ไขปริศนาลูกไฟประหลาดแบบบั้งไฟพญานาคบ้านเรานี่

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย datedoctor, 23 เมษายน 2010.

  1. datedoctor

    datedoctor เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    539
    ค่าพลัง:
    +678
    เมื่อพูดถึงลูกไฟประหลาด โดยส่วนใหญ่เท่าที่เราเคยได้ยินกันมา มันมักจะมีสีต่างๆ เช่นฟ้า เหลือง เขียว แดง หรือขาว บางครั้งก็พุ่งขึ้นจากน้ำ บางครังก็ลอยอยุ่บนพื้นดินเรื่องแบบนี้มีอยุ่ทั่วโลกนะ

    ลักษณะการลอยก็จะ ลอยอยู่ในอากาศก่อนที่จะหายไป หรือลอยขึ้นฟ้าไป

    [​IMG]

    เท่าที่มีการเล่ากันมา ลูกไฟที่เห็นนั้นมีหลากหลายขนาด เช่นเล็กเท่าลูกเทนนิสคือมีเส้นผ่านศูนย์กลางยาวประมาณ 5 เซนติเมตร จนมีขนาดใหญ่เท่าลูกบาสเกตบอล คือมีเส้นผ่านศูนย์กลางยาวถึง 30 เซนติเมตร บรรดาคนที่เห็นลูกไฟขนาดใหญ่คิดว่ามันมีความสว่างเทียบเคียงได้กับหลอดไฟขนาด 100 วัตต์ ลูกไฟส่วนใหญ่มีชีวิตอยู่ได้นานไม่เกิน 1 นาที แต่ก็มีบางลูกที่มีอายุนานถึง 2 นาที แต่อย่างพึ่งอาศัยความรุ้สึกตัวเองตัดสินนะครับว่าผมเห็นมันนานกว่านี้นี่ บางสิ่งที่เราเห็นหรือรู้สึกอาจจะไม่เป็นอย่างที่คิด ลองคิดดูว่าเวลาน้องกลัว
    อะไรสักอย่าง น้องก็อาจจะรู้สึกเหมือนว่าเวลาหยุดนิ่งเลยทีเดียว ยิ่งถ้าน้องมีความเชื่อเรื่องพญานาคด้วยแล้วยิ่งไปกันใหญ่

    [​IMG]

    ลักษณะโดยรวมของลุกไฟประเภทนี้ก็คือ มันจะไม่มีการแผ่รังสีความร้อนออกมามาก และเมื่อลองคำนวณดุก็จะพบว่ามันมีมีความเร็วในแนวนอนตั้งแต่ 0.1-10 เมตร/วินาทีขึ้นไป

    [​IMG]

    พอผมลองค้นตำราดูซิว่า มีรายงานการค้นพบแบบที่เป็นวิชาการหรือไม่นะ ไอ้เจ้าลูกไฟแบบบั่งไฟพญานาคบ้านเรานี่

    ก็พบคำตอบว่า มีในหนังสือชื่อ Meteorological Essays ของ F. Arago นักฟิสิกส์ชาวฝรั่งเศสที่ตีพิมพ์เมื่อ 160 ปีก่อน ก็ได้มีการกล่าวถึงการเห็นลูกไฟสีฟ้าขนาดเท่าลูกฟุตบอลกระดอนไปมาในอากาศนานประมาณ 10 วินาที แล้วลูกไฟนั้นก็หายวับไปกับตา
    นั้นไงมันไม่ได้มีแต่ที่บ้านเรา

    [​IMG]

    งั้นเราจะอธิบายได้อย่างไร?
    ในการอธิบายปรากฏการณ์นี้ Lord Kelvin นักฟิสิกส์ชาวอังกฤษผู้มีชื่อเสียงคิดว่า ลูกไฟที่เห็นเป็นภาพลวงตา

    [​IMG]

    แต่ Michael Faraday นักฟิสิกส์ผู้พบวิธีสร้างไฟฟ้าให้มนุษยชาติได้ใช้กันจนทุกวันนี้ กลับคิดว่ามันเป็นปรากฏการณ์ที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับไฟฟ้าในอากาศ นั้นเอง

    [​IMG]

    ถ้าน้องบางคนที่มีความเป็นนักวิทยาศาสตร์ก็จะบอกว่ามันคือ ปฏิกริยาสันดาป hydrogen methane และ butane ในอากาศรึเปล่าพี่
    ผมก็จะแถลงไขว่าผิดครับ เพราะมันไม่สามารถอธิบายลูกไฟได้ครบทุกกรณีนะสิ

    อีกทั้งผมยังเชื่อว่าคำตอบแบบของฟาราย์เดย์น่าจะถูกต้องกว่าคำตอบแบบนี้


    ตรงจุดนี้น้องอาจจะสงสัยว่า งั้นวิธีแบบของฟาราย์เดย์เคยมีคนนำไปวิจัยต่อรึเปล่า? ค้นไปค้นมาก็มีครับ ไม่ใช่ใครที่ไหนในปีพ.ศ. 2498 Pyotr Kapitza นักฟิสิกส์รางวัลโนเบลจากผลการค้นพบว่า ฮีเลียมเหลวสามารถเป็นของเหลวยวดยิ่งได้ ซึ่งงานค้นพบของเขาถูกบรรจุอยู่ในหลักสูตรระดับป.ตรีและโท เกี่ยวกับกลศาสตร์ควอนตัมเชิงสติถิครับ ผมเคยอธิบายเรื่องฮีเลียมเหลวไปแล้วนะครับหาดูได้ในกระทู้ก่อนๆถ้าสนใจ

    ก็ได้เคยพยายามอธิบายสาเหตุการเกิดลูกไฟว่า ขณะฟ้าใกล้จะมีพายุฝนบรรยากาศระหว่างเมฆกับพื้นดินมีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่มีความถี่สูงมาก เวลาเกิดฟ้าผ่าโลก

    กระแสอิเล็กตรอนที่เคลื่อนที่จากเมฆลงดินได้ถ่ายเทพลังงานให้แก่โมเลกุลของอากาศ ทำให้โมเลกุลแตกตัวเป็น plasma ที่มีอุณหภูมิภายในสูงถึง 30,000 องศาเซลเซียส

    แต่ก็มีข้อโต้แย้งแนวคิดนี้ว่าก็ในเมื่อโลกถูกฟ้าผ่าปีละหลายล้านครั้ง แล้วเหตุใดผู้คนจึ่งจึงไม่เห็นลูกไฟจำนวนล้านลูกเล่า ด้วยเหตุนี้การอธิบายลักษณะนี้จึงล้มพับไปซะเอิงเอย

    งั้นไอ้เจ้าบั้งไฟฟ้าที่เกิดจากพญานาค ก็ยังไม่โดนหักล้างนะสิ

    เดี๋ยวก่อน ยังมีงานวิจัยของJ. Abrahamson และ J. Dinniss แห่งมหาวิทยาลัย Canterbury ในนิวซีแลนด์
    เขาอธิบายว่า เกิดจากการที่กระแสไฟฟ้าจากก้อนเมฆพุ่งกระทบดิน ทำให้เกิดอนุภาคเล็กๆ ที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางระดับนาโนเมตร อนุภาคเหล่านี้จะจัดเรียงต่อกันเป็นเส้นแล้ว เส้นใยจำนวนมากก็เกาะจับตัวกันเป็นกลุ่มก้อน แล้วถูกออกซิเจนที่มีในอากาศเข้าสันดาปจนลูกไฟลุกเป็นลูกไฟในที่สุดคำตอบ ช่างงดงามมากครับคิดดูสิครับว่าเป็นอะไรที่พื้นๆมาก

    นี่มันความรู้ทางด้าน plasma physics(ในระดับป.โท) ในทฤษฎีแม่เหล็กไฟฟ้า ความร้อน แสง เสียงของแมกเวลล์นี่
    และต้องอาศัยความรู้ทางปฏิกิริยาเคมีเกี่ยวกับการสันดาปเข้ามา

    (มีทฤษฏีที่เป็นพื้นฐานกว่าชื่อควอนตัมอิเล็กโตรไดนามิกส์)
    อัน Abrahamson นั้นเป็นนักเคมีผู้มีความรู้ว่า ดินตามปกติมีสารประกอบของซิลิกอนเช่น SiO (silicon oxide) และ SiC (silicon carbide) ดังนั้น เวลาดินถูกฟ้าฝ่ากระแสอิเล็กตรอนจากสายฟ้าที่พุ่งชนดินจะทำให้สารประกอบของซิลิกอนหลอมเหลว จนละอองซิลิกอนบริสุทธิ์หลุดลอยขึ้นมาเป็นอนุภาคเล็กๆ จากนั้นความปรวนแปรของอากาศในขณะนั้น จะทำให้ละอองซิลิกอนจับตัวเรียงกันเป็นเส้นใยยึดกันเป็นกลุ่มก้อน แล้วออกซิเจนบริสุทธิ์ที่มีในอากาศก็จะเข้าไปทำปฏิกิริยาสันดาปกับซิลิกอนเป็นซิลิกอนออกไซด์ ซึ่งจะห่อหุ้มเม็ดซิลิกอน

    โดยทั่วไปการสันดาประหว่างออกซิเจนกับซิลิกอนจะปลดปล่อยพลังงานเคมี พลังงานแสง และความร้อนออกมาตามหลักการอนุรักษ์พลังงาน-มวลสาร

    แต่เมื่อละอองซิลิกอนมีฉนวนออกไซด์หุ้ม การปลดปล่อยพลังงานแสงจะช้าลงๆ จนซิลิกอนที่มีในกลุ่มถูกใช้จนหมดสิ้นแล้วการสันดาปก็หยุด และนั่นก็หมายถึงการดับชีวิตของลูกไฟแบบจำลองที่ Abrahamson และ Dinniss ใช้ในการอธิบายการเกิดลูกไฟนี้สามารถใช้คำนวณได้ว่า ลูกไฟที่มีขนาดใหญ่เท่าลูกบาสเก็ตบอลจะเปล่งแสงได้ และมีชีวิตอยู่ได้นานตั้งแต่ 30 วินาที
    ส่วนประเด็นที่แบบจำลองนี้ยังให้คำตอบดีคือ ถ้าลูกไฟมีอุณหภูมิสูง แล้วเหตุใดมันจึงลอยเรี่ยพื้นก่อน แทนที่จะลอยขึ้นท้องฟ้าไปเลยเหมือนลูกบอลลูน

    คำตอบก็คือ ลูกบอลซึ่งประกอบด้วยละอองซิลิกอนนั้น มีความหนาแน่นและน้ำหนักพอๆ กับแรงพยุงขึ้นของอากาศ แต่เมื่อมันถูกสนามไฟฟ้าที่เกิดจากพายุกระทำต่อประจุที่เรียงรายตามผิว แรงไฟฟ้าได้กดลูกไฟให้ลอยต่ำ

    และเนื่องจาก กลุ่มละอองซิลิกอนจะเปลี่ยนสภาพเป็นลูกไฟ เฉพาะเมื่อมันใกล้จะหมดสภาพเท่านั้น และนั่นคือเหตุผลสำหรับคำตอบที่ว่าเหตุใดเวลามีฟ้าแลบหรือฟ้าผ่า เราจึงไม่เห็นลูกไฟเกิดขึ้นทันทีทันใด จนกระทั่งเวลาผ่านไปพอสมควร มันจึงเริ่มปรากฏตัว นั่นเป็นเพราะมันต้องใช้เวลาในการให้ซิลิกอนทำปฏิกิริยากับออกซิเจน จนมีพลังงานสะสมมากพอ มันจึงเปล่งแสงได้นั่นเอง
    เมื่อไม่นานมานี้ Abrahamson ได้ทดลองผ่านกระแสไฟแรงสูงลงดิน กระแสไฟในดินจะทำให้แร่ซิลิกอนหลอมตัวเป็นรูลึกที่นักธรณีวิทยาเรียก fulgurite ไอซิลิกอนที่มีอุณหภูมิสูงจะไหลขึ้นตามร่องลึก และเมื่อไอร้อนกระทบอากาศภายนอก ไอก็จะกลั่นตัวเป็นละอองอนุภาคเล็กๆ ขนาดนาโนเมตร (0.000000001 เมตร) แต่กลุ่มละอองที่เขาทดลองสร้างนี้จำนวน 22 กลุ่มไม่เปล่งแสงเลย แต่อีก 2 กลุ่มซึ่งมีลักษณะคล้ายโดนัท (ไม่กลม) แต่เปล่งแสงได้เพียงช่วงเวลาสั้นๆ ดังนั้น Abrahamson จึงคิดว่าคำอธิบายของเขาและการทดลองของเขา ยังไม่สมบูรณ์ดีทีเดียว แต่ก็มีส่วนถูกอยู่มาก


    <TABLE cellSpacing=2 cellPadding=0 width=589 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top bgColor=#f6f6f6>












    </TD><TD vAlign=top>เนื่องจากว่าเรายัง ไม่เข้าใจอันตรกริยาระหว่างสนามแม่เหล็กไฟฟ้ากับดิน และดินกับอากาศดี แต่เมื่อใดที่เราเข้าใจเรื่องนี้ เราก็จะสามารถสร้างลูกไฟได้แน่ๆครับ




    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 เมษายน 2010
  2. รพินทร์ไพรวัลย์

    รพินทร์ไพรวัลย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    669
    ค่าพลัง:
    +1,122
    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=X2qzSOwobxQ"]YouTube - Loso - Phu Chana (ผู้ชนะ)[/ame]
    ค่อนข้างจะเชื่อแบบที่ท่านว่ามานะครับ แค่ยังติดใจเรื่องกำหนดเวลา ที่มาตรงกับ 15ค่ำเดือน11 หนังโปรดในดวงใจ ดูแล้วตื้นตัน ฉากจบได้ใจพรานมาก ทำพรานใหญ่น้ำตาซึม เสียฟร์อมต่อหน้าสาวมาแล้ว T-T
     
  3. datedoctor

    datedoctor เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    539
    ค่าพลัง:
    +678
    ท่านพรานครับความจริงวันอื่นก็มีครับ ถ้าไปถามคนแถวนั้น ไม่จำเป็นต้อง15ค่ำเดือน11

    แต่เราไม่สนใจกัน

    แต่จะมีมากที่สุดนี่ตอน15ค่ำเดือน11หรือใกล้ๆ ซึ่งทั้งหมดน่าจะขึ้นกับปัจจัยมากมาย ที่ประจบเหมาะในช่วงนั้นพอดี บามทีอาจจะรวมไปถึงการที่ดวงจันทร์เต็มดวงด้วย เพราะส่งผลต่อการเกิดน้ำขึ้นน้ำลง น้ำเกิดน้ำตายด้วย ซึ่งต้องศึกษากันครับ
     
  4. ธิดารัตน์

    ธิดารัตน์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,939
    ค่าพลัง:
    +4,568
    เอิ๊กๆ น้ำตาซึมเหมือนกันเลยค่ะพี่พรานใหญ่

    "ฉันคือหนึ่งคนที่ทนฟันฝ่า พลังศรัทธาคือสิ่งดี"

    ความศรัทธายิ่งใหญ่เสมอ ความศรัทธาคือแหล่งก่อกำเนิดหลายๆสิ่ง
     
  5. datedoctor

    datedoctor เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    539
    ค่าพลัง:
    +678
    เห็นด้วยครับ ศรัทธาเป็นสิ่งดี อย่างความรักนี่เราก็ควรที่จะศรัทธาในกันและกันจริงไหมครับ

    ชีวิตเองก็ต้องการการศรัทธา แต่เราต้อง แยกให้ออกจากความงมงายด้วย

    มันคือคนล่ะเรื่องกัน

    ยกตัวอย่าง

    ในเรื่องความรัก ศรัทธาทำให้เรามีดวงตาที่จะมองเห็นความจริงแท้ แต่ ความงมงายทำให้เราตาบอด
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 เมษายน 2010
  6. benjamina

    benjamina เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2009
    โพสต์:
    233
    ค่าพลัง:
    +289
    ถ้าจะแค่ยกทฤษฎี ที่ยังไง ผมก็อ่านแร้วไม่เข้าใจ มันไม่พอจะพิสูจน์ได้หรอกครับ เพราะขนาดนักวิทยาศาสเก่งๆ เค้าก็ยังหาข้อสรุปไม่ได้ ทำไำด้แค่สันนิษฐาน
    บางทีวิทยาศาสตร์มันก็พิสูจน์อะไรได้ไม่หมดมั้งคับ ถ้าสิ่งที่จะพิสูจน์มันไม่ใช่วิทยาศาสตร์
     
  7. GenerationXXX

    GenerationXXX เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    561
    ค่าพลัง:
    +2,163
    ก็มันลูกไฟพญานาคจริงๆ นี่นะ พระพุทธเจ้าก็ทรงตรัสว่ามีอยู่จริง อยู่ที่ว่าเมื่อไหร่วิทยาศาสตร์เราจะออกจากกะลาซะที ลูกไฟที่ปรากฏก็แน่นอนถึงจะเป็นลูกไฟที่ออกจากปากพญานาคก็จริง แต่ก็อยู่ในกฏของโลก ไม่พ้นที่จะเกิดตามหลักการทางวิทยาศาสตร์แน่ๆ อยู่แล้ว
    มันก็น่าแปลกที่คำตรัสของพระพุทธเจ้า 2,500 กว่าปีก็ยังเป็นจริงอยู่อย่างนั้น แต่วิทยาศาสตร์ในยุคปัจจุบันเรากลับค่อยๆ พัฒนาแก้ไขไปเรื่อยๆ แต่ก็แปลกคนเราสมัยนี้กลับเชื่อสิ่งที่เป็นจริงแค่สัมผัสได้ แต่สิ่งที่เป็นจริงสัมผัสไม่ได้ด้วยกายกลับเห็นว่าไม่มีอยู่จริง คิดเล่นๆ เหมือนกับเด็กเพิ่งหัดพูดเลยจริงๆ 555
     
  8. datedoctor

    datedoctor เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    539
    ค่าพลัง:
    +678
    คุณเคยเห็นพระพุทธเจ้าพูดเองออกจากปากรึเปล่า
    เคยเห็นพญานาคตัวเป็นๆรึเปล่า(ผมไม่ได้บอกว่าไม่มี)
    ถ้าเคยคุณค่อยเชื่อดีกว่าไหม

    อ้อพระพุทธเจ้าบอกเองว่า อย่าพึงเชื่อแม้นั้นจะเป็นคำพูดของครูของคุณ แม้ว่านั้นจะเป็นตำรา ดั้งนั้นให้ใช้สติพิจารณาดูดีไหมนั้นแหละประเสริฐ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 เมษายน 2010
  9. kylethai

    kylethai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    88
    ค่าพลัง:
    +168
    555 แม้แต่ผีวิทยาศาสตร์ยังพิสูจน์ไม่ได้เลยครับ แล้วจะไปเอาอะไรกับพญานาค พวกที่อิงวิทยาศาสตร์มากเกินไป ก็มีข้อให้คิดนะครับว่าอย่างดาวพลูโตที่เมื่อก่อนวิทยาศาสตร์ว่ามันคือดาวเคราะห์แต่เอาไปเอามาเมื่อวิทยาศาสตร์โตขึ้นเค้าก็ปลดเพราะว่ามันเป็นดาวเคราะห์แคระ มีอะไรอีกหลายอย่างที่วิทยาศาสตร์ยังพิสูจน์ไม่ได้ก็ไม่ได้หมายความว่ามันไม่มีอยู่จริง เพียงแต่วิทยาศาสตร์ตามพุทธศาสตร์ไม่ทัน ถ้าเทียบพุทธศาสตร์ก้าวไปถึงดวงจันทร์ไปถึงจักรวาลแต่วิทยาศาสตร์เพิ่งเริ่มแค่ขุดดินสำรวจแร่ที่ผิวดินของโลกเองอะครับ
    ปล. ข้อแรกของวิทยาศาสตร์คือการสันนิษฐาน ถ้าแปลแบบชาวบ้านแปลว่า "เดา" แล้วเอาไปพิสูจน์ สำเร็จหรือไม่ก็ขึ้นกับเทคโนโลยี
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 เมษายน 2010
  10. Sopasiri

    Sopasiri เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    449
    ค่าพลัง:
    +912
    วิทยาศาสตร์ และทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ สามารถสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆ ช่วยเหลือโลกและมนุษย์ได้หลากหลาย เป็นประโยชน์ วิทยาศาสตร์เป็นการทดลอง ค้นหาความจริงของธรรมชาติ แต่อีกด้านหนึ่ง บางทีวิทยาศาสตร์ก็พิสูจน์เรื่องบางเรื่องไม่ได้ บางที ทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ บางทฤษฎี ก็มีขึ้นเพื่อบิดเบือนความจริงของธรรมชาติ ด้วยหลักการต่างๆนาๆที่ นักวิทยาศาสตร์ พยายามหาหลักฐานและข้อสนับสนุนต่างๆ ขึ้นมาสนับสนุนเพื่อให้ดูมีความน่้าเชื่อถือ เพื่อปิดบังความจริงบางอย่างต่อชาวโลก ด้วยเหตุผลบางประการ หรือผลประโยชน์บางประการก็แล้วแต่ จริงมั้ยคะ คุณ Datedoctor ? เป็นอย่างนี้รึเปล่าคะ?
     
  11. 11540

    11540 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 เมษายน 2010
    โพสต์:
    24
    ค่าพลัง:
    +30
    นิ่เเหละมนุษย์ บางอย่างก็ยังคงไม่พร้อมที่จะเข้าใจ ไม่พาดพิงฝ่ายใดนะ

    พวกที่มักยึดวิทย์ยาศาสตร์ก็จะพยายามเอาวิทยาศาสตร์มาอธิบาย แต่ถ้าใครชอบงมงายก็จะเอาเรื่องงมงายมากล่าว ไม่ได้พูดถึงกรณีนี้นะ พูดโดยรวมๆถึงเรื่องอื่นๆ จริงทุกอย่างมันเป็นทั้งวิทยาศาสตร์และพลังจิต อย่างเช่นว่า การเสกน้ำมนตร์รักษาคนป่วย คนป่วยจะมีธาตุในตัวที่ไม่เรียงกัน แบบแปรปรวน เเต่เสกน้ำมนตร์จะทำการสื่อลงไปในน้ำ เวลาท่องคาถาหรืออะไรก็แล้วเเต่จะเป็นการกำหนดจิต และปล่อยคลื่นพลังลงไปในน้ำ หลังจากผุ้ป่วยดื่มก็จะหายเพราะคลื่นที่อยุ่ในน้ำไปทำการเรียงตัวกับธาตุในคนป่วย อาจจะเป็นอย่างเช่นในกรณีที่คนตั้งกระทุ้กล่าว จะเป็นเรื่องของการสันดาป ภาพหลวงตา หรืออะไรก็เเล้วเเต่ตามวิทยาศาตร์ เรื่องจริงพญานาคท่านอาจจะคลายพลังงาน ออกมา เเล้วลูกไฟนั้นก็เป็นคลื่นพลังงานชนิดหนึ่ง
    อย่าไปกำหนดเลยว่าอะไรเป็นวิทยาศาตร์ เราว่าคำว่าต้องเอาวิทยาศาสตร์มาพิสูจน์มันมากำหนดให้มนุษย์เราพัฒทนาช้ากว่าที่ควรจะเป็น เรียกมันว่าการเข้าใจจะดีกว่า
     
  12. mib8gdviNz

    mib8gdviNz เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    1,009
    ค่าพลัง:
    +1,524
    รูปแทนตัว ของ "ด.ญ.ธิดารัตน์" เอามาจาก MV เพลง นี้ นี่เองง่ะ

    ห้า ๆๆๆ
     
  13. nna

    nna เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2008
    โพสต์:
    109
    ค่าพลัง:
    +178
    ชอบหนังเรื่องนี้เช่นกันค่ะ

    แต่อยากถามว่า ถ้าเห็นลูกไฟสีส้มๆแดงๆคล้ายลูกไฟพญานาคแบบภาคอีสาน

    แต่ไม่ได้ขึ้นจากน้ำ....มีใครเคยพบบ้างไหม?

    คือ..เห็นมันลอยบนฟ้า ทีแรกคิดว่าไฟเครื่องบินไม่ก็โคมยี่เป็ง อะไรประมาณนั้น
    เลยโทรเม้าท์กับเพื่อน...แบบ

    "....แกชั้นเห็นอะไรไม่รู้ กำลังจะสวดมนต์พอดี เห็นไฟสีแดงๆมันอยู่บนฟ้า มันแวบๆ เคลื่อนที่ได้ด้วย เออๆหายไปแล้วว่ะ แกว่ามันไฟอะไรอ่ะ? (แล้วก็ล้มตัวลงนอนกำลังจะโม้ต่อ....)

    สายตาไปปะเข้ากับแสงไฟดวงเบ้อเร่อ....ย้ำนะพี่น้อง ดวงแดงๆส้มๆ อยู่หลังม่านข้างหน้าต่างห้องนอน.......ตัวนี่เย็นตั้งแต่หัวจรดเท้า พูดไม่ออก.... เห็นอยู่สักพักก็หายไป

    ตอนนั้น ไม่รู้ว่าสิ่งที่เห็นคืออะไร ดีหรือไม่ดี คิดแค่ว่า "ถ้าเข้ามา...กุสู้ตาย"

    เลยอยากถามพี่น้องว่า พอจะมีใครบอกได้มั้ย ว่ามันคืออะไร มาทำไม เป็นเพราะเราไปพูดถึงเค้ารึเปล่าค่ะ?

    ปล.หน้าต่างที่ว่านี้อยู่ชั้นล่างของบ้านมีรถจอดบังอยู่สองคัน โคมยี่เป็งมิสามารถเข้ามาหาข้าพเจ้าได้แน่นอนจ้า และรถไม่ได้ติดเครื่องไว้ค่า

    ถ้าใครพอรู้ก็บอกกันมั่งนะคะ ขอบคุณค่ะ
     
  14. datedoctor

    datedoctor เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    539
    ค่าพลัง:
    +678
    ถูกของคุณSopasiriครับ เรื่องเหล่านี้ขึ้นอยุ่กับจริยธรรมของตัวนักวิทยาศาสตร์ด้วย เพราะนักวิทยาศาสตร์เองก็เป็นมนุษยื ดังนั้นบางครั้งพวกเขาก้มันจะค่อนข้างมีอคติและพยายามที่จะเชื่อมดยงสิ่งต่างๆเข้ากับความเชื่อของตนด้วย

    ส่วนเรื่องของดาวพลูโตนั้นเป็นเรื่องของการกำหนดคำนิยามว่าดาวเคาระห์ควรเป็นเช่นไร มีความหมายอย่างไรบ้าง ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์โดยตรง เหมือนคุณบอกว่าแมวพันธุ์นี้หน้าตาแบบนี้ แมวพันธุ์นั้นก็หน้าตาแบบนี้ ก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับว่าพวกมันมีกลไกทางพฤติกรรมแบบใดบ้าง

    นี่ไงจุดที่ชี้ให้เห็นว่าบางครั้งคนเราไม่ได้รุ้อะไรเลยแต่ยังจะพูดออกมาเพราะอัตตานั้นพาไป


    ส่วนเรื่องผีคุณผู้พูดเคยเห็นหรือไม่ คุณเคยตายรึถึงรุ้ว่ามันมีจริง ถ้าเคยคุณพิสุตรได้ไหม เราไม่ได้พูดถึงว่ามีหรือไม่มีแต่เราพูดถึงว่าพิสูตรได้ไหม ถ้าไม่ได้คุณแน่ใจได้ไงว่ามี แล้วคุณจะโน้มน้าวให้คนอื่นเชื่อได้ไหม ถ้าลุกคุณไม่เคยเห็นช้าง ถ้าคุณไม่เอาช้างมาให้ดู ให้ได้ยินเสียง ให้ได้สัมผัส คุณแน่ใจได้ไงว่าภาพที่เขาจินตนาการเกี่ยวกับช้างจะมีหน้าตาเหมือนช้างที่คุณรู้จัก แน่ใจได้ไงว่าคุณจะไม่เข้าใจผิดเพราะขนาดลมพัดต้นตาลบางคนเห็นมันไหว ใจก้กลัวอยุ่เป็นทุนเดิม ดังนั่นก็ไม่ได้มีสติเลย วิ่งเปรตมา เปรตมามาแล้ว



    นี่ไงจุดที่น่าคิด แต่วิทยาศาสตรืสามารถพิสุตรได้เพราะเราต้องทำการทดลองนี่คือข้อแตกต่าง ถ้าคุณไปอเมริกาคุณว่าเขาเรียกลูกไฟว่าบั้งไฟพญานาครึแน่นอนว่าไม่ เขาไม่รุ้จักนี่ เขาอาจจะมองว่ามันเกิดเพราะ สิ่งที่อยู่ในตำนานท้องถิ่นนั้นกล่าวก็เป็นได้

    คุรเคยเห็นฝนตกไหม คุณว่าเรารู้รึยังว่าฝนตกเพราะอะไร แน่นอนเรารุ้เพราะไม่งั้นเราคงทำฝนเทียมไม่ได้แน่ แล้วคุณคิดว่าเรากำจัดความเชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติออกไปได้หรือไม่ล่ะว่าไม่ได้มีเทวดาบันดาลมา ดุสิมนุษย์แค่บินขึ้นไปดปรยสารเคมีและฝนก็ตก ไม่มีเทวดาสักหน่อย

    แน่นอนว่าไม่คุณยังคงเชื่อเรื่อเทวดามาเปิดก๊อกอยุ่ดีนั้นเอง


    ลองฟังเรื่องนี้ดุชายที่สิ้นหวังและกำลังจะโดดตึกตาย ทันใดนั้นหญิงชราอัปลักษณ์ก็มาหาเขา

    หล่อนพูดว่าหยุดเจ้าจะทำอะไรข้าคือแม่มดข้ามีพรให้เจ้าสามข้อที่จะช่วยเจ้าได้

    ชายคนนั้นพูดว่ายอดเลยแต่ผมต้องให้อะไรท่านตอบแทนล่ะ

    เจ้าจะต้องร่วมรักกับข้า1คืน

    แน่นอนว่าชายคนนั้นตกลง เขาสิ้นหวัง ลุกเมียหนีเขาไป เขาตกงาน เป็นหนี้ และป่วยเป็นโรคร้าย ถึงแม้ว่ามันจะคต้องหลับตาปิ้วอารมณ์ไปนิดเพราะหน้ายายแก่คนนี้ช่างทุเรศเหลือทน ทั้นใดนั้นเขาก้ขอพรขอชีวิตเขาคืนมา และ ทั้ง2ก็ไปจบที่โรงแรมท่ามกลางความยายลำบากของชายผู้ฝืนทน

    ระหว่างที่เขากำลังใส่เสื้อเพื่อกลับไปบ้าน เพื่อดูลูกเมียที่กลับมา เงินกองใหญ่ และโรคที่หายไปตามพร หญิงชราก็พูดขึ้นว่าเจ้าอายุเท่าไหร่แล้วพ่อหนุ่ม
    เขาตอบว่า ข้าอายุ40

    หญิงชราหัวเราะและพุดว่า เจ้าก็แก่แล้วนี่แล้วทำไมยังเชื่อเรื่องเหลวไหลอย่างแม่มดอีกล่ะ

    ถ้าท่านเชื่อเรื่องเหวลไหลแบบหนึ่งท่านก็จะเชื่อมันทุกเรื่องนี่แหละคือสาเหตุที่ท่านไม่รุ้จักโตเสียที เพราะงั้นท่านจึ่งไม่เคยมองเห็นว่า ศาสนาที่แท้จริงนั้นคือเรื่องของวุฒิภาวะไม่ใช่เทววิทยา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 เมษายน 2010
  15. datedoctor

    datedoctor เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    539
    ค่าพลัง:
    +678
    ครับคือต้องมาขออธิบายเพิ่มเติมก่อนนะครับ
    เพราะยุคสมัยนี้ มีพวกกูรูแต่รู้ไม่จริงมากมายครับ บางคนก็เป็นพวกมีชื่อเสียงมีหน้ามีตาทางสังคม ที่สำคัญมีทุนด้วย เลยเอาความเชื่อของตนไปปะปนแนวคิดของพระพุทธเจ้าท่านเสียหมด

    ก็เรื่องกฏของธรรมชาตินั้นแหละครับ บางคนบอกว่าพระพุทธเจ้าท่านทรงพบกฏฟิสิกส์เคมีข้อนั้น ข้อนี้ ก่อนนักวิทยาศาสตร์ท่านนั้นท่านนี้ ท่านทรงตรัสว่าจักรวาลเป็นเช่นนั้นเช่นนี้ก่อนนักวิทยาศาสตร์ใน พระสูตรนั้นพระสุตรนี้

    พวกนี้กำลังดูถูกพระพุทธเจ้านะครับถึงจะไม่รุ้ตัวก็เถอะ พวกนี้ไม่เข้าใจพระพุทธเจ้าเลยครับ

    ลองไปเปิดพระไตรปฏิกดูเถอะแล้วคุรจะพบว่าท่านแบ่งกฏทางธรรมชาติออกเป็น 5แบบครับ
    ในเรื่องนิยาม5 ที่คนไม่ค่อยจะพูดถึงกันเพราะนิยาม5ไม่ใช่ธรรม ไม่ใช่กฏศีลธรรม แต่เป็นเพียงแนวคิดในการจัดประเภทกฏของธรรมชาติ ซึ่งเป็นรากฐานแนวคิดทั้งหมดของพระองค์
    คือท่านแบ่งเป็น
    1.อุตุนิยม คือกฏธรรมชาติที่เกี่ยวข้องกับสิ่งไม่มีชีวิต ก็เช่นวิชาฟิสิกส์ เคมีนั้นแหละครับ

    2.พีชนิยาม คือกฏธรรมชาติที่เกี่ยวข้องกับสิ่งมีชีวิต ก็เช่นวิชาชีววิทยาสาขาต่างๆ

    ดูให้ดีนะครับว่าพระพุทธเจ้าท่านไม่ได้ค้นหากฏธรรมชาติแบบนี้เลยท่านออกจะไม่สนใจเสียด้วยซ้ำ เพราะท่านสนกฏที่ยิ่งใหญ่กว่านี้และเป็นพื้นฐานของกฏเหล่านี้ เห็นไหมครับท่านหัวก้าวหน้าแค่ไหน

    3.จิตนิยาม คือกฏธรรมชาติที่เกี่ยวข้องกับการทำงานของจิต เช่นวิชาจิตวิเคาระห์ ของตะวันตก แต่ก็มีข้อสังเกตุนะครับว่าตะวันออกของเราเริ่มวิจัยเรื่องนี้ก่อนตะวันตกเป็น1000ปีก็เป็นเรื่องหนึ่งที่มีคนศึกษากันในสมัยพุทธกาล แต่นี้ก็ไม่ใช่กฏธรรมชาติที่พระพุทธเจ้าท่านค้นหาอีก

    4.กรรมนิยาม อันนี้ต้องทำความเข้าใจก่อนว่าหมายความว่าอย่างไร?คือกฏธรรมชาติที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมของมนุษย์ ซึ่งเราจะพบว่าตะวันตกเองก็ศึกษาเรื่องนี้ผ่านวิชาจิตวิทยาเชิงพฤติกรรม ปรัชญาประเภทมนุษยนิยม สัมคมศาสตร์ทุกชนิด หรืออาจจะรวมชีววิทยาเชิงสังคมผ่านกระบวณการคัดสรรทางธรรมชาติด้วย

    ศาสนาทุกศาสนา แต่ก็มีข้อสังเกตุนะครับว่าตะวันออกของเราเริ่มวิจัยเรื่องนี้ก่อนตะวันตกอีกเช่นกันนี่ก็เป็นเรื่องหนึ่งที่มีคนศึกษากันในสมัยพุทธกาล แต่นี่ก็ไม่ใช่กฏธรรมชาติที่พระพุทธเจ้าท่านค้นหาอีกเช่นกัน ถึงแม้ว่าท่านจะเน้นสอนเรื่องกรรมและการภาวนาในจิตนิยาม

    จุดหนึ่งที่ข้าพเจ้าอยากจะชี้คือเราจะพบว่าในบรรดากฏทั้งหมดทั้ง4ข้อนี้มีอุตุนิยม เป็นพื้นฐานสุด เพราะทุกสิ่งก็มาจากสสารและพลังงาน เราสามารถขยายความรุ้เหล่านี้นำมาเชื่อมโยงกันได้ แต่ก็ยังไม่ใช่สิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านสนใจ

    งั้นกฏอะไรเล่าที่พระพุทธเจ้าท่านค้นหา กฏนั้นมีชื่อว่า อิทัปปัจยตา ฟังให้ดีนะครับ นี่แหละครับพระเจ้าในศาสนาพุทธ พระเจ้าของทุกๆศาสนาเลยกฏข้อนี้ เพราะเป็นผู้บันดาลผลลัพท์ทุกๆกรณี
    กฏข้อนี้คือสิ่งที่ท่านเรียกของท่านว่าธรรมนิยามซึ่งเป็นพื้นฐานที่สุดยิ่งกว่าอุตุนิยามอีก
    เป็นพื้นฐานของกฏทุกข้อ ธรรมทุกข้อ ทฤษฏีทุกข้อ และไม่ใช่เรื่องทางโลกเหมือนกฏอีก4ข้อนั้น กฏนี้กล่าวถึงอะไร กฏนี้กล่าวว่า เมื่อมีปัจจัย ย่อมมีผล แน่นอนครับว่ามีคนรู้จักกฏข้อนี้ก่อนพระพุทธเจ้ามากมาย

    แต่ไม่มีใครเลยในชมพูทวีปสมัยนั้นที่ตระหนักถึงความสำคัญและขยายความมันได้เท่าพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าทรงพบกฏที่เป็นพื้นฐานที่สุด กฏแห่งความเป็นเหตุและผล กฏของความเป็นเช่นนั้นเอง ลองมองดุสิครับว่าทุกทฤษฏีในวิชาอะไรก็ตาม ล้วนเกิดมาจากคำเดียวคือทุกๆผลลัพธ์ย่อมมีสาเหตุของมันอยู่ ถ้าคุณถามว่าทำไมก็เพราะมั้นเป็นเช่นนั้นเอง

    จุดนี้แหละครับที่เป็นแรงผลักดันให้พระองค์ตรัสรู้ เพราะทุกสิ่งมีเหตุนี่เองจึ่งต้องค้นหาเหตุและแก้ปัณหาที่เหตุ นี่แหละหัวใจของศาสนาทุกศาสนา วิชา ศาสตร์ใดๆก็ตาม
    นี่แหละครับที่พระอัสสชิ ท่านกล่าวกับอุปติสสปริพาชกเมื่อเขาถามว่าท่านนักบวชครูท่านสอนท่านว่าอย่างไร ท่านอัสสชิตอบว่า ครูของฉันท่านสอนว่า ทุกสิ่งที่มีเหตุ ครุท่านทรงแสดงเหตุ และหนทางดับเหตุนั้น

    ดังนั้นผู้ที่กล่าวว่า พระพุทธเจ้าท่านทรงพบกฏฟิสิกส์เคมีข้อนั้น ข้อนี้ ก่อนนักวิทยาศาสตร์ท่านนั้นท่านนี้ แม้จะมีเจตนาดีที่จะส่งเสริมพระอัจฉริยะของท่าน แต่นั้นกับยิ่งนำท่านให้มาตกต่ำลง เพราะเจตนาที่ว่าแท้ๆ ไปคิดดูเถอะ<!-- google_ad_section_end -->
     
  16. benjamina

    benjamina เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2009
    โพสต์:
    233
    ค่าพลัง:
    +289
    อ่านแ้ล้ว งงดี หรือเพราะปัญญาทึบน่ะเรา ผมโง่ หรือ คนอธิบาย แก้ความกระจ่างไม่ได้หว่า

    อย่าว่ากันนะ ขอพูดตรงๆ ว่า เรปบน ยังอธิบายไม่ได้จ่างนัก ฟังเหมือนดูดี แต่พยายามทำความเข้าใจแร้วมันก็ไม่เข้าใจ ยังสับสนความคิดเรียบเรียงไม่ถูกหรือเปล่า
     
  17. datedoctor

    datedoctor เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    539
    ค่าพลัง:
    +678
    ง่ายมากครับถ้าอ่านแล้วเข้าใจก็เตรียมตัวทำปริณญาเอกได้เลย ถ้าอ่านแล้วไม่คิดตาม ดีแต่กลอกตาก้ไม่มีวันจับอะไรได้หรอกครับ อย่ากกอนุรักษืพลังงานคืออะไรถามว่ารุ้ไหมครับสอนตั้งแต่ประถม คำตอบคือก้ไม่รู้ ไม่ได้แปลว่าท่านโง่แต่มันหมายความว่าท่านไม่สนใจมันบ้างต่างหากและครับ อย่านี้จะไปเข้าใจได้อย่างไรเล่า
    อย่าเอาตัวเองมาตัดสินเพราะการที่ท่านไมเข้าใจไม่ได้แปลว่าคนอื่นเขาจะไม่เข้าใจ

    ผมว่าผมเขียนภาษาไทยรู้เรื่อง
    นะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 เมษายน 2010
  18. Sopasiri

    Sopasiri เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    449
    ค่าพลัง:
    +912
    ที่ต้องใช้เวลานานกว่าจะเกิดปฏิกิริยาทำให้เกิดลูกไฟได้ และที่ทำให้เกิดลูกไฟได้แค่ช่วงเวลาสั้นๆ เพราะแรงส่งมีไม่พอรวมทั้งขาดตัวควบคุมของวัตถุ จากการส่งกระแสไฟฟ้าแรงสูงลงดินเนี่ย กระแสไฟฟ้าแค่นั้นถ้าส่งลงดินก็ไม่แปลกที่จะได้ลูกไฟแค่นี้ ถ้าเทียบกระแสไฟฟ้าแรงสูงกับปริมาตรพิ้นดิน กระแสไฟฟ้าแรงสูงมีกำลังน้อยกว่า การที่จะทำให้เกิดลูกไฟได้นานๆ จำเป็นต้องมีปัจจัยอื่นมาสนับสนุนคือดิน น้ำ ลม ไฟ อากาศ และพลังงานควบคุม ที่จะมาทำให้เกิด กระแสไฟฟ้า พลังสนามแม่เหล็ก ไอน้ำ ที่เพียงพอ จากการทดลองที่กล่าว ได้ส่งพลังกระแสไฟฟ้าแรงสูงจากเครื่อง ที่ใช้ทดลองลงไปในดิน แน่นอนว่าการทดลองนี้ขาดพลังงานควบคุม ตั้งแต่กระแสไฟฟ้านั้นได้ผ่านดินลงไปแล้ว กระบวนการเกิดไอซิลิกอน ไอร้อนที่กระทบอากาศ จนกลายเป็นกลุ่มละอองอนุภาค จำเป็นต้องได้รับแรงส่งที่มากพอ และพลังงานควบคุมปริมาตรดิน น้ำ ลม ไฟ อากาศ ให้ได้อยู่ในปริมาณมากพอ สำหรับกระบวนการการเกิดปฏิกิริยาต่างๆใต้พื้นดินทุกกระบวนการ เช่น ควบคุมกระแสไฟแรงสูงให้แรง และแรงโดยต่อเนื่องทุกกระบวนการโดยไม่ตก แต่จากการทดลอง กระแสไฟแรงสูงนั้นมีแรงไม่สม่ำเสมอแน่นอนจากการเคลื่อนใต้ดิน ควบคุมปริมาณอากาศต่อที่นั้นๆสำหรับกระทบไอร้อนให้ได้มากพอ ที่จะเกิดอนุภาคที่มีความหนาแน่นสูง พอเกิดลูกไฟแล้ว ก็จำเป็นต้องมีพลังงานควบคุมบรรยากาศภายนอก เช่น ดิน น้ำ ลม ไฟ อากาศ ต่างๆ ที่จะเอื้อให้ลูกไฟนั้นติดได้นาน นักทดลองยังขาดพลังงานที่ใช้ควบคุมอยู่ไงคะ รวมถึงกระบวนการที่ทำให้ลูกไฟนั้นเกิดขึ้น โดยที่ลูกไฟนั้นปราศจากความร้อนด้วย รู้สึกว่าจากที่ทดลองออกมา ลูกไฟนั้นยังมีความร้อนอยู่นะคะ ถึงติดได้ไม่นาน ถ้านักวิทยาศาสตร์ต้องการจะสร้างลูกไฟที่มีความร้อน คงจะต้องใช้ตามทฤษฎีนี้ แต่ถ้านักวิทยาศาสตร์ต้องการสร้างลูกไฟที่ปราศจากความร้อน โดยที่กล้องจับความร้อนตรวจจับไม่ได้ คงต้องว่ากันถึงทฤษฎีแสง นี่จากการสันนิษฐานเล่นๆน่ะค่ะ ไม่ทราบว่าเป็นอย่างนี้รึเปล่าคะ คุณ Datedoctor?
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 เมษายน 2010
  19. benjamina

    benjamina เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2009
    โพสต์:
    233
    ค่าพลัง:
    +289
    "อย่าเอาตัวเองมาตัดสินเพราะการที่ท่านไมเข้าใจไม่ได้แปลว่าคนอื่นเขาจะไม่ เข้าใจ"

    ถูกต้องที่สุดครับ แล้วไงก็รบกวนคุณมองในด้านกลับกันด้วยนะคับว่าอย่าเอาตัวคุณมาตัดสินใจด้วยวิทยาศาสตร์ที่คุณเชื่อ เพราะถ้าจะกล่าวอ้างสิ่งใดโดยที่ วิทยาศาสตร์ของคุณยังพิสูจน์ไม่ได้จริง ก็จงอย่าพูดเลยจะดีกว่าครับ ที่พูดว่าวิทยาศาสตร์ของคุณ นั่นเพราะมันคือวิทยาศาสตร์ในความคิดคุณ ซึ่งมันจะมีความหมายถึงวิทยาศาสตร์ที่คนทั่วไปเข้าใจหรือเปล่า? ไม่ขอกล่าวอะไรเพิ่มเติมจากนี้ เพราะหลังจากนี้อาจจะเข้ามาอ่านบ้าง แต่จะไม่ตอบอะไรเลย มันไม่มีประโยชน์ทั้งคุณและผม ไว้รอคุณทำลูกไฟแบบนั้นได้ หรือ อธิบายทฤษฎีการเกิดขึ้นของลูกไฟนั่นได้ค่อยมาว่ากัน
     
  20. พลอยรุ้ง

    พลอยรุ้ง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    467
    ค่าพลัง:
    +2,088
    เอ่อ.. อ่านของหลายๆคน ยิ่งงงเข้าไปใหญ่ค่ะ
    ยังไงก็ขอขอบคุณ จขกท ที่มีความตั้งใจจะให้ความกระจ่าง ในเรื่องที่ใครสงสัย ในอีกแง่มุมหนึ่ง
    บางที.. เรื่องบั้งไฟพญานาค อาจจะซับซ้อน จนต้องอธิบายด้วยวิชาหลายๆด้าน หรือมองหลายๆมุม มองในแง่วิทยาศาสตร์ จะช่วยให้คนที่เรียนวิทยาศาสตร์ เข้าใจได้ ใช้อธิบายได้ดี ค่อนข้างเห็นภาพ แต่ก็ยังมีจุดอ่อน
    มองในแง่ศาสนา จริงๆก็อธิบายได้ ถ้าคนตอบมีภูมิความรู้พอ แต่เป็นเรื่องละเอียดอ่อนยิ่งกว่าวิทยาศาสตร์ อธิบายได้ยากกว่า และคนก็จะไม่เข้าใจด้วย เพราะมีภูมิต่างกัน
    แต่.. เราเชื่อว่า วันหนึ่งวิทยาศาสตร์กับศาสนา จะมาบรรจบกัน เพราะปรากฏการณ์ทั้งหลายเป็นธรรมชาติ วิทยาศาสตร์ก็เป็นวิชานึง ที่มีจุดประสงค์เพื่อศึกษาธรรมชาติ ส่วนศาสนา พระธรรม ก็คือ ธรรมะ ก็มาจากธรรมชาติเช่นกัน หลักธรรมะล้วนมาจากความเป็นจริงในธรรมชาติ ฉะนั้น สองสิ่งคือสิ่งเดียว แต่อธิบายกันคนละแง่มุม
    ส่วนตัว คิดว่า ไม่ว่า ลูกไฟจะเกิดจากอะไรก็ตาม (ก๊าซ หรือสนามแม่เหล็ก ทำปฏิกิริยาฯลฯ) หรือเกิดจากพญานาคผู้ยิ่งใหญ่ ความจริงก็คือความจริง สักวันต้องสามารถอธิบายได้ ตอนนี้ความรู้ยังเชื่อมกันไม่ได้ วิทยาศาสตร์ยังมีจุดอ่อน แต่ถ้าจะว่า เกิดจากท่านพญานาคแล้วไซร้... พญานาคท่านอยู่ในอีกมิติหนึ่ง (พญานาคท่านไม่ใช่ปลา ว่ายไปมาในน้ำนะคะ ....แล้วคอยพ่นฟอง ปุดๆขึ้นมา แล้วกลายเป็นบั้งไฟ -การ์ตูนเชียว) เหตุใดลูกไฟของท่าน จึงโผล่ข้ามมิติ มาปรากฏแก่ตามนุษย์ ให้งุนงง สรุปว่า เหตุผลไม่เพียงพอทั้งคู่ ต้องสืบค้นต่อไปค่ะ ท่านนักวิชาการ และท่านผู้ปฏิบัติ (แต่ยังไม่รู้แจ้ง) ทั้งหลาย อิ อิ ว่ากันแบบขำๆน่ะค่ะ (deejai)
     

แชร์หน้านี้

Loading...