พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  2. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  3. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ปฏิบัติตัวอย่างไรให้ได้งาน
    Daily News Online > หน้าสตรี > ปฏิบัติตัวอย่างไรให้ได้งาน

    ผู้ผ่านประสบการณ์การสมัครงานมาแล้วคงจำได้ถึงความตื่นเต้น กังวล ถึงคุณสมบัติ ความสามารถที่เขียนลงไปในใบสมัคร ว่าจะเข้าตานายจ้างมากน้อยแค่ไหน สำหรับเด็กจบใหม่ที่กำลังก้าวเข้าสู่โลกแห่งการทำงาน รวมทั้งผู้ที่กำลังมองหางานใหม่แต่หวั่นใจว่าควรปฏิบัติตัวอย่างไรให้ได้รับความสนใจจากนายจ้างหรือหน่วยงานที่ต้องการสมัคร เลิกกังวลกันได้เพราะวันนี้มีคำแนะนำดี ๆ จากหญิงเหล็กแห่งแวดวงเอชอาร์ (HR) มาฝากกัน ซึ่ง สามารถเก็บเกี่ยวไปใช้ได้จริงในการสมัครงาน

    นางอรุณี เกษตระทัต กรรมการผู้จัดการ บริษัทจัดหางาน เอเอ ทาเลนท์ จำกัด บริษัทที่ปรึกษาด้านการบริหารทรัพยากรบุคคล ระดับคุณภาพในภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กล่าวว่า สิ่งที่อยากแนะนำสำหรับผู้ที่กำลังหางานมีหลายข้อ เรียกว่าเป็นการปฏิบัติตัวเบื้องต้นและแสดงศักยภาพของตัวเอง เพื่อให้ได้รับความสนใจจากนายจ้าง ขั้นตอนแรกคือ การเขียนจดหมายสมัคร งานควรสั้นกระชับและได้ใจความสำคัญครบถ้วน ซึ่งไม่ควรเป็นเรื่องราวที่มีอยู่แล้วในประวัติย่อผู้สมัครงาน จดหมายแนะนำตัวที่ดีและมีคุณภาพจะดึงดูดความสนใจของเอชอาร์ เมเนเจอร์ ของนายจ้างหรือหน่วยงานที่จัดหามากพอที่จะสร้างความต้องการขอสัมภาษณ์แบบตัวต่อตัว

    ประวัติย่อผู้สมัครงานต้องรวมประวัติที่น่าสนใจให้กระชับแม่นยำ การเรียงลำดับของการทำงานเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ส่วนระดับการศึกษา ประวัติส่วนตัว รวมถึงงานอดิเรกเป็นเรื่องที่สามารถดึงดูดความสนใจได้ เพียงแต่ต้องระวังอย่าให้น้ำหนักมากกว่าเรื่องอาชีพและรายละเอียดความสำเร็จของผู้สมัคร ควรท่องให้ขึ้นใจว่านายจ้างหรือหน่วยงานจัดหางานจะมองหาประสบการณ์ที่เกี่ยวข้องในตำแหน่งงานตามที่ได้ระบุในประวัติย่อผู้สมัครงานเป็นอันดับแรก มีผู้สมัครบางคนมองข้ามการใส่ข้อมูลสำคัญสำหรับติดต่อขั้นพื้นฐาน เช่น อีเมล หมายเลขโทรศัพท์ หรือแม้แต่ ชื่อและนามสกุล ควรใส่ข้อมูลที่เกี่ยวข้องทั้งหมดเพื่อให้มั่นใจว่านายจ้างหรือหน่วยงานที่สมัคร รู้ว่าเราเป็นใครและสามารถติดต่อได้อย่างไร

    กรรมการผู้จัดการ บริษัทจัดหางาน เอเอ ทาเลนท์ กล่าวว่า ไม่ควรเปิดเผยรายละเอียดเงินเดือน เพราะอาจทำให้บริษัทที่ส่งใบสมัครไปนั้น รู้สึกว่าเงินเดือนของคุณสูงเกินกว่าที่เขาจะสนใจ ซึ่งเป็นการตัดโอกาสของคุณในการจะได้รับโอกาสเรียกสัมภาษณ์ และในทางตรงกันข้ามถ้าแน่ใจว่าเงินเดือนของคุณต่ำกว่าฐานเงินเดือนในตลาด ก็ควรเปิดเผยฐานเงินเดือนของตัวเองและสวัสดิการที่ได้รับเป็นเงินสดเช่น โบนัสปลายปี เป็นต้น เพียงเท่านี้จะสามารถทำให้คุณได้มีโอกาสนัดสัมภาษณ์จากนายจ้างหรือหน่วยงานต่าง ๆ แล้ว

    ขั้นตอนต่อไปคือ การติดตามผลการสมัครซึ่ง ผู้สมัครงานมือใหม่ไม่แน่ใจว่าควรมีการติดตามผลอย่างไรถึงเหมาะสม หลายคนถามว่าเมื่อสมัครงานแล้วควรโทรฯไปถามผลการสมัครงานหรือไม่ ขอแนะนำว่าหลังส่งจดหมายสมัครงานไปแล้ว หน่วยงานและนายจ้าง จะมีชื่อของคุณเป็นเพียงชื่อในกระดาษเท่านั้น คุณสามารถโทรศัพท์ติดตามผลได้เป็นการแนะนำตนเอง เพื่อนายจ้างใหม่หรือบริษัทจัดหางานจะได้คุ้นหูกับชื่อของคุณ ทั้งนี้การติดตามนั้นควรโทรฯ ติดตามเพียง 1-2 ครั้ง ถ้ามากกว่านั้นอาจทำให้บริษัทเกิดความรู้สึกไม่ดีว่ารุกจนเกินไป

    “กลเม็ดอีกอย่างที่สำคัญสำหรับผู้สมัครคือ การขอรับการสัมภาษณ์แบบตัวต่อตัว เป็นการผูกหรือเน้นย้ำหน้าตาของเรากับชื่อในใบสมัครให้นายจ้างและหน่วยงานเกิดความจดจำ แต่ต้องไม่ลืมเผชิญความจริงที่ว่า คำขอนี้มักไม่ได้ผล หากการเตรียมตัวตั้งแต่ขั้นตอนแรกทั้งหมดไม่ดีพอ รวมถึงการเลือกสมัครในตำแหน่งงานที่มีความต้องการเกี่ยวโยงถึงความสามารถ และความถนัดในการทำงานที่เหมาะสม ตรงกับประสบการณ์การทำงานที่ผ่านมาของคุณ คำแนะนำง่าย ๆ คือ ให้ลองสำรวจและถามตัวเองว่า ถ้าฉันเป็นนายจ้าง ฉันจะจ้างผู้สมัครเช่นตนเอง สำหรับตำแหน่งที่ว่างนี้หรือไม่” นางอรุณีกล่าว

    มือโปรแห่งแวดวงเอชอาร์ กล่าวทิ้งท้ายด้วยข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อบรรดาผู้จบการศึกษาใหม่ ๆ ตลอดจนผู้ที่กำลังมองหางานใหม่ว่า ปีนี้มีการแข่งขันสูงมากสำหรับผู้สมัครงานเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา สิ่งที่จะเป็นตัวเพิ่มคุณสมบัติให้แตกต่างกว่าคนอื่น นอกจากทักษะด้านภาษา ไม่ว่าภาษาอังกฤษ จีน ญี่ปุ่น ซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งที่มีผลต่อเงินเดือนแล้ว การมีมนุษยสัมพันธ์ มีการสื่อสารที่ดี การเป็นทีมเวิร์ก ล้วนแต่มีผลต่อการพิจารณา ที่จะทำให้คุณสามารถเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งขององค์กรหรือหน่วยงานในฝันได้ทั้งสิ้น.

    http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=359&contentID=63745

    .
     
  4. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    รู้ทัน ‘อาหารเสีย’
    http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=457&contentID=63496

    การดูแลรักษาท้องไส้ไม่ให้ปั่นป่วน จู๊ด จู๊ด...นอกจากจะต้องใส่ใจเรื่องความสะอาดแล้ว คุณผู้อ่านยังจำเป็นต้องสังเกตลักษณะของอาหารให้แน่ใจด้วยว่าสามารถรับประทานได้อย่างปลอดภัย โดยเฉพาะอาหารเก็บไว้ได้นาน รับประทานสะดวก เช่น อาหารประเภทสำเร็จรูป กึ่งสำเร็จรูป

    สำหรับวิธีสังเกตอาหารสำเร็จรูป ชนิดที่ได้รับความนิยมในการบริโภค อย่าง ขนมอบหรือเบเกอรี่ ไม่ควรรับประทานเมื่อเกิดกลิ่นหืน สีเปลี่ยน มีจุดสีแปลก ๆ เช่น ขาว ดำ เขียว อันเนื่องมาจากส่วนผสมในอาหารชนิดนี้มักมีแป้ง น้ำตาล และไขมัน ซึ่งเป็นอาหารชั้นเยี่ยมของเชื้อรา ที่เจริญเติบโตได้ดีหากเก็บขนมอบไว้ในที่ร้อนชื้น ดังนั้น เพื่อถนอมอาหารไม่ให้เสียเร็ว ควรแช่เก็บในตู้เย็น

    ขณะที่ แยม หากสังเกตพบจุดหรือกลุ่มสีขาว นั่นคือ เชื้อรา ที่เกิดจากการใช้ช้อนที่ไม่สะอาด ปนเศษอาหารตักลงในขวดแยม หรือเปิดฝาขวดใส่แยมทิ้งไว้ เมื่อเกิดราขึ้นแล้ว วิธีตักกลุ่มสีขาวหรือเชื้อราออก ก็ไม่สามารถแก้ไขปัญหาดังกล่าวได้ เนื่องจากเชื้อราได้กระจายตัวไปทั่วแล้ว ทางที่ดีคือต้องทิ้งสถานเดียว

    น้ำจิ้มหรือซอสแบบขวด ปัญหาที่ใคร ๆ ต่างมองข้ามนั้นเกิดในตำแหน่งปากขวดที่เต็มไปด้วยคราบของน้ำจิ้มหรือซอสเหนียวเหนอะหนะ โดยคราบดังกล่าวจะมีเชื้อราหรือจุลินทรีย์สะสมอยู่ เพื่อความปลอดภัย หลังจากเปิดใช้ควรเช็ดคราบน้ำจิ้มหรือซอสออกจากปากขวดให้สะอาด และปิดฝาขวดให้สนิท

    ส่วนอาหารกึ่งสำเร็จรูป อย่าง เบคอน ไส้กรอก แม้จะนำไปแช่ตู้เย็น แต่การเก็บไว้นานพ้นวันหมดอายุไปแล้ว ก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงการเกิดเมือกขาว และกลิ่นคาว ถ้าหากเกิดปัญหาดังกล่าวขึ้น ควรทิ้งทันที ส่วนความเข้าใจที่ให้นำไปลวกน้ำร้อนหรือขัดล้างด้วยน้ำสะอาดนั้น ไม่สามารถกำจัดพิษของจุลินทรีย์ได้

    ในประเภทของอาหารกึ่งสำเร็จรูปยังมี บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ที่บางคนเก็บไว้นานจนตัวบะหมี่เกิดกลิ่นหืนแม้ยังไม่หมดอายุ แต่เพราะบะหมี่ถุงนั้นถูกแสงแดดหรือสัมผัสกับอากาศ และในกรณีที่จำเป็นต้องรับประทาน ควรนำบะหมี่ไปลวกน้ำร้อน เมื่อเดือดจนเส้นสุกนิ่ม ให้เทน้ำที่ลวกทิ้ง แล้วเติมน้ำร้อนใหม่ก่อนปรุง

    เส้นมักกะโรนีหรือสปาเก็ตตี้ที่ลวกแล้ว แต่รับประทานไม่หมดจึงเก็บใส่ตู้เย็น มักพบปัญหาจากจุลินทรีย์ที่เข้าไปย่อยสลายแป้ง ส่งผลให้มีกลิ่นหืน เมือกลื่น แป้งเปื่อยและขาดเละ หากมีลักษณะดังกล่าวก็ไม่ควรรับประทาน

    หลังรับทราบวิธีสังเกตอาหารว่าอยู่ในสภาพควรรับประทานหรือไม่ ‘มุมสุขภาพ’ หวังว่าคุณผู้อ่านคงจะนำไปใช้เพื่ออิ่มอร่อยกับมื้ออาหารที่ปลอดภัย.

    takecareDD@gmail.com
    ภาพประกอบจาก
    standeyo.com
    What Causes Pollution and How to Deal with it. at Pollution Issues (UK)
     
  5. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    กาชาดขาดเลือด ขอรับบริจาคเพิ่มด่วน
    กาชาดขาดเลือด ขอรับบริจาคเพิ่มด่วน - ข่าวไทยรัฐออนไลน์

    สภากาชาดไทย ประกาศของรับบริจาคเลือดด่วน หลังจากที่ประสบปัญหาวิกฤติ ขาดเลือดสำรองทุกกรุ๊ป เหลือไม่ถึงวันละ 1,000 ยูนิต วอนประชาชนบริจาคเลือดให้ผู้ป่วย...

    พญ.สร้อยสอางค์ พิกุลสด ผู้อำนวยการศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย กล่าววันนี้ (4 พ.ค.) ว่า เนื่องจากขณะนี้ ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ ประสบปัญหาโลหิตสำรองลดลงอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากมีผู้เดินทางมาบริจาคโลหิตที่ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ ถนนอังรีดูนังต์ ลดลงเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะในช่วงวันหยุดต่อเนื่องวันแรงงานแห่งชาติที่ผ่านมา มีผู้มาบริจาคโลหิตลดลงวันละไม่ถึง 1,000 ยูนิต แต่ไม่เพียงพอสำหรับผู้ป่วยที่ต้องการโลหิตวันละ 1,500 ยูนิต

    ผอ.ศุนย์บริการโลหิตฯ กล่าวด้วยว่า สภากาชาดไทยจึงได้ดำเนินการจัดหน่วยเคลื่อนที่เพิ่มเติม และขยายเวลารับบริจาคโลหิต ดังนี้ วันที่ 5 พ.ค.53 ได้เพิ่มรถรับบริจาคโลหิตเคลื่อนที่ ไปจอดบริเวณด้านหน้าห้างสรรพสินค้าเดอะมอลล์บางแค ถนนเพชรเกษม รับบริจาคโลหิต เวลา 12.00-18.00 น.
    สำหรับวันที่ 7 พ.ค.53 ขยายเวลาเปิดรับบริจาคโลหิตที่ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ ถนนอังรีดูนังต์ ตั้งแต่เวลา 08.00-19.30 น. ผู้บริจาคโลหิตสามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ฝ่ายประชาสัมพันธ์ฯ ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ โทร. 0-2256-4300 และ 0-2263-9600-99 ต่อ 1101

    http://www.thairath.co.th/content/edu/80942

    .
     
  6. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    สะอึก…แก้ด้วยวิธีง่ายๆ
    http://www.thairath.co.th/content/life/80809

    สะอึก หลายๆ ท่านคงจะมีประสบการณ์ในการ "สะอึก" มาบ้างแล้ว และทราบดีว่าการที่จะทำให้หยุดสะอึกอย่างจงใจนั้นไม่สามารถจะกระทำได้ การสะอึก (hiccup) เป็นอาการที่เกิดจากการหดตัวของกล้ามเนื้อกระบังลมที่อยู่ตรงรอยต่อระหว่าง ช่องปอดและช่องท้องที่เกิดขึ้นเองโดยไม่สามารถควบคุมได้ ทำให้เกิดการหายใจเอาอากาศเข้าไปก่อน และจะหยุดหายใจเข้านั้น ทันทีทันใด เนื่องจากทางเข้าหลอดลมจะปิด ทำให้เสียงดังของการสะอึกเกิดขึ้นทุกครั้งไป

    อาการสะอึกเกิดจากการหดตัว ของกล้ามเนื้อกะบังลมที่อยู่ตรงรอยต่อระหว่างช่องปอด และช่องท้องที่เกิดขึ้นเองได้โดยไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด แต่คาดว่าเกิดจากมีสิ่งมากระตุ้นเส้นประสาท 2 เส้น คือ เส้นประสาทเวกัส vagus nerve และเส้นประสาทฟรีนิก phrenic nerve ซึ่งเป็นส่วนที่เชื่อมระบบประสาทต่อกับระบบทางเดินอาหารส่วนต้น โดยเสียงสะอึกที่เกิดขึ้นมาจากการหายใจออกขณะที่กะบังลมเกิดการกระตุกทันที ทันใด ทำให้เกิดเสียงดังของการสะอึกขึ้น อาการสะอึกอาจเกิดขึ้นเป็นช่วงสั้นๆ และหายไปได้เอง อาจใช้เวลาเป็นวินาทีหรือ 2-3 นาที ซึ่งอาจพบได้บ่อยๆ แต่ถ้าหากสะอึกอยู่นานๆ เป็นครั้งค่อนชั่วโมงหรือเป็นวันๆ อาจจะต้องหาสาเหตุว่ามาจากโรคของอวัยวะต่างๆ ควบคู่กันไปด้วย เช่น โรคเกี่ยวกับอวัยวะในช่องท้อง ในช่องปอด ในระบบสมองและประสาทส่วนกลาง เป็นต้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การสะอึกที่เกิดขึ้นในขณะนอนหลับจะมีความหมายมากกว่าการสะอึกในเวลากลางวัน

    กลไกการสะอึก

    1. ขณะที่หายใจเข้า กะบังลมที่อยู่ตอนล่างของช่องอกจะเคลื่อนลงล่าง ทำให้ปอดขยายตัว และดึงดูดให้อากาศเข้าปอด

    2. กะบังลมเกิดการกระตุก ทำให้ลมหายใจตีกลับขึ้นข้างบน ขณะที่ลิ้นกล่องเสียงปิด ตัดกระแสลม ทำให้เกิดเสียงสะอึกขึ้น

    3. ในที่สุดลิ้นกล่องเสียงเปิด กะบังลมคลายตัว และลมหายใจออกจากปอด

    4. แม้ว่ากลไกการเกิดการสะอึก ยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด แต่เชื่อว่าอาการนี้อาจจะเป็นการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติชนิดหนึ่ง โดยศูนย์กลางของการสะอึกจะอยู่บริเวณก้านสมองบริเวณเมดัลลา แล้วเชื่อมระบบประสาทต่อกับระบบทางเดินอาหารส่วนต้นด้วยเส้นประสาทเวกัสและ เส้นประสาทฟรีนิก

    ลักษณะอาการ อาจแบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม ได้แก่

    1. อาการสะอึกช่วงสั้นๆ อาจเพียง 2-3 นาที

    2. สะอึกหลายๆ วันติดกัน

    3. สะอึกติดๆ กันหลายสัปดาห์

    4. สะอึกตลอดเวลา

    การสะอึกติดต่อกันหลายๆ วัน เป็นอาการที่ไม่ธรรมดา เนื่องจากมีสาเหตุมาจากโรคอื่นๆ เช่นความผิดปกติทางสมองการเป็นอัมพาตการเป็นโรคทางเดินอาหาร การอักเสบในช่องท้องบริเวณกะบังลม โรคหลอดเลือดสมองตีบ เยื่อหุ้มสมองอักเสบพิษสุราเรื้อรัง รวมถึงอาการทางภาวะจิตใจ และผลกระทบจากการใช้ยาบางชนิด

    ส่วนมากผู้ป่วยที่มาหาพบแพทย์ ด้วยการสะอึกเป็นระยะเวลานานติดต่อกัน เนื่องมาจากมีอาการผิดปกติทางสมอง หรือเป็นอัมพาต ซึ่งอาการเหล่านี้สามารถให้ยาที่ช่วยบรรเทาอาการสะอึกได้ แต่ก็อาจมีการสะอึกเกิดขึ้นมาอีก เพราะอาการสะอึกเป็นเพราะต่อเนื่องที่เกิดจากการเจ็บป่วย

    สาเหตุของอาการสะอึก

    1. สำหรับสาเหตุเชื่อกันว่าเกิดจาก การรับประทานอาหารมากเกิน เร็วเกินไป บางคนอาจจะมีความตึงเครียดมากไป บางคนอาจเกิดจากการดื่มเครื่องดื่มประเภทมีแอลกอฮอล์ในกระเพาะอาหาร หรือสูบบุหรี่มากเกินไป นอกจากนี้การบริโภคอาหารที่ทำให้มีก๊าซมากก็อาจเป็นสาเหตุของการสะอึกได้

    2. สาเหตุของการสะอึกอาจเกิดจากมี อะไรไปรบกวนประสาทที่ควบคุมการทำงานของกะบังลม ลมในกระเพาะอาหารขยายตัวไปกระตุ้นปลายประสาทที่มาเลี้ยวกะบังลม หรืออวัยวะใกล้กะบังลมเป็นโรคบางอย่าง เช่น เยื่อหุ้มปอดอักเสบ มูลเหตุเหล่านี้ทำให้ กะบังลมหดตัวอย่างรุนแรงทันทีทันใด การบีบรัดตัวของกะบังลมทำให้แผ่นเหนือกล่องเสียงที่คอหอยซึ่งปกติคอยกั้นไม่ ให้อาหารเข้าไปในหลอดลมปิดลง เมื่อกะบังลมหดอย่างรุนแรงก็จะดึงอากาศเข้าสู่ปอดผ่านคอหอย อากาศจึงกระทบกับแผ่นปิด แล้วทำให้สายเสียงสั่นสะเทือน จึงเกิดเสียงสะอึก อย่างที่ได้ยินเวลาสะอึก

    3. อาการสะอึกเกิดได้กับคนทุกคน สาเหตุเป็นเพราะกระเพาะอาหารเกิดการระคายเคือง จึงได้ไปกระคุ้นให้เส้นประสาทในบริเวณนี้ทำงานผิดปกติ ชักนำให้กล้ามเนื้อกะบังลม กล้ามเนื้อที่กั้นกลางระหว่างช่องอกกับช่องท้อง มีการหดเกร็งตัวเป็นจังหวะๆ และกล้ามเนื้อซี่โครงก็ได้รับผลกระเทือนให้เกิดจากหดเกร็งตัวในลักษณะเดียว กัน อย่างไรก็ตาม สาเหตุก็ไม่จำเป็นต้องเกิดจากการระคายเคืองที่กระเพาะอาหารเสมอไป บางครั้งก็อาจก่อตัวที่ศูนย์การสะอึกที่อยู่ในสมองที่บังคับควบคุมให้เกิด การเคลื่อนไหวผิดปกติของกะบังลม จนเกิดเป็นอาการสะอึก

    4. นอกจากนี้ยังอาจมีสาเหตุจากความ ผิดปกติในบริเวณคอ และหน้าอก เช่น ก้อนเนื้องอก ต่อมน้ำเหลืองโต เป็นต้น หรือเกิดจากโรคในช่องท้อง เช่น เยื่อบุช่องท้องอักเสบ ไตวาย หรือภายหลังการผ่าตัดช่องท้อง เป็นต้น หรือบางครั้งก็อาจเกิดจากสาเหตุทางด้านอารมณ์ เช่น ความรู้สึกช็อก ความเครียดเรื้อรัง เป็นต้น

    5. สาเหตุอาจเกิดจากยาบางชนิด เช่น ยาปฏิชีวนะกลุ่ม beta-lactams, macrolides, fluoroquinolone หรือแอลกอฮอล์

    การรักษา

    1. ในแง่ของการรักษาอาการสะอึกนั้น ถ้าสะอึกเป็นเวลาสั้นๆ ไม่นานแต่เป็นหลายครั้ง ท่านอาจต้องสังเกตกิจวัตรประจำวัน การรับประทานอาหารดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์หรือการสูบบุหรี่ว่ามีความ สัมพันธ์กับการสะอึกหรือไม่ ถ้าสัมพันธ์กัน ท่านก็ควรที่จะปรับปรุงสิ่งเหล่านั้น หากสะอึกอยู่เป็นเวลานานๆ ท่านควรไปพบแพทย์จะเป็นวิธีที่ดีที่สุด

    2. สำหรับเทคนิคการหยุดอาการสะอึก มีหลายแบบ ล้วนแล้วแต่มีบันทึกไว้ในตำราทางการแพทย์ ซึ่งไม่มีความแน่ชัดในการหวังผลจากการรักษาด้วยวิธีต่างๆ

    3. ถ้าไม่ดีขึ้น อาจจะต้องพบแพทย์เพื่อใช้ยาบางตัวช่วย เช่น Lagactil, Baclofen หรือกลุ่มยาช่วยย่อย เช่น Cisapride, Omperazole เป็นต้น

    4. ถ้าใช้ยาแล้วยังไม่ดีขึ้น อาจจะต้องพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุโรคอย่างอื่นร่วมด้วย แล้วแก้ไขตามสาเหตุ หรือทำการผ่าตัดทางศัลยกรรมประสาท

    5. การฝังเข็ม การสวดมนต์ทำสมาธิ การใส่สายเข้าไปในกระเพาะอาหารเพื่อดูดเอาลม และน้ำย่อยออก

    6. ในการแก้ไขจะต้องค้นให้พบสาเหตุ ของการสะอึกเสียก่อน ถ้ามีโรคที่ซ่อนเร้นอยู่ แพทย์ก็จะให้การรักษาเพื่อแก้ไขอาการสะอึกควบคู่กับการแก้ไขโรคที่เป็นต้น เหตุ ในกรณีที่ไม่มีสาเหตุชัดเจน ก็มักจะเกิดจากความผิดปกติในกระเพาะอาหาร เช่น การกินอิ่มเกินไป การกินอาหารเผ็ดจัด การดื่มเหล้า การกินอาหารที่ร้อนจัดหรือเย็นจัด ก็อาจชักนำให้เกิดอาการสะอึกได้

    7. ถ้าทราบว่าเกิดจากสาเหตุใด สาเหตุหนึ่งดังกล่าว แล้วหาทางหลีกเลี่ยงเสีย ก็จะช่วยป้องกันมิให้เกิดอาการกำเริบขึ้นได้อีก แต่ถ้าหากอาการสะอึกเป็นอยู่นาน จนทำให้รู้สึกเหนื่อยอ่อนและตึงเครียด ก็ควรจะไปปรึกษาแพทย์

    เทคนิคหยุดสะอึก

    1. ใช้นิ้วโป้ง และนิ้วชี้จับลิ้นเอาไว้แล้วดึงออกมาข้างหน้าแรงๆ เพื่อช่วยเปิดหลอดลมที่ปิดอยู่ วิธีกระตุ้นผิวด้านหลังของลำคอ แถวๆ บริเวณที่เปิดปิดหลอดลม อาจใช้ด้ามช้อนเขี่ยที่ปิดเปิดหลอดลม

    2. กลั้นหายใจเอาไว้โดยการนับ 1-10 แล้วหายใจออก จากนั้นดื่มน้ำตามทันที หรือหายใจลึกๆ กลั้นหายใจ หายใจในถุงกระดาษ 3-5 นาที

    3. กลั้วน้ำในลำคอ จิบน้ำเย็นจัด ดื่มน้ำเย็นจัดช้าๆ โดยดื่มตลอดเวลา และกลืนติดๆ กัน ไปเรื่อยๆ จนกว่าอาการสะอึกหาย หรือจนกลั้นหายใจไม่ได้ ดื่มน้ำจากขอบแก้วที่อยู่ด้านนอกหรือด้านไกลจากริมฝีปาก

    4. เขี่ยภายในรูจมูกให้จาม

    5. กลืนน้ำตาลทราย 1-2 ช้อนโต๊ะ โดยไม่ต้องใช้น้ำ หรือ กลืนก้อนข้าว ก้อนขนมปัง ก้อนน้ำแข็งเล็กๆ

    6. ทำให้เกิดอารมณ์รุนแรง เช่น โกรธ ตื่นเต้น หรือกลัว

    7. จิบน้ำส้มสายชูที่เปรี้ยวจัด หรือดมสารที่มีกลิ่นฉุน เช่น แอมโมเนีย

    8. ถ้าเป็นเด็กอ่อนควรอุ้มพาดบ่าใช้มือลูบหลังเบาๆ ให้เรอ

    ที่มา : ศูนย์ข้อมูลสุขภาพกรุงเทพ
    http://www.bangkokhospital.com
    http://www.bangkokhealth.com
     
  7. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    กะแช่หรือน้ำตาลเมา

    คอลัมน์ รู้ไปโม้ด

    น้าชาติ ประชาชื่น nachart@yahoo.com

    http://www.khaosod.co.th/view_news....ionid=TURNeE1RPT0=&day=TWpBeE1DMHdOUzB3TlE9PQ==

    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=left border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>
    [​IMG]

    </TD></TR></TBODY></TABLE>น้าาชาติ กะแช่กับน้ำตาลเมาเหมือนกันไหม หรือต่างกันอย่างไรคะ

    ยิ้ม

    ตอบ ยิ้ม

    เว็บไซต์ Sura Thai Community Network มีข้อเขียนของ ดร.เจริญ เจริญชัย มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี ดังนี้ สุราพื้นบ้านเป็นเครื่องดื่มที่เกิดจากภูมิปัญญาไทยแต่โบราณ มีหลายชนิด เรียกชื่อต่างๆ กัน เช่น อุ กะแช่ สาโท น้ำขาว น้ำแดง น้ำตาลเมา เป็นต้น พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2525 ให้ความหมายของคำต่างๆ ไว้ดังนี้

    กะแช่ น้ำตาลเมา น้ำเมาหมักแช่เชื้อ แต่ยังมิได้กลั่นเป็นสุรา, น้ำขาว น้ำเมาชนิดหนึ่ง ทำด้วยข้าวเหนียวนึ่งคลุกกับแป้งเหล้าซึ่งเป็นเชื้อ หมักไว้จนมีน้ำขุ่นขาว, น้ำจัณฑ์ เหล้า, น้ำตาลเมา น้ำตาลมะพร้าว รองมาใหม่ๆ ยังไม่ได้เคี่ยว เรียกว่าน้ำตาลสด ถ้าต้มให้เดือดเรียกว่าน้ำตาลลวก ถ้าใส่เปลือกตะเคียน มะเกลือ หรือเคี่ยมเป็นต้น หมักไว้ระยะหนึ่งจนมีแอลกอฮอล์ กินแล้วเมา เรียกว่าน้ำตาลเมา, น้ำเมา น้ำที่ดื่มแล้วทำให้มึนเมา ได้แก่สุราและเมรัยเป็นต้น, เมรัย เมรย น้ำเมาที่เกิดจากการหมักหรือแช่ น้ำเมาที่ไม่ได้กลั่น, สุรา น้ำเมาที่กลั่นแล้ว, สุราบาน น้ำเหล้า การดื่มเหล้า, สาโท น้ำขาว น้ำเมาที่ยังไม่ได้กลั่น, อุ น้ำเมาชนิดหนึ่ง ใช้ปลายข้าวและแกลบประสม กับแป้งเชื้อ

    แม้ชื่อเหล่านี้อาจใช้ปะปนกันในบางท้องถิ่น เนื่องจากภูมิปัญญาไทยในเรื่องนี้ถูกจำกัดมาเป็นเวลานาน ทำให้เกิดความสับสน ในที่นี้จึงแบ่งสุราพื้นบ้านออกเป็น 4 ชนิด ตามกรรมวิธีการผลิตและวัตถุดิบ ได้แก่ 1.สาโท หรือน้ำขาว น้ำแดง ผลิตจากข้าวเหนียวนึ่ง คลุกกับลูกแป้ง หมักในภาชนะจนเกิดเป็นน้ำสุรา 2.อุ ผลิตจากข้าวเหนียวเช่นกัน แต่มีส่วนผสมของแกลบด้วย และหมักในไหปิดสนิท วิธีดื่มต้องดูดจากไหด้วยหลอด 3.กะแช่ หรือน้ำตาลเมา ผลิตจากน้ำตาลจากจั่นมะพร้าวหรือตาลโตนด นำมาใส่ไม้มะเกลือ เพื่อให้เกิดการหมักจนเกิดแอลกอฮอล์ 4.สุราหรือเหล้ากลั่น ได้จากการนำน้ำสาโทมากลั่นจนได้เป็นเหล้าที่มีความแรงแอลกอฮอล์สูงกว่าสุราแช่ คือสูงกว่า 15 เปอร์เซ็นต์

    น้ำตาลเมาหรือกะแช่เป็นเครื่องดื่มที่ผลิตในท้องถิ่นที่มีน้ำตาลสด เริ่มต้นจากการเก็บน้ำตาลจากต้นมะพร้าว หรือตาล โดยใช้กระบอกไม้ไผ่รองรับน้ำตาลที่หยดจากงวงที่ถูกปาด น้ำตาลสดที่เก็บจากต้นจะเสียเร็วมาก ภูมิปัญญาไทยจึงมีวิธีถนอมรักษาโดย ใช้ไม้พะยอม ไม้ตะเคียน หรือไม้เคี่ยม ใส่ลงในกระบอกรองน้ำตาล ไม้เหล่านี้เชื่อว่ามีสารเคมีที่หยุดยั้งการเจริญของแบคทีเรียที่จะทำให้น้ำตาลบูดเสีย อย่างไรก็ตาม ยังจำเป็นต้องนำน้ำตาลมาต้มเพื่อฆ่าเชื้อก่อนบรรจุขวดขายเป็นน้ำตาลสด

    นำไม้มะเกลือมาย่างไฟ ตากแดดให้แห้ง อาจโรยเกลือลงไป เล็กน้อย แล้วนำมาใส่ในน้ำตาล ไม้มะเกลือจะทำให้เกิดการหมักแอลกอฮอล์อย่างรวดเร็ว แม้จากการศึกษาไม่พบว่าไม้มะเกลือมียีสต์ที่ทำให้เกิดการหมักแต่อย่างใด รวมถึงไม่พบว่าสามารถยับยั้งแบคทีเรียได้ ซึ่งยีสต์จะพบได้ในน้ำตาลสดตามธรรมชาติอยู่แล้ว แต่หากไม่ใส่ไม้มะเกลือแบคทีเรียที่มีในน้ำตาลจะเจริญเติบโตจนทำให้น้ำตาลบูดเสียก่อนจะเกิดการหมัก ส่วนการใช้ยีสต์บริสุทธิ์เติมลงในน้ำตาลสด ก็ไม่ให้ผลดีเท่ากับการใช้ไม้มะเกลือ

    ทางภาคใต้ใช้ไม้เคี่ยมในการหมักน้ำตาลสดสำหรับทำเหล้ากลั่น โดยถ้านำน้ำตาลไปต้มก่อนแล้วจึงใส่ไม้เคี่ยมลงไปจะเกิดการหมัก ได้ดี นั่นคือกำจัดแบคทีเรียด้วยการต้มก่อน แต่ยังคงมียีสต์หลงเหลืออยู่ และจะหมักต่อไปเมื่อน้ำตาลเย็นลง คาดว่าไม้มะเกลือหรือไม้เคี่ยมมีสารอาหารที่จำเป็นกับยีสต์ หรืออาจเป็นไปได้ที่ไม้เหล่านี้ปรับพีเอชให้เหมาะสมกับการหมัก และเนื่องจากน้ำตาลสดมีปริมาณน้ำตาลอยู่ประมาณ 15-17 องศาบริกส์ ดังนั้น น้ำตาลสดจะหมักได้แอลกอฮอล์เพียง 6-9% ซึ่งไม่เพียงพอที่จะป้องกันการปนเปื้อนของแบคทีเรีย หากจะผลิตน้ำตาลเมาจึงควรพาสเจอไรซ์ แต่หากต้องการทำสุรากลั่นก็ควรป้องกันไม่ให้ถูกอากาศก่อนนำไปกลั่น
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 พฤษภาคม 2010
  8. psombat

    psombat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,334
    ค่าพลัง:
    +5,431
    ขออนุญาตเดินทางไปทำงานแม่สะเรียงซัก 3 วันนะครับ :)

    Bye!...
     
  9. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    อานิสงค์บูชาพระเจดีย์
    โพสโดยคุณ<!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->พสภัธ (<!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->โต)
    พลังจิตดอทคอม

    ประวัติของพระสุสิมะปัจเจกพุทธเจ้า


    ในสมัยพุทธกาล เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จไปเมืองไพสาลี พระเจ้าพิมพิสารจัดการบูชาใหญ่ มีการปราบพื้นที่ทั่ง 2 ฝั่ง 8 โยชน์ โรยดอกไม้ 5 สี แค่เข่า แล้วก็พากันจัดฉัตรให้มีการบูชากันหนัก ฉะนั้นเวลาที่พระพุทธเจ้าทรงเหยียบพื้นธรณีเมืองไพสาลีเป็นครั้งแรก เกิดฝนตกหนัก บรรดาพระสงฆ์นั่งประชุมกันว่าเป็นเรื่องอัศจรรย์จริง ๆ บรรดาเพื่อนทั้งหลาย ที่พระพุทธเจ้านี่เราอยู่กับท่านมาปีเศษ ยังไม่เคยเห็นองค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์ แสดงปาฎิหารย์อย่างคราวนี้ เป็นอัศจรรย์มาก ต่างคนต่างชม เวลานั้นพระพุทธเจ้าเสด็จอยู่ในพระมหาวิหาร อาศัยความเป็นทิพย์ของโสตประสาท สมเด็จพระบรมโลกนาถฟังพระคุยกันก็เข้าใจ ฟังรู้เรื่องหมด

    สมเด็จพระบรมสุคตจึงมาพิจารณาว่า เราไปเล่าเรื่องนี้ให้เธอฟัง จะมีประโยชน์กับพวกเธอบ้างไหม ? ก็ทราบว่าเมื่อคุยจบ เล่าเรื่องนี้จบ อานิสงส์จบ บรรดาท่านที่ฟังอยู่ทั้งหลายเหล่านั้น อย่างน้อยจะได้พระโสดาบันถึงอรหันต์ เมื่อเห็นว่าประโยชน์มี องค์สมเด็จพระชินศรีก็เสด็จไป เมื่อเข้าไปใกล้ถึงที่นั่นแล้ว บรรดาพระสงฆ์ทั้งหลายก็ปูอาสนะ คือปูผ้าอาราธนาองค์สมเด็จพระประทีปแก้วประทับนั่ง โดยจริยาของพระพุทธเจ้า พระสงฆ์ต้องทำตาม

    ท่านรู้ทุกอย่างแต่ก็ต้องถามว่า เธอนั่งคุยกันเรื่องอะไร บรรดาพระสงฆ์ทั้งหลายก็กราบทูลให้ทรงทราบ สมเด็จพระบรมโลกนาถจึงได้มีพระพุทธฎีกาตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย การที่เขาปราบทางให้ราบเรียบก็ดี 8 โยชน์ โรยดอกไม้ 5 สีก็ดี กั้นร่มก็ดี เวลาเหยียบ แผ่นดินฝั่งโน้น ฝนตกก็ดี อันนี้ไม่ใช่บารมีที่ตถาคตบำเพ็ญบารมีมาดีเต็มแล้วเป็นพระพุทธเจ้า แล้วก็ ไม่ใช่อานุภาพของเทวดาหรือพรหม หรือนาคบันดาล แต่ว่าเป็นผลความดีในกาลก่อนของตถาคตที่ทำบุญนิด ๆ หน่อย ๆ แต่ว่ามีผลมาก เมื่อองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าดำรัสอย่างนี้แล้วก็ทรงหยุดอยู่ ในเมื่อพระพุทธเจ้าตรัสอย่างนั้นแล้ว บรรดาพระสงฆ์ทั้งหลายที่อาราธนาองค์สมเด็จพระประทีปแก้ว ให้ดำรัสเรื่องราวความเป็นมา

    ท่านจึงตรัสว่าในกาลก่อนนี้ ท่าน (ยังเป็นพระโพธิสัตว์ กำลังบำเพ็ญเพียรสร้างบารมีอยู่) ได้เกิดที่เมืองตักสิลา เป็นพราหมณ์ มีชื่อว่า สังขะ มีลูกชายคนหนึ่งชื่อว่า สุสิมะ ต่อมาเมื่อสุสิมะโตอายุ 16 ปี ก็อยากจะเรียน ไตรเพท เพราะพราหมณ์เขาถือว่าเรียนไตรเพทแล้ว ถ้าจบเป็นพราหมณ์ชั้นดี

    พ่อก็บอกว่ามีพราหมณ์เป็นเพื่อนของพ่ออยู่ในเมือง เขาเก่งมาก ก็พาเขาเข้าไปหาเพื่อนของพ่อที่เป็นพราหมณ์ เพื่อนของพ่อที่เป็นพราหมณ์ก็ดีมาก รู้ว่าเป็นลูกของเพื่อนก็เต็มใจสอนด้วยความเต็มใจ ท่านสุสิมะเรียนไม่ช้าไม่นาน เรียนจบเร็ว มีความฉลาดมาก เพื่อนของพ่อดีใจมาก รักมาก แต่ว่า ท่านสุสิมะ เป็นคนมีปัญญาสูง มีบารมีเต็ม เมื่อเรียนไตรเพทจบ ก็มาใคร่ครวญว่า ความรู้ที่เราเรียนนี้มันได้แต่ในเบื้องต้น กับท่ามกลางความเห็นเท่านั้นเอง เห็นเบื้องต้นกับท่ามกลาง แต่ไม่เห็นที่สุด (เบื้องต้นคือการเกิดเป็นมนุษย์หรือเทวดา ท่ามกลางคือการเกิดเป็นพรหม แล้วที่สุดนั้นหมายความว่า หนีจากการเกิดต่อไปคือนิพพาน วิชาของพราหมณ์ไม่มี)

    ท่านสุสิมะ พิจารณาใคร่ครวญแล้วใคร่ครวญอีก แต่มันไม่ถึงที่สุด มองไม่เห็นที่สุดว่ามันจะไปจบชีวิตเมื่อไหร่ นั่นหมายความว่าไอ้เกิด แก่ เจ็บ ตาย นี่มันน่าเบื่อ เราไม่ควรจะเกิด แก่ เจ็บ ตายต่อไป มันควรความรู้ที่เรียน ควรจะพ้นจากการเกิด การแก่ การเจ็บ กาตาย จึงเข้าไปหาอาจารย์ ท่านลุงครับ ความรู้ที่ศึกษานี่ ผมมองเห็นแต่เบื้องต้นกับท่ามกลาง แต่ก็ไม่เห็นที่สุด พอจะเข้าใจไหมครับ ที่สุดพอจะสอนผมได้ไหม ท่านพ่อบุญธรรมหรือท่านลุงบอกว่า ฉันก็เห็นแค่นั้นเหมือนกัน เห็นได้แค่เบื้องต้นกับท่ามกลาง ที่สุดก็มองไม่เห็น ท่านสุสิมะ ก็ถามว่า ใครครับที่จะเห็นท่านพ่อ ท่านเพื่อนของพ่อก็บอกเลยว่า ฤาษีในป่า ฤาษีในป่าเห็นที่สุด ท่านสุสิมะ ก็ลาไปหาฤาษีในป่า

    แต่ความจริงพราหมณ์เขาคิดว่าเป็นฤาษี แต่ความจริงเป็น พระปัจเจกพุทธเจ้า เวลานั้น พระปัจเจกพุทธเจ้ามาก เพราะมันเป็นเวลาว่างจากพระพุทธเจ้า เมื่อสิ้นศาสนาพระพุทธเจ้าองค์หนึ่ง ก็มีพระปัจเจกพุทธเจ้า บรรลุขึ้นมา ไปหาพระปัจเจกพุทธเจ้า ถามถึงที่สุดแห่งการปฎิบัติให้พ้นจากการเกิด แก่ เจ็บ ตาย พระปัจเจกพุทธเจ้า บอกคณะของเรามี คณะของเราทุกคนนี่ศึกษาถึงที่สุดด้วยกันทั้งหมด แล้วเมื่อศึกษาถึงที่สุดแล้ว ต่อไปขึ้นชื่อว่าการเกิด แก่ เจ็บ ตาย ไม่มี มีแต่ความสุข มีชีวิตอยู่ก็มี ความสุข ตายไปแล้วก็พ้นจากการเกิด แก่ เจ็บ ตาย ไม่ต้องเกิด แก่ เจ็บ ตาย ต่อไป

    ท่านสุสิมะ ก็ขอศึกษา บรรดาพระปัจเจกพุทธเจ้า ผู้เป็นอาวุโสก็บอกว่า ศึกษาได้ นี่ไม่หวง ใครอยากจะศึกษา ศึกษาได้ ก็ขอเรียนเดี๋ยวนั้น ท่านบอกเรียนเดี๋ยวนี้ไม่ได้หรอก เพราะแต่งตัวไม่เหมือนกัน คนจะเรียนวิชานี้ต้องแต่งตัวเหมือนกัน ถ้าแต่งตัวไม่เหมือนกันเรียนไม่ได้ ทั้งนี้เพระอะไร เพราะว่า สุสิมะศึกษาวิชาของพราหมณ์ แต่งตัวแบบพราหมณ์ ท่านพระปัจเจกพุทธเจ้า ถือว่าเป็น ความรู้ที่ต่ำ และพราหมณ์ทะนงตน ว่าเป็นพวกพรหม เป็นเพศที่สูง เป็นตระกูลที่สูง มานะมันยังมีอยู่ ท่านจึงแก้มานะ ว่าต้องแต่งตัวเหมือนกัน ดูซิว่าเขาจะยอมหรือไม่ยอม แต่ความจริง พระปัจเจกพุทธเจ้า ก็คล้ายคลึงกับพระพุทธเจ้านะ อย่าลืม มีกำลังสูงกว่าพระอรหันต์มาก เป็นพระพุทธเจ้าประเภทหนึ่ง แต่ว่าไม่สอนใครเป็นสาธารณะ ต้องการเฉพาะคนที่ศรัทธาไปหาท่าน เมื่อท่านสุสิมะ ฟังแล้วก็ตั้งใจ เอ้า! บวชก็บวช แต่งตัวเหมือนกัน ท่านก็ปลงผม นุ่งสบง ห่มจีวรเหมือนกัน ท่านพระปัจเจกพุทธเจ้า จัดหามาให้ แล้วก็ตั้งใจศึกษา ในที่สุดไม่ช้า ใช้เวลาไม่กี่วันท่านก็บรรลุเป็น พระปัจเจกพุทธเจ้า แต่ว่าการเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้านั้น เป็นไม่นานอีกเหมือนกัน อยู่ไม่นาน ไม่สักกี่วันนัก ก็เห็นจะประมาณสักเดือนเห็นจะได้มั้ง ท่านก็ต้องนิพพาน ทั้งนี้เพระอะไร เพราะว่าท่านบอกกรรมประเภทหนึ่ง ที่ทำให้อายุสั้นจะต้องนิพพานมาถึงท่าน ท่านก็ต้องนิพพาน กรรมประเภทนั้นก็คือ อำนาจของอกุศลกรรมที่มีโทษ ปาณาติบาต มาตั้งแต่ครั้งอดีตชาติ มันก็มาตามท่าน

    ท่านพระปัจเจกพุทธเจ้า ทรงนามว่า สุสิมะ นิพพานแล้ว บรรดาพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลาย กับชาวเมือง(เมืองไพสาลี นะ) พากันทำการฌาปนกิจเผาศพท่าน แล้วก็สร้างสถูป สร้างเจดีย์เหมือนกับรูปบาตรคว่ำ บรรจุกระดูกของท่าน ต่างคนต่างไหว้บูชาในเวลานั้น

    ปรากฎว่า สังขพราหมณ์ เห็นลูกชายไปนานก็คิดถึง ก็ไปหาเพื่อน ถามกับเพื่อน ลูกชายอยู่รึเปล่า เพื่อนก็บอกว่าเขาเรียนจบแล้ว เขาไม่พอใจ เขาไม่เห็นที่สุด เขาขอไปเรียนกับฤาษีในป่า ท่านก็ไปที่เมืองไพสาลี ไปจากเมืองตักสิลา ไปเมืองไพสาลีนะ คิดว่าคนแถวนั้นอาจจะรู้เรื่องบ้าง เห็นเขาชุมนุมกันมีการบูชาทำประทักษิณเวียนเทียนพระสถูปก็เข้าไปถาม คิดว่าคนแถวนั้นคงได้ข่าวลูกชายเราบ้าง ก็ไปถามว่า นี่พ่อทั้งหลาย แม่ทั้งหลาย ได้ยินข่าวสุสิมะมานพนี่บ้างไหม คนทั้งหลายเหล่านั้นทำไมเขาจะไม่รู้ล่ะ เขากำลังเวียนเทียนพระสถูปของท่าน อ้อ ! สุสิมะ น่ะรึ ท่านสุสิมะเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าตั้งแต่ยังหนุ่ม เด็กมาก อายุประมาณ 16-17 ปี แต่ความดีของท่านมีมาก แต่กรรมบางอย่างทำให้ท่านต้องนิพพานเสียแล้ว พวกข้าพเจ้ากำลังเวียนเทียนกับท่านนี่ ทำฌาปนกิจเสร็จก็ทำสถูปใช้เครื่องประดับ แล้วก็เวียนเทียนบูชาความดีของท่าน สังขพราหมณ์ได้ยินดังนั้นก็ร้องไห้เสียใจ เสียใจมากทำยังไงล่ะ เขาบูชากันนี่ท่านเดินทางไม่มีอะไรมาเลย ก็เลยเอาผ้าขาวม้าของท่านที่ติดมานั่นล่ะ ไปกอบทรายข้างนอกใส่ผ้าขาวม้า ห่อมาก็โปรยปรายทาง ทำให้ทางข้าง ๆ พระสถูปนั้นราบเรียบ คือขนทรายมา ใช้ผ้าขาวม้าห่อ ไม่มีอะไร ใช้ผ้าขาวม้าจนทางเรียบพอใช้ได้ จะให้มันดีเหมือนถนนนั้นไม่ได้ แล้วไปเอาต้นไม้ที่มีดอกมาปลูกข้าง ๆ พระสถูป แล้วก็เอาน้ำมารดต้นไหม้ แล้วก็มันไม่มีอะไรทำ ธงก็เอาผ้าฉัตร ผ้าขาวม้านี่ทำธงขึ้นไปปักบนยอด มีร่มอยู่คันหนึ่ง เข้าไปกางบนยอดพระสถูป อย่านึกว่าพระสถูปแหลมเปี๊ยบจะดี นี่ไม่ใช่นะ เป็นรูปบาตรคว่ำขึ้นไปได้

    องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดา จึงได้ตรัสกับภิกษุทั้งหลายว่า ภิกขเว ดูกรภิกษุทั้งหลาย คถาคตทำบุญเล็กน้อยเท่านี้ เป็นปัจจัยให้ได้การบูชาในสมัยนี้ คือที่พระเจ้าพิมพิสาร บูชาก็ดี พระเจ้ามหาลิ เจ้าเมืองไพสาลี บูชาก็ดี นาค คนธรรพ์ เทวดา พรหม บูชาเป็นการใหญ่ ยกฉัตรกันทั่วจักรวาลก็ดี เป็นบารมีในสมัยที่ตถาคตเกิดเป็น สังขพราหมณ์ บูชา ท่านสุสิมะ พระปัจเจกพุทธเจ้า จึง กล่าวเป็นอย่าง ๆ ว่า

    การที่เขาปราบพื้นที่ให้เรียบ 8 โยชน์ คือ ฝั่งนี้ 5 โยชน์ ฝั่งโน้น 5 โยชน์ รวมเป็น 8 โยชน์ นั่นล่ะ อานิสงส์มาจาก การเกลี่ยทราย เอาทรายมาโปรยปราย ทำให้ทางข้าง ๆ พระสถูปเรียบพอใช้ได้ มันไม่เรียบเหมือนถนน แต่ทำให้เป็นหลุมเป็นบ่อ ก็ไปทำให้มันเต็มนิด ๆ หน่อย ๆ พอเป็นทางเรียบดี ท่านบอกอานิสงส์นี้เป็นปัจจัยเขาปราบทางให้เรียบ 8 โยชน์ ที่ตถาคตจะเดินไปแล้วก็อาศัยที่เอาต้นไม้ดอกมาปลูกข้าง ๆ สถูป เป็นการบูชาพระปัจเจกพุทธเจ้า ที่มีนามว่า สุสิมะ ก็เป็นเหตุให้ 2 ฝั่ง เขาเอาดอกไม้ 5 สี มาโปรยปรายในระหว่างทาง สูงประมาณเข่าที่เราตถาคตเดินไป

    การที่เขาจัดฉัตรให้แก่ตถาคตก็ดี คือร่มให้กับบรรดาพระสงฆ์ก็ดี เพราะอานิสงส์ที่ตถาคตจัดร่ม เอาไปกางไว้บนยอดพระสถูป

    การที่เขาจัดธงทิว ปักเรียงรายตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทางทั้ง 2 ฝั่ง แล้วเทวดาและพรหมและนาค จัดธงแก้วมณีแก้วประพาฬ ธงวิเศษนั้นก็อาศัยผ้าขาวม้าที่เราไปทำธงบนยอดพระสถูป

    การที่ตถาคตเหยียบเมืองไพสาลี เป็นวาระแรกที่เขาถึงแล้วฝนตกใหญ่ก็เป็นปัจจัยจากการนำเอาน้ำมารดต้นไม้ที่เป็นไม้ดอก เป็นปัจจัยให้ฝนตกใหญ่

    เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสเล่าเรื่องนี้จบ บรรดาพระสงฆ์ทั้งหลายทั้งหมดที่ปุถุชนก็บรรลุพระโสดาบันบ้าง สกิทาคามี และอนาคามี และอรหันต์บ้างเป็นแถว

    ฟังของท่านแล้วก็จำให้ดี การบำเพ็ญกุศลบุญราศีสักเล็กน้อยมันมีอานิสงส์มากอย่างนี้ แต่ว่าเราจะต้องบูชากันด้วยศรัทธาแท้ ขอพวกท่านทั้งหลายที่มีความดี จงรักษาความดีเหมือนเกลือรักษาความเค็ม อย่าให้ความดีถอยไป

    (ย่อมาจากเรื่องบุพกรรมของพระพุทธเจ้า ในหนังสือพระสูตรก่อนนิทรา เทศนาโดยหลวงพ่อฤาษีลิงดำ)<!-- google_ad_section_end -->

    http://palungjit.org/threads/อานิสงค์บูชาพระเจดีย์.237864/
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 พฤษภาคม 2010
  10. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  11. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    หวงเหลียงอีเมิ่ง : ความฝันยามต้มข้าวฟ่าง[​IMG]
    China - Manager Online
    โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
    5 พฤษภาคม 2553 14:18 น.[​IMG]

    《黄粱一梦》

    黄粱(huáng liáng) อ่านว่า หวงเหลียง แปลว่า ข้าวฟ่าง
    一(yī) อ่นว่า อี แปลว่า หนึ่ง
    梦(mèng) อ่านว่า เมิ่ง แปลว่า ฝัน


    [​IMG][​IMG]
    ภาพจาก �ٶȿռ䡪�����ң������ѣ��������������ϵĽ�������


    ในสมัยราชวงศ์ถัง มีนักวิชาการผู้หนึ่ง แซ่หลู นามชุ่ยจือ ผู้อื่นเรียกขานเขาว่าบัณฑิตหลู

    มีอยู่ปีหนึ่ง บัณฑิตหลูรีบร้อนเดินทางเข้ามายังเมืองหลวงเพื่อเข้าสอบ ระหว่างทางแวะพักค้างแรง ณ โรงเตี้ยมแห่งหนึ่งในเมืองหานตัน บังเอิญพานพบกับนักพรตรูปหนึ่งนามว่า หลี่ว์เวิง เขาได้ปรารภถึงความลำบากยากแค้นของตนเองให้นักพรตฟัง เมื่อนักพรตฟังจบ ก็ล้วงเข้าไปในย่ามหยิบหมอนที่ทำจากกระเบื้องออกมายื่นให้บัณฑิตหลู พลางกล่าวว่า "ยามท่านนอน ให้หนุนหมอนใบนี้ แล้วฝันของท่านจะกลายเป็นจริง"

    เมื่อถึงยามวิกาล เจ้าของโรงเตี้ยมเริ่มต้นต้มข้าวฟ่าง ส่วนบัณฑิตหลูก็ล้มตัวลงนอนหนุนหมอนที่นักพรตให้มา และหลับไปโดยเร็ว ทั้งยังฝัน ในฝันเขากลับไปยังบ้านเกิด หลายเดือนต่อมาก็ได้ตบแต่งภรรยาที่หมดจดงดงามนางหนึ่ง อีกทั้งฐานะยังมั่งคั่งขึ้นเรื่อยๆ บัณฑิตหลูรู้สึกสุขใจยิ่งนัก ไม่นานจากนั้นเขาก็สอบจองหงวนได้ ตำแหน่งหน้าที่สูงขึ้นเป็นลำดับ จนขึ้นเป็นถึงเสนาบดี อยู่ในตำแหน่งต่อมาอีกกว่า 10 ปี มีบุตรชายทั้งสิ้น 5 คน ทุกคนล้วนรับราชการเป็นขุนนางที่มีความสำเร็จ จากนั้นยังมีหลานอีกหลายสิบคน กลายเป็นตระกูลใหญ่ที่มีอิทธิพลยิ่งในแผ่นดิน จากนั้นเมื่อย่างเข้าวัยชรา อายุ 80 ปี ก็ป่วยหนัก ทุกข์ทรมาน ดูแล้วคงต้องลาโลกเป็นแน่แท้...ยามนั้นเขาก็ตกใจตื่นขึ้นมา ถึงทราบว่าเหตุการณ์ทั้งหมดล้วนฝันไป
      
    ขณะนั้น เมื่อลุกขึ้นมาสำรวจดู เจ้าของโรงเตี้ยมยังต้มข้าวไม่ทันสุกดี บัณฑิตหลูจึงรู้สึกประหลาดใจยิ่งนัก เอ่ยว่า "นี่ก็เป็นเพียงความฝันเช่นกันใช่ปรือไม่?" ครานี้นักพรตจึงเป็นผู้ตอบว่า "ชีวิตมนุษย์ แท้จริงแล้วก็เป็นเช่นกันมิใช่หรือ"

    เมื่อผ่านประสบการณ์ความฝันชั่วเวลาข้าวฟ่างไม่ทันเดือด บัณฑิตหลูจึงเกิดความรู้แจ้งว่าชีวิตมนุษย์เป็นเช่นความฝัน ไม่มีสิ่งใดจริงแท้ยั่งยืน เขาจึงตัดสินใจไม่ไปสอบจองหงวน ทว่าเดินทางกลับบ้านเกิด

    สำนวน "หวงเหลียงอีเมิ่ง" หรือ "ความฝันยามต้มข้าวฟ่าง" ใช้เปรียบเทียบกับความฝันที่ไม่มีวันเป็นจริง หรือเปรียบเทียบว่าความสุขความสำเร็จนั้นมักเกิดขึ้นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ ไม่ยั่งยืนเสมอไป เป็นสัจธรรม

    สำนวนนี้ใช้ในตำแหน่งประธาน(主语) กรรม(宾语) ส่วนขยายนาม(定语)



    สำนวนนี้มีเรื่องเล่ามากกว่า 1 เรื่อง
    ที่มา �ٶȰٿơ���ȫ���������İٿ�ȫ��
     
  12. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    ปีที่ผ่านมาตัวยาที่รักษาใช้ไข้หวัด2009 มีราคาสูงขึ้นเป็น 400% ขึ้นไปก็หลายตัว ทั้งที่รักษาได้จริงๆ และที่กว้านซื้อไปทำการทดสอบหาตัวยารักษาโรคก็มากมาย ที่ผ่านมาก็คงเคยได้ยินพระเอกตัวหนึ่ง ก็คือ ฟ้าทะลายโจร แต่ข้อจำกัดก็เช่นกัน บางท่านนำไปบดทานต่อเนื่องกันเป็นเดือน ทั้งๆที่เกิดโทษได้หากใช้มากเกินควร ซึ่งก็เป็นความเข้าใจผิด อาการข้างเคียงคือการชาตามปลายมือ ปลายเท้า

    เรื่องของถุงพลาสติกที่ซื้อของตามตลาดต่างๆ ไม่ค่อยจะมีผู้ใดพกพาถุงผ้าช่วยโลกร้อนไปกันมาก แม่ค้ามักจะบอกว่า ไม่เห็นมีใครทำแบบนี้เลยในแถบตลาดพระโขนง ไม่น่าเชื่อครับ คนเป็นพันกลับไม่มีผู้ใดรกษาโลกร้อนด้วยวิธีนี้ ภายหน้า คงจะมีการออกมาตรการเก็บภาษีโลกร้อนจากการบริโภควัสดุบรรจุต่างๆ แต่จะช่วยให้ผู้ซื้อสินค้าประหยัดราคาจากการจ่ายเงินซื้อสินค้าด้วยหรือไม่อันนี้ก็ต้องจับตาดูกัน ถุงพลาสติกบรรจุของขนาดกลางๆนี่เฉลี่ยก็ใบละบาทเข้าไปแล้ว หากเราไม่รับถุงพลาสติกก็อาจจะประหยัดเงินส่วนนี้ไปได้บ้าง แต่กลับกันทุกวันนี้พ่อค้าแม่ค้าก็รู้สึกว่าค่าเงิน 1 สลึง 1 บาทนั้นไม่มีค่าเอาเสียเลย ทุกอย่างเดี๋ยวนี้ปรับขึ้นกันครั้งละ 5 บาทเป็นขั้นต่ำ ส่วนงานเอกชนอย่างรถไฟฟ้า BTS กำหนดอัตราค่าโดยสารสถานีเดียว 15 บาท 2 สถานีต่อไปราคาเพิ่มอีก 5 บาท ส่วนต่อขยายจากอ่อนนุชไปยังสำโรงก็จะเปิดในไม่ช้านี้ ก็คงกำหนดอัตราค่าโดยสารลักษณะเดียวกัน..

    จากโลกร้อน เผลอบ่นไปเรื่องค่าเงินบาท และ BTS ซะแล้ว...
     
  13. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    วันที่ 19-27 มิ.ย. เดือนหน้าที่จะถึงนี้ ผมมีโอกาสได้เดินทางไปยังประเทศอินเดีย ก็หลายแห่งเลยทีเดียว รู้สึกว่า Trip นี้จะคุ้มค่ามาก และมีแวะเข้าเนปาลด้วย แต่..ช่วงนี้เนปาลก็มีความวุ่นวายของเหตุบ้านการเมืองไม่แพ้บ้านเรา
     
  14. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    หนุ่มรักสิ่งแวดล้อมสร้าง'รถพลังน้ำมันพืช' ประกอบเองทั้งคัน-แล่นเร็ว 180 กม./ชม.

    หนุ่มรักสิ่งแวดล้อมสร้าง'รถพลังน้ำมันพืช' ประกอบเองทั้งคัน-แล่นเร็ว 180 กม./ชม. | ไทยโพสต์

    หนุ่มนักประดิษฐ์สร้างรถปล่อยมลพิษน้อย แล่นได้ด้วยพลังจากน้ำมันพืช เจ้าตัวโวเป็นพาหนะที่รักษาสภาพแวดล้อมมากกว่ารถคันไหนในประเทศอังกฤษ
    บัซซ์ แน็พ-ฟีสเชอร์ ได้ซื้อรถพังๆ มาคันหนึ่งเมื่อ 6 ปีก่อน ในราคาแค่ 12,500 บาท จากนั้นก็เปลี่ยนเครื่องน้ำมันเบนซินเป็นเครื่องไบโอดีเซล ทำให้ปล่อยคาร์บอนน้อยกว่ารถทั่วไป
    เขาเอาอะไหล่ส่วนต่างๆ มาจากรถ 21 คัน ประกอบขึ้นเป็นคันใหม่ ซึ่งเขาตั้งชื่อให้ว่า "รถวอมเบิล" ตามชื่อตัวละครการ์ตูนวอมเบิล ซึ่งมีรูปร่างหน้าตาคล้ายหนู ชอบเก็บของเก่าเอามารีไซเคิลใช้ใหม่
    เขาบอกว่า นอกจากรักษาสิ่งแวดล้อม ประหยัดค่าเชื้อเพลิงแล้ว มันยังวิ่งได้เร็วถึง 180 กม.เลยทีเดียว
    "มันใช้การได้ดีเชียวแหละ ผมใช้มาตั้งนานยังไม่เคยซ่อมเลย" เขาบอก "ผมอยากพิสูจน์ให้เห็นว่า เราไม่ต้องง้อน้ำมันก็ได้"
    เขากำลังวางแผนจะสร้างรถไฟฟ้าหรือไฮโดรเจน โดยใช้รถวอมเบิลคันนี้เป็นต้นแบบ
    "เราต้องใช้ชีวิตในแบบที่ปล่อยคาร์บอนน้อย คนจำนวนมากกำลังหันไปใช้รถไฟฟ้าหรือรถไบโอดีเซล แนวโน้มนี้กำลังมาแรง" เขาว่า.
     
  15. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    งานนี้ หากทำสำเร็จ โดยที่คนทั่วๆไปสามารถใช้ได้ เชื่อว่า ตะวันออกกลาง แย่แน่

    แถมที่สำคัญ ประเทศที่เป็นเกษตรกรรม ขายน้ำมันพืชเป็นเชื้อเพลิงให้กับรถ รวยแทนตะวันออกกลาง อิอิ

    .
     
  16. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ยินดีด้วยครับคุณเพชร

    เมื่อมีโอกาส ต้องใช้ให้คุ้มค่านะครับ

    .
     
  17. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>"ลูกรอดจมน้ำ" แค่ "ว่ายเป็น" เพียงพอหรือไม่!
    Life & Family - Manager Online
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>5 พฤษภาคม 2553 08:41 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=right border=0><TBODY><TR><TD width=5>[​IMG]</TD><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=240 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=240>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>"ลอยตัว" เอาตัวรอดจากการจมน้ำ</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> เมื่อพูดถึง "เด็ก" กับ "การเล่นน้ำ" ดูจะเป็นของคู่กัน แต่สิ่งที่พ่อแม่พึงระวังจากความสนุกแบบเปียกๆ นี้คือ "ความสูญเสีย" ที่อาจะเกิดขึ้นได้เพียง เสี้ยววินาที จากสถิติพบว่า "อุบัติเหตุจมน้ำ" เป็นสาเหตุการตายอันดับ 1 ของเด็กไทย ซึ่งสูงมากกว่าการเสียชีวิตจากโรคติดต่อและสูงเป็น 2 เท่าของอุบัติเหตุจราจร ทำให้พ่อแม่กังวลและเป็นห่วง จึงส่งลูกไปเรียนว่ายน้ำ เพื่อให้ลูกเอาตัวรอดจากอุบัติเหตุทางน้ำที่อาจเกิดขึ้น

    ...การว่ายน้ำเป็นอย่างเดียว เพียงพอหรือไม่สำหรับเด็ก??? เป็นคำถามที่น่าฉุกคิด โดย "พ.อ.อดิศักดิ์ สุวรรณประกร" หรือ "ครูอุ๋ย" ผู้ช่วยเลขาธิการสมาคมเพื่อช่วยชีวิตทางน้ำ และโค้ชว่ายน้ำที่มีประสบการณ์กว่า 30 ปี อีกทั้งเป็นผู้คิดค้นหลักสูตรการว่ายน้ำเพื่อเอาชีวิตรอด (Survival Swimming) ให้ข้อมูลว่า

    การเรียนการสอนว่ายน้ำในประเทศไทย ยังไม่มีหลักสูตรที่เป็นมาตรฐานเดียวกัน ไม่เป็นระบบ ไม่มีสถาบันรับรอง และเน้นให้ว่ายน้ำท่าฟรีสไตล์ ท่ากบ ท่ากรรเชียง และท่าผีเสื้อ ซึ่งเป็นท่าว่ายน้ำ 4 ท่ามาตรฐานที่ใช้สำหรับการแข่งขัน โดยไม่ได้สอนเรื่องความปลอดภัยทางน้ำ การเอาชีวิตรอดจากอุบัติภัยทางน้ำ การช่วยคนตกน้ำ ทำให้ทั้งเด็ก และผู้ใหญ่ไม่มีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง จึงเป็นคำตอบว่าทำไมเด็กไทยส่วนใหญ่ เอาชีวิตรอดจากการจมน้ำไม่ได้

    "ผู้ใหญ่ปัจจุบัน ที่เป็นเด็กสมัยก่อนไม่ได้เตรียมการเพื่อการป้องกัน คิดให้ลูกเรียนว่ายน้ำเป็นพอแล้ว แต่ไม่มองภาพความจริงว่า ถ้าเรือเกิดล่ม ไกลจากฝั่ง 3 กิโลเมตร ลูกจะว่ายน้ำเข้าฝั่งได้อย่างไร เพราะเด็กปัจจุบันเรียนว่ายน้ำในระยะทาง 200-300 เมตร โดยขาดทักษะการเอาชีวิตรอด โดยเฉพาะการลอยตัวในน้ำให้ได้นาน" ครูอุ๋ยเผยถึงปัญหา

    นอกจากนี้ การช่วยชีวิตคนจมน้ำ ถือเป็นอีกหนึ่งปัญหาการจมน้ำของเด็ก เนื่องจากคนที่ว่ายน้ำเก่ง เวลาเห็นเพื่อนตกน้ำก็จะลงไปช่วย แต่ไม่มีทักษะการช่วยชีวิตคนจมน้ำ ทำให้ถูกคนจมน้ำกอดและกดให้จมไปด้วยกัน ถือเป็นเรื่องที่อันตรายมาก อีกทั้งยังขาดความรู้การช่วยชีวิตคนจมน้ำหลังจากขึ้นจากน้ำ เช่น การผายปอด ดังนั้นโอกาสรอดของคนจมน้ำจึงไม่มีคนทำ ต้องรอความหวังจากหมอเพียงอย่างเดียว

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=left border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=240 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=240>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>พ.อ.อดิศักดิ์ สุวรรณประกร</TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD width=5>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> อย่างไรก็ดี การเรียนว่ายน้ำให้ได้ผลนั้น ครูอุ๋ยบอกว่า ควรให้ความรู้เกี่ยวกับความปลอดภัยทางน้ำ โดยสอนเรื่องอุบัติภัยทางน้ำเกิดขึ้นได้อย่างไร จะได้เตรียมการป้องกันไว้ก่อนเพื่อลดโอกาสการเกิดอุบัติภัยทางน้ำ การเอาชีวิตรอด ได้แก่ สอนทักษะการว่ายน้ำท่าต่างๆ และเพิ่มทักษะการลอยตัวแบบนอนหงาย-นอนคว่ำ ปัจจุบันใช้เวลาเรียนไม่เกิน 3 ชม. นอกจากนี้ ควรสอนให้ความรู้การช่วยเหลือผู้ประสบภัยทางน้ำที่ถูกต้องและปลอดภัยด้วย พร้อมกับเพิ่มความรู้ด้านการปฐมพยาบาล การผายปอด และนวดหัวใจ รวมทั้งการช่วยผู้ประสบภัยที่มีสิ่งแปลกปลอมอุดตันหลอดลม

    สำหรับอายุที่เหมาะสมในการเรียนว่ายน้ำ ครูอุ๋ยได้แยกเป็น 2 ส่วน คือ พ่อแม่ควรหาโอกาสให้ลูกคุ้นกับน้ำ เริ่มตั้งแต่ 6 เดือน แต่ทั้งนี้ควรระวังลูกสำลักด้วย เช่น พาลูกลงเล่นกับอ่างอาบน้ำ พอลูก 3 ขวบ เริ่มพาเด็กลงสระว่ายน้ำ ซึ่งต้องเลือกสระที่มีคลอลีนไม่มาก กระทั่ง 4 ขวบ หรืออย่างช้าที่สุด 6 ขวบ ลูกควรจะได้เรียนว่ายน้ำ โดยไม่เน้นท่าที่เร็วเกินไป แต่ควรให้ลูกมั่นใจที่จะลงน้ำ รวมถึงลอยตัวในน้ำให้ดีเสียก่อน

    ทั้งนี้ พ่อแม่ไม่ควรเร่งลูก หรือครู อย่างน้อย 1 วัน ควรให้ลูกเล่นประมาณ 1 ชม. หลังเรียนเสร็จควรปล่อยให้ลูกเล่นอย่างอิสระประมาณ 10 นาที ก่อนขึ้นสระ เพราะเด็กจะฝึกทักษะของตัวเด็กเอง ช่วยทบทวน และเสริมทักษะให้เด็กได้ดีไม่น้อย ปัจจุบันมีบางโรงเรียนได้นำหลักสูตรการเอาชีวิตรอดจากการจมน้ำไปใช้แล้ว ได้แก่ โรงเรียนสวนกุหลาบนวิทยาลัย (นนทบุรี) โรงเรียนสตรีวิทยา 2 และโรงเรียนเพลินพัฒนา ซึ่งโรงเรียนหลังได้นำหลักสูตรนี้ไปใช้เต็มรูปแบบ

    สำหรับการสอนลูกเบื้องต้นให้รู้เท่าทันเรื่องการเล่นน้ำง่ายๆ ครูอุ๋ยทิ้งท้ายว่า "พ่อแม่ควรสอนให้ลูกรู้จักเลือกสถานที่เล่นน้ำ โดยสังเกตว่า ตรง ไหนน้ำลึก ตื้น หรือมีน้ำวน และเมื่อต้องเดินทางไปท่องเที่ยวใกล้แหล่งน้ำ ควรสอนให้สังเกตคำเตือน เช่น ไปเที่ยวน้ำตก การจะลงน้ำ ต้องเตรียมกางเกงว่ายน้ำที่เหมาะสมไปด้วย ไม่ควรใส่กางเกงยีนส์ลงเล่น โดยเฉพาะน้ำตก เพราะน้ำมันเย็น และกางเกงยีนส์พอเปียกน้ำ จะแข็ง และหนัก ทำให้ว่ายไม่ถนัด

    รวมทั้งควรเตรียมอุปกรณ์ช่วยชีวิตคนตกน้ำ เช่น ขัน แกลลอนน้ำมันเปล่าๆ เชือก ไม้ ซึ่งการช่วยไม่จำเป็นต้องกระโดดลงไป แต่ควรยื่น หรือโยนอุปกรณ์ลอยน้ำให้จับ เป็นวิธีที่ปลอดภัยที่สุด ซึ่งเด็กว่ายน้ำไม่เป็น ก็สามารถช่วยชีวิตเพื่อนได้"

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=400 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=400>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>(ซ้าย) เปล่งสุรีย์ จิตต์เทอดไทย (ขวา) ธัญลักษณ์ แสนโม่</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> "เสียงกังวลพ่อแม่ ถึงปัญหาเด็กจมน้ำ

    จากข้อมูลสถิติเด็กจมน้ำที่มีอย่างต่อเนื่อง "เปล่งสุรีย์ จิตต์เทอดไทย" หรือ "คุณแม่แอร์" อายุ 47 ปี มีลูกสาววัย 13 ปี และลูกชายวัย 9 ขวบ ซึ่ง มีความกังวลกับเรื่องการเล่นน้ำมาก เนื่องจากครอบครัวของเธอ จะใช้เวลาว่างส่วนใหญ่ไปเที่ยวนอกบ้านด้วยกัน โดยเฉพาะทะเล ซึ่งบางครั้งใจหาย และเป็นห่วงลูก เพราะอุบัติเหตุเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา กลัวว่าลูกจะเอาตัวรอดจากน้ำไม่ได้ ซึ่งลำพังเพียงว่ายน้ำเป็นอย่างเดียวคงไม่พออีกต่อไปแล้ว จึงให้ลูกลงเรียนหลักสูตรการว่ายน้ำเพื่อเอาชีวิตรอด ถือเป็นสิ่งที่จะช่วยให้ลูกรอดพ้นจากการจมน้ำได้สูง อย่างน้อยลูกมั่นใจ และมีสติในการช่วยชีวิตตัวเองจากอุบัติเหตุทางน้ำ หนึ่งในทักษะดังกล่าวนั้นคือ ลอยตัวอยู่ในน้ำได้นานๆ เมื่อมีทักษะด้านนี้ ในฐานะพ่อแม่ก็หมดห่วง และเที่ยวได้อย่างสบายใจมากขึ้น

    เช่นเดียวกับ "ธัญลักษณ์ แสนโม่" หรือ "คุณแม่เล็ก" อายุ 43 ปี คุณแม่บ้านลูกหนึ่ง เล่าความกังวลว่า เวลาลูกเดินทางไปโรงเรียน หรือแอบไป เที่ยวเล่นนอกบ้าน รู้สึกเป็นห่วงมาก โดยเฉพาะเรื่องการตกน้ำ แต่เมื่อมีข้อมูลเกี่ยวกับการเรียนว่ายน้ำมากขึ้น ทำให้ทราบว่า การว่ายน้ำเป็นอย่างเดียวไม่เพียงพอที่ลูกจะเอาชีวิตรอดจากการจมน้ำได้ เนื่องจากตัวพ่อแม่ หรือลูกไม่สามารถรับรู้ได้เลยว่าจะตกน้ำไกลจากฝั่งมากน้อยแค่ไหน ซึ่งถ้าไกลจนว่ายกลับมาไม่ได้ อย่างน้อยสามารถลอยตัวเป็น และลอยได้นานพอที่จะรอให้คนมาช่วยเหลือได้ เมื่อมีทักษะดังกล่าวดีแล้ว การให้ลูกเรียนว่ายน้ำในท่าต่างๆ ก็ยังไม่สายเกินไป แต่พื้นฐานการเอาตัวรอดเป็นสิ่งจำเป็นที่เด็กทุกคนควรจะต้องมี เวลาตกน้ำ ก็จะได้ไม่จม

    อ่านถึงตรงนี้ พ่อแม่ผู้ปกครองหลายคนคงเริ่มสนใจในความปลอดภัยของบุตรหลานกรณีภัยทางน้ำบ้างแล้ว โดยรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถเข้า ไปดูได้ในเว็บไซต์ของสมาคมเพื่อช่วยชีวิตคนทางน้ำที่ www.thailifesaving.org
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  18. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    พระมเหศวรเดี่ยวเนื้อชินเงินกรุวัดพระศรีฯ จ.สุพรรณบุรี


    พระมเหศวรเดี่ยวเนื้อชินเงินกรุวัดพระศรีฯ จ.สุพรรณบุรี
    http://www.komchadluek.net/detail/20...ุรี.html

    [​IMG]

    [​IMG]

    คมชัดลึก : วัดพระธาตุ เป็นชื่อเดิมของวัดเก่าแก่วัดหนึ่งของ จ.สุพรรณบุรี ตั้งอยู่ที่ ต.รั้วใหญ่ อ.เมือง ชื่อวัดนี้อาจไม่เป็นที่รู้จักของนักสะสมพระทั่วไป ส่วนจะรู้จักอีกชื่อหนึ่งซึ่งเป็นชื่อที่ทางราชการใช้กันในปัจจุบันว่า วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ

    วัดนี้เป็นวัดที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของ จ.สุพรรณบุรี และเป็นหนึ่งในแหล่งโบราณสถานสำคัญที่มีพระปรางค์องค์ประธาน เป็นศิลปะแบบที่นิยมสร้างในสมัยอยุธยา และที่วัดแห่งนี้ยังมีการขุดพบพระพิมพ์ต่างๆ มากมาย อันเป็นพระเครื่องที่มีชื่อเสียงของเมืองไทย
    หลังสมัยอยุธยา วัดพระศรีฯ ถูกทิ้งรกร้าง ไร้พระสงฆ์ที่สืบทอดพระศาสนา จนกระทั่งเมื่อปี ๒๔๕๖ ตรงกับรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว มีการขโมยขุดค้นหาของมีค่าโบราณวัตถุต่างๆ จากพระปรางค์องค์ประธาน

    ต่อมาพระยาสุนทรสงคราม (อี้ กรรณสูต) ผู้ว่าราชการสุพรรณบุรีในสมัยนั้น ทราบข่าว จึงเปิดกรุอย่างเป็นทางการ พบพระพิมพ์ต่างๆ บรรจุอยู่จำนวนมาก อาทิ พระกำแพงศอก พระกำแพงนิ้ว พิมพ์ต่างๆ พระผงสุพรรณ พระสุพรรณหลังผาล-หลังเรียบ และหลังผาลยันต์ พระปทุมมาศ พระขุนแผนเรือนแก้ว พระปรกโพธิ์ และพระมเหศวร (องค์นี้ได้รับการจัดอันดับให้เป็น ๑ ใน ๕ ของชุดเบญจภาคีพระยอดขุนพล ประเภทพระเนื้อชิน ที่หายาก และมีราคาสูง)
    นอกจากนี้ยังมีการพบพระพุทธรูปบูชา ศิลปะลพบุรี และอู่ทอง ปะปนอยู่ด้วย พระต่างๆ ทั้งหมดที่ถูกค้นพบในกรุวัดพระศรีฯ แห่งนี้ มีจำนวนมากมายมหาศาล และเป็นที่ยอมรับว่าถูกต้องทุกประการทางประวัติศาสตร์และโบราณคดี เพราะมีหลักฐานสำคัญที่บ่งบอกให้รู้แหล่งที่มาของสมบัติอันล้ำค่าในกรุอย่างชัดเจน คือ แผ่นลานทอง ซึ่งมีการแปลอักษรตีความในเวลาต่อมา
    พระมเหศวร กรุวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ เป็นพระที่สร้างด้วย เนื้อชินเงิน มีเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนกับพระพิมพ์อื่นใด ไม่ว่าจะเป็นพระกรุไหนก็ตาม คือ พระพิมพ์นี้มี ๒ หน้า โดยพระเศียรของพระด้านหนึ่ง หากพลิกไปด้านหลังจะตรงกับฐานขององค์พระ คือ พระเศียรวางในตำแหน่งสวนกัน จึงเรียกชื่อพระพิมพ์นี้ว่า พระมเหศวร ทั้ง ๒ หน้าเป็นพระปางสะดุ้งมาร สร้างขึ้นในสมัยอู่ทอง
    มีบางท่านเข้าใจว่าชื่อ พระมเหศวร น่าจะเรียกตามชื่อของ ขุนโจร ชื่อดังแห่งเมืองสุพรรณ ในสมัยก่อน คือ เสือมเหศวร แต่ข้อเท็จจริง ชื่อพระมเหศวรมีมาก่อน ไม่น้อยกว่า ๑๐๐ ปี ก่อนหน้าที่จะมีเสือมเหศวรเกิดขึ้นในเมืองสุพรรณไม่น้อยกว่า ๓๐ ปี
    พระมเหศวร มีหลายพิมพ์ทรง แบ่งตามขนาดองค์พระ อาทิ พิมพ์ใหญ่ พิมพ์กลาง พิมพ์เล็ก และพิมพ์ใหญ่พิเศษ หากแยกตามรายละเอียด จะได้อีกหลายสิบพิมพ์
    ขณะเดียวกัน หากแบ่งตามพระพักตร์ (ใบหน้า) จะได้อีกหลายพิมพ์ อาทิ หน้าอู่ทอง หน้าพระเศียรขนนก หน้าพระเนตรโปน ฯลฯ
    พระมเหศวร นอกจากจะมีพิมพ์พระเศียรสวนกลับกันคนละหน้าแล้ว ยังมี พิมพ์สวนเดี่ยว คือเป็นพระหน้าเดียว ด้านหลังเรียบ ไม่มีรายละเอียดใดๆ บางองค์ด้านหลังมีลายผ้า เป็นพระรูปทรงสามเหลี่ยมหน้าจั่ว แบบทรงสูง โดยด้านหน้าพิมพ์พระเหมือนพระมเหศวรแบบ ๒ หน้า ต่างกันตรงที่องค์พระตัดเส้นม่าน ที่มีลักษณะคล้ายปีกทั้งสองข้างออก
    พระมเหศวรเดี่ยว เป็นพระที่พบในกรุจำนวนน้อยมาก นิยมกันมาก โดยเชื่อว่ามีคุณวิเศษสูง และมากด้วยประสบการณ์ต่างๆ นานา
    พระมเหศวร สร้างโดย ฤๅษีพิมพิลาไลย ดังนั้นในด้านพุทธคุณจึงยอดเยี่ยมในทุกๆ ด้าน ถือว่า สุดยอดแห่งความเหนียวด้านคงกระพันชาตรี อีกทั้งด้านเมตตามหานิยม แคล้คลาดมหาอุด ก็เป็นเลิศ
    พระมเหศวรทุกพิมพ์ ถ้าผู้ใดมีไว้ครอบครอง ถือว่านอกจากได้พระที่เปี่ยมไปด้วยพุทธคุณแล้ว และยังเป็นพระที่มีศิลปะล้ำค่าอีกด้วย ปัจจุบันจัดเป็นพระที่มีราคาสูงและหายาก
    พระมเหศวรเดี่ยว ส่วนมากพระพักตร์ไม่คมชัด และมีสภาพไม่สวยสมบูรณ์ ราคาเช่าหาก็ยังค่อนข้างสูง หลักแสนต้นๆ ถึงแสนปลายขึ้นไป ถ้าสวยระดับแชมป์ราคาขึ้นถึงสองแสนกว่า
    ข้าราชการเกษียณอาวุโสระดับสูงท่านหนึ่ง กล่าวกับผู้เขียนว่า บรรพชนของท่านกล่าวให้ท่านฟัง ถึงตอนที่สมัยรัชกาลที่ ๖ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระเครื่องต่างๆ จากกรุวัดพระศรีฯ นี้ แก่ข้าราชบริพารชั้นในต่างๆ ถ้าท่านใดที่ทรงโปรดมาก จะพระราชทานพระมเหศวร เนื้อชินให้ ท่านใดที่ทรงโปรดรองลงมา จะพระราชทานพระผงสุพรรณ เนื้อดิน ให้
    บทความจากหนังสือภาพพระชนะเลิศการประกวด ณ มหาวิทยาลัยนเรศวร จ.พิษณุโลก กล่าวถึงบันทึกของ จมื่นอมร ดรุณารักษ์ (แจ่ม สุนทรเวช) ได้เขียนถึงการทูลเกล้าฯ ถวายพระซึ่งพบในกรุ เมื่อพ.ศ.๒๔๕๖ แด่ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ว่า “...พระยาสุนทรสงคราม ได้นำพระเครื่องซึ่งพบในกรุที่วัดมหาธาตุเมืองสุพรรณบุรี เมื่อจวนเสด็จคราวนี้ พระพุทธรูปลีลา หล่อพิมพ์ด้วยโลหะธาตุอย่างหนึ่ง พระพุทธรูปมารวิชัย พิมพ์ด้วยดินเผาอย่างหนึ่ง อย่างละหลายร้อยชิ้น ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานแจกแก่เสือป่า ลูกเสือ ทหาร และตำรวจภูธร บรรดาที่โดยเสด็จทั่วกัน...”
    พระพุทธรูปลีลา หล่อพิมพ์ด้วยโลหะธาตุ หมายถึง พระกำแพงศอก ส่วน พระพุทธรูปมารวิชัย พิมพ์ด้วยดินเผา หมายถึง พระผงสุพรรณ นั่นเอง
    ชาติ วิศิษฏ์สรอรรถ<!-- google_ad_section_end -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 พฤษภาคม 2010
  19. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    ลุงข้างบ้านฝากถามว่าองค์ขวานี่ใช่ปล่าวครับ หุ หุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 ตุลาคม 2011
  20. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948

แชร์หน้านี้

Loading...