได้มากขึ้น ตามไปด้วย แต่อย่างไรก็ตามพระท่านคุ้มครองช่วยเหลือได้ถ้าไม่เกินผลของกรรมครับ

    ดังนั้นเพื่อให้ทุกท่านที่ได้รับเหรียญทำน้ำมนต์นี้ไปเพื่อประโยชน์ในการคุ้มครอง พุทธบริษัทให้ปลอดภัยจากภัยพิบัติทั้งปวง

    ทั้งองค์พระเหรียญทำน้ำมนต์เอง

    และเหรียญที่ได้นำไปแช่ทำน้ำมนต์เอง ได้ปรากฏ พุทธบารมีคุ้มครอง ผู้ที่ถือเหรียญนี้

    หรือแม้แต่ ผู้ที่ได้ดื่มน้ำพระพุทธมนต์ที่บังเกิดขึ้นจากการแช่เหรียญทำน้ำมนต์นี้เช่นกัน

    ขอให้ทุกท่านได้เชื่อมั่นในพุทธคุณ พุทธานุภาพ ที่ พวกเราทุกๆคนมีจิตปรารถนาในการแจกในการสงเคราะห์ ผู้คนโดยส่วนรวมด้วยความบริสุทธิ์ใจ

    ความศักดิ์สิทธิ์ที่บังเกิดขึ้นนี้ เป็นไปด้วย

    -พุทธานุภาพเป็นที่สุด

    -ด้วยเจตนาบริสุทธิ์ต่อส่วนรวมของท่านเจ้าภาพผู้ปิดทองหลังพระมาเสมอมา

    -ความตั้งจิตที่ดี ในการมุ่งที่จะร่วมใจกันไปถวายเอาไว้ตามจุดต่างๆทั่วประเทศไทยของพวกเราทุกๆท่าน ที่แสดงความจำนงมารับไป

    ดังนั้น เมื่อท่านได้รับไปขอให้ นำไปใช้ โดยระลึกถึงประโยชน์ต่อส่วนรวมเป็นสำคัญก่อนส่วนตัวเอาไว้เสมอ


    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    สำหรับรูปที่จะนำลงต่อไปนี้

    ก่อนอื่นขอ แจ้งเจตนา ให้ทราบก่อนว่า เพื่อเป็นการสร้างความศรัทธา ในไตรสรณะคมณ์ของท่านที่ยังสงสัย ยังมีวิจิกิจฉาในดวงจิต ว่า พุทธบารมี ธรรมบารมี สงฆบารมี มีผลจริงหรือไม่ ให้สิ้นสงสัยออกไปจากดวงจิต

    เพื่อให้ท่านที่มีศรัทธาในไตรสรณะคมม์อยู่แล้วยิ่งมีศรัทธาที่ตั้งมั่นไม่แปรเปลี่ยน มั่นคง

    เพื่อให้ท่านที่ มีจิตศรัทธาในปฏิปทาเพื่อส่วนรวมได้ยิ่งมั่นใจ ว่าสิ่งที่เราได้ทำเพื่อส่วนรวมนั้นปรากฏผลได้แน่นอน ซึ่งจะยิ่งทำให้จิตอันเป็นกุศลของเรายิ่งเพิ่มจิตตานุภาพขึ้นตามไปด้วย

    การลงรูปดังกล่าวได้กราบขอพุทธานุญาตและกราบขอขมาพระรัตนไตรแล้ว

    การลงรูปขอไม่ระบุบุคคลว่าเป็นท่านใดเป็นผู้ พิสูจน์เพื่อไม่ประสงค์ให้เป็นการอวดอ้างฤทธิ์ เป็นการติดในมานะทิษฐิ

    เจตนาเป็นไปเพื่อ

    ให้ทุกท่านเชื่อมั่นว่างานที่เราได้ทำให้ส่วนรวมด้วยจิตที่บริสุทธิ์นั้น มีผลมีอานิสงค์จริง

    เชื่อมั่นว่า พุทธานุภาพมีจริง และเป็นสรณะที่พึ่งอาศัยได้ตลอดไปตราบเท่าเข้าถึงซึ่งพระนิพพาน

    [​IMG]

    เหรียญทำน้ำมนต์ เนื้อทองแดงที่จะทำการแจก ขณะนี้รอออกมา อีก หลายหมื่นเหรียญในช่วง ต้นเดือนหน้าซึ่งจะทะยอยแจก หลังพิธีพุทธาภิเษก

    ส่วนในรูปยังไม่ได้เข้าร่วมพิธีแต่อย่างไร

    [​IMG]
    เหรียญที่อยู่ในมือ

    [​IMG]

    หย่อนเหรียญลงในถ้วยน้ำ เพื่อจำลอง การหย่อนเหรียญเพื่อทำน้ำมนต์ในแหล่งน้ำต่างๆที่พวกเราจะร่วมกันทำเพื่อส่วนรวม


    [​IMG]

    รินน้ำดื่มธรรมดาลงไป จากนั้นอธิฐานจิตว่าขอให้ พุทธานุภาพตามจิตเจตนารมณ์ของทุกท่าน นับแต่
    -พุทธานุภาพ ธรรมมานุภาพ สังฆานุภาพ เทวดานุภาพ อันไม่มีที่สุดไม่มีประมาณก็ดี
    -ผู้จัดสร้าง ให้แจกเป็นสาธารณะต่อส่วนรวม ด้วยจิตที่เปี่ยมไปด้วยเมตตาก็ดี
    -จิตเจตนาที่ทุกๆท่านร่วมใจกันในงานเพื่อส่วนรวมนี้ก็ดี
    -บุญที่หล่อหลอมรวมตัวกันอยู่ในเวบพลังจิตแห่งนี้ มีเวบสโนว์ และทีมแอดมินทุกๆท่าน สมาชิกของเวบไซท์ทุกๆคน ผู้มีดวงจิตเป็นสัมมาทิษฐิก็ดี

    ขอให้มารวมตัว กันเป็นพุทธบารมีคุ้มครอง ให้ปลอดภัยจากภัยพิบัติทั้งปวง ทั้งภัยจากธรรมชาติ ภัยจากมนุษย์ ภัยจาก อมนุษย์ทั้งหลาย เชื้อโรค รังสีทั้งปวง

    และหากพุทธานุภาพปรากฏชัด เต็มอัตรา ด้วยกำลังพุทธคุณ แล้ว ก็พึงขอให้ ศาตราวุธใดก็ตาม ไม่อาจทำอันตราย เลือดตกยางออกได้

    [​IMG]
    ดึงท้องแขนด้านในออกมา ซึ่งเป็นส่วนที่เนื้ออ่อนที่สุด หนังบาง



    [​IMG]

    ใช้มีดแทงลงไปที่เนื้อ ที่ขึงเอาไว้ตึง แทงแล้วโยกมีดเพื่อพยายามให้เข้า ในขณะเรากำเหรียญอยู่ เพื่อให้เราได้มั่นใจว่า เราแขวนพระอยู่ด้วยจิตศรัทธา ก้ย่อมคุ้มครองเราได้จริง

    [​IMG]

    [​IMG]

    เอามีดออก ปรากฏว่าแทงไม่เข้า ด้วยอำนาจพุทธคุณ

    และเรามีการทดสอบอีกแบบหนึ่ง

    โดยนำน้ำที่เป็นน้ำมนต์จากการหย่อนเหรียญตามรูปข้างบน อธิฐานทำเป็นน้ำมนต์

    จากนั้นให้น้องผู้หญิงท่านหนึ่ง ดื่มน้ำมนต์ แล้ว ทดสอบการแทงด้วยมีดโดยไม่จำเป็นต้องกำองค์พระ เหรียญทำน้ำมนต์ เพื่อทดสอบว่า เมื่อเราได้นำเหรียญทำน้ำมนต์ไปหย่อนไว้ตามจุดต่างๆแล้ว พึงเกิดอานิสงค์จริงตาม
    ที่ทุกท่านตั้งใจเอาไว้ครับ

    ส่วนรูปรอส่งมาให้จากกล้องอีกตัวหนึ่ง

    และท้ายที่สุดขอ ให้มั่นใจ มั่นคงในอำนาจพุทธคุณและจิตเจตนาอันเป็นมหากุศลของทุกๆ ท่าน

    รวมทั้งขอความกรุณา ไม่ต้องนำไปทดลองทำเองที่บ้านอีกครับ





    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    <SCRIPT src="http://googleads.g.doubleclick.net/pagead/test_domain.js"></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/render_ads.js"></SCRIPT><SCRIPT>google_protectAndRun("render_ads.js::google_render_ad", google_handleError, google_render_ad);</SCRIPT><IFRAME name=google_ads_frame marginWidth=0 marginHeight=0 src="http://googleads.g.doubleclick.net/pagead/ads?format=undefinedxundefined&output=html&ea=0&flash=10.0.42.34&dt=1266766792277&correlator=1266766792293&frm=1&ga_vid=366026894.1265118007&ga_sid=1266766290&ga_hid=672340179&ga_fc=1&u_tz=420&u_his=3&u_java=1&u_h=768&u_w=1024&u_ah=738&u_aw=1024&u_cd=32&u_nplug=0&u_nmime=0&biw=1003&bih=599&ifk=2144370337&fu=0&ifi=1&dtd=375" frameBorder=0 scrolling=no allowTransparency></IFRAME><SCRIPT>google_protectAndRun("render_ads.js::google_render_ad", google_handleError, google_render_ad);</SCRIPT>
    <SCRIPT src="http://googleads.g.doubleclick.net/pagead/test_domain.js"></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/render_ads.js"></SCRIPT><SCRIPT>google_protectAndRun("render_ads.js::google_render_ad", google_handleError, google_render_ad);</SCRIPT><IFRAME name=google_ads_frame marginWidth=0 marginHeight=0 src="http://googleads.g.doubleclick.net/pagead/ads?format=undefinedxundefined&output=html&ea=0&flash=10.0.42.34&dt=1266766827668&correlator=1266766827699&frm=1&ga_vid=366026894.1265118007&ga_sid=1266766290&ga_hid=2079489002&ga_fc=1&u_tz=420&u_his=3&u_java=1&u_h=768&u_w=1024&u_ah=738&u_aw=1024&u_cd=32&u_nplug=0&u_nmime=0&biw=1003&bih=599&ifk=2144370337&fu=0&ifi=1&dtd=359" frameBorder=0 scrolling=no allowTransparency></IFRAME><SCRIPT>google_protectAndRun("render_ads.js::google_render_ad", google_handleError, google_render_ad);</SCRIPT><SCRIPT>google_protectAndRun("render_ads.js::google_render_ad", google_handleError, google_render_ad);</SCRIPT>
     
  14. Maxzimon

    Maxzimon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    90
    ค่าพลัง:
    +204
    ผมได้อ่านแล้วครับ ขอบคุณครับ

    ตอนนี้ผมรู้สึกสบายขึ้นมากอาจจะเป็นเพราะว่าร่างกายกลับมาเป็นปกติแล้ว
    ตอนนี้ผมเข้าใจแล้วครับ ผมอยู่ในช่วงระหว่างกลางของทางธรรม และทางโลกมิได้ไปทางใดทางหนึ่งแน่ชัด เป็นเพราะผมแม้จะทำสมาธิ แต่ยังใส่ใจกับเรื่องบางเรื่องมากเกินไป จนทำให้มันฟุ้งซ่านไป
     
  15. choosake

    choosake เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    482
    ค่าพลัง:
    +647
    มาเป็นกำลังใจให้จ้า
    รู้สึกว่า เรื่องราวต่าง ๆ มันเข้มข้น ถึงทุกวัน เลยแฮะ

    สู้ ๆ จ้า
     
  16. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    หลอมกระบี่ ให้คม หล่อจิต ให้วิเศษ

    ขอให้สู้กันทุกๆคนครับ
    ยิ่งมีบททดสอบเข้ามามากเท่าไหร่
    เราก็จะยิ่งมีโอกาส ได้ย้อนกลับมาทบทวนตัวเอง
    ทั้งความมั่นคงในพระรัตนตรัย ทั้งแนวทางในการดำเนินชีวิต และจุดมุ่งหมายของเรามากยิ่งขึ้นเท่านั้น
    แล้วเมื่อเราผ่านบททดสอบเหล่านี้ไปได้ เราก็จะยิ่งก้าวหน้า และมั่นคงในสมาธิ ในการปฏิบัติของเรามากขึ้นเท่านั้น

    สิ่งที่ผมได้เรียนรู้มาก็คือ บางครั้งก่อนจะก้าวหน้า เราก็จะต้องเจออุปสรรคเสียก่อน
    ถ้าไม่เจออุปสรรค ไม่เจอเหตุการณ์ให้เราย้อนกลับมาทบทวนตัวเอง
    จิตของเราก็จะไม่ยกระดับสูงขึ้น

    ผมจะมีคำพูดที่เคยพูดเล่นๆว่า
    จิตของเรา ก็เหมือนกับกระบี่ ไม่มีกระบี่วิเศษเล่มไหนที่ไม่ถูกหล่อหลอมด้วยเปลวไฟ
    ไฟก็คือ อุปสรรค ปัญหา วิบากที่เราพบเจอ ยิ่งเราถูกไฟหล่อหลอม เคี่ยวกรำมากเท่าไหร่
    กระบี่ก็จะยิ่งแหลม ยิ่งคม ยิ่งทนทาน ยิ่งมีความวิเศษมากขึ้นเท่านั้น
    หากเราอยากจะเป็นกระบี่วิเศษ ก็ต้องเต็มใจให้ไฟนั้นหล่อหลอมเรา
    ยิ่งกระบี่วิเศษเท่าไหร่ มันก็ยิ่งตัดสังโยชน์ ตัดกิเลสได้คม ได้ฉับไวมากขึ้นเท่านั้น

    แต่ทั้งนี้ไฟก็ต้องไม่อ่อนไป ไม่แรงเกินไป
    หากไฟอ่อนเกินไป กระบี่ก็จะไม่คม
    ในขณะเดียวกันหากไฟแรงเกินไป กระบี่นั้นก็อาจจะหลอมละลายไปได้
    ดังนั้นต้องทางสายกลาง ไม่หย่อนไป และไม่ทรมานตัวเองจนเคร่งเครียดเกินไป

    และกระบี่นั้นเมื่อตีด้วยเปลวไฟแล้ว ก็จะต้องนำมาแช่น้ำเย็น เพื่อให้เหล็กเย็นตัว ให้เกิดความคม
    เมื่อเราปฏิบัติธรรมแล้ว ก็จะต้องมีการพักผ่อน หย่อนความตึงของอารมณ์
    ทำจิตให้ผ่อนคลาย ให้เกิดความสบายด้วย ไม่อย่างนั้นอารมณ์ก็จะหนักเกินไป บางครั้งจึงต้องหาเวลาเพื่อหยุดพักด้วยเช่นกัน

    ต้องสลับทั้งร้อนและเย็น จึงจะสร้างกระบี่วิเศษได้
    ก็เหมือนกับจิตของเรา ต้องสลับทั้งสมถะและวิปัสสนา
    สมถะก็คือ ตอนที่นำกระบี่ไปแช่น้ำ
    วิปัสสนาก็คือขั้นตอนที่ตีกระบี่ หลอมกระบี่ด้วยไฟ
    ถ้าทำแต่ส่วนเดียว ไม่ทำทั้งสองส่วน สลับไปสลับมาตามสมควร ก็จะหลอมกระบี่ไม่สำเร็จ

    ขอให้มองอุปสรรคเป็นดั่งเปลวไฟ ที่ยิ่งหล่อหลอมเราให้แก่กล้า ให้มั่นคงในความดีงามยิ่งๆขึ้นไป และอุปสรรคปัญหาทั้งหมด จะผ่านพ้นไปได้โดยเร็ว โดยง่ายดาย ได้อย่างน่าอัศจรรย์ใจ

    จิตของเราจะ แข็งแกร่ง ทรงพลัง ฉับไว ดั่งกระบี่วิเศษ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 กุมภาพันธ์ 2010
  17. NICKAZ

    NICKAZ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    173
    ค่าพลัง:
    +812
    ทุกข์ของผู้ทรงฌาณ มีโอกาสก่อเวรสร้างกรรมมากมายจริงๆ

    ผมเคยกล่าวถึงช่วงเวลาในการปฏิบัติสมาธิของผม ตามที่คุณตถาตาได้สอบถามมาว่า ผมนั้นไม่มีเวลาแน่นอน ได้จังหวะเมื่อไหร่ ปฏิบัติทันที ไม่เกี่ยงว่ามีเวลามากเวลาน้อย ซึ่งเจ้าของกระทู้ได้เสริมว่าแบบนี้คือการทรงสมาธิเอาไว้ตลอดเวลาตามที่อ้างถึงนะครับ

    การทรงสมาธิไว้ตลอดเวลาแบบนี้ ในการใช้ชีวิตประจำวันทั่วไป บางทีก็ต้องมีการกระทบกระทั่งกับผู้อื่นบ้างตามภาระกิจการงานทั่วไป ผมก็พยายามหลีกเลี่ยงและควบคุมสภาพจิตใจอยู่ตลอด เพราะสภาพจิตที่ทรงสมาธิ โดยอำนาจของสมาบัติแล้ว สัมผัสได้ว่าจิตค่อนข้างจะมีกำลังมาก หากใจขุ่นมัวไปเนื่องจากสาเหตุการกระทบกระทั่งกัน ถ้าในขณะนั้นอารมณ์ฝ่ายมารเข้าครอบงำ แล้วเผลอนึกคิดไปในสิ่งที่ไม่ดี ก็จะเกิดการก่อเวร สร้างกรรมกับคู่กรณีต่อเนื่องกันไปอีกเปล่าๆ

    จากการที่ต้องควบคุมจิตของตัวเองขนาดนี้ ผมคิดว่าน่าจะต้องใช้ตัวช่วยบ้าง ดูไปดูมา การเจริญพรหมวิหาร 4 น่าจะช่วยได้มาก (แต่เดิมไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่) จึงคิดว่าอยากจะเจริญพรหมวิหาร 4 ให้เข้มข้นให้มากๆ เอาชนิดที่ว่า เจริญพรหมวิหาร 4 ให้เป็นฌาณ (ฌาณคืออารมณ์ชินนะครับ) ถ้าทำได้อย่างนี้ ถึงตัวเรายังเป็นมนุษย์อยู่ แต่ใจเราก็ทรงอารมณ์ของพรหมตลอดเวลา ผมคงจะใช้ชีวิตประจำวันได้สะดวกมากขึ้น

    การทรงฌาณโดยมีอารมณ์ของพรหมกำกับอยู่ตลอดเวลาเข้าใจว่าน่าจะเป็นสิ่งที่ดีมากสำหรับผมในเวลานี้

    จึงเรียนมาเพื่อขอคำแนะนำในการเจริญพรหมวิหาร 4 ให้เป็นฌาณ ด้วยครับ ขอขอบคุณในความอนุเคราะห์ล่วงหน้าครับ
     
  18. นายตถาตา

    นายตถาตา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มกราคม 2010
    โพสต์:
    829
    ค่าพลัง:
    +705
    ของ
    พระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ

    -------------------------------------------------------

    1 วิเวกธรรม

    สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงวิเวกธรรมแก่เมตตคูมาณพดังต่อไปนี้
    อุปธิกิเลสมีประเภท 10 ประการ คือ 1 ตัณหา 2 ทิฏฐิ 3 กิเลส 4 กรรม 5 ทุจริตความประพฤตชั่วด้วย กาย วาจา และใจ 6 อาหาร 7 ปฏิฆะ 8 อุปาทินนกะ ธาตุสี่ 9 อายตนะหก 10 วิญญาณกายหก ทุกข์ทั้งหลายมีชาติทุกข์เป็นต้น ย่อมมีอุปธิกิเลสเหล่านี้เป็นเหตุ เป็นนิพพาน เป็นปัจจัย เมื่อบุคคลมารู้ทั่วถึง รู้แจ้ประจักษ์ชัดด้วยวิปัสสนาปัญญาว่า สังขารที่หลายไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา หรือมารู้ทั่วถึงว่า ยํ กิญจิ สมุทยธมมํ สพพนตํ นิโรธธมมํ สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งหมดมีความดับเป็นธรรมดา ดังนี้แล้วเป็นผู้ตามเห็นซึ่งชาติว่าเป็นแดนเกิดแห่งวัฏฏทุกข์ และมาเห็นว่าอุปธิเป็นแดนเกิดแห่งชาติทุกข์เป็นต้นแล้ว ก็ไม่พึงทำอุปธิมีตัณหาเป็นต้น ให้เจริญขึ้นในสันดานเลย
    เมื่อจะทรงแสดงธรรมเครื่องข้ามตัณหา จึงตรัสพระคาถาว่า ยํ กิญจิ สญชานาสิ อุทธํ อโธ ติโยญจาปิ มชเฌ เอเตสุ นนทิญจ ปนุชชวิญญาณํ ภเว น ติฏฐ ดูก่อนท่านทั้งหลาย ท่านจงรู้สิ่งใดสิ่งหนึ่งในเบื้องบน เบื้องต่ำ และเบื้องขวาง สถานกลางแล้วจงบรรเทาเสีย จะละเสียซึ่งความเพลิดเพลินและความถือมั่นในสิ่งเหล่านั้น วิญญาณของท่านก็จะไม่ตั้งอยู่ในภพดังนี้
    คำว่าเบื้องบน เบื้องต่ำ เบื้องขวางสถานกลางนั้น ทรงแสดงไว้ 6 นัย คือนัยที่ 1 อนาคตเป็นเบื้องบน อดีตเป็นเบื้องต่ำ ปัจจุบันเป็นเบื้องขวางสถานกลาง นัยที่ 2 เหล่าธรรมที่เป็นกุศล เป็นเบื้องบน เหล่าธรรมที่เป็นอกุศล เป็นเบื้องต่ำ เหล่าธรรมที่เป็นอัพยากฤตเป็นเบื้องขวางสถานกลาง นัยที่ 3 เทวโลกเป็นเบื้องบน อบายโลก เป็นเบื้องต่ำ มนุสสโลกเป็นเบื้องขวางสถานกลาง นัยที่ 4 สุขเวทนา เป็นเบื้องบน ทุกขเวทนา เป็นเบื้องต่ำ อุเบกขาเวทนาเป็นเบื้องขวางสถานกลาง นัยที่ 5 อรูปธาตุเป็นเบื้องบน กามธาตุเป็นเบื้องต่ำ รูปธาตุเป็นเบื้องขวางสถานกลาง นัยที่ 6 กำหนดแต่พื้นเท้าขึ้นมาเบื้องบน กำหนดแต่ปลายผมลงไปเป็นเบื้องต่ำ ส่วนท่ามกลางเป็นเบื้องขวางสถานกลาง เมื่อท่านมาสำคัญหมายรู้เบื้องบน เบื้องต่ำ เบื้องขวางสถานกลาง ทั้ง 6 นัยนี้แล้ว แม้อย่างใดอย่างหนึ่งพึงบรรเทาเสียซึ่งนันทิ ความยินดี เพลิดเพลิน และอภินิเวส ความถือมั่นด้วยตัณหา และทิฏฐิในเบื้องบน เบื้องต่ำ เบื้องขวางสถานกลาง เสียให้สิ้นทุกประการ แล้ววิญญาณของท่านจะไม่ตั้งอยู่ในภพและปุณภพอีกเลย เมื่อบุคคลมารู้ชัดด้วยญาณจักษุในส่วนเบื้องบน เบื้องต่ำ เบื้องขวางสถานกลาง ไม่ให้ตัณหาซ่านไปในภพน้อย ภพใหญ่ มีญาณหยั่งรู้ในอริยสัจจ์ 4 เป็นผู้ไม่มีกังวล คือ ราคะ โทสะ โมหะ มานะ ทิฏฐิ และทุจจริตต่างๆ ละกังวลทั้งปวงเสียแล้ว กามภเว อสตตํ ก็เป็นผู้ไม่ข้องเกี่ยวพัวพันในวัตถุกาม และกิเลสกาม ในกามภพและปุณภพอีกเลย ท่านนั้นเป็นผู้ข้ามโอฆะ ห้วงลึกที่กดสัตว์ให้จมอยู่ในวัฏฏสงสารฯ โอฆะนั้น 4 ประการคือ 1 กามโอฆะ 2 ภวโอฆะ 3 ทิฏฐิโอฆะ 4อวิชชาโอฆะ ติณโณ จ ปรํ ท่านนั้นย่อมข้ามห้วงทั้ง 4 ไปฟากโน้น คือ พระนิพพานธรรม อขีเณ เป็นผู้ไม่มีตะปูคือกิเลสเป็นเครื่องตรึงแล้ว กิเลสทั้งหลายที่เป็นประธาน คือ ราคะ โทสะ โมหะ มานะ ทิฏฐิ และกิเลสที่เป็นบริวาร มี โกโธ อุปนาโห เป็นต้น จนถึงอกุศลอภิสังขารซึ่งเป็นประหนึ่งตะปูเครื่องตรึงจิตให้แนบแน่นอยู่ ยากที่สัตว์จะฉุดจะถอนให้เคลื่อนให้หลุดได้ เมื่อบุคคลมาละเสียแล้ว ตัดขึ้นพร้อมแล้ว เผาเสียด้วยเพลิงคือญาณแล้ว เป็นนรชนผู้รู้ผู้ดำเนินด้วยปัญญาอันเป็นเครื่องรู้แจ้งชัดเป็นเวทคู ผู้ถึงฝั่งแห่งวิทยาในพระศาสนานี้ ไม่มีความสงสัยใน ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค และปฎิจจสมุปบาทธรรม ปัจจยการ ย่อมบรรลุถึงวิเวกธรรม คือพระอมฤตนฤพานด้วยประการฉะนี้



    2 สันติธรรม

    สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงแสดงซึ่งสันติธรรมแก่โธตกมาณพ จึงตรัสพระคาถาว่า ยํกิจิ สญชานาสิ โธตก อุททํ อโธ ติโยญญาปิ มชเฌ เอตํ วิทิตวา สงโคติ โลเก ภวาภวาย มากาสิ ตัณหํ แปลความว่า ดูกรโธตกะ ท่านมากำหนดรู้หมายรู้ซึ่งอารมณ์อันใดอันหนึ่ง ซึ่งเป็นเบื้องบน เบื้องต่ำ เบื้องขวางสถานกลางว่า เป็นเครื่องข้องอยู่ในโลก เครื่องเกี่ยวสัตว์ไว้ในโลกดังนี้แล้ว อย่าได้ทำซึ่งตัณหา ความปรารถนาเพื่อภพน้อยภพใหญ่เลยดังนี้
    อธิบายว่า ท่านมารู้แจ้งสัญญาณนี้ด้วยปัญญาว่า เป็นเครื่องข้องเครื่องติดอยู่ในโลกดังนี้แล้ว อย่าได้ทำตัณหาความปรารถนาเพื่อภพน้อยภพใหญ่เลย ส่วนคำว่าเบื้องบน เบื้องต่ำ เบื้องขวางสถานกลางในพระคาถานั้น ก็มีนัยอธิบายเป็น 6 นัยเช่นเดียวกับเรื่องวิเวกธรรมที่กล่าวมาแล้ว
    ทรงแสดงที่อาศัยแห่งกิเลสปปัญจธรรมมีสัญญาเป็นนิทานว่า ตัณหา มานะ ทิฏฐิ อันทำให้สัตว์เนิ่นช้า 3ประการนี้ มีสัญญาความสำคัญหมายเป็นเหตุให้เกิด เมื่อบุคคลมาสำคัญหมายในส่วนอดีต อนาคต ปัจจุบัน สุข ทุกข์ อุเบกขา กุศลากุศล อัพยากฤต สามธาตุ สามภพ ด้วยประการใดๆ ปปัญจสังขาร ที่ทำให้เนิ่นช้า คือ ตัณหา มานะ ทิฏฐิ บังเกิดกล้าเจริญทวีขึ้นด้วยประการใดๆ ทำให้บุคลลเกิดความเห็นถือมั่นด้วยตัณหาว่า เอตํ มม นั่นเป็นของเรา ถือมั่นด้วยมานะว่า เอโสหมสมิ เราเป็นนั่น ถือมั่นด้วยทิฏฐิว่า เอโส เม อตตา นั่นเป็นตัวตนแก่นสารของเรา ดังนี้แล้วก็ข้องอยู่ในอารมณ์นั้นๆ ด้วยฉันทะราคะ สเน่หาอาลัย ผูกพันจิตใจไว้ไม่ให้เปลื้องปลดออกได้ สัญญาอันเป็นนิทาน เป็นเหตุเกิดแห่งตัณหา มานะ ทิฏฐิก็ดี ตัณหา มาน ทิฏฐิอันเกิดแต่สัญญานั้นก็ดี สงโค เป็นเครื่องข้องเครื่องติด เครื่องเกี่ยวสัตว์ไว้ในโลกไม่ให้พ้นไปได้ เอตํ วิทิตวา สงโคติ โลเก ท่านรู้แจ้งประจักษ์ว่าสัญญาเป็นเหตุแห่งตัณหา มานะ ทิฏฐิ ตัณหา มานะ ทิฏฐิ มีสัญญาเป็นเหตุดังนี้แล้ว ท่านอย่าได้ทำตัณหา คือความปรารถนาดิ้นรน ด้วยจำนงหวังต่างๆ เพื่อภพน้อยภพใหญ่เลย ท่านจงหยั่งญาณรู้ชั่งด้วยตราชู คือ ปัญญา แล้วเห็นประจักษ์แจ้งชัดว่า เป็นเครื่องผูกจำ เป็นเครื่องเกี่ยวสัตว์ไว้ในโลก ท่านอย่าได้ทำซึ่งตัณหา เพื่อภพน้อยภพใหญ่เลย ตัณหาอันเป็นไปในอาหารวิสัยคือรูป เสียงกลิ่น รส โผฎฐัพพะ ธรรมารมณ์ แตกต่างโดยอาการปวัฎฎิเป็น 3ประการ คือกาม ตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา ตัณหา 6 หมู่ ตามอารมณ์ สามอย่างตามอาการที่เป็นไปในภพ เป็นธรรมอันเกิดอีก เกิดขึ้นเป็นไปพร้อมกับทุกข์ คืออุปทานขันธ์ ท่านอย่าได้ทำตัณหานั้น เพื่อภพน้อยภพใหญ่เลย ท่านจงละตัณหานั้นเสีย จงบรรเทาเสีย ทำตัณหานั้นให้มีที่สุด ท่านจงยังตัณหานั้นให้ถึงซึ่งอันจะยังเกิดตามไม่ได้ ท่านจงละตัณหานั้นด้วยสมุจเฉทปาหานเถิดฯ



    3 อนุปาทาปรินิพาน
    สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อทรงแสดงอนุปาทาปรินิพพานของพระอริยสาวก ผู้บรรลุอากิญจัญญายตนสมาบัติ แก่อุปสีวมาณพ โดยหลีกเลี่ยงสัสสตวาทะและอุจเฉทวาทะทั้งสองเสีย จึงตรัสพระคาถาว่า
    อจฉิยถา วาตเวเคณ จิตตา อตถํ ปเลติ น อุเปติ สงขํ เอวํ มุนิ นาม กายา วิมุตโต อตถํ ปเลติ น อุเปติ สงขํ
    แปลว่า เปลวเพลิงอันกำลังลมพัดดับไปย่อมนับไม่ได้ว่าไปไหนฉันใด ท่านผู้เป็นมุนี พ้นพิเศษแล้วจากนามกาย ย่อมถึงซึ่งอันตั้งอยู่ไม่ได้ นับไม่ได้ ว่าไปไหนฉันนั้น
    วาตา อันว่าลมทั้งหลาย โดยปริยายในนิเทศ ว่าลมมาทิศบูรพา ปัจฉิม อุดร ทักษิณ ลมมีธุลี ลมไม่มีธุลี ลมเย็น ลมร้อน ลมกล้า ลมเวรัมภา พัดมา แต่พื้นดินขึ้นไปได้โยชน์หนึ่ง ลมปีกสัตว์ ปีกครุฑ ลมใบตาล ลมเปลวเพลิง อันกำลังลมเหล่านั้นพัดแล้วเปลวเพลิงย่อมถึงซึ่งอันตั้งอยู่ไม่ได้ ย่อมดังสงบรำงับไป ย่อมไม่ถึงซึ่งอันนั้น ย่อมไม่ถึงซึ่งโวหาร ว่าเปลงเพลิงไปแล้วยังทิศโน้นๆ ดังนี้ฉันใด บุคคลผู้บรรลุอากิญจัญญายตนสมาบัติเป็นเสขมุนีนั้น เป็นผู้พ้นวิเศษแล้วจากรูปกายในกาลก่อนเป็นปกติ ให้มรรคที่ 4 เกิดขึ้นในสมาบัตินั้น เป็นผู้พ้นวิเศษแล้วจากนามกายอีก เพราะความที่พ้นจากนามกาย อันท่านได้กำหนดรู้แล้ว เป็นอุปโตภาควิมุตติ พ้นวิเศษแล้วจากส่วนสองด้วย ส่วนสองเป็นขีณาสวะอรหันตร์ ถึงซึ่งอันไม่ตั้งอยู่คืออนุปาทาปรินิพพานแล้วตรัสพระคาถาต่อไปว่า
    อตถํ ตสส น ปมาณมตถิ เยน นํ วชชํ ตํ ตสส นตถิ สพเพสุ ธมเมสุ สมูหเตสุ สมูหตา วาทปถาปิ สพเพ
    แปลว่า สิ่งสภาวะเป็นประมาณของพระขีณาสพอัสดงคตดับแล้วย่อมไม่มี บุคคลทั้งหลายจะพึงกล่าวว่าท่านนั้นด้วยกิเลสใด กิเลสนั้นของท่านก็ไม่มีธรรมทั้งหลายมีขันธ์เป็นต้น อันพระขีณาสพถอนขึ้นพร้อมแล้ว แม้ทางวาทะทั้งปวงที่บุคคลจะพึงกล่าวพระขีณาสพท่านก็ตัดขึ้นพร้อมแล้ว
    สิ่งสภาวะอันเป็นธรรมนั้น ได้แก่รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ย่อมไม่มีแก่ท่าน ท่านละเสียแล้ว ตัดขึ้นพร้อมแล้ว ท่านเผาเสียด้วยเพลิงคือญาณแล้ว เมื่อขันธ์ อายตนะ ธาตุ คติ อุบัติ ปฏิสนธิ ภพ สังขาร และวัฏฏะ ท่านถอนขึ้นเสียแล้ว ตัดเสียขาดแล้ว มีอันไม่บังเกิดต่อไป เป็นธรรมดา วาทะ อันเป็นคลองเป็นทางที่จะกล่าวด้วยกิเลสและขันธ์ และอภิสังขาร ท่านเพิกถอน สละละวางเสียสิ้นทุกประการแล้ว ด้วยประการฉะนี้ฯ



    4 ปริญญา 3 ประการ

    การกำหนดรู้ตัณหานั้น กำหนดรู้ด้วยปริญญา 3 ประการ คือ
    1. ญาตปริญญา คือความกำหนดรู้ชัดเจนว่า นี้รูปตัณหา นี้สัททตัณหา นี้คันธตัณหา นี้รสตัณหา นี้โผฏฐัพพะตัณหา นี้ธัมมตัณหา อย่างนี้แลชื่อว่าญาตปริญญา
    2. ตีรณปริญญานั้นคือ ภิกษุกระทำตัณหาทั้ง 6 ให้เป็นของอันตนรู้แล้ว พิจารณาใคร่ครวญ ซึ่งตัณหาโดยความเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นโรคเสียดแทง เป็นต้น อย่างนี้แลชื่อตีรณปริญญา
    ปหานปริญญานั้นคือ ภิกษุมาพิจารณาใคร่ครวญ ฉะนี้แล้ว ละเสียซึ่งตัณหา บรรเทาเสีย ถอนเสีย และกระทำให้สิ้นไป ให้ถึงซึ่งความไม่เป็นต่อไปอย่างนี้และชื่อว่าปหานปริญญา



    5 อาสวะ 4 ประการ

    อนาสวา ผู้ชื่อว่าไม่มีอาสวะคือไม่มีอาสวะ 4 ประการ ได้แก่ 1 กามาสวะ 2 ภวาสวะ 3 ทิฏฐาสวะ 4 อวิชชาสวะ บุคคลผู้ใดมาละเสีย ตัดเสียขาดแล้ว ซึ่งอาสวะทั้งหลายเหล่านั้น มิให้มันบังเกิดขึ้นได้ต่อไป ผู้นั้นเป็น อนาสวะ คือผู้ไม่มีอาสวะแล



    6 อัตตานุทิฏฐิ

    อตตานุทิฏฐิติวุจจติ วิสติวตถุกา สกกายทิฏฐิ สักกายทิฏฐิ อันมีวัตถุ พุทธบัณฑิตเรียกว่า อัตตนุทิฏฐิ ความตามเห็นซึ่งอาตมะตัวตน ได้ในขันธ์ 5 ขันธ์ ละ4 วัตถุ บรรจบเป็นวัตถุ 20 ทิศคือปถุชนผู้ไม่ได้สดับฟัง ณ โลกนี้
    1 รูปํ อตตโต สมนุปสสติ เห็นรูปโดยความเป็นต้นบ้าง
    2 รูปํวนตํ วา อตตานํ สมนุปสสติ เห็นตนเป็นรูปบ้าง
    3 อตตนิ วา รูปํ สมนุปสสติ เห็นรูปมีในตนบ้าง
    4 รูปสมํ วา อตตานํ สมนุปสสติ เห็นตนมีในรูปบ้าง ดังนี้
    แม้ในเวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ ก็มีวัตถุอย่างละ 4 เช่นเดียวกัน จึงบรรจบเป็นกายทิฏฐิ 20 วัตถุ ด้วยประการฉะนี้
    เมื่อบุคคลตรัสรู้อริยสัจจ์ 4 ประชุมลงในขณะจิตอันเดียวได้แล้วชื่อว่า เป็นผู้ละสักกายทิฏฐิ เมื่อบุคคลใดมาเข่นฆ่า ซึ่งอัตตานุทิฏฐิ คือความเห็นผิดว่าเป็นอัตตาตัวตนลงเสียได้แล้ว ก็จะพึงเป็นบุคคลผู้ข้ามมฤตยูความตายเสียได้ เอวํ โลกํ อเวกขนตํ มจจุราชา น ปสสติ เมื่อบุคคลมาเห็นซึ่งโลกทั้งหลาย คือขันธโลก อายตนโลก และธาตุโลก โดยความเป็นของสูญ สังหารอัตตานุทิฏฐิลงเสียได้อย่างนี้ มฤตยุราช คือความตายย่อมไม่เห็น เพราะบุคคลผู้นั้นพ้นสัตว์วิสัยเสียแล้ว มัจจุราชย่อมไม่เห็นซึ่งผู้นั้น ผู้นั้นย่อมถึงพระนิพพานธรรมอันเป็นวิสัยแห่งมฤตยูราช ล่วงวิสัยมฤตยูราชเสียได้ด้วยประการฉะนี้ฯ



    7 สังสารทุกข์

    สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเทศนา ซึ่งสังสารทุกข์ไว้ว่า สังสาระการท่องเที่ยวเกิดตายของสัตว์เปรียบเหมือนสระ คือเป็นโอกาสที่เที่ยวที่ลงของสัตว์ทั้งหลาย
    สโรติ วุจจติ สํสาโร ก็ที่ท่านเรียกว่าสังสาระนี้หมายถึวความท่องเที่ยวไปด้วยการบังเกิดและจุติ อาคมนํ การมาสู่โลกนี้ คมนํ การไปสู่โลกหน้า คมนาคมนํ ทั้งไปและมา กาลํ กาลกิริยา คือมรณะขาดชีวิตอินทรีย์ คติ ความไป ภวาภโว ภพน้อยภพใหญ่ จุติ ความเคลื่อนจากภพ อุปปตติ ความเข้าถึงอัตตภาพ นิพพตติ ความปรากฏชัดแห่งขันธ์ ชาติ ความเกิด ชรา ความแก่ มรณํ ความตาย
    ความท่องเที่ยว บังเกิด กำเนิด เกิด แก่ ตาย อันเป็นประหนึ่งโคถูกสวมคอเข้าไว้ในแอกฉะนั้น ได้ชื่อว่า สังสาระ คือเสือกไสดันไป ซึ่งแสดงไว้ว่า ขนธานํ ปฏิปาฏิยา ธาตุอายตนา นญจ อนโนจฉินนํ วฏฏมานา สํสาโรติ วุจติ ลำดับแห่งขันธ์ธาตุ และอายตนะทั้งหลายเป็นไปอยู่ไม่ขาดสาย ผู้รู้ท่านกล่าวว่า สงสาโร คือความเสือกซ่านท่องเที่ยวไป
    สังสาระนี้ เมื่อจะกำหนดนามในสาคร 4 เป็นดังนี้ สังสารสาคร 1 ชลสาคร 1 นยสาคร 1ญาณสาคร 1 สังสารสาครชื่อว่าสโร คือสังสาระเปรียบเหมือนสระ
    บทว่า มชเฌ สรสมิ ติฏฐตํ นั้นแสดงว่า สระสังสารสาครนี้ เป็นมัธยมสถานกลาง เพราะว่าที่สุดเบื้องต้น และที่สุดเบื้องปลายแห่งสังสารนั้น อันบุคคลหารู่ทั่วรู้ชัดไม่ ในเงื่อนเบื้องต้นและเบื้องปลายแห่งสังสาระนั้นไม่ปรากฏ จึงเป็นมัธยมสถานกลาง ด้วยประการฉะนี้
    มชเฌ สํสาเร สตตา ฐิตา ก็แลสัตว์ทั้งหลายได้ตั้งอยู่แล้วในสังสาระอันเป็นสถานกลาง ซึ่งเกิดโอฆะห้วงน้ำใหญ่ท่วมท้น คือ 1 กามโอฆะ 2 ภวโอฆะ 3 ทิฏฐิโอฆะ 4 อวิชชาโอฆะ โอฆะทั้ง 4 แต่ละอย่างๆ อาศัยปัจจัยนั้นๆ แล้วเกิดขึ้น เจริญทวีมากขึ้นเป็นห้วงพัดพาสัตว์ให้เพียบด้วยทุกข์ คือ เกิด แก่ เจ็บ ตาย อยู่ในสระสังสาระนั้นถูกภัยใหญ่เบียดเบียนร่ำไป ภัยใหญ่คือ ชาติ ความเกิด ชรา ความแก่ พยาธิ ความเจ็บ ป่วยไข้ มรณํ ความตาย แตกขาดแห่งชีวิตตินทรีย์ ทกขํ ความทุกข์กายลำบากใจ เหล่านี้แหลเป็นภัยใหญ่หลวงนัก เมื่อเกลื่อบกล่นอยู่ในสระสังสาระ ชรามจจุปเรตานํ เหล่าสัตว์ผู้ตั้งอยู่ ณ สังสาระอันเป็นสถานกลาง เกิดห้วงและมีภัยใหญ่หลวง เป็นสัตว์อันความแก่และความตายแวดล้อมรุมเบียดเบียนเป็นนิตย์ ความแก่และความตายท่านกำหนดเป็นประธานแห่งความทุกข์ทั้งหลาย เอวมา ทิตเก โลเก ชราย มรเณน จ โลกคือขันธ์ ธาตุ อายตนะ รุ่งเรืองแต่ต้น เพราะความแก่และความตายเข้าจุดเผา เหล่าสัตว์ที่ตั้งอยู่ ณ สระสังสาระ อันเป็นสถานกลาง เกิดห้วงและภัยใหญ่หลวง รุมเบียดเบียนด้วยประการฉะนี้



    8 เนกขัมมธรรม

    เนกขมมํ ปสส เขมโต ท่านจงเห็นเนกขัมมะโดยความเป็นธรรมเกษม จากโยคะทั้งปวงเถิดฯ
    พระนิพพาน ก็ชื่อว่า เนกขัมมะ ปฏิปทาที่จะให้สัตว์ถึงพระนิพพานก็ชื่อว่า เนกขัมมะ นิพพานคามินีปฏิปทา ชื่อว่าเนกขัมมะนั้น คือสัมมาปฏิปทา ปฏิบัติดำเนิน กาย วาจา จิตชอบ อนุโลมปฏิปทา ปฏิบัติ อนุโลมแก่ธรรมนั้น อปจจนิกปฏิปทา ปฏิบัติไม่เป็นข้าศึกแก่พระนิพพาน อนุวตตปฏิปทา ปฏิบัติไปตามเนื้อความแห่งพระนิพพาน ธมมานุปฏิปทา ปฏิบัติซึ่งธรรมอันสมควรแก่โลกุตตธรรม คือบำเพ็ญศีลให้บริบูรณ์ รักษาทวารในอินทรีย์ทั้งหลาย รู้ประมาณในโภชนะประกอบตามซึ่งธรรมของผู้ตื่นอยู่ คือสติสัมปชัญญะ สติปัฏฐาน 4 สัมมัปปธาน 4 อิทธิบาท 4 อินทรีย์5 พละ 5 โพชฌงค์ 7 อัฏฐังคิกมรรค 8 นิพพานคามินีปฏิปทา มีศีลสังวรเป็นต้น นี้ชื่อว่าเนกขัมมธรรม เป็นเบื้องต้นที่จะจะให้บรรลุถึงเนกขัมมะคือพระนิพพาน ปสสิตวา เมื่อบุคคลมาเห็นแล้วเลือกแล้วให้มีการแจ้งแล้ว กระทำให้ปรากฏแล้ว ซึ่งเนกขัมมะคือพระนิพพานอันเป็นธรรมเกษมย่อมพ้นทุกข์ทั้งปวง เป็นผู้ปลอดภัยในที่ทุกสถานในกาลทุกเมื่อแล
     
  19. นายตถาตา

    นายตถาตา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มกราคม 2010
    โพสต์:
    829
    ค่าพลัง:
    +705
    บทธรรมบรรยาย
    ของ
    พระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ

    -------------------------------------------------------

    9 อุปสันตบุคคล

    สิ่งอันใดหรืออารมณ์อันใดที่ได้ยึดไว้แล้ว จับต้องแล้ว ถือมั่นแล้ว ด้วยอำนาจ ตัณหา มานะ และทิฏฐิ อันมีอยู่ในสันดาน สิ่งอันนี้ หรืออารมณ์อันนี้ ท่านพึงสละละวางเสีย พึงปลดเปลื้องเสียพึงละเสียพึงบรรเทาเสีย พึงกระทำให้มีที่สุด พึงให้ถึงซึ่งอันเกิดตามไม่ได้ มา เต วิชชตุ กิญจนํ เครื่องกังวลคือราคะ โทษะ โมหะ และทิฏฐิ กังวลคือกิเลสและทุจริตอย่าให้มีในสันดาน ยํ ปุพเพ ตํ วิโสเสหิ สิ่งใดมีในภายก่อน ท่านจงยังสิ่งนั้นให้เหือดแห้ง ปจฉา เต มาหุ กิญจนํ กังวลในภายหลัง อย่าให้มีในสันดาน มชเฌ เจ โน คเหสสสิ ท่านอย่าได้ถือเอา ณ ท่ามกลาง อุปสนโต จริสสสิ ท่านก็จักเป็นคนสงบระงับแล้ว เที่ยวอยู่



    10 กุมารกสสัป เทวตาปุจฉิตปัญหาพยากรณ์

    ปัญหาว่า มีจอมปลวกแห่งหนึ่ง กลางคืนเป็นควัน กลางวันเป็นเปลว ฯลฯ พราหมณ์สั่งให้ศิษย์ชื่อสุเมธขุดด้วยศัสตรา สิ่งนั้นได้แก่อะไร?
    พระตรัสพยากรณ์ว่า จอมปลวกได้แก่ร่างกายอันเจือด้วยสมภธาตุของมารดาบิดา และมหาภูตธาตุทั้ง 4 จึงเกิดมีขึ้นได้ กลางคืนเป็นควันหมายถึงการตริตรึกนึกคิดของบุคคล พราหมณ์ได้แก่ ตถาคตสุเมธได้แก่ภิกษุผู้มีปัญญาดีในพระธรรมวินัยนี้ การขุดหมายถึงความเพียร ศัสตราหมายถึงอริยปัญญาณอันสามารถประหารกิเลสฉะนี้แลฯ



    11 เหตุเกิดความเพียร

    เมื่อความเพียรจะเกิดขึ้น ก็เพราะสังเวควัตถุเบื้องต้น 8 ประการคือ ชาติทุกข์ 1 ชราทุกข์ 1 พยาธิทุกข์ 1 มรณทุกข์ 1 อบายทุกข์ 1 อนาคตทุกข์ 1 อาหารคเวสิทุกข์ 1



    12 ภัทเทกรัตตสูตร

    สมัยสมเด็จพระผู้มีภาคเจ้าเสด็จประทับที่พระเชตวนาราม กรุงสาวัตถี ได้ตรัสภัทเทกรัตตนสูตรแก่ภิกษุทั้งหลายว่า
    ผู้มีปัญญา ไม่ควรให้สิ่งล่วงไปแล้วมาตามไม่ควรหวังสิ่งซึ่งยังมาไม่ถึง เพราะว่าสิ่งใดล่วงพ้นไปแล้วสิ่งนั้นอันเราละเสียแล้ว อนึ่งสิ่งใดซึ่งไม่มาถึงเล่า สิ่งนั้นก็ยังไม่มาถึง เพราะฉะนั้นผู้มีปัญญาจึงไม่ควรให้สิ่งซึ่งล่วงไปแล้วมาตาม ไม่ควรหวังสิ่งซึ่งไม่มาถึง ก็ผู้มีปัญญาได้มาเห็นธรรม ซึ่งเป็นปัจจุบันเกิดขึ้นจำเพาะหน้าแจ้งชัดอยู่ในที่นั้นๆ ความเห็นแจ้งธรรม ซึ่งเป็นปัจจุบันของท่านนั้นไม่ง่อนแง่น ไม่กำเริบด้วยดี ผู้มีปัญญาอันมาได้ความเห็นแจ้วในธรรมซึ่งปัจจุบันอันไม่ง่อนแง่นและไม่ กำเริบด้วยดีแล้ว ควรเจริญความเห็นนั้นไว้เนืองๆ ความเพียรเผากิเลสให้เร่าร้อนอันผู้มีปัญญาควรรีบทำเสียในวันนี้ทีเดียว ใครจะพึงรู้ว่าความตายจะมีในวันพรุ่งนี้ เพราะว่าสู้ความหน่วงเหนี่ยว ความผูกพันธ์กับด้วยมฤตยูความตายซึ่งมีเสมาใหญ่นั้นไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นความเพียรเผากิเลสให้เร่าร้อน อันผู้มีปัญญาควรทำเสียในวันนี้ทีเดียว นักปราชญ์ผู้สงบระงับ ย่อมกล่าวสรรเสริญผู้มีปัญญาซึ่งมีธรรมเป็นเครื่องอยู่ มีความเพียรเผากิเลสให้เร่าร้อน ไม่เกียจคร้านขยันหมั่นเพียรทั้งกลางวันและกลางคืนอย่างนี้ ผู้นั้นแลว่าผู้มีราตรีเดียวเจริญดังนี้ เมื่อตรัสอุเทศนี้จบแล้ว จึงตรัสวิภังค์ต่อไปว่า
    ภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลให้สิ่งซึ่งล่วงไปแล้วมาตามอยู่ไฉน? บุคคลมาคิดว่า ณ กาลล่วงไปแล้วเมื่อก่อน เราได้เป็นผู้มีรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อย่างนี้ๆ แล้ว นำความเพลิดเพลินในขันธ์มีรูปขันธ์เป็นต้น ซึ่งล่วงไปแล้วนั้น มาตามอยู่ ภิกษุทั้งหลายอย่างนี้แล ชื่อว่าบุคคลให้สิ่งซึ่งล่วงไปแล้ว มาตามอยู่ภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลไม่ให้สิ่งซึ่งล่วงไปแล้ว มาตามอยู่เป็นไฉน? เล่า บุคคลมาคิดว่า ณ กาลไกลล่วงไปแล้วเราได้เป็นผู้มีรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณอย่างนี้ๆ แล้วไม่นำความเพลิดเพลินในขันธ์ มีรูปขันธ์เป็นต้น ซึ่งล่วงไปแล้วนั้นมาตาม อยู่ ภิกษุทั้งหลายอย่างนี้แลชื่อว่าบุคคลไม่ให้สิ่งล่วงไปแล้วมาตามอยู่ เบื้องหน้าก็ไม่ปรารถนาไม่ให้มาตามอยู่ และปัจจุบันก็ไม่ให้มาตามอยู่ ไม่ถือว่าเราว่าเขา ชื่อว่าไม่ง่อนแง่นอยู่ในธรรมทั้งหลาย พระอริยสาวกและสัตบุรุษท่านไม่ตามเห็นว่า รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ โดยความเป็นตัวตนบ้าง ไม่ตามเห็นตัวตนว่ามีรูป เวทนา สังขาร วิญญาณบ้าง ไม่ตามเห็นรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณในตัวตนบ้าง ไม่ตามเห็นตัวตนในรูป เวทนาสัญญา สังขาร วิญญาณบ้าง ภิกษุทั้งหลายอย่างนี้และ ชื่อว่า บุคคลไม่ง่อนแง่นอยู่ในธรรมทั้งหลาย ซึ่งเกิดขึ้นจำเพาะหน้าฉะนี้แล



    13 พหุเวทนิยสูตร

    สูตรนี้ว่าด้วยเวทนา เวทนา 2 นั้นคือ เวทนาทางกายอย่าง 1 เวทนาทางจิตอย่าง 1 เวทนา 3 นั้น คือ สุข 1 ทุกข์ 1 อุเบกขา 1 เวทนา 5 นั้นคือ สุขเวทนา 1 ทุกข์เวทนา1 โสมนัสสเวทนา 1 โทมนัสสเวทนา 1 อุเบกขาเวทนา 1 เวทนท 6 อย่างนับตามทวาร 6 เวทนา 18 เวทนา36 เวทนา 108



    14 พึงเป็นคนมีสติ

    อย่าถือมั่นกังวลในโลกทั้งปวง ความเสื่อมปัญญา นักปราชญ์ท่านติเตียน ความเจริญปัญญา เลิศกว่าความเจริญทั้งปวง



    15 อนุตตริยะ 6

    พระผู้มีพระภาค ตรัสเทศนาแก่ภิกษุทั้งหลายว่ากิจทั้งหลายไม่มีกิจอื่นยิ่งขึ้นไปกว่าสิ่งเหล่านี้คือ ความเห็น 1 ความฟัง 1 ความได้ศรัทธา 1 ความศึกษา 1 ความบำเรอปฏิบัติ 1 ความระลึก 1



    16 อปัณณกธรรม

    ความสำรวมอินทรีย์ 6 ไม่ดูด้วยนิมิต ไม่ดูด้วยอนุพยัญชนะ ให้ดูด้วยอสุภนิมิต ความรู้ประมาณในโภชนะและชาคริยานุโยค ความพากเพียรอย่างผู้ตื่นอยู่ โดยกำหนดเวลาไว้ดังนี้ ตั้งแต่อรุณขึ้นไปตลอดถึงพลบค่ำเวลา 1 ตั้งแต่ย่ำค่ำไปจนถึงหนึ่งยามเวลา 1 ยามกลางตั้งแต่ 4 ทุ่ม นอนจนถึง 8ทุ่มลุกขึ้น - ตั้งแต่ยามกลางล่วงไปแล้ว จนตลอดอรุณขึ้นมาใหม่เวลา 1 เวลาเป็นที่ชำระจิตให้บริสุทธ์ เป็น 3 เวลาฉะนี้ ให้ผู้ประกอบความเพียรทำอย่างนี้จึงชื่อว่าชาคริยานุโยค
    ธรรม 3 ประการจะให้กำจัดเสียซึ่งอาสวะเรียกว่าอปัณณกธรรม ผู้ปฏบัติตามชื่ว่าทำความเพียรไม่ผิดดังนี้
     
  20. นายตถาตา

    นายตถาตา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มกราคม 2010
    โพสต์:
    829
    ค่าพลัง:
    +705
    บทธรรมบรรยาย
    ของ
    พระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ

    -------------------------------------------------------

    17 อริยทรัพย์
    สัทธา 1 หิริ 1 โอตตัปปะ 1 พาหุสัจจะ 1 วิริยะ 1 สติ 1 ปัญญา 1



    18 ธรรมเป็นเหตุเจริญเจโตวิมุติ

    ก: ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ มีมิตรดี มีสหายดี มีเพื่อนดี อันนี้เป็นไปเพื่อความแก่กล้า แห่งเจโตวิมุติที่ยังไม่แก่กล้าฯ
    ข: ภิกษุเป็นผู้มีศีล สำรวมด้วยธรรม เครื่องสำรวมคอปาติโมกข์ ถึงพร้อมด้วยมรรยาท และที่เที่ยวไปอันสมควรอยู่เป็นนิตย์ เห็นภัยในโทษมีประมาณน้อยโดยปกติ สมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาทั้งหลาย ธรรมอันนี้เป็นไปด้วยดี เพื่อความแก่กล้าแห่งเจโตวิมุตติที่ยังไม่แก่กล้าฯ
    ค.ภิกษุเป็นผู้พากเพียรหมั่น ไม่ทอดธุระในการกุศล ธรรมอันนี้เป็นไปเพื่อความแก่กล้าแห่งเจโตวิมุตติ
    ฆ. ภิกษุเป็นผู้มีปัญญา ประกอบด้วยปัญญาอันเห็นยังความเสื่อม และความดับของสังขารทั้งหลายเป็นปัญญาอย่าประเสริฐ อาจแทงกิเลสได้โดยไม่เหลือ เป็นไปเพื่อความสิ้นทุกข์โดยชอบ เป็นไปเพื่อความแก่กล้าแห่งเจโตวิมุตติ



    19 สัลเลขกถา

    ถ้อยคำเครื่องขัดเกลากิเลส 10 ประการคือ เจรจาถึงความมักน้อย 1 เจรจาถึงความสันโดษยินดีด้วยของที่มีอยู่ 1 เจรจาถึงความสงัด 1 เจรจาถึงความไม่ระคนด้วยหมู่ 1 เจรจาถึงความปรารภซึ่งความเพียร 1 เจรจาถึงศีลความสำรวมกายวาจา 1 เจรจาถึงสมาธิ ความที่จิตตั้งมั่นอยู่ในอารมณ์อันเดียว 1 เจรจาถึงปัญญาความรู้ทั่วถึง 1 เจรจาถึงวิมุตติความพ้นวิเศษ 1 เจรจาถึงวิมุตติญาณทัสสนะปัญญาที่รู้เห็นในวิมุตติ 1 รวมเป็น 10 ประการ



    20 วิธีถ่ายถอนกิเลส

    พึงเจริญอสุภภาวนา เพื่อละราคะเสีย พึงเจริญเมตตา เพื่อละพยาบาทเสีย พึงเจริญอาปานานสติเพื่อเข้าไปตัดวิตกเสีย พึงเจริญอนิจจสัญญา เพื่อถอนอัสมิมานะเสีย อนัตตาสัญญา ก็พึงเห็นพึงตั้งใจไว้ด้วยดี ความถอนอัสมิมานะขึ้นเสียได้ เป็นปรินิพพานในทิฏฐธรรมภพปัจจุบันนี้ทีเดียว



    21 พหุธาตุกสูตร

    ณ กาลใด ภิกษุเป็นผู้ฉลาดในธาตุ เป็นผู้ฉลาดในอายตนะ เป็นผู้ฉลาดในปฏิจจสมุปาทธรรม เป็นแดนอาศัยเกิดขึ้นพร้อม เป็นผู้ฉลาดในฐานะ - อฐานะ คือ สิ่งที่เป็นได้ เป็นไม่ได้ ภิกษุผู้ฉลาดอย่างนี้ นักปราชญ์เรียกว่าเป็นปัณฑิตผู้มีปัญญาไต่สวน
    ธาตุ 18 คือ จักขุ 1 รูปธาตุ 1 จักขุวิญญาณ ธาตุ 1 โสตธาตุ 1 โสตวิญญาณธาตุ 1 ฆานธาตุ 1 คันธธาตุ 1 ฆานวิญญาณธาตุ 1 ชิวหาธาตุ 1 รสธาตุ 1 ชิวหาวิญญาณธาตุ 1 กายธาตุ 1 โผฏฐัพพธาตุ 1 กายวิญญาณธาตุ 1 มโนธาตุ 1 วาโยธาตุ 1 วิญญาณธาตุ 1
    ธาตุ 6 คือ ปฐวีธาตุ 1 อาโปธาตุ 1 เตโชธาตุ 1 วาโยธาตุ 1 อากาศธาตุ 1 วิญญาณธาตุ 1
    ธาตุ 6 อื่นอีกคือ สุขธาตุ ธาตุคือสุข 1 ทุกข์ธาตุ ธาตุคือทุกข์1 โสมนัสสธาตุ ะาตุคือผู้มีใจดี 1 โทมนัสสธาตุ ธาตุคือผู้มีใจชั่ว 1 อุเบกขาธาตุ 1 อวิชชาธาตุ 1
    ธาตุเหล่านี้คือ กามธาตุ ธาตุคือกาม 1 เนกขัมมธาตุ ธาตุคือความออกไปจากกาม 1พยาบาทธาตุ ธาตุคือพยาบาท 1 อพยาบาทธาตุ ธาตุ คือความไม่พยาบาท 1 วิหิสํธาตุคือความเบียดเบียน 1 อวิหิสํธาตุ ธาตุคือความไม่เบียดเบียน 1 รวมเป็น 6 ประการ
    ธาตุ 3 เหล่านี้คือ กามธาตุ ธาตุคือกาม 1 รูปธาตุ ธาตุคือรูป1 อรูปธาตุ ธาตุคืออรูป 1ฯ
    ธาตุ 2 เหล่านี้คือ สังขตธาตุ ธาตุอันปัจจัยตกแต่ง 1 อสังขตธาตุ ธาตุอันเป็นปัจจัยไม่ตกแต่ง 1 ฯ
    ก็อายตนะทั้งหลายที่เป็นภายใน 6 ที่เป็นภายนอก 6 เหล่านี้ ภิกษุเป็นผู้ฉลาดในปฏิจจสมุปาทธรรมอันมีอวิชชาเป็นต้น ไปจนถึง สงขิตเตน ปญจุปาทาน ขนธาปิ ทุกขา นั้น ย่อมรู้ชัดว่า บุคคลได้บรรลุพระโสดาบันแล้วเป็นคนไม่ถือมั่น ปุถุชนย่อมถือมั่นในสังขาร ถือว่าตัวตนเราเขาว่าเที่ยงแท้
    ธรรมปริยายนี้ชื่อ พหุธาตุกสูตร ว่าด้วยธาตุมาก เรียกว่า จตุปริวัฏฏ์ เวียนรอบ 4 บ้าง ว่า ธัมมาทาสา แว่นส่องธรรมบ้าง ว่า มตกุนกุภิ กลองอมฤตเภรีบ้าง ว่า อนุตตรสงคามวิชย เครื่องชนะสงครามอันเยี่ยมบ้าง



    22 พระอภิธรรมปรมัตถสังคหะ

    นมตถุ สุคตสส ฯ สมมาสมพุทธมตุลํ สสทธมม คณุตตมํ อภิวาทิย ภาสิสสํ อภิธมมตตถ สงคหํ ตตถ วุตตาภิธมมตถา จตุธา ปรมตถโต จิตตํ เจตสิกํ รูปํ นิพพานมีติ สพพถาติ
    บัดนี้จะแสดงพระอภิธรรมปรมัตถสังคหะ ที่สมเด็จพระผู้มีพระภาคบรมศาสดาจารย์ญาณสัพพัญญู ผู้เป็นบรมครูเจ้าได้ตรัสไว้ อันท่านพระอนุรุทธาจารย์นำมาประพันธ์เป็นคาถา 9 ปริเฉทดังต่อไปนี้
    สังขตธรรม ธรรมที่ปัจจัยปรุงแต่ง จัดโดยหมวดเป็น 5 คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ สงเคราะห์ลงเป็น 3 ประการ คือจิต เจตสิก รูป ฯ วิญญาณขันธ์เป็นจิต เวทนา สัญญา สังขาร เป็นเจตสิก รูปขันธ์แยกเป็นภูตรูป และอุปาทายรูป ส่วนอสังขธรรมนั้นได้แก่พระนิพพาน ซึ่งมีอารมณ์เหี่ยวแห้งด้วยอริยมรรค จิต - อริยผลจิตแล้ว
    จิตแยกเป็น 4 ประเภท โดยภูมิ คือกามาวจรจิต 1 รูปาวจรจิต 1 อรูปาวจรจิต 1 โลกุตตรจิต 1 จิตซึ่งเป็นไปในสันดานของสัตว์ ซึ่งเกิดในกามภพ 11 คืออบายภูมิ 4 กามสุคติภูมิ 7 ชื่อว่ากามาวจรจิต 54 ดวงจิตซึ่งเป็นไปโดยมากในสันดานของสัตว์ ซึ่งเกิดในรูปภพชื่อว่า รูปาวจร 15 ดวง จิตซึ่งเป็นไปโดยมากในสันดานของสัตว์ ซึ่งเกิดในอรูปภพชื่อว่า อรูปาวจรจิต 12 ดวง จิตซึ่งข้ามขึ้นจากโลก คือปัญจุปาทานขันธ์ไม่มีอาสวะชื่อว่า โลกุตตรจิต คือ อริยมรรคคจิต 4 อริยผลจิต 4 เป็น 8 ดวง สิริรวมเป็นจิต 89 ดวง ด้วยประการฉะนี้
    เจตสิก 25 ดวง เป็นธรรมเป็นไปในจิต เกิดกับดับพร้อมกับจิต ซึ่งแจกโดยประเภท และอาการแตกต่างแห่งหมวดธรรม นับได้ 25 ดวงด้วยประการฉะนี้
    ธรรมสังคหะ 6 อาการ คือ เวทนา 6 เหตุ 6 กิจ 6 ทวาร 6 อารมณ์ 6 วัตถุ 6 ด้วยประการฉะนี้
    ฉักกะ 6 คือ วัตถุ 6 ทวาร อารมณ์ 6 วิญญาณ 6 วิถีจิต 6 วิสยปวัตติ 6
    จตุกกะ 4 คือ ภูมิจตุกะ ได้แก่ภูมิทั้ง 4 คือ อบายภูมิ 1 กามสุคติภูมิ 1 รูปาวจรภูมิ 1 อรูปาวจรภูมิ 1 ปฏิสนธิจตุกกะ ท่านจำแนกปฏิสนธิออกเป็น 4 คือ อบายภูมิปฏิสนธิ 1 กามสุคติปฏิสนธิ 1 รูปาวจรปฏิสนธิ 1 อรูปาวจรปฏิสนธิ 1 กัมมจตุกกะ ท่านแสดงกรรมดดยประเภทแห่งกิจ 4 คือ ชนกกรรม 1 อุปฆาตกะกรรม 1 ยังกรรมอีก 4 ประการ คือ ครุกรรม 1 อาสันนกรรม 1 อาจิณณกรรม 1 กตัตตากรรม 1 อธิบายครุกรรมนั้นคือ กรรมหนัก ฝ่ายบุญได้แก่ฌาณสมาบัติ ฝ่ายบาปได้แก่อนันตริยกรรมธรรมทั้ง 5 อาสันนกรรมนั้นได้แก่กุศลกิจและอกุศลกิจที่ทำใกล้เวลามรณะ อาจิณณกรรมนั้นได้แก่กุศลและอกุศลที่บุคคลทำอยู่เนืองๆ กตัตตากรรมนั้นได้แก่กุศลและอกุศลมีกำลังอ่อน ยังกรรมอีก 5 ประการ คือ ทิฏฐธรรมเวทนียกรรม 1 อุปปัชชเวทนียกรรม 1 อปราปรเวนียกรรม 1 อโหสิกรรม 1
    มรณจตุกกะ ท่านแสดงลักษณะมรณะ 4 ประการ คือ อายุกขยมรณะ 1 กัมักขยะมรณะ 1 อุภยักขยมรณะ 1 อุปัจเฉทกัมมุนามรณะ 1 ชาติทุกข์เป็นเบื้องต้น ชราพยาธิเป็นท่ามกลาง มรณทุกข์เป็นเบื้องปลาย
    รูปสังคหะสังเขป 5 ประการ คือ สมุทเทศนัย 1 วิภาคนัย 1 สมุฏฐานนัย 1 กลาปนัย 1 ปวัตติกนัย 1 อธิบายว่าลักษณะที่แสดงรูปโดยย่อชื่อว่าสมุเทศนัย วิธีจำแนกรูปทั้งปวงโดยส่วนหนึ่งๆ ชื่อว่าวิภาคนัย วิธีแสดงปัจจัยที่เป็นเหตุให้เกิดรูปมีกุศลากุศลเป็นต้นชื่อว่า สมุฏฐานนัย วิธีแสดงรูปบรรดาที่เกิดดับพร้อมกันเป็นหมู่เป็นแผนกมีจักขุทสกะเป็นต้นชื่อ ว่ากลาปนัย วิธีแสดงความเกิดเป็นลำดับแห่งภพและกาลของสัตว์ทั้งหลายชื่อว่าปวัตติกนัย
    พิพพานํ ปน โลกุตตร อสงขตํ บัณฑิตกล่าวว่า โลกุตตระธรรมสังขตธาตุ ไม่มีเครื่องปรุงเป็นของบริสุทธ์ ไม่มีเรื่องเกิดและดับ พระนิพพานนั้นเป็นของธรรมชาติอันบุคคลจะพึงทำให้แจ้งได้ด้วยอริยมรรคญาณทั้ง 4 เมื่ออริยมรรคธรรมเกิดขึ้นแล้วจึงเห็นพระนิพพาน เอวิธมปิ พระนิพพานนั้นเมื่อกล่าวโดยสภาพก็มีอย่างเดียวเท่านั้น เพราะเหตุนั้นแหละ พระนิพพานนี้จึงเป็นเอกปฏิเวธาภิสมัย ตรัสรู้ได้ในขณะจิตเดียวด้วยประการฉะนี้
    สมุจจัยสังคหะ 4 คือ อกุศลสังคหะ 1 มิสสกสังคหะ 1 โพธิปักขิยสังคหะ 1 สัพพัตถสังคหะ 1 อกุศลสังคหะนั้นท่านสงเคราะห์เหล่าธรรมที่เป็นอกุศลเป็นอาการ 535 มิสสกสังคหะนั้น ท่านสงเคราะห์เหล่าธรรมทั้งกุศลและอกุศลเจือปนกัน โพธิปักขิยสังคหะนั้นท่านสงเคราะห์เหล่าธรรมที่เป็นฝักฝ่ายแห่งปัญญาเครื่องตรัสรู้ 37 ประการ สัพพัตถสังคหะนั้นท่านงสงเคราะห์ธรรมส่วนที่เรียกว่า ขันธ์ อายตนะ ธาตุ อริยสัจจ์
    จะแสดงสมุจจัยสังคหะตามที่ได้ยกนิเขปบทขึ้นตั้งไว้นั้นสืบไป
    ในอกุศลสังคหะนั้น ท่านสงเคราะห์เหล่าธรรมที่เป็นอกุศลสังกิเลส 7 หมวด
    คือ อาสวะ 4 โอฆะ 4 โยคะ 4 คันถะ 4 อุปทาน 4 นิวรณ์ 5 สังโยชน์ 10
    ในมิสสาสังคหะนั้น ท่านสงเคราะห์เหล่าธรรมที่เจือกันทั้งกุศลอกุศล เป็น 7 หมวด
    คือธาตุ 6 หมวด 1 องค์ฌาณ 5 หมวด 1 อายตนะ 12 หมวด 1 อินทรีย์ 22 หมวด 1 อธิปติ 4 หมวด 1 อาหาร 4 หมวด 1
    ในโพธิปักขิยสังคหะนั้น ท่านสงเคราะห์ธรรมอันเป็นฝักฝ่ายแห่งโพธิญาณ 7 หมวด
    คือ สติปัฏฐาน 4 สัมมัปปธาน 4 อิทธิบาท 4 อินทรีย์ 5 พละ 5 โพชฌงค์ 7 อริยมรรคมีองค์ 8
    ในสัพพัตถสังคหะนั้น ท่านสงเคราะห์ธรรมที่ไม่ได้เรียกว่าสัตว์บุคคล จัดไว้ 5 หมวด
    คือ ขันธ์ 5 อุปาทานขันธ์ 5 อายตนะ 12 ธาตุ 18 อริยสัจจ์ 4
    จะแสดงปัจจัยสังคหะปริเฉทที่ 8 สืบไป
    ปัจจัยสังคหะนี้ ท่านสงเคราะห์ซึ่งธรรมปัจจัยตามนัย 2 ประการ
    คือ ปฏิจจสมุปบาทปัจจัยนัย 1 สมนตมหาปัฏฐานปัจจัยนัย 1 นัยอันใดที่พระบรมครูสัพพัญญูตรัสเทศนาไว้ใน ปฏิจจสมุปบาทธรรม นัยอันนั้น ชื่อว่า ปฏิจจสมุปบาทนัย นัยอันใดซึ่งพระองค์ตรัสเทศนาไว้ในพระคัมภีร์สมันมหาปัฏฐาน นัยอันนั้นชื่อว่า ปัฏฐานนัย
    ในปัจจัยสังคหะนี้ พระอรรถกถาจารย์ยกเอานัยทั้งสองประการนั้นประชุมกันแสดงออกให้พิศดารเพื่อ ให้สาธุชนได้ทราบว่า ธรรมเหล่านี้เป็นปัจจัย ธรรมเหล่านี้เกิดแต่ปัจจัย โดยนัยพระบาลีในปฏิจจสมุปบาทธรรมว่า อวิชชา ปจจยา สงขารา สงขารา ปจจยา วิญญาณํ ดังนี้เป็นต้น มีเนื้อความว่า อวิชชาเป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร สังขารเป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณ วิญญาณเป็นปัจจัยให้เกิดนามรูป นามรูปเป็นปัจจัยให้เกิดสฬายตนะ สฬายตนะเป็นปัจจัยให้เกิดผัสสะ ผัสสะเป็นปัจจัยให้เกิดเวทนา เวทนาเป็นปัจจัยให้เกิดตัณหา ตัณหาเป็นปัจจัยให้เกิดอุปาทาน อุปทานเป็นปัจจัยให้เกิดภพ ภพเป็นปัจจัยให้เกิดชาติ ชาติเป็นปัจจัยให้เกิดชรา มรณะ โสกปริเทวะ ทุกขโทมนัส อุปายาส ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ของสัตว์ทั้งหลาย ย่อมอาศัยเหตุปัจจัยต่อๆ กันด้วยประการฉะนี้
    ในปัฏฐานนัยนั้น สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเทศนาจำแนกปัจจัย 24 ประการ มีเหตุปัจจัยเป็นต้น มีอวิคตปัจจัยเป็นที่สุด
    ก็เหตุปัจจัยนั้น ได้แก่ธรรมเป็นเหตุ เป็นเค้า เป็นมูล ในฝ่ายกุศลมี 3 คือ อโลภะ ความไม่โลภ อโทสะ ความไม่โกรธ อโมหะ ความไม่หลง ในฝ่ายอกุศลก็มี 3 คือ โลภะ โทสะ โมหะ นี้แหละท่านว่า เหตุปัจจัยฯ
    อารัมมณปัจจัยนั้น ได้แก่อารมณ์ทั้ง 6 คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ อารมณ์ ทั้ง 6 นั้น ย่อมเป็นที่ยึดหน่วงแห่งจิตและเจตสิกทั้งปวง อันเกิดขึ้นในทวารทั้ง 6 มีจักขุทวารเป็นต้น จึงชื่อว่าอารัมมณปัจจัย
    อธิปติปัจจัยนั้น ได้แก่ธรรมอันเป็นอุปการะด้วยความเป็นใหญ่ในธรรมทั้งหลายอันเนื่องกัน อนันตรปัจจัย แลสมนันตรปัจจัยนั้น ได้แก่ธรรมอันบังเกิดก่อนแล้วจึงเป็นอุปการปัจจัยให้โอกาสแก่ธรรมอันบังเกิด ภายหลัง หาธรรมอื่นขั้นในระหว่างมิได้ สหชาตปัจจัยนั้น ได้แก่ ธรรมอันเป็นอุปการะด้วยความเป็นของเกิดขึ้นพร้อมกัน ประหนึ่งเปลวประทีปกับแสงสว่างอันเกิดพร้อมกันฉะนั้น อัญญมัญญปัจจัยนั้น ได้แก่ธรรมที่เกิดอาศัยกันและกันจึงตั้งอยู่ได้ ดังไม้สามท่อนอันอิงอาศัยกันและกันฉะนั้น
    นิสสัยปัจจัยนั้น ได้แก่ธรรมอันเป็นอุปการะคือที่อาศัย ประหนึ่งแผ่นดินเป็นที่อาศัยแห่งต้นไม้แลภูเขาฉะนั้นฯ อุปนิสสัยปัจจัยนั้น ได้แก่ธรรมอันเป็นอุปการะ คือเป็นอุปนิสสัยตามติดตนฯ ปุเรชาตปัจจัยนั้นได้แก่รูปธรรมอันเกิดขึ้นก่อนแล้วเป็นปัจจัยแก่จิตและเจตสิกอันบังเกิด ณ ภายหลังฯ ปัจฉาชาตปัจจัยนั้นได้แก่จิตและเจตสิกอันเกิดภายหลัง แล้วเป็นอุปการะแก่รูปอันเกิดก่อนฯอาเสวนปัจจัยนั้น ได้แก่ชวนจิตอันมีชาติเสมอกัน ย่อมให้กำลังในกิจที่เป็นบุญและบาปทุกประการฯ กัมมปัจจัยนั้น ได้แก่กุศลและอกุศลอันเป็นปัจจัยให้สำเร็จผลคือสุขและทุกข์แก่สัตว์ วิปากปัจจัยนั้นได้แก่วิบากจิตอันบังเกิดเป็นอุปการแก่สัตว์อันเสวยสุขและทุกข์ฯ อาหารปัจจัยนั้น ได้แก่อาหาร 4 ประการ คือ ผัสสาหาร 1 มโนสัญเจตนาหาร 1 วิญญาณาหาร 1 กวฬึการาหาร 1ฯ อินทรีย์ปัจจัยนั้น ได้แก่ปสาทรูปทั้ง 5 มีจักขุปสาทเป็นต้น เป็นใหญ่ในที่จะกระทำให้วิญญาณทั้ง 5 เป็นไปในอำนาจ หรือรูปชีวิตินทรีย์เป็นใหญ่ในที่จะกระทำให้กำลังรูปประพฤติเป็นไปในอำนาจฌาณปัจจัยนั้น ได้แก่องค์ฌาณ มีวิตกวิจารณ์เป็นต้น เป็นปัจจัยให้กำลังแก่นามและรูปฯ มัคคปัจจัยนั้น ได้แก่มรรคมีองค์ 8 ประการ ทั้งฝ่ายโลกีย์และโลกุตตระเป็นปัจจัยให้แก่นามธรรมและรูปธรรม อันเกิดพร้อมกันฯ สัมปยุตตปัจจัยนั้นคือจิตและเจตสิก อันเป็นปัจจัยแก่กันเกิดกับดับพร้อมกัน มีอารมณ์เป็นอันเดียวกันฯ วิปปยุตตปัจจัย นั้น คือรูปธรรมนามธรรมที่ยังไม่ประกอบกัน มิได้ระคนกัน อตถิปัจจัยนั้น คือรูปธรรมนามธรรมที่ยังไม่ดับ ย่อมเป็นปัจจัยให้กำลังแก่กัน นัตถิปัจจัยวิคตปัจจัยนั้นคือนามและรูปดับแล้ว มีปัจจัยให้บังเกิดต่อไปในเบื้องหน้าฯ วิคตปัจจัยนั้นมีเนื้อความเหมือนอัตถิปัจจัย การที่ตรัสพยัญชนะให้ต่างกันแต่เนื้อความเป็นอย่างเดียวกันนั้น ก็ด้วยทรงอนุโลมตามอัธยาศัยของเวไนยสัตว์ที่ควรรู้ได้ด้วยอรรคพยัญชนะ ประการใด ก็ทรงภาษิตไว้ด้วยประการนั้นฉะนี้แล
    จะแสดงกรรมฐานภาวนาต่อไป กรรมฐานภาวนามี 2 ประการ คือ สมถกรรมฐานภาวนา 1 วิปัสสนากรรมฐานภาวนา 1 ก็ในกรรมฐานสังคหะ 2 ประการนั้น จะแสดงสมถสังคหะก่อน ก็สมถกรรมฐานนั้นทีอารมณ์เป็นเครื่องยึดหน่วงแห่งจิต ทำจิตให้สงบถึง 40 ทัศ จัดเป็นหมวดได้ 7 หมวด คือ กสิณ 10 อสุภะ 10 อนุสสติ 10 อัปปมัญญาพรหมวิหาร 4 อาหารปฏิกูลสัญญา 1 ธาตุววัตถาน 1 อรูปกรรมฐาน 4
    ก็สมถกรรมฐานนี้มีอารมณ์มากถึง 40 ทัศ นั้นท่านแสดงไว้ดดยสมควรแก่จริตของโยคาวจรบุคคลเพราะบุคคลย่อมมีจริตต่าง ๆ กันถึง 6 ประการ
    1. โยควจรที่เป็นราคจริต มากไปด้วยความกำหนัดยินดี ในเบญจกามคุณควรเจริญอสุภะ 10 และกายคตาสตเป็นอารมณ์จึงเป็นที่สบาย
    2.โยคาวจรที่เป็นโทสจริต มักโกธรมักประทุษร้าย ควรเจริญพรหมวิหาร 4 และวรรณกสิณ 4 คือ นีลกสิณ 1 ปีตกสิณ 1 โลหิตกสิณ 1 โอทาตกสิณ 1 จึงเป็นที่สบาย
    3-4 โยคาวจรที่เป็นโมหจริต มักลุ่มหลงมาก กับที่เป็นวิตกจริต มักตรึกตรองมาก ควรเจริญอานาปานสติกรรมฐาน จึงเป็นที่สบาย
    5. โยคาวจรที่เป็นสัทธาจริต มักเชื่อคนพูดง่ายๆ ควรเจริญ พุทธานุสสติ ธมมานุสสติ สงฆานุสสติ สีลานุสสติ จาคานุสสติ และเทวดานุสสติ จึงเป็นที่สบาย
    6. โยคาวจรที่เป็นพุทธิจริต มากไปด้วยปัญญา ควรเจริญมรณัสสติ อุปสมานุสสติ อาหารปฏิกูลสัญญา และจตุธาตุววัตถาน จึงเป็นที่สบาย
    ส่วนกรรมฐานที่เหลือ 10 ประการ คือ รูปกสิณ 4 ได้แก่ ปฐวี - อาโป - เตโช - วาโยกสิณ อรูปกสิณ 2 คือ อาโลกกสิณ และอากาสกสิณ และอรูปกรรมฐาน 4 ย่อมเป็นที่สบายแก่จริตทั้งปวง
    จะแสดงวิปัสสนากรรมฐานสืบไปในวิปัสสนากรรมฐาน ท่านแบ่งออกเป็น 4 ประเภท คือ วิสุทธิ 1 วิโมกข์ 1 อริยบุคคล 1 สมาบัติ 1
    วิสุทธิ นั้นแจกออกเป็น 7 ประการคือ สีล วิสุทธิ 1 จิตตวิสุทธิ 1 ทิฏฐิวิสุทธิ 1 กังขาวิตรณวิสุทธิ 1
    วิโมกข์ นั้นแจกออกเป็น 3 ประการคือ สุญญตวิโมกข์ 1 อนิมิตตวิโมกข์ 1 อัปปณิหิตวิโมกข์ 1 ฯ
    บุคคลนั้นท่านจำแนกออกเป็นอริยบุคคล 8 จำพวก มีพระโสดามรรคบุคคลเป็นต้น พระอรหัตตผลบุคคลเป็นที่สุด ฯ
    สมาบัติ ท่านจำแนกเป็นรูปสมาบัติ 4 อรูปสมาบัติ 4 เป็นสมาบัติ 8 ประการ ด้วยประการฉะนี้แล



    23 วิธีเจริญกรรมฐานภาวนา

    จะแสดงวิธีเจริญกรรมฐานภาวนา เพื่อโยคาวจรกุลบุตรได้ศึกษาและปฏิบัติสืบไป โยคาวจรผู้ใดจะเจริญกรรมฐานภาวนา พึงตรวจดูจริตของตนให้รู้ชัด ว่า ตนเป็นคนมีจริตอย่างใดแน่นอนก่อนแล้วพึงเลือกเจริญกรรมฐานอันเป็นที่สบายแก่จริตนั้นๆ ดังได้แสดงไว้แล้วนั้นเถิด
    อนึ่ง พึงทราบคำกำหนดความดังต่อไปนี้ไว้เป็นเบื้องต้นก่อน คือบริกรรมนิมิต หมายเอาอารมณ์ของกรรมฐานที่นำมากำหนดพิจารณา อุคคหนิมิต หมายเอาอารมณ์ของกรรมฐานอันปรากฏขึ้นในมดนทวาร ขณะที่กำลังทำการเจริญภาวนาอยู่อย่างชัดแจ้ง คล้ายเห็นด้วยตาเนื้อ ปฏิภาคนิมิต หมายเอาอารมณ์ของกรรมฐานอันปรกฏแจ่มแจ้งแก่ใจของผู้เจริญภาวนายิ่งขึ้นกว่า อุคคหนิมิต และพึงทราบลำดับแห่งภาวนาดังนี้ บริกรรมภาวนา หมายการเจริญกรรมฐานในระยะแรกเริ่มใช้สติประคองใจกำหนดพิจารณาในอารมณ์ กรรมฐานอันใดอันหนึ่ง อุปจารภาวนา หมายการเจริญกรรมฐานในขณะเมื่ออุคคหนิมิตเกิดปรากฏในมโนทวาร อัปปนาภาวนา หมายการเจริญภาวนาในขณะเมื่อปฏิภาคนิมิตปรากฏ จิตเป็นสมาธิแนบเนียน มีองค์ฌาณปรากฏขึ้นครบบริบูรณ์
    บริกรรมภาวนาได้ทั่วไปในกรรมฐานทั้งปวง อุปจารภาวนาได้ในกรรมฐาน 10 ประการ คือ อนุสสติ 8 ตั้งแต่พุทธานุสสติ ถึงมรณัสสติ กับอาหาเรปฏิกูลสัญญาและจตุธาตุววัตถาน เพราะเป็นกรรมฐานสุขุมละเอียดยิ่งนัก ส่วนอัปปนาภาวนานั่นได้ในกรรมฐาน 30 คือ กสิณ 10 อสุภะ 10 อานาปานสติ 1 กายคตาสติ 1 พรหมวิหาร 4 และอรูปกรรมฐาน 4
    กรรมฐาน 11 คืออสุภะ 10 กับกายคตาสติ 1 ให้สำเร็จแต่เพียง รูปาวจร ปฐมฌาณ พรหมวิหาร 3 คือ เมตตา กรุณา มุทิตา ให้สำเร็จรูปาวจรฌาณทั้ง 4 ประการ อุเบกขาพรหมวิหาร ให้สำเร็จแต่บัญจมรูปาวจรฌาณอย่างเดียว อรูปกรรมฐาน 4 ให้สำเร็จแต่อรูปาวจรฌาณอย่างเดียวฯ

    ( 1 ) วิธีเจริญปฐวีกสิณ กุลบุตรผู้มีศรัทธาปรารถนาจะเจริญกรรมฐานภาวนา อันชื่อว่าปฐวีกสิณ พึงตัดปลิโพธกังวลห่วงใยน้อยใหญ่เสียให้สิ้นแล้ว ไปยังที่เงียบสงัด เพ่งพิจารณาดินที่ตนตกแต่งเป็นดวงกสิณเป็นอารมณ์ หรือจะเพ่งพิจารณาดินที่แผ่นดินหหรือที่ลานข้าวเป็นต้นเป็นอารมณ์ก็ได้ เมื่อจะพิจารณาดินที่มิได้ตกแต่งไว้เป็นดวงกสิณนั้น พึงกำหนดให้มีที่สุดโดยกลมเท่าตะแกรง กว้างคืบ 4 นิ้ว เป็นอย่างใหญ่หรือเล็กกว่ากำหนดนี้ แล้วพึงบริกรรมภาวนาว่าปฐวีๆ ดินๆ ดังนี้ร่ำไป ถ้ามีวาสนาบารมีเคยได้สั่งอบรมมาแต่ชาติก่อนๆ แล้ว ก็อาจได้สำเร็จฌาณ ถ้าหากวาสนาบารมีมิได้ ก็ยากที่จะสำเร็จฌาณด้วยการเพ่งแผ่นดินอย่างว่านี้ จำจะต้องทำเป็นดวงกสิณ เมื่อจะทำ พึงหาดินสีแดงดังแสงพระอาทิตย์แรกอุทัย มาทำ อย่าทำในที่คนสัญจรไปมาพลุกพล่าน พึงทำในที่สงัดเป็นที่ลับที่กำบัง ดวงกสิณนั้นจะทำตั้งไว้กะที่ทีเดียว หรือจะทำชนิดยกไปได้ก็ตาม ดินที่ทำดวงกสิณนั้น พึงชำระให้หมดจด ทำเป็นวงกลม กว้างคืบ 4 นิ้ว ขัดให้ราบเสมอดังหน้ากลอง พึงปัดกวาดที่นั้นให้เตียนสะอาด ปราศจากหยากเยื่อเฟื้อฝอยแล้วพึงชำระกายให้หมดเหงื่อไคล เมื่อจะนั่งภาวนา พึงนั่งบนตั่งที่มีเท้าสูง คืบ 4 นิ้ว นั่งห่างดวงกสิณออกไปประมาณ 2 ศอกคืบ พึงนั่งขัดสมาธิเท้าขวาทับเท้าซ้าย มือขวาทับมือซ้าย ตั้งกายให้ตรงผินหน้าไปทางดวงกสิณ แล้วพึงพิจารณาโทษกามคุณต่าง ๆ และตั้งจิตไว้ให้ดีในฌาณธรรมอันเป็นอุบายที่จะยกตนออกจากกามคุณ และจะล่วงพ้นกองทุกข์ทั้งปวง แล้วพึงระลึกถึงพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ ยังปรีดาปราโมทย์ให้เกิดขึ้น แล้วพึงทำจิตให้เคารพรักใคร่ในพิธีทางปฏิบัติให้มั่นใจว่าปฏิบัติดังนี้ ได้ชื่อว่าเนกขัมมปฏิบัติ พระอริยเจ้าทั้งหลายมีพระพุทะเจ้าเป็นต้น จะได้ละเว้นหามิได้ ล้วนแต่ปฏิบัติดังนี้ทุกๆ พระองค์ ครั้นแล้วพึงจิตว่า เราจะได้เสวยสุขอันเกิดแต่วิเวกด้วยปฏิบัติอันนี้โดยแท้ ยังความอุตสาหะให้เกิดขึ้นแล้วจึงลืมจักษุขึ้นดูดวงกสิณเมื่อลืมจักษุขึ้น นั้น อย่าลืมขึ้นให้กว้างนัก จะลำบากจักษุ อนึ่งมณฑลกสิณจะปรากฏแจ้งเกินไป ครั้นลืมลืมจักษุขึ้นน้อยนักมณฑลกสิณก็จะปรากฏแจ้ง จิตที่จะถือเอากสิณนิมิตเป็นอารมณ์นั้น ก็จะย่อหย่อนท้อถอยเกียจคร้านไป เหตุฉะนี้จึงพึงลืมจักษุขนาดส่องเงาหน้าในกระจก อนึ่ง เมื่อแลดูดวงกสิณนั้นอย่าพิจารณาสี พึงกำหนดว่าสิ่งนี้เป็นดินเท่านั้น แต่สีดินนั้นจะละเสียก็มิได้ เพราะว่าสีดินกับดวงกสิณเนื่องกันอยู่ ดูดวงกสิณก็เป็นอันดูสีอยู่ด้วย เหตุฉะนี้ พึงรวมดวงกสิณกับสีเข้าด้วยกัน และดูดวงกสิณกับสีนั้นให้พร้อมกัน กำหนดว่า สิ่งนี้เป็นดิน แล้วจึงบริกรรมภาวนาว่า ปฐวีๆ ดินๆ ดังนี้ร่ำไป ร้อยครั้งพันครั้งเมื่อกระทำบริกรรมภาวนาว่าปฐวี ๆ อยู่นั้นอย่าลืมจักษุเป็นนิตย์ พึงลืมจักษุดูอยู่หน่อยหนึ่งแล้วหลับลงเสีย หลับลงสักหน่อย แล้วพึงลืมขึ้นดูอีก พึงปฏิบัติโดยทำนองนี้ไปจนกว่าจะได้อุคคหนิมิต ก็กสิณนิมิตอันเป็นอารมณ์ที่ตั้งแห่งจิต ในขณะที่ทำการบริกรรมว่าปฐวีนั้น ชื่อว่าบริกรรมภาวนา เมื่อตั้งจิตในกสิณนิมิต กระทำบริกรรมว่าปฐวีๆ นั้น ถ้ากสิณนิมิตมาปรากฏในมโนทวารหลับจักษุลงกสิณนิมิตก็ปรากฏอยู่ในมโนทวารดัง ลืมจักษุแล้วกาลใด ชื่อว่าได้อุคคหนิมิต ณ กาลนั้น เมื่อได้อุคคหนิมิตแล้ว พึงตั้งจิตอยู่ในอุคคหนิมิตนั้น กำหนดให้ยิ่งวิเศษขึ้นไป เมื่อปฏิบัติอยู่ดังนี้ ก็จะข่มนิวรณธรรมโดยลำดับๆ กิเลสก็จะสงบระงับจากสันดาน สมาธิก็จะแก่กล้าเป็นอุปจารสมาธิ ปฏิภาคนิมิตก็จะปรากฏขึ้นอุคคหนิมิตกับปฏิภาคนิมิต มีลักษณะต่างกัน คืออุคคหนิมิตยังประกอบด้วยกสิณโทษ คือยังปรากฏเป็นสีดินอยู่อย่างนั้น ส่วนปฏิภาคนิมิตปรากฏบริสุทธิ์งดงามดังแว่นกระจก ที่บุคคลถอดออกจากฝักจากถุงฉะนั้น จำเดิมแต่ปฏิภาคนิมิตเกิดขึ้นแล้ว นิวรณ์ทั้งสิ้นก็ระงับไปจิตก็ตั้งมั่นเป็นอุปจารสมาธิ สำเร็จเป็นกามาพจรสมาธิภาวนา เมื่อได้อุปจารสมาธิแล้ว ถ้าพากเพียรพยายามต่อขึ้นไปไม่หยุดหย่อน ก็จะได้สำเร็จอัปปนาสมาธิซึ่งเป็นรูปาวจรฌาณ และเมื่อกระทำเพียรจนบรรลุถึงอัปนาฌาณ เกิดขึ้นในสันดานแล้ว ก็พึงกำหนดไว้ว่า 1 เราประพฤติอิริยาบถอย่างนี้ๆ 2 อยู่ในเสนาสนะอย่างนี้ๆ 3 โภชนาหารอันเป็นที่สบายอย่างนี้ๆ จึงได้สำเร็จฌาณการที่ให้กำหนดไว้นี้ เผื่อว่าฌาณเสื่อมไปก็จะได้เจริญสืบต่อไปใหม่โดยวิธีเก่า ฌาณที่เสื่อมไปนั้น ก็จะเกิดขึ้นได้โดยง่ายในสันดานอีก ครั้นเมื่อได้สำเร็จปฐมฌาณแล้วพึงปฏิบัติในปฐมฌาณนั้นให้ชำนาญคล่อง แคล่วด้วยดีก่อนแล้วจึงเจริญทุติยฌาณสืบต่อขึ้นไป
    ก็ปฐมฌาณที่ชำนาญคล่องแคล่วด้วยดี ต้องประกอบด้วยวสีทั้ง 5 คือ
    ( 1 ) อาวัชชนวสี ชำนาญคล่องแคล่วในการนึก ถ้าปรารถนาจะนึกถึงองค์ฌาณที่ตนได้ ก็นึกได้เร็วพลัน มิได้เนิ่นช้า มิต้องรอนานถึงชวนจิตที่ 4-5 ตกลง ยังภวังค์จิต 2-3 ขณะถึงองค์ฌาณที่ตนได้
    (2) สมาปัชชนวสี คือชำนาญคล่องแคล่วในการที่จะเข้าฌาณอาจเข้าฌาณได้ในลำดับอาวัชชนจิต อันพิจารณาซึ่งอารมณ์คือปฏิภาคนิมิตมิได้เนิ่นช้า
    (3) อธิษฐานวสี คือชำนาญในอันดำรงรักษาฌาณจิตไว้มิให้ตกภวังค์ ตั้งฌาณจิตไว้ได้ตามกำหนด ปรารถนาจะตั้งไว้นานเท่าใดก็ตั้งไว้ได้นานเท่านั้น
    (4)วุฎฐานวสี คือชำนาญคล่องแคล่วในการออกฌาณ กำหนดไว้ว่าเวลานั้นๆ จะออกก็ออกได้ตามกำหนดไม่คลาดเวลาที่กำหนดไว้
    (5) ปัจจเวกขณวสี คือชำนาญคล่องแคล่วในการพิจารณาองค์ฌาณที่ตนได้อย่างรวดเร็ว มิได้เนิ่นช้า ถ้าไม่ชำนาญไนปฐมฌาณแล้วอย่าพึงเจริญทุติยฌาณก่อน ต่อเมื่อชำนิชำนาญคล่องแคล่วในปฐมฌาณด้วยวสีทั้ง 5 ดังกล่าวแล้ว จึงควรเจริญทุติยฌาณสืบต่อขึ้นไป เมื่อชำนาญในทุติยฌาณจึงเจริญตติยฌาณ จตุตถฌาณ และปัญจมฌาณขึ้นไปตามลำดับ
    องค์ของฌาณเป็นดังนี้ ปฐมฌาณมีองค์ 5 คือวิตก ความตรึกคิดมีลักษณะยกจิตขึ้นสู่อารมณ์เป็นองค์ที่ 1 วิจารณ์ ความพิจารณามีลักษณะไตร่ตรองอารมณ์เป็นองค์ที่ 2 ปิติ เจตสิกธรรมที่ยังกายและจิตใจให้อิ่มเต็มมีประเภท 5 คือ
    (1) ขุททกาปิติ กายและจิตอิ่มจนขนพองชูชันทำให้น้ำตาไหล
    (2) ขณิกาปิติ กายและจิตอิ่มมีแสงสว่างดังฟ้าแลบปรากฎในจักษุทวาร
    (3) โอกกนติกาปิติ กายและจิตอิ่ม ปรากฏดั่งคลื่นและละลอกทำให้ไหวให้สั่น
    (4) อุพเพงคาปิติ กายและจิตอิ่มและกายเบาเลื่อนลอยไปได้
    (5) ผรณาปิติ กายและจิตอิ่ม เย็นสบายซาบซ่านทั่วสรรพางค์กาย ปิติทั้ง 5 นี้อันใดอันหนึ่งเป็นองค์ที่ 3 สุขอันเป็นไปในกายและจิต เป็นองค์ที่ 4 และเอกัคคตา ความที่จิตมีอารมณ์เดียวไม่ฟุ้งซ่านไปมา จัดเป็นองค์ครบ 5
    ฌาณที่พร้อมด้วยองค์ 5 นี้ชื่อว่าปฐมฌาณฯ ทุตยฌาณ มีองค์ 3 คือปิติสุข เอกัคคตา ตติฌาณมีองค์ 2 คือสุข เอกัคคตา จตุตถฌาณมีองค์ 2 คือเอกัคคตา อุเบกขา นี้จัดโดยฌาณจุกกนัย ถ้าจัดโดยฌาณปัญจกนัยเป็นดังนี้ ปฐมฌาณมีองค์ 5 คือ วิตก วิจาร สุข เอกัคคตา ทุตติฌาณ มีองค์ 4 คือ วิจาร ปิติ สุข เอกัคคตา ตติยฌาณมีองค์ 3 คือปิติ สุข เอกัคคตา จตุตถฌาณมีองค์ 2 คือ สุข เอกัคคตา ปัญจมฌาณมีองค์ 2 คือ เอกัคคตาอุเบกขา
    กุลบุตรผู้เจริญ กสิณนี้อาจได้สำเร็จฌาณสมาบัติโดยจตุกกนัย หรือปัญจกนัยดังกล่าวมานี้

    (2) วิธีเจริญอาโปกสิณ โยคาวจรกุลบุตรผู้มีศรัทธาปรารถนาจะเจริญอาโปกสิณ ถ้าเป็นผู้มีวาสนาสั่งสมอาโปกสิณมาแต่ชาติก่อนๆ แล้ว ถึงจะมิได้ตกแต่งกสิณเลยเพียงแต่เพ่งดูน้ำในที่ใดที่หนึ่งเช่นในสระในบ่อ ก็อาจสำเร็จอุคคหนิมิตและปฏิภาคนิมิตโดยง่าย ถ้ากุลบุตรอันหาวาสนาในอาโปกสิณมิได้ พึงเจริญอาโปกสิณในปัจจุบันชาตินี้ ก็พึงทำเอาอาโปกสิณด้วยน้ำที่ใสบริสุทธ์เอาน้ำใส่ภาชนะ เช่นบาตรหรือขันให้เต็มเพียงขอบปากยกไปตั้งไว้ในที่กำบัง ตั้งม้าสี่เหลี่ยมสูงคืบ 4 นิ้ว กระทำพิธีทั้งปวงโดยทำนองที่กล่าวไว้ในวิธีเจริญปฐวีกสิณนั้นเถิด คำบริกรรมภาวนาในอาโปกสิณว่า อาโป ๆ น้ำ ๆ พึงบริกรรมดังนี้ร่ำไปร้อยครั้งพันครั้ง จนกว่าจะได้สำเร็จอุคคหนิมิต ปฏิภาคนิมิต และอัปปนาฌาณ โดยลำดับ ก็อุคคหนิมิตในอาโปกสิณนี้ปรากฏดุจไหว ๆ กระเพื่อม ๆ อยู่ ถ้าน้ำนั้นประกอบด้วยกสิณโทษคือเจือปนด้วยเปลือกตมหรือฟอง ก็จะปรากฏในอุคคหนิมิตด้วย ส่วนปฏิภาคนิมิต ปรากฏปราศจากกสิณโทษ เป็นดุจกาบขั้วตาลแก้วมณีที่จะประดิษฐานในอากาศ มิฉะนั้นดุจมณฑลแว่นแก้วมณี เมื่อปฏิภาคนิมิตเกิดแล้วโยคาวจรกุลบุตรทำปฏิภาคนิมิตให้เป็นอารมณ์ บริกรรมไปว่า อาโป ๆ น้ำ ๆ ดังนี้ จะได้ถึงจตตุถฌาณหรือปัญจมฌาณตามลำดับ

    (3) วิธีเจริญเตโชกสิณ โยคาวจรกุลบุตรผู้มีวาสนาบารมี เคยเจริญเตโชกสินมาแล้วในชาติก่อน เพียงแต่เพ่งเปลวไฟในที่ใดที่หนึ่ง บริกรรมภาวนาว่า เตโชๆ ไฟ ๆ ดังนี้ ก็อาจได้สำเร็จอุคคหนิมิตและปฏิภาคนิมิตโดยง่าย ถ้าผู้ไม่เคยบำเพ็ญมาแต่ชาติก่อน ปรารถนาจะเจริญเตโชกสิณ พึงหาไม้แก่นที่สนดีมาตากไว้ให้แห้ง บั่นออกไว้เป็นท่อนๆ แล้วนำไปใต้ต้นไม้ หรือที่ใดที่หนึ่งซึ่งเป็นที่สมควร แล้วกองฟืนเป็นกองๆ ดังจะอบบาตร จุดไฟเข้าให้รุ่งเรือง แล้วเอาเสื่อลำแพน หรือแผ่นหนังหรือแผ่นผ้า มาเจาะเป็นช่องกลมกว้างประมาณคืบ 4 นิ้ว แล้วเอาขึงไว้ตรงหน้า นั่งตามพิธีที่กล่าวไว้ในปฐวีกสิณแล้วตั้งจิตกำหนดว่า อันนี้เป็นเตโชธาตุ แล้วจึงบริกรรมว่า เตโชๆ ไฟๆ ดังนี้ร่ำไปจนกว่าจะได้สำเร็จอุคคหนิมิต และปฏิภาคนิมิต โดยลำดับไป
    อุคคหนิมิตในเตโชกสิณนี้ ปรากฏดุจเปลวเพลิวลุกไหม้ไหว ๆ อยู่เสมอ ถ้ามิได้ทำดวงกสิณพิจารณาไฟในเตาเป็นต้น เมื่ออุคคหนิมิตเกิดขึ้น กสิณโทษก็จะปรากฏด้วย ส่วนปฏิภาคนิมิตปรากฏมิได้หวั่นไหว จะปรากฏดุจท่อนผ้ากำพลแดงอันประดิษฐานอยู่บนอากาศ หรือเหมือนกาบขั้วตาลทองคำฉะนั้น เมื่อปฏิภาคนิมิตปรากฏแล้ว โยคาวจรก็จะได้สำเร็จฌาณตามลำดับจนถึงจตุตถฌาณ ปัญจมฌาณ
    (4) วิธีเจริญวาโยกสิณ ให้เพ่งลมที่พัดอันปรากฏอยู่ที่ยอดอ้อย ยอดไผ่ ยอดไม้ หรือปลายผมที่ถูกลมพัดไหวอยู่อย่างใดอย่างหนึ่ง แล้วพึงตั้งสติไว้ว่า ลมพัดต้องในที่นี้ หรือลมพัดเข้ามาในช่องหน้าต่าง หรือช่องฝา ถูกต้องกายในที่ใดก็พึงตั้งสติไว้ในที่นั้น แล้วพึงบริกรรมว่า วาโยๆ ลมๆ ดังนี้ร่ำไป จนกว่าจะสำเร็จอุคคหนิมิตและปฏิภาคนิมิต อุคคหนิมิตในวาโยกสิณนี้ จะปรากฏไหว ๆ เหมือนไอแห่งข้าวปายาส อันบุคคลปลงลงจากเตาใหม่ๆ ปฏิภาคนิมิตจะปรากฏอยู่เป็นอันดีมิได้หวั่นไหว เมื่ออุคคหนิมิตเกิดแล้ว โยคาวจรกุลบุตรก็จะได้สำเร็จฌาณโดยลำดับ
    (5) วิธีเจริญนีลกสิณ โยคาวจรกุลบุตรผู้มีศรัทธาปรารถนาจะเจริญนีลกสิณพึงพิจารณานิมิตสีเขียวเป็นอารมณ์ ถ้าเป็นผู้มีวาสนาบารมีเคยได้เจริญนีลกสิณมาแต่ชาติก่อนๆ แล้ว เพียงแต่เพ่งดูดอกไม้สีเขียวหรือผ้าเขียวเป็นต้น ก็อาจได้อุคคหนิมิตและปฏิภาคนิมิต ส่วนผู้พึ่งจะเจริญนีลกสิณในชาติปัจจุบันนี้ พึงทำดวงกสิณก่อน พึงเอาดอกไม้อย่างใดอย่างหนึ่งที่มีสีเขียวล้วนอย่างเดียว มาลำดับลงในผอบ หรือฝากล่องให้เสมอขอบปาก อย่าให้เกสรแลก้านปรากฏ ให้แลเห็นแต่กลีบสีเขียวอย่างเดียว หรือจะเอาผ้าเขียวขึงที่ปากผอบหรือฝากล่องทำให้เสมอดังหน้ากลองก็ได้ หรือจะเอาของที่เขียวเช่นคราม เป็นต้น มาทำเป็นดวงกสิณเหมือนอย่างปฐวีกสิณก็ได้
    เมื่อทำดวงกสิณเสร็จแล้วพึงปฏิบัติพิธีดดยทำนองที่กล่าวไว้ในปฐวีกสิณนั้น เถิด พึงบริกรรมภาวนาว่านีลํๆ เขียวๆ ดังนี้ร่ำไป จนกว่าอุคคหนิมิต และปฏิภาคนิมิตจะเกิดขึ้น อุคคหนิมิตในนีลกสิณนี้มีกสิณโทษอันปรากฏ ถ้ากสิณนั้นกระทำด้วยดอกไม้ก็เห็นเกสร-ก้าน และระหว่างกลีบปรากฏส่วนปฏิภาคนิมิตจะปรากฏดุจกาบขั้วตาลแก้วมณีตั้งอยู่ใน อากาศ เมื่อปฏิภาคนิมิตเกิดแล้ว อุปจารฌาณและอัปปนาฌาณก็จะเกิดดังกล่าวแล้วในปฐมกสิณ
    (6-7-8) วิธีเจริญปีตกสิณโลหิตกสิณ-โอทาตกสิณ วิธีเจริญกสิณทั้ง 3 นี้ เหมือนกับ นีลกสิณทุกอย่าง ปีตกสิณเพ่งสีเหลือง บริกรรมว่าปีตกํๆ เหลืองๆ โลหิตกสิณเพ่งสีแดง บริกรรมว่า โลหิตํๆ แดงๆ โอทาตกสิณ เพ่งสีขาว บริกรรมว่า โอทาตํๆ ขาวๆ ดังนี้ร่ำไป จนกว่าจะเกิดอุคคหนิมิตและปกิภาคนิมิต ลักษณะอุคคหนิมิต และปฏิภาคนิมิตก็เหมือนในนีลกสิณ ต่างกันแต่สีอย่างเดียวเท่านั้น
    (9) วิธีเจริญอาโลกกสิณ โยคาวจรกุลบุตรผู้เจริญอาโลกกสิณนี้ ถ้าเป็นผู้มีวาสนาบารมี เคยได้เจริญมาแต่ชาติก่อนๆ แล้วเพียงแต่เพ่งดูแสงพระจันทร์หรือแสงพระอาทิตย์ หรือช่องหน้าต่างเป็นต้นที่ปรากฏเป็นวงกลมอยู่ที่ฝาหรือที่พื้นนั้นๆ ก็อาจสำเร็จอุคคหนิมิตและปฏิภาคนิมิตโดยง่าย ส่วนโยคาวจรที่พึงจะเจริญกสิณในชาติปัจจุบันนี้ เมื่อจะเจริญต้องทำดวงกสิณก่อน พึงหาหม้อมาเจาะให้เป็นช่องกลมประมาณคืบ 4 นิ้ว เอาประทีปตามไว้ข้างใน ปิดปากหม้อเสียให้ดี ผินช่องหม้อไปทางฝา แสงสว่างที่ออกทางช่องหม้อก็จะปรากฏเป็นวงกลมอยู่ที่ฝา พึงนั่งพิจารณาตามวิธีที่กล่าวไว้ในปฐวีกสิณ บริกรรมว่า อาโลโกๆ แสงสว่างๆ ดังนี้ร่ำไป จนกว่าจะได้สำเร็จอุคคหนิมิตและปฏิภาคนิมิต อุคคหนิมิตในอาโลกกสิณนี้ ปรากฏดุจวงกลมอันปรากฏที่ฝานั่นแล ส่วนปฏิภาคนิมิตปรากฏผ่องใสเป็นแท่งทึบ ดังดวงแห่งแสงสว่างฉะนั้น
    (10) วิธีเจริญอากาศกสิณ โยคาวจรกุลบุตรผู้ปรารถนาจะเจริญอากาศกสิณนี้ ถ้าเป็นผู้มีวาสนาบารมี เคยสั่งสมมาแล้วแต่ชาติก่อน เพียงแต่เพ่งดูช่องฝา ช่องดาน หรือช่องหน้าต่างเป็นต้น ก็อาจสำเร็จอุคคหนิมิต และปฏิภาคนิมิตโดยง่าย ถ้าไม่มีวาสนาบารมีในกสิณ ข้อนี้มาก่อนต้องทำดวงกสิณก่อน เมื่อจะทำดวงกสิณ พึงเจาะฝาเจาะแผ่นหนังหรือเสื่อลำแพนให้เป็นวงกว้างคืบ 4 นิ้ว ปฏิบัติการทั้งปวง โดยทำนองที่กล่าวไว้ในปฐวีกสิณบริกรรมว่า อากาโสๆ อากาศๆ ดังนี้ร่ำไปจนกว่าจะเกิดอุคคหนิมิต และปรากฏรูปวงกลมอากาศ แต่มีที่สุดฝาเป็นต้นเจือปนอยู่บ้าง ส่วนปฏิภาคนิมิต ปรากฏเป็นวงกลมอากาศเท่ากับวงกสิณเด่นอยู่ และสามารถแผ่ออกให้ใหญ่ได้ตามต้องการ

    (11) วิธีเจริญอุทธุมาตกะอสุภกรรมฐาน โยคาวจรกุลบุตร ผู้มีศรัทธาปรารถนาจะเจริญกรรมฐานนี้ พึงไปสู่ที่พิจารณาอุทธุมาตกะอสุภนิมิตอย่าไปใต้ลม พึงไปเหนือลม ถ้าทางข้างเหนือลมมีรั้วและหนามกั้นอยู่ หรือมีโคลนตมเป็นต้น ก็พึงเอาผ้าหรือมือปิดจมูกไป เมื่อไปถึงแล้วอย่าเพ่อและดูอสุภนิมิตก่อน พึงกำหนดทิศก่อน ยืนอยู่ในทิศใดเห็นซากอสุภะไม่ถนัด น้ำจิตไม่ควรแก่ภาวนากรรม พึงเว้นทิศนั้นเสีย อย่ายืนทิศนั้น พึงไปยืนในทิศที่เห็นซากอสุภะถนัด น้ำจิตก็ควรแก่กรรมฐาน อนึ่งอย่ายืนในที่ใต้ลม กลิ่นอสุภะจะเบียดเบียน อย่ายืนข้างเหนือลมหม่อมนุษย์ที่สิงอยู่ในซากอสุภะจะโกรธเคือง พึงหลีกเลี่ยงเสียสักหน่อย อนึ่งอย่าใกล้นักไกลนัก ยืนไกลนักวากอสุภะไม่ปรากฏแจ้ง ยืนใกล้นักจะไม่สบายเพราะกลิ่นอสุภะและปฏิกูลด้วยซากศพ ยืนชิดเท้านัก ชิดศีรษะนักจะไม่เห็นซากอสุภะหมดทั้งกาย พึงยืนในที่ท่ามกลางตัวอสุภะในที่ที่สบาย เมื่อยืนอยู่ดังนี้ ถ้าก้อนศิลาจอมปลวกต้นไม้ หรือกอหญ้าเป็นต้น ปรากฏแก่จักษุ จะเล็กใหญ่ ขาวดำ ยาวสั้น สูงต่ำอย่างใด ก็พึงกำหนดรู้อย่างนั้นๆ แล้วต่อไปพึงกำหนดอุทธุมาตกะอสุภะนี้ โดยอาการ 6 อย่าง คือ สี เภท สัณฐาน ทิศ ที่ตั้งอยู่ในปฐมวัย มัชฌิมวัย ปัจฉิมวัย กำหนดสัณฐานอสุภะนี้ เป็นร่างกายของคนดำ คนขาวเป็นต้น กำหนดเภทนั้น คือกำหนดว่าซากอสุภะนี้เป็นร่างกายของคนที่ตั้งอยู่ในปฐมวัย มัชฌิมวัย ปัจฉิมวัย กำหนดสัณฐานนั้นคือ กำหนดว่า นี่เป็นสัณฐานศีรษะ-ท้อง-สะเอว-เป็นต้น กำหนดทิศนั้นคือ กำหนดว่า ในซากอสุภะนี้มีทิศ 2 คือ ทิศเบื้องต่ำ-เบื้องบน ท่านกายตั้งแต่นาภีลงมาเป็นทิศเบื้องต่ำ ตั้งแต่นาภีขึ้นไปเป็นทิศเบื้องบนกำหนดที่ตั้งนั้น คือกำหนดว่ามืออยู่ข้างนี้ เท้าอยู่ข้างนี้ ศีรษะอยู่ข้างนี้ ท่ามกลางกายอยู่ที่นี้ กำหนดปริเฉทนั้นคือกำหนดว่า ซากอสุภะนี้มีกำหนดในเบื้องต่ำด้วยพื้นเท้า มีกำหนดในเบื้องบนคือปลายผม มีกำหนดในเบื้องขวางด้วยหนังเต็มไปด้วยเครื่องเน่า 31 ส่วน โยคาวจรพึงกำหนดพิจารณาอุทธุมาตกะ อสุภนิมิตนี้ ได้เฉพาะแต่ซากอสุภะ อันเป็นเพศเดียวกับตน คือถ้าเป็นชาย ก็พึงพิจารณาเพศชายอย่างเดียว
    เมื่อพิจารณาอุทธุมาตกอสุภะนั้น จะนั่งหรือยืนก็ได้ แล้วพึงพิจารณาให้เห็นอานิสงส์ในอสุภกรรมฐานพึงสำคัญประหนึ่งดวงแก้ว ตั้งไว้ซึ่งความเคารพรักใคร่ยิ่งนัก ผูกจิตไว้ในอารมณ์คืออสุภะนั้นไว้ให้มั่นด้วยคิดว่าอาตมาจะได้พ้นชาติ ชรา มรณทุกข์ด้วยวิธีปฏิบัติดังนี้แล้ว พึงลืมจักษุขึ้นแลดูอสุภะ ถือเอาเป็นนิมิต แล้วเจริญบริกรรมภาวนาไปว่า อุทธุมาตกํ ปฏิกูลํ ซากศพพองขึ้น เป็นของน่าเกลียดด้งนี้ร่ำไป ร้อยครั้ง พันครั้ง ลืมจักษุดูแล้วพึงหลับ-จักษุพิจารณา ทำอยู่ดังนี้เรื่อยไป จนเมื่อหลับจักษุดู ก็เห็นอสุภะเหมือนเมื่อลืมจักษุดูเมื่อใด ชื่อว่าได้อุคคหนิมิตในกาลเมื่อนั้น ครั้นได้อุคคหนิมิตแล้ว ถ้าไม่ละความเพียรพยายามก็จะได้ปฏิภาคนิมิต อุคคหนิมิตปรากฏเห็นเป็นของพึงเกลียดพึงกลัว และแปลกประหลาดยิ่งนัก ปกิภาคนิมิตปราฏกดุจบุรุษมีกายอันอ้วนพี กินอาหารอิ่มแล้วนอนอยู่ฉะนั้น เมื่อได้ปฏิภาคนิมิตแล้ว นิวรณธรรมทั้ง 5 มีกามฉันทะเป็นต้น ก็ปราศจากสันดานสำเร็จอุปจารฌาณ และอัปปนาฌาณ และความชำนาญแคล่วคล่องในฌาณโดยลำดับไปฯ
    (12) วิธีเจริญวินีลกอสุภกรรมฐาน วินีลกอสุภะนั้นคือซากศพกำลังพองเขียว วิธีปฏิบัติทั้งปวงเหมือนในอุทธุมาตกอสุภะ แปลกแต่คำบริกรรมว่า วินีลกํ ปฏิกูลํ อสุภะขึ้นพองเขียวน่าเกลียดดังนี้ อุคคหนิมิตในอสุภะนี้ปรากฏมีสีต่างๆ แปลกกัน ปฏิภาคนิมิตปรากฏเป็นสีแดง ขาว เขียว เจือกัน
    (13) วิธีเจริญวิบุพพกอสุภกรรมฐาน วิบุพพกอสุภะนี้ คือซากศพมีน้ำหนองไหล วิธีปฏิบัติเหมือนในอุทธุมาตกอสุภะทุกประการ แปลกแคำบริกรรมว่า วิปุพพกํ ปฏิกูลํ ซากศพมีน้ำหนองไหลน่าเกลียดดังนี้เท่านั้น อุคคหนิมิตในอสุภะนี้ปรากฏเหมือนมีน้ำหนอง น้ำเหลืองไหลอยู่มิขาด ส่วนปฏิภาคนิมิตนั้น ปรากฏเหมือนดั่งร่างอสุภะสงบนิ่งอยู่มิได้หวั่นไหว
    (14) วิธีเจริญวิฉิททกอสุภกรรมฐาน อสุภะนี้ ได้แก่ซากศพที่ถุกตัดออกเป็นท่อนๆ ทั้งอยู่ในที่มีสนามรบหรือป่าช้าเป็นต้น วิธีปฏิบัติทั้งปวงเหมือนในอุทธุมาตกอสุภะ แปลกแต่คำบริกรรมว่า วิฉิททกํ ปฏิกูลํ ซากศพขาดเป็นท่อนๆ น่าเกลียดดังนี้เท่านั้น อุคคหนิมิตปรากฏเป็นซากอสุภะขาดเป็นท่อนๆ ส่วนปฏิภาคนิมิตปรากฏเหมือนมีอวัยวะครบบริบูรณ์ มิเป็นช่องขาดเหมือนอย่างอุคคหนิมิต
    (15) วิธีเจริญวิขายิตกอสุภกรรมฐาน ให้โยคาวจรพิจารณาซากศพอันสัตว์ มีแร้ง กา และสุนัขเป็นต้น กัดกินแล้วอวัยวะขาดไปต่างๆ บริกรรมว่า วิขายิตกํ ปฏิกูลํ ซากศพที่สัตว์กัดกินอวัยวะต่างๆ เป็นของน่าเกลียด ดังนี้ร่ำไปกว่าจะได้สำเร็จอุคคหนิมิต และปฏิภาคนิมิต ก็อุคคหนิมิตในอสุภะนี้ ปรากฏเหมือนซากอสุภะ อันสัตว์กัดกินกลิ้งอยู่ในที่นั้นๆ ปฏิภาคนิมิตปรากฏบริบูรณ์สิ้นทั้งกาย จะปรากฏเหมือนที่สัตว์กัดกินนั้นมิได้
    (16) วิธีเจริญวิขิตตกอสุภกรรมฐาน ให้โยคาวจร พึงนำมาเองหรือให้ผู้อื่นนำมาซึ่งซากอสุภะที่ตกเรี่ยรายอยู่ในที่ต่างๆ แล้วมากองไว้ในที่เดียวกัน แล้วกำหนดพิจารณา บริกรรมว่า วิขิตตกํ ปฏิกูลํ ซากศพอันซัดไปในที่ต่างๆ เป็นของน่าเกลียดดังนี้ร่ำไป จนกว่าจะได้อุคคหนิมิตและปฏิภาคนิมิต อุคคหนิมิตในอสุภะนี้ ปรากฏเป็นช่องๆ เป็นระยะๆ เหมือนร่างอสุภะนั้นเอง ปฏิภาคนิมิตปรากกเหมือนกายบริบูรณ์จะมีช่องมีระยะหามิได้ฯ

    (17) วิธีเจริญหตวิขิตตอสุภกรรมฐาน ให้โยคาวจรพึงนำเอามาหรือให้ผู้อื่นนำเอามา ซึ่งซากอสุภะที่คนเป็นข้าศึก สับฟันกันเป็นท่อนท่อนใหญ่ทิ้งไว้ในที่ต่างๆ ลำดับเข้าให้ห่างกันประมาณนิ้วมือหนึ่ง แล้วกำหนดพิจารณาบริกรรมว่า หตวิขิตตกํ ปฏิกูลํ ซากศพขาดเป็นท่อนน้อยท่อนใหญ่ เป็นของน่าเกลียดดังนี้ร่ำไป กว่าจะได้อุคคหนิมิต และปฏิภาคนิมิต อุคคหนิมิตในอสุภะนี้ ปรากฏดุจรอยปากแผลอันบุคคลประหาร ปฏิภาคนิมิตปรากฏดังเต็มบริบูรณ์ทั้งกาย มิได้เป็นช่องเป็นระยะฯ
    (18) วิธีเจริญโลหิตกอสุภกรรมฐาน ให้โยคาวจรพิจารณาซากศพที่คนประหารสับฟันในอวัยวะ มีมือแล เท้าเป็นต้น มีโลหิตไหลออกอยู่และทิ้งไว้ในที่ทั้งหลายมีสนามรบเป็นต้น หรือพิจารณาอสุภะที่มีโลหิตไหลออกจากแผล มีแผลฝีเป็นต้นก็ได้ บริกรรมว่า โลหิตกํ ปฏิกูลํ อสุภะนี้โลหิตไหลเปรอะเปื้อนเป็นของน่าเกลียดดังนี้ร่ำไป กว่าจะได้อุคคหนิมิตและปฏิภาคนิมิต อุคคหนิมิตในอสุภะนี้ ปรากฏดุจจะผ้าแดงอันต้องลมแล้วแลไหวๆ อยู่ ปฏิภาคนิมิตปรากฏเป็นอันดีจะได้ไหวหามิได้

    (19) วิธีเจริญปุฬุวกอสุภกรรมฐาน ให้โยคาวจรพิจารณาซากศพของมนุษย์หรือสัตว์ มีสุนัขเป็นต้น ที่มีหนอนคลานคร่ำอยู่ บริกรรมว่า ปุฬุวกํ ปฏิกูลํ อสุภะที่หนอนคลานคร่ำอยู่ เป็นของน่าเกลียดดังนี้ร่ำไป กว่าจะได้อุคคหนิมิต แลปฏิภาคนิมิต อุคคหนิมิตในอสุภะนี้ ปรากฏมีอาการหวั่นไหว ดั่งหมู่หนอนอันสัญจรคลานอยู่ ปฏิภาคนิมิตปรากฏมีอาการอันสงบเป็นอันดีดุจกองข้าวสาลีอันขาวฉะนั้นฯ
    (20) วิธีเจริญอัฏฐิกอสุภกรรมฐาน ให้โยคาวจรพิจารณาซึ่งซากศพที่เหลือแต่กระดูกอย่างเดียว จะพิจารณาร่างกระดูกที่ติดกันอยู่ทั้งหมดยังไม่เคลื่อนหลุดไปจากกันเลยก็ได้ จะพิจารณาร่างกระดูกที่เคลื่อนหลุดไปจากกันแล้วโดยมากยังติดกันอยู่บ้างก็ได้ จะพิจารณาท่อนกระดูกอันเดียวก็ได้ ตามแต่จะเลือกพิจารณา แล้วพึงบริกรรมว่า อฏฐิกํ ปฏิกูลํ กระดูกเป็นของน่าเกลียดดังนี้ร่ำไป กว่าจะสำเร็จอุคคหนิมิตและปฏิภาคนิมิต ถ้าโยคาวจรพิจารณาแต่ท่อนกระดูกอันเดียว อุคคหนิมิตและปฏิภาคนิมิตปรากฏเป็นอย่างเดียวกัน ถ้าโยคาวจรพิจารณากระดูกที่ยังติดกันอยู่ทั้งสิ้น อุคคหนิมิตปรากฏปรากฏเป็นช่องๆ เป็นระยะๆ ปฏิภาคนิมิตปรากฏเป็นร่างกายอสุภะบริบูรณ์สิ้นทั้งนั้นฯ
    (21-30) วิธีเจริญอนุสสติ 10 ประการ คือ พุทธานุสสติ ระลึกถึงคุณพระพุทธเจ้า ธมมานุสสติ ระลึกถึงคุณพระธรรม สงฆานุสสติ ระลึกถึงคุณพระสงฆ์ สีลานุสสติ ระลึกถึงคุณศีล จาคานุสสติ ระลึกถึงคุณทาน เทวตานุสสติ ระลึกถึงคุณเทวดา อุปสมานุสสติ ระลึกถึงคุณพระนิพพาน มรณสสติ ระลึกถึงความตาย กายคตาสติ ระลึกไปในกายของตน อานาปานสติ ระลึกถึงลมหายใจเข้าออก
    ในอนุสสติ 10 ประการนี้ จะอธิบายพิสดารเฉพาะอานาปานสติดังต่อไปนี้
    โยคาวจรกุลบุตรผู้เจริญอานาปานสติกรรมฐานพึงเข้าไปอาศัยอยู่ในป่า หรือโคนไม้ หรืออยู่ในเรือนโรงศาลากุฏิวิหารอันว่างเปล่า เป็นที่เงียบสงัดแห่งใดแห่งหนึ่งอันสมควรแก่ภาวนานุโยคแล้ว พึงนั่งคู้บัลลังค์ขัดสมาธิเท้าขวาทับเท้าซ้าย มือขวาทับมือซ้าย ตั้งกายให้ตรงดำรงสติไว้ให้มั่น คอยกำหนดรู้ลมหายใจเข้าและลมหายใจออก อย่าให้ลืมหลง เมื่อหายใจเข้าก็พึงกำหนดรู้ว่าหายใจเข้า เมื่อหายใจออกก็พึงกำหนดรู้ว่าหายใจออก เมื่อหายใจเข้าออกยาวหรือสั้น ก็พึงกำหนดรู้ประจักษ์ชัดทุกๆ ครั้งไปอย่าลืมหลง อนึ่งท่านสอนให้กำหนดนับด้วย เมื่อลมหายใจเข้าและออกอันใดปรากฏแจ้ง ก็ให้นึกนับว่าหนึ่ง ๆ รอบที่สองนับว่าสองๆ ไปจนถึงห้าๆ เป็นปัญจกะ แล้วตั้งต้นหนึ่งๆ ไปใหม่ไปจนถึงหกๆ เป็นฉักกะ แล้วนับตั้งต้นใหม่ไปถึงเจ็ดๆ เป็นสัตตกะ แล้วนับตั้งต้นใหม่ไปจนถึงแปดๆ เป็นอัฏฐกะ แล้วนับตั้งแต่ต้นใหม่ไปจนถึงเก้าๆ เป็นนวกะ แล้วนับตั้งต้นใหม่ไปจนถึงสิบๆ เป็นทสกะแล้วกลับนับตั้งต้นใหม่ตั้งแต่ปัญจกะหมวด 5 ไปถึงทสกะหมวด 10 โดยนัยนี้เรื่อยไป เมื่อกำหนดนับลมที่เดินโดยคลองนาสิกด้วยประการดังนี้ ลมหายใจเข้าออกก็จะปรากฏแก่โยคาวจรกุลบุตรชัดและเร็วเข้าทุกที อย่าพึงเอาสติตามลมเข้าออกนั้นเลย พึงคอยกำหนดนับให้เร็วตามลมเข้าออกนั้นว่า 1. 2. 3. 4. 5. /1. 2. 3. 4. 5. 6. / 1. 2. 3. 4. 5. 6. 7. /1. 2. 3. 4. 5. 6. 7. 8. / 1. 2. 3. 4. 5. 6. 7. 8. 9. / 1. 2. 3. 4. 5. 6. 7. 8. 9. 10. / พึงนับตามลมหายใจเข้าออกดังนี้ร่ำไป จิตก็จะเป็นเอกัคคตาถึงซึ่งความเป็นหนึ่ง มีอารมณ์เดียวด้วยกำลังอันนับลมนั้นเทียว บางองค์ก็เจริญแต่มนสิการกรรมฐานนี้ด้วยสามารถถอนนับลมนั้น ลมอัสสาสะ-ปัสสาสะ ก็ดับไปโดยลำดับๆ กระวนกระวายก็ระงับลง จิตก็เบาขึ้น แล้วกายก็เบาขึ้นด้วยดุจถึงซึ่งอาการอันลอยไปในอากาศ เมื่อลมอัสสาสะ-ปัสสาสะหยาบดับลงแล้ว จิตของโยคาวจรนั้นก็มีแต่นิมิตคิลมอัสสาสะ-ปัสสาสะสุขุมละเอียดเป็นอารมณ์ เมื่อพยายามต่อไปลมสุขุมก็ดับลง เกิดลมสุขุมละเอียดยิ่งขึ้นประหนึ่งหายไปหมดโดยลำดับๆ ครั้นปรากฏเป็นเช่นนั้นอย่าพึงตกใจและลุกหนีไป เพราะจะทำให้กรรมฐานเสื่อมไป พึงทำความเข้าใจไว้ว่า ลมหายใจไม่มีแก่คนตาย คนดำน้ำ คนเข้าฌาณ คนอยู่ในครรภ์มารดาดังนี้แล พึงเตือนตนเองว่าบัดนี้เราก็มิได้ตายลมละเอียดเข้าต่างหาก แล้วพึงคอยกำหนดลมในที่ๆ มันเคยกระทบเช่นปลายจมูกไว้ ลมก็มาปรากฏดังเดิม เมื่อทำความกำหนดไปโดยนัยนี้ มิช้าอุคคหนิมิตและปฏิภาคนิมิตก็จะปรากฏโดยลำดับไป อุคคหนิมิตและปฏิภาคนิมิต ในอนาปานสติกรรมฐานนี้ย่อมปรากฏแก่โยคาวจรต่างๆ กัน บางองค์ปรากฏดังปุยนุ่นบ้างปุยสำลีบ้าง บางองค์ปรากฏเป็นวงช่องรัศมีบ้าง ดวงแก้วมณีแก้วมุกดาบ้างบางองค์ปรากฏมีสัมผัสหยาบ คือเป็นดังเมล็ดในฝ้ายบ้าง ดังเสี้ยนสะเก็ดไม้แก่นบ้าง บางองค์ปรากฏดังด้ายสายสังวาลย์บ้าง เปลวควันบ้าง บางองค์ปรากฏดังใยแมลงมุมอันขึงอยู่บ้าง แผ่นเมฆและดอกบัวหลวง และจักรรถบ้าง บางทีปรากฏดังดวงพระจันทร์พระอาทิตย์ก็มี การที่ปรากฏนิมิตต่างๆ กันนั้นเป็นด้วยปัญญาของโยคาวจรต่างกัน
    อนึ่งธรรม 3 ประการ คือ ลมเข้า 1 ลมออก 1 นิมิต1 จะได้เป็นอารมณ์ของจิตอันเดียวกันหามิได้ลมเข้าก็เป็นอารมณ์ของจิตอันหนึ่ง ลมออกก็เป็นอารมณ์ของจิตอันหนึ่ง นิมิตก็เป็นอารมณ์ของจิตอันหนึ่ง เมื่อรู้ธรรม 3 ประการนี้แจ้งชัดแล้วจึงจะสำเร็จอุปจารฌาณและอัปปนาฌาณ เมื่อไม่รู้ธรรม 3 ประการก็ย่อมไม่สำเร็จ อานาปานสติกรรมฐานนี้เป็นไปเพื่อตัดเสียซึ่งวิตกต่างๆ เป็นอย่างดีด้วยประการฉะนี้ฯ
    (31-40) ส่วนกรรมฐานอีก 6 ประการคือ อัปปมัญญาพรหมวิหาร 4 อาหาเรปฏิกูลสัญญา 1 จตุธาตุวัตถาน 1 จะไม่อธิบาย จะได้อธิบายแต่อรูปกรรมฐาน 4 ดังต่อไปนี้
    โยคาวจรกุลบุตรผู้เจริญอรูปกรรมฐานที่หนึ่งพึงกสิณทั้ง 9 มีปฐวีกสิณเป็นต้นอย่างใดอย่างหนึ่งเว้นอากาศกสิณเสีย เมื่อสำเร็จรูปาวจรฌาณอันเป็นที่สุดแล้วเจริญอรูปาวจรฌาณในอรูปกรรมฐานต่อไป พึงเพิกกสิณนั้นเสีย คืออย่ากำหนดนึกหมายเอากสิณนิมิตเป็นอารมณ์ พึงตั้งจิตเพ่งนึกพิจารณาอากาศที่ดวงกสิณเกาะหรือเพิกแล้วเหลืออยู่แต่อากาศ ที่ดวงกสิณเกาะหรือเพิกแล้วเหลืออยู่แต่อากาศเปล่าเป็นอารมณ์ พิจารณาไปๆ จนอากาศเปล่าเท่าวงกสิณปรากฏในมโนทวารในกาลใด ในกาลนั้นให้โยคาวจรพิจารณาอากาศอันเป็นอารมณ์ บริกรรมว่า อนนโต อากาโส อากาศไม่มีที่สิ้นสุดดังนี้ร่ำไป เมื่อบริกรรมนึกอยู่ดังนี้เนืองๆ จิตก็สงบระงับตั้งมั่นเป็นอุปจารสมาธิไปจนถึงอัปปนาสมาธิโดยลำดับ สำเร็จเป็นอรูปฌาณที่ 1 ชื่อว่า อากาสานัญจายตนฌาณ เมื่อจะเจริญอรูปกรรมฐานที่ 2 ต่อไป พึงละอากาศนิมิตที่เป็นอารมณ์ของอรูปฌาณที่แรกนั้นเสีย พึงกำหนดจิตที่ยึดหน่วงเอาอากาศเป็นอารมณ์นั้นมาเป็นอารมณ์ต่อไป บริกรรมว่า อนนตํ วิญญาณํ วิญญาณไม่มีที่สุดดังนี้ร่ำไปจนกว่าจะได้สำเร็จอรูปฌาณที่ 2 ชื่อว่า วิญญาณัญจายตนฌาณ
    เมื่อจะเจริญอรูปฌาณที่ 3 ต่อไป พึงละอรูปวิญญาณทีแรกที่เป็นอารมณ์ของอรูปฌาณที่ 2 นั้นเสีย มายึดหน่วงเอาความที่ไม่มีของอรูปฌาณทีแรก คือกำหนดว่าอรูปวิญญาณแรกนี้ไม่มีในที่ใด ดังนี้เป็นอารมณ์แล้วบริกรรมว่า นตถิกิญจิๆ อรูปวิญญาณทีแรกนี้มิได้มีมิได้เหลือติดอยู่ในอากาศดังนี้ เนืองๆ ไปก็ะได้สำเร็จอรูปฌาณที่ 3 ชื่อว่า อากิญจัญญายตนฌาณ
    เมื่อจะเจริญอรูปกรรมฐานที่ 4 ต่อไป พึงปล่อยวางอารมณ์ของอรูปฌาณที่ 3 คือ ที่สำคัญมั่นว่าอรูปฌาณทีแรกไม่มีดังนี้เสีย พึงกำหนดเอาแต่ความละเอียดปราณีตของอรูปฌาณที่ 3 เป็นอารมณ์ทำบริกรรมว่า สนตเมตํ ปณีตเมตํ อรูปฌาณที่ 3 นี้ละเอียดนักประณีตนัก จะว่ามีสัญญาก็ไม่ใช่ ไม่มีสัญญาก็ไม่ใช่ ดังนี้เนืองๆ ไป ก็จะได้สำเร็จอรูปฌาณที่ 4 ชื่อว่า เนวสัญญานาสัญญายตนฌาณ
    จะอธิบายฌาณและสมาบัติต่อไป ฌาณนั้นว่าโดยประเภทเป็น 2 อย่างคือ รูปฌาณและอรูปฌาณอย่างละ 4 ฌาน เป็นฌาณ 8 ประการ ฌาณทั้ง 8 นี้ เป็นเหตุให้เกิดสมาบัติ 8 ประการ บางแห่งท่านก็กล่าวว่า ผลสมาบัติ ต่อได้ฌาณมีวสี ชำนาญดีแล้ว จึงทำให้สมาบัติบริบูรณ์ขึ้นด้วยดีได้ เพราะเหตุนี้สมาบัติจึงเป็นผลของฌาณ ก็สมาบัติ 8 ประการนี้ ในภายนอกพระพุทธศาสนาก็มี แต่ไม่เป็นไปเพื่อดับกิเลส ทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน ได้แต่เป็นไปเพื่อทิฏฐธรรมสุขวิหารและเป็นไปเพื่อเกิดในพรหมโลกเท่านั้น เหมือนสมาบัติของอาฬารดาบส และอุทุกดาบสฉนั้น ส่วนสมาบัติพระพุทธศาสนานี้ ย่อมเป็นไปเพื่อรำงับดับกิเลส ทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพานได้ ว่าโดยประเภทเป็น 2 อย่าง คือ ผลสมาบัติและนิโรธสมาบัติ ผลสมาบัตินั้นย่อมสาธารณะทั่วไปแก่พระอริยเจ้าสองจำพวกคือ พระอนาคามีกับพระอรหันต์ที่ได้สมาบัติ 8 เท่านั้น
    อนึ่งฌาณและสมาบัตินี้ ถ้าว่าโดยอรรถก็เป็นอันเดียวกัน ต่างกันแต่พยัญชนะเท่านั้น เพราะฌาณนั้นเป็นที่ถึงด้วยดีของฌานลาภีบุคคล จริงอยู่ในอรรถกถาท่านกล่าวไว้ว่า ฌานลาภีบุคคล ถึงด้วยดีซึ่งสมาบัติ คือฌาณเป็นที่ถึงด้วยดี มีปฐมฌาณเป็นต้นดังนี้ อนึ่ง ในพระบาลีแสดง อนุบุพพวิหารสมาบัติ 9 ไว้ คือปฐม ทุติย ตติย จตุตถฌาณ อากาสานัญจายตน วิญญาณัญจายตนะ อากิญจัญญายตนะ เนวสัญญานาสัญญายตนฌาณ และสัญญาเวทยิตนิโรธ เป็นสมาบัติที่อยู่ตามลำของฌาณลาภีบุคคลดังนี้ อนึ่งท่านแสดง อนุบุพพนิโรธสมบัติ 9 ไว้ว่า ฌาณลาภีบุคคลเมื่อถึงด้วยปฐมฌาณ วิตก วิจารณ์ดับไป เมื่อถึงด้วยดีซึ่งตติยฌาณ ปิติดับไป เมื่อถึงด้วยดี ซึ่งจตุตถฌาณ ลมอัสสาสะปัสสาสะดับไป เมื่อถึงด้วยดีซึ่งอากาสานัญจายตนฌาณ รูปสัญญาดับไปเมื่อถึงด้วยดีซึ่งวิญญาณัญจายตนฌาณ สัญญาในอากาสานัญจายตนฌาณดับไป เมื่อถึงด้วยดีซึ่งอากิญจัญญายตนฌาณ สัญญาในวิญญานัญจายตนฌาณดับไป เมื่อถึงด้วยดีซึ่งเนวสัญญานาสัญญยตนฌาณสัญญาในอากิญจัญญายตนฌาณดับไป เมื่อถึงด้วยดีซึ่งสัญญาเวทยิตนิโรธ สัญญาและเวทนาดับไป ธรรม9 อย่างนี้ชื่อ อนุบุพพนิโรธสมาบัติ สมาบัติเป็นที่ดับหมดแห่งธรรมอันเป็นปัจจนึกแก่ตนตามลำดับฉะนี้ คำในอรรถกถาและบาลีทั้ง 2 นี้ส่องความให้ชัดว่า ฌาณและสมาบัติ สมาบัติเป็นผล วิเศษแปลกกันแต่เท่านี้
    บุคคลใดปฏิบัติชอบแล้ว บุคคลนั้นย่อมพิจารณาความเป็นไปแห่งสังขารทั้งหลาย ย่อมเห็นความเกิด ความแก่ ความเจ็บไข้ และความตายในสังขารทั้งหลายเหล่านั้น ย่อมไม่เห็นความสุข ความยินดีน้อยหนึ่งในสังขารทั้งหลายเหล่านั้น ไม่เห็นซึ่งอะไรๆ ในเบื้องต้น ท่ามกลาง หรือที่สุดในสังขารทั้งหลายเหล่านั้นซึ่งจะเข้าถึงความเป็นของไม่ควรถือเอา อุปมาเหมือนบุรุษไม่เห็นซึ่งที่แห่งใดแห่งหนึ่ง ในเบื้องต้น ท่ามกลาง หรือที่สุด ในก้อนเหล็กแดงอันร้อนอยู่ตลอดวัน ที่เข้าถึงความเป็นของควรจับถือสักแห่งเดียวฉันใด บุคคลพิจารณาเห็นความเกิด ความแก่ ความเจ็บไข้ และความตายในสังขารทั้งหลายนั้น ย่อมไม่เห็นความสุข ความยินดีในสังขารเหลานั้นแม้น้อยหนึ่งฉันนั้น เมื่อบุคคลพิจารณาเห็นว่าเป็นของร้อนพร้อม ร้อนมาแต่ต้นตลอดโดยรวบ มีทุกข์มากมีคับแค้นมาก ถ้าใครมาเห็นได้ซึ่งความไม่เป็นไปแห่งสังขารทั้งหลายไซร้ ธรรมชาตินี้คือธรรมชาติเป็นที่ระงับแห่งสังขารทั้งปวง ธรรมชาติเป็นที่สลัดคืนแห่งอุปธิทั้งปวง ธรรมชาติเป็นที่สิ้นแห่งตัณหา ธรรมชาติเป็นที่ปราศจากเครื่องย้อม ธรรมชาติเป็นที่ระงับความกระหาย ธรรมชาติเป็นที่ดับทุกข์ ธรรมชาตินั้นเป็นที่สงบ เป็นของปราณีตดังนี้ ฐานที่ตั้งแห่งธรรมอันอุดมนี้คือ ศีล บุคคลตั้งมั่นในศีลแล้ว เมื่อกระทำในใจโดยชอบแล้ว จะอยู่ในที่ใดๆ ก็ตามปฏิบัติชอบแล้ว ย่อมทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพานด้วยประการฉะนี้
    เมื่อโยคาวจรตั้งธรรม 6 กอง มีขันธ์ 5 เป็นต้น มีปฏิจจสมุปบาทเป็นที่สุดได้เป็นพื้น คือพิจารณาให้รู้จักลักษณะแห่งธรรม 6 กอง ยึดหน่วงเอาธรรม 6 กองไว้เป็นอารมณ์ได้แล้ว ลำดับนั้นจึงเอาศีลวิสุทธิและจิตตวิสุทธิมาเป็นรากฐาน ศีลวิสิทธินั้นได้แก่ปาฏิโมกขสังวรศีล จิตตวิสุทธินั้นได้แก่อัฏฐสมาบัติ 8 ประการ เมื่อตั้งศีลวิสุทธิ และจิตตวิสุทธิเป็นรากฐานแล้ว ลำดับนั้นโยคาวจรพึงเจริญวิสุทธิทั้ง 5 สืบต่อไปโดยลำดับๆ เอาทิฏฐิวิสุทธิและกังขาวิตรณวิสุทธิเป็นเท้าซ้ายเท้าขวา เอามัคคามัคคญาณทัสสนวิสุทธิ และปฏิปทาญาณทัสสนวิสุทธิเป็นมือซ้ายมือขวา เอาญาณทัสสนวิสุทธิเป็นศีรษะเถิด จึงจะอาจสามารถยกตนออกจากวัฏฏสงสารได้
    ทิฏฐิวิสุทธินั่นคือปัญญาอันพิจารณาซึ่งนามและรูปโดยสามัญลักษณะ มีสภาวะเป็นปริณามธรรมมิได้เที่ยงแท้ มีปกติแปรผันเป็นต้น เป็นปัญญาเครื่องชำระตนให้บริสุทธิ์จากความเห็นผิดต่างๆ โยคาวจรเจ้าผู้ปรารถนาจะยังทิฏฐิวิสุทธิให้บริบูรณ์ พึงเข้าสู่ฌาณสมาบัติตามจิตประสงค์ ยกเว้นเสียแต่เนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติ เพราะละเอียดเกินไป ปัญญาของโยคาวจรจะพิจารณาได้โดยยาก พึงเข้าแต่เพียงรูปฌาณ 4 อรูปฌาณ 3 ประการนั้นเถิด เมื่ออกจากฌาณสมาบัติอันใดอันหนึ่งแล้ว พึงพิจารณาองค์ฌาณ มีวิตกวิจารณ์เป็นต้น แล้วเจตสิกธรรมอันสัมปยุตต์ด้วยองค์ฌาณนั้นให้แจ้งชัดโดยลักษณะ กิจ ปัจจุปัฏฐานและอาสันนการณ์ แล้วพึงกำหนดกฏหมายว่า องค์ฌาณและธรรมอันสัมปยุตต์ด้วยองค์ฌาณนี้ล้วนแต่เป็นนามธรรม เพราะเป็นสิ่งที่น้อมไปสู่อารมณ์สิ้นด้วยกัน แล้วพึงกำหนดพิจารณาที่อยู่ของนามธรรม จนเห็นแจ้งว่า หทัยวัตถุ เป็นที่อยู่แห่งนามธรรม อุปมาเหมือนบุรุษเห็นอสรพิษภายในเรือน เมื่อติดตามสกัดดูก็รู้ว่าอสรพิษอยู่ที่นี่ๆ ฉันใด โยคาวจรผู้แสวงหาที่อยู่แห่งนามธรรมฉันนั้น ครั้นแล้วพึงพิจารณารูปธรรมสืบต่อไป จนเห็นแจ้งว่า หทัยวัตถุนั้นอาศัยซึ่งภูตรูปทั้ง 4 คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ แม้อุปาทานรูปอื่นๆ ก็อาศัยภูตรูปสิ้นด้วยกัน รูปธรรมนี้ย่อมเป็นสิ่งฉิบหายด้วยอันตรายต่างๆ มีหนาวร้อนเป็นต้น เมื่อโยคาวจรมาพิจารณารู้แจ้งซึ่งนามและรูปฉะนี้แล้ว พึงพิจารณาธาตุทั้ง 4 คือ ดิน น้ำ ไฟ ลม ให้เห็นแจ้งด้วยปัญญาโดยสังเขปหรือพิสดารก็ได้ ตามแต่ปัญญาของโยคาวจรจะพึงหยั่งรู้หยั่งเห็น ครั้นพิจารณาธาตุแจ่มแจ้งแล้ว พึงพิจารณาอาการ 32 ในร่างกาย มีเกสา โลมา เป็นต้น จนถึงมัตถลุงคังเป็นที่สุด ให้เห็นชัดด้วยปัญญา โดย วณโณ สี คนโธ กลิ่น รโส รส โอช ความซึมซาบ สณฐาโน สัณฐาน สั้นยาวใหญ่น้อย แล้วพึงประมวลรูปธรรมทั้งปวงมาพิจารณาในทีเดียวกันว่า รูปธรรมทั้งปวงล้วนมีลักษณะฉิบหายเหมือนกัน จะมั่น จะคง จะเที่ยง จะแท้ สักสิ่งหนึ่งก็มิได้มี เมื่อโยคาวจรเจ้าพิจารณาเห็นกองรูปดังนี้แล้ว อรูปธรรมทั้ง 2 คือจิต เจตสิก ก็ปรากฏแจ้งแก่พระโยคาวจรด้วยอำนาจทวาร คือ จักษุ โสตะ ฆานะ ชิวหา กาย ใจ เพราะว่าจิตและเจตสิกนี้มีทวารทั้ง 6 เป็นที่อาศัย เมื่อพิจารณาทวารทั้ง 6 แจ้งประจักษ์แล้ว ก็รู้จักจิตและเจตสิกอันอาศัยทวารทั้ง 6 นั้นแน่แท้ จิตที่อาศัยทวารทั้ง 6 นั้นจัดเป็นโลกีย์ 81 คือทวิปัญจวิญญาณ 10 มโนธาตุ 3 มโนวิญญาณธาตุ 68 และเจตสิกที่เกิดพร้อมกับโลกียจิต 81 คือผัสโส เวทนา สัญญา เจตนา เอกัคคตา ชีวิต อินทรีย์ มนสิการ ทั้ง 7 นี้เป็นเจตสิกที่สาธารณะทั่วไปในจิตทั้งปวง การกล่าวดังนี้มิได้แปลกกันเพราะจิตทั้งปวงนั้น ถ้ามีเจตสิกอันทั่วไปแก่จิตทั้งปวงเกิดพร้อมย่อมมีเพียง 7 ประการเท่านี้
    เมื่อโยคาวจรบุคคลมาพิจารณา นามและรูปอันกล่าวโดยสรุปคือ ขันธ์ 5 แจ้งชัดด้วยปัญญาญาณตามความเป็นจริงแล้ว ย่อมถอนความเห็นผิด และตัดความสงสัยในธรรมเสียได้ ย่อมรู้จักทางผิดหรือถูกความดำเนินและไม่ควรดำเนิน แจ่มแจ้งแก่ใจย่อมสามารถถอนอาลัยในโลกทั้งสามเสียได้ ไม่ใยดีติดอยู่ในโลกไหนๆ จิตใจของโยคาวจรย่อมหลุดพ้นจากอาสวกิเลส เป็นสมุจเฉทประหารได้โดยแน่นอนด้วยประการฉะนี้แล



    24 วินัยกรรม

    1.อุโบสถกรรม เป็นวินัยกรรมอย่างหนึ่งที่ทรงบัญญัติให้ภิกษุทำทุกกึ่งเดือน จะละเว้นมิได้ โดยประสงค์ให้ชำระตนให้บริสุทธิ์ไม่ให้มีอาบัติโทษติดตัวประการหนึ่ง เพื่อให้รู้จักพระวินัยส่วนสำคัญที่ทรงบัญญัติไว้ จะได้ประพฤติตนถูกต้องดีประการหนึ่ง และอีกประการหนึ่ง เพื่อความสามัคคีแห่งสงฆ์ ทรงกำหนดองค์แห่งความพร้อมพรั่งของอุโบสถไว้ 4 ประการ คือ ดิถีที่ 14-15 หรือวันสามัคคีวันใดวันหนึ่งเป็นองค์ที่ 1 ภิกษุครบจำนวนควรทำสังฆอุโบสถ หรือคระอุโบสถได้ นั่งชุมนุมไม่ละหัตถบาสกันในสีมาเดียวกันเป็นองค์ที่ 2 อาบัติที่เป็นสภาค คือ มีวัตถุเสมอกัน ไม่มีแก่สงฆ์เป็นองค์ที่ 3 และวัชชนียบุคคล 21 ไม่มีหัตถบาสเป็นองค์ที่ 4 อุโบสถพร้อมพรั่งด้วยองค์ 4 ประการนี้ จึงควรทำอุโบสถกรรม ควรกล่าวว่า ปตตกลบ ได้ฯ ในบรรดาวัชชนียบุคคล 21 นั้น เมื่อคนอันสงฆ์ยกวัตร์ 3 จำพวกอยู่ในหัตถบาส สงฆ์ทำอุโบสถต้องอาบัติปาจิตตีย์ คนนอกนั้นอยู่ในหัตถบาส สงฆ์ทำอุโบสถต้องทุกกฏฯ
    ก่อนจะทำอุโบสถ พึงทำบุพพกิจบุพพกรณ์ก่อน ถ้าภิกษุหนุ่มไม่เป็นไข้ให้ภิกษุหนุ่มทำ หรือมีสามเณรหรือคนวัด ก็ให้สามเณรหรือคนวัดทำก็ได้
    ภิกษุใดรู้อุโบสถ 9 อุโบสถกรรม 4 ปาฏิโมกข์ 2 ปาฏิโมกขุเทศ 9 หรือ 5 ภิกษุนั้นชื่อว่า ผู้ฉลาด ควรสวดปาฏิโมกข์ได้.
    ภิกษุอยู่องค์เดียว พึงทำบุพพกิจบุพพกรณ์ไว้รอภิกษุอื่นจนหมดเวลา เห็นไม่มาแล้วพึงอธิษฐานว่า อชช เม อุโปสโถ ปณณรโส ถ้าเป็นวัน 14 ค่ำก็เปลี่ยน ปณณรโส เป็น จาตุททโส
    ภิกษุอยู่ 2 รูป พึงทำกิจทั้งปวงไว้รอภิกษุอื่นอีก เมื่อหมดเวลาแล้วไม่มีภิกษุอื่นมา พึงแสดงอาบัติแล้วบอกบริสุทธิ์แก่กันและกันว่า ปริสุทโธ อหั อาวุโส ปริสุทโธติ มํ ธาเรหิ ผู้อ่อนพรรษากว่าพึงว่า ปริสุทโธ อหํ ภนเต ปริสุทโธติ นั ธาเรถ.
    ภิกษุอยู่ด้วยกัน 3 รูป พึงทำบุพพกิจบุพพกรณ์ไว้รอภิกษุอื่น เห็นว่าไม่มีมาแน่แล้ว พึงประชุมกัน ภิกษุผู้ฉลาดรูปหนึ่งพึงตั้งคณะญัติว่า สุณนตุ เม ภนเต อายส มนตา อชชุโปสโถ ปณณรโส ยทายสมนตานํ ปตตกลลํ มยํ อญญํมญญํ ปาริสุทธิ อุโปสถํ กเรยยาม แล้วพึงบอกบริสุทธิ์ซึ่งกันและกัน คำบอกบริสุทธิ์เหมือนกล่าวแล้วข้างบนนั้นพึงใช้เฉพาะบทหลัง เปลี่ยนแต่คำ ภนเต เป็น อาวุโส ตามสมควรแก่ความเป็นผู้แก่อ่อนเท่านั้น
    ภิกษุตั้งแต่ 4 รูปขึ้นไป พึงสวดปาฏิโมกข์ เมื่อไม่มีอันตรายพึงสวดจนจบ ถ้ามีอันตรายอย่างใดอย่างหนึ่ง พึงสวดย่อได้ อุเทศที่ยังไม่ได้สวด พึงประกาศด้วยสุตบท.
    อัตรายแห่งอุโบสถอันเป็นเหตุให้สวดปาฏิโมกข์ย่อได้ มี 10 อย่างคือ 1. ราชนตราโย พระราชาเสด็จมา 2. โจรนตราโย โจรมาปล้น 3.อคคยนตราโย ไฟไหม้ 4. อุทกนตราโย น้ำท่วม 5. มนุส สนตราโย มนุษย์มามาก 6. อมนุสสนตราโย ผีเข้าภิกษุ 7. พาลนตราโย สัตว์ร้ายมา 8. สิรึสปนตราโย งูเลื้อยมาในที่ชุมนุม 9. ชีวิตนตราโย อันตรายแห่งชีวิต 10. พหมจรยนตราโย อันตรายแห่งพรหมจรรย์ เมื่ออันตราย10 อย่าง อย่างใดอย่างหนึ่งมีนา ถึงสวดปาฏิโมกข์ย่อตั้งแต่อุเทศที่ 2 เป็นต้นไป อันตรายมีมาใสเวลากำลังสวดอุเทศใดค้างอยู่พึงประกาศด้วยสุตบท แต่อุเทศนั้นไป นิททานุเทศสวด ยังไม่จบอย่าพึงประกาศด้วยสุตบท ไม่มีอันตรายพึงสวดโดยพิสดารจนจบ
    อุทเทศแห่งปาฏิโมกข์ 9 คือ นิทานุเทศ 1 ปาราชิกุทเทศ 1 สังฆาทิเสสสุทเทศ 1 อนิยตุทเทศ 1 นิสสัคคียุทเทศ 1 ปาจิจจิยุทเทศ 1 ปาฏิเทศนียุทเทศ 1 เสขิยุทเทศ 1 สมถุทเทศ 1 ปาฏิโมกขุทเทศ 5 นั้นรวมตั้งแต่ อนิยต ถึงเสขิยวัตร เข้ากันเรียกว่า วิตถาการุทเทศ จึงมีอุเทศเพียง 5 ประการ อุดทศนี้สำกรับกำหนดในการสวดย่อในเมื่อมีอันตราย ที่นิยมใช้กันอยู่กำหนดด้วยอุเทศ 9 ประการ สะดวกในการใช้ประกาศด้วยสุตบท.
    สุตบทนั้น คือ ประกาศว่า อุเทศนอกจากที่ สุตา ดข อายสมนเตหิ จตตาดร ปาราชิกา ธมมา ฯลฯ สุตา โข อายสมนเตหิ สตตาธิกรณสมถา ธมมา เอตุตกนตสส ภควโต สุตตาคตํ สุตตปริยาปนนํ อนวฑฒมาสํ อุทเทสํ อาคจฉติ ตตถ สพเพเหว สมคเคหิ สมโมทนาเนหิ สิกขิตพพํ.
    2.ปวารณากรรม เป็นวินัยกรรมอย่างหนึ่ง ทรงบัญญัติให้ทำในวันสิ้นสุดแห่งการจำพรรษา ด้วยจุดประสงค์คล้ายอุโบสถกรรม และทรงอนุญาตให้ทำแทนอุโบสถในวันนั้นด้วยบุพพกิจ บุพพกรณ์ลักษณะ 4 และวันประชุมทำปวารณากรรม ก็เหมือนอุโบสถกรรมทุกประการ.
    ภิกษุหนึ่งรูปพึงอธิษฐานว่า อชช เม ปาวรณาปณณรสี อธิฏฐามิ ภิกษุ 2 รูป พึงปวารณากันและกันทีเดียว ไม่ต้องตั้งญัตติ ภิกษุ 3-4 รูป พึงตั้งคณะญัตติว่า สุณนตุ เม ภนเต อายสมนโต อชชปวารณา ปณณรสี ยทา ยสมนตานํ ปตตกลลํ มยํ อญญมญญํ ปวาเรยยาม แล้วพึงปวารณากันและกัน ถ้ามีภิกษุตั้งแต่ 5 รูปขึ้นไป พึงทำสังฆปวารณา ตั้งญัตติว่า สุณาตุ เม ภนเต สงโฆ อชช ปวารณา ปณณรสี ยทิ สงฆสส ปตตกลลํ สงโฆ ปวารยย แล้วพึงปวารณาตนต่อสงฆ์ที่ละรูปตามลำดับพรรษา ถ้าระบุประการให้เปลี่ยนตอนท้ายเป็นดังนี้ ถ้าปวารณา 3 หน พึงว่า เตวาจิกํ ปวาเรยย ถ้าปวารณา 2 หน พึงว่า เทววสจิกํ ปวาเรยย ถ้าปวารณาหนเดียว พึงว่า สมานวสสิกํ ปวาเรยย
    คำปวารณาต่อสงฆ์ว่า สงฆม ภนเต ปวาเรมิ ทิฏเฐน วา สุเตน วา ปริสงกาย วา วทนตุ มํ อายสมน โต อนุกมปํ อุปาทาย ปสสนโต ปฏิกกริสสามิ ภิกษุอ่อนกว่าพึงเปลี่ยน อาวุโส เป็น ภนเต
    คำปวารณาตนต่อคณะว่า อหํ อาวุโส อายสมนเต ปวารามิ ฯลฯ วทนตุ มํ อายสมนโต อนุกมปํ อุปาทาย ปสสนโต ปฏิกกริสสามิ ภิกษุผู้อ่อนกว่าพึงเปลี่ยน อาวุโส เป็น ภนเต ถ้า 2 รูปจึงเปลี่ยน อายสมนเต เป็น อายสมนตํ เปลี่ยน อายสมนโต เป็น อายสมา
    3. จีวรกรรม ไตรจีวร คือผ้าสังฆาฏิ 1 ผ้าอุตตราสงฆ์ 1 ผ้าอันตรวาสก 1 ต้องตัดเย็บทำให้ถูกตามลักษณะให้ได้ประมาณ และย้อมสีให้ได้สี ทำพินทุกัปปะ แล้วจึงอธิษฐาน จะไม่ตัดไม่ควร เพราะทรงห้ามไว้ว่า อย่าทรงผ้าที่ไม่ได้ตัด ภิกษุใดทรง ภิกษุนั้นต้องอาบัติทุกกฏ.
    วิธีตัดผ้านั้น ทรงวางแบบไว้ในคัมภีร์ขันธกะ จะแสดงแบบจีวร 5 ขัณฑ์ เป็นตัวอย่าง ขัณฑ์หนึ่งๆ แบ่งออกเป็น 2 ท่อนๆ ยาวเรียกว่า มณฑล ท่อนสั้นเรียกว่าอัฑฒมณฑล แผ่นผ้าเล็กยาวตามมณฑล ขัณฑ์กลางเรียกว่า วิวัฏฏะ แผ่นผ้าเล็กสั้นตามอัฑฒมณฑล ขัณฑ์กลางเรียกว่า อนุวิวัฏฏะ แผ่นเล็กในระหว่างมณฑลกับอัฑฒมณฑลเรียกว่า อัฑฒกุสิ แผ่นเล็กยามตามมณฑลเรียก กุสิ อัฑฒมณฑลที่ถูกคอในเวลาห่มเรียกว่า คเวยยกะ อัฑฒมณฑลที่ถูกแข้งในเวลาห่มเรียกว่า ชังเฆยยกะ อัฑฒมณฑลที่ถูกมือในเวลาห่มเรียกว่า พาหันตะ แผ่นผ้าทาบริมโดยรอบเรียกว่า อนุวาต ทรงอนุญาตให้มีลูกดุม รังดุมติดที่มุมชายล่างกันผ้าเลิกและที่ผูกคอกันผ้าหลุด.
    ประมาณกว้างยาวตามขนาดของผู้ใช้ แต่ต้องไม่เท่าหรือเกินสุคตจีวร สุคตจีวรนั้นกว้าง 6 คืบ ยาว 9 คืบ โดยคืบพระสุคต ถ้าตัดผ้าขัณฑ์ 5 ขัณฑ์ หนึ่งๆ กว้าง 24 นิ้ว ขัณฑ์ 7 ขัณฑ์ละ 17 นิ้ว 1 กระเบียด ขัณฑ์ 9 ขัณฑ์ละ13 นิ้ว 2 กระเบียด ขัณฑ์11 ขัณฑ์ละ11นิ้ว อนุวาต6 นิ้ว เมื่อประกอบกันเข้าแล้ว เป็นจีวรกว้าง 3 ศอก 1 คืบ ยาว 5 ศอก 2 กระเบียด โดยวัฑฒกีประมาณคือ นิ้ว คืบ ศอก ช่างไม้ เป็นประมาณที่พอดี พึงตัดจีวรตามแบบนี้.
    สุคตประมาณนั้นคือ 5 กระเบียดครึ่ง เป็น 1 นิ้วพระสุคต 12 นิ้วเป็น 1 คืบ 2 คืบ เป็น 1 ศอก เมื่อเทียบกับวัฑฒกีประมาณเป็นดังนี้ 16 นิ้ว 1 กระเบียด ช่างไม้เป็น 1 คืบพระสุคต จีวรที่ตัดตามแบบข้างบนนี้จึงเล็กกว่าสุคตจีวร
    ในผ้า 3 ผืนนี้ ทรงอนุญาตให้ทำผ้าสังฆาฏิ 2 ชั้น อุตตราสงค์ 1 ชั้น อันตรวาสก 1 ชั้น สำหรับผู้ใหม่ ถ้าเป็นผ้าเก่า ทรงอนุญาต ผ้าสังฆาฏิ 3 ชั้น 4 ชั้น ผ้าอุตตราสงค์ 2 ชั้น ผ้าอันตรวาสก 2 ชั้น ถ้าเป็นผ้าบังสกุลทรงอนุญาตให้ทำได้ตามต้องการ จะกี่ชั้นก็ได้ แล้วแต่จะพึงอุตสาหะ
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...