พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    การเดินรังสีจิตในพระเครื่อง หรือ ศิลปการใช้พระเครื่อง


    ปรัศนี ประชากร (เขียนเมื่อ ปี พ.ศ. 2525)<O:p</O:p
    ลิขสิทธิ์ ท่านอาจารย์ประถม อาจสาคร<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    พระเครื่องเป็นอิทธิวัตถุที่นิยมฝังใจกันมาช้านาน บางคนถือเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับชีวิต จะขาดเสียมิได้ หากวันใดลืมแขวนพระจิตใจจะไม่สบายคล้ายขาดความสมบูรณ์ในจิตใจ ยิ่งเคยผ่านอุปสรรค และประสบการณ์มาแล้วยิ่งรักหวงแหนปานแก้วตา ปัจจุบันพระเครื่องรุ่นเก่าเป็นของหายากจะหาเช่าซื้อกันแต่ละองค์ก็ต้องจ่ายกันอย่างแรงน่าใจหาย กระนั้นยังมีคนใจถึงกล้าสู้ราคาขอให้ถูกใจเป็นสู้ ใครจะเคยคิดบ้างว่าเหรียญหลวงพ่อกลั่น วัดพระญาติการามจังหวัดอยุธยาราคาเดิมทำบุญเพียงเหรียญละ 1 บาทหากงามไม่มีที่ติมีคนกล้าสู้ราคาถึงเหรียญละ 50,000 บาท พระสมเด็จวัดระฆังราคาเช่าซื้อกันใต้โคนมะขาม สมัยก่อนราคาเพียงองค์ละ 40 บาท ต่อมาราคาเหยียบเรือนแสน ถ้าประกวดชนะรางวัลที่หนึ่ง 300,000 – 400,000 เจ้าของพระยังไม่อยากพูดด้วย มันก็ราคารถยนต์นั่งอย่างชนิดดีแหละครับ คนจนไหนจะกล้าใฝ่ฝัน นี่ผมไม่ได้อธิบายถึงฮั่งเซ้งพระนะครับ เพราะไม่มีอาชีพในทางนี้ รู้สึกว่าราคาพระเครื่องมีแต่รุดหน้าไม่มีทีท่าว่าจะตกลงเลย เพราะของฝืดลง ค่าน้ำเงินเสื่อมตัว จึงเกิดการอนุรักษ์พระเครื่องในลักษณะต่าง ๆ กัน ที่หวงมากและมีเงินก็หาเช่าตู้นิรภัยจากธนาคารพาณิชย์เป็นที่ฝากเก็บเพื่อความปลอดภัยบางคนไม่ยอมฝากลงทุนสร้างกุฏิทองคำให้หลวงพ่อปะเหมาะแถมฝังเพชรให้ด้วยซ้ำ การดีซายน์แบบเต็มไปด้วยความวิจิตร พิสดารทันสมัย ตลับพระนางพญา พิษณุโลก จะประดิษฐ์ลักษณะให้โค้งเพื่อความชัดเจนขององค์พระและมีรองในบังคับให้อยู่ที่ รูปเหรียญพระคณาจารย์ก็มีการเลี่ยมเพื่อรักษาสุนทรียภาพให้คงทนถาวรสืบไป ราคาพระเครื่องและเหรียญพระคณาจารย์ จะสูงต่ำย่อมเกี่ยวกับความคมชัดเจน<O:p</O:p
    การใช้พระเครื่องในสมัยก่อนถือว่าไม่มีราคาค่างวดสูง ไม่มีการประกวดนิยมใช้พก อม คาดแขนหรือถักลวด เลี่ยมเปิดเรียกว่าพระเจ้าเปิดโลก ที่เป็นรูปเหรียญก็ใช้แขวนกันโทน ๆ แขวนกันจนห่วงหยุดหายไปก็มีมาก ยิ่งเป็นพระเนื้ออ่อน เช่น พระตะกั่วสนิมแดงถ้าถูกถักด้วยลวดและใช้แขวนไปนาน ๆ ลวดจะกัดเนื้อพระจมกร่อนไม่มีวันจะลบหายได้ รู้สึกเป็นที่น่าเสียดายการทะนุถนอมองค์พระนี้มีการระมัดระวังไม่ค่อยยอมให้ชมกันง่าย ๆ เกรงเกิดการพลาดพลั้งตกหล่น เกรงนักเลงเก่าเล่ายี่ห้อนำพระไปเช็ดเหงื่อทดลองเงาสว่างทำให้พระเสียผิวเดิม มีเรื่องเกิดที่สนามพระคือแทนที่จะส่องด้วยแว่นขยายกลับใช้นิ้วขัดองค์พระเล่น นิสัยเช่นนี้มักเป็นสิ่งเคยชินและติดตัวเป็นที่น่ารังเกียจของสังคม บางทีเคยถามว่าขัดแล้วมีอะไรเกิดขึ้น ก็ตอบไม่ได้ บอกว่าขัดไปอย่างนั้นเอง ให้ชมพระสนิมแดงก็ขัดดูเพราะเคยนิสัย ต่อไปใครจะคบหาด้วย อย่างรายที่สนามพระ เจ้าของพระโดดเข้าชกหน้าทันที และเจอหน้าทีไรตรงเข้าไปชกที่นั่น เพราะความแค้นเคืองที่มืออยู่ไม่สุขไปขัดพระสมเด็จฯ องค์โปรดเข้า ท่านเจ้าคุณชลประทานธนารักษ์ นักพระเครื่องอาวุโสเคยเล่าให้ฟังว่า สมัยก่อนสนามพระอยู่ที่วัดเชิงเลนคือวัดบพิตรพิมุขปัจจุบัน วันหนึ่งท่านนำพระร่วงสนิมแดงออกโชว์ พระร่วงองค์นี้ท่านกล้าเสี่ยงโดยนำเพชรน้ำหนัก 3 กะรัตแลกมา ท่านขุนนักเลงพระผู้หนึ่งรับไปดูพร้อมกับควักตะไบ ซึ่งพกติดกระเป๋าทำท่าจะตะไบเนื้อพระดู ท่านเจ้าขุนร้องห้ามเสียงหลงโมโหจนหน้าเขียวคล้ำถลกผ้าม่วงจะเตะตาขุนบัดซบเสียให้ได้ นี่แหละครับเล่นพระก็ทุกข์เพราะพระ โกรธกันไปไปมากรายแล้ว<O:p</O:p
    ทีนี้ผมจะพูดถึงการใช้พระเครื่อง รู้สึกว่าส่วนมากยังไม่รู้จักวิธีการใช้พระเครื่องใช้วิธีตามกันไป สมัยแห่งพลาสติกเฟื่องราคาค่างวดในการอัดพระก็ย่อมเยาว์กว่าการจะไปเลี่ยมเงินเลี่ยมทอง รอเดี๋ยวเดียวก็ได้ใช้ บางคนสงสัยถามผู้ตอบปัญหาพระเครื่องก็ยืนยันทุกครั้งว่าไม่เป็นไรใช้ได้ ผู้ตอบปัญหาจะกล่าวยืนยันหนักแน่นว่าหลวงปู่โต๊ะวัดประดู่ฉิมพลี เคยกล่าวว่าไม่มีสิ่งใดจะมากั้นรังสีจิตได้ แม้มีภูเขามาขวางกั้นถึง 300 ลูก รังสีจิตยังสามารถผ่านได้สบายมาก นั่นเป็นการปล่อยรังสีจากผู้ทรงฌาน ผิดกับการแผ่รังสีจากพระเครื่อง เครื่องอัดเทปกับม้วนเทปมันคนละเรื่อง สภาพมันไม่เหมือนกัน อย่าว่าแต่หลวงปู่โต๊ะเลย แม้เจ้าประคุณสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ เจริญ ญานวร ท่านก็กล่าวเช่นนั้น แต่มันอาจเป็นคนละแง่มุม<O:p</O:p
    ประเทศในยุโรปได้ชื่อว่าเป็นสถาบันศึกษาค้นคว้าในด้านวิทยาศาสตร์ แต่ก็มีการก่อตั้งสมาคมค้นคว้าเกี่ยวกับวิญญาณอย่างกว้างขวาง มีการทดลองจับตัววิญญาณโดยสร้างตู้กระจกพิเศษขึ้นแล้วนำคนเจ็บใกล้จะสิ้นใจไปขังไว้ในตู้กระจกนั้น เพื่อรอดูผลของการพรากวิญญาณจากกายเนื้อโดยผู้ทดลองไม่เคยทราบวิญญาณเป็นกายทิพย์ ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า เมื่ออยากจะเห็นก็เห็นเหมือนกันคือ ปรากฏเป็นแสงสีเขียวเรืองออกมาจากรูจมูกของคนไข้ลอยวนเวียนอยู่ภายในตู้กระจก พยายามจะหาทางออก แต่ก็ออกไม่ได้เพราะติดกระจก ที่สุดก็กลับคืนเข้าไปในรูจมูกของคนไข้อีก และอยู่ในลักษณะออก ๆ เข้า ๆ บัดเดี๋ยวคนไข้ก็ฟื้นบัดเดี๋ยวก็เงียบสลับกันไปจนที่สุดรออยู่ไม่ได้แสงเขียวเรืองก็ดันกระจกจนเกิดการระเบิดออกไป คนไข้จึงตายสนิท<O:p</O:p
    <O:p</O:p


    ท่านอาจารย์ประถม อาจสาครสงวนลิขสิทธิ์
    (เป็นความเชื่อ – ความคิดเห็นส่วนบุคคล(ของคณะลูกศิษย์ของท่านอาจารย์ประถมอาจสาครท่านผู้อ่านอ่านแล้วก็แล้วแต่วิจารณญาณของแต่ละบุคคล)

    หมายเหตุ ผมได้รับอนุญาตจากท่านอาจารย์ประถม อาจสาคร ในการนำบทความนี้มาลงในกระทู้พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร(คณะโสณะ-อุตระ) เรียบร้อยแล้ว หากท่านใดจะนำไปลงในเว็บต่างๆ ให้ขออนุญาตจากท่านอาจารย์ประถม อาจสาครก่อนครับ

    http://palungjit.org/threads/พระวัง...โลกอุดรเสก-ถ้าต้องการที่จะได้.22445/page-1924<O:p</O:p
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 มิถุนายน 2010
  2. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    การเดินรังสีจิตในพระเครื่อง หรือ ศิลปการใช้พระเครื่อง
    พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

    หมายเหตุ ผมได้รับอนุญาตจากท่านอาจารย์ประถม อาจสาคร ในการนำบทความนี้มาลงในกระทู้พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร(คณะโสณะ-อุตระ) เรียบร้อยแล้ว หากท่านใดจะนำไปลงในเว็บต่างๆ ให้ขออนุญาตจากท่านอาจารย์ประถม อาจสาครก่อนครับ<O:p</O:p<!-- google_ad_section_end -->

    การเดินรังสีจิตในพระเครื่อง หรือ ศิลปการใช้พระเครื่องตอนที่ 2<O:p</O:p

    ปรัศนี ประชากร (เขียนเมื่อ ปี พ.ศ. 2525)<O:p</O:p
    ลิขสิทธิ์ ท่านอาจารย์ประถม อาจสาคร<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    จิตเป็นธาตุกายสิทธิ์ลี้ลับและมหัศจรรย์ ผู้ที่ฝึกจิตสามารถจะใช้ให้ทำประโยชน์อย่างพิสดาร เช่น จิตที่ฝึกฝนจนบรรลุขั้นทิพยจักขุญาณ ย่อมจะมีคุณสมบัติยิ่งกว่ากล้องส่องทางไกล สามารถมองเห็นภาพกายเนื้อแบบดาวเทียมแต่ยังเก่งกว่าดาวเทียมคือดาวเทียมไม่สามารถบันทึกภาพใต้พิภพแต่จิตทำได้ จะเป็นตอไม้ วัตถุธาตุที่ฝังจมอยู่ใต้ดินเห็นหมด เจ้าประคุณสมเด็จพุฒาจารย์ โต พรหมรังสี สามารถเห็นสิ่งฝังในดินลึกประมาณ 1 วา โดยอัตโนมัติมิต้องอาศัยการเพ่งด้วยอำนาจฌานท่านมักไปที่วัดกุฎีดาว จังหวัดอยุธยาบ่อย ๆ เพื่อค้นทรัพย์แผ่นดินมาบูรณะถาวรวัตถุในพระพุทธศาสนา ท่านนั่งอยู่วัดระฆังไฟไหม้ที่เมืองเพชรบุรีท่านก็เห็น หลวงพ่อธมมวิตกโกนั่งอยู่ที่วัดเทพศิรินทร์ ไฟไหม้เมืองอังกฤษก็เห็น ท่านฤาษีสัตจิตนั่งจากเขาสวนกวาง จังหวัดขอนแก่นมองข้ามทวีปถึงประเทศอังกฤษและยังมองดูใต้ดินลึก 9 เมตรโดยศิษย์ผู้หนึ่งมีจดหมายมาเรียนว่า บ้านพักที่ประเทศอังกฤษอยู่ไม่เป็นสุขขอให้ช่วยตรวจดู ปรากฏว่าเห็นโครงกระดูกฝังซับซ้อนกันอยู่ถึง 3 ชั้น ท่านให้รื้อพื้นตึกและขุดกระดูกไปฝังที่สุสานจะอยู่สบาย และก็ถูกต้องทุกประการ เช่นนี้เขาเรียกว่านั่งทางในสามารถเห็นกายหยาบ ยิ่งไปกว่านั้นยังสามารถดูกายทิพย์ซึ่งมีความละเอียดแตกต่างกัน เช่นกายมนุษย์ละเอียด กายเทพละเอียด กายพรหมละเอียด กายพระโสดาละเอียด กายพระสกิทาคาละเอียด กายพระอนาคามีละเอียด กายพระอรหันต์ละเอียด ดวงตาของท่านผู้ทรงฌานย่อมจำแนกไปตามชั้นภูมิและวาสนาบารมีคือ ตาใน ตาทิพย์ ตาแก้ว ตาพุทธะ จิตมีคุณลักษณะแบบคลื่นส่งวิทยุทางไกลคือสามารถสนทนากันในระยะทางไกล และรู้เรื่องชัดเจนเหมือนคุยกันธรรมดา สงสัยว่าอาจเห็นหน้ากันเพราะแต่ละท่านล้วนได้ทิพยจักขุญาณ ท่านฤาษีสันตจิตเคยเล่าให้ฟังว่าวิชาของพระพุทธองค์ต้องทดลองตามคัมภีร์ กาละมะสูตร ท่านกำหนดให้คณะศรัทธาไปนั่งรวมกลุ่มกันห่างจากท่าน 8 กิโลเมตรท่านเทศนาให้ฟังแล้วมาสอบดูปรากฏว่าทุกคนได้ยินเสียงท่านชัดเจนดี ตามหลักของตะโมภิกขุกล่าวว่าเป็นการส่งเสียงทางลมปราณ จิตเป็นมโนมยิทธิคือการแสดงฤทธิ์ทางใจสามารถถอดกายทิพย์จากกายเนื้อได้นิยมเรียกระหว่างผู้ปฏิบัติธรรมว่า การเดินกาย ในสมัยพุทธกาลพระพุทธองค์ทรงถอดพระวรกายทิพย์ไปโปรดพระองคุลิมาน ซึ่งจะกระทำมาตุฆาตอันเป็นอนันตริยะกรรม สิ้นโอกาสจะบรรลุมรรคผลนิพพาน เป็นผลสำเร็จ สมัยปัจจุบันหลวงพ่อโอภาสีถอดกายทิพย์ไปเที่ยวประเทศอินเดีย หลวงพ่อธัมมวิตตโก ถอดกายทิพย์ไปเยี่ยมคนไข้ที่ประเทศอเมริกา ฤาษีแถบภูเขาหิมาลัยถอดกายทิพย์ไปสนทนากับโปรเฟรสเซอร์ที่ประเทศอังกฤษ อาจารย์ของผมท่านหนึ่งเคยทดลองถอดกายทิพย์ออกบิณฑบาต ท่านนำบาตมาตั้งตรงหน้าแล้วเข้าสมาบัติว่าเดินไปรับบิณฑบาต เห็นมีอาหารในบาตรและแกล้งถามญาติโยมก็ยืนยันว่าท่านลงจากเขาไปบิณฑบาต จิตสำเร็จเจโตปริยญาณ ผมทดลองมา 3 ครั้ง ครึ่งหนึ่งที่อำเภอบ้านแพง จังหวัดนครพนม ผมกับหญิงสาวคนหนึ่งซึ่งนับถือเสมือนพี่ ช่วยกันถ่อเรือจะไปหาหลวงพ่อหวาเพื่อซักถามข้อธรรมบางประการคือ วิชาสามกับพระนิพพาน ระยะทางห่างวัดประมาณ 5 กิโลเมตรพอกราบท่าน ๆ ก็อธิบายเสร็จ ทำเอาเราหันมองหน้ากัน ท่านกล่าวว่าขนาดนี้ยังไม่เก่งระยะ 5-6 กิโลเมตร ทราบว่าใครจะมาหา หญิงกี่คนชายกี่คน ถ้าคิดว่าตัวเก่งต้องสอบตกแน่ ต่อมาผมลองดูระยะ 100 กิโลเมตรกับหลวงพ่อฝั้นอาจาโร คือตั้งใจจะนำภัตตาหารไปถวายหลวงพ่อและพระเณร ระยะทางจากสกลนครถึงวัดที่ท่านพำนักประมาณ 100 กิโลเมตร เกรงรถวิ่งไม่ทันเลยบอกว่าหลวงพ่อนิมนต์ก่อน ขณะนั้นพระเณรเตรียมกระทำภัตกิจแล้ว หลวงพ่อห้ามว่าอย่าเพิ่งฉัน รออยู่ประมาณครึ่งชั่วโมง พระเณรนั่งงง หลวงพ่อคอยผมคนเดียวจริง ๆ ครั้งที่สามทดลองกับหลวงพ่อ ธัมมวิตตโก ยอดจริง ๆ ครับ ใช้วิธีเรียกชื่อในใจในระยะไกล ท่านหันขวับทันที่ ลองใหม่ก็เป็นเช่นนั้น ต้องเข้าไปกราบท่าน ท่านยิ้มด้วยความปราณี ของจริงต้องพิสูจน์ได้ แต่ที่ร้ายกว่านั้นระยะทางจากวัดป่าอุดมสมพรกับกรุงเทพฯ มันใกล้อยู่เมื่อไร มีศรัทธาที่กรุงเทพฯ จะทำบุญบ้าน พอได้เวลาสามทุ่มก็รำลึกถึงว่าลืมนิมนต์หลวงพ่อฝั้นและก็ไม่ทันเสียแล้ว รุ่งเช้าหลวงพ่อมาถึงแต่ 6 โมงเช้า ไม่ทราบว่าโดยสารยานวิเศษอะไรมาและเรื่องหลวงพ่อออกจากวัดนั้นดังที่สุดใคร ๆ จะต้องรู้กันและกรุงเทพฯ จะต้องมีผู้ไปรับกันอย่างครึกครื้น เรื่องนี้เคยออกอากาศ ความจริงเป็นกายทิพย์ต่างหาก มิฉะนั้นรับรองว่าเป็นการเดินกายเนื้อ เพราะผู้ที่สำเร็จเพียงอภิญญา 5 นั้นสามารถจะกระทำฤทธิ์เหาะเหินเดินฟ้าได้ บันทึกตอนหนึ่งของท่านอาจารย์บุญนาค โฆโส สายพระอาจารย์มั่นเรื่องเที่ยวธรรมฐาน บันทึกไว้ว่า ขณะที่ยังเป็นสามเณรได้ธุดงค์ไปพบกับพระภิกษุหนุ่ม เป็นพระภิกษุทางจังหวัดหลวงพระบาง อยู่ได้ 25 พรรษา พอมาถึงริมฝั่งแม่น้ำโขง ท่านสาธุวันดี ก็เดินข้ามแม่น้ำโขงไปเฉิบ ๆ ท่านต้องนั่งมองอยู่ริมฝั่งน้ำเพราะไม่มีวิชาบุกน้ำข้ามธาร อีกตอนหนึ่งท่านได้เดินทางอย่างเหน็ดเหนื่อยยังหาที่ปักกรดเหมาะสมไม่ได้จึงด้นดั้นขึ้นภูเขา ขณะนั้นประมาณสี่ทุ่มแล้ว พอนั่งลงพักเหนื่อยเห็นพระภิกษุชรารูปหนึ่งเหาะลอยลงมาบนบ่าหาบผลมะเดื่อเต็มหาบ พอเห็นพระอาจารย์บุนนาค ก็ชวนฉันผลมะเดื่อ พระอาจารย์บุญนาคปฏิเสธเพราะเป็นเวลาวิกาล และถามไปว่าคนหรือผี ภิกษุชราตอบว่าไม่ใช่ผีเป็นพระ รอสักพักท่านก็กล่าวลา พระอาจารย์บุนนาคถามว่าจะไปที่ใด พระภิกษุชราตอบว่า จะเที่ยวไปในจักรวาล ว่าแล้วหาบผลมะเดื่อเหินฟ้าลับสายตาไปท่ามกลางความสลัวอ้างว้างของแสงจันทร์ สักพักเป็นงูใหญ่ตรงเข้าวัดพระอาจารย์บุนนาคใช้หางจี้ตามรักแร้ไม่ทำอันตรายแล้วงูก็หายไป (ความจริงผลไม้นั้นเป็นยาอายุวัฒนะชนิดหนึ่ง ท่านทราบว่าพระอาจารย์บุนนาค มีอายุสั้นจึงนำไปให้แต่พระอาจารย์บุนนาคไม่มีวาสนาเอง) หลวงปู่องค์นี้อายุยืนกว่า 200 ปี เรียกกันว่าหลวงปู่ดำ น่าจะเป็นอาจารย์ของท่านอภิชิโตภิกขุ อำนาจจิตนี้หากบรรลุขึ้นแล้วสามารถที่จะอธิษฐานได้ตามความปรารถนา บรรจุพลังลงในวัตถุธาตุธรรมดา จนกลายเป็นอิทธิวัตถุอันวิเศษ คล้ายกับการอัดเทปแต่เทปเก็บไว้นานมีการเสื่อม พลังอธิษฐานจิตของพระสุปฏิปันโนหรือพระอรหันต์เสื่อมตัวช้า ถ้าผู้เสกสร้างรู้จักการใช้ธาตุประกอบจะเกิดผลดังนี้ อาโปธาตุคือธาตุน้ำมีลักษณะอ่อนโยนบังเกิดประสิทธิภาพทางเมตตา ถ้าจะให้กันปืนก็เป็นได้เพราะน้ำเป็นศัตรูกับดินปืนทำให้เปียกชื้น ใช้เตโชธาตุคือธาตุไฟ บังเกิดอำนาจ ขับไล่ภูตผีปีศาจเพราะไฟมันร้อน ใช้ปถวีธาตุคือธาตุดินมีลักษณะแข็งแกร่งเกิดสภาพคงทน ใช้วาโยธาตุคือธาตุลมผลักดันให้บังเกิดการแคล้วคลาดหรือต่อต้านกระสุนปืนให้ถูกหนักเป็นเบาในสภาพสูญญากาศ ฟังดูน่าเลื่อมใส<O:p</O:p
    แต่ทุกวันนี้ไม่ว่าพระวิเศษเลิศล้นสักปานใดราคาแสนราคาล้านทราบว่าถึงจุดดับทุกราย น้อยนักที่จะได้ฟังถึงปาฏิหาริย์ทหารตำรวจตายไปไม่ทราบเท่าใดแล้วความจริงก็ไม่อยากพูดเพราะเป็นมีดสองคม ถ้าเกิดอันธพาลทราบเรื่องนี้แล้วเกิดเชื่อตำรวจแย่แน่ แต่ในทางตรงข้ามเกิดตำรวจเชื่ออันธพาลก็แย่เหมือนกัน ทุกวันนี้ใช้พระกันยังไม่เป็น เป็นแต่ดูพระด้วยแว่น จัดประกวดพระ ขายพระเท่านั้น นอกจากไม่เป็นแล้วยังชวนให้ผู้อื่นรับเคราะห์กรรมไปด้วย จึงนับว่าเป็นกรรมที่จะต้องชดใช้ในการแนะแนวทางที่ผิดสมกับที่ไม่รู้อยากอวดรู้ ไม่เคยศึกษาวิชากายหัตถรังสี ไม่เคยศึกษาเรื่องฉนวนกั้นขณะที่กำลังเขียนเรื่องอยู่นี้ มีเซียนพระชั้นกรรมการของชมรมพระเครื่องจังหวัดระยองหน้าตาเลิกลั่กเข้ามาหาตะโกนว่า อาจารย์ครับเสี่ยนวยถูกยิงด้วยปืนเอ็ม 16 ตายคารถทั้ง ๆ ที่คอมีเหรียญหลวงพ่อคงบางกระพร้อม เหรียญหลวงพ่อแดงวัดเขาบันไดอิฐ และของอื่นซึ่งวงการรับรองแล้วทั้งนั้น จึงถามว่าพระและเหรียญที่กล่าวนั้นเสี่ยอัดพลาสติกหมดใช่ไหม เขาตอบว่าใช่จึงบอกว่าช่วยไม่ได้ ใช้พระไม่เป็น จึงต้องเสียทีเขา อย่าว่าแต่ระยองแม้ชลบุรี เมืองกาญจน์ เมืองเพชร ที่ไหน ๆ ก็เช่นกัน<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    ท่านอาจารย์ประถม อาจสาครสงวนลิขสิทธิ์
    (เป็นความเชื่อ – ความคิดเห็นส่วนบุคคล(ของคณะลูกศิษย์ของท่านอาจารย์ประถมอาจสาครท่านผู้อ่านอ่านแล้วก็แล้วแต่วิจารณญาณของแต่ละบุคคล)<O:p</O:p
     
  3. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    การเดินรังสีจิตในพระเครื่อง หรือ ศิลปการใช้พระเครื่อง
    พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

    หมายเหตุ ผมได้รับอนุญาตจากท่านอาจารย์ประถม อาจสาคร ในการนำบทความนี้มาลงในกระทู้พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร(คณะโสณะ-อุตระ) เรียบร้อยแล้ว หากท่านใดจะนำไปลงในเว็บต่างๆ ให้ขออนุญาตจากท่านอาจารย์ประถม อาจสาครก่อนครับ<O:p</O:p<!-- google_ad_section_end -->

    การเดินรังสีจิตในพระเครื่อง หรือ ศิลปการใช้พระเครื่องตอนที่ 3<O:p</O:p

    ปรัศนี ประชากร (เขียนเมื่อ ปี พ.ศ. 2525)<O:p</O:p
    ลิขสิทธิ์ ท่านอาจารย์ประถม อาจสาคร<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    ลักษณะการเดินของรังสีจิต กับรังสีจิตที่อยู่ในสภาพถูกบรรจุในวัตถุมันต่างกัน ไฟฟ้าไม่เปิดสวิตมันก็ไม่เกิดแสงส่วาง การกรอกน้ำลงในขวดเสร็จแล้วรินออกได้ แต่ถ้าปิดจุกมันก็ไหลออกไม่ได้ สายไฟฟ้าดูดคนตายแต่ถ้าใช้สายยางห่อหุ้มมันก็ทำอันตรายเราไม่ได้ ถ้าเกิดรั่วก็เป็นอันตรายกระแสน้ำกระแสไฟฟ้ามีทางเดินคล้ายกระแสจิตไปกั้นมันเข้ามันก็ไม่มีทางออก ถึงจะออกได้ก็ชักช้าไม่ทันการ เป็นเช่นนี้พระสมเด็จราคาแสนจึงไม่สามารถช่วยอะไรได้ เห็นตายสนิททุกราย ใครว่าใช้พระสมเด็จแล้วไม่ตายโหง อาจเป็นได้ถ้ารู้จักการใช้ นายแพทย์ประจำ วัชรปานเคยกล่าวว่าผู้ใดที่มีพระร่วงหลังรางปืนสนิมแดงกรุวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ สวรรคโลก เรื่องการตายโหงแล้วรับรองไม่มี สำหรับเหตุผลในข้อนี้วินิจฉัยยากเพราะพระร่วงชนิดนี้มี จำนวนน้อยราคาสูงมาก และมักอยู่กับผู้มีชะตาวาสนาสูงส่ง โอกาสที่จะผจญอันตรายมีเปอร์เซ็นต์น้อย แต่ก็ปรากฏแล้วว่าผู้ที่แขวนพระร่วงชนิดนี้ และเป็นองค์ที่ได้รับรางวัลที่หนึ่ง ชนะการประกวดมาแล้วตายโหงไปแล้วว่าไงครับ วงการเงียบกริบ ควรออกหนังสือแสดงการตายของพระเครื่องเสียบ้างจะได้หยุดเล่นกันเสียที เล่นไม่ยุติธรรมเซียนพระผู้ยิ่งยงสองท่านขอสงวนนาม คนหนึ่งดูพระสมเด็จเก่งชะมัดถูกตีที่ศีรษะเย็บ 15 เข็ม อีกคนหนึ่งแขวนพระสมเด็จเต็มคอถูกฟาดด้วยเก้าอี้เหล็กฐานไปหลอกลวงเขาเย็บ 18 เข็มเท่านั้นครับไม่<O:p</O:p
    มากมายอะไรทหารปฏิบัติการรบที่จังหวัดชายแดนแขวนพระชนิดสายนับได้ 108 องค์เก๊ดีผมไม่ทราบ ทราบแต่เลี่ยมอัดหมดโดนสหายตอกด้วยปืนอาก้าเบาะ ๆ หยุดพูดเลย ต้องเชิญอาจารย์ชุมไชยคีรีไปแสดงอรรถาธิบาย คงมีพระของท่านปนอยู่ด้วย อาจารย์ชุมบอกว่ามันถึงคราวตาย สำหรับศาสตร์นี้จะอธิบายในตอนหลัง ผมจะยกตัวอย่างในการใช้พระอัดพลาสติกให้ดูสักหลายเรื่อง <O:p</O:p
    1. รูปไหว้ห้าครั้งของเจ้าประคุณสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ เจริญ ญาณวร เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ลือชื่อมาช้านานในด้านกันภูตผีปีศาจ ศิษย์หน้าวัดเขาบางทรายมีอาชีพขับรถยนต์รับจ้างถูกผีเข้าขณะที่มีรูปไหว้ห้าครั้งติดตัว เขาเชื่อพระคุณเจ้าว่าไม่มีอะไรกางกั้นกระแสจิตได้ จึงนำไปเลี่ยมอัดพลาสติกและได้รับผล ผีมันคอยโอกาสมานานแล้ว เกิดสงสัยจึงนำไปพิจารณาทางในดูปรากฏว่ารังสีจิตหมุนวนอยู่ภายในกรอบพลาสติกไม่สามารถออกมาได้ จริงตามที่เล่าลือ อีกรายหนึ่งถูกสุนัขที่บ้านกัดเข้าก็มีรูปไหว้ห้าครั้งอัดพลาสติกเช่นเดียวกัน ความจริงของ ๆ ท่านเก่งทางเขี้ยวงา และเคยปรากฏความศักดิ์สิทธิ์มาแล้วมากครั้ง จริงของ ๆ ท่านเก่งทางเขี้ยวงา และเคยปรากฏความศักดิ์สิทธิ์มาแล้วมากครั้ง <O:p</O:p
    2. เพื่อนฝูงคนหนึ่งเป็นหัวหน้าส่วนรัฐวิสาหกิจ แขวนพระชั้นดีเต็มคอแท้ทั้งนั้นแนะนำอย่างไรก็ไม่เชื่อ เชื่อวงการดีกว่า ถูกยิงด้วยปืนลูกกรด .22 ห้านัดเข้าทุกนัดอาการสาหัส เจอหน้าเข้าตีหน้าชอบกล <O:p</O:p
    3. เมื่อวันมหาวิปโยค 14 ตุลาคม 2516 มีคนถูกยิงตาย และยิงไม่เข้าหลายรายผมขอร้องให้คุณชินพร สุขสถิตย์ บรรณาธิการหนังสืออภินิหารและพระเครื่องนำเรื่องลงพร้อมกับถ่ายภาพคนที่ถูกยิงไม่เข้าปรากฏว่าเป็นชายชาวชนบท แขวนพระเครื่อง 3 องค์ ที่จำได้มีพระถ้ำเสือ พระปิดตาวัดจากแดง จังหวัดสมุทรปราการ และพระอะไรอีกองค์หนึ่งจำไม่ได้ ปรากฏว่า เลี่ยมเปิดหมด ถ้าไม่เปิดรับรองสบายแน่ ส่วนที่เลี่ยมปิดตายเรียบทุกราย ไม่ตายก็สาหัส <O:p</O:p
    4. ที่ตำบลบางวัว อำเภอบางปะกงชายผู้หนึ่งมีเหรียญหลวงพ่อดิ่งรุ่น 2481 ของแท้ติดตัวอยู่เหรียญหนึ่ง เคยถูกแทงด้วยมีดไม่เข้า และถูกตีด้วยไม้พายจนตกเรือก็ไม่เป็นไร ต่อมาขัดสนทางการเงินจึงขายให้นักเลงพระผู้หนึ่งไป เขาผู้นั้นก็นำไปเลี่ยมอัดอย่างดีตามคตินิยมได้ผลทันที ครั้งแรกถูกสุนัขกัดเป็นแผลเหวอะ ครั้งที่สองไปชนเหลี่ยมเสาเพียงเบาะ หน้าผากแตก ทำให้ผู้เป็นเจ้าของเหรียญงงยิ่งกว่าไก่ตาแตกจนมีเพื่อนล้อเลียนว่าแขวนเหรียญเก๊ <O:p</O:p
    5. ที่ตำบลบางวัว อำเภอบางปะกงมีผู้แขวนพระไตรภาคี คือพระสมเด็จ พระนางพญาพิษณุโลก พระผงสุพรรณวงการรับรองว่าเป็นของแท้ ขณะนั่งดูงิ้วรบกับเพลิน มีใครไม่ทราบแสดงงิ้วนอกโรงใช้มีดแทงทะลุหน้าอกถึงแก่ความตาย ปรากฏว่าเป็นพระเลี่ยมอัดพลาสติกตามคตินิยมเป็นการใช้พระนอกครู
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ท่านอาจารย์ประถม อาจสาครสงวนลิขสิทธิ์
    (เป็นความเชื่อความคิดเห็นส่วนบุคคล(ของคณะลูกศิษย์ของท่านอาจารย์ประถมอาจสาครท่านผู้อ่านอ่านแล้วก็แล้วแต่วิจารณญาณของแต่ละบุคคล)<O:p</O:p
     
  4. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    การเดินรังสีจิตในพระเครื่อง หรือ ศิลปการใช้พระเครื่อง
    พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

    หมายเหตุ ผมได้รับอนุญาตจากท่านอาจารย์ประถม อาจสาคร ในการนำบทความนี้มาลงในกระทู้พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร(คณะโสณะ-อุตระ) เรียบร้อยแล้ว หากท่านใดจะนำไปลงในเว็บต่างๆ ให้ขออนุญาตจากท่านอาจารย์ประถม อาจสาครก่อนครับ<O:p</O:p<!-- google_ad_section_end -->

    การเดินรังสีจิตในพระเครื่อง หรือ ศิลปการใช้พระเครื่องตอนที่ 4<O:p</O:p

    ปรัศนี ประชากร (เขียนเมื่อ ปี พ.ศ. 2525)<O:p</O:p
    ลิขสิทธิ์ ท่านอาจารย์ประถม อาจสาคร<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    6. มีผู้แขวนพระร่วงหลังรางปืนสนิมแดง กรุวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ สวรรคโลกองค์ชนะการประกวดถูกยิงนัดเดียวตายคาที่พระองค์นั้นไม่ต้องบอกก็นั่งทางในตอบได้ว่าเลี่ยมอัดอย่างแข็งแรง<O:p</O:p
    7. วัยรุ่นที่จังหวัดสมุทรปราการ ได้รับพระสมเด็จวัดระฆังขนานแท้ และดั้งเดิมจากบรรพบุรุษ ซึ่งเคยมีประสบการณ์มาแล้วมากครั้ง ครั้งแรกถูกยิงด้วยปืนลูกซองพกไม่ระคายผิวหนัง ต่อมานำไปเลี่ยมอัด<O:p</O:p
    พลาสติกเพียงถูกสุนัขกัดเบาะ ๆ ต้องเย็บถึง 8 เข็ม<O:p</O:p
    8. นักเลงพระชั้นเซียนผู้หนึ่งได้พระท่าเสาเมืองกาญจน์มาหนึ่งองค์ ทดลองความเหนียวคงโดยนำพระยัดใส่ปากปลาช่อนแล้วฟันด้วยมีดอย่างแรงหลายที่ ปรากฏว่าฟันไม่เข้าจึงนำไปเลี่ยมอัดพลาสติกตามคตินิยม วันหนึ่งจะอวดของดีกับเพื่อนฝูง จึงไปซื้อปลาช่อนมาจากตลาดลองฟันดูใหม่ปรากฏว่าฟันเข้าหมดลองดูถึง 10 ตัวไม่ได้ผล จึงลองแกะพลาสติกแล้ว ไปหาปลามาทดลองฟันใหม่ปรากฏว่าฟันไม่เข้า การทดลองเช่นนี้ทำให้เพื่อนฝูงเกิดลาภปาก รับประทานปลาแป๊ะซะกันจนอิ่มหนำสำราญ วันนั้นเองเซียนพระผู้นั้นนำพระเครื่องชนิดต่าง ๆ มาแกะพลาสติกออกได้พลาสติกประมาณครึ่งกระบุง<O:p</O:p

    9. นักเลงพระชื่อวันชัย อยู่จังหวัดอยุธยามีพระสมเด็จวัดระฆังราคาแสนแขวนสร้อยห้อยคอ ถูกยิงเข้าทุกนัด นักปราชญ์ท่านยังเชียร์ว่าพระสมเด็จไม่ตายโหง เช่นนี้ถ้าถูกเอ็ม 16 ที่หน้า หน้าอาจจะไม่เละกระมังเพราะท่านไม่ตายโหง แต่ที่ตายโหงมาแล้วเหลือคณานับ นักปราชญ์ท่านแก้ว่าได้ตรวจทางในแล้ว ถึงสมเด็จฯ ปลุกเสกพระของท่าน ถึงวันละสามเวลาไม่ขาดเกิน ก็ไม่ปรากฏนิมิตว่าเหนียวคง ตรวจหลายองค์แล้ว อนิจจา หลงเล่นพระปลอมอยู่ได้<O:p</O:p

    10. ที่อำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม นายตำรวจตระเวนชายแดนชายแดนคนหนึ่งชื่อ สำราญ นามสกุลจำไม่ได้ นำพระสมเด็จฯ มาให้ดู ปรากฏว่าเป็นพระสมเด็จวัดระฆังไม่มีการเลี่ยมใช้พกกระเป๋าเฉย ๆ เล่าให้ฟังว่า ใช้พระองค์เดียวถูกยิงด้วยกระสุนเจาะเกราะอย่างจังที่ขา ระยะเผาขน พอเป็นผื่นเล็กน้อยเท่านั้นเอง ใครว่าพระสมเด็จไม่เหนียว นอกจากของเก๊ ไม่รับรอง<O:p</O:p

    11. ที่อำเภอตาคลี จังหวัดนครวรรค์ มีการจ้างนักเลงทำร้ายบุคคลผู้หนึ่งผู้ดักทำร้ายล้วนเคยเป็นเสือปล้นและมีประวัติโชกโชนมาแล้วทั้งนั้น แบ่งเป็นมือปืน มือมีด มือขวาน แยกย้ายกันเป็นขั้นตอน ชั้นแรกมือปืนใช้ปืนพกขนาด 11 ม.ม. ยิงถูกท้ายทอยเต็มรัก แรงผลักดันของลูกปืนทำให้ผู้ถูกทำร้ายถึงกับกระเด็นตีลังกาจากรถเครื่อง น่าสงสารตัวเล็กนิดเดียวมองไปข้างหน้าเห็นกลุ่มดาบและกลุ่มมือขวานดักรออยู่อีก ได้สติจึงหลบมุดลงท่อน้ำข้างถนนรอดไปได้ การที่กลุ่มประหารวางแผนอย่างเข็มแข็งเช่นนี้ เพราะทราบว่าผู้ถูกทำร้ายมีพระดีเคยถูกยิงไม่ออก ความจริงคือพระสมเด็จองค์เก่า ๆ ของปู่องค์เดียวเท่านั้นใช้เลี่ยมทองเปิดหน้าเปิดหลังมาเดิมไม่มีการเปลี่ยนแปลงแต่เป็นพระสมเด็จวัดไชโยวรวิหาร จังหวัดอ่างทอง<O:p</O:p

    12. ที่จังหวัดภาคใต้ มีนายตำรวจชั้นรองผู้กำกับการภูธรกับคณะเดินทางไปราชการท้องที่โดยรถจิ๊บแลนโรเวอร์ เกิดอุบัติเหตุ รถคว่ำมีคนเจ็บและตาย ตัวท่านรองเองขาหัก ขณะที่แล่นรถเข้าตัวเมือง มีการประทับทรงเสด็จปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืดอยู่ริมถนน ร่างทรงได้เรียกให้รถหยุดแล้วเข้าไปต่อว่าท่านรองฯ ว่าไปขังท่านไว้ออกมาช่วยไม่ได้ เพียงขาหักก็ดีแล้ว ปรากฏว่าคอของท่านรองฯ แขวนรูปหลวงปู่ทวดอยู่หนึ่งองค์หนึ่งจริง ๆ ต้องรีบนำไปแกะออกด่วน<O:p</O:p

    <O:p</O:p
    ท่านอาจารย์ประถม อาจสาครสงวนลิขสิทธิ์
    (เป็นความเชื่อ – ความคิดเห็นส่วนบุคคล(ของคณะลูกศิษย์ของท่านอาจารย์ประถมอาจสาครท่านผู้อ่านอ่านแล้วก็แล้วแต่วิจารณญาณของแต่ละบุคคล)<O:p</O:p
     
  5. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    การเดินรังสีจิตในพระเครื่อง หรือ ศิลปการใช้พระเครื่อง
    พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

    หมายเหตุ ผมได้รับอนุญาตจากท่านอาจารย์ประถม อาจสาคร ในการนำบทความนี้มาลงในกระทู้พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร(คณะโสณะ-อุตระ) เรียบร้อยแล้ว หากท่านใดจะนำไปลงในเว็บต่างๆ ให้ขออนุญาตจากท่านอาจารย์ประถม อาจสาครก่อนครับ<O:p</O:p<!-- google_ad_section_end -->

    การเดินรังสีจิตในพระเครื่อง หรือ ศิลปการใช้พระเครื่องตอนที่ 5<O:p</O:p

    ปรัศนี ประชากร (เขียนเมื่อ ปี พ.ศ. 2525)<O:p</O:p
    ลิขสิทธิ์ ท่านอาจารย์ประถม อาจสาคร<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    นิทานเรื่องนี้ ถ้าจะกล่าวต่อไปก็นับเป็นพัน ๆ รายและยังมีอยู่ทุกวันและจะมีต่อไปไม่สิ้นสุด เป็นที่น่าเศร้าใจเพราะคบคนผิดคิดว่าเขาเป็นผู้รอบรู้เชี่ยวชาญ ที่แท้คบเอาเถรส่องบาทเข้าเต็มเปา ผมจึงค้นคิดวีธีการใช้พระเครื่องไว้ดังนี้<O:p</O:p
    1. การเลี่ยมพระควรเปิดหน้า และจำเป็นต้องตรวจพลังภายในก่อนที่จะใช้ในการคุ้มครองป้องกันชีวิต ถ้าเป็นเหรียญรูปพระคณาจารย์ซึ่งมีราคาค่างวดสูงต่ำกว่ากันตามค่านิยม ชนิดราคาเรือนพันเรือนหมื่นควรเป็นตลับทองคำเจาะตรงพระพักตร์ให้เป็นรูกว้างเท่ากับปลายเข็มหมุด เพื่อการแผ่พุ่งของรังสี ถ้าเหรียญราคาไม่แพงให้เลี่ยมด้วยพลาสติกสีเปิดหน้าหลังยกขอบกันสึกเพื่อเป็นการอนุรักษ์ให้ถาวรทนทานถ้าเป็นพระชินตะกั่วสนิมแดงหรือพระเนื้อผงไม่จำเป็นต้องเปิดหลัง คนสมัยก่อนนิยมเลี่ยมเปิดหลังเรียกว่าพระเจ้าเปิดโลก เพื่ออาศัยการสัมผัสจากธาตุสี่ในการตัวขับดันรังสีพระ ความจริงนั้นเพียงรังสีขององค์ท่านก็เป็นการเพียงพอแล้ว การเจาะที่ก้นรังสีไม่ออกชัดเจน ใครจะรักพระหรือรักชีวิตเลือกพิจารณาดูเอง<O:p</O:p

    2. ถ้าเลี่ยมเปิดหมดจะต้องยกขอบให้เกินองค์พระไว้ เพื่อป้องกันการเสียดสีถ้าเลี่ยมแบบไม่ใช้ตลับเจาะหน้าก็ได้แต่มีจุดบกพร่องเพราะฝุ่นจะเข้าเกาะในองค์พระและดูไม่งามยากแก่การทำความสะอาด ถ้าเลี่ยมแบบตลับนาน ๆ ถอดออกทำความสะอาดได้<O:p</O:p

    3. ผู้ที่นิยมแขวนพระมากองค์จะเลี่ยมปิดทั้งหมดก็ได้ แต่ควรเลือกองค์ใดองค์หนึ่งที่มีประสิทธิภาพสูงและสุนทรียภาพค่อนข้างต่ำเปิดกันเลยองค์เดียวก็พอ อย่าเลี่ยมปิดหมดทั้งชุด และควรใช้พระในอัตราคี่ เช่น 1 องค์ 3 องค์ 5 องค์ (บางคนถือเคล็ดไม่ยอมใช้พระอัตราคู่)<O:p</O:p

    <O:p</O:p
    ท่านอาจารย์ประถม อาจสาครสงวนลิขสิทธิ์
    (เป็นความเชื่อ – ความคิดเห็นส่วนบุคคล(ของคณะลูกศิษย์ของท่านอาจารย์ประถมอาจสาครท่านผู้อ่านอ่านแล้วก็แล้วแต่วิจารณญาณของแต่ละบุคคล)<O:p</O:p
     
  6. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    การเดินรังสีจิตในพระเครื่อง หรือ ศิลปการใช้พระเครื่อง
    พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

    หมายเหตุ ผมได้รับอนุญาตจากท่านอาจารย์ประถม อาจสาคร ในการนำบทความนี้มาลงในกระทู้พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร(คณะโสณะ-อุตระ) เรียบร้อยแล้ว หากท่านใดจะนำไปลงในเว็บต่างๆ ให้ขออนุญาตจากท่านอาจารย์ประถม อาจสาครก่อนครับ<O:p</O:p<!-- google_ad_section_end -->

    การเดินรังสีจิตในพระเครื่อง หรือ ศิลปการใช้พระเครื่องตอนที่ 6<O:p</O:p

    ปรัศนี ประชากร (เขียนเมื่อ ปี พ.ศ. 2525)<O:p</O:p
    ลิขสิทธิ์ ท่านอาจารย์ประถม อาจสาคร<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    การใช้พระเครื่องสมัยเดิม<O:p</O:p

    เรื่องการอมพระ คาดพระ พกพระใส่ไถ้ใส่ถุง นับเป็นเรื่องล้าสมัย คนสมัยเก่ามีเคล็ดวิชาเกี่ยวกับการใช้พระเครื่องมากมาย ได้รับประสิทธิผลเป็นส่วนใหญ่ ทุกวันนี้ผู้เฒ่าผู้แก่มักพูดว่าไม่จำเป็นต้องใช้การพกพระติดตัวนำไว้กับบ้านก็ใช้ได้ เด็กรุ่นใหม่ฟังแล้วก็ไม่ค่อยจะเชื่อถือเห็นว่าเป็นการพูดเล่นมากกว่า เพราะขนาดแขวนคอเป็นพวงยังเห็นไปไม่รอด แต่เป็นเรื่องจริงเขาเรียกว่าการใช้พระ โดยการอธิษฐาน ผู้อธิษฐานจะต้องมีสมาธิจิตอันแน่วแน่เด็ดเดี่ยวจริง ๆ ย่อมได้ผลจริง มีบุคคลหนึ่งไม่ได้ถามชื่อได้รับพระสมเด็จวัดระฆังเป็นมรดกตกทอดอยู่องค์หนึ่ง ปกติบุคคลผู้นี้ไม่นิยมการแขวนพระ แต่มีความเคร่งครัดกว่าผู้ที่แขวนพระมากมายนักคือก่อนที่จะออกจากบ้านไปกิจธุระทุกครั้งจะไม่ลืมจุดธูปบูชาพระสมเด็จฯ เพื่อขอความแคล้วคลาดปลอดภัยคุ้มครองชีวิต วันหนึ่งถูกยิงด้วยปืน 3 นัดที่ตัวเป็นรอยไหม้ 3 รอยและไม่ได้รับอันตราย สมัยเมื่อพระคุณเจ้าธัมมวิตกโก ยังมิได้ทำการอธิษฐานจิตเสกพระเครื่องและเหรียญรูปเหมือนองค์ท่าน มีนายตำรวจบางคนไปขอของดีจากท่าน พระคุณเจ้าชี้แจงว่าไม่ได้มีของดีอะไรแจก หากนับถือพระคุณเจ้าเพียงให้รำลึกถึงฉายาว่า ธัมมวิตกโก โกก็พอคุ้มกันภยันตรายได้ ต่อมานายตำรวจผู้นั้นไปตามจับผู้ร้ายสำคัญจังหวัดเพชรบุรีที่ป่าตาลแห่งหนึ่งเกิดต่อสู้กันตัวต่อตัว คนร้ายมีร่างกายกำยำแข็งแรงกว่านายตำรวจกดคอนายตำรวจไว้จะเชือดด้วยมีปาดตาลอันคมกริบ นายตำรวจเห็นจวนแจได้สติจึงรำลึกถึงพระคุณเจ้า ธัมมวิตกโก เท่านั้นเองผู้ร้ายถึงแก่อาการจังงังเงื้อมีดปาดตาลค้างนายตำรวจผู้นั้นจึงใช้วิชายูโดล๊อคคนร้ายไว้ได้ และถามด้วยความสงสัยว่าตอนนั้นทำไมไม่ลงมือเชือดคอฉัน ผู้ร้ายตอบว่าจะเชือดได้อย่างไรกันครับ พระที่ไหนไม่ทราบมายืนอยู่ข้าง ๆ ทำเอาผมคิดอะไรไม่ออกเรื่องนี้ทราบจากปากคำนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ซึ่งคุ้นเคยกันส่วนตัว บางคนว่าเหรียญที่อัดพลาสติกจนแน่นก็ใช้ได้ เช่น เหรียญหลวงพ่อคงบางกระพร้อมเหรียญหลวงพ่อดิ่งวัดบางวัว เขาว่าอย่างนั้น มันออกจะขัดแย้งกับการแผ่พุ่งของรังสีตามที่กล่าวไว้ข้างต้น ซักไปคงได้ความเช่นเดียวกับการอธิษฐานโดยไม่ต้องนำพระติดตัว เข้าศาสตร์เดียวกับผู้ที่ใช้พระสมเด็จโดยไม่ต้องนำพระติดตัวไม่ใช่ว่ารังสีการคุ้มครองสามารถพุ่งทะลุพลาสติกออกมาได้ มิฉะนั้นจะเป็นการเข้าใจผิดไปอีกนาน ประเภทนี้เป็นการใช้พระเดี่ยวทั้งสองราย การใช้พระในสมัยก่อนนอกจากการอธิษฐานอาราธนาโดยเคร่งครัดแล้วยังมีการผูกกลึงการคัดถอน โบราณถือว่าเวทย์มนต์คาถานั้นมีการสูบหรือคัดถอนได้เมื่อเกิดดีต่อดีมาเจอกันก็จำเป็นต้องคัดถอนกันเพื่อทำลายฝ่ายตรงข้าม ฉะนั้นการต่อสู้ระยะประชิดตัวในการรบสมัยโบราณจึงมีการตายกันไม่น้อยทั้ง ๆ ที่ต่างก็มีของดี ดังคำกลอนเสภาเรื่องขุนช้างขุนแผนกล่าวถึงการคัดของดีจากคู่ต่อสู้ดังนี้<O:p</O:p
    “สำมะยั่วโถมเข้ามานายทัพ สำมะยังเป่าไปให้ปะจุขาด<O:p</O:p
    ดาบร่อนเลือดฝาดดังชาดเช็ด พรหมศรเสกคาถาว่าถอนโบสถ์<O:p</O:p
    ชักกั้นหยั่นฟันควาญช้างลงซานซบ สอยดาวเห็นแม่ทัพอัปรา<O:p</O:p
    ก็ขับไสช้างงาเข้ามาพลัน ธรรมเถียรยืนดูอยู่ท่ามกลาง<O:p</O:p
    อ้ายพลายแก้วมิ่งเมืองไม่เงื่องงุย นายสอยดาวทรงกายพอหายขัด<O:p</O:p
    ไทยเป่าโอ้ฟ้าผ่ามาตามลม นายปราบรับฟันปังดังเหล็กเพชร<O:p</O:p
    เอาดาบฟาดขาดสะบั้นกระเด็นเด็ด อ้ายลาวเข็ดคิดขยาดไม่อาจรบ<O:p</O:p
    โดดแทงกำกองเข้าท้องกบ ทับศพผีนายลงก่ายกัน<O:p</O:p
    นายทั้งปีกขวาก็อาสัญ เอาง้าวฟันพวกไทยไล่ตะลุย<O:p</O:p
    ขัดใจไสช้างมาฉุยฉุย เอางาฉุ่ยสอยดาวเข้าราวนม<O:p</O:p
    เอาของัดงาหันฟันประสม ฟันลาวง้าวจมลงครึ่งคอ”<O:p</O:p
    อันคาถาโอ้ฟ้าผ่านี้ เข้าใจว่าเป็นบทหนึ่งในคัมภีร์รัตนมาลาคือ “โอติโตสัพพะกิเลสัง โอหิโตสัพพะมะลัง โอหิโตสัพพะทิฏฐิญจะ โอหิจิตตังนะมามิหัง” ใช้เคล็ดจากคำว่าสัพ เมื่อตอนหนุ่ม ๆ เคยไปขอเรียนจากท่านผู้เฒ่า ท่านกล่าวว่าคาถาบทนี้ขอเพียงให้นั่งกระดานเดียวกัน ใครอวดศักดาลองเหนียวว่าคาถาแล้วพังทุกราย ขอเรียนก็ไม่ให้บอกว่าแก่แล้ว ต้องบอกกันใต้ต้นไม้ใหญ่และฟ้าจะผ่าทันทีเกรงจะวิ่งหนีไม่ทัน เลยไม่ได้เรียนกับท่าน เมื่อมีการคัดถอนก็จำเป็นต้องมีการผูกอย่างเหนียวแน่นเช่นกัน ใส่กุญแจสามชั้นบ้าง ใช้บทพระนารายณ์กลึงจักรคือ อะ ภะ สัง ภุ วิ สะ สุ ปุ โล กันคัดถอนกันคุณไสยตามอุปเท่ห์กล่าวว่า อย่าว่าแต่มนุษย์เลยเทวดาทำมาก็ไม่ถูก มีวิธีคัดอยู่อย่างเดียวที่จะแก้กันคือบทพระนารายณ์คลายจักร โล ปุ สุ สะ วิ ภุ สัง ภะ อะ คณาจารย์แถบชายทะเลฝั่งตะวันออกนิยมใช้บทนี้ นะกลึงฟ้า โมกลึงดิน พุทธกลึงสมุทร ธากลึงสายสิญจน์ ยะกลึงอากาศ อากาศนี้กลึงด้วย นะ โม พุท ธ า ยะ ส่วนที่ใช้กันง่าย ๆ ก็คือเมื่ออาราธนาเสร็จให้กลั้นใจว่า โส ทา ยะ 3 ครั้ง จึงเอาพระสวมคอกันหลวงพ่อเผลอหนีไปเที่ยว เวลาถอดแขวนก็บอกว่า ไส ยะ คือนิมนต์หลวงพักผ่อนได้ครับเหนื่อยมามากแล้ว นอกนั้นยังมีเรื่องลี้ลับอีกประมวลแล้วล้วนเป็นเรื่อง ทุกข อนิจ อนัตตา คือ…..<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ท่านอาจารย์ประถม อาจสาครสงวนลิขสิทธิ์
    (เป็นความเชื่อ – ความคิดเห็นส่วนบุคคล(ของคณะลูกศิษย์ของท่านอาจารย์ประถมอาจสาครท่านผู้อ่านอ่านแล้วก็แล้วแต่วิจารณญาณของแต่ละบุคคล)<O:p</O:p
     
  7. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    การเดินรังสีจิตในพระเครื่อง หรือ ศิลปการใช้พระเครื่อง
    พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

    หมายเหตุ ผมได้รับอนุญาตจากท่านอาจารย์ประถม อาจสาคร ในการนำบทความนี้มาลงในกระทู้พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร(คณะโสณะ-อุตระ) เรียบร้อยแล้ว หากท่านใดจะนำไปลงในเว็บต่างๆ ให้ขออนุญาตจากท่านอาจารย์ประถม อาจสาครก่อนครับ<O:p</O:p<!-- google_ad_section_end -->

    การเดินรังสีจิตในพระเครื่อง หรือ ศิลปการใช้พระเครื่องตอนที่ 7<O:p</O:p

    ปรัศนี ประชากร (เขียนเมื่อ ปี พ.ศ. 2525)<O:p</O:p
    ลิขสิทธิ์ ท่านอาจารย์ประถม อาจสาคร<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p

    วันเหนียว<O:p</O:p
    เป็นวันเหนียวเฉพาะตนโดยอัตโนมัติแต่ไม่ทราบว่าเป็นวันอะไรแน่ พยายามสอบถามได้ความเพียงว่าให้สังเกตดูหากวันไหนถ่ายอุจจาระจมก็วันนั้นแหละ ไม่ต้องมีอะไรก็เหนียว ญาติผู้ใหญ่คนหนึ่งไม่นิยมการใช้พระแม้แต่เรื่องลงกระหม่อมสักยันต์ก็ไม่เคย วันหนึ่งถูกสุนัขกัดอย่างแรงไม่เข้าเป็นที่แปลกใจ บางคนเกิดฟลุคไปรดน้ำมนต์แล้วถูกรุมตีไม่เป็นไรอาจารย์องค์นั้นก็ดังไปพักหนึ่งโดยไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ถ้ามีพระติดตัวก็เข้าใจว่าหลวงพ่อช่วย เอวันหลังทำไมไม่แน่
    <O:p</O:p
    วันเปื่อย<O:p</O:p
    เมื่อมีวันเหนียวก็ย่อมมีวันเปื่อยเป็นของคู่กัน อย่าทะนงตนและอย่าสงสัยเรื่องเกิดขึ้นภายในครอบครัวนี่แหละครับ วันหนึ่งผมไปพบท่านเจ้ากรมแผนที่คนปัจจุบันที่บ้านสะพานจงประสาน อ. เมืองชลบุรี พอเห็นหน้าท่านก็ทักทันที แหมพระของพี่ถมเหนียวชะมัดตาจิ๋วถูกสุนัขกัดเย็บตั้ง 8 เข็มทำเอาผมงงเป็นไก่ตาแตก จึงเรียนถามท่านว่า สุนัขมันกัดวันอาทิตย์ใช่ไหมครับ ท่านตอบว่าใช่ ผมก็ไม่กล่าวกระไร ท่านบอกว่ายังทะลึ่งพาไปคลินิกเห็นถอดพระออกจากคอ ถามว่าถอดทำไม่ ตาจิ๋วตอบว่าเข็มแทงไม่เข้าครับ นี่มันประกอบด้วยกฎแห่งกรรม คือนายจิ๋วเมื่อเล็ก ๆ มีนิสัยซุกซนชอบแหย่สุนัขข้างบ้าน เอาใบกระดาษแหย่ให้มันกัดมันโกรธและมีความอาฆาตพอมีโอกาสเจอกันที่ถนน มันตรงเขากัดอย่างไม่เลี้ยงมันดุจริง ๆ ขนาดกัดสุนัขด้วยกันมันกินเนื้อสุนัขตัวที่ถูกมันกัด แต่นายจิ๋วก็มีนิสัยเป็นนักสู้ไม่ถอยหนีรู้สึกตัวว่าถูกกัดเข้า ก็รีบนึกถึงหลวงพ่อตอนนี้ไม่เข้าและชักมีดจะแทงสุนัขพอดีเจ้าของออกมาห้ามจึงเลิกกันไป พอไปถึงคลินิกเย็บแผลเกิดไม่เข้ายังความฉงนสนเท่ห์ให้กับนายแพทย์ยิ่งนัก รำพึงว่าไม่น่ากัดเข้าเลย และก็พระองค์นี้ถูกกัดมามากครั้งแล้ว สบายมากไม่เป็นไรเลยนี่แหละครับเขาเรียกวันเปื่อย และอาจจะเป็นเฉพาะชั่วยามในคราวเคราะห์<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    ท่านอาจารย์ประถม อาจสาครสงวนลิขสิทธิ์
    (เป็นความเชื่อ – ความคิดเห็นส่วนบุคคล(ของคณะลูกศิษย์ของท่านอาจารย์ประถมอาจสาครท่านผู้อ่านอ่านแล้วก็แล้วแต่วิจารณญาณของแต่ละบุคคล)<O:p</O:p
     
  8. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    การเดินรังสีจิตในพระเครื่อง หรือ ศิลปการใช้พระเครื่อง
    พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

    หมายเหตุ ผมได้รับอนุญาตจากท่านอาจารย์ประถม อาจสาคร ในการนำบทความนี้มาลงในกระทู้พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร(คณะโสณะ-อุตระ) เรียบร้อยแล้ว หากท่านใดจะนำไปลงในเว็บต่างๆ ให้ขออนุญาตจากท่านอาจารย์ประถม อาจสาครก่อนครับ<O:p</O:p<!-- google_ad_section_end -->

    การเดินรังสีจิตในพระเครื่อง หรือ ศิลปการใช้พระเครื่องตอนจบ<O:p</O:p

    ปรัศนี ประชากร (เขียนเมื่อ ปี พ.ศ. 2525)<O:p</O:p
    ลิขสิทธิ์ ท่านอาจารย์ประถม อาจสาคร<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    วันตาย<O:p</O:p
    คนเราย่อมมีที่ตายของตน อาจมีคนแย้งว่าที่ตายของคุณแม่อยู่ที่ซอยลอยมา ถ้าอยู่ซอยจงประสานเห็นทีจะไม่ตายกระมังนี่เป็นการตายปกติสามัญ อยู่โรงพยาบาลอยู่ที่ไหนก็ตาย ที่ตายที่ว่านี้เป็นการตายไม่ปกติ เช่นหายโหง ตายแบบอุบัติเหตุมันมีที่ของมัน เพื่อนผมคนหนึ่งทำงานองค์การรถไฟ ไปราชการสงครามประเทศเกาหลีไม่มีพระกับเขามันก็ไม่ตายเพราะไม่ใช่แดนตายของเขา คนที่มีพระเต็มคอก็ตายเขาเลยไม่ยอมเชื่อพระตัวเอง เช่นว่านี้มีอยู่หลายเรื่อง
    <O:p</O:p
    1. มีนักเลงทางตำบลบางทรายผู้หนึ่งเกเรและเพาะศัตรูไว้มากมาย แกมีพระประจำตัวอยู่ 3 องค์ คือ พระร่วงสนิมแดง 1 ประปิดตาเมฆพัดหลวงปู่ทา วัดพะเนียงแตก 1 พระคงสีดำ จังหวัดลำพูน 1 มีปืนเบรานิงค์ตราปืนขนาด 7.65 หนึ่งกระบอกพกติดตัวอยู่เสมอ ก่อนจะออกตลาดทุกครั้งจะต้องแวะไปที่กุฏิท่านวินัยธรรม (เภา)ให้เห็นพระเสียก่อน และมักจะลองของบนกุฏิทุกครั้งด้วยปืนคู่ชีวิต คือยิงใส่ตัวเอง 3 ครั้งก่อนจะเดินทาง คิดว่าหากเป็นวันเปื่อยก็เพียงแค่เสียแขน ถ้าไปโดนวันเหนียวเข้า ยิง 3 นัดก็ไม่ออก โดนวันธรรมดาก็ออกกระสุนปืนเด้งจากแขนเพียงเป็นจุดไหม้เท่านั้น จึงจะเป็นที่มั่นใจและออกเดินทางได้และเข้าวันหนึ่งหลังจากทดลองตัวเองด้วย 3 นัดไม่เป็นไรก็ต้องถูกยิงตายที่ตำบลท่าถ่านต้องถูกมือดีคัดของและประกอบกับเป็นวันตาย ที่ตายด้วย หากไม่ออกมามันก็ไม่ตาย
    <O:p</O:p
    2. หลวงพ่อวัดหนองบัวลาดหญ้าเมืองกาญจน์เก่งทางตะกรุดฝาบาตร ท่านทรงฌานสมาบัติ วันหนึ่งมีกระทาชายสองนายมาหาท่านที่กุฏิเพื่อขอตะกรุดฝาบาตรจากท่านคนละดอก ท่านพิจารณาอยู่สักพัก แล้วสั่งว่าวันนี้ขออย่าลองของ กระทาชายทั้งสองนายพอรับของจากหลวงพ่อก็ดีใจลืมคำพูด สัญญาความจำรู้เพียงว่าของหลวงพ่อเคยลองได้ คนหนึ่งมีดาบเล่มยาว อีกคนหนึ่งมีมีดซุยขนาดใหญ่เรียกกันว่ามีดการะเกด ต่างผลัดกันแทงผลัดกันฟันเป็นที่สนุกสนาน พอถึงทางแยกสามแพร่งคนที่ถือดาบถูกคนมีมีดการะเกดแทงเต็มเหนี่ยวทะลุหลังถึงหน้าอกขาดใจตายตรงนั้นเอง ทำให้ต้องเสียเพื่อนรักและตัวเองต้องติดตะรางเพราะความประมาท
    <O:p</O:p
    3. เสือร้ายมาตายรัง เรื่องนี้เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันอย่างรุนแรง เพราะเสือร้ายมาตายที่วัดหลวงพ่อและเป็นศิษย์ก้นกุฏิเสียด้วย เรื่องเกิดขึ้นทางจังหวัดภาคเหนือจะเป็นอุตรดิตถ์หรือชัยนาทจำไม่ได้ ทำให้หลวงพ่อเสียหน้า มันถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจไล่ล่ามาตลอดทางถูกยิงไม่เป็นไร พอถึงโคนต้นมะขามใหญ่วัดที่เคยขุนข้าวสุก ก็ถูกยิงล้มดิ้นสิ้นใจ หลวงพ่อออกมาดูบอกกับคนทั้งหลายว่าที่ตายของมันอยู่ตรงนี้ คนไม่ยอมเชื่อท่านสั่งให้ลากศพพ้นจากต้นมะขามเพียงหนึ่งวาแล้วให้ยิงด้วยปืนพร้อมกัน 7 กระบอกให้ยิงตามความพอใจไม่ต้องนับปรากฏว่าไม่ออก ท่านให้เอาหอกและจอบตราจระเข้ซึ่งมีความคมขนาดสับรากมะขามขาดลองฟันดู ก็ไม่เข้า พอลากคนถึงโคนมะขามปรากฏว่าทั้งยิงทั้งฟันเข้าหมด ทดลองถึง 3 ครั้ง คนจึงเชื่อและหลวงพ่อขอร้องว่าสงสารอย่าทรมานแก่สังขารอันปราศจากวิญญาณอย่างน้อยมันก็ตายไปแล้ว
    <O:p</O:p
    นี่แหละครับมันเป็นเรื่องลี้ลับนอกเหนือการส่องแว่นค้นหาตำหนิและโค๊ทจริง ๆ เรื่องอะไรทั้งหลายไม่น่างง มันมีสูตรมานานแล้วมิใช่เพิ่งมี หากไม่ศึกษาก็ไม่ทราบ<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    ท่านอาจารย์ประถม อาจสาครสงวนลิขสิทธิ์
    (เป็นความเชื่อ – ความคิดเห็นส่วนบุคคล(ของคณะลูกศิษย์ของท่านอาจารย์ประถมอาจสาครท่านผู้อ่านอ่านแล้วก็แล้วแต่วิจารณญาณของแต่ละบุคคล)<O:p</O:p
     
  9. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>"น้ำตาลปั้น" สีสันงานวัด ขนมเด็กโบราณที่ใกล้สูญ!
    http://www.manager.co.th/Family/ViewNews.aspx?NewsID=9530000075702
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>2 มิถุนายน 2553 08:21 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=left border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=240 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=240>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD width=5>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>หากย้อนกลับไปเมื่อ 20 ปีก่อน ขนมในงานวัดที่เด็กจะมีความสุขกับรสชาติ และรูปแบบ คงหนีไม่พ้น "น้ำตาลปั้น" อมยิ้มโบราณที่คนขายจะนั่งปั้นขึ้นรูปด้วยมือ ไม่ว่าจะเป็นตัวสัตว์ หรือดอกไม้รูปแบบต่างๆ เช่น ลิงตกปลา นกแก้ว มังกร ไก่ กุหลาบ ที่ถึงแม้จะไม่ถูกชะตากับพ่อแม่หลายคนมากนัก เพราะทำให้ลูกฉันฟันผุ แต่ความนิยมก็ยังแทรกซึมผ่านสังคมหลายพ.ศ.มาได้จนมาถึงปัจจุบัน

    แต่กระนั้น สมพงษ์ ขำอ่อน คุณลุงวัย 71 ปี ผู้ขายน้ำตาลปั้นโบราณมากว่า 50 ปี จากจ.นครสวรรค์ ก็บอกว่า ถึงจะรอดมาได้ แต่ก็มีให้เห็นอยู่น้อยแล้ว เพราะต้นทุนในการทำสูงขึ้น บวกกับไม่มีคนสานต่อ เนื่องจากต้องใช้ความอดทน และความพยายามที่สูง ลำพังคนรุ่นใหม่ไม่ทนกับงานชนิดนี้เท่าที่ควร ทำให้คนขายน้ำตาลปั้นโบราณที่ยังเหลืออยู่ ต้องปรับตัว และคิดให้ใหม่ตามกระแสการเปลี่ยนแปลงของสังคม เพื่อเอาตัวรอด ตลอดจนสืบทอดให้คนรุ่นใหม่ได้รู้จักต่อไป

    สำหรับจุดกำเนิดของน้ำตาลปั้น ลุงสมพงษ์ เล่าให้ฟังว่า ขนมน้ำตาลปั้นเป็นของคู่กันกับงิ้ว ซึ่งจะตั้งขายอยู่หน้าโรงงิ้ว โดยคนจีนแต้จิ๋วเป็นผู้นำเข้ามาขายในประเทศไทย มีชุดอุปกรณ์ที่พับเก็บได้ในตัวเดียวกัน สะดวกตอนขนย้ายเวลาไปขายตามสถานที่ต่างๆ ประกอบด้วย เก้าอี้นั่ง เตาทองเหลือง 4 ช่องเอาไว้ใส่น้ำตาลเคี่ยว 3 สี คือ ขาว หรือน้ำตาล แดง และเขียว นอกจากนี้ ยังมีที่สูบลม แม่พิมพ์แบบต่างๆ ที่สมัยก่อนจะทำจากดินเผา

    "เมื่อก่อนลำบากมากกว่า จะต้องเข้าไปตัดต้นอ้อในป่าลึก เพื่อเอามาทำไม้เสียบตัวน้ำตาลปั้น ส่วนตัวแบบพิมพ์ก็ต้องทำจากดินเผา ไม่เหมือนปัจจุบันที่หาแบบพิมพ์สำเร็จรูปได้ง่าย" ลุงสมพงษ์เล่า

    อย่างไรก็ดี เมื่อสังคมเข้าสู่ยุคแห่งความเจริญ อุปกรณ์ในการทำต่างๆ ก็สามารถหาได้ง่ายขึ้น ทั้งไม้เสียบ และแบบพิมพ์ แต่ก็ต้องยอมแลกกับต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะน้ำตาลทราย ขณะเดียวกันการจะอยู่ให้รอดในสังคมยุคใหม่ อย่างที่ลุงสมพงษ์บอก ความใหม่ และการคิดสร้างสรรค์เป็นสิ่งที่จะหยุดนิ่งไม่ได้

    ฟังได้จาก ชาย อ่อนจรูณ วัย 53 ปี คนขายน้ำตาลปั้นโบราณมากว่า 10 ปี ที่บอกว่า มีความจำเป็นอย่างยิ่ง ที่จะต้องดูตลาดของกลุ่มเด็กๆ ด้วย เพราะการจะขายดีหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับแบบการปั้น อย่างสมัยก่อนแบบที่เด็กๆ จะชื่นชอบมีอยู่ไม่กี่แบบ เช่น ลิงตกปลา มังกร ไก่ นกแก้ว แต่สมัยนี้ ต้องคิด และตามกระแสให้ทัน เช่น โดราเอมอน หรือตัวหมีแพนด้ามาแรง ก็ต้องปั้นให้ได้


    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=right border=0><TBODY><TR><TD width=5>[​IMG]</TD><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=240 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=240>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>ลุงสมพงษ์ ขำอ่อน</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>นอกจากจะมุ่งเป้าไปที่เด็กอย่างเดียวแล้ว "ชาย" บอกต่อว่า เด็กวัยรุ่น ถือเป็นกลุ่มที่ต้องเอาใจไม่แพ้กัน โดยเฉพาะวันสำคัญอย่างวันวาเลนไทน์ ทำให้น้ำตาลปั้นรูปดอกไม้สีแดง หรือรูปหัวใจเป็นแบบที่ขายดี และมีคนสั่งทำมากเป็นพิเศษ เนื่องจากเป็นสื่อรักที่นิยมนำไปมอบให้แก่กัน รวมไปถึงผู้ใหญ่ที่เวลาเดินผ่านมาเห็น ก็จะย้อนนึกถึงอดีต และซื้อเก็บไปเป็นของที่ระลึกฝากลูกหลานที่บ้าน

    ด้านปัญหาการขาย นอกจากจะต้องแข่งขันกับการเปลี่ยนของสังคมแล้ว อุปสรรคจากครู และพ่อแม่ก็เป็นปัญหาการขายด้วยเหมือนกัน ด้วยเหตุผลว่า ลูกกินแล้วจะอ้วน ฟันผุ หรือไม่มั่นใจในตัวสีที่ใช้ในการปั้น

    ในประเด็นนี้ ลุงสมพงษ์ เป็นตัวแทนบอกว่า เมื่อก่อนถูกต่อต้านบ้าง แต่ปัจจุบันมีมากกว่า เพราะคนสมัยใหม่ให้ความสำคัญกับเรื่องสุขภาพเป็นพิเศษ จึงไม่นิยมให้ลูกซื้อกิน เพราะกลัวฟันผุ ซึ่งเรื่องนี้เขายอมรับ แต่การที่เด็กกินอย่างเหมาะสม และได้รับการปลูกฝังจากพ่อแม่เรื่องของการแปรงฟันทุกครั้งหลังกินเสร็จ ปัญหาฟันผุก็จะเกิดได้น้อย

    เช่นเดียวกับ ชาย ที่บอกว่า การที่เด็กกินแล้วฟันผุ เพราะเด็กกินไม่ถูกต้อง ดังนั้นพ่อแม่ไม่ควรต่อต้าน แต่ควรแนะนำไม่ให้ลูกกินบ่อยเกินไป นอกจากนี้ เวลาที่พ่อแม่เดินผ่าน อาจจะสอนลูกให้เห็นถึงความอดทนในการทำของคนขาย เพราะต้องเคี่ยวน้ำตาลเป็นวันๆ และต้องปั้นขึ้นรูปขณะน้ำตาลยังร้อน คล้ายกับการเป่าแก้ว ซึ่งต้องใช้ความอดทนที่สูง อีกทั้งยังต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ในการปั้น ที่จะต้องออกแบบให้น่าสนใจ ดึงใจคนซื้อ

    ดังนั้น ถ้าพ่อแม่ที่เคยเป็นเด็กในยุคขนมน้ำตาลปั้น ช่วยกันแนะนำอย่างถูกต้อง เด็กรุ่นใหม่ก็จะได้รู้จักขนมในสมัยพ่อแม่ว่ามีลักษณะเป็นอย่างไร รวมไปถึงความรู้เรื่องภูมิปัญญาของคนโบราณ ที่สามารถนำเอาน้ำตาลมาเคี่ยวจนปั้นเป็นรูปแบบต่างๆ ที่หลากหลาย ใช้ความอดทน และความพยายามที่สูงมาก ทั้งหมดนี้ถือเป็นแบบการสอน และตัวอย่างที่ดีให้กับเด็กยุคใหม่ได้ไม่น้อย


    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  10. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    สมัยก่อนไปเที่ยวงานวัด ต้องซื้อทานทุกครั้ง ของชอบ
    เดี๋ยวนี้ หาไม่ค่อยมีแล้ว

    .
     
  11. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>วันนี้คุณและลูกเก็บ "แคลเซียม" เพียงพอแล้วหรือยัง?
    http://www.manager.co.th/Family/ViewNews.aspx?NewsID=9530000075120

    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>1 มิถุนายน 2553 08:27 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=left border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=240 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=240>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>"วีรวรรณ เตชะเกรียงไกร" นักกำหนดอาหาร </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD width=5>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>"กระดูกพรุน" ใครว่าเกิดได้เฉพาะผู้สูงวัยเท่านั้น ลูกที่อยู่ในช่วงวัยรุ่นก็มีภาวะเสี่ยงได้เช่นกัน หากได้รับแคลเซียมไม่เพียงพอ ถ้าร่างกายขาดแคลเซียมจะทำให้กระดูกไม่แข็งแรง แตกหักง่าย เป็นตะคริว กล้ามเนื้อกระตุก และหัวใจเต้นผิดปกติ

    ในเรื่องนี้ วีรวรรณ เตชะเกรียงไกร นักกำหนดอาหาร โรงพยาบาลกรุงเทพ ให้ความรู้กับทีมงาน Life and Family ว่า แคลเซียมเป็นแร่ธาตุชนิดหนึ่งที่มีความจำเป็นต่อร่างกาย ประมาณร้อยละ 99 ของแคลเซียมในร่างกายถูกใช้เป็นส่วนประกอบของโครงสร้างกระดูก และฟัน ส่วนอีกร้อยละ 1 อยู่ในเลือด และเนื้อเยื้ออื่นๆ มีบทบาทสำคัญต่อการทำงานของกล้ามเนื้อ และระบบประสาท หัวใจ และหลอดเลือด ควบคุมการเข้าออกของสารต่างๆ ผ่านผนังเซลล์การหดตัวและคลายตัวของกล้ามเนื้อ และกระตุ้นการทำงานของเอนไซม์หลายชนิด

    "ปกติกระดูก และฟันจะมีการซ่อมแซมตัวเองตลอดเวลา โดยที่มีความสมดุลกันระหว่างกระบวนการสร้าง และการสลายแคลเซียม ตั้งแต่วัยเด็กและวัยรุ่นจะเป็นวัยที่มีกระบวนการสร้างมากกว่าการสลายจึงทำให้เกิดการสะสมแคลเซียมส่งผลให้มวลกระดูกเพิ่มขึ้น กระดูกมีความแข็งแรง แต่เมื่ออายุมากขึ้น จะมีกระบวนการสลายมากกว่าการสร้าง ส่งผลให้มีการสูญเสียมวลกระดูกมากกว่าวัยอื่นๆ ซึ่งเป็นสาเหตุของความเสี่ยงและการเกิดโรคกระดูกพรุน ทำให้กระดูกเกิดการแตกหักได้ง่าย และการเชื่อมต่อของกระดูกที่แตกหักล่าช้า ซึ่งส่งผลต่อคุณภาพของผู้สูงอายุ ในวัยเด็กเมื่อมีการขาดแคลเซียมก็จะส่งผลให้เกิดโรคกระดูกอ่อนได้เช่นกัน" นักกำหนดอาหารอธิบาย

    ดังนั้นการบริโภคแคลเซียมที่เพียงพอกับความต้องการในแต่ละวัย จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง กรมอนามัยกระทรวงสาธารณสุขได้กำหนด Adequate Intake หรือ AI คือ ปริมาณการบริโภคแคลเซียมที่เพียงพอเพื่อรักษาอัตราการเก็บแคลเซียมเพื่อกระดูกที่แข็งแรง ซึ่งปริมาณที่ร่างกายต้องการแคลเซียมในแต่ละวัยดังนี้

    เด็กทารกตั้งแต่แรกเกิด - 5 เดือน = นมแม่

    6 - 11 เดือน =270 มิลลิกรัม

    1 - 3 ปี = 500 มิลลิกรัม

    4 - 8 ปี = 800 มิลลิกรัม

    9 - 18 ปี = 1,000 มิลลิกรัม

    19 - 50 ปี = 800 มิลลิกรัม

    50 ปีขึ้นไป = 1,000 มิลลิกรัม

    อย่างไรก็ดี การเลือกบริโภคอาหารที่มีแคลเซียม ควรคำนึงถึงปริมาณ และแหล่งอาหารที่บริโภคด้วย อาหารที่มีแคลเซียมสูงและสามารถดูดซึมเพื่อนำไปใช้ได้ดี คือ อาหารประเภทนม ผลิตภัณฑ์จากนม และปลาที่สามารถบริโภคทั้งกระดูก แต่ "การดื่มนม" เป็นวิธีที่สามารถให้แคลเซียมได้เพียงพอตามที่ร่างกายต้องการได้ เพราะนม 1 กล่องมีแคลเซียม 250 มิลลิกรัม ถ้าดื่มวันละ 2 กล่องและรับประทานอาหารที่มีแคลเซียมก็มีความเพียงพอแล้ว


    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=400 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=400>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>*** ดื่มนมแล้ว "ท้องเสีย" มีวิธีแก้

    แต่สำหรับคนเอเชียส่วนใหญ่ไม่นิยมดื่มนม เพราะมีพื้นฐานการย่อยน้ำตาลนม (แลคโตส) ไม่ค่อยดี โดยเฉพาะผู้ใหญ่บางคนที่ดื่มนมแล้วมีอาการท้องอืด แน่นท้อง ท้องเสีย ซึ่งอาการเหล่านี้สามารถแก้ได้ นักกำหนดอาหารแนะว่า ควรเริ่มต้นดื่มนมในปริมาณที่น้อยก่อน จากนั้นค่อยๆ เพิ่มปริมาณมากขึ้นตามลำดับ ซึ่งร่างกายจะสามารถผลิตน้ำย่อยน้ำตาลนม (แลคโตส) ได้มากตามไปด้วย เพื่อปรับสมดุลของกระบวนการย่อยในร่างกาย หากบางคนไม่ชอบดื่มนมวัวสามารถดื่มนมถั่วเหลืองทดแทนก็ได้ เพราะนมถั่วเหลืองแบบกล่องจะมีการเติมแคลเซียมลงไปเท่ากับแคลเซียมในนมวัว แต่ไม่ใช่น้ำเต้าหู้ที่ขายตามท้องตลาด เพราะไม่ได้ให้แคลเซียมกับร่างกายเลย

    *** กินแคลเซียมจากอาหารไทย

    ขณะเดียวกันคนเรามักจะเริ่มใส่ใจดูแลสุขภาพ เมื่อถึงเวลาเจ็บไข้ได้ป่วย เช่นกับอาการขาดแคลเซียม หรือมีปัญหาเรื่องกระดูกพรุนในวัยชรา ซึ่งเป็นเรื่องปกติของคนไทย แต่อาหารไทยสามารถช่วยได้ เช่น น้ำพริกที่ทำจากกุ้งแห้ง กุ้งแห้งมีแคลเซียมค่อนข้างมาก เมื่อนำมาทำอาหารเพียง 1 ขีด ก็ให้แคลเซียมได้ถึง 2,305 มิลลิกรัม ซึ่งความต้องแคลเซียมในวัยนี้จะอยู่ที่ 800 มิลลิกรัม ในขณะที่ผักบางชนิดก็ให้แคลเซียมสูงเช่นกัน เช่น ใบชะพลู ผักแพว ใบยอ แต่การรับประทานผัก ผลไม้ และเมล็ดธัญพืชบางชนิดก็มีสารออกซาเลต และไฟรเตทที่ยับยั้งกระบวนการสร้างแคลเซียม ถึงแม้มีการทดลองและวิจัยว่ามีปริมาณแคลเซียมในปริมาณหนึ่ง แต่เมื่อร่างกายรับประทานเข้าไปอาจจะได้แคลเซียมเพียงเล็กน้อย ซึ่งจะขึ้นอยู่กับการดูดซึมของร่างกายแต่ละคนด้วย


    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=right border=0><TBODY><TR><TD width=5>[​IMG]</TD><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=240 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=240>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>อารหารประภทที่ให้แคลเซียม/ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>ปัจจัยที่ส่งผลต่อการกระตุ้นการดูดซึมแคลเซียมในร่างกาย

    1. อัตราส่วนที่เหมาะสมของแคลเซียมต่อฟอสฟอรัส คือ 1:1 ในผู้ใหญ่ และ 2:1 ในเด็ก

    2. การได้รับวิตามินดีอย่างเพียงพอ

    3. ภาวะความเป็นกรดในกระเพาะอาหาร

    4. การรับประทานอาหารที่มีประจุเหมือนกับแคลเซียม เช่น เหล็ก สังกะสี คาเฟอีน เพราะจะถูกแย่งกันในการดูดซึมของร่างกาย

    อย่างไรก็ตาม การได้รับแคลเซียมมากเกินไป จะทำให้เสียสมดุลในร่างกายได้ มีการดูดซึมแร่ธาตุที่จำเป็นอื่นๆ ลดลง เช่น เหล็ก สังกะสี แมกนีเซียม และฟอสฟอรัส เกิดภาวะแคลเซียมในเลือดสูง ซึ่งมักพบเมื่อมีความผิดปกติของฮอร์โมนไทรอยด์ร่วมด้วย ดังนั้นจึงมีการกำหนดค่า Tolerable Upper Levels หรือ ULs คือ ปริมาณการบริโภคแคลเซียมสูงสุดที่สามารถเข้าสู่ร่างกาย โดยไม่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพทุกคนในครอบครัวทุกเพศทุกวัยคือ 2,000 มิลลิกรัม

    นักกำหนดอาหารรายนี้ฝากทิ้งท้ายว่า ทุกครอบครัวควรใส่ใจเรื่องการดื่มนมให้มากๆ ไม่ว่าจะลูก หรือว่าพ่อแม่ รวมไปถึงการออกกำลังควบคู่ไปด้วย เช่น กาวิ่งแบบลงน้ำหนัก จะช่วยทำให้มวลกระดูกแน่น และแข็งแรงมากขึ้น ซึ่งในวัยเด็กสามารถออกกำลังได้ทุกประเภท แต่สำหรับวัยผู้สูงอายุอาจจะเป็นการออกกำลังกายแบบเบาๆ เช่น การเดิน การขยับส่วนต่างๆ ของร่างกาย และการกินแคลเซียมเม็ดเสริม เป็นการเพิ่มแคลเซียมของคนที่ไม่ชอบดื่มนมหรือรับประทานอาหารประเภทที่ให้แคลเซียม ก็สามารถทำได้

    แต่การรับประทานในปริมาณที่มากก็อาจเกิดการสะสมของสารต้านการดูดซึมแร่ธาตุชนิดอื่นๆ ได้ อีกทั้งแคลเซียมเม็ดที่รับประทานกัน จะอยู่ในรูปของแคลเซียมคาร์บอเนตร้อยละ 40 ของปริมาณทั้งหมด ดังนั้นทางที่ดีควรดื่มนม รับประทานอาหารที่มีแคลเซียม และหมั่นดูแลสุขภาพของลูก และตัวพ่อแม่เอง นั่นจะช่วยให้มีกระดูกแข็งแรง โดยไม่ต้องรอให้ถึงช่วงวัยที่อายุเพิ่มมากขึ้น จึงจะสนใจในเรื่องของสุขภาพ

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  12. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>บุตรนอกสมรส /อ้วน อารีวรรณ
    http://www.manager.co.th/CelebOnline/ViewNews.aspx?NewsID=9530000075219
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>1 มิถุนายน 2553 12:05 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=right border=0><TBODY><TR><TD width=5>[​IMG]</TD><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=260 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=260>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>เนื่องจากการใช้ชีวิตคู่ในปัจจุบันนี้ มีมากมายหลายคู่ที่ไม่นิยมจดทะเบียนสมรสกัน ขอแค่จัดงานมงคลสมรสสมรักกันก็พอ

    แต่เมื่อมีบุตรและมีเหตุให้เลิกรากัน ก็อาจเกิดปัญหาขึ้นมาได้ เพราะถือว่า บุตรที่เกิดขึ้นมานั้น เป็น “บุตรนอกสมรส”

    เหตุผลที่ใช้คำนี้ เพราะกฎหมายรับรองเฉพาะการสมรสที่สมบูรณ์ตามกฎหมาย ที่จะทำให้เด็กเป็นบุตรในสมรสได้ ดังนั้นแม้ว่าจะรับรู้กันตั้งแต่หัวถนนจนปลายถนน หรือรับรู้กันทั้งเมืองที่อยู่ว่า เด็กคนนี้เป็นลูกของชายคนไหน แต่ก็ไม่ถือเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายของผู้ชายอยู่ดี

    และประเด็นสำคัญที่เป็นปัญหาทั้งข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายเมื่อเลิกรากันก็คือ “บุตร”

    บุตรควรอยู่กับใคร?
    ใครควรเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตร?
    ใครที่สามารถส่งเสียเลี้ยงดูบุตรได้ดีกว่ากัน?

    ถ้าตกลงกันในเรื่องเหล่านี้ได้ ก็คงไม่มีปัญหาอะไรมากมาย อาจจะมีข้อกังวลบ้าง ตรงที่เมื่ออีกฝ่ายหนึ่งหรือทั้งคู่แต่งงานใหม่ จะมีผลให้บุตรมีปัญหาหรือไม่? เรื่องนี้ก็คงต้องอยู่ที่การสร้างความเข้าใจ การให้ความรักความอบอุ่นกับตัวเด็ก

    ดิฉันเองได้มีโอกาสให้คำปรึกษากรณีที่ชายหญิงแต่งงานแต่ไม่จดทะเบียนสมรสกัน ต่อมามีเหตุให้เลิกรา และมีปัญหาเรื่องอำนาจปกครองบุตรหรือพูดง่ายๆ คือ ใครมีสิทธิเลี้ยงดูบุตร เพราะทางฝ่ายชายทั้งปู่และย่า ก็ไม่อยากให้บุตรหลานไปอยู่กับทางฝ่ายหญิง ซึ่งตามหลักกฎหมาย หากเด็กเป็นบุตรนอกสมรส ย่อมส่งผลให้เด็กต้องอยู่ใต้อำนาจปกครองของแม่เพียงคนเดียวเท่านั้น ชายผู้ให้กำเนิดจะไม่มีอำนาจปกครองบุตรเลย

    มีข้อยกเว้นอยู่เพียง 3 ประการเท่านั้น ที่ทำให้บุตรนอกสมรส กลายเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายของพ่อในภายหลัง คือ

    1. ศาลมีคำพิพากษาว่าเด็กเป็นบุตร เนื่องจากมีการฟ้องคดีขอให้รับเด็กเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายของชายผู้เป็นพ่อ
    2. หญิงได้จดทะเบียนสมรสกับชายที่เป็นผู้ให้กำเนิดบุตรนอกสมรส แม้ว่าจะจดทะเบียนภายหลังที่เด็กได้ถือกำเนิดมาแล้วก็ตาม ก็ส่งผลให้เด็กเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมาย
    3. ชายได้จดทะเบียนรับรองว่าเด็กเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมาย

    กรณีที่แม่เป็นผู้มีอำนาจปกครองบุตรแต่เพียงผู้เดียว เนื่องจากเป็นบุตรนอกสมรส แม่จึงเป็นผู้แทนโดยชอบธรรมของลูก มีสิทธิตามกฎหมายในการกำหนดที่อยู่ของบุตรซึ่งอาจให้เด็กอยู่กับตนเองหรือตายายหรือคนอื่น มีสิทธิทำโทษลูกได้ตามสมควรเพื่อว่ากล่าวสั่งสอน มีสิทธิให้ลูกทำการงานตามสมควรแก่ความสามารถและสภาพแห่งวัยของเด็กเช่น ทำงานบ้านเล็กๆ น้อยๆ

    นอกจากนี้แม่ยังมีสิทธิเรียกคืนบุตรจากบุคคลอื่นที่ไม่มีสิทธิกักตัวเด็กไว้ไม่ว่าบุคคลนั้นจะเป็นชายผู้ให้กำเนิดหรือญาติของเด็กก็ตาม และรวมทั้งการจัดการทรัพย์สินของบุตรด้วย

    กรณีบุตรอาจมีเงินได้ หรือเงินรายได้จากการประกอบอาชีพ เช่น เป็นค่าจ้างแสดงโฆษณาละคร ภาพยนตร์ หรือเงินปันผลให้หุ้น ดอกเบี้ยเงินฝากธนาคาร กฎหมายได้กำหนดให้แม่ผู้มีอำนาจปกครองใช้เงินนั้นเป็นค่าอุปการะเลี้ยงดูและการศึกษาของลูกก่อน ส่วนที่เหลือต้องเก็บรักษาไว้ให้ลูกเมื่อบรรลุนิติภาวะ แต่ถ้าแม่ไม่มีเงินได้เพียงพอในการดำรงชีวิตอยู่ตามสมควรแก่ฐานะ แม่อาจใช้เงินได้ของลูกนั้นได้ตามสมควรเพราะหน้าที่ของลูกคือจะต้องให้การอุปการะเลี้ยงดูพ่อและแม่ด้วย

    มีข้อยกเว้นว่า ทรัพย์สินเงินทองที่ลูกซึ่งเป็นเด็กมีอยู่ เป็นทรัพย์สินโดยการให้โดยเสน่หา หรือพินัยกรรม ซึ่งมีเงื่อนไขว่า ไม่ให้แม่หรือผู้ใช้อำนาจปกครองเด็กได้ประโยชน์จากทรัพย์สินนั้นก็ส่งผลให้แม่ไม่อาจใช้เงินได้ที่เกิดจากทรัพย์ดังกล่าวได้ เพราะเจตนาของผู้ให้หรือผู้ทำพินัยกรรมไม่ต้องการให้แม่หรือผู้ใช้อำนาจปกครองมายุ่งเกี่ยวกับทรัพย์สินของเด็ก

    หากต่อมาแม่จะได้ทำการสมรสกับชายอื่น อำนาจปกครองบุตรของแม่ก็ยังคงอยู่ต่อไป คู่สมรสคนใหม่ไม่ได้รับสิทธิหรืออำนาจปกครองเด็กแต่อย่างใด และไม่ส่งผลให้พ่อผู้ให้กำเนิดมีอำนาจปกครองบุตรนอกสมรสด้วย

    เว้นแต่มีกรณี แม่ยกเด็กให้เป็นบุตรบุญธรรมตามกฎหมายให้กับบุคคลอื่น ที่จะส่งผลให้แม่ไม่มีอำนาจปกครองบุตรอีกต่อไป เนื่องจากผู้รับบุตรบุญธรรมจะเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรแทนนับตั้งแต่วันที่เด็กเป็นบุตรบุญธรรมตามกฎหมาย

    หลายๆ คนอาจสงสัยว่า กรณีที่พ่อผู้ให้กำเนิด แม้ไม่ได้จดทะเบียนสมรสกับแม่ ไม่ได้จดทะเบียนรับรองว่าเด็กเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายด้วย มีเพียงพฤติการณ์หรือการแสดงออก เช่น บอกกล่าว ญาติพี่น้อง เพื่อนฝูง คนรู้จักว่าเด็กคนนี้เป็นลูก หากพ่อเสียชีวิตลง ลูกนอกสมรสจะได้รับมรดกของพ่อไหม?

    เรื่องนี้ ไม่ต้องห่วงคะ การที่ชายผู้ให้กำเนิดได้รับรองบุตรโดยพฤติการณ์หรือการแสดงออก ย่อมส่งผลให้บุตรนอกสมรส มีสิทธิในการรับมรดกของพ่อได้ เพียงแต่พ่อไม่มีอำนาจปกครองและไม่มีสิทธิเป็นผู้แทนโดยชอบธรรมตามกฎหมายครอบครัวเท่านั้น

    และการเป็นผู้แทนโดยชอบธรรมของผู้ใช้อำนาจปกครองบุตร ไม่ว่าจะเป็นบุตรนอกสมรสหรือบุตรในสมรส มีจะอยู่ตลอดไปจนกว่าเด็กจะบรรลุนิติภาวะ หรือจนกว่าจะมีการถอนอำนาจปกครองโดยคำสั่งของศาล ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้ใน 5 กรณี ดังนี้

    1. ผู้ใช้อำนาจปกครองถูกศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถหรือเสมือนไร้ความสามารถ
    2. ผู้ใช้อำนาจปกครองใช้อำนาจปกครองเกี่ยวแก่ตัวเด็กโดยไม่ชอบ ซึ่งส่งผลต่อร่างกายจิตใจ สวัสดิภาพของเด็ก รวมถึงไม่ปฏิบัติหน้าที่การดูแลเด็ก เช่น ไม่ให้การศึกษา ไม่อุปการะเลี้ยงดู ปล่อยปละละเลยเด็ก เสี้ยมสอนเด็กให้กระทำผิดกฎหมาย เป็นต้น
    3. ผู้ใช้อำนาจปกครองประพฤติชั่วร้าย เช่น กระทำความผิดทางอาญา ปล้น ฆ่า ข่มขืน ค้ายาเสพติด คุมซ่องโสเภณี เป็นต้น
    4. ผู้ใช้อำนาจปกครองล้มละลาย
    5. ผู้ใช้อำนาจปกครองจัดการทรัพย์สินในทางที่ผิดจนอาจเป็นปัญหา

    เรื่องราวที่นำเสนอครั้งนี้ เป็นประเด็นข้อกฎหมาย เพียงให้ทราบถึงสิทธิและหน้าที่ของบิดา มารดา กับบุตร ในบางส่วนเท่านั้น โดยเน้นประเด็นที่เรื่อง “บุตรนอกสมรส” “การใช้อำนาจปกครองบุตร” และอื่นๆ โดยคาดหวังว่าเรื่องเหล่านี้พอจะช่วยแก้ไขปัญหาข้อสงสัยบางอย่างได้

    ส่วนตัวดิฉันเองนั้นมีความเชื่อว่า หากทั้งสองฝ่ายสามารถเจรจาตกลงกัน โดยยึดหลักสำคัญ ให้ลูกที่เกิดมาได้รับสิ่งดีๆ สำหรับตัวเขาให้มากที่สุด หลักกฎหมายเหล่านั้นอาจจะไม่มีความจำเป็นเลยก็ได้นะคะ

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  13. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    สวนเสือจับ สุกร สุนัข เสือ อยู่ร่วมกันอย่างมีมิตรภาพ
    1 มิย. 2553 17:05 น.



    ผู้สื่อข่าวรายงานจากจ.ชลบุรี แจ้งว่า สวนเสือศรีราชา ต.หนองขาม อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี นาง ระพีพรรณ ศิวธาดา เจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์สวนเสือศรีราชา ได้พาผู้สื่อข่าวเข้าชมความน่ารักของ สุกร สุนัข และเสือ ที่อยู่ร่วมกันในกรงเดียวกัน แม้ว่าเสือจะแกล้งไล่กัดสุกรบ้างเป็นบางเวลาแต่สุนัขก็จะคอยเห่าห้ามและกันไว้ตลอด ซึ่งเสือก็จะกลัวเจ้าสุนัขที่เห่าห้ามปรามไม่ให้แกล้งสุกรที่วิ่งหนีรอบกรง แถมยังยอมอ่อนข้อให้สุนัขอีกด้วย ซึ่งทำให้นักท่องเที่ยวต่างพากันชื่นชมความชาญฉลาดของสุนัขทั้ง 2 ตัวที่คอยปรามเสือที่ชอบแกล้งสุกร ซึ่งภายในกรงนั้นจะมีสุนัขพันธ์โกลเด้นเพศผู้จำนวน 2 ตัว เสือโคร่งเพศผู้ 1 ตัวและสุกรเพศผู้ 1 ตัว โดยสวนเสือศรีราชาได้นำมาเลี้ยงรวมกันไว้ตั้งแต่เล็กๆ ซึ่งเป็นสัตว์ที่ต่างพันธ์ต่างเชื้อสายแต่สามารถอยู่รวมกันได้อย่างปกติสุขและมีมิตรภาพ


    ที่มา
     
  14. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    มิตรภาพของเสือ หมู หมา ที่สวนเสือฯ


    สุกร สุนัข เสือ อยู่ร่วมกันอย่างมีมิตรภาพ แม้ว่าเสือจะชอบแกล้งไล่กัดสุกรแต่สุนัขห้ามก็ตาม

    ที่สวนเสือศรีราชา ตำบลหนองขาม อำเภอศรีราชา นางระพีพรรณ ศิวธาดา เจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์สวนเสือศรีราชา ได้พาผู้สื่อข่าวเข้าชมความน่ารักของ สุกร สุนัข และเสือ ที่อยู่ร่วมกันในกรงเดียวกัน แม้ว่าเสือจะแกล้งไล่กัดสุกรบ้างเป็นบางเวลาแต่สุนัขก็จะคอยเห่าห้ามตลอด ซึ่งเสือก็กลัวเจ้าสุนัขที่เห่าห้ามปรามไม่ให้แกล้งสุกรที่วิ่งหนีรอบกรง ทำให้นักท่องเที่ยวต่างพากันชื่นชมความชาญฉลาดของสุนัขที่คอยปรามเสือที่ชอบแกล้งสุกร ซึ่งภายในกรงนั้นจะมีสุนัขพันธ์โกลเด้นจำนวน 2 ตัว เสือโคร่ง 1 ตัวและสุกร 1 ตัว โดยสวนเสือศรีราชาได้นำมาเลี้ยงรวมกันไว้ตั้งแต่เล็กๆ ซึ่งเป็นสัตว์ที่ต่างพันธ์ต่างเชื้อสายแต่สามารถอยู่รวมกันได้อย่างปกติสุข
    2010-06-01

    [​IMG] [​IMG]
    [​IMG] [​IMG]
    .

    Buraphanews.com -
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 2010053163.jpe
      2010053163.jpe
      ขนาดไฟล์:
      21.7 KB
      เปิดดู:
      189
    • 2010053164.jpe
      2010053164.jpe
      ขนาดไฟล์:
      23.8 KB
      เปิดดู:
      180
    • 2010053165.jpe
      2010053165.jpe
      ขนาดไฟล์:
      23.2 KB
      เปิดดู:
      152
    • 2010053166.jpe
      2010053166.jpe
      ขนาดไฟล์:
      22.9 KB
      เปิดดู:
      158
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 มิถุนายน 2010
  15. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ sithiphong [​IMG]
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>"น้ำตาลปั้น" สีสันงานวัด ขนมเด็กโบราณที่ใกล้สูญ!
    Life & Family - Manager Online

    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>2 มิถุนายน 2553 08:21 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=left border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=240 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=240>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD width=5>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>หากย้อนกลับไปเมื่อ 20 ปีก่อน ขนมในงานวัดที่เด็กจะมีความสุขกับรสชาติ และรูปแบบ คงหนีไม่พ้น "น้ำตาลปั้น" อมยิ้มโบราณที่คนขายจะนั่งปั้นขึ้นรูปด้วยมือ ไม่ว่าจะเป็นตัวสัตว์ หรือดอกไม้รูปแบบต่างๆ เช่น ลิงตกปลา นกแก้ว มังกร ไก่ กุหลาบ ที่ถึงแม้จะไม่ถูกชะตากับพ่อแม่หลายคนมากนัก เพราะทำให้ลูกฉันฟันผุ แต่ความนิยมก็ยังแทรกซึมผ่านสังคมหลายพ.ศ.มาได้จนมาถึงปัจจุบัน

    แต่กระนั้น สมพงษ์ ขำอ่อน คุณลุงวัย 71 ปี ผู้ขายน้ำตาลปั้นโบราณมากว่า 50 ปี จากจ.นครสวรรค์ ก็บอกว่า ถึงจะรอดมาได้ แต่ก็มีให้เห็นอยู่น้อยแล้ว เพราะต้นทุนในการทำสูงขึ้น บวกกับไม่มีคนสานต่อ เนื่องจากต้องใช้ความอดทน และความพยายามที่สูง ลำพังคนรุ่นใหม่ไม่ทนกับงานชนิดนี้เท่าที่ควร ทำให้คนขายน้ำตาลปั้นโบราณที่ยังเหลืออยู่ ต้องปรับตัว และคิดให้ใหม่ตามกระแสการเปลี่ยนแปลงของสังคม เพื่อเอาตัวรอด ตลอดจนสืบทอดให้คนรุ่นใหม่ได้รู้จักต่อไป

    สำหรับจุดกำเนิดของน้ำตาลปั้น ลุงสมพงษ์ เล่าให้ฟังว่า ขนมน้ำตาลปั้นเป็นของคู่กันกับงิ้ว ซึ่งจะตั้งขายอยู่หน้าโรงงิ้ว โดยคนจีนแต้จิ๋วเป็นผู้นำเข้ามาขายในประเทศไทย มีชุดอุปกรณ์ที่พับเก็บได้ในตัวเดียวกัน สะดวกตอนขนย้ายเวลาไปขายตามสถานที่ต่างๆ ประกอบด้วย เก้าอี้นั่ง เตาทองเหลือง 4 ช่องเอาไว้ใส่น้ำตาลเคี่ยว 3 สี คือ ขาว หรือน้ำตาล แดง และเขียว นอกจากนี้ ยังมีที่สูบลม แม่พิมพ์แบบต่างๆ ที่สมัยก่อนจะทำจากดินเผา

    "เมื่อก่อนลำบากมากกว่า จะต้องเข้าไปตัดต้นอ้อในป่าลึก เพื่อเอามาทำไม้เสียบตัวน้ำตาลปั้น ส่วนตัวแบบพิมพ์ก็ต้องทำจากดินเผา ไม่เหมือนปัจจุบันที่หาแบบพิมพ์สำเร็จรูปได้ง่าย" ลุงสมพงษ์เล่า

    อย่างไรก็ดี เมื่อสังคมเข้าสู่ยุคแห่งความเจริญ อุปกรณ์ในการทำต่างๆ ก็สามารถหาได้ง่ายขึ้น ทั้งไม้เสียบ และแบบพิมพ์ แต่ก็ต้องยอมแลกกับต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะน้ำตาลทราย ขณะเดียวกันการจะอยู่ให้รอดในสังคมยุคใหม่ อย่างที่ลุงสมพงษ์บอก ความใหม่ และการคิดสร้างสรรค์เป็นสิ่งที่จะหยุดนิ่งไม่ได้

    ฟังได้จาก ชาย อ่อนจรูณ วัย 53 ปี คนขายน้ำตาลปั้นโบราณมากว่า 10 ปี ที่บอกว่า มีความจำเป็นอย่างยิ่ง ที่จะต้องดูตลาดของกลุ่มเด็กๆ ด้วย เพราะการจะขายดีหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับแบบการปั้น อย่างสมัยก่อนแบบที่เด็กๆ จะชื่นชอบมีอยู่ไม่กี่แบบ เช่น ลิงตกปลา มังกร ไก่ นกแก้ว แต่สมัยนี้ ต้องคิด และตามกระแสให้ทัน เช่น โดราเอมอน หรือตัวหมีแพนด้ามาแรง ก็ต้องปั้นให้ได้



    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=right border=0><TBODY><TR><TD width=5>[​IMG]</TD><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=240 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=240>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>ลุงสมพงษ์ ขำอ่อน</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>นอกจากจะมุ่งเป้าไปที่เด็กอย่างเดียวแล้ว "ชาย" บอกต่อว่า เด็กวัยรุ่น ถือเป็นกลุ่มที่ต้องเอาใจไม่แพ้กัน โดยเฉพาะวันสำคัญอย่างวันวาเลนไทน์ ทำให้น้ำตาลปั้นรูปดอกไม้สีแดง หรือรูปหัวใจเป็นแบบที่ขายดี และมีคนสั่งทำมากเป็นพิเศษ เนื่องจากเป็นสื่อรักที่นิยมนำไปมอบให้แก่กัน รวมไปถึงผู้ใหญ่ที่เวลาเดินผ่านมาเห็น ก็จะย้อนนึกถึงอดีต และซื้อเก็บไปเป็นของที่ระลึกฝากลูกหลานที่บ้าน

    ด้านปัญหาการขาย นอกจากจะต้องแข่งขันกับการเปลี่ยนของสังคมแล้ว อุปสรรคจากครู และพ่อแม่ก็เป็นปัญหาการขายด้วยเหมือนกัน ด้วยเหตุผลว่า ลูกกินแล้วจะอ้วน ฟันผุ หรือไม่มั่นใจในตัวสีที่ใช้ในการปั้น

    ในประเด็นนี้ ลุงสมพงษ์ เป็นตัวแทนบอกว่า เมื่อก่อนถูกต่อต้านบ้าง แต่ปัจจุบันมีมากกว่า เพราะคนสมัยใหม่ให้ความสำคัญกับเรื่องสุขภาพเป็นพิเศษ จึงไม่นิยมให้ลูกซื้อกิน เพราะกลัวฟันผุ ซึ่งเรื่องนี้เขายอมรับ แต่การที่เด็กกินอย่างเหมาะสม และได้รับการปลูกฝังจากพ่อแม่เรื่องของการแปรงฟันทุกครั้งหลังกินเสร็จ ปัญหาฟันผุก็จะเกิดได้น้อย

    เช่นเดียวกับ ชาย ที่บอกว่า การที่เด็กกินแล้วฟันผุ เพราะเด็กกินไม่ถูกต้อง ดังนั้นพ่อแม่ไม่ควรต่อต้าน แต่ควรแนะนำไม่ให้ลูกกินบ่อยเกินไป นอกจากนี้ เวลาที่พ่อแม่เดินผ่าน อาจจะสอนลูกให้เห็นถึงความอดทนในการทำของคนขาย เพราะต้องเคี่ยวน้ำตาลเป็นวันๆ และต้องปั้นขึ้นรูปขณะน้ำตาลยังร้อน คล้ายกับการเป่าแก้ว ซึ่งต้องใช้ความอดทนที่สูง อีกทั้งยังต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ในการปั้น ที่จะต้องออกแบบให้น่าสนใจ ดึงใจคนซื้อ

    ดังนั้น ถ้าพ่อแม่ที่เคยเป็นเด็กในยุคขนมน้ำตาลปั้น ช่วยกันแนะนำอย่างถูกต้อง เด็กรุ่นใหม่ก็จะได้รู้จักขนมในสมัยพ่อแม่ว่ามีลักษณะเป็นอย่างไร รวมไปถึงความรู้เรื่องภูมิปัญญาของคนโบราณ ที่สามารถนำเอาน้ำตาลมาเคี่ยวจนปั้นเป็นรูปแบบต่างๆ ที่หลากหลาย ใช้ความอดทน และความพยายามที่สูงมาก ทั้งหมดนี้ถือเป็นแบบการสอน และตัวอย่างที่ดีให้กับเด็กยุคใหม่ได้ไม่น้อย



    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    <TABLE class=tborder cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=thead>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 35 คน ( เป็นสมาชิก 4 คน และ บุคคลทั่วไป 31 คน ) </TD><TD class=thead width="14%"><CENTER">[ แนะนำเรื่องเด่น ] </TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>sithiphong, chantasakuldecha+, nongnooo+, somlatri </TD></TR></TBODY></TABLE>

    อ่า ลุงnongnooo นี่ทันแน่นอน แต่น้องchantasakuldecha สงสัยว่าไม่ทัน หรือว่าเคยทานมาแล้วครับ

    .
     
  16. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR vAlign=bottom><TD>[​IMG]</TD><TD></TD><TD width="100%">PaLungJit.com > พุทธศาสนา > อภิญญา - สมาธิ > สายพระป่าธรรมยุติ - หลวงปู่มั่น </TD></TR><TR><TD class=navbar style="FONT-SIZE: 10pt; PADDING-TOP: 1px" colSpan=3>[​IMG] นำ ภ า พ เ ก่ า ๆ ที่ ห า ดู ไ ด้ ย า ก ม า ก ๆ สายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต


    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    http://palungjit.org/threads/นำ-ภ-า...-า-ก-ม-า-ก-ๆ-สายหลวงปู่มั่น-ภูริทัตโต.164973/

    http://palungjit.org/threads/นำ-ภ-า...-า-ก-ม-า-ก-ๆ-สายหลวงปู่มั่น-ภูริทัตโต.164973/


    .


    .


    .
     
  17. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ผ้ายันต์ครอบจักรวาล รุ่นพิเศษ

    ในวันงานกองทุนหาพระถวายวัด ผมจะเตรียมไปแจกให้กับทุกๆท่านที่ไปงาน (ถ้าผมไม่ลืม) ช่วยเตือนผมด้วยนะครับ

    จากกระทู้
    โครงการจัดทำผ้ายันต์ครอบจักรวาลรุ่นพิเศษหลวงปู่เทพโลกอุดร .
    http://palungjit.org/showthread.php?p=583434
    http://palungjit.org/showthrea...2445&page=1303

    พระอาจารย์นิลท่านเคยได้ขออนุญาตหลวงปู่สุภา เรื่องของยันต์ นำมาจัดสร้างผ้ายันต์ครอบจักรวาล ปกติแล้ว หลวงปู่สุภาท่านไม่อนุญาตให้นำยันต์ออกมาจัดสร้างนอกวัด และมีการจดลิขสิทธิ์ไว้เรียบร้อยแล้ว

    [​IMG]

    ในการจัดสร้างครั้งนี้ พระอาจารย์นิล พร้อมด้วยคณะศิษย์หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร ,คณะศิษย์หลวงปู่สุภา และคณะศิษย์พระราชพรหมยาน(หลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง) เป็นผู้ที่พร้อมใจร่วมกันจัดสร้างขึ้น

    การอธิษฐานจิต
    พระอาจารย์นิล ท่านได้นำผ้ายันต์ชุดนี้ ไปขอความเมตตาหลวงปู่สุภา ท่านอธิษฐานจิต เมื่อหลวงปู่สุภาท่านเมตตาอธิษฐานจิตเรียบร้อยแล้ว ก็ได้นำมาเข้าพิธีพุทธาภิเษก อีกครั้ง โดยครั้งนี้ได้เชิญคณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร ,สำเร็จลุน พระครูโพนเสม็ด (ญาคูขี้หอม) พระอาจารย์สีทัตถ์ วัดท่าอุเทน นครพนม ,พระครูวิหารกิจจานุการ(หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค) พระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง)

    การอธิษฐานจิตผ้ายันต์ชุดนี้ เป็นการอธิษฐานจิตถึง 3 สายด้วยกัน คือ
    1.สายหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร (หลวงปู่สุภา ท่านเป็นลูกศิษย์หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า และหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า เป็นลูกศิษย์หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร) )
    2.สำเร็จลุน พระครูโพนเสม็ด (ญาคูขี้หอม) พระอาจารย์สีทัตถ์ วัดท่าอุเทน นครพนม
    3.พระครูวิหารกิจจานุการ(หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค) พระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง)

    ซึ่งการจัดสร้างนี้ ได้สร้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว มีการแจกทหารทางภาคใต้ไปเป็นจำนวนมากพอสมควร พระอาจารย์นิลท่านได้ติดตามความคืบหน้าในการแจกผ้ายันต์ และพระอาจารย์นิล ท่านได้มาบอกกับผมและอีกหลายๆท่าน (ในวันงานสรงน้ำพระบรมสารีริกธาตุและพระธาตุ ที่บ้านท่านอาจารย์ประถม อาจสาคร จังหวัดชลบุรี) ให้ทราบว่า สำหรับทหารที่ได้รับแจกผ้ายันต์ครอบจักรวาล ยังไม่มีใครที่ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิตเลย

    สำหรับท่านที่ได้รับไปแล้ว เก็บรักษาไว้ให้ดีนะครับ หรืออาจจะนำมาใส่กรอบและแขวนไว้ที่ประตูบ้าน ดีมากๆครับ

    http://palungjit.org/forums/พம.ml#post2057294

    หน้าที่ 1521

    .
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 มิถุนายน 2010
  18. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    อัตตประวัติ ๑๐๖ ปี



    หลวงปู่สุภา กันตสีโล



    อริยสงฆ์ห้าแผ่นดิน ผู้ยิ่งด้วยเมตตาบารมี



    ถนนเจ้าฟ้าตะวันตก ตำบลฉลอง อำเภอเมือง จังหวัดภูเก็ต​

    คัดลอกจาก http://www.luangpoosupa.com
    http://www.dharma-gateway.com/monk/m...-supa-hist.htm

    มีผู้กล่าวว่า กว่าจะมีพระอรหันต์ปรากฏในโลกย่อมนานแสนนาน ทั้งเมื่อพระอรหันต์ปรากฏแล้วก็จะมีเพียงผู้คนไม่กี่ร้อยกี่พันคนเท่านั้นที่จะสามารถเข้าใจในความเป็นพระอรหันต์ และได้รับการโปรดด้วยธรรมะอันลุ่มลึก และพิสดารจนสามารถเข้าถึงแก่นแท้แห่งชีวิตและความเป็นอนิจจัง ด้วยว่าพระอรหันต์ย่อมแสดงกิริยาอาการหรือสื่อความเป็นพระอรหันต์มิได้แต่เพียงน้อยนิด ด้วยสมเด็จพระทศพลญาณทรงปรับโทษสูงถึงอาบัติปาราชิก แม้จะมีภูมิธรรมอันเป็นพระอรหันต์ก็ตามที ดังนั้น แม้จะไม่พบอาจพบพระอรหันต์ได้ในชีวิตนี้ ก็ยังมีพระสุปฏิปันโน อันเป็นเนื้อนาบุญของสัตว์โลก ผู้เป็นพุทธศาสนิกชนให้ได้บูชาสักการะ เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ชีวิตของตนเองและบุคคลอันเป็นที่รัก สมเด็จพระญาณไตรโบกนาถบรมศาสดาทรงตรัสไว้ชัดเจนว่า พระสุปฏิปันโน เปรียบเสมือนนาข้าวอันอุดมสมบูรณ์ไปด้วยอินทรีย์สารอันมีประโยชน์ต่อการเจริญเติบโตของต้นข้าว ให้รวงข้าวอันเต่งทุกเม็ด ให้ผลแก่ร่างกายมนุษย์และสัตว์เมื่อบริโภค ข้าวเปลือกเปรียบเสมือนทานบารมีที่พุทธศาสนิกชนได้หว่าลงในเนื้อนาบุญของสัตว์โลก คือพระสุปฏิปันโน ย่อมให้ต้นข้าวและรวงข้าวอันมีโภคผลในกรหล่อเลี้ยงชีวิตของผู้ล่วงลับดับไปจากโลกนี้แล้ว และให้ความอยู่ดีมีสุขแก่ผู้ที่ยังต้องดำรงชีวิตอยู่ในโลกอันเต็มไปด้วยกิเลสและตัณหาอันเชี่ยวกรากเสมือนเรืออันแข็งแรงพาผู้โดยสารข้ามวังวนแห่งกิเลสไปสู่ฝั่งพระนิพพาน ตามกำลังแห่งศรัทธาปสาทะและความตั้งใจอันบริสุทธิ์ของแต่ละบุคคล ดังนั้นจะขอนำท่านไปพบกับหลวงพ่อสุภา กันตะสีโล ผู้ยิ่งด้วยเมตตาบารมี พระสุปฏิปันโนผู้เป็นเนื้อนาบุญอันไพศาลของโลกอีกองค์หนึ่ง ซึ่งชีวิตท่านอุทิศแล้วแก่พระพุทธศาสนา และอุทิศแก่การโปรดสัตว์ผู้ยาก พ้นแก่วังวนของกิเลสและตัณหา แผ่เมตตาธรรมโดยถ้วนห้าแก่ทุกชีวิตที่เข้ามาพึ่งใบบุญ สงเคราะห์แก่ทุกผู้ทุกนามโดยไม่เลือกชั้นวรรณะ สายตาของท่านมองดูสัตว์โลกด้วยความเท่าเทียมกันในความเป็นมนุษย์ประเสริฐ มองลึกเข้าไปจากเสื้อผ้าอาภรณ์เครื่องประดับและยศถาบรรดาศักดิ์จอมปลอม ทุกคนจึงได้รับการปฏิบัติจากหลวงพ่อสุภา กันตะสีโลโดยเท่าเทียมทุกวันวาร



    ปฐมบทของหลวงปู่สุภา กันตสีโล

    ครอบครัวของท่านขุนภักดี หรือผู้ใหญ่บ้านพล วงศ์ภาคำ และนางสอ วงศ์ภาคำ เป็นที่เคารพของชาวบ้านคำบ่อ อ.วารินชำราบ จ.สกลนคร ทั้งนี้เพราะท่านผู้ใหญ่พลสร้างแต่ความดี มีน้ำใจและบำบัดทุกข์บำรุงสุขของราษฎรในปกครองอย่างเสมอหน้า ว่ากล่าวตักเตือนด้วยความเมตตา เมื่อพบผู้กระทำผิดอันพอจะอภัยได้ และกระทำการจับกุมอย่างเด็ดขาดในกรณีที่กฎหมายไม่อาจจะละเว้นหรือตักเตือนได้ ทุกคนจึงพร้อมที่จะร่วมมือกันท่านผู้ใหญ่พลในทุก ๆ ด้าน บ้านคำบ่อจึงอยู่กันอย่างสงบสุขตลอดมา
    วันพฤหัสบดีที่ ๑๗ กันยายน พุทธศักราช ๒๔๓๙ ตรงกับวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๐ ปีวอก คุณแม่สอก็ให้กำเนิดบุตรชายคนที่ ๘ ในสกุลวงศ์ภาคำ เป็นเด็กที่มีความอ้วนท้วนสมบูรณ์ หน่วยก้านบอกว่า ต่อไปจะเป็นคนดีของบ้านเมือง และคนดีศรีวงศ์ตระกูล ท่านผู้ใหญ่พล จึงให้นามบุตรชายคนนี้ว่า “สุภา” อันประกอบด้วย “สุ” แปลว่า “ดี” และ “ภา” มาจากส่วนหนึ่งของสกุลว่า “วงศ์ภาคำ” ซึ่งมีความหมายว่า คนดีของตระกูลวงศ์ภาคำ นั่นเอง
    หลวงปู่สุภามีพี่น้องทั้งหมด 8 คน คือ
    1. นางสี วงศ์ภาคำ (ถึงแก่กรรม)
    2. นายเสน วงศ์ภาคำ (บวชเป็นพระภิกษุ - มรณภาพ)
    3. นางผม วงศ์ภาคำ (ถึงแก่กรรม)
    4. นางเกตุ วงศ์ภาคำ (ถึงแก่กรรม)
    5. นายจันทร์เพ็ง วงศ์ภาคำ (ถึงแก่กรรม)
    6. หลวงปู่สุภา กนฺตสีโล
    7. นางมาลีจันทร์ วงศ์ภาคำ (ถึงแก่กรรม)
    8. นางกา วงศ์ภาคำ (ยังมีชีวิตอยู่)
    หลวงปู่สุภารำลึกความหลังให้กับสานุศิษย์ได้รับรู้ว่า เมื่อท่านยังเป็นเด็กที่มีรูปร่างอ้วนท้วน เจ้าเนื้อ ผิวขาว ซุกซนตามประสาเด็กทั่วไป แต่ไม่สร้างความเดือดร้อนแก่ผู้อยู่ในครอบครัว และผู้ที่อยู่ใกล้ชิด เมื่อวัยของท่านเจริญเติบโตเพียงพอจะเล่าเรียนได้แล้ว ผู้เป็นบิดาของท่านได้พาไปฝากไว้ในวัด ให้ได้เล่าเรียนเขียนอ่านตามสมควรแก่วัย และเวลาหลวงปู่เป็นเด็กที่ว่านอนสอนง่าย มักชอบเล่าเรียนมากว่าเด็กในรุ่นเดียวกัน
    หลวงปู่สุภายังจำได้แม่นยำเหมือนเพิ่งเกิดเมื่อไม่กี่วันมานี้ ถึงสิ่งที่ท่านได้ประสบกับสิ่งที่เรียกว่า “การพยากรณ์” จากปากของพระธุดงค์ที่มาปักกลดใต้ต้นตะแบกใหญ่ท้ายหมู่บ้านคำบ่อ เด็กน้อยชื่อสุภา วัยเพียง ๗ ขวบ คลานเข้าไปกราบแทบตักพระธุดงค์ มือของพระธุดงค์ลูบศีรษะของเด็กน้อยด้วยความเอ็นดู บอกให้ลุกขึ้นนั่งทอดสายตา มองดูรูปร่างของเด็กน้อยที่นั่งอยู่ตรงหน้าเป็นครู่ใหญ่ จึงกล่าวกับเด็กน้อยหรือหลวงปู่สุภาเมื่อตอนอายุได้ ๗ ขวบ ว่า
    “เด็กน้อยเอ๊ย ต่อไปเจ้าจักได้บวชเรียน ถวายตัวในพุทธศาสนา บวชเมื่อใดแล้วจงอย่างลืมไปเสาะหาหลวงพ่อให้จงได้ อย่าลืมนะ พบกันในวาระที่เจ้าได้ครองผ้าเหลืองเหมือนหลวงพ่อนี้แหละ”
    หลวงปู่สุภาเมื่อยังเป็นเด็ก ไม่เข้าใจว่านั่นคือคำพยากรณ์ จึงไม่ใส่ใจ แต่ได้จ้องดูหน้าของพระธุดงค์จนจดจำองคาพยพไว้ได้ทั้งหมด ก่อนจะกราบลาออกไปวิ่งเล่นตามประสาเด็กซุกซนตามปกติ
    วันเวลาเคลื่อนคล้อยไปอีกสองปีเต็ม หลวงปู่สุภามีอายุได้ ๙ ขวบ จึงขอผู้เป็นบิดาออกบรรพชาเป็นสามเณร ท่านผู้ใหญ่พลไม่ขัดข้อง เพราะเห็นแล้วว่า หลวงปู่สุภาเป็นผู้เอาใจใส่ในการเล่าเรียน แม้จะไม่ได้เรียนทางโลก หากแต่เรียนทางธรรม ย่อมมีความเจริญดุจเดียวกัน จึงนำไปให้พระอาจารย์สวนทำการบรรพชาเป็นสามเณรและสั่งสอนอบรมอยู่หนึ่งปีเต็ม
    วันหนึ่ง พระอาจารย์สวนได้บอกกับหลวงปู่สุภา
    “อย่างเณรมันต้องก้าวหน้ากว่านี้ ฉันจะพาเข้าเมืองอุบลฯ ไปเล่าเรียนต่อให้แตกฉาน อยู่กับฉันมันก็แค่นี้แหละเณร”
     
  19. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    พบพระผู้ให้การพยากรณ์

    พุทธศักราช ๒๔๔๙ หลวงปู่สุภา ได้รับการนำตัวลงมาจากบ้านคำบ่อ มาฝากไว้ในสำนักเรียนของพระมหาหล้า แห่งวัดไพรใหญ่ จ. อุบลราชธานี โดยพระมหาหล้าได้ทดสอบความรู้เบื้องต้น พบว่า หลวงปู่สุภาเมื่อเป็นสมาเณรมีความรู้เบื้องต้นดีมาก เรียนต่อก็ไม่ลำบากยากแก่การอบรม จึงร่วมกับอาจารย์ลุยผู้เป็นฆราวาสเปรียญธรรม อบรมสั่งสอนให้เล่าเรียน “มูลกัจจายน์” ห้าเล่มอยู่อย่างเอาเป็นเอาตาย หลวงปู่เล่าเรียนด้วยความมานะพยายาม จนจบมูลกัจจายน์ในขณะอายุได้ ๑๖ ปีพอดี หลวงปู่สุภาได้กราบเรียนถามพระมหาหล้าผู้เป็นอาจารย์สอนมูลกัจจายน์ว่า หากจะเล่าเรียนต่อไป จะไปทางไหนดี คำตอบของพระมหาหล้าคือ
    “มีอยู่สองทางคือ ไปเรียนบาลี เป็นมหาเปรียญ หรือไปเรียนวิปัสสนากรรมฐาน เป็นพระวิปัสสนาจารย์ เธอใคร่ครวญให้รอบคอบ แล้วจึงตัดสินใจ”
    ระหว่างสองทางเลือกนี้ สามเณรสุภาตัดสินใจระหว่าง ลาภ ยศ สรรเสริญ ทางเป็นมหาเปรียญ กับการเป็นวิปัสสนาจารย์ผู้คร่ำเคร่งกับการปฏิบัติทางจิตและการแสวงหาความวิเวก ท่ามกลางป่าเขาลำเนาไพรอันรกเรื้อ ห่างไกลจากความเจริญ ไม่มีพัดเปรียญธรรม ไม่อาจจะสละทางสงฆ์ เทียบวุฒิเข้าทำงานแบบฆราวาสได้เหมือนมหาเปรียญ มโนนึกต่อสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตาย ที่สุด ฝ่ายวิปัสสนาจารย์ก็ได้รับชัยชนะ
    ในระหว่างที่หลวงปู่สุภาจะก้าวออกนอกวัดไพรใหญ่ เพื่อเข้าสู่เส้นทางของวิปัสสนาจารย์ ก็ให้บังเอิญมีญาติโยมจากท่าอุเทนมาที่วัดไพรใหญ่ ได้มาทำบุญเบี้ยพระที่วัด และได้รู้จักกับสามเณรสุภา ได้เล่าความให้สามเณรฟังถึงพระภิกษุผู้เป็นพระสายวิปัสสนาที่ขณะนี้กำลังสร้างพระธาตุอุเทนว่า เป็นพระผู้มีเมตตาธรรมและมีบารมีธรรมอันน่าเคารพนับถือเป็นครูบาอาจารย์ นั่นคือสิ่งที่กระตุ้นให้สมเณรสุภา กราบลาพระมหาหล้า ออกเดินทางสู่ท่าอุเทนในทันที เพื่อไปนมัสการพระวิปัสสนาจารย์ ที่ได้รับการบอกเล่าจากญาติโยมชาวท่าอุเทน เมื่อไปถึงท่าอุเทนแล้ว ได้สอบถามเส้นทางไปพระธาตุท่าอุเทน
    ขณะเมื่อไปถึงพระธาตุท่าอุเทน เป็นเวลาที่พระวิปัสสนาจารย์กำลังเทศนาและสอนกรรมฐานแก่ญาติโยมพุทธศาสนิกชน จึงหยุดรออยู่นอกสถานที่สอนกรรมฐาน ครั้นเมื่อผู้คนแยกย้ายกันกลับไปหมด จึงเดินเข้าไปกราบนมัสการตรงหน้าพระวิปัสสนาจารย์ สายตาของพระวิปัสสนาจารย์ประสานกับสายตาของสามเณรน้อยผู้มาใหม่ แล้วเกิดกระแสแห่งความคุ้นเคย เสียงของพระวิปัสสนาจารย์พูดกับสามเณรน้อยขึ้นว่า
    “บัดนี้ถึงเวลาที่เราจะได้พบกัน เด็กน้อยจำเราได้หรือไม่ เราไม่เคยลืมแววตาคู่นี้เลย”
    ภาพเด็กตัวเล็ก ๆ คลานเข้าไปกราบพระธุดงค์ที่ปักกลดอยู่ใต้ต้นตะแบกใหญ่ กลับมาปรากฏชัดในมโนภาพของสามเณรน้อย แม้องคาพยพของใบหน้าพระผู้ที่นั่งอยู่ตรงหน้า จะผิดไปจากใบหน้าของพระธุดงค์ด้วยความชรา แต่น้ำเสียงและแววตามิเคยเปลี่ยนไปเลย สามเณรน้องจึงเปล่งเสียงออกมาด้วยความดีใจเป็นล้นพ้นว่า
    “ท่านอาจารย์นั่นเอง ที่ใต้ต้นตะแบก จริง ๆ ด้วยขอรับ เป็นท่านอาจารย์จริง ๆ”
    เมื่อหลวงปู่ได้พบกับพระธุดงค์ที่มาปักกลดใต้ต้นตะแบกท้ายหมู่บ้านอีกครั้งตามพยากรณ์แล้ว หลวงปู่เกิดความปีติและยอมรับว่า พระธุดงค์ที่พบตอนอายุ ๗ ขวบนั้น ช่างเป็นพระผู้พยากรณ์เหตุการณ์ได้แม่นยำ ก้มลงกราบอีกครั้ง ท่านพระวิปัสสนาจารย์จึงกล่าวว่า
    “เราชื่อ สีทัตต์ เณรมีนามใดกัน มาจากที่ใด ต้องการอะไรจากเราก็ขอให้บอกมาเถิด”
    หลวงปู่สุภาได้กล่าวตอบด้วยความปีติเป็นล้นพ้นว่า
    “กระผมดั้นด้นมานมัสการพระคุณอาจารย์ก็ด้วยความปรารถนาจะได้รับการอบรมด้านวิปัสสนากรรมฐานจากพระคุณอาจารย์ตามแบบที่พระคุณอาจารย์ได้รับการถ่ายทอดมา กระผมเรียนมูลกัจจายน์ห้าเล่มสำเร็จแล้วครับ”
    “เณรน้อยเรียนมูลกัจจายน์มาแล้ว ใยไม่เรียนปริยัติธรรมต่อไป ไม่รู้หรือว่า การเรียนพระปริยัติธรรมนั้น เจริญได้ทั้งทางโลกและทางธรรม คือ เป็นมหาเปรียญ นักเทศน์ เป็นครูสอนพระปริยัติ ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ ก้าวหน้าในตำแหน่งการปกครอง ส่วนประโยชน์ทางโลกคือ เมื่อสึกออกไปแล้ว เทียบวุฒิการทำงาน หรือรับราชการได้ตำแหน่งดี เณรน้อยเอาดีทางธรรม ทางปฏิบัติอย่างเดียวไม่เสียดายเวลาที่หมดไปหรือ ถ้าสึกออกไปเป็นฆราวาส ก็ไม่ต้องมาอยู่ในกฎระเบียบ ๒๒๗ ข้อนี้อีกต่อไป คิดให้ดีนะเณร”
    พระอาจารย์สีทัตต์หยั่งเชิงสามเณรน้อยเพื่อค้นหาความตั้งใจ ทั้ง ๆ ที่รู้อยู่แล้วว่าดูคนไม่ผิด แต่สามเณรน้อยตอบชัดถ้อยชัดคำว่า
    “กระผมต้องการเพียงทางเดียว คือปฏิบัติทางจิต หรือ วิปัสสนากรรมฐาน เพื่อให้ชีวิตในร่มกาสาวพัสตร์มีความหมายมากขึ้น หากกระผมต้องการเป็นมหาเปรียญละก็ ไม่ลงทุนมาเสาะแสวงหาพระคุณอาจารย์ถึงท่าอุเทนนี่หรอกขอรับ ขออย่างเดียว รับกระผมเป็นศิษย์ กระผมจะอยู่ในโอวาทของพระคุณอาจารย์ทุกประการ”
    พระอาจารย์สีทัตต์ทดสอบความอดทนของสมาเณร ตั้งแต่การขบฉัน การทำงานหนักในการก่อสร้างพระธาตุท่าอุเทน และการทดสอบด้านจิตใจ จนแน่ใจว่า จะทนรับการสอนที่หนักหนาสาหัสในการที่จะเรียนวิปัสสนากรรมาน จึงอบรมกรรมฐานให้แก่สามเณรสุภา เริ่มโดยการกำหนดลมหายใจเข้าออก ภาวนาว่า “พุทโธ” ตั้งแต่แรก จนไม่ต้องภาวนา จากสมาธิเพียงชั่วแล่น ก็ค่อย ๆ กลายเป็นสมาธิที่ยาวนานและสามารถดำรงสติได้อย่างมั่นคง จึงให้ขึ้นธุดงควัตร ๑๓ ประการจนคล่อง จึงบอกกับสามเณรสุภาว่า
    “ต่อจากนี้ไป เป็นการปฏิบัติจริงในป่าเขาลำเนาไพร อันอุดมไปด้วยสิงสาราสัตว์และภูตพรายทั้งปวง อมนุษย์และพวกหมอผี นักล่าชีวิตมนุษย์ด้วยคุณไสย มนต์ดำ สิ่งที่เรากล่าวมา อบรมมา พึงนำมาใช้ให้ยิ่งยวด เพราะเธอจะต้องพึ่งตนเองมากกว่าพึ่งเราในการเดินทาง”
    ข้ามโขงจากนครพนม ไปสู่พระราชอาณาจักรลาว ผ่านป่าเขาลำเนาไพร ผจญความยากลำบากมากมาย ทั้งสัตว์ร้าย งูพิษ ต้นไม้พิษ ตลอดจนหมอผีและภูตไพรต่าง ๆ หลายหนที่ต้องฉันใบไม้อ่อน เพราะไม่มีสัปปายะจะให้บิณฑบาต แต่ก็ผ่านมาได้ จนพระอาจารย์สีทัตต์ยอมรับในความอดทนของสามเณรน้อยสุภา
    ถึงจุดที่พระอาจารย์สีทัตต์พามาฝึก คือ “ถ้ำภูควาย” อันเป็นถ้ำเร้นลับ อยู่บนภูเขาที่มีลักษณะปลายยอดสองข้างโค้งเข้าหากัน มองคล้ายกับเขาควาย มีพระภิกษุมาจากสถานที่ต่าง ๆ มาชุมนุมกันเล่าเรียนวิปัสสนากรรมฐานกับพระอาจารย์สีทัตต์หลายรูป
     
  20. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เข้าสู่การเป็นพระภิกษุ

    ในปีพุทธศักราช ๒๔๕๙ สามเณรสุภามีอายุครบอุปสมบท พระอาจารย์สีทัตต์ขึงได้จัดเตรียมหารเครื่องบริขารจนครบ และนำสามเณรสุภาข้ามไปยังฝั่งลาว รอนแรมไปจนถึงภูความ ซึ่งพระอาจารย์สีทัตต์ได้อธิษฐานเป็นวิสุงคามสีมา พร้อมด้วยพระวิปัสสนาจารย์ ทำการอุปสมบทสามเณรสุภาในถ้ำนั้น โดยมีพระอาจารย์สีทัตต์เป็นพระอุปัชฌาย์ และมีพระวิปัสสนาจารย์ร่วมเป็นพระกรรมวาจาจารย์และพระอนุสาวนาจารย์ ศิษย์ในพระวิปัสสนาจารย์ติดตามมาเป็นพระอันดับ ได้รับฉายาว่า “กันตสีโล” นับแต่นั้นมา
    พระอาจารย์สีทัตต์ได้ขอให้พระวิปัสสนาจารย์ที่มาร่วมปฏิบัติสั่งสอนข้อวัตรปฏิบัติทั้งในทางธุดงค์ ไปจนถึงคาถาอาคมป้องกันตัวจากสัตว์ร้าย อสรพิษ ภูตไพรทั้งปวง และเดินทางกลับท่าอุเทนเพื่อเข้าพรรษากาลเป็นปีแรกแห่งการเป็นสมมติสงฆ์ การออกเดินธุดงค์ภายใต้การดูแลของพระอาจารย์สีทัตต์ จึงทำให้หลวงปู่สุภามีความก้าวหน้าในการกำหนดอารมณ์และสติในการเผชิญภัยต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี
    ในการเดินธุดงค์ผจญความยากลำบาก หลวงปู่สุภาทำได้เป็นอย่างดี พระอาจารย์สีทัตต์ผู้เป็นอาจารย์รู้สึกนิยมในความก้าวหน้าของศิษย์เอกผู้นี้เป็นอย่างมาก สี่พรรษาเต็มแห่งการออกธุดงค์ เมื่อจำพรรษา พระอาจารย์สีทัตต์ให้เล่าเรียนพระปริยัติธรรมด้วยคัมภีร์ปริยัติห้าหมวด ปละเร่งทดสอบอารมณ์กรรมฐานอย่างละเอียด พอขึ้นพรรษาที่ห้า พระอาจารย์สีทัตต์จึงบอกกับหลวงปู่สุภาว่า
    “สมควรแก่เวลาที่เณรน้อยจะต้องออกธุดงค์ด้วยตนเองแล้ว แต่สำหรับก้าวแรกในการธุดงค์ลำพังนี้ เราจะให้พระสองรูป เณรหนึ่งรูป ธุดงค์ไปกับเณรน้อย เณรน้อยจงคุ้มครองป้องกันภัยให้เขา คอยอบรมให้อยู่ในธุดงควัตร เหมือนที่เราเคยได้ทำกับเณรน้อยเมื่อสี่ปีมาแล้ว”
    หลวงปู่สุภาได้ทำหน้าที่ควบคุมพระและเณร ธุดงค์ไปจนถึงภูควายและกลับมาท่าอุเทนอย่างปลอดภัย เป็นการสอบผ่านธุดงควัตรอย่างแท้จริง หลวงปู่สุภาเล่าต่อไปว่า
    “พระอาจารย์สีทัตต์มิได้เป็นพระวิปัสสนาจารย์อย่างเดียว แต่ท่านมีวิชาอาคมหลายแขนง สามารถถอดกายทิพย์ท่องไปในภูมิต่าง ๆ ได้ ซึ่งภาษานกและภาษาสัตว์ในป่า ท่านก็ฟังออก และเคยแสดงให้หลวงปู่สุภาดู และยังได้สอนให้ทำจนถึงแก่นอีกด้วย เรียกว่าสอนแบบไม่ปิดบัง แต่สำหรับภาษาสัตว์ ท่านไม่ขอเรียน”


    คำสั่งพระอาจารย์สีทัตต์

    พุทธศักราช ๒๔๖๓ หลวงปู่สุภาได้ตัดสินใจธุดงค์เดี่ยว จึงมากราบลาพระอาจารย์สีทัตต์เพื่อออกธุดงค์ พระอาจารย์สีทัตต์ได้สั่งสอนว่า
    “ไปให้ดีเถอะเณรน้อย เดินให้สม่ำเสมอ จิตรู้อารมณ์ อย่าเร็วนัก อย่าช้านัก ให้อยู่ในกลาง ๆ โบราณาจารย์ได้สั่งสอนศิษย์เป็นคติสอนใจว่า อยากถึงเร็วให้คลาน อยากถึงนานให้วิ่ง รู้ไหม หมายความว่าอย่างไร อยากถึงเร็วให้คลาน คือไปแบบไม่รีบร้อนด่วนได้ จะถึงจุดหมายแบบปลอดภัย ให้ลุกลี้ลุกลนเกินไป ก็จะเหมือนคนวิ่งไปด้วยความคะนอง สะดุดล้ม แข้งขาหัก เดินไปไหนมาไหนไม่ได้ ต้องช้าไปอีกนานทีเดียว”
    เมื่อหลวงปู่สุภาพร้อมที่จะเดินทาง พระอาจารย์สีทัตต์ได้กล่าวคล้ายคำสั่งเสียด้วยความห่วงใยว่า
    “เณรน้อยจงไปภูเขาควาย ออกจากภูควายแล้ว ให้ไปท่าเดื่อ จากท่าเดื่อไปหนองคาย ที่นั่นเธอจงสละธุดงควัตร แล้วเร่งเดินทางไปทางเหนือ ที่นั่นเธอจะได้พบพระอาจารย์องค์หนึ่ง มีความเชี่ยวชาญด้านกสิณและวิชชาแปดประการ มีอภิญญาสูงมาก เธอจะได้รับความรู้จากท่านเป็นอันมาก ที่ต้องให้สละธุดงควัตร เพราะท่านเหลือเวลาไม่มากแล้วในการสั่งสอนเณรน้อย หากเดินธุดงค์แบบธรรมดาน่าจะสายเกินไป”
    จากภูควาย หลวงปู่สุภาข้ามมาท่าเดื่อ แล้วอธิษฐานจิตออกจากธุดงควัตรที่ตัวจังหวัดหนองคาย ฝากบริขารธุดงค์ไว้กับพระที่คุ้นเคยในระหว่างธุดงค์ภูควาย และจับรถไฟเข้ามากรุงเทพฯ อันเป็นจุดเริ่มต้นของการไปสู่ภาคเหนือเพื่อแสวงหาพระอาจารย์ตามคำสั่งของพระอาจารย์สีทัตต์ เหมือนโชคชะตาเป็นใจให้หลวงปู่สุภา เพราะในขณะที่อยู่ที่กรุงเทพฯ ท่านก็ได้ข่าวพระอาจารย์รูปหนึ่งที่แถววังนางเลิ้ง เขาบอกกันว่า
    “ท่านพระครูวิมลคุณากร หรือหลวงปู่ศุข เกสโร แห่งวัดอู่ทอง ปากคลองมะขามเฒ่า อ.วัดสิงห์ จ.ชัยนาท ซึ่งเสด็จในกรมฯ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ทรงเลื่อมใส ถวายตัวเป็นศิษย์ถึงที่วัดทีเดียว”
    หลวงปู่สุภา จึงเดินทางไปวัดอู่ทอง ปากคลองมะขามเฒ่า อ.วัดสิงห์ จ.ชัยนาท ด้วยการเดินทางสมัยนั้นยังลำบากและเหน็ดเหนื่อย แต่พอเดินทางมาถึงวัดอู่ทอง เมื่อพอเข้าเขตวัด หลวงปู่รู้สึกว่าเยือกเย็นและมีอะไรบางอย่างที่บอกว่า ที่นี่แหละคือที่ ๆ พระอาจารย์สีทัตต์กำหนดให้มา


    เบื้องหน้าผู้สำเร็จวิชชาแปดประการ

    เมื่อหลวงปู่สุภาเดินทางมาถึงวัดอู่ทอง จึงเดินทางไปกุฏิ พอเห็นกุฏิหลวงปู่ศุข ก็จะขึ้นไปนมัสการ ขณะล้างเท้า เสียงของหลวงปู่ศุขก็ดังมาจากชั้นบนของกุฏิ
    “มาถึงแล้วหรือพ่อเณรน้อย กำลังรออยู่พอดี ล้างเท้าแล้วขึ้นมาเห็นหน้าเห็นตากันหน่อย”
    มีแต่เสียงทักทาย แต่ไม่ปรากฏหลวงปู่ศุขที่นอกชาน เมื่อมองขึ้นไปไม่เห็นใคร จึงได้คิดในใจว่า ... นี่คือพลังปราณของผู้ที่สำเร็จ สามารถออกเสียงให้ดัง ค่อย หรือไกล ใกล้แค่ไหนก็ได้ ขึ้นไปชั้นบนของกุฏิแล้ว ก็เห็นพระภิกษุรูปร่างสันทัด ผอมเกร็ง แต่ผิวพรรณวรรณะผุดผ่อง คล้ายกับทาด้วยขมิ้น ทว่า เมื่อคลานเข้าไปกราบต่อหน้าท่านและลุกขึ้นนั่งพนมมือ ได้สังเกตใกล้ ๆ พบว่า ไม่ใช่ขมิ้น แต่เป็นแสงอะไรบางอย่างที่เรื่อเรืองอยู่บนผิวพรรณของหลวงปู่ศุข ที่ทำให้เกิดความสง่าคล้ายทาขมิ้น หลวงปู่ศุขได้มองมาที่หลวงปู่สุภาและเอ่ยขึ้นว่า
    “นี่เอง เณรที่ท่านสีทัตต์ได้บอกไว้ในฌาน เป็นคุณนี่เอง เณรน้อยต้องการอะไร จะเรียนอะไรก็บอกมาได้ไม่ขัดข้อง ท่านสีทัตต์ฝากมาแล้วนี่”
    คำว่า “ฌาน” คำว่า “ฝากมาแล้วนี่” ทำให้หลวงปู่สุภาประจักษ์ว่า อภิญญาจิต การถอดกายทิพย์ การใช้โทรจิต มีจริง ก่อนที่ท่านจะมานมัสการหลวงปู่ศุข ทางพระอาจารย์สีทัตต์ได้ถอดกายทิพย์มาฝากฝังหลวงปู่สุภากับหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า ไว้เรียบร้อยแล้วนั่นเอง หลวงปู่สุภาจึงไม่กล้าที่จะเอ่ยว่า จะมาเรียนอะไร นอกจากจะกล่าว
    “กระผมขอให้เป็นเรื่องที่ท่านอาจารย์จะเมตตาอบรมสั่งสอนก็แล้วกันขอรับ เห็นว่าอะไรเหมาะ อะไรควร ก็สั่งสอนให้กระผมก็แล้วกัน”
    เมื่อหลวงปู่ศุขได้ยินดังนั้น ก็หัวเราะ หึ หึ ด้วยความพอใจ แล้วกล่าวกับหลวงปู่สุภาว่า
    “สมแล้วที่เป็นศิษย์ท่านสีทัตต์ มีความสงบเสงี่ยมเจียมตัวใช้ได้ หลายรูป มาถึงไม่ดูวาสนาบารมีตนเองว่าจะสามารถรองรับได้หรือไม่ จะเรียนโน่น จะเรียนนี่ สุดท้ายก็กลับไปมือเปล่า เพราะขาดวาสนาบารมี เพราะเมื่อขาดวาสนาบารมีและการเจียมตัวแล้ว อะไรก็ไม่สำเร็จ เอาละ ไปพักผ่อนก่อน ถึงเวลา จะเรียกมาสอบฐานความรู้และประสิทธิประสาทวิชาต่อไป”
    เมื่อถึงเวลา หลวงปู่ศุขก็ได้สอบอารมณ์กรรมฐานและดูพื้นฐานการศึกษาวิชาอาคมของท่าน ที่ร่ำเรียนมาจากพระอาจารย์สีทัตต์ เมื่อทดสอบแล้วเห็นว่าบกพร่องตรงไหน ก็ช่วยแก้ไขให้ถูกต้อง ปรับระดับการเข้าฌาน การทำกสิณและการเพ่งด้วยกสิณเป็นประการต่าง ๆ หลวงปู่ศุขสอนว่า
    “มีวิชาหลายอย่างที่ปู่สำเร็จ แต่บารมีเณรน้อยนั้นเรียนไม่ได้ โดยเฉพาะวิชชาแปดประการที่เณรน้อยต้องการจะเรียน วาสนาบารมีของเณรน้อยไปไม่ได้ จะให้วิชาสำคัญ คือ การลงนะหน้าทอง และการเสกให้ทองเข้าไปแทรกในอณูภายในร่างกาย เขาเรียกว่า เป่าทองเข้าตัว”


    วิชาเป่าทองเข้าตัว / อภิญญจิตตัวสำคัญ

    หลวงปู่ศุขได้เมตตาอธิบายให้เข้าใจถึงหลักของการเป่าทองเข้าตัวอย่างละเอียด ซึ่งหลวงปู่สุภาได้บันทึกไว้ว่า
    “วิชาเป่าทองเข้าตัว มิใช่เพื่อมหานิยม แต่ยังสามารถป้องกันอันตรายต่าง ๆ ทั้งจกคมหอก คมดาบ ปละปืนไฟ ไปจนถึงมีมหาอำนาจแล้วแต่จะประสิทธิ์ประสาทในด้านใด ต้องพิจารณาบุคคลแต่ละบุคคลที่จะลงแผ่นทองหรือเป่าทองให้ ว่าเป็นอย่างไร บารมีพอที่จะรับทองได้กี่แผ่น แต่ละคนล้วนมีข้อปลีกย่อยผิดแผกออกไปแล้วแต่กรณีต้องดูว่าจะลงให้ทางไหน ตามที่กำหนดไว้ในตำรับของครูบาอาจารย์เท่านั้น จะนอกเหนือหรือขาดตกบกพร่องไม่ได้เลยแม้แต่นิดเดียว การที่ทองจะแทรกเข้าไปในสู่ทุกอณูไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ แต่ต้องมีหัวใจสองอย่างคือ น้ำมันว่าน และเกสร ๑๐๘ ชนิด เคี่ยว ผสมด้วยพระเวทย์อาคมที่ต้องแก่กล้าด้วยพลังอภิญญาเท่านั้น หากทำไม่ถูกต้อง จะไม่สามารถเปิดรูขุมขนของผู้ที่จะเป่าทองเข้าตัวได้ การเป่าก็จะไม่ได้ผลทั้งสิ้น ไม่เกิดพลังใด ๆ เป็นสูญเท่านั้น การจุดเหล็กจาร ที่จุ่มน้ำมันว่านและเกสร ๑๐๘ ชนิด และการเป่าภาวนาเพื่อดันทองเข้าสู่ร่างกายของผู้ที่จะลง และให้กำหนดให้ผู้รับการลง หรือเป่าทอง กำหนดจิตอธิษฐานเอาเอง การเรียนการสอนทำได้เฉพาะตอนกลางคืนที่เป็นเวลาสงัด เพราะตอนกลางวันไม่สามารถจะเรียนได้ ด้วยมีคนมานมัสการหลวงปู่ศุข ขอโน่นขอนี่ จนท่านไม่มีเวลาจำวัด เรียกว่า หัวบันไดไม่แห้ง แต่หลวงปู่ศุขก็ไม่เคยท้อถอย หรือแสดงอาการไม่พอใจแต่อย่างใด
     

แชร์หน้านี้

Loading...