ปัญหาเรื่องนอนไม่หลับ

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย เทพออระฤทธิ์, 7 เมษายน 2009.

  1. เทพออระฤทธิ์

    เทพออระฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    4,573
    กระทู้เรื่องเด่น:
    4
    ค่าพลัง:
    +22,048
    [​IMG]


    ปัญหาเรื่องนอนไม่หลับ
    <O:p</O:p<O:p</O:p
    เมื่อวันเสาร์ที่ 5 มิถุนายน 2536 ผมและเพื่อนได้ยกปัญหาเรื่องนี้มาคุย เพื่อนของผมท่านเล่าว่าเพื่อนของท่านคนหนึ่งมาบ่นให้ฟังว่า นอนไม่ค่อยหลับ การสนทนาธรรมในเรื่องนี้มีความสำคัญทางธรรม ดังนี้
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ก) ในพระสูตรมีอยู่ครั้งหนึ่ง มีประชาชนมาเข้าเฝ้าพระองค์เป็นจำนวนมาก แต่กายของพระองค์ต้องการจะพักผ่อน พระองค์จึงให้พระอานนท์เทศน์แทนท่าน พระอานนท์ก็เทศน์โปรดชาวบ้านไป ส่วนพระองค์ก็ทรงพุทธสีหไสยาสน์อยู่ตรงนั้น เพื่อให้กายได้พัก(หลับ) แต่จิตยังคงทำงานตลอดเวลา เมื่อพระอานนท์เทศน์จบ พระองค์ตื่นจากบรรทม แล้วรับรองการเทศน์ของพระอานนท์นั้นถูกต้องทุกประการ แสดงว่าจิตของพระองค์นั้นมิได้หลับ คงทำหน้าที่อย่างสมบูรณ์เหมือนปกติ เพราะพระองค์สามารถแยกกายกับจิตออกจากกันได้เด็ดขาดตลอดเวลา กายของพระองค์ประกอบด้วยธาตุ 4 ดิน น้ำ ลม ไฟ เกิดเสื่อมดับตลอดเวลา จึงต้องพักเป็นปกติธรรมดาของผู้มีร่างกาย ส่วนจิตของพระองค์นั้นไม่เหนื่อย ไม่มีเวลา เพราะเวลาของจิตไม่มีเป็นอกาลิโก ผมขอสรุปสั้น ๆ ว่าเป็นเรื่องของมหาสติปัฏฐาน จิตนั้นมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ สามารถแยกกาย เวทนา จิต ธรรมออกจากผู้รู้ คือตัวจิต ซึ่งคือตัวเราได้ตลอดเวลา แม้ในขณะที่กายหลับ

    <O:pข) ในทางโลก บางคนที่นอนอยู่ข้าง ๆ เรา เราได้ยินเสียงกรนเขาดังเป็นระยะ ๆ เกือบทั้งคืน แต่เจ้าตัวกลับบ่นว่านอนไม่หลับ ซึ่งก็อธิบายได้ว่าเขานอนแบบปุถุชน ไม่สามารถแยกกายกับจิตออกจากกันได้ และไม่ทราบความจริงว่า กายย่อมเหนื่อยเป็นธรรมดา แต่จิตนั้นไม่เหนื่อย ไม่มีเวลาด้วย เรื่องนี้ปฏิบัติถึงแล้วจะรู้เองเฉพาะตน

    <O:p</O:p
    ค) พระอรหันต์ทุกองค์ ท่านแยก-เวทนา-จิต-ธรรม ออกจากผู้รู้คือตัวท่านหรือจิตของท่านได้เด็ดขาด ท่านมีจิตเหนือกาย ท่านจึงชนะนิวรณ์ข้อ 3 ได้เด็ดขาด คือ หมดอารมณ์หลง (ตัวขี้เกียจ)<O:p</O:p
    ง) พวกที่ว่านอนไม่หลับนั้น เพราะเขายังยึดขันธ์ 5 ว่าเป็นเราอยู่ หรือยังมีสักกายทิฏฐิอยู่ (สักกายทิฏฐิ ท่านแปลว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวเนื่องกับร่างกาย) พอพูดกันถึงจุดนี้ก็เกิดสงสัยตนเองว่า มันถูกหรือเปล่าก็ไม่ทราบ
    <O:p</O:p
    หลวงพ่อฤาษีท่านก็เมตตาสอนว่า
    <O:p</O:p
    1. “ถูก หากเอ็งทำได้ก็เป็นพระอรหันต์ (ก็คิดว่ามันทำได้ยาก) ท่านก็บอกว่า มันจะยากอะไร แยกกาย แยกเวทนา ให้ออกจากอารมณ์ของจิตอยู่เรื่อยๆ ประเดี๋ยวเดียวมันก็ได้เอง บอกกับกายมันว่า ช่างมัน ๆ ไปเรื่อย ๆ ง่ายจะตาย (ก็คิดในใจว่า ตายคงง่ายกว่า) ท่านก็หัวเราะ แล้วสอนว่า
    <O:p</O:p
    2. ก็เพราะอย่างนั้นซิ ถึงตายแล้วตายอีก เอาดีกันไม่ได้สักที มัวแต่ท้ออยู่อย่างนี้ ตายเกิด เกิดตาย กระดูกผุทับถมพื้นดินไปตั้งเท่าไหร่แล้ว หรือเอ็งยังอยากเกิดอีก” (ก็ตอบว่าไม่อยากเกิด)<O:p</O:p
    3. “อยากมาพระนิพพานก็ต้องขยัน ห้ามคิดว่ายากเป็นอันขาด ให้ตั้งใจทำไปตามที่พระท่านสอนนั่นแหละ ประเดี๋ยวก็ได้เอง”
    <O:p</O:p
    4. “อย่าคิดว่ายากประเดี๋ยวจะท้อถอย อย่าคิดว่าง่าย เพราะประเดี๋ยวจะประมาทเกินไป ทางที่ดีควรคิดว่ายากหรือง่ายไม่สำคัญ หนทางนี้เป็นไปเพื่อพ้นทุกข์ เราต้องทำให้ได้ก็แล้วกัน ตั้งใจทำให้เต็มความสามารถเพื่อพระะนิพพาน คิดอย่างนี้เข้าไว้ แล้วค่อย ๆเดินมาอย่างมั่นคง อย่าริข้ามขั้น ไต่มาตามลำดับเรื่อย ๆ ด้วยใจยินดีว่า การปฏิบัติธรรมนี้เพื่อนำจิตให้พ้นทุกข์ เราได้ทำแล้ว ทำไปก็ยินดีไปในธรรมนั้นด้วย และมีความพร้อมที่จะไปพระนิพพานอยู่เสมอ”<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    จากนั้น สมเด็จองค์ปฐม ทรงพระเมตตามาสอนต่อดังนี้
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    5. “มรรคผลจบหรือไม่ก็ตาม ตั้งมรณานัสสติบวกอุปสมานัสสติเอาไว้ควบคู่กันเสมอ โชคดีร่างกายมันพังในระหว่างทางเมื่อไหร่ จิตมันวิ่งลัดตัดตรงไปพระนิพพานเลย
    <O:p</O:p
    6. “มาคิดถึงอารมณ์ยินดีในธรรม คือ ยินดีเมื่อได้ปฏิบัติธรรม เพราะพระธรรมคืออริยทรัพย์ที่ใครศึกษา ปฏิบัติจนเกิดผลแล้ว ผลของธรรมนั้น ๆ จะเกาะติดไปกับจิตดวงนั้นไปตลอดกาล ทั้งนี้จักต้องมีศีลเป็นพื้นฐานประจำจิตอยู่แล้วเป็นปกติ
    <O:p</O:p
    7. “เพราะฉะนั้น ใครที่ได้ปฏิบัติธรรม แม้จะได้ผลเพียงเล็กน้อยก็ควรจะดีใจ ภูมิใจเหมือนได้ของที่ล้ำค่าแบบทางโลก หากคิดได้แบบนี้ ความรื่นรมในธรรมก็จักเกิดขึ้น จะได้มากได้น้อยก็พอใจ
    <O:p</O:p
    8. “สะสมความยินดีในธรรม สะสมอริยทรัพย์เป็นอารมณ์สันโดษ เพราะมักน้อยไม่โลภ ไม่มีอารมณ์ร้อนเป็นปฏิฆะ อารมณ์ยินดีในธรรมก็จักค่อยๆ เกิดขึ้นทีละน้อยๆ แบบต่อเนื่องไม่ขาดสาย กลายเป็นสัตติทางธรรม จนจิตชินกลายเป็นฌานไปเองโดยอัตโนมัติ และทรงตัวได้ตลอดกาลในที่สุด
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    (หมายเหตุ ธรรมในข้อ 5-8 นั้น เป็นคำตรัสของสมเด็จองค์ปฐม)<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    และในวันนั้น พระพุทธองค์ทรงพระเมตตา มาตรัสสอนต่อดังนี้ (สาเหตุเพราะพระองค์ทรงรู้ความคิดของพวกเรา จิตเรานึกอะไรมันก็ดังไปข้างบนหมด จึงไม่มีความลับหรือกรรมอะไรที่พวกเราทำแล้วพระองค์ไม่ทราบ)
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    1. “ที่คิดว่าควรอย่างนั้น ก็ควรที่จักทำให้ได้อย่างนั้นด้วย จักได้เลิกค้าขายขาดทุกเสียที”
    <O:p</O:p
    2. การแยกกาย-เวทนา-จิต-ธรรมนั้นสำคัญ พึงทำให้บ่อย ๆ เพราะคือการศึกษารูป-เวทนา-สัญญา-สังขาร-วิญญาณ ให้ลึกซึ้งนั่นเอง
    <O:p</O:p
    3. “จำไว้ กรรมฐานทุกอย่างทุกกอง สรุปลงที่กายและจิตเท่านั้น ยึดหลักนี้เอาไว้ อย่าทำสะเปะสะปะ ออกไปนอกลู่นอกทาง จักเสียเวลาไปโดยใช่เหตุ”
    <O:p</O:p
    4. “พิจารณาให้ลงตัวนี้ให้ได้ จิตจักยอมรับในกฎธรรมดาของกายกับจิต แล้วจักมีอารมณ์ปล่อยวางสักกายทิฏฐิลงได้ในที่สุด
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    พิมพ์จากหนังสือ ธรรมที่นำไปสู่ความพ้นทุกข์ (เล่ม 4)
    <O:p</O:p
    โดย พระราชพรหมยานมหาเถระ (หลวงพ่อฤาษีวัดท่าซุง)<O:p</O:p
    รวบรวมโดย : พล.ต.ท. นพ. สมศักดิ์ สืบสงวน<O:p</O:p


    -----------------------------------------------

    จิตต้องการพัก แต่กายไม่ยอมพัก<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ธรรมะจุดนี้ต่อจากธรรมเมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2536(ปัญหาเรื่องนอนไม่หลับ)<O:p</O:p
    มีความสำคัญดังนี้<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    เมื่อยกเอาพระธรรมที่พระองค์และหลวงพ่อท่านมาคิดพิจารณาเพื่อความเข้าใจ และเกิดปัญญาเรื่องการแยกกาย*เวทนา-จิต-ธรรมออกจากกัน โดยอาศัยกำลังฌาน และใช้ปัญญาเป็นตัวกำหนดแยกกายและจิตออกจากกัน ที่สุดก็พิจารณาถึงเรื่องปัญหาในการนอนไม่หลับ แล้วจบลงที่ว่ากายต้องการพักหรือหลับตามกาย เออ มันก็ดีเหมือนกันนะ เราจะได้เอาจิตทำงานแบบพักกับเพียร หมายความว่าพักก็ให้พักอยู่ในฌาน เพียรก็เพียรอยู่ในวิปัสสนาญาณ จิตจะได้ทรงฌานบ้าง วิปัสสนาฌานบ้าง หลวงพ่อฤาษีท่านก็เมตตาสอนว่า<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    1. “เฮ้ย บางทีจิตจะหลับ(พัก) แต่ระบบประสาทของตาหรือร่างกาย มันไม่ยอมหลับก็เป็นไปได้เหมือนกัน อย่างเช่นคนเครียด คนกินอาหารกินยาบางชนิดเข้าไปแล้ว ทำให้ระบบประสาทตื่นตัว หรือโรคบ้างชนิดก็ทำให้หลับไม่ลง ทั้ง ๆ ที่อยากจะหลับได้เหมือนกัน” (ก็คิดอย่างที่หลวงพ่อเคยเป็นอยู่ระยะหนึ่งใช่ไหม)<O:p</O:p
    2. “ใช่ ๆ อย่างนั้นแหละ มันทรมานดีจริง ๆ ถ้าไม่ทรงอารมณ์สังขารุเบกขาญาณไว้ มีหวังจอดไปนานแล้ว”<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    เรื่องภาษาปากกับภาษาใจ<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    เพื่อนของผมท่านเล่าให้ผมฟังว่า ขณะที่กำลังกวาดวัด จิตนึกไปถึงหลวงพ่อกับหลวงปู่บุดดาว่า ในอดีตทั้งสองท่านเทศน์เสียงดังมาก โดยไม่ต้องใช้เครื่องขยายเสียง แต่ปัจจุบันเสียงของท่านไม่ค่อยมี เพราะกล่องเสียงท่านเสื่อม พอคิดมาถึงจุดนี้ หลวงปู่บุดดาท่านก็มาสอน “เรื่องอย่าสนใจภาษาปาก (กาย) ให้มาสนใจภาษาใจดีกว่า”<O:p</O:p
    1. “กล่องเสียงไม่เสื่อม แต่ประสาทและขากรรไกรมันเสื่อม บังคับให้ปากพูดดังๆ ไม่ไหวแล้ว มันเหนื่อยจนไม่อยากออกเสียง” (ก็นึกอยากได้ยินเสียงตอนนั้น)<O:p</O:p
    2. “อย่าไปสนใจภาษาที่ออกจากปากในเวลานี้เลยนะ มันออกมานานจนเดี๋ยวนี้มันออกไม่ไหว บังคับให้มันพูด มันก็แทบไม่ไหวแล้ว เอ็งมาสนใจภาษาที่ออกจากใจของข้าดีกว่า ภาษาที่เป็นธรรมล้วน ๆ จากจิตที่เป็นธรรมแล้ว เอ็งเข้าใจไหม”<O:p</O:p
    3. “พระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆ์ เป็นภาษาธรรมที่ไม่ตาย สัมผัสด้วยจิตถึงจิตดีกว่า กายถึงกาย ภาษาที่ออกจากเปลือก บางทีเจือไปด้วยเปลือก แต่ภาษาที่ออกจากจิตที่เป็นธรรมแท้ เป็นภาษาธรรมแท้ ๆ ซึ่งสัมผัสกันได้ด้วยใจ”<O:p></O:p>
    4. “พระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆ์ คนที่ติดเปลือกก็ไม่เชื่อว่ามีตัวตน กิเลสมันหนากว้างเป็นคืบยาวเป็นศอก เพราะเปลือกมันบังตา แต่ในคนที่ไม่ติดเปลือก ลอกคราบเปลือกที่บังตาทิ้งไป จิตมันเป็นตาปัญญา เห็นพระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆ์ อยู่ครบถ้วนทุกประการ พระนฤพานไม่สูญ เอ็งเอาตามนี้ดีกว่า อย่าไปสนใจภาษาปากนะ มาสนใจภาษาใจซึ่งเป็นภาษาธรรมแท้ ๆ ดีกว่า”<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ในคืนวันนั้น สมเด็จองค์ปฐม ทรงเมตตามาสอนเรื่อง ขันธมารและกิเลสมารให้ มีความสำคัญ ดังนี้<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    1. “อย่าใจร้อน การปฏิบัติธรรมจักต้องรักษาความศรัทธาคือ ความเชื่อถือเลื่อมใสในธรรมนั้น ๆ เข้าไว้ และอย่าใจร้อนเรื่องขันธมารเข้ามารบกวนในระยะนี้”<O:p</O:p

    2. “จงหมั่นทำความยอมรับและนับถือ ในกฎธรรมดาของร่างกายเข้าไว้ เห็นสภาพเหล่านี้ เป็นปกติธรรมดาของร่างกาย”<O:p</O:p

    3. บุคคลที่ปฏิบัติเพื่อพ้นจากร่างกาย คือ ต้องการพ้นการเกิดนั้น จักไม่ถูกขันธมารมารบกวนเลยนั้นไม่มี”<O:p</O:p

    4. “เพราะฉะนั้น จงมองขันธมารและกิเลสที่เข้ามารบกวนอยู่นี้ให้เป็นวิปัสสนาญาณ ว่ามันไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ทำการเสียดแทงให้เกิดขึ้นกับจิตอยู่เนือง ๆ อุปสรรคเหล่านี้ขวางกั้นเรามากเพียงใด จงหมั่นทำให้เข้มแข็งมากขึ้นเท่านั้น เพื่อจักพ้นไปเสียจากร่างกาย อันเป็นเหตุให้เกิดกิเลสมารและขันธมารนี้”<O:p</O:p

    5. “สภาพเวทนาใด ๆ เกิดขึ้นกับขันธ์ 5 หรือร่างกายนี้จงยอมรับว่าเป็นธรรมดา อย่าเอาจิตไปสงสัยว่าเป็นความผิดปกติ จริง ๆแล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นเหล่านี้ เกิดขึ้นเป็นปกติมาแล้วกับเราทุกชาติที่ร่างกายปรากฏ จิตของเรามักจักดิ้นรนไม่ยอมรับความจริงอันเป็นปกตินี้มาแล้วทุกชาติ ฝืนธรรมอยู่เป็นนิจ ยังอารมณ์ให้ตกอยู่ในกามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา ไม่ยอมรับกฎธรรมดาของขันธ์ 5 หรือร่างกายนี้ จิตจึงความกำหนัดอยากมีขันธ์ 5 ที่ฝืนธรรมอยู่เนือง ๆ
    <O:p</O:p

    6. จิตติดกามจึงเกิดแล้วเกิดอีกมาพบกับขันธ์ 5 หรือร่างกาย ที่เต็มไปด้วยความไม่เที่ยง สกปรก ทรุดโทรมอยู่อย่างนี้ ด้วยเหตุที่ไม่ยอมรับธรรมอันเป็นปกติของขันธ์ 5 หรือร่างกายนั้น ๆ จักไปเกิดเป็นคนประเภทใด หรือสัตว์เดรัจฉานประเภทไหน ก็มีจิตฝืนธรรมหลงติดอยู่ในขันธ์ 5 หรือร่างกายนั้น ๆ ว่าเป็นเรา เป็นของเรา มีความดี มีความเที่ยงสวยงดงามอยู่เสมอ ยังเกาะยึดอารมณ์สักกายทิฏฐิอยู่ไว้อย่างเหนียวแน่น ยังอารมณ์จิตให้หนักหน่วงอยู่ในไหโมหะ-โทสะ-ราคะ เพิ่มความเร่าร้อนอยู่ในอารมณ์มิได้ขาด จึงมีความขยันเกิด ขยันตาย หาที่สิ้นสุดขอความทุกข์ อันสืบเนื่องมาจาดขันธมารและกิเลสมารไม่ได้
    <O:p</O:p
    7. “พวกเจ้าจงหมั่นพิจารณาธรรมของขันธมารและกิเลสมารให้ดีๆ ศึกษาให้รู้เท่าทันความเป็นจริงในธรรมนั้น ๆ ก็จักยังจิตให้หลุดพ้นได้”<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    พิมพ์จากหนังสือ ธรรมที่นำไปสู่ความพ้นทุกข์ (เล่ม 4)<O:p</O:p
    โดย พระราชพรหมยานมหาเถระ (หลวงพ่อฤาษีวัดท่าซุง)<O:p</O:p
    รวบรวมโดย : พล.ต.ท. นพ. สมศักดิ์ สืบสงวน<O:p</O:p
    <!-- / message --><!-- sig -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 เมษายน 2009
  2. ชนะ สิริไพโรจน์

    ชนะ สิริไพโรจน์ ทีมผูัดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    5,891
    กระทู้เรื่องเด่น:
    14
    ค่าพลัง:
    +35,260
    ขออนุโมทนาเป็นอย่างสูงครับ
     
  3. oomsin2515

    oomsin2515 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    2,934
    ค่าพลัง:
    +3,393
    ขออนุโมทนาสาธุธรรม อย่างสูง ครับ
     
  4. Ugood

    Ugood ธรรมชาติ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    635
    ค่าพลัง:
    +490
    อนุโมทนา สาธุ สาธุ สาธุ
    ----------------------
    ธรรมะ คือ ธรรมชาติ
     
  5. humanbeing

    humanbeing เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +214
    อืม เพิ่งรู้ค่ะ แต่ปกติเวลารู้สึกเหนื่อย ก็จะหลับได้ทันทีค่ะ
    จะลองสังเกตดูค่ะ ขอบคุณค่ะ
     
  6. NIRVANA/NOW

    NIRVANA/NOW เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    146
    ค่าพลัง:
    +154
    สาธุ...ขออนุโมทนา ธรรม อย่างสูง ครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...