ประวัติ แม่ชี ณัฐทิพย์ ตนุพันธ์ พอสังเขป

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย hongsanart, 15 สิงหาคม 2006.

  1. hongsanart

    hongsanart เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    1,332
    ค่าพลัง:
    +10,468
    ขอเล่าประวัติท่านพอสังเขปนะคะ ท่านเป็นชาวกรุงเก่าค่ะ

    เมื่อประมาณ 9 ปีที่แล้วได้บวชชีเป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่สุภา กนฺตสีโล ที่จังหวัดภูเก็ต
    และได้ย้ายมาจำพรรษาที่วัดอุทัยธรรมาราม ที่ ต.นาโหนด อ.เมือง จ.พัทลุง เมื่อ 4 ปีที่แล้ว

    โดยได้มีลูกศิษย์ กัลยาณมิตร ร่วมกันสร้างกุฏิ,ศาลาปฏิบัติธรรม อยู่บนเขา ต้องเดินขึ้นบันไดประมาณ 216 ขั้นจากบริเวณวัด มีน้ำ ไฟฟ้า เรียบร้อยแล้ว

    ปัจจุบันมีการสอนอบรมพัฒนาจิตให้กับเด็กนักเรียน กลุ่มนักปฏิบัติธรรมที่สนใจจากจังหวัดใกล้เคียง สำหรับนักเรียนจะเน้นเรื่องความกตัญญู บาปบุญคุณโทษที่เด็กกระทำต่อบิดามารดา ครูอาจารย์ ว่ามีผลอย่างไร เน้นเรื่องปัจจุบัน ไม่สอนให้งมงาย

    ถ้าถามเรื่องของหาย ก็คงต้องไปแจ้งความที่สถานีตำรวจนะคะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 กันยายน 2006
  2. hongsanart

    hongsanart เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    1,332
    ค่าพลัง:
    +10,468
    ท่านที่สนใจและมีคำถาม ฝากข้อความที่ "แม่ชีณัฐทิพย์" ได้เลยค่ะ
    หรือถ้าเปิดเผยได้ก็ถามมาในกระทู้ได้เลย จะได้เป็นวิทยาทานแก่ผู้ที่เข้ามาอ่านด้วย
    สำหรับแผ่นซีดี ถ้าสนใจก็ขอมาได้เลยนะคะ ยินดีจัดส่งให้ค่ะ
     
  3. hongsanart

    hongsanart เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    1,332
    ค่าพลัง:
    +10,468
    รูปท่านอาจารย์แม่ชีณัฐทิพย์ค่ะ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  4. maliwal

    maliwal เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    15
    ค่าพลัง:
    +192
    สาธุ ๆ ๆ ขออนุโมทนาด้วยค่ะคุณหงสนารถ กับ ประวัติท่านอาจารย์แม่ชีที่เขียนไว้ข้างต้น
    กำลังอยากทราบอยู่พอดีเลยค่ะ

    ดิฉันว่า ชีวประวัติของท่านอาจารย์ต้องเป็นอะไรที่ไม่ธรรมดา น่าอ่าน น่าติดตาม มีแง่คิด และคติความรู้มากมายเลยเชียวค่ะ
    แต่รู้สึกว่ามันจะพอสังเขปไปหน่อยนึงน่ะค่ะ อยากได้ประวัติอย่างละเอียด พอจะมีไหมคะ

    กรุณา อย่าตอบว่า "จะรู้ไปทำไม รู้ไปก็ไม่ช่วยให้เธอหลุดพ้น" เลยนะคะ
    ด้วยความเคารพท่านอย่างสูง ดิฉันก็เลยอยากรู้จักเรื่องราวเกี่ยวกับท่านมาก ๆ ๆ ๆ ค่ะ

    ถ้ายาวมาก ๆ และคุณหงสนารถไม่มีเวลา ก็เขียนมา วันละนิด ๆ เป็นตอนๆ ก็ได้ค่ะ

    ขอความกรุณาด้วยนะคะ จะรออ่านค่ะ.
     
  5. hongsanart

    hongsanart เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    1,332
    ค่าพลัง:
    +10,468
    คุณ maliwal ช่างเดาใจท่านอาจารย์ได้ถูกจริงๆ ทราบไหมคะ ตอนที่บอกท่านอาจารย์ว่าจะขอเขียนประวัติท่านอาจารย์ ท่านก็ตอบเหมือนที่คุณ maliwal เขียนมานั่นแหละค่ะ

    ในเมื่อคุณขอมา ท่านก็จะจัดให้ค่ะ...........

    จะนำมาลงให้วันละนิด จิตแจ่มใส รออ่านนะคะ.........(b-smile)
     
  6. hongsanart

    hongsanart เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    1,332
    ค่าพลัง:
    +10,468
    เจริญธรรม...

    ประวัติของแม่ชีมีอยู่ในธรรมบรรยายเรื่อง "ตามหาเธอ เพื่อให้ได้อีกเธอ" วันหลังจะส่งให้โจโฉ ลงให้ก็แล้วกัน เพราะเรื่องมันย้าว...ยาว

    ธรรมะสวัสดีจ้า....
     
  7. hongsanart

    hongsanart เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    1,332
    ค่าพลัง:
    +10,468
    เจริญสุข สวัสดี...

    หลายคนอยากรู้ประวัติแม่ชี วันนี้ก็เลยเขียนบอกมาบ้างพอประมาณแล้วกัน
    เพราะว่าเรื่องมันย้าว...ยาว

    เอาเป็นว่าแม่ชีเริ่มคลอดออกมาวันอาทิตย์ที่ 22 เมษายน พ.ศ.2505 เวลา 17.25 นาที ปีขาล เกิดที่บ้านเลขที่7 หมู่ที่ 1 ต.บ้านกุ่ม บ้านเดียวกับนายขนมต้มเมื่อครั้งสมัยอยุธยานั่นแหละ อำเภอบางบาล จังหวัด พระนครศรีอยุธยา ไม่ได้เกิดโรงพยาบาลเพราะว่าอยากออกมาดูโลกใบนี้เร็วๆ
    เบื่อที่คับแคบ หมอตำแยเลยรีบทำคลอดให้ จึงได้อยู่รอดปลอดภัยทั้งแม่ชีและแม่มาถึงทุกวันนี้ มีพี่น้องรวม 5 คน แม่ชีเป็นคนที่ 2 เจริญเติบโตโดยลำดับ

    จำความได้ตอนอายุ 3 ขวบก็เริ่มเห็นอะไรแปลกๆที่คนอื่นเขาไม่เห็นกัน
    วันหนึ่งขณะนอนหลับ ต้องตกใจตื่นขึ้นมา มองน้องชายที่อายุไล่เลี่ยกัน
    คือ 2 ขวบ ได้เห็นตัวอะไรไม่รู้มันมีสีหลายสี ดิ้นได้เลื้อยผ่านหน้าผากน้องชาย ตกใจร้องไห้จ้าเลยทีเดียว สักพักเห็นผู้ชายแต่งตัวแปลกๆ มีสร้อยสะพายเหมือนลิเก ไม่ใส่เสื้อ นุ่งผ้าจูงกระเบน ในมือถือมีดสั้นๆ
    ที่เรียกว่าพระขรรค์นั่นแหละ อีกมือก็ชี้มาที่แม่ชี หน้าตาดุดัน ตาแดงก่ำเหมือนโกรธเคืองใครมา ยืนลอยอยู่เหนือมุ้ง แม่เข้ามาปลอบให้หยุดร้อง

    จึงบอกแม่และชี้ให้แม่ดู แม่กลับไม่เห็นอะไร? ร้องไห้มากจนเพลียและหลับไป
    ตื่นมาตอนเช้าเป็นไข้ไม่สบายเลย แม่ต้องพาไปหาหมอ กลับมาไม่ยอมนอนด้วยความซนและเป็นคนเงียบๆ
    อีกทั้งเป็นคนชอบลอง แอบย่องไปหลังบ้านเล่นกับเด็กผู้ชาย สาวะวนกับเบ็ดตกปลา หยิบเชือกป่านได้นำมาสับ จะให้ขาดจากกัน

    เผอิญด้วยความร้อนรนและปนประมาท กลัวแม่จับได้ จึงรีบสับเชือกด้วยมีดอีโต้ขนาดใหญ่ สับลงไป
    ฉับพลันต้องชะงักมองดูเชือกที่ไม่ขาดออกจากกัน แต่มีนิ้วโป้งของตัวเองขาดเกือบหลุด ห้อยโตงเตง เลือดไหลย้อยเป็นทาง ตอนนั้นไม่รู้สึกเจ็บนะ คงจะชานั่นเอง เพื่อนๆผู้ชายตกใจวิ่งหนีกันไปหมด แม่ชีกุมมือเดินออกมาหาแม่
    แม่เห็นเลือดและนิ้วของลูกห้อยโตงเตงเท่านั้น เป็นลมเลย ชาวบ้านช่วยกันล้างมือ ล้างเลือดให้หมด แล้วพาไปหาผู้ใหญ่บ้าน ผู้ใหญ่บ้านนำผ้าแดงมามัดนิ้วให้ พร้อมทั้งอมน้ำเข้าไว้ในปากแล้วบ่นอะไรพึมพำก็ไม่รู้ แล้วพ่นลงที่นิ้วมือของแม่ชี หลังจากนั้น 7 วัน แม่แก้ผ้าที่พันนิ้วออก นิ้วก็ติดกันเหมือนเดิม
    (verygood) ไม่หลงเหลือร่องรอยของการขาดเลย หลังจากนั้นมีเหตุการณ์ตามมาเรื่อยๆ จำได้บ้าง ไม่ได้บ้าง



    วันหนึ่งตอนนั้นเพิ่ง 3 ขวบนั่นแหละ เดินแก้ผ้าถือ กระติกน้ำหนึ่งใบออกจากบ้านไปด้วย ไม่ได้บอกใคร แม่ตามหาทั้งวันก็ไม่พบ ตกเย็นแม่ชีก็เดินกลับบ้านมาเอง จำได้ว่าตั้งแต่นั้นมากลัวงูอย่างมาก

    พยายามนึกจึงจำได้ว่า เดินเข้าไปในกอไผ่ ในนั้นมีช่องว่างอยู่ จึงนั่งเล่นอย่างสบายใจ มีงูใหญ่เลื้อยมารัดตัว หลังจากนั้นก็ไม่รู้เรื่องเลย หลับไปนานทั้งวัน จำอะไรไม่ได้ ตื่นขึ้นมาก็หยิบกระติกน้ำ เดินกลับบ้าน แม่เห็นรีบเข้ามาอุ้มถามว่า ไปไหนมาแม่หากันทั้งวัน แม่ชีจึงบอกไปว่า กลัวงู งูรัดหายใจไม่ออก
    หลังจากนั้นมาเวลานอนตอนกลางคืน จะผวาสะดุ้งกลัวทุกคืน อยู่อยุธยาจนอายุ 7ขวบก็เข้าเรียนที่วัดซึ่งอยู่หน้าบ้าน แต่มีแม่น้ำเจ้าพระยาคั่นกลาง ไปเรียนหนังสือต้องนั่งเรือข้ามแม่น้ำ วันหนึ่งไม่มีเรือมารับ

    ไม่รู้จะทำอย่างไร จึงว่ายน้ำข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาด้วยมือหนึ่งมือ ส่วนอีกหนึ่งมือถือกระเป๋าหนังสือชูขึ้นเหนือน้ำ ว่ายน้ำข้ามมาบ้าน (ที่ว่ายน้ำเป็นก็เพราะตอนเด็กพ่อจับโยนลงน้ำ แล้วกำชับห้ามใครช่วยขึ้นจากน้ำ ตอนนั้นโกรธพ่อมาก ตอนหลังจึงต้องขอบคุณพ่อที่ทำให้แม่ชีว่ายน้ำเป็นและว่ายน้ำเก่งกว่าใคร)

    หลังจากนั้นก็ต้องไปอยู่สระบุรี เรียนหนังสือชั้นประถมปีที่ 3 และ 4 ตอนอยู่ที่สระบุรีก็ได้สร้างวีรกรรมไว้มาก
    คือไปอยู่กับอากงและอาม่า เพราะพ่อเป็นลูกคนจีน พ่อนำแม่ชีและน้องชายไปอยู่กับอากงและอ่าม่า
    ตอนเช้าทุกวันประมาณตี 4 ต้องตื่นขึ้นมาล้างถั่วงอก เพราะอาม่ามีโรงงานเพาะถั่งอกส่งและขาย ส่วนอากงมีโรงงานทำก๋วยเตี๋ยว
    ทั้งอากงและอาม่าทะเลาะกันแยกกันทำแต่ส่งรวมกัน
    แม่ชีและน้องอยู่กับอาม่า ต้องทำงานอย่างนี้ทุกวันไม่มีวันหยุด ต้องล้างถั่วงอกและส่งรวมทั้งขายให้หมดก่อนไปโรงเรียน
    ได้เงินไปโรงเรียนวันละ 5 บาท อาม่าบังคับให้เหลือกลับมาวันละ 1 บาท ถ้าไม่เหลือจะโดนตี
    พอถึงวันเสาร์ต้องเอาเงินนี้ไปฝากธนาคารออมสิน ตอนนั้นไม่รู้ว่าอาม่าสอนให้รู้จักประหยัดอดออม โกรธมาก คิดว่าท่านไม่รัก
    ใช้งานทั้งวัน พวกอาๆได้ถีบจักรยานไปโรงเรียน แต่แม่ชีและน้องชายห้ามนั่งและห้ามถีบจักรยานไปโรงเรียน
    ทั้งๆที่โรงเรียนก็อยู่ใกล้กันกับอาๆและอยู่ไกลจากบ้านหลายกิโล ถ้าเห็นถีบจักรยานมาโรงเรียนเมื่อไหร่จะด่าว่าอย่างแรง
    แม่ชีและน้องต้องเดินเท้าเปล่าไปเรียนหนังสือ ทำให้ไปโรงเรียนสายทุกวัน
    แต่คุณครูจะรักเพราะได้สมัครเป็นนักกีฬาของโรงเรียน รวมทั้งเป็นนักดนตรีเวลามีงานประจำปีก็จะต้องไปเล่น...

    เวลาที่พ่อกับแม่มาเยี่ยมและนำเงินค่าเลี้ยงดูแม่ชีและน้องชายมาให้ อาม่าจะทำดี พูดดีกับแม่ชีและน้องชาย แต่พอพ่อและแม่กลับไปก็ใช้งานและตีอย่างกับหมูกับหมาทุกครั้งไปอีกทั้งยังด่าให้เจ็บใจ รวมทั้งกำชับว่าห้ามบอกพ่อกับแม่ ว่าใช้ให้ทำงานหนัก ไม่เช่นนั้นจะตีและไม่ให้กินข้าว รวมทั้งจะไม่ให้ค่าขนมไปกินที่โรงเรียนด้วย

    แม่ชีนอนร้องไห้ทุกคืนเลย คิดถึงบ้าน คิดถึงแม่ คิดถึงพี่น้อง รวมทั้งปลงกับตัวเอง ว่าทำไมเราต้องมาอยู่ลำบากด้วย พ่อไม่รักเราเพราะเชื่อ
    หมอดูว่าเราเป็นตัวกาลกิณี ถ้าอยู่ด้วยพ่อจะตกต่ำ ( มิน่าเล่า แม่เคยเล่าให้ฟังว่า พ่อยากได้ลูกผู้ชาย เพราะลูกคนโตเป็นผู้หญิงแล้ว
    คนรองก็แท้งตายไปสองคน พอแม่ชีเกิดมาพ่อนึกว่าเป็นผู้ชาย พอรู้ว่าเป็นผู้หญิง พ่อเตะเบาะคว่ำเลย หลังจากนั้นก็จงเกลียดจงชังมาตลอด )
    พ่อจึงนำแม่ชีและน้องชายมาอยู่กับพ่อของพ่อแม่ชีที่สระบุรี
    ส่วนอากงใจดีแต่ปากจัดและด่าเก่งเหมือนกัน หลังจากเลิกโรงเรียนแล้ว แม่ชีและน้องชายต้องไปหาบดินตั้งไกลมาถมโรงงานก๋วยเตี๋ยวให้เต็ม
    ห้ามหยุดพักด้วย ไม่เช่นนั้นจะโดนดุโดนด่าโดนว่าและไม่ให้กินข้าว เหนื่อยก็ต้องทน ถมจนโรงงานก๋วยเตี๋ยวเต็ม สูงประมาณ 1เมตรได้
    และต้องนำต้นไม้มาทุบให้ดินยุบตัวและแน่น บางวันพวกอาๆทั้งหลายกินข้าวกันหมด แม่ชีและน้องไม่ได้กิน

    แม่ชีต้องปีนเล้าไก่ขโมยไข่ของอาม่าไปขายเพื่อนำเงินมาซื้อข้าวให้น้องชายกิน ถ้าอาม่าจับได้ ก็จะโดนดุด่าว่าอย่างแรง ก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร?
    บางวันแม่ชีก็ต้องพาน้องชายลงน้ำ ขอยืมผ้าขม้าข้างบ้านมาช้อนกุ้งในน้ำเพื่อจะนำไปต้มกินแทนข้าว ถ้าโดนจับได้ก็จะโดนด่าเหมือนเดิม
    จนทนไม่ได้ พอแม่มาเยี่ยม เลยบอกกับแม่ว่าโดนอะไรบ้าง แม่ก็ไปเล่าให้พ่อฟัง พ่อก็โกรธหาว่าแม่ชีโกหก ใส่ร้ายแม่ของพ่อ...

    สุดท้ายแม่ชีก็โดนเต็มๆอีก เป็นเช่นนี้ จนเรียนจบชั้นประถมปีที่ 4 พ่อจะให้เรียนต่อที่สระบุรีอีก แต่แม่ยื่นคำขาดกับพ่อว่า

    จะเอาลูกกลับมาอยู่ด้วยที่กรุงเทพฯ ( ตอนนั้นพ่อกับแม่อยู่ที่กรุงเทพฯแล้ว) "ถ้าไม่เอาลูกกลับเราขาดกัน"

    พ่อจึงต้องจำใจย้ายแม่ชีและน้องกลับมาอยู่ด้วยที่กรุงเทพฯ
    เริ่มเข้าเรียนชั้นประถมปีที่ 5 ที่โรงเรียนวัดโบสถ์ที่ศรีย่านกรุงเทพฯนั่นเอง จะเห็นได้ว่าแม่ชีเรียนโรงเรียนวัดมาตลอด สุดท้ายก็เลยต้องมาอยู่วัดอีกนั่นแหละ

    เอาละเล่าประวัติมาพอสมควรแล้ว โปรดติดตามตอนต่อไป
    ธรรมะสวัสดี สาธุ!!!!
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 25 ตุลาคม 2006
  8. hongsanart

    hongsanart เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    1,332
    ค่าพลัง:
    +10,468
    เจริญธรรม...

    ประวัติส่วนตัวต่อตอนที่ 2...

    หลังจากเข้ามาอยู่กรุงเทพฯ ได้เรียนที่โรงเรียนวัดโบสถ์ ศรีย่าน ชั้นป.5 พ่อกับแม่ได้มาเช่าบ้านที่ใหญ่กว่าเดิม เพราะลูกเพิ่มมาอีก 2 คน คือแม่ชีและน้องชาย พ่อไปทำงานที่วรจักรยนต์ ขายรถโตโยต้า ส่วนแม่ไปช่วยป้าบุญธรรม (ที่เปิดโรงเรียนอยู่ที่นางเลิ้ง )ทำกับข้าวขายให้เด็กนักเรียนทาน
    โดยแม่ได้เป็นเงินเดือนๆละ 500บาท แม่จะตื่นแต่เช้า ทำอาหารและให้แม่ชีไปใส่บาตรพระทุกเช้า เป็นประจำ ที่บ้านมีทุกอย่างสบาย แม้ว่าจะไม่มากมายเหมือนคนรวยทั่วไป แต่ก็ไม่เดือดร้อน

    จนวันหนึ่งเกิดไฟไหม้ลุกลามมาจากที่อื่นในตอนกลางคืน แม่ชีและแม่รวมทั้งน้องชายหอบผ้า ไปอยู่ที่โรงเรียนของป้าที่อยู่อีกฝากถนน เดินแทบจะไม่มีแรง เข่ามันอ่อนล้า ไม่เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้

    ส่วนพ่อและพี่น้องหอบของไปไว้ที่อำเภอ ให้คนช่วยเฝ้าให้ สุดท้ายคนเฝ้าก็ช่วยยกของไปหมด พ่อพาพี่น้องตามหาแม่และแม่ชี มาเจอกันที่โรงเรียนของป้า ของที่พ่อขนไปฝากเขาไว้ก็โดนเขาขนเอาไปหมด ไม่มีอะไรเหลือ คงมีแต่ของที่แม่และแม่ชีหอบมา ได้แต่ผ้าขี้ริ้วธรรมดานี่เอง ก็คนมันตกใจไม่รู้จะคว้าอะไร หยิบอะไรได้ก็ทิ้งลงใส่ผ้ามัดและหอบไป

    ทุกคนนั่งมองตากันปริบๆ ตอนนั้นสงสารพ่อกับแม่จับใจ พ่อกับแม่บอกว่า "ไม่เป็นไร หาเอาใหม่"

    ตั้งแต่นั้นมาครอบครัวของแม่ชีก็อยู่ที่โรงเรียนของป้ามาตลอด แม่ทำอาหารเหมือนเดิม พ่อไปทำงาน พี่น้องไปเรียนหนังสือแต่เช้า ส่วนแม่ชีเรียนภาคบ่ายจึงอยู่ช่วยแม่ทำงานก่อนไปโรงเรียน กวาดทำความสะอาดโรงเรียนเหมือนภารโรงดีๆนี่เอง และก็วิ่งไปซื้อของที่ตลาดมาให้แม่ทำกับข้าว เป็นอย่างนี้ทุกวัน

    แม่ชีจะใกล้ชิดกับแม่มากกว่าพ่อ เพราะพ่อจะเสียงดัง และโมโหร้าย แม่ชีไม่ชอบ เวลาลูกๆเปิดเทอม มักจะมีค่าใช้จ่ายมากทุกคน พ่อจะถอดนาฬิกาให้แม่เอาไปจำนำเป็นประจำ และบางทีก็เอาวิทยุไปจำนำ เพื่อเอาเงินมาจ่ายค่าเทอมของลูกๆ จนตอนหลังหน้าที่การเข้าโรงจำนำจึงเป็นหน้าที่ของแม่ชีไป
    อายเหมือนกัน แต่สงสารแม่ยอมทำทุกอย่างเพื่อช่วยแบ่งเบาภาระของแม่ จนป้าให้แม่ขายของเองและเก็บเป็นค่าเช่า เนื่องจากป้าสงสารแม่ชีที่ต้องลำบาก ในขณะที่คนอื่นๆสบาย ป้าจะรักแม่ชีมาก แม่ชีรับจ้างป้าซักผ้ารีดผ้า
    เพื่อเอาเงินมาช่วยแม่ทุกเดือนได้เดือนละ 150บาทให้แม่หมด ช่วยงานเสร็จก็จะแต่งตัวไปโรงเรียน

    ตอนเย็นพ่อจะแวะรับที่โรงเรียนทุกวัน อึดอัดมาก ไม่อยากให้พ่อไปรับอยากกลับกับเพื่อนมากกว่า เพราะพ่อชอบด่าว่าเป็นประจำ โวยวายและเสียงดัง
    แต่พ่อก็ทำหน้าที่พ่อที่ดี พ่อและแม่จะสอนลูกๆว่า

    "ต้องรักศักดิ์ศรีของตัวเอง ซื่อสัตย์สุจริต อย่าคดโกง แม้ว่าจะจน"

    เวลาแม่ชีไปทัศนศึกษา พ่อก็จะขับรถไปรับไปส่งที่โรงเรียนเป็นประจำ ตอนนั้นก็ไม่รู้ว่ารับเราทำไม ทำไมไม่ไปรับคนอื่นบ้าง? ตอนปิดเทอมแม่ชีก็จะช่วยป้าสอนพิเศษนักเรียน ได้ครั้งละ100บาทก็ให้แม่หมดเช่นกัน พ่อมักจะปวดตามข้อและตามตัวเสมอ แม่ชีกับน้องก็จะช่วยกันบีบนวดให้พ่อทุกครั้ง และมีหน้าที่ล้างรถให้พ่อ ล้างเสร็จก็จะถอยกลับรถให้พ่อเป็นประจำ เป็นการฝึกหัดขับรถไปในตัวด้วย

    จนวันที่ 14 ตุลาคม ได้เกิดการจราจลในกรุงเทพฯ พวกนักศึกษาทำการประท้วงรัฐบาล ซึ่งตอนนั้นแม่ชีเรียนอยู่ชั้น ป.7
    ไปทำรายงานกับเพื่อนแล้วหายไป พ่อกับแม่ตามหาไม่เจอ พยายามโทรเช็คตามโรงพยาบาลว่ามีแม่ชีบาดเจ็บร่วมอยู่กับเขาบ้างไหม?
    ไม่มี ตอนหลังแม่ชีกลับบ้านมา พ่อแม่ดุและถามต่างๆนานา แม่ชีต้องโกหกเพื่อให้ท่านสบายใจ (ไม่บอกแล้วกันว่าไปทำอะไรมา
    เห็นเงียบๆอย่างนี้ น่าดูเหมือนกันนะ แต่แอบกระซิบบอกแล้วกันว่าไปลอยคออยู่หน้าธรรมศาสตร์มา
    แหม! ก็ว่ายน้ำข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาเก่งมาตั้งแต่เด็กนี่)

    วันเวลาผ่านไปแม่ชีได้สอบเข้าเรียนต่อที่โรงเรียนสายปัญญา เห็นคนอื่นเล่นกีต้าร์กัน ก็ชอบนั่งดูนั่งฟัง ไม่มีกีต้าร์เล่น อาศัยเอาไม้กวาดมาดีดเล่นๆ อยู่มาวันหนึ่งขณะนั่งดูเพื่อนดีดกีต้าร์ที่โรงเรียน อยากดีดบ้างเพื่อนก็ให้ดีดเล่น

    เผอิญมีอาจารย์ชายเพิ่งย้ายมาใหม่มาสอนวิชาดนตรี ท่านมายืนมองแม่ชีดีดกีต้าร์จึงชวนให้มาร่วมตั้งวงดนตรีของโรงเรียน แม่ชีก็รับปากทันทีด้วยใจรัก หลังจากนั้นก็เริ่มซ้อมกันทุกวันหลังเลิกเรียน

    อาจารย์พละก็ชวนให้ลงแข่งกีฬาวอลเล่บอลล์ของโรงเรียนเพื่อคัดตัวไปแข่งกับโรงเรียนอื่น ก็ลงเล่นทันทีในตำแหน่งมือตบและมือเซ็ต ไปแข่งขันหลายโรงเรียน จนอาจารย์ฟุตบอลมาชวนให้เล่นฟุตบอลอีก ก็เล่น

    และได้มีโอกาสรับถ้วยรางวัลของพระเทพฯ แม่ชีเป็นที่รักของเพื่อนในโรงเรียนและอาจารย์ทั้งหลาย เพราะขยันซ้อม ไม่เรื่องมาก รอคอยเพื่อนร่วมทีมได้เป็นเวลายาวนาน ไม่เคยปริปากบ่นเลย

    เวลาที่โรงเรียนมีงานประจำปี พระเทพฯจะเสด็จมาในงานทุกครั้ง แม่ชีจะทำหน้าที่หลายอย่างในเวลาใกล้เคียงกัน
    ตอนเช้าเป็นช่างภาพถ่ายรูปพระองค์ท่าน เสร็จก็วิ่งไปอธิบายภาพวาดของตัวเอง ตอนนั้นวาดภาพลงบนผ้าใบ
    อาจารย์โชว์ไว้ด้านหน้าเลย ตั้งชื่อว่า "ไม้เอน"เป็นภาพที่ต้นไม้ล้มลงนอนกับพื้น ภาพนี้ได้แรงบันดาลใจตอนบ้านโดนไฟไหม้นั่นแหละ เสร็จก็วิ่งไปเปลี่ยนชุดเล่นดนตรีถวายต่อหน้าพระองค์ท่าน

    หลังจากนั้นก็เปลี่ยนชุดแข่งกีฬากับต่างโรงเรียน สนุกดีเหมือนกัน ไม่เหนื่อยเพราะชอบและรักรวมทั้งตั้งใจและเต็มใจ

    จนขึ้นม.ศ.4 กิจกรรมก็ยังคงดำเนินอยู่อย่างนี้ วันหนึ่งได้ยินพ่อพูดกับแม่ว่า จะให้แม่ชีออกจากโรงเรียน เพราะพ่อตกงานอีกแล้ว
    ไม่มีเงินส่งให้เรียน ส่วนลูกคนอื่นให้เรียนต่อไป ตอนนั้นเสียใจมาก ไม่อยากเลิกเรียนอยากเรียนให้จบแล้วเข้า ประสานมิตร จะเรียนเป็นครูพละ น้อยใจพ่อมากทำไมพ่อไม่รักเรา ทำไมต้องเป็นเราที่ต้องออกจากโรงเรียน คิดน้อยใจสารพัด จนแม่บอกว่าให้เห็นแก่แม่สักครั้ง แม่ชีจึงตามใจแม่ ออกจากโรงเรียนกลางคัน แล้วมาเป็นครูสอนที่โรงเรียนของป้าอยู่ 3 ปีกว่าๆ

    วิชาไหนไม่ได้สอนก็ลงมาช่วยแม่ทำงาน เงินเดือนครูไม่เคยได้ใช้เลย ยกให้แม่หมด แต่ก็ยังคงกลับไปเล่นกีฬาให้กับโรงเรียนอยู่เหมือนเดิม
    ปิดเทอมก็สอนพิเศษหาเงินมาช่วยแม่ส่งให้พี่น้องเรียนต่อกัน

    ตอนนั้นพ่ออารมณ์ไม่ค่อยดี เจอหน้าแม่ชีอารมณ์เสียบ่อยๆ

    (พ่อชอบไปถามหมอดูว่าลูกคนไหนที่จะพึ่งได้บ้าง หมอดูก็บอกว่าลูกคนอื่นพึ่งได้หมด ยกเว้นคนที่ 2 คือแม่ชีที่พึ่งไม่ได้ และเป็นลูกที่จะนำความวิบัติมาสู่ครอบครัว จะล้างผลาญทรัพย์สมบัติของพ่อแม่ ลูกคนนี้เกิดมาเพื่อแย่งพ่อทุกอย่าง เป็นลูกกาลกิณีมาเกิด )

    เพราะพ่อรู้ว่าแม่ชีกลับไปช่วยเล่นกีฬาที่โรงเรียนเก่า
    ตอนปิดเทอมและว่างจากการสอน แม่ชีก็จะไปค้างที่บ้านเพื่อนนานหลายวัน พ่อก็จะด่าว่าเป็นประจำ เพราะพ่อกลัวจะท้องไม่มีพ่อมั้ง? ท่านไม่รู้ว่าแม่ชีไปทำอะไรมา มีเงินกลับมาให้แม่เป็นประจำ

    ซึ่งเวลาที่แม่ชีไปบ้านเพื่อนนั้นไปช่วยเขาทำงาน เขาก็ให้ค่าแรงมาก็เท่านั้นเอง
    วันนั้นพ่อกลับมาไม่เจอแม่ชี พ่อถามแม่ๆก็บอกว่าไปบ้านเพื่อน เท่านั้นเองพ่อโกรธมากพอแม่ชีกลับมา

    พ่อดุด่าว่าแรงๆ หยิบไม้กวาดมาตีจนด้ามไม้กวาดละเอียด
    เท่านั้นยังไม่พอยังไม่สะใจ กระชากเข็มขัดออกมา เฆี่ยนตี จนเลือดออกมาซิบๆ แม่ชีร้องไห้จนไม่รู้จะร้องทำไม ร้องไปพ่อก็ไม่หยุดตี เลยยืนให้ท่านตีอยู่อย่างนั้น เจ็บจนชาชินแววตาของแม่ชีตอนนั้นมันเย็นชาเสียเหลือเกิน

    ยืนมองพ่อตี พ่อเห็นแม่ชีมองไม่มีน้ำตาไหล คงจะคิดว่าไม่สะทกสะท้าน จึงหยิบร้องเท้าขึ้นมาตบหน้าอย่างแรง เลือดไหลออกมาทางปากและจมูก แม่และพี่น้องต่างร้องไห้ ช่วยอะไรไม่ได้เพราะพ่อเป็นคนโมโหร้าย แม่ชีเลยน่วมไปทั้งตัวและทั้งใจ พ่อด่าว่า

    "อีลูกอัปรีย์จัญไร ลูกล้างผลาญ มารครอบครัว มึงมาเกิดเป็นลูกกูทำไม?"

    แม่ชีมองหน้าแม่ขณะที่พ่อตีเข็มขัดใส่ตัวอีก เจ็บอย่างบอกไม่ถูก ในใจคิดว่า "ไม่ใช่ลูกหรือไง ไม่รักแล้วให้เกิดมาทำไม?"

    จึงจับเข็มขัดของพ่อไว้แล้วดึงทิ้งไป พ่อยิ่งโกรธหนัก "มึงจะสู้กูหรือไง?วันนี้กูจะเอาเลือดหัวมึงออก"

    แม่ชีมองหน้าพ่อแล้วยกมือขึ้น หมายจะต่อยพ่อให้กองลงกับพื้น เพราะตัวของแม่ชีใหญ่และแข็งแรงกว่าพ่อมาก ก็เป็นนักกีฬานี่ แต่แม่ร้องห้ามไว้ จึงหันหลัง
    เดินไปเก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋า จะเดินออกจากบ้าน พ่อตะโกนตามหลังมา

    "มึงไปแต่ตัว"

    แม่ชีจึงทิ้งกระเป๋าลงถังขยะแล้วเดินออกจากบ้านไปโดยไม่หันกลับมามองใครเลย หูอื้อไปหมดไม่รู้ว่าพ่อด่าอะไรตามหลัง

    ไม่รู้จะไปอยู่ไหน? จะไปหาใคร? ใครจะเป็นที่พึ่งให้แก่เราได้ในตอนนี้? ใครจะให้โอกาสเราบ้าง?

    ขึ้นรถเมล์นั่งตลอดสายแล้วย้ายไปสายอื่นอยู่อย่างนี้ ค่ำคืนนี้จะนอนที่ไหน?มีเงินติดตัวอยู่แค่ 10บาท จะทำอย่างไรดี?

    ลงเดินตามถนนมองหาเศษเงินที่ตกข้างทาง ได้เหรียญบาท จึงหยิบมาโทรศัพท์หาเพื่อน เพื่อนก็แสนดีรีบมาหาทันที
    แล้วพาไปหาบ้านเช่าที่พระโขนงในราคา800บาท ต้องเอาไว้ก่อนโดยเพื่อนจ่ายเงินค่าเช่าและค่ามัดจำให้ก่อน
    ตอนนั้นในสมองไม่คิดเรื่องพ่อแล้ว คิดแต่ว่าจะทำงานเลี้ยงตัวเองอย่างไร?

    สุดท้ายก็ไปสมัครเล่นดนตรีที่ร้านอาหาร ได้ค่าจ้างรายวันชั่วโมงละ20บาทเล่นเฉพาะเสาร์อาทิตย์ ก็ต้องทำและพยายามหาร้านอื่นอีกเพื่อจะได้มีรายได้เพิ่ม
    เพื่อนขอยืมกีต้าร์ของเพื่อนมาให้ยืมเล่นก่อน แม่ชีก็รับไว้แล้วพยายามหาร้านเล่นให้มาก จนเจ้าของร้านสงสารเพิ่มค่าแรงให้ และให้เล่นทุกวันจนมีเงินเก็บซื้อกีต้าร์เป็นของตัวเอง ในราคา 1,500 บาท เพื่อนคู่ชีพตัวนี้ตระเวนคู่กายเป็นเพื่อนที่รู้ใจช่วยในการทำมาหากิน จนมีงานเล่นมีเงินมากขึ้นโดยลำดับ ได้เพื่อนดีคอยช่วยชี้แนะแนวทางที่ดีและเป็นกำลังใจให้เสมอ

    เพื่อนแนะให้มาสมัครเรียนที่ศูนย์การศึกษานอกโรงเรียน จบแล้วก็เรียนต่อที่รามฯจนจบ ไม่ได้ทำงานอื่น นอกจากเล่นดนตรีอย่างเดียว

    เริ่มมีเพื่อนมากขึ้น ได้เห็นอะไรมากขึ้น จนสุดท้ายได้พบเพื่อนกลุ่มหนึ่งที่เที่ยวเก่ง สูบเก่ง ดื่มเก่ง จนตัวเองหลงระเริงไปด้วยเลย

    สูบจัด ดื่มจัดและลองสารพัดชนิด เพื่อนที่คอยช่วยเหลือเตือนก็ไม่ฟัง จนเพื่อนเลิกคบไป

    ระเริงอยู่กับเพื่อนกลุ่มใหม่แต่ไม่เสียตัวนะ ระวังตัวเสมอไม่เผลอง่ายๆ เพราะเพื่อนทั้งหลายเป็นทอมกันทั้งนั้น

    เริ่มจะมีความรักแต่ก็ต้องอกหักเสียใจ ดื่มหนักและสูบจัดมากขึ้น จนเพื่อนเก่าต้องกลับมาปลอบใจ ให้กำลังใจใหม่รวมกับแฟนของเพื่อนก็แสนดี ต่างคอยเป็นกำลังใจให้ เพื่อนได้นำแม่ชีไปฝากกับพี่สาวบุญธรรมของเธอ ที่คลองตัน พี่สาวบุญธรรมจึงรับแม่ชีเป็นน้องบุญธรรมและให้อยู่ที่บ้านนั้นเลย ตอนเช้าแม่ชีจะขับรถไปส่งลูกของพี่ที่โรงเรียน และรับกลับตอนเย็น เวลาที่ว่างแม่ชีก็จะไปทำงานขายที่ดิน และกลับมาร้องเพลงเล่นดนตรีต่อตอนกลางคืน

    จนมีรายได้มากขึ้น สบายกว่าแต่ก่อนมาก มีทั้งรถขับมีทั้งเงินเดือนและมีเบี้ยเลี้ยงพิเศษรวมต่อเดือนประมาณหมื่นกว่าบาท

    วันหนึ่งนั่งมองแม่ค้าขายขนมจีนแก่ๆคนหนึ่ง กับหลานตัวเล็กๆช่วยกันล้างจานที่ขาย ทำให้นึกถึงแม่ทันที เพราะตั้งแต่วันที่เกิดเรื่องนานถึง 10ปีแล้ว ไม่เคยติดต่อกันเลย ต่างนึกว่าตายจากกันแล้วมั้ง?

    ป่านนี้แม่และพี่น้องจะเป็นอย่างไรนะ...ไม่ได้ติดต่อกันเลย นานถึง10ปีทีเดียว พยายามสืบหาแม่จึงรู้ว่า พ่อและแม่กลับไปอยู่อยุธยา
    เปิดร้านขายของ จึงขับรถไปแอบดูโดยที่แม่ไม่รู้ เห็นพ่อและแม่สบายจึงขับรถกลับไม่ได้ลงไปหาท่านเลย

    ตอนนั้นเริ่มมีความรักอีกแล้ว ได้เงินมาก็ให้เขาหมด เก็บซื้อของซื้อบ้านก็ให้เป็นชื่อของเขา สุดท้ายหมดทุกอย่าง อกหักอีกครั้ง
    (ยังไม่ได้อยู่ด้วยกันนะ)อายพี่บุญธรรมและเพื่อนมาก เผอิญเพื่อนจากภูเก็ตชวนให้ไปอยู่ที่ภูเก็ตจึงตกลงทันที พกความเจ็บช้ำมาภูเก็ตในปี 2534นั้นเอง

    โปรดติดตามตอนต่อไป...เขียนมายาวพอสมควร เอาไว้อ่านคราวหน้านะ

    ธรรมะสวัสดี สาธุ!!!
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 30 ตุลาคม 2006
  9. hongsanart

    hongsanart เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    1,332
    ค่าพลัง:
    +10,468
    ท่านอาจารย์ขา....สาธุค่ะ...[b-wai]

    อ่านประวัติท่านอาจารย์แล้ว แสนเศร้า...สุดรันทดจังเลยค่ะ

    หนูเข้าใจแล้วว่า เพราะเหตุใดท่านอาจารย์จึงเข้าใจโลกและตอบปัญหาได้กระจ่าง แจ่มแจ้ง พร้อมทั้งให้คำสอน,คำชี้แนะที่สามารถนำไปปฏิบัติ เพื่อแก้ไขปรับปรุงตนเองได้ตรงประเด็น และเหมาะกับตัวบุคคลนั้นๆ

    สาธุ...สาธุ...สาธุ...อนุโมทามิ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 พฤศจิกายน 2006
  10. rosey

    rosey เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    163
    ค่าพลัง:
    +1,345
    มาเป็นขวัญและ กำลังใจเช่นเดิม เจ้าค่า....
    จะรอติดตาม ตอนต่อไปเจ้าค่ะ.... สาธุ ..
    (sing) (sing) (sing) (sing) (sing)
     
  11. กัลยาณะ

    กัลยาณะ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    3
    ค่าพลัง:
    +44
    ธรรมสวัสดีค่ะ..นี่คือสิ่งควรต่อการอนุโมทนาส่งเสริมอย่างยิ่งค่ะ...

    ธรรมะสวัสดีท่านแม่ชีณัฐทิพย์ค่ะ
    อ่านประวัติและฟังบรรยายของท่านแล้วก็ปลาบปลื้มและอนุโมทนาด้วยเป็นอย่างยิ่งค่ะ
    ขอเรียกว่าท่านคือนักสู้และเป็นตัวอย่างของผู้หญิงที่หนักแน่นยิ่งนัก และจะติดตามธรรมะของท่านสืบไป
    และพร้อมจะให้การส่งเสริมสนับสนุนเผยแผ่เท่าที่จะสามารถ
    ด้วยความเคารพ
    ผู้หญิงในธรรม
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 05 Track 5.mp3
      ขนาดไฟล์:
      891.3 KB
      เปิดดู:
      218
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 28 กรกฎาคม 2009
  12. soul2006

    soul2006 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    1,026
    ค่าพลัง:
    +5,169
    [​IMG] โมทนาสาธุ
    อ่านประวัติแม่ชีแล้ว ..น้ำตาไหลเลยค่ะ ถ้าไม่เข้าถึงทุกข์ก็จะไม่ถึงธรรม
    เห็นทุกข์แล้วจึงจะเห็นธรรม..ชีวิตถ้าเจอทุกข์มากเท่าไหร่ จะเกิดปัญญาหาทางดับทุกข์เท่านั้น ..แต่ทุกข์ที่จะละได้ ต้องเห็นได้ด้วยใจ..ใจเห็นทุกข์แล้วจึงจะปล่อยวาง..แค่เห็นตามความเป็นจริง เพราะว่าในโลกนี้มีแต่ทุกข์เท่านั้น...ส่วนความสุขนั้น คือ ความทุกข์ที่เราทนได้นั่นเอง


    ขอให้เจริญในธรรมยิ่งขึ้นทุกๆ คนค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 พฤศจิกายน 2006
  13. yuiang

    yuiang สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    2
    ค่าพลัง:
    +23
    อยากรู้ว่าวัดบางนาในมีแม่ชีรึป่าว เพราะว่ามีแม่ชีคนนึงบอกกับแม่หนูว่าอยุ่ที่
    วัดบางนาใน แต่พอหนู่โทรไปแล้ว คนที่วัดบอกว่าที่นั่นไม่มีแม่ชี
    *แล้วหนูก็อยากรู้ว่าคนนั้นทำไมเค้าถึงอยากได้ของ เค้าบอกให้แม่หนูส่งกล้องถ่ายรูปดิจิตอลไปให้เค้าที่วัดบางนาใน แม่ชีที่อยากได้แบบนี้ถือว่าเปนแม่ชีรึเปล่า แล้วถือว่าเข้าข่ายหลอกลวงรึเปล่าค่ะ
     
  14. hongsanart

    hongsanart เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    1,332
    ค่าพลัง:
    +10,468
    เจริญธรรม...ประวัติตอนต่อไป ตอนที่ 3

    หลังจากล่องใต้ตามหาคนรู้ใจและผู้ให้โอกาส จุดหมายคือภูเก็ต จำได้ว่าถึงภูเก็ตวันที่ 22เมษายน ซึ่งตรงกับวันเกิดพอดี


    เพื่อนชายมารับที่สถานีขนส่ง แม่ชีไปพักอยู่กับเพื่อนโดยเช่าห้องบ้านเพื่อนอยู่ เพราะข้างล่างเป็นร้านอาหารและมีดนตรีบรรเลง

    ก็เป็นร้านของเพื่อนชายนั่นแหละ ทีแรกเพื่อนก็จ้างให้เล่นดนตรีที่ร้าน จ้างชั่วโมงละ 100บาท เล่น2ชั่วโมง ไม่มีวันหยุด

    วันไหนหยุดก็หักค่าแรงไป เสียค่าเช่าห้องเดือนละ 1,500บาท ค่ากินต่างหาก
    ที่ภูเก็ตนั้นค่าครองชีพสูงกว่ากรุงเทพฯมาก ส้มตำจานละ 5บาทหรือ10บาทไม่มีหรอก อย่างต่ำก็จานละ 15บาทแล้ว

    จึงหาเล่นที่อื่นอีก พอเล่นที่ร้านอื่นด้วยก็ต้องเช่ารถมอเตอร์ไซด์ เพราะรถประจำทางไม่มี ค่าเช่าก็วันละ 100ถึง120บาท
    ก็ต้องเล่น อาศัยทิปจากแขกที่ฟังเอา

    ทนเล่นอยู่ 4 เดือน เพื่อนชายก็ชวนให้เข้าหุ้นทำร้านอาหารของเพื่อนด้วยกัน โดยมีเพื่อนผู้ชายหุ้นด้วยอีก 1 หุ้น รวมเป็น 3 หุ้น

    หุ้นละ 30,000 บาท แม่ชีไม่มีเงินมากขนาดนั้นหรอก ไม่รู้จะทำอย่างไรดี จึงขอยืมเงินเพื่อนผู้หญิงเพื่อมาลงหุ้นทำร้านอาหารกับเพื่อนชายอีก
    2คน และก็เล่นดนตรีรับเงินเดือนไปด้วย ลูกค้ามากทีเดียว เพราะคนที่ภูเก็ตไม่ค่อยได้เห็นผู้หญิงเล่นดนตรีและร้องเพลงไปด้วย


    ทั้งหญิงและชายต่างมาอุดหนุนเป็นประจำทุกค่ำคืน ทำให้การแบ่งผลกำไรพอมีบ้าง จึงคิดกับเพื่อนที่ให้ยืมเงินว่าจะแยกมาทำร้านใหม่เอง
    แต่เพื่อนชายอีกคนมาลงหุ้นด้วย จึงตัดสินใจทำร่วมกัน โดยเช่าที่ดินว่างเปล่าแล้วสร้างอาคารที่ใหญ่กว่าร้านเดิม
    งบประมาณที่ตั้งไว้คือ หนึ่งแสน แต่งบบานปลายกลายเป็น สามแสนกว่าๆ ก็ต้องวิ่งหากัน จนสำเร็จในที่สุด

    แม่ชีดูแลเอง ร้องเพลงและเล่นดนตรีเอง บริการลูกค้าเองด้วย ลูกค้ามาใช้บริการกันมาก มีทั้งผู้หญิง ผู้ชาย ทอมและดี้มากหน่อย
    กระเทยตุ๊ดและเกย์เพียบ มีทั้งทอมมาจีบและดี้มาทาบทาม ผู้ชายมานั่งเฝ้ากันทุกวี่ทุกวัน ก็นับว่าตื่นเต้นดี


    ผ่านไป 2 ปี แม่ชีคิดถึงพ่อและแม่รวมทั้งพี่น้อง จึงโทรติดต่อหา ชวนให้ท่านลงมาเพราะจะทำบุญครบรอบร้าน พ่อกับแม่ก็ลงมา
    ตามที่แม่ชีขอร้องไป พบกันครั้งนั้น ดูท่านทั้งสองดีใจ แต่ต่างคนต่างเก็บซ่อนความรู้สึกไว้ พ่อและแม่อวยพรให้ทำกิจการเจริญรุ่งเรือง


    นี่เป็นครั้งที่สองที่แม่ชีได้ทำร้านอาหาร (ร้านแรกนั้นทำที่กรุงเทพฯ อยู่ซอยโชคชัย4ลาดพร้าว ตอนนั้นทำ cafe)
    ทำบุญครบรอบร้าน 2ปีเสร็จ เริ่มเบื่อกับชีวิตมาก วันๆอยู่กับสิ่งมอมเมา เหล้าและบุหรี่ ตื่นสายนอนดึก มีชีวิตที่ไม่ค่อยเหมือนชาวบ้านเขา

    วันหนึ่งขับรถขึ้นไปบนเขารัง ผ่านพระประธานใหญ่ซึ่งอยู่ที่สำนักสงฆ์เขารัง ไม่ได้จอดรถลงไหว้ ขับรถขึ้นไปบนยอดเขา แต่ฉับพลันรถเจ้ากรรม
    เครื่องรถดันดับเอาเสียดื้อๆ สตาร์ทเท่าไหร่ก็ไม่ติด ไม่รู้จะทำอย่างไรดีจึงปล่อยให้รถไหลลงมาเรื่อยๆ จนมาจอดอยู่ตรงหน้าสำนักสงฆ์เขารังพอดี


    จึงลงไปไหว้พระประธานใหญ่นั้น และเดินดูภายในสำนักสงฆ์แห่งนั้น เงียบเหลือเกิน ไม่เห็นมีใคร สักครู่ได้เจอยายชีแก่ท่านหนึ่งท่านก็ยิ้มให้
    หน้าห้องมีใบกระดาษติดไว้ มีข้อความเขียนว่า เชิญร่วมบวชชีพราหมณ์ถวายแด่หลวงปู่สุภา เนื่องในวันครบรอบอายุและร่วมพิธีไหว้ครู 9วัน


    แม่ชียืนอ่าน ไม่รู้ว่าเป็นอะไร? เดินมาแจ้งจำนงกับแม่ชีแก่ทันทีว่าจะมาบวชชีพราหมณ์ 9วัน ตามเวลานั้น เพื่อนที่มาด้วยงงมาก
    เพราะในชีวิตไม่เคยคิดจะบวชชีหรือบวชชีพราหมณ์เลย อีกทั้งไม่มีใครทำร้านอาหารและร้องเพลงแทนด้วย


    พอออกมาขึ้นรถ รถก็สตาร์ทติดโดยไม่ติดขัดเลย แปลกดีเหมือนกัน
    เมื่อถึงวันบวชก็มาบวชตามที่ได้แจ้งไว้ ไม่เห็นมีใครมาบวชเลย มีแม่ชีคนเดียว เอ้า...บวชก็บวช วันนั้นได้เจอหลวงปู่สุภาเป็นครั้งแรก


    อายุท่านตอนนั้นประมาณ 80กว่าๆ แต่ทำไมดูหนุ่มจัง...หลวงปู่บวชให้ ท่านให้โอวาทสักพัก ก็สั่งให้ไปเปลี่ยนผ้าเป็นใส่ชุดขาว
    แล้วมานั่งกล่าวคำขอบวช พอเสร็จท่านก็ให้ลงไปพักที่ถ้ำกับแม่ชีอีกท่านหนึ่ง ในถ้ำนั้นน่ากลัวจะตาย ปกติแม่ชีเป็นคนที่กลัวผีมาก
    ตกกลางคืนนอนไม่หลับเลย กลัวผีมากทีเดียว

    ส่วนแม่ชีท่านนั้นก็ไม่ยอมหลับยอมนอนเลยเหมือนกัน
    เอาแต่นั่งนับประคำทั้งคืน แม่ชีหลับไปตื่นมาใหม่ แม่ชีท่านนั้นก็ยังไม่ยอมนอนอีก"โอย...จะนับไปถึงไหนกันนะ "



    นับเสร็จก็นั่งหลับตาน้านนาน...ไม่เอาแล้ว หลับดีกว่า

    แม่ชีบวชได้วันที่3 ชักเบื่อแล้ว อยู่ในวัดไม่เห็นสนุกเลย วันๆไม่เห็นทำอะไรกัน เอาแต่นั่งหลับตา บ่นพึมพำอะไรก็ไม่รู้
    แถมยังทำท่าทางและคุยเรื่องอัศจรรย์ที่มองไม่เห็นด้วยเลย ปาฏิหารย์อิทธิฤทธิ์อะไรไม่เห็นมี แสงสีอะไรก็ไม่เห็นนี่


    รู้สึกเบื่อจังอยากจะสึกเต็มทีแล้ว แต่พูดเอาไว้ว่าจะบวช 9วัน เอ้า...9วันก็ 9วัน
    (เป็นกษัตริย์ตรัสแล้วไม่คืนคำ... แต่ไม่ได้เป็นกษัตริย์กับเขาสักที)

    คืนนั้นนั่งนึกถึงชีวิตของตัวเองด้วยเรื่องที่ผ่านมา ตั้งแต่ออกจากบ้าน อดบ้างมีบ้างสลับกันไป ทำงานสารพัด เล่นดนตรี
    ร้องเพลงตามบาร์ กลับดึกๆดื่นๆ อันตรายรอบตัว อยู่ท่ามกลางเสือ สิงห์ กระทิงแรด

    ขายที่ดิน ทำร้านซักอบรีด เป็นสายลับ ขายเสื้อผ้า เครื่องประดับ
    ของชำร่วยตามงานวัดและงานกาชาดทั่วประเทศ ขายผลไม้ และขายทุกอย่างดะ ( ยกเว้นยังไม่ได้ขายตัว )
    ตีกับคน ชนกับพวกบ้าระห่ำ ทำทุกอย่าง ลองยาเสพติดทุกชนิด สุดท้ายได้มาอยู่ในวัดนี้

    โชคดีจังที่มีชีวิตอยู่รอดมาได้ถึงวันนี้

    นึกแล้วก็อดน้ำตาเอ่อไม่ได้ นอนหลับไปฝันว่า

    "มีชายคนหนึ่งรูปหล่อมาก ยื่นมือมาให้แม่ชีจับ กำลังจะยื่นมือไปจับตอบแล้ว



    เผอิญมีผู้หญิงสวยอีกคนยื่นมือมาให้จับเช่นกัน พอเห็นผู้หญิงสวยเท่านั้น ไม่สนผู้ชายหล่อแล้ว หันไปจับมือผู้หญิงเฉยเลย

    จับอยู่ตั้งนาน ตกใจตื่น ปัดโธ่...ดันนอนจับมือแม่ชีท่านนั้นเอง แหม...


    (b-oneeye)(b-oneeye)

    โปรดติดตามตอนต่อไป ธรรมะสวัสดี สาธุ!!!
     
  15. แพรมาลา

    แพรมาลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2006
    โพสต์:
    44
    ค่าพลัง:
    +322
    รออ่านตอนต่อไปอยู่นะคะ
    update ทุกกี่วันคะ
    แหม..ยิ่งกว่ารอดูละครในทีวี ยังมี ทุก จ., อ.
    กะลังมันส์ จริงเชียว..แล้วก้อ
    จบซะงั้น..
     
  16. hongsanart

    hongsanart เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    1,332
    ค่าพลัง:
    +10,468
    เจริญธรรม...ประวัติตอนที่4 เจ้าค่ะ...

    หลังจากเข้ามาบวชชีพราหมณ์ได้ 3 -4 วัน อึดอัดมาก

    "น่าเบื่อจริงๆนะ การบวชอยู่วัดเนี่ย "

    คิดในใจว่า เหมือนคนไร้ค่า ไม่ได้ทำมาหากินอะไรเลย ตื่นก็เช้า กินข้าวเสร็จก็ไม่มีอะไรทำ วันๆเอาแต่นั่งหลับตา

    ตอนเย็นก็สวดมนต์ นั่งหลับตาอีกแล้ว แต่จะทำอย่างไรได้เล่าก็เลือกที่จะบวชเอง ก็ต้องทนกันไป

    วันที่ 17 กันยายน เป็นวันเกิดของหลวงปู่ เย็นวันนั้นมีการทำพิธีต่างๆ และปิดท้ายด้วยการลงทอง

    ลูกศิษย์ลูกหามากันมากมาย แต่หลวงปู่กลับอนุญาตให้เข้าห้องพิธีได้แค่ 22คนเท่านั้น และแม่ชีก็เป็นคนที่22 ซะด้วย ตื่นเต้นมากที่จะได้ดูการลงทอง ที่เขาร่ำลือกันนักว่า

    "ขลังและศักดิ์สิทธิ์มากเลย" อย่างว่าแหละ คนมันไม่ค่อยเชื่ออะไรง่ายๆอยู่แล้วอยู่แล้ว
    "สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น ตาเห็นแล้วก็ยังไม่เชื่อง่ายๆ"

    ในห้องพิธีคืนนั้น หลวงปู่ดูหนุ่มจัง ท่านลงทองให้กับลูกศิษย์ โดยเริ่มจากลงให้พระก่อน จากนั้นก็ลงให้กับญาติโยม

    ส่วนแม่ชีนั้นใจจดใจจ่อกับการลงทองที่หน้าผาก อยากรู้ว่ามันหายเข้าไปในหน้าผากได้อย่างไร? อัศจรรย์จริงๆ

    ทองมันหายเข้าไปได้จริงๆด้วย แค่หลวงปู่เป่าพรวดเดียวเท่านั้นเอง ตะลึงมาก ....

    จนมาถึงแม่ชีซึ่งเป็นคนสุดท้ายที่ได้ร่วมพิธีนั้น แม่ชีคลานเข้าไปกราบที่ตักของหลวงปู่แล้วก็เงยหน้าขึ้นมองดูท่าน

    หลวงปู่มองหน้าแล้วก็ยิ้มให้ แล้วท่านก็เอาแผ่นทองมาติดที่หน้าผาก จากนั้นท่านก็เป่าพรวด...

    กลิ่นหมากที่ท่านฉันอยู่นั้นหอมจริงๆ แม่ชีพยายามขยับหน้าผาก อยากรู้ว่าทองจะหายเข้าไปในหน้าผากหรือเปล่า?
    หันหน้าไปมองกระจก "โอ้โฮ!!! หายไปได้ยังไง?" อัศจรรย์จัง

    พอลงทองเสร็จคืนนั้นกลับไปนอนไม่หลับเลย รุ่งเช้าหลังจากทานข้าวเช้าเสร็จ จึงมานั่งที่หน้าพระประธาน กะว่าจะลองนั่งสมาธิดู เพราะใกล้จะสึกแล้ว จึงเริ่มจุดเทียนหน้าพระซะยาวเหยียดเลย เพราะดูแล้วขลังดี

    หลังจากนั้นก็ทำสมาธิ ขณะที่นั่งอยู่นั้น มีความรู้สึกว่ามีคนมายืนมองอยู่ข้างหลัง เพราะว่าเสื่อน้ำมันที่ปูพื้นมันดัง

    พยายามไม่สนใจ ทำจิตใจให้แน่วแน่ ครู่ต่อมาเห็นแสงจากพระประธานพุ่งลงมาครอบร่างของแม่ชีไว้ ตกใจเหมือนกันแต่ไม่ลืมตา ความรู้สึกตอนนั้นมันสุขจัง สบายจริงๆ

    สักพักจึงลืมตาแล้วหันไปมองผู้ที่ยืนอยู่ด้านหลัง แน่ะ...มีจริงๆด้วย เป็นแม่ชีท่านหนึ่งที่ไม่เคยเห็น และไม่ได้อยู่ที่วัดนี้ด้วย แม่ชีท่านนั้นนุ่งผ้าสีขาวแต่ข้างในใส่ชุดสีเหมือนพระเลย ท่านยิ้มให้ แม่ชีก็ยิ้มตอบ...


    คืนนั้นแม่ชีปวดหัวมาก แทบจะระเบิดทีเดียว คลื่นไส้ด้วย เวลาที่เคลิ้มจะหลับก็เหมือนมีอะไร มาอยู่ใกล้ๆ เป็นเงาดำๆตกใจมาก เลยไม่ได้นอนทั้งคืน รุ่งเช้าจึงไปเล่าให้ยายชีฟัง

    ยายชีจึงบอกว่าให้ไปถามหลวงปู่สิ...ครั้นไปเล่าให้หลวงปู่ฟัง ท่านนั่งหลับตาแล้วกล่าวว่า

    "ใครมันมาทำอะไรนะ?" ท่านจึงเรียกให้เข้าไปใกล้ แล้วท่านก็เป่าลงมาที่หัว พรวดเดียว "โอ้โฮ!!! อัศจรรย์อีกแล้ว"
    หายปวดหัวเป็นปลิดทิ้งเลย หัวเบาโล่งโปร่งสบายทีเดียว เดินออกมาจากห้องของท่าน เหมือนจะลอยได้อย่างนั้นเชียว...

    แม่ชีที่อยู่วัดนั้นจึงเล่าให้ฟังว่า แม่ชีคนนี้เลี้ยงผีเอาไว้ใช้งาน พวกผีชอบดูดเลือดและกินของเน่าๆ ถ้าวัดไหนมีคนมาบวชใหม่ แม่ชีคนนี้จะรู้และมา
    ลองของทันที แม่ชีฟังแล้วก็พยักหน้ารับฟัง แต่ก็ยังสงสัยอยู่ดีว่า มีอย่างนี้จริงๆหรือ?


    จนวันหนึ่งมีคนหามศพผู้หญิงคนหนึ่งขึ้นมาบนวัด ญาติบอกว่าให้หลวงปู่ช่วยด้วย ไม่อยากให้เธอตาย แม่ชีก็วิ่งไปดูด้วยเหมือนกัน
    ก็คนมันชอบเสือกนี่...

    เห็นหลวงปู่เอาสายสิญจ์มาพันที่ศพ แล้วก็นั่งบ่นพึมพำอะไรก็ไม่รู้ นานเชียว หลังจากนั้นท่านก็บอกให้ไปนำรูปปั้นกุมารทอง
    มาวางข้างๆศพนั้น แล้วท่านก็พูดอะไรไม่รู้ แป๊บเดียว ร่างศพที่นอนนิ่งกระดิกตัวได้ แล้วก็ลุกขึ้นนั่ง พร้อมกับร้องไห้เหมือนเด็กอ่อนเลย
    ทั้งๆที่ศพนั้นเป็นผู้ใหญ่อายุคงราวๆ 30 กว่าๆนั่นแหละ โอ้...แปลกจริงๆ ช่างอัศจรรย์มาก


    หลวงปู่ให้ร่างนั้นอยู่บนวัดและมีคนคอยชงนมให้กิน แหม!!! เหมือนเด็กเล็กเลย แม่ชีคิดในใจว่า "เออหนอ ...ในโลกนี้ยังมีอะไรแปลกๆ
    อย่างนี้ด้วยหรือ? นึกว่าจะมีแต่ในหนังเสียอีก"

    เมื่อบวชครบกำหนดวันสึก จึงเตรียมตัวสึกในตอนเย็น มีคนบอกว่า ต้องสึกตามกำหนดถ้าเลยกำหนดจะสึกไม่ได้...เวลาผ่านไป พอถึงกำนดสึก
    แม่ชีก็วิ่งไปหาพระให้พระสึกให้ พระวิ่งหนีหมดเลย ต่างบอกว่า

    " สึกให้ไม่ได้ ถ้าสึกให้ท่านจะร้อน " ก็ไม่รู้ว่าร้อนอะไรกัน...

    เมื่อไม่มีใครสึกให้จึงไปหาหลวงปู่ เพื่อจะให้ท่านสึกให้ แหม...ปกติท่านไม่จำวัน แต่วันนี้ดันจำวัดซะนี่ และก็ยังไม่ตื่นเสียด้วย

    "ซวยซีเรา นี่ก็ใกล้เวลามากแล้ว" ร้อนใจมากเลย กลัวไม่ได้สึก จึงตั้งจิตอธิษฐานในใจว่า

    " ถ้าหลวงปู่ตื่นขึ้นมาสึกให้หนู เมื่อหนูทำงานต่างๆสำเร็จ
    ไม่มีภาระอะไร หนูจะมาบวชที่นี่ตลอดชีวิตเลย"


    เหมือนปาฏิหารย์หลวงปู่ตื่นเลย วันนั้นจึงได้สึกสมใจ ลงจากวัด
    บ้าย...บายกันที

    จากวันนั้นนานมาก ไม่เคยย่างกรายเข้าไปในวัดนั้นอีกเลย ทำงาน เปิดร้านอาหารเล่นดนตรีจนเบื่อ ปิดร้านและให้คนมาเซ้งต่อเสียเลย

    หลังจากนั้นก็กลับบ้านที่กรุงเทพฯ
    มาหาที่เล่นดนตรีอีกตามเดิม ใช้ชีวิตเหมือนเดิมอยู่อย่างนี้อีก เบื่อก็ลงมาอยู่ภูเก็ตอีก และก็เล่นดนตรีหาเลี้ยงชีพตามเคยอีก เปิดร้านอาหารอีกแล้ว
    คราวนี้เจิมร้านเองเลย

    แหม...คนเพียบมากกว่าให้พระมาเจิมเสียอีก ทำไปทำมาเบื่ออีกแล้ว กลับกรุงเทพฯตามเดิม

    คราวนี้มาอยู่ที่อยุธยากับพ่อแม่ ช่วยท่านทำงานที่บ้าน คือขายของ สนุกกับการขายดะ ตอนเช้าก็ใส่บาตรพระทุกวัน

    วันหนึ่งใกล้หวยจะออก ก็ซื้อกับเขาเหมือนกันและพูดว่า

    "ถ้าถูกหวยรางวัลที่1 เมื่อไหร่ จะบวชชีตลอดชีวิตเลย"

    เย็นวันนั้นแหม...อยากกินผัดกระเพราเนื้อเหลือเกิน เดินมาตลาดจะซื้อเนื้อมาผัดกินให้อร่อย ทีเดียว

    " พลันหูได้ยินเขาออกสลากกินแบ่งรัฐบาลพอดี จึงยืนลุ้นด้วยใจจดจ่อ
    "รางวัลที่1 เลขที่ออก " เลขอะไรก็ไม่รู้ฟังไม่ถนัด แต่รู้ว่าตัวเองถูกรางวัลที่1 เข้าให้แล้ว



    เปล่า...ไม่ใช่รางวัลใหญ่หรอก แค่ 2ตัวหลังของรางวัลที่1 ก็เท่านั้นเอง คือ 24...ถูก 10บาท ได้เงิน 800

    โอ้...เอ้าเป็นกษัตริย์ตรัสแล้ว (ไม่ใช่กษัตริย์ซะหน่อย) ไม่คืนคำก็ได้ บอกว่าถ้าถูกรางวัลที่1 จะบวชตลอดชีวิต เอ้า...บวชก็บวช ก็ไม่ได้บอกว่าให้ถูกสลากรางวัลที่1ใบใหญ่นี่ ...

    วันหนึ่งมีเรื่องกับพ่อแม่อีกแล้ว
    ทุกคนหนีแม่ชีไปหมด เนื่องจากตอนนั้นแม่ชีอารมณ์ร้อนมาก ปิดประตูร้านใส่หน้าแม่ ไล่พ่อ จึงอยู่คนเดียวที่ร้าน เพราะทุกคนทิ้งไปหมด

    วันหนึ่งมีเพื่อนข้างบ้านเอาหนังสือ ถอดจิต มาให้อ่าน อ่านเสร็จเกิดความอยากถอดจิตให้ได้บ้าง

    คืนนั้นจึงลงมือสวดมนต์ตามที่เขาบอกมาว่า สวดแล้วจะดี คือ คาถายอดพระกัณฑ์พระไตรปิฎก และชินบัญชร

    สวดเสร็จก็นั่งสมาธิประมาณ 10 นาที วันแรกผ่านไป วันที่สองไม่มีอะไรก็ยังเหมือนเดิม วันที่สามแปลกกว่าเดิม

    คือกายเบาตัวเบาเหมือนจะลอยได้เลย โอ้โฮ!!!สุขจริงๆหนอนี่ เอาอะไรมาแลกก็ไม่ยอมจริงๆ

    จึงมาพิจารณาดูว่า ทำไมพระบางท่านจึงชอบนั่งสมาธินานๆ มันเป็นอย่างนี้เองหรือนี่? ใครไม่ทำย่อมไม่รู้รสชาติอันนี้
    คิดในใจอีกแล้วว่า

    "เอาละ...ไหนๆก็อยู่คนเดียว ใครๆก็ทิ้งไปหมด ดีสิ เราจะได้ทำในสิ่งที่เราต้องการ" นั่งนึกถึง เหตุการณ์ที่ผ่านมาสารพัด ทั้งหัวเราะและร้องไห้ มีทั้งสุขและมีทุกข์ มีทั้งคนที่เรารักและคนที่รักเรา มีทั้งคนที่ทิ้งเราไป

    มีทั้งคนที่ขอเราแต่งงาน ความรักเช่นนี้ไม่จีรังอะไรเลยหนอ มีคนด่าทอสารพัด และมีคนประจบสอพลอ

    เอาละ...เราจะไม่มีวันร้องไห้อีกต่อไป ไม่มีความหลังอะไรทั้งนั้น นึกถึงคำที่เคยอธิษฐานไว้เมื่อหลายปีที่แล้วว่า

    ถ้าไม่มีภาระอะไรจะมาบวชตลอดชีวิต นึกถึงหลวงปู่ทันที วันรุ่งขึ้นปิดร้านค้า แจกของในร้านและของๆตัวเองให้กับผู้อื่นหมด
    ด้วยคิดว่า

    ชาตินี้ไม่เอาอะไรแล้ว ขอไปตายเอาดาบหน้า ขอมุ่งหน้าเข้าสู่ร่มธรรม ขอตายในผ้าขาวนี่แหละ"""

    ไม่ได้บอกพ่อแม่เลย เพราะทะเลาะกัน ล่องใต้ลงสู่ภูเก็ตอีกครั้ง จุดมุ่งหมายคือ วัดของหลวงปู่สุภา

    โปรดติดตามตอนต่อไปจ้า
    (verygood)(verygood)

    ธรรมะสวัสดี สาธุ!!!
     
  17. hongsanart

    hongsanart เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    1,332
    ค่าพลัง:
    +10,468
    สาธุ...สาธุ...สาธุ...อนุโมทามิ

    รออ่านตอนที่ 5 ค่ะ

    (verygood) (bb-flower
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 ธันวาคม 2006
  18. soul2006

    soul2006 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    1,026
    ค่าพลัง:
    +5,169
    กราบอนุโมทนาด้วยค่ะ สาธุ สาธุ สาธุ....เส้นทางสายธรรมของแต่ละคน ต่างกัน แต่สิ่งที่เราได้คือข้อคิดมากมาย ทุกสิ่งล้วนไม่แน่นอน ไม่เที่ยงแท้ เหมือนที่พระพุทธองค์ได้กล่าวไ้ว้ อนิจจัง ทุกขัง อนิจจา..พบสัจธรรมด้วยตัวเอง ได้เข้ามาในร่มกาสาวพัตร ด้วยบุญบารมีของตัวเองที่สั่งสมมา..บุคคลทำกรรมเช่นไร ย่อมได้รับผลเช่นนั้น สาธุ สาธุ สาธุ
     
  19. hongsanart

    hongsanart เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    1,332
    ค่าพลัง:
    +10,468
    เจริญธรรม...ประวัติตอนที่ 5 เจ้าค่ะ...

    หลังจากลงมาถึงภูเก็ตก็ขึ้นไปยังสำนักสงฆ์เขารังทันที ก่อนบวชก็โทรไปหาญาติและอาๆทั้งหลาย บอกว่าจะบวชชี

    แหม!!!มีแต่คนห้าม ก็ไม่รู้เหมือนกันว่า ห้ามกันทำไม? ทีผู้ชายบวชไม่เห็นมีใครคัดค้านหรือห้ามเลย กลับเห็นดีเห็นงามตามกัน...

    พอผู้หญิงบวชชี...ห้ามกันยกใหญ่...แต่อะไรก็ไม่อาจมาขวางกั้นความตั้งใจของแม่ชีได้ ไม่สนใจคำคัดค้านใดๆ บอกให้แม่ชีบนวัดนั้นโกนหัวทันที รวมทั้งบอกว่า "บวชไม่สึก"
    พอแม่ชีโกนหัวให้ ใจแปล็บๆเหมือนกัน "นี่เราจะบวชไม่สึกแล้วหรือนี่" มองดูผมที่ถูกโกนด้วยใจหวิวๆเหมือนกัน

    หลังจากนั้นก็ไปบวชกับพระท่านอื่น ไม่ใช่หลวงปู่ เพราะหลวงปู่ไปอยู่ที่สกลนครยังไม่กลับภูเก็ต

    พระท่านถามว่า "บวชกี่วัน?" แม่ชีตอบว่า "ตลอดชีวิต" พระท่านร้องห้ามไว้ใหญ่เลย

    "โยมอย่าพูดอย่างนั้นเลย อาตมาเห็นมามากแล้วที่บอกว่าจะบวชตลอดชีวิตน่ะ อยู่ได้ไม่ถึง 7 วันก็เผ่นกันหมด"

    แม่ชีจึงบอกว่า "นั่นเป็นคนอื่น " พระท่านจึงบวชให้

    หลังจากนั้นแม่ชีก็ทำกิจเหมือนแม่ชีท่านอื่น คือ ตื่นทำวัตรเช้า ทำงานตอนกลางวัน ทำวัตรเย็น ประมาณ 5วัน ก็เริ่มเบื่ออีกแล้ว

    เงินที่ติดตัวมาก็หมด ขอเงินพระซื้อตู้ใส่เสื้อผ้า 500 บาท ท่านก็ไม่ให้

    จึงมาคิดว่า" เออหนอ...การบวชนี่ถ้าไม่มีเงินก็อยู่ยากเหมือนกันนะ" จึงโทรไปหาพี่สาวขอบาตร เพื่อจะเดินบิณฑบาตรเลี้ยงชีพตัวเอง พี่สาวส่งบาตรมาให้พร้อมกับเงินก้นบาตร 1,000 บาท เพื่อเอามาซื้อตู้ใส่เสื้อผ้า
    ในราคา 500 ที่เหลืออีก 500 ให้เด็กไป ไม่มีเงินติดตัวอีกเลย

    จากนั้นจึงบิณฑบาตรพร้อมกับแม่ชีอีกท่านหนึ่งทุกเช้า ญาติโยมก็ช่างมีเมตตา ขับรถมาใส่บาตรทุกเช้า รวมทั้งใส่เงินมาให้ด้วยทุกวัน

    ได้มีโยมคนหนึ่งมาเห็นแม่ชี จึงบอกว่าจะตัดชุดแม่ชีถวายให้ ไม่ต้องซื้อ ตั้งแต่นั้นมาก็ไม่เคยซื้อชุดแม่ชีอีกเลย เพราะโยมคนนี้เป็นธุระให้ตลอด

    ครั้นหลวงปู่กลับมาที่วัด ท่านก็เรียกไปพบและถามเรื่องราวต่างๆนานา แม่ชีก็เล่าให้ฟัง แต่ไม่ได้บอกว่า หนีพ่อแม่มาบวช ท่านก็ให้ทำกิจ
    อย่างเดิมเหมือนแม่ชีคนอื่น

    จนอยู่มาวันหนึ่งขณะที่กำลังสนทนาอยู่กับพวกแม่ชี รู้สึกว่าในกายของตัวเองมันเร่าร้อนชอบกล ใจมันเต้นโครมคราม อยากจะสวดมนต์

    จึงเดินเข้าห้องไปนั่งสวดมนต์เสียงดังลั่นวัดเลย สวดมนต์บทชินบัญชรนั่นแหละ สวดๆไปเสียงตัวเองก็เปลี่ยนไปเรื่อย บางครั้งก็เป็นเสียงคนแก่

    บางทีเสียงก็หวานหยดย้อยเหมือนผู้หญิงในรั้วในวัง บางครั้งเสียงก็ห้าวหาญ จิตใจเลยหึกเหิม บางทีก็สวดเป็นสำเนียงคนใต้ทั้งๆที่พูดใต้ก็ยังไม่ได้
    สลับเสียงกันอยู่อย่างนี้ ตกใจเหมือนกัน เอ...เราเป็นอะไรไป บ้าแล้วหรือไง? ใครมาสวดหว๋า?...
    ลองหยุดสวดชั่วขณะ แล้วเริ่มสวดใหม่ ก็เป็นเช่นเดิมอีกแล้ว แม่ชีที่นั่งฟังอยู่ต่างงงกันใหญ่เลย

    เป็นอยู่อย่างนี้ 3 วัน หลังจากนั้นก็เริ่มมีอาการแปลกๆ เริ่มได้ยินเสียงคนพูดในหู เป็นเสียงผู้หญิงบ้าง ผู้ชายบ้าง เด็กบ้าง คนแก่ คนหนุ่ม คนสาว สลับกันสอนโน่น สอนนี่ บอกนั่น บอกนี่

    โอย...จะบ้าตาย อะไรกันนี่?

    ตกกลางคืนก็นอนไม่หลับ พอจะเคลิ้มๆ ก็มักมีเสียงคนมาเรียก มาปลุกให้ตื่นตลอด "ชียา ลุกขึ้นมานั่งสมาธิซิ..."

    เป็นอย่างนี้ตลอด แม่ชีก็ไม่ลุกนั่ง เพราะง่วงนอนน่ะสิ แหม๋...คนจะหลับจะนอนบ้างก็มารบกวนอยู่ได้

    แม่ชีก็ไม่ลุกนั่งสักครั้งที่โดนเรียก สงสัยเหมือนกันว่าเป็นเสียงใครนะ ที่มาเรียกได้เรียกดีทุกวันเลย

    เวลาสวดมนต์ตอนเช้าแทบจะลุกไม่ไหว เพราะชอบมาหลับใกล้ๆทำวัตรเช้านั่นแหละ ทนฝืนลุกไปสวดมนต์ หลับบ้าง สวดบ้างไปตามเรื่อง

    พอถึงเวลานั่งสมาธิหลับตลอด ก็มันง่วงนี่...ก็หลับน่ะสิ...พอพระสั่นกระดิ่งก็ตื่นมากรวดน้ำ เป็นอย่างนี้เรื่อยมา

    6โมงเช้าก็ออกบิณฑบาตร กลางวันก็ทำงานวัด เย็นก็ทำวัตรสวดมนต์ อยู่อย่างนี้ ไม่มีอะไรหวื๋อหว๋ากว่านี้เลย...

    จนหลวงปู่เรียกให้ขึ้นไปหา ท่านถามว่า "สวดชุมนุมเทวดาได้ไหม?" แม่ชีตอบไปว่า " ต้องดูหนังสือค่ะ" หลวงปู่จึงเรียกให้เข้าไปใกล้ๆท่าน

    พร้อมทั้งบอกว่า "มองตาปู่ ปู่จะท่องให้ฟัง" จากนั้นหลวงปู่ก็ท่องชุมนุมเทวดาให้ฟังจนจบ เสียงที่ท่านสวดนั้น เหมือนพวกพราหมณ์ที่สวดตามวัดแขกนั่นแหละ

    พอท่านสวดจบ ก็บอกให้แม่ชีลองสวดให้ท่านฟัง แม่ชีอึดอัดเหมือนกัน เพราะท่องไม่ได้ หลวงปู่ก็บอกให้ท่องออกมาเถอะ

    ตั้งสติสักพัก จึงลงมือท่องออกมา แหม!!! โอ้โฮ...อะไรกันนี่ สวดได้ยังไง สวดจนจบอีกต่างหาก เสียงที่สวดนั้นก็เหมือนเสียงที่หลวงปู่สวดเลย

    อัศจรรย์!!! ตะลึงเหมือนกันนะ แปลกน่ะสิ...ก็คนสวดไม่ได้ สวดไม่เป็น จำบทสวดก็ไม่ได้ จู่ๆสวดได้ มันน่าแปลกนะ

    ครั้นถึงเวลาทำวัตรเย็น ช่วงเวลากล่าวชุมนุมเทวดา พระท่านจะให้แม่ชีผู้เป็นหัวหน้าสวด แต่วันนั้นท่านโยนมาให้แม่ชีเป็นคนสวดชุมนุมเทวดาแทนท่าน
    ประหม่าน่าดูเลย

    แต่ก็พยายามสวด พอเปล่งเสียงเท่านั้น เสียงสวดชุมนุมเทวดาดังลั่นวัด เสียงใหญ่ดังกังวาน เหมือนเสียงที่หลวงปู่สวดให้ฟังเลยแหละ

    พระทุกรูปหันมามองเป็นตาเดียวกันเลย ...หลังจากสวดมนต์เสร็จก็ถึงเวลานั่งและทำสมาธิ แม่ชีก็นั่งสมาธิปกติ

    แต่พอพระสั่นกระดิ่งให้ออก มือแยกออกจากกันไม่ได้เสียแล้ว พยายามเท่าไหร่ก็ออกไม่ได้ ตาก็ลืมไม่ขึ้น จึงนั่งต่อไปจนพระทำวัตรเย็นกันเสร็จ
    ก็ยังออกไม่ได้

    ทุกคนลุกขึ้นไปกันหมด ปล่อยให้แม่ชีนั่งอยู่ในศาลาสวดมนต์คนเดียว จนประมาณ 3ทุ่มเสียงนาฬิกาตีบอกเวลา

    แม่ชีจึงลืมตาขึ้นมาได้ เห็นแม่ชีที่เดินบิณฑบาตรด้วยกันมานั่งดู นั่งเฝ้า...
    แม่ชีเป็นอย่างนี้ประมาณ 2 อาทิตย์ ไม่มีใครให้คำตอบกับแม่ชีได้เลย หลวงปู่ก็ไม่อยู่ เพราะท่านขึ้นไปสกลนคร

    ตอนกลางคืนก็จะมีเสียงคนมาพูด มาสอนอยู่อย่างนี้ตลอดเวลา ทำให้นอนไม่หลับ เบื่ออาหาร เริ่มผอมลงเรื่อยๆ

    บางคืนก็จะมีเหมือนเสียงหลวงปู่มาปลุก มาสอนพระเวทย์ต่างๆ บางทีก็เหมือนหลวงปู่สุข ซึ่งเป็นอาจารย์ของหลวงปู่สุภามาสอน มาพูดธรรมะให้ฟัง

    คนในวัดเริ่มมองแม่ชีด้วยสายตาแปลกๆ จนหลวงปู่กลับมาจากสกลนคร ท่านก็ไม่ได้เรียกให้ขึ้นไปหา แม่ชีก็ยังคงทำกิจกรรมเช่นเดิม

    จนคืนหนึ่ง ได้มีเสียงคนพูดในหูของแม่ชี บอกว่าถ้าอยากบรรลุ สำเร็จคืนนี้เที่ยงคืนให้นั่งสมาธิ แม่ชีจึงชวนเหล่าแม่ชีทั้งหลาย

    ว่าถ้าใครอยากจะบรรลุธรรมคืนนี้ให้มานั่งสมาธิที่หน้าพระประธานพร้อมกัน จนใกล้เวลาเที่ยงคืนก็มีแม่ชีมาร่วมนั่งสมาธิด้วยประมาณ 4 รูป พอเวลาตีบอกเวลาเที่ยงคืน แม่ชีเริ่มมีอาการแปลกๆ ถอนออกจากการนั่งสมาธิเดินมากดกระหม่อมของแม่ชีทีละรูป

    แล้วถามว่า "สว่างไหม?" แม่ชีที่โดนกดกระหม่อมก็บอกว่า "สว่าง"

    จนกระทั่งมีแม่ชีเด็กที่มาบวชใหม่รูปหนึ่ง เดินออกมาจากห้อง แม่ชีก็เรียกให้มานั่ง แม่ชีเด็กไม่มานั่ง แม่ชีจึงกล่าวออกไปว่า

    "ทีหลังอย่าขโมยเงินในตู้บริจาคอีกนะ มันบาป" พอพูดจบแม่ชีเด็กก็ร้องกรี๊ดลั่นวัดเลย เสียงที่ร้องออกมาดูกร้าวร้าวรุนแรง

    เสียงดังสนั่นลั่นวัด พระที่พักอยู่ข้างบนต่างวิ่งลงมาดูกันยกใหญ่...

    โปรดติดตามตอนต่อไปจ้า...
    (verygood)(verygood)(verygood)

    ธรรมะสวัสดี สาธุ!!!!
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 21 ธันวาคม 2006
  20. hongsanart

    hongsanart เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    1,332
    ค่าพลัง:
    +10,468
    ประะวัติตอนที่6...

    คราวที่แล้วถึงตอนที่แม่ชีเด็กร้องลั่นวัด เสียงกรี๊ดกร๊าดคล้ายคนถูกข่มขืนใจอย่างนั้นทีเดียว และจริงอย่างที่คิด สักพักมีสายตรวจของตำรวจ
    มาที่วัด 2 นายด้วยกัน ตำรวจเข้ามาสอบถาม แม่ชีเด็กก็ชี้มาที่แม่ชีว่าทำร้ายเธออย่างแรง ตำรวจหันมามองแม่ชีล่ะมั้งซึ่งตอนนั้นแม่ชีนั่งหลับตาทำสมาธิอยู่

    แม่ชีไม่ได้กล่าวตอบโต้อะไร ตำรวจก็หันมามองแม่ชีเด็กอย่างงงๆ เพราะแม่ชีเด็กกล่าวว่า "แม่ชีเชิญผีให้เข้าสิงตน" ใครฟังก็ขำกันทั้งนั้นแหละ

    แม่ชีเด็กบอกให้ตำรวจจับแม่ชีไปโรงพัก ตำรวจเลยพูดกับแม่ชีเด็กนั้นว่า "ให้ไปนอนเสียเถอะ อย่าฟุ้งซ่านเลย" ว่าแล้วตำรวจก็กลับไปกันหมด

    แม่ชีนั่งฟังการสนทนากันระหว่างตำรวจกับแม่ชีเด็กโดยไม่ได้ลืมตาออกมาดู จนเวลาล่วงผ่านไป ทุกอย่างเงียบสงบ ไม่รู้ว่าหายกันไปไหนหมด

    แม่ชีก็คิดว่าคงจะแยกย้ายกันไปนอนหมดแล้ว เพราะว่าดึกมากพอสมควร
    แม่ชีไม่ได้ออกจากสมาธิ ยังคงนั่งต่อไปเรื่อยๆ จนอารมณ์ดิ่งลงลึก ลมวิ่งขึ้นหัวและออกทางหู วึ๊ดๆ จนสุดท้ายไม่ได้ยินอะไรเลย ร่างกายขยับไม่ได้
    แต่รู้นะว่านั่งสมาธิอยู่ อยากออกก็ออกไม่ได้ก็เลยปล่อยเลยตามเลย

    จนกระทั่งได้ยินเสียงระฆังดังเหง่งหง่างกังวาล บอกเวลา ตี4 เป็นเวลาที่ต้องทำวัดเช้าพอดี

    แม่ชีจึงค่อยๆลืมตาขึ้นมา แปลกใจเหมือนกันว่า ทำไมลืมง่ายจังเพราะตอนบังคับให้ลืมตามันก็ลืมไม่ได้ อยากออกจากสมาธิก็ไม่ได้อีกนั่นแหละ

    แต่ตอนนี้ไม่ต้องบังคับเลย กลับออกได้เอง ที่สำคัญอาการทางกายไม่เจ็บเลย รู้สึกว่าร่างกายเบาหวิวเดินปลิวลม อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

    ลุกขึ้นเดินเข้าห้อง นั่งคิดทบทวนเหตุการณ์มันไม่ปะติดปะต่อเลย จำได้บ้างไม่ได้บ้าง ก็ไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นเหมือนกันนะ

    จากวันนั้นมาภายในกายภายในใจเริ่มมีอาการแปลกๆอีกแล้ว เหมือนรู้อะไรไปหมดเลย เดาใจคนออก บอกคนได้ว่าจะเกิดจะมีอะไรบ้าง

    แม่ชีที่เป็นหัวหน้าชอบเข้ามาถามในเรื่องต่างๆ แม่ชีก็จะมีอาการควบคุมตัวเองไม่ค่อยได้ ก็ไม่รู้ว่าเป็นอะไร คล้ายๆเหมือนมีวิญญาณหรือมีใครที่เรา
    มองไม่เห็นมาสั่งมาบังคับให้ทำให้พูด คงจะเหมือนกับพวกที่ทรงองค์ทรงเจ้าละมั้ง?

    คำที่ใครก็ไม่รู้พูดออกมาโดยผ่านปากแม่ชีนั้น เป็นสิ่งที่แม่ชีไม่เคยรู้มาก่อนเลย ธรรมะอะไรไม่เคยเข้าใจ ไม่เคยรู้ไม่เคยเรียนมาก่อน ไม่เคยมีใครสอนด้วย
    เสียงที่พูดออกมาก็ไม่ค่อยจะเหมือนบุคคลิกของเราเลย เป็นอยู่อย่างนี้นานพอสมควร

    ช่วงนี้ได้มีโอกาสขึ้นไปรับใช้หลวงปู่กับหัวหน้าแม่ชี เป็นผู่ช่วยหยิบโน่นทำนี่เท่านั้น วันหนึ่งแม่ชีผู้เป็นหัวหน้าไม่ว่าง จึงให้แม่ชีขึ้นไปดูแลรับใช้หลวงปู่คู่กับแม่ชี
    อีกท่านหนึ่ง

    วันนั้นแม่ชีต้องทำหน้าที่ชงกาแฟให้กับหลวงปู่ ก็ชงตามที่ตัวเองชอบและคิดว่าอร่อยที่สุดแล้ว เพราะฝีมือการชงกาแฟของแม่ชีนั้นเด็ดเยี่ยมยอดทีเดียว


    พอหลวงปู่ยกกาแฟขึ้นจิบเบาๆ ท่านทำปากขมุบขมิบสักพักก็วางถ้วยกาแฟลงและไม่ดื่มกาแฟต่ออีกเลย แม่ชีมองหลวงปู่แล้วนึกเสียดายกาแฟ
    จึงนำมาดื่มเองซะเลย เป็นอย่างนี้อยู่ประมาณอาทิตย์กว่าๆ
    ไม่ได้การเสียแล้ว

    "เราชงกาแฟชนิดที่หาตัวจับได้ยาก ทำไมหลวงปู่ดื่มแบบไม่อร่อยเลยนะ"

    จึงไปถามหัวหน้าแม่ชีว่า"หลวงปู่ฉันกาแฟแบบใด?"
    หัวหน้าแม่ชีจึงบอกการชงกาแฟให้หลวงปู่ดื่มมา ปัดโธ่!!!เป็นอย่างนี้เอง ทำไมเราโง่จังนะ...

    หลังจากนั้นมาลีลาการชงกาแฟของแม่ชีจึงเริ่มขึ้นใหม่ทันที ...กาแฟพูนเต็มช้อนครึ่ง น้ำตาลทราย 6 คอฟฟีเมท 4 ถ้วยกาแฟธรรมดา


    โอย!ทำไมมันหวานจังแถมยังคนให้เข้ากันยากอีก สุดท้ายหลวงปู่ยกกาแฟดื่มจนหมดแก้วทุกครั้ง...


    นี่คือที่มาของการเรียนวิชาชงกาแฟเป็นวิชาแรก ...อย่าเพิ่งหัวเราะนะ วิชานี้เองที่ทำให้แม่ชีรู้วาระจิตของคนทันที

    รับใช้หลวงปู่อยู่ประมาณ 1 อาทิตย์ ท่านก็จะเล่าเรื่องโน้นเรื่องนี้ให้ฟัง สอนพระเวทย์ต่างๆ ถามปริศนาธรรม จนเย็นวันหนึ่งหลวงปู่ให้จัดห้องของท่าน

    แม่ชีก็ช่วยหัวหน้าแม่ชีจัดห้องให้ท่าน หลวงปู่หยิบสังฆาฎิในตู้ออกมายื่นให้แม่ชี ท่านบอกว่า "ปู่ให้เธอ" งงเหมือนกันนะ เพราะสังฆาฎินั้นเป็นของพระ

    แต่หลวงปู่นำมาให้แม่ชี หัวหน้าแม่ชีจึงบอกว่า "รับไปเถอะ โชคดีนะที่หลวงปู่ให้น่ะ เราอยู่ตั้งนานหลวงปู่ไม่เคยให้เลย คนอื่นก็ไม่เคยได้ด้วย"

    แม่ชีจึงรับสังฆาฎิมาใส่พานวางไว้หน้าพระประธานในห้อง แล้วท่านก็ให้เข้าไปใกล้ๆ ท่านเอามือลูบหัวแม่ชีแล้วกล่าวว่า

    "เอาของเก่าออกไปให้หมด แล้วเติมธรรมะเข้าไปให้เต็ม" แม่ชีสั่นไปทั้งตัวเลย บังคับไม่ได้ด้วย

    หลังจากนั้นมาเริ่มมีอาการแปลกๆอีกแล้ว ไม่รู้ใครสั่งใครพูดในสมองบอกว่า

    "อย่าไปเชื่อมัน มันเกลียดแก มันแกล้งทำดีกับแก เพื่อให้แกตายใจ"
    แกในที่นี้ก็คือหลวงปู่นั่นแหละ

    "ลองสังเกตดูสิมันไม่ได้รักแกหรอก มันชอบชีเด็ก มันชอบนอนกับเด็กสาวๆและเป็นเด็กพรหมจรรย์ เพื่อต่ออายุของมันให้ยาวนานไง"

    "ไม่เชื่อคืนนี้อย่าเพิ่งนอนนะ คอยเฝ้าดูว่าแม่ชีเด็กคนนั้นจะลงมาจากห้องของมันไหม?"

    แม่ชีไม่รู้เหมือนกันว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับเรา ทำไมมันจึงเป็นอย่างนี้?
    วันนั้นจึงไม่ขึ้นไปรับใช้หลวงปู่เหมือนเคย แต่คอยจับตาเฝ้าดูว่าจะจริงอย่างที่ใครก็ไม่รู้บอกในสมองหรือเปล่า?

    เวลาผ่านไปประมาเที่ยงคืนกว่าๆ แม่ชีเด็กลงมาจากห้องของหลวงปู่จริงๆด้วย
    เริ่มมีเสียงบอกในหูอีกแล้ว

    "เห็นไหม จริงอย่างที่ฉันบอกจริงๆด้วย เชื่อฉันหรือยัง สึกเถอะ อย่ามาบวชอยู่ในวัดนี้เลย"

    แม่ชีเริ่มสับสนจริงๆ สมองตื้อไปหมดเลย "อะไรกันมีอย่างนี้ด้วยหรือ?" "สึกเถอะ หรือก็ขึ้นไปตีมันเลย ตีมันให้ตายนะ"

    เสียงบอกให้ทำในสิ่งที่แม่ชีทำได้ยากพอสมควร ใจหนึ่งก็คิดพิจารณาว่า

    "เป็นไปได้อย่างไร ไม่เห็นท่านเป็นอย่างที่เสียงใครบอกเลย พระแก่ๆท่านนี้จะเป็นอย่างนั้นได้อย่างไรกัน เราไม่เชื่อ เป็นไปไม่ได้"

    มีเสียงตอบสวนกลับ "เธอยังไม่รู้อะไร มันเล่นละครเก่งจะตาย ไม่เชื่อคืนนี้ลองถามแม่ชีเด็กคนนั้นดูสิว่ามันทำอย่างนั้นจริงไหม?"

    โปรดติดตามตอนต่อไปในตอนที่7จ้า...(b-oneeye)(b-oneeye)

    ธรรมะสวัสดี สาธุ!!!!
     

แชร์หน้านี้

Loading...