เชิญ ทุกท่านเข้ามาให้ความรู้ผมที เชิญคุณ ลูกหลานหลวงปู่ ด้วยนะครับ

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย operhelp, 2 ตุลาคม 2006.

  1. operhelp

    operhelp Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    89
    ค่าพลัง:
    +44
    บอร์ดดูเงียบ เหงา
     
  2. ลูกหลานหลวงปู่

    ลูกหลานหลวงปู่ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    550
    ค่าพลัง:
    +3,589
    น้องเป้ ต้องเริ่มจาก ตรวจสอบตนเองก่อนว่า เป็นคนที่มีใจมั่นคงไหม ใจมีที่ยึดเหนี่ยวไหม หากมีคืออะไร เพราะเหตุใดจึงต้องการเป็นที่ยึดเหนี่ยว
    การจะช่วยบุคคลอื่นนั้นต้องเริ่มจากช่วยตนเองก่อน เมื่อยังเด็ก ก็ต้องทำหน้าที่อย่างเด็ก การตั้งใจศึกษาวิชาความรู้ (ทางโลก เพื่อเลี้ยงชีพได้ เมื่อขาดพ่อแม่ ทางธรรม เป็นการฝึกใจตนให้มีที่พึ่ง เมื่อเจอทุกข์)เป็นหน้าที่ที่พ่อแม่ของเราตั้งเป้าหมายไว้ ตอบแทนผู้มีพระคุณ เช่นคุณพ่อ คุณแม่ ที่ได้เลี้ยงดูมา ช่วยในงานที่เราช่วยได้โดยไม่นิ่งดูดาย เต็มกำลัง ความสามารถของเรา ต้องเคารพเชื่อฟังท่าน ไม่ทำให้ท่านต้องหนักใจต่อตัวเรา การรักษาศีล ไม่เบียดเบียนผู้อื่นโดยตั้งใจ ทั้งกายวาจาใจ เป็นการสร้างบารมีแก่ตนเอง แม้ว่าจะโดนผู้อื่นกระทำต่อเราก็ตาม การรักษาคำพูดของตนเป็นการสร้างตบะ อำนาจของตน การที่เรามีจิตเมตตาต่อผู้อื่น ไม่นิ่งดูดาย แต่ต้องไม่เกินกำลังของตน การสวดมนต์ ภาวนา บริกรรม เป็นประจำ เป็นการฝึกบังคับใจตนให้ทำงานตามเราต้องการ ไม่ให้ใจตนไปคิดเรื่องอื่นๆนอกจากคำที่บริกรรม(บังคับให้คิดทีละเรื่อง) เมื่อชำนาญแล้ว ให้ฝึกรู้ตามที่ใจคิด เช่น สภาวะที่ใจกำลังโกรธ ก็ระลึกรู้อยู่ว่าโกรธ (รู้ตัวทั่วพร้อม-ปล่อยวางความคิด-รู้เท่าทันความคิด) จนกว่าจะชำนาญ ต่อไปเมื่อจะทำอะไร ให้ถามใจตนเสมอ ก็จะได้คำตอบ ก่อนจะตัดสินใจกระทำกรรม-กาย วาจา ใจ เมื่อมีคนมาหา ก็ทดสอบถามใจตนว่า มาดี หรือมาร้าย จะรับมืออย่างไร เมื่อฝึกได้สมบูรณ์ ก็จะเป็นผู้ละอายต่อบาป(หิริ) และเกรงกลัวต่อบาป(โอตตัปปะ) มีธรรมอยู่ในหัวใจ มีกำลังพอที่จะช่วยผู้อื่นได้ ส่วนการสร้างทานบารมีนั้นต้องมีรายได้เป็นของตนเองก่อน เว้นแต่ทานที่กระทำได้ยาก แต่หากทำแล้วได้บารมีมากก็คือ อภัยทาน การอโหสิกรรมต่อผู้อื่น เช่นหากคนมักจะมากระทำไม่ดีต่อเราอยู่ประจำ การไม่โกรธตอบก็ว่ายากแล้ว แต่การทำบุญแล้วอุทิศให้กับคนที่ทำไม่ดีกับเรา หรือทำให้กับเทวดาที่ช่วยดูแลรักษาคนที่ทำไม่ดีกับเรา เป็นการอภัยทานที่ยิ่งใหญ่ คนที่ติดหนี้ติดสินเราก็เหมือนกัน หากเราทำบุญให้เขาเจริญๆขึ้นไป เมื่อเขาเจริญแล้วจึงจะมีโอกาสที่จะใช้หนี้เราได้ หากเราคอยสาบแช่ง โอกาสที่จะมาใช้หนี้นั้นมืดมนเหลือเกิน เมื่อเรามีพลังบุญบารมีที่สร้างขึ้นในภพนี้ชาตินี้มากแล้วการช่วยเหลือเกื้อกูลบุคคลอื่นก็จะทำได้ง่ายขึ้น
    การเข้าถึงบุญเดิมในภพภูมิอดีตต้องรู้ให้ชัดเจน จะเบิกบุญอย่างเดียวแต่ไม่สร้างเพิ่มเป็นการประมาทอย่างยิ่ง อีกวิธีหนึ่งที่จะสร้างบุญบารมีคือ ให้ความรู้เป็นทาน หรือ ธรรมทาน อยู่ในโรงเรียนเราก็ทำได้ครับ คนเราจะตายได้มีเหตุหลักๆอยู่สองประการคือ 1.หมดอายุขัย 2.หมดบุญ
    การหมดอายุขัย นี้ มักจะช่วยไม่ได้ แต่ถ้าหมดบุญนี้พอจะช่วยได้ โดยการอุทิศบุญให้ไปก่อน แล้วแนะนำให้เขาสร้างบุญบารมีเพิ่มเติม ก็อาจจะรอด
    คนที่เป็นร่างทรงส่วนหนึ่งเกิดจากการประพฤตตนไม่เหมาะสม จนเทพพรหมเทวดาที่มีส่วนเกี่ยวพันต้องมาบังคับร่างให้กระทำในสิ่งที่ชอบ ที่ควรประพฤต และอาศัยร่างนั้นสร้างบุญบารมี ซึ่งเราสามารถสร้างบุญบารมีแล้วอุทิศบุญกุศลไปให้ท่านก็มีผลเหมือนกัน เป็นการตอบแทนพระคุณที่ดี เหมาะสมกว่า
     
  3. Good_oom

    Good_oom เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    145
    ค่าพลัง:
    +562
    ง่า ดีครับ ขอให้ นายเป็นคนดี นะ
    เราก็อายุไล่ เลี่ยกัน ยิ่งวัยรุ่นสมัยนี้ ยิ่งแย่ลงทุกวัน พวกเราขออย่าให้เป็นอย่างนั้นเลยนะ ถ้านายอยากเป็นคนดีจริง ก็เริ่ม สั่งสอนเพื่อนๆ ที่ไม่ ให้กลับใจ บ้างก็ได้ สอน การบ้านเพื่อน หรือช่ายๆ อะไรก็ว่าไป
    ถ้าว่างๆ แอด มาคุยกับเราก็ได้ good_oom@hotmail.com
    อัธยาสัยดี แต่เราค่อนข้างพูดมากหน่อย
     
  4. operhelp

    operhelp Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    89
    ค่าพลัง:
    +44
    ตอบของพี่ ลูกหลานหลวงปู่นะงับ ก็คือตอนนี้ ทางตำหนักท่านก็บอกว่าให้ตั้งใจเรียนแล้วก็ คอยศึกษา เรื่องพวกนี้ เพราะผมยังไม่ค่อยรู้เท่าทันคนเท่าไหร่เขาบอกนะ ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน แล้วก็พี่ ผมถาม คาถาบูชา บรมครูปู่ฤาษีนารอท แล้วก็ ฤาษีนาราย แล้วก็ฤาษี ตาไฟ หน่อยนะงับผม หาไม่เจอ ผมใช้แต่ คำคล้ายๆๆ กับของพระศิวะแต่เปลื่ยนอิอิ คิดเอง โอม มุนีเทวา ยะนะมะฮา - - มั่วๆๆ เอาเอง ฝากพี่ช่วยบอกด้วยนะครับผม
    ตอบของ Good oom งับผม
    เรื่องสั่งสอนเพื่อน ผมนั่ง เทศ เรียงตัวยิ่งกว่าพระอีกครับ ยิ่งเพื่อนผมแต่ละคนเป็นนักดาบประจำโรงเรียน ต้องคอย คุมมันอยู่แล้วไม่ต้องห่วงเลย เรื่อง ตักเตือนเพื่อนเนีย ถนัด ครับ
     
  5. operhelp

    operhelp Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    89
    ค่าพลัง:
    +44
    http://www.palungjit.org/board/forumdisplay.php?f=2 พี่นี้กระทู้ของผมนะครับ ไม่อยากพิมพ์มันหลาย รอบเป็น เกี่ยวกับ เรื่องเล่าที่เกิดจากตัวผม แล้วก็ ความฝัน ของมารดาผมก่อน จะคลอดผมอะครับอ่านดูนะงับแล้ว ว่าไงก็บอกด้วยนะครับ
     
  6. operhelp

    operhelp Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    89
    ค่าพลัง:
    +44
    มีอารายจาถาม มีอะไรจะบอกจะให้คำแนะนำเลยเชิญนะครับยินดีเลย
     
  7. operhelp

    operhelp Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    89
    ค่าพลัง:
    +44
    กำใส่ผิดเว็ป พี่ กระทู้อันนี้นะครับ
    http://www.palungjit.org/board/showthread.php?t=52150
    เกียวกับ เหตุการที่เกิดกับผมนะครับ แล้วก็ความฝันของ แม่ ก่อนที่จะเกิดผมนะครับ มีอะไรถามได้
     
  8. operhelp

    operhelp Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    89
    ค่าพลัง:
    +44
    - - เขามาเล่นกันตอนไหนหรอครับส่วนใหญ่อะ
     
  9. หนูน้อย

    หนูน้อย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    144
    ค่าพลัง:
    +1,038
    ลองไปทำกรรมฐาน ณ สถานวิปัสสนากรรมฐานต่าง ๆ ที่สะดวกช่วงปิดเทอมดูสิคะ อาจจะได้รับคำตอบที่เหมาะสมที่สุดสำหรับตัวเราเอง จากการปฏิบัติของเราเอง (จากประสบการณ์ส่วนตัวค่ะ)
     
  10. operhelp

    operhelp Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    89
    ค่าพลัง:
    +44
    เปิดเทอมแล้วอะสิครับ
     
  11. หนูน้อย

    หนูน้อย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    144
    ค่าพลัง:
    +1,038
    ไม่ทราบน้องเคยลองฝึกกรรมฐานหรือเปล่า ถ้าเคย ก็ฝึกต่อให้สม่ำเสมอทุกวันอย่างที่คุณลูกหลานหลวงปู่แนะนำ หาเวลาว่างทำ โดยไม่ให้รบกวนเวลาเรียน ถ้าไม่เคย อาจลองหาเวลาหยุดช่วงสั้น ๆ เช่น หยุด 3 วันช่วงวันปิยมหาราชนี้ ไปฝึกให้ได้เบื้องต้นก่อน แล้วมาปฏิบัติต่อเอง ช่วงนี้ก็ทำทานตามกำลัง รักษาศีล 5 และเจริญภาวนาสมาธิแบบที่เคยฝึกมาก่อน อุทิศกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร เทวดาประจำตัวบ่อย ๆ ค่ะ
     
  12. pong-sit

    pong-sit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,626
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +17,781
    คุณอายุ15ปี ไร่เรี่ยกับผมเลยครับ ผมอายุ14 ครับ
     
  13. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    ก่อนอื่นก็ขออกตัวก่อนนะครับ ว่าพี่มิใช่ผู้รู้ที่สมควรมาให้คำแนะนำสั่งสอนใครได้ดีนักในขณะนี้ และพี่ก็เชื่อว่ามีพี่ๆในนี้หลายท่านที่คิดเช่นเดียวกัน แม้ว่าบางท่านจะรู้มากพอสมควรแล้ว ทั้งทางทฤษฎีและปฏิบัติก็ตาม แต่ท่านผู้ประพฤติธรรมเหล่านั้น ท่านอาจจะถ่อมตัว และท่านอาจจะสำรวมระวังกาย วาจา ใจ อยู่เสมอครับ จึงไม่ค่อยอยากมาแนะนำใครสักเท่าใดนัก เพราะหากผิดพลาดไปแม้แต่นิดเดียว ก็จะทำให้ศีลของท่านด่างพล้อยไปได้ครับ

    ดังนั้น ก็อย่าแปลกใจเลยนะครับ ที่กระทู้ของน้องทั้ง 2 กระทู้จะดูเงียบเหงาไปหน่อย

    แม้แต่ตัวพี่เองก็เถอะ แรกๆที่เจอหัวข้อกระทู้ของน้องทั้ง 2 กระทู้ พี่ก็ไม่รู้สึกอยากจะเข้ามาอ่านสักเท่าไหร่เลย เพราะพี่คิดว่ามันไม่ใช่เรื่องแปลกหรือน่าตื่นเต้นอะไรมากมาย กับสิ่งที่น้องเจอ และรู้มานั้น

    ในเวปพลังจิตนี้ พี่เชื่อว่ามีคนอยู่หลายระดับ บางท่าน หรืออาจพูดว่าหลายท่านก็น่าจะได้นะ เป็นผู้ปราถนาพุทธภูมิ ไม่รู้น้องจะเข้าใจความหมายของคำนี้ไหม๊ เอางี้พี่จะแนะนำว่า ให้ไปอ่านเพิ่มเติมในห้อง "พุทธภูมิ" ของเวปนี้นะครับ โดยเฉพาะกระทู้ที่แนะนำไว้ด้านบนๆของห้องทั้งหลาย ถ้าจะให้พี่ย่อๆให้เกี่ยวกับเรื่องนี้ก็คือ หลายท่านเป็นผู้ที่กำลังบำเพ็ญตนเป็นพระโพธิสัตว์อยู่ ซึ่งอาจจะได้สำเร็จเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในอนาคตอันยาวไกลในภายภาคหน้าโน้น ซึ่งนั่นหมายถึงท่านเหล่านี้ก็เกิดมาเพื่อมีหน้าที่พิเศษของตัวเอง เหนือกว่าคนธรรมดาๆสามัญนั่นเอง

    และในเวปพลังจิตนี้ ก็ยังมีอีกกลุ่มคนกลุ่มหนึ่ง ซึ่งโดยส่วนตัวของพี่แล้ว พี่เชื่อว่าท่านเป็นผู้มีสื่อถึงพลังเทพได้ หรือมีความสัมพันธ์กับองค์เทพองค์ใดองค์หนึ่งอย่างเด่นชัด ที่ต้องใช้คำว่าอย่างเด่นชัด เพื่อจะให้มีความหมายไปในทางเป็นร่างทรง อะไรทำนองนั้นครับ เพราะหลวงพ่อเกษม อาจิณณสีโล ท่านบอกว่า คนเราทุกคนล้วนมีเทพคอยคุ้มครองรักษาด้วยกันทั้งนั้น ไม่ใช่มีองค์เดียวด้วย มีอย่างน้อย 2 องค์ (นี่ยังไม่นับพวกนาค ครุฑ และภพอื่นๆที่เป็นญาติเราอีกนะ) แต่อาจจะสื่อสารกันไม่ได้ชัดเจน หรือไม่ทราบเท่านั้นเอง ดังนั้นพี่จึงไม่เห็นเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นอะไรนักหนา กับสิ่งที่น้องเล่ามา
    แต่พี่จับใจความได้ว่า ดูเหมือนน้องจะดิ้นรนขนขวายหาวิธีบูชา วิธีสักการะ เซ่นไหว้เทพ พรหม เทวา อะไรของน้องอย่างที่เป็นอยู่นี้ พี่ก็ว่าอย่าเพิ่งปล่อยให้มันเป็นไปด้วยความตื่นเต้น และลุ่มหลงเลยนะ ค่อยๆให้มันเป็นไปเอง อย่างมั่นคงดีกว่า..เดี๋ยวอ่านต่อ..

    สรุปในภาคแรกนี้ก็คือ...
    มีคนอีกหลายๆคนในเวปนี้ (หลายเท่าไหร่นี้ พี่เองก็ไม่ได้นับนะ) ที่รู้ตัวเองแล้วว่าเกิดมาเพื่อทำหน้าที่พิเศษบางอย่าง และประสบการณ์ทางจิตของแต่ละท่านที่พี่เคยอ่านผ่านๆมา ตลอดระยะเวลา 2 ปีที่พี่ป้วนเปี้ยนอยู่ในเวปนี้ ก็มีอะไรพิเศษ พิสดารมากมาย จนแม้แต่กับตัวพี่เองก็พอจะมีกับเขาบ้างอยู่เหมือนกัน ดังนั้น เรื่องของน้องก็ไม่ใช่เรื่องแปลกและพิเศษอะไรมากนักหรอก สำหรับเวปนี้ เน้นว่า "สำหรับเวปนี้" นะ
     
  14. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    นี่แหละคือเรื่องที่จะขอพูดถึงต่อไป..แต่เผอิญมีคนพูดให้ก่อนแล้ว ก็เลยขอเสริมแค่นิดๆหน่อยๆนะครับ ..ว่า..

    ทำไมน้องถึงคิดว่าอยากจะเป็นร่างทรงหละ...หรือว่าเข้าใจว่าหน้าที่พิเศษที่ได้รับมานั้น คือต้องเป็นร่างทรงให้กับเทพ หรือ พรหม องค์ใดองค์หนึ่ง งั้นหรือ

    พี่ว่า..อย่าไปตั้งเป้าอย่างนั้นเลย..คือ..มันเล็กน้อยมาก และเป็นเป้าหมายที่แคบมากเลยนะนั่น..

    ตั้งเป้าให้กว้าง และยิ่งใหญ่กว่านั้นจะดีกว่านะ เพราะแม้นได้เป็น หรือไม่ได้เป็นร่างทรง น้องก็สามารถสร้างบุญบารมีได้

    สิ่งที่พี่อยากจะบอกก็คือเป้าหมายที่ควรจะตั้งน่าจะเป็น
    1.พระนิพพาน
    ถ้ายังไม่ค่อยแน่ใจว่าเข้าใจคำนี้ดีแค่ไหน ก็หาอ่านได้ในเวปนี้เหมือนกัน ล้อง search ดูนะ

    2.พุทธภูมิ
    ซึ่งเส้นทางสายนี้จะยาวไกลกว่าพระนิพพานเยอะ

    ที่แนะนำให้ตั้งเป้าไว้สูงแบบนี้ เพราะช้า-เร็ว เราทุกๆคนก็ต้องถึงพระนิพพานอยู่ดี (เว้นเสียแต่จะมีเหตุอื่นที่ตัวพี่เองไม่รู้แต่เข้าใจว่ารู้) เพราะพี่เข้าใจว่าตราบใดที่สรรพสัตว์ทั้งหลาย ยังไม่ถึงซึ่งพระนิพพาน ก็จะยังคงเวียนว่ายตายเกิดกันอยู่นั่นหละ จะหยุดก็ต่อเมื่อถึงพระนิพพานแล้วเท่านั้น

    ดังนั้น ในระหว่างที่ยังอยู่ในวัฏฏสงสารนี้ บุญ ก็คือสิ่งที่มีความสำคัญกับทุกๆสรรพชีวิตเสมอ บุญคือสิ่งที่จะหล่อเลี้ยงให้มีอัตภาพที่ดี ที่น่าพอใจนั่นเอง ซึ่งจะดีมากหรือดีน้อย น่าพอใจมากหรือน้อย ก็ขึ้นอยู่กับกำลังของบุญนั่นเอง ซึ่งตรงข้ามกับบาปนะ ถ้าเผลอไปสร้างบาปเข้า ผลของมันก็จะได้ในทางตรงข้ามยังไงหละ

    มาถึงประเด็นสำคัญแล้วนะ
    (อย่าเพิ่งเบื่อนะ มันจะดูเหมือนพูดอ้อมโลกไปหน่อย แต่อ่านไปๆ มันจะเชื่อมกลับมาที่ประเด็นการเกิดมามีหน้าที่พิเศษ และวิธีที่ควรปฏิบัติตัวของน้องเอง)

    ดังนั้น เมื่อรู้เช่นนี้ว่าบุญคือสิ่งที่สำคัญ บาปคือสิ่งที่พึงละเว้น ก็ควรจะรู้ด้วยว่าเหตุอะไรบ้างจึงจะเกิดบุญ เหตุอะไรบ้าง จึงจะเกิดบาป ซึ่งทั้งหมดนี้ พระพุทธเจ้าทรงสอนเอาไว้หมดแล้ว

    ขอย่อๆให้ฟังนะว่า
    ทำทาน เกิดบุญน้อยกว่าถือศีล ,แต่ถือศีล ก็เกิดบุญน้อยกว่าเจริญสมาธิ และวิปัสนา ตามลำดับ

    ในบรรดาทำทานเอง ก็มีระดับของอานิสงส์แตกต่างกันอีก และก็ให้ผลไปต่างๆกันอีกด้วย ขึ้นอยู่กับปัจจัย 3 อย่าง บางตำราก็แจกแจงเอาไว้ว่า 4 อย่างนะ แต่พี่จะขออธิบายในแบบของพี่นะ ไม่ตามใครทั้งนั้น ได้แก่
    1. ผู้ที่ทำทาน หมายถึงตัวเราผู้ให้ทานนี้ เป็นผู้บริสุทธิ์แค่ไหน ถ้าเราถือศีลอยู่เมื่อทำทานแล้ว อานิสงส์ก็จะมากกว่าตอนที่เราทำทานโดยไม่ได้ถือศีล ยิ่งถือศีลมากเท่าใด บุญก็จะได้มากด้วยเท่านั้น (สมมุติว่าปัจจัยอื่นๆ เหมือนกัน 100%นะ)
    2. เจตนา หรือความตั้งใจ ของการทำทานของเรา ยิ่งมีความพยายามมาก มีความตั้งใจมาก ก็จะยิ่งได้บุญมากด้วย (เมื่อปัจจัยอื่นๆเหมือนกัน 100%)
    3. ของที่ให้ทาน หมายถึง ให้ของที่เป็นประโยชน์มาก ก็ได้บุญมากไปด้วย เช่น ให้ทานเป็นแก้วน้ำใบหนึ่ง ย่อมได้บุญน้อยกว่าให้กุฏิหลังหนึ่ง เพราะในกุฏินั้น ท่านใช้ทำอะไรๆมากมาย ไม่ว่าจะเป็นสวดมนต์ นั่งสมาธิ หรือฉันอาหาร หรือนอน ซึ่งบุญที่เกิดจากการใช้ประโยชน์ของกุฏินี้ ก็จะส่งมาถึงเราผู้ให้ทานนี้ด้วย ตราบใดที่กุฏิยังถูกใช้ประโยชน์อยู่ บุญก็จะเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา ท่านจึงเรียงลำดับเอาไว้ว่า
    - การให้ทานแบบวิหารทานนี้ จะมีอานิสงส์มากกว่าแบบสังฆทาน(ไม่เฉพาะเจาะจงบุคคล-ให้เป็นหมู่คณะทั้งคณะ) และแบบสังฆทานก็มีอานิสงส์มากกว่าแบบ ให้ทานจำเพาะบุคคล
    แต่ไม่ใช่ว่า วิหารทานได้บุญมากที่สุดนะ เหนือกว่าวิหารทานก็จะเป็นธรรมทาน คือให้ธรรมะ ให้ความรู้ และเหนือกว่าการให้ธรรมทานก็ยังมีอีกนะ คือให้อภัยทาน

    และก็อย่าเข้าใจว่าเมื่อรู้ว่าให้อภัยทานจะได้บุญสูงสุดในประเภททาน ก็มุ่งแต่อภัยอย่างเดียว ไม่ให้ทานแบบอื่นนะ ทานอื่นก็ต้องทำด้วย เพราะอานิสงส์นอกจากจะเปรียบกันในเชิงปริมาณแล้ว มันยังมีความต่างของประเภทอีกด้วย เช่น ให้อาหารก็จะได้อายุ วรรณะ สุขะ พละ เป็นต้น (ผิดพลาดขออภัยนะครับ แต่ไม่น่าผิดหรอก) แต่ให้ธรรมทานเราก็จะได้ปัญญา เป็นต้น ดังนั้น ถ้าอยากเพียบพร้อมทุกๆด้านก็ต้องทำทาน และทำบุญเอาไว้หลายๆประเภทนั่นแหละ ถึงจะดี
    4. บุคคลที่เราให้ทาน ท่านเรียงลำดับเอาไว้อย่างนี้นะ
    - ให้ทานกับสัตว์เดรัชฉาน ที่ไม่มีคุณ เช่น มด ปลวก จะได้บุญน้อยให้ให้สัตว์ เดรัชฉานที่มีคุณ เช่น วัวที่เราใช้ทำนา เป็นต้น
    - ให้ทานกับคนไม่มีศีล จะได้บุญน้อยกว่าให้ทานกับผู้มีศีล 5 แต่ได้บุญมากกว่าให้ทานกับสัตว์เดรัชฉานที่มีคุณ
    - ให้ทานกับคนมีศีล 5 ได้บุญน้อยกว่าให้คนมีศีล 8 , 10 , 227 ตามลำดับ แต่ได้มากกว่าให้ทานกับคนไม่มีศีล
    - ให้ทานกับพระมีศีล 227 ข้อครบถ้วน ก็ได้น้อยกว่าให้ทานกับพระโสดาบัน, สกิทาคามี ,อานาคามี , พระอรหันต์ , พระปัจเจกพุทธเจ้า,และพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตามลำดับ
    - แต่ให้ทานกับพระพุทธเจ้า ยังได้บุญน้อยกว่าให้ทานกับสงฆ์ คือทำสังฆทานนั่นเอง

    ...เดี๋ยวมีต่ออีกนะ..ใกล้จะวกกลับมาแล้ว..
     
  15. eutayan

    eutayan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    71
    ค่าพลัง:
    +166
    ไปทำกรรมฐานเปิดโลกที่วัดเขาสมโภชน์ จ.ลพบุรี หรือ วัดเขาชี (วัดฉัพรรณรังสี)
    อ.วังทอง จ.พิษณุโลก ดู อยู่บวชพราหมณ์ อย่างน้อยสัก 5 วัน ของจริงจะปรากฎในกาย แต่ยังไม่ต้องทำหน้าที่อันใด จนกว่าจะครบกำหนด "โอม ปาราฮา ซาปาราฮี"
     
  16. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    มาต่ออีกนะ..

    เมื่อรู้จักวิธีสร้างบุญแล้ว ก็ต้องรู้จักวิธที่จะหลีกเลี่ยงการทำบาปด้วย เพื่อไม่ให้เกิดเวร ภัย ต่อกันและกัน นั่นก็คือ ต้องรู้จักสำรวมระวังกาย วาจา ใจ ให้เป็นปกติ ให้สะอาด บริสุทธิ์ โดยการถือศีล ยังไงหละ แต่จะถือศีลอะไร (5,8, 10 หรือ 227) ก็แล้วแต่ว่า อยากจะบริสุทธิ์มากขนาดไหน
    พี่ได้บอกไปแล้วนะ ว่าการถือศีลนี้ มีอานิสงส์มากกว่าการทำทานทุกๆประเภท

    เมื่อรู้จักละชั่ว โดยการถือศีลแล้ว และรู้จักการทำบุญคือการทำทานแล้ว ก็มาถึงขั้นตอนสุดยอดของการทำบุญกันหละทีนี้ นั่นก็คือการทำสมาธิ และการเจริญวิปัสสนา

    1. การทำสมาธิ
    คือการทำใจให้สงบ มีอารมณ์เป็นหนึ่งเดียวอยู่กับสิ่งที่สนใจ อันนี้ได้บุญมากกว่าถือศีล เพราะจิตเราจะสงบ เยือกเย็น และผ่องแผ้ว ใส สะอาดมากกว่าตอนที่เรามีอารมณ์ฟุ้งซ่านอยู่ แต่อย่างไรก็ตาม การทำสมาธินี้ก็เป็นขั้นของการปฏิบัติกรรมฐานที่เรียกว่า "สมถะกรรมฐาน" เท่านั้น ยังไม่สามารถทำให้มนุษย์หลุดพ้นจากกิเลส ตัณหาทั้งปวงได้ ท่านเปรียบไว้ว่ามันเหมือนการเอาหินไปทับหญ้าในสนามหญ้าเอาไว้ น้องคงเคยสังเกตมาบ้างแหละ หญ้าในสนามบริเวณไหนที่มีอะไรทับมันอยู่ มันก็จะไม่ค่อยเจริญเติบโตใช่ไหม๊ ก็เหมือนกันกับกิเลส ตัณหาของเรานี่แหละ คนที่ฝึกสมาธิอยู่เป็นประจำ ก็จะเป็นผู้มีกิเลส ตัณหาเบาบางลงเช่นกัน เช่น มีความต้องการทางเพศน้อยลง โกรธช้าลง หรือโกรธน้อยลง อะไรแบบนี้ แต่ยังไม่ใช่หมดไปนะ มันยังมีอยู่ แค่ถูกกดทับไว้เฉยๆ (แต่บางตำราก็บอกไว้ว่า เมื่อกดทับไว้บ่อยๆ และทับไว้นานๆ หญ้ามันก็ตายได้เหมือนกันนะ)

    ผลพลอยได้จากการทำสมาธินี้มีหลายอย่างที่น่าตื่นตาตื่นใจมาก นอกเหนือจากการที่เราจะมีกิเลส ตัณหาเบาบางลงแล้ว ก็คือ
    - อาจจะได้วิชชา 3
    - อาจจะได้อภิญญา 6
    - อาจจะได้ปฏิสัมภิทาญาน (เท่าไหร่นะ จำไม่ได้แล้ว 4 หรือเปล่า)
    อะไรทำนองนี้เป็นต้น เพราะเมื่อเราฝึกจิตให้รวมลงมาเป็นจิตที่สงบอยู่ที่จุดใดจุดหนึ่งเพียงจุดเดียวแล้ว จิตของเรานี้ก็จะเกิดพลังมากมายกว่าที่เราจะคาดคิดยิ่งนัก เพราะพลังของจิตมนุษย์นั้นมีอยู่แต่เดิมแล้ว แต่ถูกกิเลส ตัณหา และอวิชชาความไม่รู้เคลือบเอาไว้ เหมือนลูกแก้วกลมใส ที่ถูกเขม่าควัน หรือดินโคลน เคลือบ โอบ หุ้ม ห่อ เอาไว้ เท่านั้นเอง จึงทำให้มันไม่มีพลังอย่างที่คนเราส่วนใหญ่าบนโลกนี้เป็นอยู่นี่แหละ ดังนั้น พอใครมาพูดถึงพลังจิตให้ฟัง คนหลายๆคนก็จะรีบปฏิเสธ ไม่เชื่อ ทันทีเลย ..ดูเอาเถอะความโง่ของมนุษย์เรา

    คำว่าวิชชา 3 ,อภิญญา 6 อะไรเหล่านี้ น้องก็ลองไปหาอ่านดูเพิ่มเติมจากในเวปนี้อีกเช่นกันนะ เวปนี้มีพร้อมทุกอย่าง แทบทุกเรื่องในวิถีแห่งจิต และการสร้างบารมีนี้อยู่แล้ว แต่พี่ขอยกตัวอย่างบางข้อนะ เช่น
    อภิญญา 6 ก็เช่น
    - ระลึกชาติได้
    - อ่านใจคนอื่นได้
    - รู้บุพกรรมของสัตว์โลก
    - ตาทิพย์
    - หูทิพย์
    - แสดงฤทธิ์ได้
    (น่าจะถูกนะ ถ้าผมผิดขอท่านผู้จำได้แม่นๆช่วยโพสต์แก้ให้ด้วยนะครับ)

    เห็นไหม๊ !!

    นี่ไงหละ อ้อมมาถึงจุดที่จะเชื่อมต่อกับคำถามของน้องแล้ว ว่า.."ผมควรทำตัวอย่างไรดี"

    มาถึงจุดนี้ การจะเป็นร่างทรงหรือไม่ ก็ไม่ได้สำคัญอะไรแล้ว เพราะเมื่อฝึกจิตในแนว "สมถะกรรมฐาน" นี้ดีเพียงพอ จนถึงระดับได้อภิญญา 6 นี้แล้ว น้องก็อาจจะได้ตาทิพย์ หูทิพย์ มองเห็นภูติ ผี ปีศาจ เทพ พรหม ได้เองแล้ว จะเป็น หรือไม่เป็ร่างทรงก็สามารถสื่อสารได้แล้วหละทีนี้ ดังนั้น ประมาณว่า เรื่องฤทธิ์อะไรทั้งหลายเหล่านี้ มันเป็นเพียงของเล่น เอาไว้เล่นแก้เบื่อ แก้เหงา ในระหว่างทางที่เดินไปสู่ "พระนิพพาน" หรือ "พุทธภูมิ" เท่านั้นเอง และนั่นก็คือ ถ้าเดินอยู่บนทางสายนี้ ก็จะต้องผ่านสิ่งเหล่านี้แน่นอน มันเหมือนต้นไม้ที่อยู่ข้างทาง ที่ใครก็ตามเดินผ่านเส้นทางนี้ ถ้ามองดูมันก็ต้องเห็นมัน ถ้าสนใจมัน ก็ต้องเห็นมัน เว้นแต่ท่านผู้ปราถนาการหลุดพ้น ท่านอาจจะไม่สนใจใส่ใจกับเรื่องเหล่านี้ เพราะท่านอาจจะคิดว่ามันจะทำให้ท่านติด หรือหลง ไม่เป็นผลดีทางบรรลุมรรคผลนิพพานของท่าน

    ข้อควรรู้อีกประการหนึ่งคือ เมื่อได้ฤทธิ์ ได้อภิญญาแล้ว แต่หากเป็นขั้นของโลกียะ อยู่ หมายถึงผู้ฝึกยังไม่บรรลุธรรมถึงขั้นพระโสดาบันขึ้นไป ฤทธิ์นั้น หรืออภิญญานั้นก็สามารถเสื่อมไปได้ แต่หากบรรลุถึงขั้นเป็นพระอริยเจ้าแล้ว ท่านว่า มันจะไม่เสื่อมไป

    2. การเจริญวิปัสสนา
    มันเป็นการพิจารณาธรรมะตามความเป็นจริง ให้เห็นทุกสิ่งตามความเป็นจริง ให้จิตละวางความยึดมั่นถือมั่นกับสิ่งร้อยรัดทั้งหลาย
    การที่เราจะหลุดพ้นได้ ก็ต้องอาศัยเส้นทางสายเอกสายนี้ ลำพังสมถะอย่างเดียว ไม่สามารถทำให้ไปถึงฝั่งพระนิพพานได้ ดังนั้นแม้ว่าจะฝึกจิตในวิถีของสมถะกรรมฐานจนเชี่ยวชาญเพียงใดก็ตาม พอถึงจุดหนึ่ง ก็ต้องถอยจิตออกมาเพื่อพิจารณาธรรมะ หรือเรียกว่าเดินวิปัสสนาต่อจากสมถะอยู่ดี ให้เห็นกายในกาย เห็นเวทนาในเวทนา เห็นจิตในจิต เห็นธรรมในธรรม
    วิปัสนาจารย์สมัยใหม่ บางท่านก็ว่า ไม่ต้องเสียเวลาไปฝึกสมถะก่อนเลย ถ้ามุ่งหวังพระนิพพาน ให้เริ่มต้นด้วยวิปัสสนาไปตั้งแต่ต้นเลย อะไรทำนองนั้น เพราะถ้าฝึกสมถะ บางคนกว่าจะจิตรวมได้ กว่าจะได้พิจารณาธรรมะ(หรือเดินวิปัสสนา) ก็ใช้เวลามาก อาจเป็นปี หลายปี หรือหลายสิบปี หรือนานกว่านั้น

    แต่เผอิญพี่ไม่ค่อยสันทัดแนวทางนี้นะ ก็เดี๋ยวรอให้ผู้ที่เชี่ยวชาญ และรู้จริงมาอธิบายก็แล้วกันนะ

    แนวทางวิปัสสนาวิถีนี้ พี่เองก็ไม่ค่อยแน่ใจนะ ว่าจะทำให้เกิดฤทธิ์ได้มากเหมือนแนวทางสมถะหรือเปล่า แต่เท่าที่เคยอ่านตำรามาบ้าง ท่านบอกไว้ว่าไม่ค่อยเกิดฤทธิ์มากนัก หรืออาจจะเรียกว่าเป็นสาย "สุขวิปัสโก" อะไรแบบนั้นมั๊ง

    ข้อสำคัญอีกประการหนึ่งที่อยากบอก
    ก็คือ..

    เมื่อน้องรู้แนวทางแห่งการได้มา ซึ่งฤทธิ์ เพื่อที่จะสามารถทำหน้าที่พิเศษอะไรของน้องนั่นได้ น้องก็ต้องบำเพ็ญไปให้ถูกทางด้วยนะ
    พี่หมายถึง

    - หมั่นหาความรู้ทั้งทางทฤษฎีและปฏิบัติ เกี่ยวกับเรื่องต่างๆที่พี่เล่ามาให้ฟังทั้งหมดนี้ เพิ่มเติม อ่านเรื่องเดียวกันหลายๆตำรา เพื่อจะได้เทียบเคียงกันได้ และจะได้รู้ว่าบางทีเรื่องเดียวกัน ก็มีหลายแนวคิดได้ จะได้ไม่ยึดติดอยู่กับตำราใดตำราหนึ่งจนมากเกินไป จะได้มีจิตใจที่เปิดกว้าง เวลามีใครแย้งกับข้อมูลที่เราเชื่อมาก่อน จะได้ไม่กระเทือนมากนักนะ ..มันยังมีเรื่องอื่นๆอีกเยอะที่สอดประสาน เชื่อมโยง กับประเด็นต่างๆที่พี่ได้เล่ามานี้ เหมือน Matrix อะไรยังไงยังงั้นเลยหละ

    - ลองไปฝึกปฏิบัติดู อาจจะเป็นแนวสมถะ หรือแนววิปัสสนาล้วนๆ หรือทั้งคู่ก็ได้ ที่ไหนก็ได้ มีสอนอยู่หลายที่ หลายสำนัก ก็อย่างที่คุณลูกหลานหลวงปู่ท่านบอกไว้นั่นแหละครับ ว่า ลองอธิษฐานจิต ขอให้เราได้เจอครูบาอาจารย์ดีๆ ให้เจอแนวทางปฏิบัติที่ตรงกับจริตของเรา จะได้ง่าย และไม่เสียเวลามากนักนะ
    แต่เราเองก็สามารถตรวจสอบกรรมฐานที่เหมาะกับจริตของเราเองได้นะ จากกรรมฐาน 40 กอง (แต่ 40 กองนี้ พี่เคยได้ยินใครบอกว่าเป็นแนวสมถะหมดนะ-ไม่รู้เขาพูดถูกหรือเปล่านะ) หาอ่านดูนะ ก็อยู่ในเวปนี้เช่นกัน พี่เคยผ่านๆตาอยู่เหมือนกัน แต่จำไม่ได้หรอกว่าอยู่ตรงไหน

    - แม้ว่าสมาธิและวิปัสสนาจะเป็นทางที่ได้บุญสูงสุด และเป็นทางที่จะทำให้ได้ฤทธิ์ ได้อภิญญา และบรรลุมรรคผล นิพพานได้ แน่แท้ แน่นอน ก็ตาม แต่น้องก็ต้องรู้ด้วยว่า

    ** ถ้าศีล ไม่บริสุทธิ์ บริบูรณ์ดี การปฏิบัติสามาธิภาวนา ก็จะไม่ค่อยก้าวหน้า หรือไม่ก้าวหน้าเลย ก็อาจจะพูดได้ เพราะศีลคือบาทฐานสำคัญของการภาวนา

    ** ถ้าไม่ทำทานเลย ก็อาจจะไม่มีกำลังของบุญมาช่วยหนุนให้การปฏิบัติภาวนาเจริญก้าวหน้าได้เท่าที่ควร ดังนั้นในขณะที่การภาวนาของเรายังก้าวหน้าไม่ถึงขั้น มันต้องอาศัยกำลังบุญของทาน ซึ่งทำได้ง่ายกว่านี่แหละ ค่อยๆหนุนขึ้นเรื่อยๆๆๆ จนสักวันหนึ่ง บุญมากถึงระดับแล้ว ก็ โป๊ะเช๊ะเลย..

    **การอุทิศบุญ ก็มีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันเลย เพราะเราเกิดมา ไม่ได้มาตัวเปล่าเล่าเปลือยแต่ประการใด เรามาพร้อมกับผู้ที่คอยดูแลรักษาเรา และมาพร้อมกับศัตรูคู่อาฆาตของเราผู้เป็นเจ้ากรรมนายเวรของเรา ดังนั้น ถ้าเราเป็นหนี้เขา แล้วเราไม่รู้จักใช้หนี้เขาเลย เราก็จะถูกดึง ถูกหน่วง ถูกรั้งเอาไว้ ทำให้การดำเนินชีวิตของเราไม่ราบรื่น เผลอๆไม่มีโอกาสได้ภาวนาอย่างที่ควรจะเป็นเสียด้วยซ้ำ เพราะเขาก่อกวนมากๆ และหากได้ภาวนา ก็อาจจะเป็นไปด้วยความยากลำบาก ทุลักทุเล ถูกเขาหลอก เขาหลอน เขาลวงในภาพนิมิตร ให้คิด ให้เห็นสิ่งผิดเป็นถูก สิ่งลวงเป็นสิ่งจริง อะไรทำนองนั้น
    ในทางกลับกัน สำหรับกลุ่มผู้ที่คอยดูแลรักษาเรา ที่มากับเรา ก็ไม่ใช่เขาจะมาเปล่าๆ เขาก็ควรจะได้รับสิ่งตอบแทนในกิจที่เขาทำเพื่อเราบ้าง แม้ว่าบางตัวบางตน อาจจะเคยผูกพันธ์ใกล้ชิดกับเรามาก่อน มาช่วยเราก็มาด้วยใจล้วนๆก็ตาม แต่ลองคิดดูสิว่า ถ้าผู้ที่คอยดูแลรักษาเราอยู่เป็นแค่เทพชั้นต่ำๆ หรือเป็นแค่นาค แค่ครุฑ ชั้นต่ำๆ จะไปสู้รบปรบมืออะไรกับเจ้ากรรมนายเวรของเราที่เป็นเทพชั้นสูง เป็นนาค เป็นครุฑชั้นสูง หรือเป็นภูติ ผี ปีศาจ ที่มีจำนวนมากมายมหาศาลหละ จะเอาอะไรไปสู้เค๊า! ดังนั้นทางที่ดีก็คือ เวลาทำบุญทุกครั้ง ด้วยทาน ศีล หรือภาวนาก็ตาม น้องควรอุทิศบุญให้สรรพสัตว์ทั้ง 3 กลุ่มนี้เสมอ คือ

    1. เจ้ากรรมนายเวรของน้อง ทุกภพ ทุกภูมิ ที่มาถึงน้องแล้ว
    ไอ้ที่ยังไม่มาถึง ที่อยู่นอกจักรวาลโน่นก็อย่าเพิ่งให้ ให้พวกที่รุมขี่คออยู่นี่ก่อน แก้ไปทีละเปราะ ให้เขาได้ในสิ่งที่เขาต้องการ ให้เขาพอใจ ให้เขาคลายความแค้นเรา เขาจะได้ปล่อยเราไง เราก็จะโล่ง สบาย ทำอะไรก็ราบรื่นกว่าเดิมไง

    2. ให้บิดา มารดา ครูบา อาจารย์ ญาติ พี่น้อง เพื่อนฝูง ของน้อง ทุกภพ ทุกภูมิ ที่มาถึงน้องแล้ว
    ก็เช่นเดียวกัน แต่เพื่อให้เขามีพละกำลัง มีฤทธิ์มีเดช มากขึ้น เช่นจากเปรต พออุทิศบุญให้บ่อยๆ ก็จะกลายเป็นเทวดา ขึ้นมาได้ จากเทวดาชั้นต่ำๆไม่ค่อยมีฤทธิ์เท่าใดนักก็จะมีฤทธิ์มากขึ้น สามารถหยั่งรู้อดีต อนาคตของเราได้มากขึ้น ช่วยเหลือเราได้มากขึ้นยังไงหละ
    แต่ถ้าเป็นครูบาอาจารย์ของน้อง ถ้าท่านได้รับสัญญานบุญจากน้อง ท่านอาจจะส่งกระแสจิตของท่านมาช่วยให้น้องมีปัญญา คิดออกง่ายขึ้น มาสอนธรรมะน้องผ่านการดลใจให้ทำในสิ่งที่ถูกที่ควร ก็ได้นะ โดยที่น้องอาจจะไม่รู้ตัว เป็นต้น

    3. ให้ผู้ที่คอยดูแลรักษาน้อง และผู้ที่คอยดูแลรักษาบ้านเรือนของเรา ทุกภพ ทุกภูมิ
    อันนี้ก็เหตุผลเดียวกับข้อ 2 นะ

    ส่วนวิธีที่จะอุทิศบุญอย่างไรให้ได้ผล ให้ถูวิธีนั้น มีหลายคน มีหลายตำราเขียนเอาไว้ ไม่รู้ตำราไหนผิดหรือถูก อาจารย์ไหนผิดหรือถูกบ้าง แต่ที่พี่เชื่อถืออยู่ และใช้อยู่จนถึงปัจจุบันนี้ ก็คือคำสอนของหลวงพ่อเกษม อาจิณณสีโลนะ ถ้าอยากได้ ก็แจ้งชื่อ-ที่อยู่มา เดี๋ยวพี่จะส่งให้ พี่แจกคนอื่นๆผ่านเวปนี้ มา 200 กว่าคนแล้ว ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย

    ว่าแต่ว่าเหนื่อยแล้ว พอแล้วนะ ขอให้เจริญในธรรมมากๆขึ้นนะครับ ขอให้พบทางที่ถูกที่ควรนะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 ตุลาคม 2006
  17. The Shadow

    The Shadow เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    557
    ค่าพลัง:
    +1,732
    น้องเอ๋ย อย่าไปบ้าตามมันให้มากนักเลย

    เป็นเด็กดี ตั้งใจเรียน ช่วยเหลือพ่อแม่บ้าง

    เข้าวัด ทำบุญใส่บาตร ไหว้พระ สวดมนต์ ฟังธรรม พอแล้ว

    เพ้อมากเกินไป เด๋วอุปทานจับ หลงตัวเองอีก

    ถ้ามันมีหน้าที่จริงๆน่ะ ถึงเวลา เรารู้เองครับ ทำวันนี้ให้ดีที่สุดพอครับ
     
  18. ลูกหลานหลวงปู่

    ลูกหลานหลวงปู่ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    550
    ค่าพลัง:
    +3,589
    พระคาถาบูชาปู่ฤาษีต่างๆ

    พระคาถาเหล่านี้ขณะสวดบูชาและสรรเสริญพระคุณของท่านทั้งหลาย ควรกระทำด้วยความเคารพอย่างจริงใจ
    ให้นึกถึงพระคาถาเหล่านี้เป็นคำๆ ให้ลอยมาปรากฎอยู่ตรงกลางหน้าผากเป็นสายต่อเนื่องจนกว่าจะจบพระคาถา
    ก่อนจะสวดบูชา ควรสวด นะโม 3จบก่อน หายใจเข้าปอดให้เต็มความจุของปอด และสวดบูชา โดยให้ลมหายใจออกมาทางปากกับคำสวดนั้นๆ ตั้งสมาธิให้มั่น หากยังจำไม่ได้ก็ให้สวดอ่านไปก่อน จนกว่าจะจำได้ ก่อนสวดบูชานี้ ต้องเลือกเวลาสวดให้ดี จะได้ไม่มีใครมารบกวนการสวดบูชา
    จำนวนครั้งในการสวด ก็ควรเลือก 3 5 7 9 ..... 108 จบ เป็นการทดสอบความตั้งใจเราหลายอย่าง ทั้งสติต้องดีว่าสวดไปกี่จบแล้ว ความเพียรพยายาม ความพึงพอใจในการสวด การเว้นระยะหายใจที่สมดุลกับตัวเรา ความคิดและจินตนาการตามคำสวด ซึ่งเราต้องทำให้เป็นประจำเวลาของแต่ละวันจะดีกว่า จนกว่าจะเกิดความชำนาญ ทั้งคำสวดที่พูดออกมา น้ำเสียงก้องกังวาล มีพลัง อำนาจหรือไม่
    การนึกถึงคำสวดปรากฎพร้อมกับเสียงหรือไม่ จิตคิดไปเรื่องอื่นหรือไม่ การสวดมนต์นี้จะว่าง่ายก็ง่าย จะว่ายากก็ยากอยู่เอาการ
    การสวดบูชานี้เคล็ดลับอยู่ที่ อิทธิบาท4 คือ ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 121-122.jpg
      121-122.jpg
      ขนาดไฟล์:
      713.5 KB
      เปิดดู:
      65
  19. ^ ^

    ^ ^ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    569
    ค่าพลัง:
    +1,279
    อย่าซีเรียสกับมันมากครับ ตั้งใจเรียนให้ดีที่สุดดีกว่านะครับ

    ถ้าเขาจะเอาคุณเป็นร่างทรงจริงๆ เมื่ออายุ 24 เหตุการณ์มันจะพาคุณไปเองครับ


    ตอนนี้เพิ่ง 15 ก็ตั้งใจเรียนไปก่อนนะน้อง ^ ^



    ปล.ขยันเรียนเข้าไว้ เป็นรางทรงเกียร์ตินิยม ก็เท่ดีนะ อิอิ
     
  20. operhelp

    operhelp Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    89
    ค่าพลัง:
    +44
    อืมงับผม จะพูดจะช้าไปแล้ว ผมสร้าง เป็น บ้านพระของผมไปสะแล้ว เต็มบ้านเลย ของผมเอง
    แล้วก็ มันคงจะห้ามอะไรไม่ได้แล้ว ตัวมันชอบด้วย ถ้าไม่ให้สนใจเรื่องพวกนี้ ไม่เมื่อ อยู่กับกลุ่มพวกร่าง ทรงมา ตลอดชีวิต - -
     

แชร์หน้านี้

Loading...