เวลาท่องเราออกเสียงผิด หรือคัดลอกมาแล้วผิดบางคำ พระคาถานั้นๆ จะสัมฤทธิ์ผลหรือไม่

ในห้อง 'บทสวดมนต์ - คาถา' ตั้งกระทู้โดย vayumat, 6 ธันวาคม 2007.

  1. newhatyai

    newhatyai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    1,768
    ค่าพลัง:
    +6,203
    คำสั่งพระพุทธเจ้าให้กล่าวธรรม – วินัย ด้วยภาษาที่เข้าใจ เล่ม 23 หน้า 329

    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในอรณวิภังค์นั้น การปรักปรำภาษาชนบทและการล่วงเลยคำพูดสามัญ
    นี้เป็นธรรมมีทุกข์ มีความคับใจ มีความแค้นใจ มีความเร่าร้อน เป็นความปฏิบัติผิด


    เพราะฉะนั้น ธรรมนี้จึงยังมีกิเลสต้องรณรงค์ แต่การไม่ปรักปรำภาษาชนบท และการไม่ล่วงเลยคำพูดสามัญ
    นี้เป็นธรรมไม่มีทุกข์ ไม่มีความคับใจ ไม่มีความแค้นใจ ไม่มีความเร่าร้อน เป็นความปฏิบัติชอบ
    เพราะฉะนั้น ธรรมนี้จึงไม่มีกิเลสต้องรณรงค์


    --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------


    ธรรมที่ควรสั่งสมเพื่อความเจริญแห่งปัญญาอันถูกต้อง เล่ม 31 หน้า 396

    เจริญธรรม ๔ ประการเพื่อได้ปัญญา
    เจริญธรรม ๔ ประการเพื่อปัญญาเจริญ

    ธรรม ๔ ประการเป็นไฉน คือ

    การคบสัตบุรุษ ๑ (คบคนดีมีศีลธรรมอันงามในพระพุทธศาสนา)
    การฟังสัทธรรม ๑ (อ่าน - ฟังธรรมอันงามที่ำนำสัตว์ออกจากทุกข์ คือ ธรรมของพระพุทธเจ้า)
    การกระทำไว้ในใจโดยแยบคาย ๑ (อ่าน - ฟังแล้วทรงจำไว้ได้ - เข้าใจความหมายได้ดีทะลุปรุโปร่ง)
    การปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ๑ (จากนั้นก็ปฏิบัติไปตามธรรมที่ตนจำได้และเข้าใจความหมายได้ถูกต้องนั้น)

    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๔ ประการนี้...

    ในคำว่า ย่อมเป็นไปเพื่อได้เฉพาะซึ่งปัญญา นี้
    พระเสขบุคคล ๗ จำพวก พึงทราบว่า ชื่อว่าผู้ได้เฉพาะซึ่งปัญญา
    พระขีณาสพพึงทราบว่าชื่อว่า ผู้ได้ปัญญาแล้ว...

    *** คำสอนของพระพุทธเจ้านี้ไม่มีนะ ประเภทเงอะๆงะๆ สวดแบบไม่รู้เรื่่องแล้วมันจะดีเอง
    มันจะไปดีได้ยังไงเพราะัมันไม่รู้เรื่อง และถึงรู้เรื่องแต่ไม่ลงมือปฏิบัติ มันก็ยังดีไม่ได้อีก
    สวดเฉยๆ แล้วมันจะดี - เจริญเอง คำสอนใครหว่า? พิจารณาซิ พิ - จา - ร - ณา
     
  2. newhatyai

    newhatyai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    1,768
    ค่าพลัง:
    +6,203
    สวดมนต์แล้วต้องรู้เรื่อง - รู้ความหมาย เล่ม 17 หน้า 21

    ....ใคร ๆ สามารถจะทราบพระดำรัสของ พระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์นั้น ซึ่งละเอียดอ่อนด้วยนัยต่าง ๆ
    เกิดขึ้นด้วยอัธยาศัยอันกว้างขวางสมบูรณ์ด้วยอรรถและพยัญชนะมีปฏิหาริย์หลากหลาย
    ลึกซึ้งโดยธรรม โดยอรรถ โดยเทศนา แลโดยปฏิเวธ
    มาสู่โสตประสาท (ประสาทรับรู้ทางหู) ของสัตว์ทั้งปวง โดยสมควรแก่ภาษาของตน ๆ โดยประการทั้งปวง
    และทั้งให้เกิดความอยากฟังโดยเต็มกำลัง….


    และเล่ม 35 หน้า 62

    บทว่า มนสานุเปกฺขิตา ได้แก่ เพ่งด้วยจิต.
    พระพุทธวจนะที่ภิกษุใดสาธยายแล้วด้วยวาจา ปรากฏ (ความหมาย) ชัดในที่นั้นๆ แก่เธอผู้คิดอยู่ด้วยใจ
    เหมือนรูปปรากฏชัด แก่บุคคลผู้ยืนตามประทีปดวงใหญ่ ฉะนั้น.

    บทว่า ทิฏฺฐิยา สุปฺปฏิวิทฺธา ได้แก่ ใช้ปัญญาขบทะลุปรุโปร่ง ทั้งเหตุทั้งผล.



    -------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

    สวดมนต์ไม่ถูกหลักภาษาบาลี เป็นการทำลายคำสอนอีกวิธีหนึ่ง เล่ม 35 หน้า 381

    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๔ ประการนี้เป็นเหตุให้พระสัทธรรมเลอะเลือนอันตรธานไป
    ธรรม ๔ ประการเป็นไฉน คือ

    ภิกษุทั้งหลายในพระวินัยนี้ เล่าเรียนสูตรอันถือกันมาผิดด้วยบทพยัญชนะที่ใช้ผิด
    เนื้อความแห่งบทพยัญชนะที่ใช้ผิด ย่อมมีนัยอันผิดไปด้วย นี้ธรรมประการที่ ๑
    เป็นเหตุให้พระสัทธรรมเลอะเลือนอันตรธานไป...


    เพราะผู้ที่สวดมนต์เป็นภาษาบาลีสมัยนี้ไ่ม่ได้เรียนรู้จักฐานกรณ์ - ไวยากรณ์ของภาษาบาลี
    ให้เป็นอย่างดี ไม่ได้เรียนรู้ว่า พยัญชนะไหนควรออกเสียงสูง - ต่ำ - หนัก - เบา -
    เสียงจากลำคอ - เสียงขึ้นจมูก เป็นต้น

    เพราะฉะนั้น เรื่องการออกเสียงเืมื่อสวดมนต์เป็นภาษาบาลีจึงมีผิดพลาดอย่างมาก
    เมื่อการออกเสียงสำเนีัยงผิดพลาด ความหมายของบทบาลีนั้นๆ ก็ย่อมผิดพลาดคลาดเคลื่อนตามไปด้วย

    เช่น ถ้าเทียบกับภาษาไทยอย่างคำว่า "ไปไหนมา" ถ้าออกเสียงผิดเพี้ยนก็จะเป็น "ไปไหนหมา"
    อย่างคำว่า "ผู้มีความรู้เป็นอย่างยิ่ง" ถ้าออกเสียงผิดเพี้้ยนก็จะเป็น "ผู้มีความรู้เป็นอย่างหญิง" ทำนองนี้เป็นต้น

    ขอท่านที่ชอบสวดมนต์จงคิดดูเถิดว่า มันจะมีผลเสียมากน้อยแค่ไหน ต่อธรรมคำสอนนี้
    โดยเฉพาะพวกทิพย์ที่ว่าชอบฟังการสวดมนต์และฟังได้รู้เรื่อง เขาจะตำหนิติเตียนคนสวดมนต์ที่สวดให้ผิดเพี้ยน
    ไปจากความหมายเดิมมากน้อยอย่างไร และบาปจะมีกับคนที่สวดมนต์โดยไม่พิจารณาให้ดีมากหรือน้อยเพียงไร
     
  3. newhatyai

    newhatyai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    1,768
    ค่าพลัง:
    +6,203
    เหตุที่พระพุทธเจ้าทรงสรรเสริญการท่องบ่นสาธยายมนต์
    ในคราวที่พระองค์ยังทรงพระชนม์อยู่คือ การเรียนธรรม - วินัยในสมัยนั้น ไม่มีเครื่องบันทึกช่วยเหมือนในสมัยนี้
    ต้องอาศัยสมอง - ความจำ ของผู้เรียนที่มีความสามารถอย่างเช่น พระอานนท์ เป็นผู้บันทึกธรรม
    แล้วจึงแจกจ่ายสอนต่อไปยังบรรดาลูกศิษย์ของท่าน
    หรือผู้ใดก็ตามที่ต้องการเรียนธรรมก็มาเรียนธรรมต่อไปจากพระอานนท์นั้น

    เมื่อเป็นเช่นนี้ความจำของมนุษย์ย่อมมีการเลอะเลือน - คลาดเคลื่อนไปบ้าง
    ผู้เรียนธรรม - วินัยในคราวนั้นจึงหาวิธีแก้ไข - ป้องกันการหลงลืม
    ด้วยการท่องบ่นสาธยายบทธรรม (มนต์) ที่ตนเองเรียนมา

    โดยอาจจะท่องบ่นสาธยายอยู่แต่เพียงผู้เดียวก็ได้ แต่เมื่อเกิดสงสัยว่าตนเองจำได้ถูกต้องหรือเปล่า
    ก็ไปสอบสวนทบทวนบทธรรม (มนต์) ของตนเองกับผู้อื่นที่เรียนธรรมในเรื่องเดียวกัน
    หรือบางครั้งอาจจะท่องบ่นสาธยายกันเป็นกลุ่มๆก็มี

    และทุกท่านที่ทำการท่องบ่นสาธยายนั้น ก็รู้เรื่องและเข้าใจในคำสอนเป็นอย่างดี
    เพราะว่า เป็นภาษาที่ท่านเหล่านั้นเข้าใจเป็นอย่างดีนั่นเอง พร้อมกับปฏิบัติตามได้อย่างดีเยี่ยม
    มรรค - ผล - นิพพาน ประโยชน์ที่จะพึงได้ จึงบังเกิดให้ท่านเหล่านั้นได้ชื่นชมโดยสมควรแก่ภาวะแห่งตน
     
  4. newhatyai

    newhatyai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    1,768
    ค่าพลัง:
    +6,203
    การสวดพระปริตร ตามหลักฐานทางพระพุทธศาสนาแล้วมีด้วยเหตุ 2 ประการคือ

    1. สวดเพื่อทบทวนมนต์ที่ตนเองได้เรียนมา เพราะสมัยนั้นไม่มีเครื่องบันทึกช่วยการเรียนเหมือนอย่างในสมัยนี้

    2. สวดเพื่อป้องกันและแก้ไขในกรณีที่ถูกเหล่าอมนุษย์รบกวนมีพวก ยักษ์ - คนธรรพ์ - กุมภัณฑ์ - นาค เป็นต้น


    แต่ก็พึงทราบไว้ว่า การสวดพระปริตร (มนต์) นั้นเป็นทางเลือกสุดท้ายเมื่อไม่มีทางเลือกอื่นอีก
    เมื่อถูกพวกอมนุษย์รบกวนเพราะได้แก้ไขด้วยวิธีอื่่นไปมากแล้ว เช่น การอุทิศบุญ
    และการขอโทษด้วยความจริงใจที่เคยกระทำความผิดต่อกันในครั้งอดีต



    ผู้ที่ชอบสวดมนต์พึงทราบด้วยว่า อานุภาพของพระปริตรเหล่านี้คือ รัตนปริตร - เมตตาปริตร - ขันธปริตร -
    ธชัคคปริตร - อาฏานาฏิยปริตร - โมรปริตร เมื่อมีผู้สวดขึ้นพระปริตรเหล่านี้
    มีอานุภาพแผ่ไปถึงแสนโกฏิจักรวาลเป็นที่สุด

    และบทสวดเหล่านี้มีอานุภาพในการขับไล่ - เบียดเบียน
    พวกวิญญาณชั้นต่ำๆ ในโลกทิพย์ให้ได้รับความเดือดร้อนมาก ซึ่งพวกเขาเหล่านี้ก็ไม่ใช่ใครอื่น
    แต่เป็นญาติเป็นพี่เป็นน้องกับพวกเรานี่เอง เมื่อได้ก่อกวนกันให้ได้รับความเดือดร้อนอยู่บ่อยๆ
    จากญาติก็กลายเป็นนายเวรที่จ้องจะล้างผลาญกันไ้ด้

    และบทสวดเหล่านี้มีอานุภาพในการขับไล่ - เบียดเบียน
    พวกสัตว์ในโลกทิพย์ที่ไม่ชอบคำสอนของพระพุทธศาสนาอยู่แล้วแต่เดิม
    ซึ่งสัตว์ในโลกทิพย์ที่ไม่ชอบพระพุทธศาสนานี้มีเยอะมาก มากกว่าพวกที่ชอบพระพุทธศาสนานะ
    เรื่องนี้มีคำยืนยันจากการที่ท้าวจตุโลกบาลทั้ง 4 มากราบทูลพระพุทธเจ้าให้ทราบถึง "อาฏานาฏิยสูตร" นั่นเอง

    เมื่อมีการสวดมนต์ที่เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าขึ้น ณ ที่แห่งใด สวดโดยไม่มีเหตุที่จำเป็นแล้วละ่ก็
    มีสัญญาณต่อต้านทันทีแน่นอน และที่มีคำกล่าวว่า "เทวดาชอบฟังการสวดมนต์" นั้น แบบนี้มีอยู่จริง
    แต่เทวดาจำพวกนี้ ก็จะต้องเป็นเทวดาที่เรียนรู้และชื่นชอบพระพุทธศาสนามาเป็นอย่างดีี
    และเมื่อฟังการสวดมนต์แล้วก็สามารถเข้าใจในบทแห่งธรรมได้เป็นอย่างดี
     
  5. newhatyai

    newhatyai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    1,768
    ค่าพลัง:
    +6,203
    ส่วนท่านผู้ใดจะอ้างว่า "ทำไมครูบาอาจารย์ท่านนั้น – ท่านนี้ ก็สวดมนต์ ก็เห็นท่านถึงพระนิพพานเหมือนกัน "

    อันนี้ต้องทำความเข้าใจว่า
    " ผู้ที่มีการเกิดเป็นชาติสุดท้ายนั้น "
    ไม่ว่าจะทำบาปกรรมมากขนาดใหนก็ตาม ถ้าไม่ใช่อนันตริยกรรมซะแล้ว
    บาปกรรมเหล่านั้นขวางท่านไม่อยู่หรอก เช่น พระองคุลีมาล – พากุละ – สิวลี – สังกิจจ เป็นต้น
    เพราะพลังใจของท่านเหล่านั้น บำเพ็ญมาเต็มที่แล้ว ไม่ถอยหลังอีกแล้ว

    เปรียบเหมือนกับว่า ช้างใหญ่ทรงพลัง เดินข้ามแม่น้ำที่มีจรเข้ใหญ่อาศัยอยู่
    จรเข้ใหญ่ที่อาศัยอยู่นั้น ก็ไม่กล้างับช้างใหญ่หรอก
    แต่ถ้าเป็นช้างเล็กหรือกวางกาเซลล่ะ อะไรจะเกิดขึ้น?


    ถ้าผู้ใดมั่นใจว่า พลังใจของตนที่บำเพ็ญมายิ่งใหญ่พอ
    อยากจะสวดมนต์แบบไม่รู้เรื่องและไม่จำเป็น
    หรือผู้ใดอยากจะสวดเพราะคิดว่า บาปแค่นี้ " บ่ยั่น " ก็เชิญตามสบายเถิด
     
  6. newhatyai

    newhatyai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    1,768
    ค่าพลัง:
    +6,203
    หลวงพ่อเกษมสอนว่า

    1. ระลึกพึ่งพุทธ – ธรรม – สงฆ์ นำผลบุญที่ได้จากการระลึกบูชาผู้ใดก็ได้

    2. ที่พึ่ง – ที่ระลึก – ที่ใจเกาะ – ที่คิดพึ่ง ต้องเป็นพุทธ – ธรรม – สงฆ์
    ส่วนที่บูชาก็สูงสุดอยู่ที่พุทธ – ธรรม – สงฆ์

    รองลงมาคือ พ่อแม่ – ปู่ตา – ย่ายาย – ลุงป้า – น้าอา – พี่หญิง – พี่ชาย – การเสียภาษีบำรุงราชา –
    บำรุงเมืองที่อยู่อาศัย จากนั้นก็สงเคราะห์ น้อง – บุตร – หลาน – ผู้พิการ – คนจนที่น่าให้

    3. บูชาพรหม – เทพ – เปตร – ผี – ปีศาจ ฯลฯ ที่เป็นญาติ ก็คือ การให้บุญอย่างถูกต้อง
    บูชาเทพที่รักษา คือ การให้บุญอย่างถูกต้อง
    ใช้หนี้นายเวร คือ การให้บุญอย่างถูกต้อง
    ส่งนายเวรและเชื้อโรคออกจากร่างกายของตน คือ การให้บุญอย่างถูกต้อง

    4. ต้องสละสิ่งของออกไปในที่ๆเกิดบุญ แล้วอุทิศ (โอน) ทันที โดยคิดว่า
    บุญนี้ให้ญาติ – เทพที่รักษา – นายเวร – เชื้อโรค ของข้า



    หมายเหตุ พุทธ - ธรรม - สงฆ์ ไม่ใช่วัตถุใดๆทั้งสิ้น
    แต่เป็นการระลึกถึงคำสอน - ความดี - ความประเสริฐ ของท่าน
     
  7. newhatyai

    newhatyai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    1,768
    ค่าพลัง:
    +6,203
    หลวงพ่อเกษมสอนว่า

    ผู้ที่ยังไม่รู้ว่าพระพุทธเจ้าสอนอะไร และยังไม่ได้รับประโยชน์ตามที่พุทธองค์สอน
    อีกทั้งยังไม่เข้าใจว่าทำแบบใหนจึงจะเกิดประโยชน์ – แก่นสาร ตามที่พระพุทธเจ้าสอนได้

    แต่ก็ไปร้องประกาศสรรเสริญ สวดมนต์สรรเสริญพุทธองค์
    สวดสรรเสริญโดยที่ตนไม่ได้รับประโยชน์ - ไม่รู้ประโยชน์
    สวดสรรเสริญโดยที่ไม่เข้าใจและไม่รู้วิธีที่จะเอาประโยชน์จากคำสอน
    สวดสรรเสริญคุณของท่านโดยที่ไม่รู้ว่าท่านพาทำอะไร - ท่านพาไปไหน เป็นประโยชน์แบบใด

    คือ หมายความว่า ไม่เคยได้ดีจากท่าน แต่ไปร้องประกาศว่าท่านดี
    คนพวกนี้จัดว่าไม่รู้จริงๆ มืดไปตามมนต์จึงเรียกว่า พวกมืดมนต์
     
  8. newhatyai

    newhatyai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    1,768
    ค่าพลัง:
    +6,203
    ท่องจำมนต์แล้วนำไปปฏิบัติ...พุทธเจ้าสรรเสริญ เล่ม 25 หน้า 374

    .....บทว่า สชฺฌายพหุโล ความว่า....ได้ยินว่า ภิกษุนั้นปัดกวาดที่พักกลางวันของอาจารย์แล้วยืนดูอาจารย์.
    เมื่อเห็นอาจารย์นั้นกำลังเดินมา จึงลุกขึ้นไปรับบาตรและจีวร. เมื่ออาจารย์นั่งบนอาสนะที่ปูไว้แล้ว
    ก็เอาพัดใบตาลพัดให้ บอกน้ำฉันให้ ล้างเท้า ทาน้ำมันไหว้แล้ว
    ยืนเรียนอุเทศทำการท่องตลอดถึงพระอาทิตย์ตก. ภิกษุนั้น เอาน้ำเข้าไปตั้งไว้ในซุ้ม จุดไฟในเตาก่อน.
    เมื่ออาจารย์อาบน้ำมาแล้ว ก็เช็ดน้ำที่เท้า นวดหลัง ไหว้แล้วเรียนอุเทศ ทำการท่องในปฐมยาม
    พักผ่อนร่างกายในมัชฌิมยาม ลุกขึ้นในปัจฉิมยาม
    เรียนอุเทศทำการท่องจนถึงอรุณขึ้นแล้ว จึงพิจารณาเสียงที่ดับไปแล้ว โดยความสิ้นไป.
    เจริญวิปัสสนาในขันธ์ ๕ คืออุปาทายรูปที่เหลือจากนั้น ภูตรูป นามรูปแล้วบรรลุพระอรหัต.

    บทว่า อปฺโปสฺสุโก ความว่า ไม่ขวนขวายในการเรียนอุเทศและในการทำการท่อง.

    บทว่า สกมายติ ความว่า ภิกษุนั้นคิดว่า
    บัดนี้ เราจะพึงทำการท่องเพื่อประโยชน์ใด ประโยชน์ของเรานั้นถึงที่สุดแล้ว
    บัดนี้ จะเป็นประโยชน์อะไรกับการท่องของเรา ดังนี้
    แล้วยังเวลาให้ล่วงไปด้วยความสุขอันเกิดจากผลสมาบัติ.

    บทว่า อชฺฌภาสิ ความว่า เทวดาคิดว่า ความไม่สบายเกิดแก่พระเถระ หรือว่าแก่อาจารย์ของท่าน
    เพราะเหตุไรหนอ ท่านจึงไม่ท่องด้วยเสียงอันไพเราะเหมือนในก่อน ดังนี้แล้วจึงไปยืนพูดอยู่ในที่ใกล้.…..

    บทว่า นิกฺเขปนํ ความว่า...ไม่พึงเป็นผู้ท่องตลอดกาลเป็นนิตย์.
    แต่ว่าภิกษุนั้นท่องแล้วรู้ว่า เราสามารถเป็นผู้ทรงจำอรรถหรือธรรมประมาณเท่านี้ ดังนี้แล้ว
    พึงปฏิบัติเพื่อทำที่สุดแห่งวัฏทุกข์.
     
  9. newhatyai

    newhatyai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    1,768
    ค่าพลัง:
    +6,203
    ผู้สวดมนต์โดยไม่รู้เรื่อง...มีโทษสิ้นกาลนาน เล่ม 1 หน้า 51

    .....ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงหมายตรัสไว้ว่า ภิกษุทั้งหลาย ! เปรียบเหมือนบุรุษผู้มีความต้องการด้วยงูพิษ
    เที่ยวเสาะแสวงหางูพิษ เขาพึงพบงูพิษตัวใหญ่ พึงจับงูพิษนั้นที่ขนดหรือที่หาง
    งูพิษนั้นพึงแว้งกัดเขาที่มือหรือแขน หรือที่อวัยวะน้อยใหญ่แห่งใดแห่งหนึ่ง
    เขาพึงถึงความตายหรือความทุกข์ปางตาย ซึ่งมีการกัดนั้นเป็นเหตุ

    ข้อนั้นเพราะอะไรเป็นเหตุ ภิกษุทั้งหลาย ! เพราะงูพิษเขาจับไม่ดี แม้ฉันใด
    ภิกษุทั้งหลาย ! โมฆบุรุษ (พวกไร้ประโยชน์) บางพวกในธรรมวินัยนี้ ก็ฉันนั้นเหมือนกัน
    ย่อมเล่าเรียนธรรมคือ สุตตะ เคยยะ เวยยากรณะ คาถา อุทาน
    อิติวุตตกะ ชาตกะ อัพภูตธัมมะ เวทัลละ (ชื่อหมวดธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้)

    พวกเขาครั้นเรียนธรรมนั้นแล้ว ย่อมไม่พิจารณาแห่งธรรมเหล่านั้นด้วยปัญญา
    ธรรมเหล่านั้นย่อมไม่ควรต่อการเพ่งพินิจแก่พวกเขา ผู้ไม่พิจารณาอรรถด้วยปัญญา

    พวกเขาเรียนธรรมมีการโต้แย้งเป็นอานิสงส์ และมีหลักการบ่นเพ้อว่าอย่างนี้เป็นอานิสงส์ (สวดแบบไม่รู้เรื่อง)
    และย่อมไม่ได้รับประโยชน์แห่งธรรมที่พวกกุลบุตรต้องประสงค์เล่าเรียน
    ธรรมเหล่านั้นที่เขาเรียนไม่ดี ย่อมเป็นไปเพื่อมิใช่ประโยชน์ เพื่อทุกข์สิ้นกาลนาน แก่โมฆบุรุษเหล่านั้น

    ข้อนั้นเพราะอะไรเป็นเหตุ ?
    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ! ข้อนั้นเพราะธรรมทั้งหลายอันโมฆบุรุษเหล่านั้นเรียนไม่ดี
    อนึ่ง ปริยัติ (พุทธพจน์อันจะพึงเล่าเรียน)
    อันบุคคลเรียนดีแล้วคือจำนงอยู่ซึ่งความบริบูรณ์แห่งคุณมีสีลขันธ์เป็นต้นนั่นแล เรียนแล้ว
    ไม่เรียนเพราะเหตุมีความโต้แย้งเป็นต้น ปริยัตินี้ ชื่อว่าปริยัติมีประโยชน์ที่จะออกจากวัฏฏะ

    ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงหมายตรัสไว้ว่า ธรรมเหล่านั้น อันกุลบุตรเหล่านั้นเรียนดีแล้ว
    ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุขสิ้นกาลนานแก่กุลบุตรเหล่านั้น

    ข้อนั้นเพราะอะไรเป็นเหตุ ?
    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ! ข้อนั้นเพราะธรรมทั้งหลายอันกุลบุตรเหล่านั้นเรียนดีแล้ว ดังนี้...
     
  10. jackman

    jackman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กันยายน 2006
    โพสต์:
    62
    ค่าพลัง:
    +194
    พวกคุณที่ว่าอาจจะไม่ได้ผลสงสัยจะไม่เคยได้ยินเรื่องนี้ลองฟังดูนะครับ

    ผมเล่าดัดแปลงนิดๆนะ

    มีผู้ชายคนหนึ่งเค้าอ่านหนังสือไม่ได้เขียนไม่เป็นเค้าเรียนวิชาอาคมอยู่กับอาจารย์ที่มีอาคมขลังมากๆ
    วันหนึ่งอาจารย์บอกว่าจะสอนคาถาที่สามารถเนรมิตรสิ่งต่างๆได้
    เนื้อมนต์มีอยู่ว่า "นะ มะ พะ ธะ นะ โม พุท ธา ยะ"
    แต่อาจารย์ของเค้าไปบอกว่าเนื้อมนต์ก็คือ..
    "นะ มะ พะ ธะ นะ โม พุท ธา ยะ เจี๊ยก"
    ชายคนนั้นก็ได้ตั้งจดเรียนจำเอาจนคล่องโดยหารู้ไม่ว่าเนื้อมนต์นั้นผิด
    แต่เค้าก็พยายามเรียนถ่องจนในที่สุดเขาสามารถเนรมิตรสิ่งต่างๆได้ดังใจ
    เค้าจึงลาอาจารย์แล้วเข้าป่าไปฝึกสมาธิและคาถาเพิ่มวันเวลาผ่านไปก็ได้มี
    พระหนุ่มผ่านมาชายคนนั้นก็ได้เนรมิตรสิ่งต่างๆให้ดูแล้วพระหนุ่มก็เกิดความเลื่อมใสจึงขอเรียนคาถากับชายคนนั้นชายคนนั้นก็ตอบตกลงและก็บอกคาถาเนรมิตรสิ่งต่างๆให้ พอพระหนุ่มได้ยินเนื้อความของคาถาถึงกับหัวเราะออกว่าแล้วกล่าวว่า โยมท่องคาถาผิดแล้วที่จริงแล้วคาถานั้นมันไม่มีคำว่า "เจี๊ยก"
    อยู่ท้าย เมื่อชายหนุ่มได้ยินดังนั้นความเสียใจและความลังเลก็เกิดขึ้นนี่ตัวเราเองถ่องคาถามาผิดตลอดเลยหรืนี่? เมื่อเป็นเช่นนั้นจิตใจก็เริ่มเสื่อมสัทธาลง
    จนในที่สุดเขาก็ไม่สามารถเนรมิตรอะไรได้อีกเลยทั้งๆที่เขาถ่องคาถาอย่างถูกต้องตามที่พระหนุ่มบอกแล้ว[คือเขาตัดคำว่า''เจี๊ยก''ออกไป]

    เห็นไหมครับว่าทั้งหมดอยู่ที่ใจและก็สมาธิของเราเอง
     
  11. golf11

    golf11 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    28
    ค่าพลัง:
    +171
    ทุกอย่างอยู่ที่จิต คาถาเป็นเพียงให้เราระลึกถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ และก็สิ่งที่อฐิฐาน
    จะเป็นจริง เพราะฉะนั้นจิตเป็นใหญ่ แต่ต้องมีจิตแน่วแน่นะ จิตเบาคาถาก็ได้ผลน้อย แต่ต้องใช้ในทางที่ดีนั้นคือจุดประสงค์หลัก
     
  12. sio191

    sio191 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2008
    โพสต์:
    300
    ค่าพลัง:
    +601
    อนุโมทนาครับ++
    ขอให้จิตตั้งมั่นเถอะครับ ++
    ถ้ามัวไปพะวงนู่นนี่
    จะมีผลเท่าจิตที่ศรัทธาตั้งมั่นหรอครับ++
     
  13. แม่ลูกตาล

    แม่ลูกตาล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    784
    ค่าพลัง:
    +1,206
    อนุโมทนา สาธุค่ะ
    เกิดชาติหน้าหรือชาติต่อ ๆ ไปขอให้รู้จักธรรมะยิ่ง ๆ ขึ้นไปอีกเทอญ..
     
  14. Pishate

    Pishate เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    47
    ค่าพลัง:
    +135
    แหม่มถ้าผมมาเร็วกว่านี้คงจะได้โพสตอบเร็วกว่านี้

    ที่ว่าท่องผิดผิดอย่างไหน ถ้าผิดแบบเผลอพูดผิดก็ถอยหลังกลับมาท่องคำเดิมใหม่ให้ถูก แต่ถ้าผิดแบบไม่รู้คัดลอกมาผิดหรือเขาสอนมาในคำที่ผิดแบบนี้อยู่ที่ใจครับมีผลเหมือนคำต้นฉบับที่ถูกเปะครับอยู่ที่จิตเราจริงๆครับ

    มีเรื่องเล่าที่พระรุ่นพี่ตอนผมบวชอยู่เขาเล่าให้ฟังมาว่า

    ในสมัยพุทธกาลนั้น มีพระอยู่ รูปหนึ่ง(ผมจำชื่อพระรูปนี้ไม่ได้) ได้เดินธุดงไปในป่าอันกว้างใหญ่และเป็นป่าที่มีแต่อันตรายและผีปีศาจดุร้ายจำนวนมาก แต่ท่านก็ดำรงชีวิตปฏิบัติมาได้ และคาถาวิเศษอย่างเดียวที่มีคือ "นะโมพุทธาแยะ" ผมเขียนไม่ผิดครับ นะโมพทธาแยะจริงๆ ซึ่งพระรูปนี้ท่านก็ได้รับถ่ายทอดมาอีกที ซึ่งในสมัยนั้นเราก็รู้ๆกันอยู่ว่า ไม่มีการจดบันทึกใดๆ การที่จะได้เรียนรู้เวทคาถาใดๆ ก็ต้องรอเจอพระผู้รู้กันที่ และสอนกันปากต่อปากท่องจำกันไปต่อๆกัน ก็อาจจะมีผิดบ้าง และพระรูปนี้ท่านก็ได้เรียนคาถา นะโมพุทธาแยะมา และท่านก็มีคาถานี้แหละ ที่ช่วยให้รอดชีวิตมาได้ อยู่ในป่าหาอะไรฉันไม่ได้ ก็เอาคาถานี้เสกหินเสกดินเป็นอาหารมาแล้ว ใช้ต่อสู้ขับไล่ปีศาจก็คาถานี้(เพราะรู้แค่คาถาเดียว) แต่ด้วยความที่ว่าท่านเป็นพระที่สมาธิจิตดีมากๆ (สมัยนั้นพระสำเร็จฌาณสูงๆกันเยอะกว่าสมัยนี้มากนัก)

    แต่หลังจากที่ท่านได้ออกมาจากป่านั้นได้ ท่านก็ได้มาพบพระรูปหนึ่งที่เดินธุดงผ่านมาเจอกัน พระรูปที่เดินมาเจอพระองค์นี้ก็ตกใจร้องว่า "ท่านผ่านป่านี้มาได้อย่างไรนี้ ป่านี้มีแต่คนเขาพูดกันว่าข้างในมีแต่ปีศาจดุร้าย ไม่ค่อยมีใครกล้าเข้าไป" พระรูปที่ออกมาก็บอกว่า ฉันก็ได้คาถานะโมพุทธาแยะ นี้แหละถึงรอดมาได้ พระรูปที่ผ่านมาได้ฟังก็อดแปลกใจไม่ได้ พูดขึ้นว่าท่าน "มีที่ไหนกันละ นะโมพุทธาแยะเนี๊ยะ คาถานี้เขาว่า นะโมพุทธายะ ต่างหากท่านฟังมาผิดแล้ว" หลังจากได้ยินเช่นนั้นพระรูปนั้นก็เกิดความลังเลสงสัยว่าจริงเหรอเราได้รับมาผิดจริงเหรอ หลังจากนั้นท่านก็เกิดความลังเลสงสัยในพระคาถาว่าสรุปที่ถูกแล้วมันยังไงกันแต่ ตอนหลังท่านก็ไม่สามารถใช้คาถานั้นเสกอะไรได้อีกเลยเพราะเกิดความลังเลสงสัย

    นี้เป้นอีกตัวอย่างว่าถึงแม้เราจะไม่รู้ในคาถาโดยการสำคัญว่าถูกแล้ว(แต่เราไม่รู้ว่าความจริงมันผิด) แต่ถ้าเรามีจิตสมาธิอันสูงก็สามารถสำฤษธิ์ผลเช่นกัน แต่ถ้าเรารู้ว่ามันผิดและเราท่องผิดก็ควรถอยหลังมาแก้ให้ถูก
     
  15. nui08

    nui08 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    297
    ค่าพลัง:
    +55
    ขออนุโมทนาครับ สาธุ<!-- google_ad_section_end -->
    ผมก็คิดว่าทุกอย่างอยู่ที่ใจเหมือนกัน ถ้าจิตเป็นสมาธิแล้ว คำอธิฐานที่ว่าไว้ก็จะบังเกิดผล
     

แชร์หน้านี้

Loading...