เรื่องของการกรวดน้ำค่ะ

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย kathi99, 27 พฤษภาคม 2010.

  1. kathi99

    kathi99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 เมษายน 2010
    โพสต์:
    61
    ค่าพลัง:
    +186
    ดิฉันมีความสงสัยในเรื่องของการกรวดน้ำค่ะ คือ มีบางคนบอกดิฉันว่า การกรวดน้ำผู้ที่จะได้รับสวดบุญ หรือ อานิสงค์ผลบุญจากเรา คือผู้ที่อยู่คนละภพ คนละภูมิกับเราเท่านั้น ก็คือผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว เราไม่สามารถกรวดน้ำให้กับคนที่มีชีวิตอยู่ได้ จริงหรือเปล่าค่ะ แต่ทำไม่ในบทกรวดน้ำในหนังสือธรรมะต่าง ๆ ในข้อความการกรวดน้ำ เราสามารถแผ่บุญบารมีให้กับคุณพ่อคุณแม่เราได้ด้วยค่ะ และการกรวดน้ำที่ถูกต้องที่จริงแล้วเป็นอย่างไรค่ะ คือหลังจากที่เราทำบุญ หรือสวดมนต์แล้ว เราต้องกรวดน้ำในทันทีเลยหรือเปล่าค่ะ และใน 1 วันน่ะ เราสามารถที่จะกรวดวันล่ะกี่ครั้งค่ะ คือขึ้นอยู่กับบุญหรือความดีที่เราทำในวันนั้นหรือเปล่า ถ้าเรากรวน้ำโดยที่เราไม่ได้ระบุชื่อว่าเราจะให้ใครโดยเฉพาะเจาะจงผู้ที่ได้รับจะเป็นใครบ้างค่ะ แล้วทุกครั้งที่ดิฉันกรวดน้ำที่ดิฉันจะระบุชื่อบุคคลไปด้วย เค้าจะได้รับผลบุญที่ดิฉันให้เค้าหรือเปล่าค่ะ รบกวนผู้รู้ช่วยอธิบายให้ดิฉันด้วยน่ะค่ะ คือ ไม่เข้าใจจริง ๆ ค่ะ ขอบคุณน่ะค่ะ ทุกคน ...
     
  2. ถิ่นธรรม

    ถิ่นธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    1,824
    ค่าพลัง:
    +5,398
    การกรวดน้ำเป็นวิธีการแบบหนึ่งในการอุทิศส่วนกุศล ซึ่งการอุทิศส่วนกุศลนั้น ผลบุญย่อมปรากฏแก่ผู้ที่อยู่ในภพภูมิที่สามารถรับได้เท่านั้น ภูมิที่สามารถรับบุญที่อุทิศได้นั้น ก็คือเทวดา เปรต อสุรกายและสัตว์นรกที่อยู่ในยมโลก (สัตว์นรกที่อยู่ในมหานรกหรืออุสทนรกจะรับไม่ได้แต่บุญจะไปคอยอยู่ที่ยมโลก) ส่วนผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ไม่สามารถรับบุญได้ แต่จะได้รับกระแสเมตตาจากผู้ที่อุทิศให้ แต่ถ้าบอกให้เขาอนุโมทนาบุญที่เราทำ อย่างนี้ถึงจะได้บุญ ถ้าไม่อนุโทนาก็ไม่ได้บุญ
     
  3. รวียากร

    รวียากร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    342
    ค่าพลัง:
    +1,309
    แล้วการกรวดน้ำ ถ้าเราไม่มีสถานที่ ให้เทน้ำ เช่น ต้นไม้ กระถางต้นไม้

    เราสามารถ เทได้ที่ไหน บ้างครับ
     
  4. Namushakamunibutsu

    Namushakamunibutsu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,347
    ค่าพลัง:
    +2,618
    ก็กรวดแห้งไงครับ ^^ แผ่ส่วนกุศลโดยที่ไม่ใช้น้ำ... ก็เป็นปัตติทานมัยเช่นกัน
     
  5. kathi99

    kathi99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 เมษายน 2010
    โพสต์:
    61
    ค่าพลัง:
    +186
    แล้วอย่างที่เค้าบอกกันว่า ถ้าเราไม่ชอบใครก็ให้เราทำบุญและกรวดน้ำอุทิศสว่นบุญให้แล้วเอ่ยชื่อบุคคลนั้นแล้วอย่างนี้บุคคลนั้นจะได้รับบุญจากเราได้อย่างไร ค่ะ
     
  6. Namushakamunibutsu

    Namushakamunibutsu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,347
    ค่าพลัง:
    +2,618
    ถ้าเขายินดีในการแผ่กุศลของเรา เขาก็ได้นะครับ เป็นปัตตานุโมทนามัย
    เพราะส่วนบุญที่ได้รับจะมีเฉพาะแบบนี้ครับ ยกให้กันไม่ได้ ต้องร่วมยินดี...

    เป็นกุศโลบายที่ดีอย่างหนึ่งครับ คืออุทิศกุศลให้คนที่เราไม่ชอบ
    ทำให้เราเริ่มเปิดใจให้คนที่เราไม่ชอบ และค่อยๆเปลี่ยนทัศนคติของเรา
    จากที่เรามองเขาด้วยความหมั่นไส้ ก็จะเปลี่ยนเป็นการมองด้วยความเมตตา
    ความหมั่นไส้มันก็มีเหตุปัจจัยที่ฝังอยู่ภวังคจิต ถ้าเราเลิกมองคนอื่นในแง่ลบได้
    การกระทำที่ไม่ดีหลายๆอย่างก็ไม่เกิดขึ้น เป็นการสกัดการผูกเวร...
    เพราะกรรมทุกอย่างเริ่มต้นที่จิต วิบากกรรมทุกอย่างก็เริ่มต้นที่จิต
    เจ้ากรรมนายเวรตัวจริงของเราก็คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นี่ล่ะครับ ^^
    ถ้าจะพูดจำแนกไปอีกที ก็คือ ผัสสะ เวทนา ตัณหา อุปาทาน เนี่ยล่ะครับ...สาธุ
     
  7. kungfuloma

    kungfuloma เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2009
    โพสต์:
    234
    ค่าพลัง:
    +1,011
    บางอย่างถ้าไม่แน่ใจ ก็เอาตามความสะดวกก็ได้ครับ
    ปกติควรจะกรวดน้ำเลย เพราะถ้ามีผู้มารออนุโมทนาอยู่ จะได้ไม่ต้องรอนาน และป้องกันการหลงลืม
    เท่าที่ทราบตามประเพณีปฏิบัติ จะกรวดน้ำตอนกลางวัน ส่วนกลางคืนไม่ต้อง
    ถ้าอยากเอาชัวร์ ทำบุญกลางวันหลายครั้ง จะกรวดหลายครั้งก็น่าจะได้

    ถ้าเป็นคนที่มีชีวิตอยู่ ควรจะอุทิศให้กับเทพเทวา เทวดาประจำตัวเขา
    ถ้าไม่เฉพาะเจาะจงบุคคลใด ก็ตั้งใจให้เจ้ากรรมนายเวร ญาติพี่น้องในทุกภพชาติ เทพเทวาประจำตัว
     
  8. kathi99

    kathi99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 เมษายน 2010
    โพสต์:
    61
    ค่าพลัง:
    +186
    รบกวนถามเพิ่มเติมน่ะค่ะ




    ที่บอกว่าผู้ที่มีชิวตอยู่ไม่สามารถรับบุญจากเราได้ แต่จะได้รับกระแสเมตตาจากผู้ที่อุทิศ คำว่าบุญกับกระแสเมตตา ต่างกันยังไงค่ะ .... และ ถ้าอย่างงั้นเจ้ากรรมนายเวรที่เรารอให้เราอุทิศบุญกุศลให้ก็เท่ากับว่าเค้ารออนุโมทนาบุญให้เราอยู่ใช่ไหมค่ะ ขอบคุณมากค่ะ
     
  9. khomeraya

    khomeraya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +21,369
    อือม์ เจ้าของกระทู้นี้มีหลายคำถามแฮะ ก็ขอตอบทีละประเด็นอย่างนี้นะครับ

    1 เราสามารถกรวดน้ำให้กับผู้ที่มีชีวิตอยู่ได้หรือปล่าว ?

    ข้อนี้คุณถิ่นธรรมตอบไปแล้ว ก็คือ จะกรวดน้ำให้ผู้มีชีวิตอยู่ก็ได้ แต่ต้องไปบอกให้เค้าอนุโมทนาด้วยว่า เราไปทำบุญมานะ เราอยากให้เค้าโมทนาสาธุด้วย อย่างนั้น ถ้าเค้าโมทนาเค้าก็ได้รับส่วนบุญ ถือว่าบุญนั้นสำเร็จด้วยการยินดีในความดีของผู้อื่น เป็นปัตตานุโมทนามัย อันเป็น 1 ในบุญกิริยาวัตถุ 10 ประการ

    2 หลังจากที่เราทำบุญหรือสวดมนต์แล้ว เราต้องกรวดน้ำในทันทีหรือเปล่า ?

    ข้อนี้ขึ้นอยู่กับสถานการณ์และผู้จะรับส่วนบุญนั้น

    ถ้าเราต้องการความสดใหม่ อารมณ์ที่กำลังปิติอยู่กับผลบุญที่เรากระทำ ไม่ใช่ว่า อ้าว ตายแล้ว ทำบุญไปเมื่อวาน ลืมกรวดน้ำ .... ถ้าจิตของเรา ใจของเรา มันจะปิติตอนที่เราทำบุญใหม่ๆแล้วกรวดน้ำ มากกว่าทำบุญผ่านไป แล้วค่อยมากรวดน้ำ อย่างนี้ก็กรวดน้ำตอนที่เราทำบุญเสร็จหมาดๆ

    ส่วนที่บอกว่าผู้จะรับส่วนบุญนั้น คือ ภพภูมิที่จะรับนั้น มีพลังต่างกัน ถ้าเป็นพวกเปรต อสุรกาย สัมภเวสี เค้าจะพลังอ่อน เหมือนเวลาจะรับส่วนบุญตอนที่กรวดน้ำนะ ผู้ที่มีร่างกายกำยำแข็งแรงก็มีสิทธิที่จะเบียดเสียดเข้ามารับก่อนได้ถูกมั้ย (อันนี้เป็นการเปรียบเทียบนะครับ ไม่ใช่ว่าถึงขนาดจะเบียดเสียดเหมือนมนุษย์แย่งของแจก) เพราะฉะนั้น พวกเปรต อสุรกาย สัมภเวสี กว่าเค้าจะได้รับ บุญก็อาจไม่ถึงเค้า

    มีผู้รู้บอกผมว่า เวลาเรากรวดน้ำ พลังบุญของเราจะเป็นลำแสงสีทองขึ้นไปอยู่บนสวรรค์ ปรากฎการณ์ตรงนั้นจะเกิดขึ้นภายใน 5 นาที ซึ่งข้อความตรงนี้ก็อาจเป็นแนวปาฏิหาริย์สักหน่อย ก็ฟังหูไว้หูแล้วกัน ผมขี้เกียจพูดเรื่องอิทธิปาฏิหาริย์เยอะ (ทั้งๆที่ตัวเองก็รู้มาเยอะ อิอิ) เพราะฉะนั้น ถ้าเราจะให้เปรต อสุรกาย สัมภเวสีเนี่ย เราต้องบอกกล่าวล่วงหน้าให้เค้ารับรู้ ซึ่งเราก็กำหนดจิตนี่แหละว่า เอ้า วันนั้นวันนี้เราจะไปทำบุญวัดนั้นวัดนี้ ขอให้ท่านทั้งหลายไปรอรับส่วนบุญได้เลยนะ ทันทีที่ข้าพเจ้ากรวดน้ำ ก็ขอให้ท่านโมทนาบุญได้เลย นั่นแหละ อย่างนั้นรับรองว่าเค้าได้ส่วนบุญนั้นชัวร์

    3 ใน 1 วันเนี่ย เราสามารถกรวดน้ำวันละกี่ครั้ง

    จริงๆจะกรวดวันละกี่ครั้งก็ได้ ถ้ากรวดวันละหลายๆครั้ง ก็คงจะไม่สะดวกสำหรับผู้กรวด เพราะไหนจะต้องเตรียมน้ำ หรือใจก็จ้องจะคอยไปกรวดน้ำจนอาจไม่ต้องทำอย่างอื่น
    ใคร่ขอบอกว่า เราไม่ต้องกรวดน้ำก็ยังได้เลย เราก็อุทิศส่วนกุศลนี่แหละ นึกในใจว่าเราขออุทิศส่วนกุศลให้กับ..... อะไรก็ว่าไป
    มีคนเข้าใจว่า การอุทิศส่วนกุศลต้องกรวดน้ำเท่านั้น จริงๆแล้วไม่ใช่ จะกรวดน้ำก็ได้ ไม่กรวดน้ำหรือที่เค้าเรียกว่า กรวดแห้งก็ได้ ทำได้ทั้งนั้น

    4 ถ้าเรากรวดน้ำโดยที่เราไม่ได้ระบุชื่อว่าเราจะให้ใครโดยเฉพาะเจาะจง ผู้ที่ได้รับจะเป็นใครบ้าง ? แล้วทุกครั้งที่เรากรวดน้ำ จะระบุชื่อบุคคลไปด้วย เค้าจะได้รับผลบุญที่ให้เค้าหรือเปล่า ?

    คำถามส่วนแรกของคุณเนี่ย ถ้าคุณไม่ระบุชื่อว่าจะให้ใครโดยเฉพาะเจาะจง แต่คุณระบุรวมๆกันไป เช่น ให้เจ้ากรรมนายเวร ให้กับเทวดา ให้กับสรรพสัตว์ทั้งหลาย ผู้ที่ได้รับก็คือ เจ้ากรรมนายเวร เทวดา และสรรพสัตว์ทั้งหลายนั่นแหละ

    แต่ถ้าคุณเล่นบอกว่า ข้าพเจ้าขออุทิศส่วนกุศล แล้วคุณก็หยุดแค่นั้น ไม่ต่อท้ายว่าให้กับบุคคลใดบุคคลหนึ่ง ภพภูมิใดภพภูมิหนึ่ง อย่างนี้ก็ไม่มีผู้รับซิครับ .... (ขออภัย ถ้าเข้าใจคำถามคุณผิดไป)

    ส่วนการระบุชื่อใครคนใดคนหนึ่ง เค้าจะได้รับผลบุญนั้นหรือไม่ขึ้นอยู่กับว่า เค้ารับรู้มั้ย และเมื่อรับรู้แล้ว เค้ายินดีที่จะรับส่วนบุญหรือเปล่า

    การที่เค้ารับรู้หรือไม่รับรู้ ก็ขึ้นอยู่กับว่าเค้าตกอยู่ในสภาพที่ปิดกั้นจากผลบุญที่ส่งไปให้หรือเปล่า คือพูดง่ายๆว่าตกนรกหมกไหม้ ชนิดที่รับบุญไม่ได้ อันนี้เป็นแค่ปัจจัยบางปัจจัยนะครับ แต่อาจจะมีปัจจัยอื่นที่ทำให้เค้าไม่รับรู้

    นอกจากนี้ที่สำคัญอีกประการก็คือ ถึงแม้เค้ารับรู้ แต่ถ้าเค้าไม่ยินดี ไม่โมทนาด้วย อย่างนี้เค้าก็ไม่ได้รับส่วนบุญ กรณีอย่างนี้ก็คือ ผู้ที่มีทิฐิมานะแรง ซึ่งอาจจะเป็นเจ้ากรรมนายเวรหรือไม่ใช่เจ้ากรรมนายเวรก็ได้ กรณีเจ้ากรรมนายเวร ถ้าบุญนั้นไม่ยิ่งใหญ่พอ ไม่สามารถชดใช้ความผิดที่เราก่อไว้ เค้าก็ไม่รับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 พฤษภาคม 2010
  10. khomeraya

    khomeraya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +21,369
    จริงๆแล้ว เรื่องการอุทิศส่วนกุศลนั้น สามารถทำได้โดยที่ไม่ต้องกรวดน้ำ หรือจะกรวดก็ได้ อยู่ที่จิตทีคิดจะให้ส่วนบุญนั้นแก่สรรพสัตว์ทั้งหลายต่างหาก

    เมื่อการกรวดน้ำไม่ใช่สาระสำคัญของการอุทิศส่วนกุศล แต่เราคุ้นเคยกับการกรวดน้ำ ดังนั้นเพื่อความสบายใจของเรา ก็หาพื้นดินที่สะอาดๆ พอที่เราจะเทน้ำก็พอ

    มีตัวอย่างว่า สมมติเรานั่งแพออกไปกลางเขื่อน มีพระคุณเจ้าที่เราเคารพนับถือไปด้วย เราก็ถวายเพล แล้วก็กรวดน้ำ เอ้า ทีนี้ทำยังไง น้ำที่กรวดจะเทที่ไหน ต้องรอให้กลับเข้ามาที่ฝั่งเสียก่อนหรือเปล่า เพื่อจะกลับมาเทบนพื้นดินที่ฝั่ง หรือเทลงไปในน้ำที่เราล่องแพอยู่ ? อิอิ
     
  11. khomeraya

    khomeraya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +21,369

    อย่างที่บอกก็คือ เค้าจะได้รับส่วนบุญจากเราหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับว่าเค้ารับรู้หรือเปล่า

    จริงๆถ้าเราไม่ชอบใคร ขอแนะนำให้แผ่เมตตา....ทุกลมหายใจ คือ หายใจเข้าก็นึกหน้าเค้า หายใจออกก็นึกหน้าเค้า แล้วก็นึกไปด้วยว่า .....จงเป็นสุขๆเถิด....
     
  12. khomeraya

    khomeraya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +21,369

    จริงๆแล้ว จะกรวดน้ำตอนกลางวันหรือตอนกลางคืนนั้น ไม่ใช่สาระสำคัญของการอุทิศส่วนกุศล อยู่ทีจิตที่คิดจะให้ผลบุญ ซึ่งใจของเรานี่แหละ สามารถอุทิศส่วนกุศลให้ได้ทั้งกลางวันและกลางคืน ทั้งวันฝนตกและวันฝนไม่ตก ชนิดที่ไม่ต้องใช้น้ำเลยก็ยังได้
     
  13. khomeraya

    khomeraya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +21,369
    ขอตอบส่วนที่สองก่อนนะครับว่า

    ที่ถามว่าเจ้ากรรมนายเวรที่เค้ารอให้เราอุทิศส่วนกุศลนั้น เท่ากับรออนุโมทนาบุญอยู่ใช่ไหม ก็ต้องตอบว่า ใช่ครับ ยกเว้นเค้าจะไม่ยินดีในส่วนบุญที่เราจะให้เค้า แต่ไม่ว่าเค้าจะยินดีหรือไม่ยินดี ก็อุทิศส่วนกุศลให้กับเจ้ากรรมนายเวรไปเถอะครับ เพราะในชาติที่แล้ว เราก็เคยทำบาปทำกรรม มีเจ้ากรรมนายเวร มาในชาตินี้ ถามว่าคุณเคยบี้มด เคยตบยุง อะไรมั้ย หรือทำให้ใครเจ็บช้ำน้ำใจหรือเปล่า ก็ต้องตอบว่า เมื่อเราเกิดมา ที่จะไม่ทำบาปนั้นไม่มี เพียงแต่จะทำบาปเล็กๆน้อยๆ หรือบาปมหันต์ เพราะฉะนั้น เจ้ากรรมนายเวรก็ไม่มีวันหมด ตราบใดที่เรายังต้องมาเกิดอีก จึงเป็นที่มาของบทอุทิศส่วนกุศลที่จะต้องให้เจ้ากรรมนายเวรด้วย เพราะเจ้ากรรมนายเวรเนี่ย เยอะเหลือเกินไง

    ที่คุณถามว่าบุญกับเมตตาเนี่ย จริงๆคุณคงจะสงสัยว่า "การอุทิศผลบุญ กับการแผ่เมตตา "นั้น ต่างกันอย่างไร ....

    การอุทิศบุญนั้น ก็เหมือนกับ เรามีของกินของใช้ เราก็ยื่นของกินของใช้ให้คนอื่นเค้าได้กินได้ใช้ด้วย จะทำอย่างนั้นได้ เราก็ต้องมีเมตตา ถูกมั้ย ถ้าเราไม่เมตตา เราก็ไม่ให้ส่วนของเรา..... ไปให้มันทำไม นั่น เป็นซะอย่างงั้น

    ส่วนการแผ่เมตตาก็เป็นการส่งความปรารถนาดีไปให้กับใครคนใดคนหนึ่งหรือคนรอบข้าง เช่น เราบอกกับเค้าว่า "ขอให้มีความสุขเยอๆนะครับ ขอให้รักษาสุขภาพนะครับ ขอให้รวยๆ นะครับ"
     
  14. hyperz

    hyperz เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    338
    ค่าพลัง:
    +3,421
    มาเพิ่มเติมครับ

    การสวดมนต์ หลังสวดมนต์เสร็จ ใช้เสียงกรวดน้ำได้เลย

    แต่ถ้าใส่บาตร ต้องกรวดน้ำจริงๆ ครับ
     
  15. ถิ่นธรรม

    ถิ่นธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    1,824
    ค่าพลัง:
    +5,398
    บุญเป็นพลังงานชนิดหนึ่งที่ดลบันดาลสิ่งต่างๆให้แก่ผู้ที่เราอุทิศให้ ส่วนกระแสเมตตาก็เป็นพลังงานอีกอย่างหนึ่งที่สร้างตวามชุ่มเย็นให้แก่ดวงจิตของผู้ที่เราแผ่ให้ เวลาเราทำบุญอุทิศส่วนกุศลก็จะเกิดพลังงานทั้งสองอย่างอยู่แล้ว
    เวลาที่เราอุทิศให้แก่สัมภเวสี เมื่อเขาอนุโมทนา บุญก็จะบันดาลให้เกิดสมบัติทิพย์เช่นข้าวปลาอาหาร เสื้อผ้าหรือวิมานแก่ผู้นั้นทันที ต่างจากที่เราอุทิศให้แก่ผู้ที่ยังมีชีวิต บุญจะไม่สามารถดลบันดาลสมบัติทิพย์ใดๆเกิดขึ้น ถ้าผู้นั้น อนุโมทนาบุญที่เราทำ บุญก็จะเกิดที่ดวงจิตของคนผู้นั้น และคอยเวลาที่จะส่งผลในโอกาสต่อไป แต่ถ้าไม่อนุโมทนาก็ไม่ได้บุญ (ยกเว้นบุญบวช ที่พ่อแม่ได้รับทันทีแม้ไม่ได้อนุโมทนา เพราะบุญแรงมากๆ)
    ผู้ที่อยู่ในโลกวิญญาณจะซึ้งในเรื่องของบุญและบาปมากกว่าตอนเป็นมนุษย์ เพราะเห็นผลกับตัวเองแล้ว เวลาทำบุญให้จึงรีบอนุโมทนาทันที (แต่ถ้าอยู่นอกศาสนาพุทธ ไม่เคยเรียนรู้เรื่องบุญบาปและการอนุโมทนาก็ทำไม่เป็น แต่บุญก็เกิดเหมือนกันแต่น้อยกว่า คือมันจะไปแว๊บที่กาย ก็รู้สึกดีและชอบแต่ทำไม่ถูก) ซึ่งต่างจากมนุษย์ที่ไม่เห็นบุญบาปด้วยตาจึงไม่ค่อยสนใจเวลาที่บอกให้อนุโมทนา
     
  16. Bellevue

    Bellevue Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    12
    ค่าพลัง:
    +88
    ชอบกระทู้นี้มากๆค่ะ ตรงกับที่ใจสงสัยมานานเลย ตอนนี้ก็หายข้องใจแล้ว

    แต่คำถามในใจของเราก็ยังมีต่อ คือ บางทีเราก็อยากรู้ว่าที่เราทำบุญอุทิศให้ไปนั้น เจ้ากรรมนายเวรเราได้รับบ้างมั้ย เราทำถูกวิธีมั้ย ถ้าเค้าไม่ได้รับเราจะได้ปรับเปลี่ยนวิธี
     
  17. ying_tuy

    ying_tuy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    277
    ค่าพลัง:
    +1,120
    อ่านแล้วเข้าใจตามไม่ต้องคิดนาน เพราะหลงทำแบบผิดๆ อยู่นาน คราวนี้เข้าใจแล้ว อนุโมทนา สาธุๆ
     
  18. khomeraya

    khomeraya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +21,369
    คุณถามมา 2 ประเด็น ขอตอบประเด็นที่สองก่อน เพราะประเด็นแรกต้องอธิบายยาว

    คำถามที่คุณถามว่า

    1 เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเราทำถูกวิธีมั้ย

    ในข้อนี้ จริงๆแล้ว การที่เราอุทิศส่วนกุศลให้เค้าไม่ว่าจะเป็นการกรวดน้ำหรือไม่ได้กรวดน้ำ เพียงแค่นึกอยู่ในใจว่าขออุทิศส่วนกุศลให้เค้า ก็ถือว่าเป็นการทำถูกวิธีทั้งนั้น เพราะสาระสำคัญของการอุทิศส่วนกุศลก็คือ จิตที่คิดจะให้ผลบุญผลกุศล และได้ส่งผลบุญนั้นไปให้แล้วด้วยกำลังใจที่นึกถึงผู้ที่เราจะให้ส่วนบุญนั้น

    อย่างไรก็ตาม คำว่า "ถูกวิธี" กับ "ถูกใจ" นั้นต่างกัน คำว่าถูกใจในที่นี้ คือ ถูกใจเจ้ากรรมนายเวร สมมติว่าเราไปถวายสังฆทานที่วัดๆหนึ่ง ทำเพียงครั้งเดียว แล้วอุทิศให้กับเจ้ากรรมนายเวร แต่ชาติที่แล้วเราฆ่ายกครัวเจ้ากรรมนายเวร ถามกลับว่า ถ้าเราเป็นเจ้ากรรมนายเวร เราจะยอมรับบุญสังฆทานนั้นมั้ย ? ซึ่งก็เทียบไม่ได้กับความแค้นที่มีอยู่ในใจเลย

    เพราะฉะนั้น แม้เราจะอุทิศส่วนกุศลไปให้ แต่บางกรณีเจ้ากรรมนายเวรไม่ยอมรับ คืออยู่ในวิสัยที่จะอนุโมทนาได้ แต่ไม่ยอมโมทนา เพราะเห็นว่าบุญนั้นเล็กไป เจ้ากรรมนายเวรต้องการบุญใหญ่กว่านั้น บุญใหญ่ก็เช่น การบวชพระ การสร้างพระพุทธรูป เคยได้ยินเรื่องเล่าที่หลวงปู่หลวงตาท่านต่อชีวิตให้กับลูกศิษย์ลูกหา โดยการต่อรองกับเจ้ากรรมนายเวรว่า ถ้าหายจากโรคภัยไข้เจ็บ ลูกศิษย์จะบวชพระอุทิศส่วนกุศลให้กับเจ้ากรรมนายเวรมั้ย นั่นแหละเป็นตัวอย่างที่ดีเลยสำหรับกรณีที่เจ้ากรรมนายเวรบางรายต้องการบุญใหญ่จริงๆ

    แล้วเราจะทราบได้อย่างไรว่าเจ้ากรรมนายเวรต้องการให้เราทำบุญแบบไหน ตรงนี้ค่อนข้างจะลำบาก เพราะเราไม่รู้ว่าใครที่สามารถติดต่อกับเจ้ากรรมนายเวรได้ ไม่ขอแนะนำให้ไปเสาะแสวงหาหมอดู ตำหนักทรงเจ้าอะไรต่างๆเหล่านี้ เหตุผลเพราะว่ากลัวจะโดนหลอก คือ ต้องบอกว่า เรื่องอย่างนี้คนที่เป็นของจริงนะมี คนที่เค้าช่วยแบบไม่หวังอามิสสินจ้าง ไม่ต้องการผลตอบแทนใดๆทั้งสิ้น หวังเพียงการสร้างบารมี แต่ก็อย่างที่บอกนั่นแหละ เค้าไม่ค่อยมาเปิดเผยตัว เพราะฉะนั้น อย่าไปเสาะแสวงหาเลย ดีไม่ดี ไปเจอถูกหลอก ก็ไปกันใหญ่

    แล้วจะทำอย่างไร ก็ต้องอุทิศส่วนกุศลให้กับเจ้ากรรมนายเวรบ่อยๆ ทำทุกวันๆ บุญเล็กบุญน้อย บุญใหญ่ต่างๆที่เราทำ ไม่ว่าจะเป็นทาน ศีล ภาวนา ก็อุทิศส่วนกุศลให้กับเจ้ากรรมนายเวร เหมือนเราตื๊อเค้านะ สักวันเค้าก็ใจอ่อน นั่นแหละเป็นวิธีที่ดีที่สุด

    2 เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเจ้ากรรมนายเวรได้รับมั้ย

    ข้อนี้ให้สังเกตว่าทุกขเวทนา ปัญหาต่างๆอะไรเหล่านี้ทุเลาเบาบางลงหรือยัง ซึ่งเราก็ต้องวินิจฉัยให้ได้ว่า เกิดจากเจ้ากรรมนายเวรหรือเกิดจากการกระทำในปัจจุบันของเรา คือไม่อยากให้เอะอะอะไรก็โทษเจ้ากรรมนายเวร แต่ก็ไม่อยากจะให้มองว่าโอ๊ย ไม่เกี่ยวอะไรกับเจ้ากรรมนายเวรหรอก คือจะต้องมีวิจารณญาณนะครับ พูดยาก เรื่องวิจารณญาณเนี่ย ไม่รู้จะบอกเป็นหลักแบบเป๊ะๆยังไง แต่ก็น่าจะเป็นแนวทางว่า รู้ว่าอะไรควรไม่ควร รู้ว่าอะไรถูกไม่ถูก .... ฟังดูเหมือนง่ายนะ ?

    บางกรณีเจ้ากรรมนายเวรที่เค้าตามถึงตัว คือเค้าได้โอกาสเล่นงานเรา เค้าก็จะทำให้เกิดโรคนั่นโรคนี่ ยกตัวอย่างเช่น โรคมะเร็ง ทำไมคนที่อยู่ในสภาพแวดล้อมเดียวกับเรา กินนั่นกินนี่ กินเป็ดกินไก่ ก็เหมือนๆกับเรา แถมยังเครียดกว่าเราด้วย แต่เอ๊ะ ทำไมเค้าไม่เป็นโรคมะเร็ง แล้วทำไมเราเป็น .... มันก็น่าคิดนะ แต่ก็ไม่ต้องไปปวดหัวหาสาเหตุมันหรอก ก็พยายามรักษาทางแพทย์แผนปัจจุบันด้วย แล้วก็รักษาทางธรรมด้วย ควบคู่กันไป ไม่ใช่ว่าเราปฏิบัติธรรม งั้นไม่ไปหาหมอแล้ว อย่างนั้นก็ถือว่าเป็นการขาดวิจารณญาณ ถูกมั้ย

    แต่ก็มีบางท่านที่ใช้ธรรมโอสถรักษามะเร็งให้หายขาดได้ โดยไม่ไปหาหมอ ซึ่งท่านเป็นแม่ชีนะครับ แต่ผมไม่ทราบชื่อจริงๆ ว่าชื่ออะไร และไม่ทราบว่าอยู่ที่ไหน แต่ได้ยินเรื่องมาว่า ท่านใช้วิธีนั่งสมาธิ ไม่กินข้าว ดื่มน้ำแทน เซลล์มะเร็งไม่ได้รับอาหารก็เลยตาย ..... รู้มาเพียงแค่นี้ รายละเอียดมากกว่านี้ ผมไม่ทราบ และผมก็เชื่อว่าเป็นเรื่องจริง แต่ไม่ขอบอกเหตุผลว่าทำไมถึงเชื่ออย่างนั้น เพราะเรื่องบางเรื่องเปิดเผยได้ เรื่องบางเรื่องก็ไม่สามารถเปิดเผย
    จากตัวอย่างของแม่ชีข้างต้น ย้อนกลับมาถามว่า เราๆท่านๆจะทำอย่างแม่ชีได้มั้ย ? เพราะฉะนั้นถึงบอกว่าต้องรักษาทางแพทย์ควบคู่ไปด้วย กับการรักษาด้วยธรรมโอสถ ก็คือ การแผ่เมตตา การอุทิศส่วนกุศล การนั่งสมาธิ

    เพราะฉะนั้น ขอสรุปว่า จะรู้ได้ว่าเจ้ากรรมนายเวรอโหสิกรรมให้กับเราหรือไม่นั้น ต้องวินิจฉัยก่อนว่า สิ่งที่เกิดขึ้นกับเรา เกิดจากเจ้ากรรมนายเวรหรือไม่ หรือเป็นการกระทำของเราเอง ไม่เกี่ยวกับเจ้ากรรมนายเวรที่ไหนทั้งสิ้น

    ถ้าเป็นผลจากเจ้ากรรมนายเวร หลังจากที่เราอุทิศส่วนกุศลให้ เรื่องเลวร้ายๆต่างๆ ก็ทุเลาเบาบางจนกระทั่งหายไปในที่สุด อย่างนี้ก็เรียกว่าเจ้ากรรมนายเวรอโหสิกรรม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 พฤษภาคม 2010
  19. kathi99

    kathi99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 เมษายน 2010
    โพสต์:
    61
    ค่าพลัง:
    +186
    ขอบคุณมากน่ะค่ะ ทุกท่านเลย เป็นคำถามที่ดิฉันสงสัยมานานมากแล้วค่ะ คือทำบุญบ่อยแต่ไม่เคยใส่ใจกับเรื่องนี้เลยค่ะ แต่พอชีวิตมีปัญหา ก็เลยอยากจะเข้าใจธรรม ให้มากขึ้นมาก เผื่อเรื่อง ร้าย ๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตตอนนี้ จะได้เบาบางลง ขออนุโมทนา กับทุก ๆ ท่านเลยน่ะค่ะ
     
  20. khomeraya

    khomeraya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +21,369
    มีอีกตัวอย่างหนึ่งที่ผมเผอิญเข้าไปรับรู้เหตุการณ์นั้นด้วยตัวเองว่าเจ้ากรรมนายเวรอโหสิกรรม

    เมื่อประมาณปีที่แล้ว ได้ไปทางภาคเหนือ ก็มีรถตู้ 2 คัน และได้ไปกราบครูบาอินตา ที่จังหวัดลำพูนก่อนที่ท่านจะมรณภาพเพียง 3 เดือน ตอนกลางคืน ก็เข้าที่พักที่จังหวัดเชียงราย ผมนอนห้องเดียวกับคนขับรถตู้ เค้าก็เล่าให้ฟังว่า " พี่ๆ ตอนที่ผมเข้าไปกราบครูบา (เค้าเข้าไปกราบเป็นคนสุดท้าย) ครูบาท่านผูกข้อมือให้กับผม (ท่านก็ผูกข้อมือทุกคนนะครับ แต่ของนายคนนี้มีแปลก) พอผูกเสร็จ ท่านรั้งไว้ถึง 3 ครั้ง แล้วท่านมองผ่านผมไป ท่านก็ถามว่า "อยู่ไหน ๆ ๆ" แต่เหมือนท่านไม่ได้ต้องการคำตอบจากผมนะครับ แล้วท่านก็ให้เหรียญมาด้วยเหรียญหนึ่ง (เหรียญที่ว่านี้ เป็นเหรียญของครูบา รถคันของผมไม่มีใครได้เลย ยกเว้นคนขับรถ)" พอผมฟังปุ๊ป ก็นึกในใจว่า เอาแล้วงานนี้ ก็ได้ไปปรึกษากับคณะ ก็มีความเห็นว่า เดี๋ยวพรุ่งนี้จะไปห่มผ้าพระธาตุจอมกิตติที่เชียงแสน แล้วเรามีพระพุทธรูปไปด้วย ก็ไปถวายพระพุทธรูปต่อหน้าองค์พระธาตุแล้วกัน

    ผมก็ให้คนขับรถบูชาพระพุทธรูป คือ เค้าจะให้เงินมาเท่าไหร่ก็ได้เป็นการบูชาพระพุทธรูป บุญนั้นจะได้เป็นของเค้า พอไปถึงพระธาตุจอมกิตติปุ๊ป ผมกับคนขับรถก็เดินตรงดิ่งไปที่พระธาตุจอมกิตติเลย ส่วนคนอื่นยังไม่ทันขึ้นมา
    ผมก็บอกคนขับรถว่า เอ้า ว่าตามผม "ข้าแต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระอริยสงฆ์ทั้งหลาย พระสงฆ์ทั้งหลาย ข้าพเจ้าขอถวายพระพุทธรูปนี้แด่พระสงฆ์ทั้งหลาย ขอพระสงฆ์ทั้งหลายจงรับ พระพุทธรูปนี้ เพื่อประโยชน์ เพื่อความสุข ของข้าพเจ้าเทอญ" ความหมายคือ ให้เค้าเป็นคนถวายนั่นแหละ แต่เค้าอาจจะกล่าวไม่เป็น ก็เลยให้พูดตาม แล้วผมก็กำหนดจิตต่อหน้าองค์พระธาตุว่า ด้วยผลบุญที่ข้าพเจ้าได้สั่งสมมา ข้าพเจ้าขออุทิศส่วนกุศลของข้าพเจ้าให้กับเจ้ากรรมนายเวรของนาย.... ขอให้เจ้ากรรมนายเวรของนาย.... อโหสิกรรมให้กับคนๆนี้ด้วยเทอญ"

    พอถวายพระพุทธรูปเรียบร้อย คณะที่เหลือก็เดินมาพอดี หลังจากที่ทุกคนไหว้พระธาตุเสร็จ ก็ถึงตอนห่มผ้าพระธาตุ ผู้หญิงอยู่ข้างนอก ส่วนผู้ชายเข้าไปที่ฐานของพระธาตุ ช่วยกันห่ม พอห่มเสร็จ เจ้าคนขับรถก็เดินมาบอกผมว่า "พี่ๆ ผมไม่รู้เป็นอะไร ตอนห่มผ้าพระธาตุ ผมยิ้มแบบไม่หุบเลย ยิ้มแบบบังคับตัวเองไม่ได้ จนกระทั่งพี่อีกคนแซวผมว่า เฮ้ย เมิงยิ้มทำบ้าอะไรวะ"

    เท่านั้นเอง ผมก็สันนิษฐานได้ว่า เจ้ากรรมนายเวรของเค้าอโหสิกรรมแล้วละ แล้วตอนกลับแวะไหว้พระพุทธชินราชที่พิษณุโลก เดินกันไปสามคนที่ลานจอดรถ แล้วก็คนขับรถคนนี้เจอแบงค์ 50 หล่นอยู่กลับพื้น ผมกับอีกคนไม่เห็นเลยนะ ก็แปลกดีเหมือนกัน

    แต่จากเรื่องที่กล่าวมา ก็เป็นตัวอย่างหนึ่งที่แสดงให้เห็นว่าเจ้ากรรมนายเวรอโหสิกรรม ซึ่งตอนแรกไม่มีใครรู้ จนกระทั่งครูบาอินตาท่านทัก แล้วก็เป็นโชคดี เพราะถ้าคนขับรถไม่เล่าให้เราฟัง ก็ไม่มีใครรู้อีก แล้วใครจะไปรู้ เกิดขับรถไป แล้วมีอะไรขึ้นมา ทางขึ้นเขามีเยอะด้วย ทางเหนือนะ..... ไม่อยากคิด ก็เรียกว่าบุญยังมีอยู่
     

แชร์หน้านี้

Loading...