พระปรอทหลวงปู่ละมัยของแท้ยังมีให้เช่า ที่วัดนะคร้บ

ในห้อง 'ประสบการณ์ เรื่องเล่า' ตั้งกระทู้โดย Ong, 5 กุมภาพันธ์ 2010.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. pana_mool

    pana_mool เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    1,696
    ค่าพลัง:
    +7,048
    อยากได้รูปลักษณ์ หลวงปู่ไว้บูชา ก็เลยค้นในเน็ตไปเรื่อยๆ ครับ
    องค์นี้เป็นกะไหล่เงินครับ แต่เขาให้คนอื่นบูชาไปแล้วครับ เสียดายจริงๆ เลย
    เจ้าของเขาบอกว่าได้รับจากมือหลวงปู่เลยครับ
    ไม่รู้เราจะมีวาสนาบ้างหรือเปล่า

    แต่อยากทราบประวัติเหมือนกันครับว่าองค์นี้หลวงปู่ท่านดำริให้สร้างหรือเปล่า
     
  2. 9046

    9046 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    487
    ค่าพลัง:
    +2,503
    พี่ไปเอามาจากไหนครับ น่าสนใจมากมายครับ
     
  3. Ong

    Ong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มีนาคม 2005
    โพสต์:
    2,501
    ค่าพลัง:
    +12,861
    <hr> nobipong
    10-13-2008, 10:30 AM


    พอดีเมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมาได้ขึ้นไปปฏิบัติธรรมที่ ถ้ำเมืองนะ แล้วขากลับก็นั่งรถแวะวัดข้างทางไปเรื่อย แวะเลาะมาทางพิจิตร เพชรบูรณ์ ก็เลยได้มีโอกาสได้ไปกราบหลวงปู่ละมัย ที่สวนป่าสมุนไพร อ.เมือง จ.เพชรบูรณ์

    http://www.oknation.net/blog/home/blog_data/152/152/images/lamai4.jpg

    หลวงปู่ละมัยเป็นพระที่อายุยืนมากๆ ไม่มีใครรู้แน่ว่าท่านอายุจริงเท่าไหร่กันแน่ วันที่ไปหา ผมแอบๆฟังจากที่ท่านคุยกับลูกศิษย์ ได้ยินท่านบอกว่าท่านบวชพระ ปีพ.ศ.2443 ตอนอายุ 22 ปี ซึ่งถ้าคำนวณตามที่ได้ยินมานี้ ท่านก็น่าจะเกิดประมาณปีพ.ศ.2421 ปัจจุบันอายุของท่านก็น่าจะประมาณ 130 ปี เป็นอย่างน้อย แต่ก็มีอีกหลายกระแสที่ว่าท่านอายุเยอะกว่านี้มาก ซึ่งท่านจะอายุเท่าไหร่ก็คงไม่สำคัญนัก สิ่งที่สำคัญคือธรรมะที่ผมได้จากท่านนั้น แม้จะเป็นภาษาบ้านๆ อาจจะไม่สุภาพไพเราะ แต่แฝงไว้ด้วยธรรมะที่ละเอียดลึกซึ้งเป็นอย่างมาก ก็เลยอยากถือโอกาสนำมาแบ่งปันให้เพื่อนๆพี่น้องทุกคนได้มีโอกาสนำไปอ่านและ พิจารณาไตร่ตรองใคร่ครวญดู (หลวงตาม้าเคยเล่าให้ฟังว่า หลวงตาท่านพกปรอทของหลวงปู่ละมัยติดตัวอยู่เสมอ ท่านบอกว่ากันไข้ป่าได้ดีมาก ท่านไม่เคยเป็นไข้ป่าเลย)

    ธรรมะทั้งหมดที่ผมโพสต์ลงนี้ ได้จากการจดบันทึกเร็วๆในสมุดและจดจำในสมอง อาจมีบางตอนที่ขาดตกบกพร่อง ไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ตามที่หลวงปู่สอน ธรรมะใดๆที่ผมโพสต์ผิดพลาดไป ผมขอกราบขอขมาแด่พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และหลวงปู่ละมัยไว้ในโอกาสนี้ด้วย

    โยโทโส โมหะจิตเต นะพุทธัสมิง ปาปะกะโต มะยา ขะมะถะเม กะตังโทสัง สัพพะปาปังวินาสสันตุ
    โยโทโส โมหะจิตเต นะธัมมัสมิง ปาปะกะโต มะยา ขะมะถะเม กะตังโทสัง สัพพะปาปัง วินาสสันตุ
    ฌยโทโส โมหะจิตเต นะสังฆัสมิง ปาปะกะโต มะยา ขะมะถะเม กะตังโทสัง สัพพะปาปังวินาสสันตุ

    [​IMG]

    ธรรมะหลวงปู่ละมัย

    การกราบพระ
    กราบครั้งที่ 1 - กราบพระพุทธเจ้า ตั้งแต่ อดีต ปัจจุบัน และอนาคต
    กราบครั้งที่ 2 - กราบพระธรรมเจ้า ตั้งแต่ อดีจ ปัจจุบัน และอนาคต
    กราบครั้งที่ 3 - กราบพระสงฆเจ้า ตั้งแต่ อดีต ปัจจุบัน และอนาคต

    ครู
    มีโยมมากราบหลวงปู่ บอกหลวงปู่เป็นครูบาอาจารย์ของเขา
    หลวงปู่ตอบว่า
    ครูมีอยู่ 6 คน
    1. ตา
    2. หู
    3. จมูก
    4.ลิ้น
    5.กาย
    6.ใจ

    การคิด

    "อดีตอย่าไปคิดแม่มัน
    อนาคตไปคิดหาส้นตีนอะไร
    ดูแต่ปัจจุบันนี่"

    การทำบุญ

    มีโยมมาบอกหลวงปู่ว่าชอบทำบุญ...

    หลวงปู่ - "ทำบุญ ทำยังไง"
    โยม - "ก็... ทำด้วยใจค่ะ ทำแล้วสบายใจก็เป็นบุญ"
    หลวงปู่ - "ถ้าทำบุญแล้วสบายใจ เอ็งไปขี้ก็สบายได้แล้ว มันก็แค่บรรเทาทุกข์ ทำบุญจริงๆมันต้องฆ่าสัตว์!!"

    (ถึงตรงนี้ ผมกำลังจะรอฟังว่า "ทำบุญต้องฆ่าสัตว์" แปลว่าอะไร ก็มีโยมคนอื่นมาแทรกพูดเรี่องงานทอดกฐินซะก่อน เลยไม่ได้รู้กันว่า ทำบุญต้องฆ่าสัตว์แปลว่าอะไร อาจจะหมายถึงฆ่าความเป็นสัตว์ ความไม่ดีในใจเรา หรืออาจมีอะไรลึกซึ้งกว่านั้น เพื่อนๆก็ลองใช้ปัญญาพิจารณาไตร่ตรองปริศนาธรรมของหลวงปู่ตรงนี้เอาดูเองนะ ครับ)

    การภาวนา

    เอาแค่"นิจจัง"ก็พอ "นิจจัง" แปลว่า "จริง" ใช้อย่างอื่นจิตมันดิ้นไปมาได้ แต่ถ้านิจจังมันไม่ดิ้น มันไปไหนไม่ได้ โลกนี้มันมีอยู่แค่นั้น

    "จริง" เป็น "โลกียะ"
    "ไม่จริง" เป็น "โลกุตระ"

    (ตรงนี้เป็นปริศนาธรรมที่ลึกซึ้งมากครับ เพราะปกติเราจะสอนกันว่าโลกนี้เป็นอนิจจัง ไม่เที่ยงไม่จริงแท้ แต่หลวงปู่ให้ดู"นิจจัง" ความเที่ยง ความจริงแท้ แล้วตอนท้ายหลวงปู่ยังมาสลับอีกรอบว่า "จริง" เป็นแค่โลกียะอีก ลองพิจารณากันดูนะครับ จริงไม่จริง... จริงไม่จริง...)

    หลวงปู่บอกว่า - การภาวนาน่ะ ทำท่าไหนก็ได้ ไม่ต้องไปนั่งตัวตรงเป๋ง ขัดสมาธิแบบที่ใครๆมันบอก เอาที่มันสบาย ดูตาคูณสิ (หลวงพ่อคูณ วัดบ้านไร่) เค้านั่งยองๆ รู้รึเปล่าว่า ที่เค้านั่งยองๆน่ะ เค้ากำหนดจิตไว้ที่ฝ่าเท้า เค้าถึงได้มีกำลังจิตขนาดนั้น สมเด็จโต เค้าก็เอากำปั้นมาซ้อนกัน มันสบาย เค้าก็เอาแบบนั้น ท่าไหนก็ได้ จะนั่ง จะเอน จะพิง เอาให้มันสบาย..."

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 มิถุนายน 2010
  4. Ong

    Ong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มีนาคม 2005
    โพสต์:
    2,501
    ค่าพลัง:
    +12,861
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 มิถุนายน 2010
  5. พันบุญ

    พันบุญ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    117
    ค่าพลัง:
    +396
    สาธุ สาธุ สาธุ
    อนุโมทนาบุญด้วยครับ
    กะจะบวชกี่พรรษาครับ
     
  6. พันบุญ

    พันบุญ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    117
    ค่าพลัง:
    +396
    สาธุ สาธุ สาธุ
    อนุโมทนาบุญทั้งหมดของคุณภัทรอังคาร ดังกล่าวข้างต้นทั้งหมดด้วยครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 มิถุนายน 2010
  7. พันบุญ

    พันบุญ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    117
    ค่าพลัง:
    +396
    อยากหายป่วยไวๆ ต้องเอาปรอทหุงของหลวงปู่แช่น้ำกินครับ
     
  8. ภัทรอังคาร

    ภัทรอังคาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    4,904
    ค่าพลัง:
    +14,098
    ก่อนวันเกิดภัทร ภัทรจะมาลาทุึกท่านนะค่ะ ภัทรจะกลับบ้านเก่าค่ะ คำชะโนด เมืองบาดาลค่ะ
     
  9. bung2525

    bung2525 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    350
    ค่าพลัง:
    +1,311
    สวัสดีครับพี่พันบุญ (ผู้สะสมปรอท รู้เรื่องปรอทอีกคน) ผมตั้งใจพรรษา 1ครับ
    หลังจากนั้นจะขึ้นไปทำบ้านที่โคราชครับ (คงได้ไปบ่อยๆๆ ไว้เดี๋ยวผมจะนัดเจอพี่พันบุญนะครับ)
     
  10. tongsamuri

    tongsamuri เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2006
    โพสต์:
    374
    ค่าพลัง:
    +1,088
    ไม่ไปบวชที่วัดหลวงปู่เลยอะครับกร
     
  11. พันบุญ

    พันบุญ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    117
    ค่าพลัง:
    +396
    กรน่าไปบวชที่วัดหลวงปู่ ไปอยู่เรียนวิชากับหลวงปู่

    ข้างล่างนี้เอามาฝากลิงได้แก้ว

    เล่นแร่แปรธาตุ ปรอทวิเศษ (สำเร็จ)

    การแปรธาตุหนึ่งไปสู่อีกธาตุหนึ่งที่มีคุณลักษณะทางกายภาพ และเคมีให้ต่างไปจากเดิมนั้น

    ชาวสยามในสุวรรณภูมิมีวิทยาการในเรื่องนี้มาช้านาน จากตำนานพบว่าได้รับการถ่ายทอด

    มาจากชาวชมพูทวีป ที่ได้รับความรู้นี้มาจากไอยคุปต์โบราณอีกทอดหนึ่ง

    เรื่องการเล่นแร่แปรธาตุนี้ เป็นเรื่องจริงที่มิใช่เพียงตำนานที่เล่าขาน นอกจากการแปรธาตุ

    ให้เป็นสิ่งที่มีค่ามากขึ้น ยังพบว่ามีการใช้ในการสรรสร้างวัตถุที่ประจุพลังจิตอีก

    เรื่องราวเหล่านี้พบในเอกสารโบราณหลายฉบับ ทั้งยังมีกล่าวในพระไตรปิฏก

    ตอนที่กล่าวถึงโลกจินไตยว่า อันคติเรื่องโลกนั้นแบ่งได้สองสาขา คือ

    ๑. มนิกาวิชชา คือความรู้เรื่องจิตศาสตร์ อันได้แก่ ความรู้ทางจิต การบำเพ็ญจิตในลักษณะต่าง ๆ

    ทั้งก่อนพุทธกาล และในขณะนั้นเช่นการสะกดจิต การฝึกปราณยามะ การเพ่งกสิณ

    ๒. ตัชชารีวิชชา อันนี้คือความรู้เรื่องเครื่องรางของขลัง ๔ ประการ คือ

    - มูลตัชชารี ความรู้เรื่องต้นไม้ว่านยาที่มีอานุภาพต่าง ๆ

    - มันตาตัชชารีวิชชา ได้แก่ ความรู้เรื่องเวทมนต์ต่าง ๆ ที่หลายท่านคุ้นเคยกันดี

    - อังกตัชชารีวิชชา ได้แก่ ความรู้เรื่องการทำเครื่องรางของขลัง พวกพระเครื่อง

    ผ้ายันต์ ตะกรุดพิสมรต่าง ๆ

    - ธาตุตัชชารีวิชชา คือ ความรู้เรื่องแร่ธาตุต่างที่มีอิทธิฤทธิ์ รวมทั้งวิชาเคมี

    ยุคดึกดำบรรพ์เรียกว่า รสายนเวท ที่เป็นความรู้เกี่ยวกับเรื่องการเล่นแร่แปรธาตุต่างๆ

    เช่น การแปรธาตุตะกั่วเป็นทองคำ (สีสัน-ลักษณะโครงสร้างภายนอก) การแปรธาตุปรอท

    เป็นของแข็ง ที่เรียกกันว่าปรอทสำเร็จธาตุกายสิทธิ์ วิชาเรื่องการแปรธาตุนี้

    เกือบเหลือเป็นเพียงแค่ตำนาน เพราะมีผู้รู้สืบทอดน้อยลงวิชาประการต่าง ๆ

    ก็พลอยสาบสูญไปกับผู้ที่รู้วิชาเหล่านั้น การแปรธาตุนั้นถือเป็นการร่ำเรียนพระเวทขั้นสูง

    เพราะต้องใช้ทั้งความรู้ และสติปัญญาในการไขปริศนาแห่งวิชาให้เข้าใจ

    ทั้งต้องมีพลังจิตในระดับอัปมัญญาสมาธิ (ฌานสมาบัติ) จึงจะสามารถทำสำเร็จ

    เท่าที่พบในประวัติศาสตร์ของชาวสยามนั้น มีวิชาการที่กล่าวถึงเรื่องนี้อยู่มาก

    ทั้งปรากฏหลักฐานในพระเครื่องรางของขลัง ที่ผู้มีความรู้พระเวทสายนี้สรรสร้างบรรจุไว้

    ตามกรุเจดีย์ต่าง ๆ แสดงถึงความรุ่งเรืองของรสายนเวทในสมัยนั้น

    หากท่านเป็นนักนิยมพระเครื่อง คงรู้จักเครื่องราง เช่น ลูกปรอทกรอ ก็เป็นประดิษฐกรรมอย่างหนึ่ง

    และพระเครื่องที่ทรงฤทธานุภาพสูง ที่บรรจุในกรุโบราณมาแต่สมัยศรีอโยธยารามเทพนคร

    ที่สรรสร้างด้วยพระเวทสายเล่นแร่แปรธาตุ ก็คือ พระกรุวัดท้ายย่าน จังหวัดชัยนาท

    ที่ปรากฏมีผู้เรืองวิทยาคมสูงส่งสืบทอดอย่างไม่ขาดสาย จนปัจจุบันความเข้มขลังของพระกรุนี้

    นักนิยมพระรุ่นเก่าถึงขนาดดูแท้ - ปลอม ด้วยการอาราธนากำพระเครื่องนี้

    แล้วนำเข็มฉีดยาแทงหากว่าเข็มทะลุผ่านชั้นเนื้อไปได้ ก็ถือว่าพระเครื่องท้ายย่านองค์นั้นปลอม

    นี่คือกฤติยาคมที่ผ่านพ้นอดีตจนมาพิสูจน์ความจริงแท้ในโลกปัจจุบัน นอกจากพระกรุวัดท้ายย่าน

    จะมีอิทธิคุณเข้มขลัง แล้วท่านทราบไหมว่าพระเครื่องชุดนี้สร้างจากวิชาเล่นแร่แปรธาตุ

    ที่ปรากฏในตำนานสยามคือวิชาปรอทสำเร็จธาตุกายสิทธิ์นั่นเอง เมื่อผ่านกาลเวลานานนับร้อยปี

    ประกอบกับความร้อนเย็นในกรุพระปรอทนั้นก็กินตัวกรอบไม่คงทน ทำให้พระชุดนี้ตกแตก

    บรรดานักนิยมพระเครื่องที่ไม่เดียงสา ก็คิดว่าพระท้ายย่านนั้นมีส่วนผสมสร้างจากแร่พลวง(วุลแฟรม)

    ชนิดหนึ่งเท่านั้น และท่านทราบอีกหรือไม่ว่าพระชุดนี้มิได้ใช้การหลอมเทด้วยความร้อน!!!!

    แต่เป็นการปั้นอัดพิมพ์โลหะกายสิทธิ์นั้นด้วยวิชาพระเวทขั้นสูง ที่น่าตื่นตะหนกที่หลอมโลหะ

    ด้วยพระเวทแล้วชุบให้แข็งตัว หลายท่านที่อ่านมาถึงตรงนี้อาจบอกว่าเหลือเชื่อไม่น่าเป็นไปได้

    แต่ยืนยันว่าเป็นเรื่องจริงครับ...

    ก่อนที่จะมาถึงการหลอมปรอทโดยไม่ใช้ไฟ ที่มีนักวิทยาคมหลายท่านสงสัยว่าจริงหรือ ?

    บางท่านถึงกับกล่าวปรามาสไป ก็มีว่าเป็นเรื่องเล่นกลหลอกลวง หรือบางรายกล่าวแบบขอไปที

    ว่าถึงทำได้แล้วไงจะขลังจริงหรือ อันนี้เป็นเรื่องต่างความคิดต่างความเชื่อกันคงไปบังคับ

    กะเกณฑ์กันไม่ได้แต่ที่นำมาเล่าให้ฟังนี่ ก็เพื่อสืบตำนานเรื่องราวที่เป็นความเชื่อทางวัฒนธรรม

    ประการหนึ่งของไทยเรา จะขอปูพื้นความรู้เรื่องปรอทวิเศษ หรือปรอทสำเร็จที่เป็นของวิเศษ

    ในความเชื่อของผู้ศึกษาวิทยาคม ว่าใครหากทำได้เเล้วก็นับว่าบรรลุจุดสูงสุด ในวิชาวิทยาคม

    ประการหนึ่งเเบบเดียวกับที่เราศึกษาวิชาความรู้ภาคสามัญแล้ว ได้ปริญญาอย่างไรอย่างนั้น

    จึงขอคัดตำราการหุงปรอทสำเร็จแบบหนึ่ง ซึ่งจริงในเมืองไทยมีตำราแบบที่ว่าด้วยการหุงปรอทนี่

    เท่าที่พบไม่น้อยกว่ายี่สิบตำราครับ การหุงปรอทตำรับนี้ที่ได้จากตำราเก่าอายุหลายร้อยปีเล่มหนึ่ง

    กล่าวถึงการหุงปรอทและสรรพคุณไว้ จึงขอคัดมาเป็นพื้นความรู้เพื่อกล่าวถึงเนื้อความต่อ ๆ ไป

    ดังนี้ครับ...

    ปรอทเป็นของเหลว และไหลกลอกกลิ้งได้เช่นเดียวกับน้ำ

    หลักวิทยาศาสตร์ปรอทนั้นจะมีอาการหดตัว เมื่อถูกความเย็นและพองตัวเมื่อถูกความร้อน

    ตามวิชาการแพทย์ก็ต้องใช้ปรอทเป็นเครื่องวัดระดับความร้อนของคนไข้

    หลักอุตุนิยมวิทยาก็ใช้ปรอทเป็นเครื่องวัดอุณหภูมิเป็นต้น

    เพราะความคุมตัวกันไม่ติดของปรอท และเป็นธาตุชนิดหนึ่งที่มีอาการประหลาดนี้เอง

    ในโบราณกาลจึงถือว่าปรอทนั้น หากผู้ใดมีวิชาสามารถทำคุมตัวกันได้

    และประกอบพิธีโดยหลักไสยศาสตร์อันถูกต้องครบถ้วนแล้ว ฤทธิอันเกิดจากวิทยาคม

    ซึ่งรวมอยู่ในปรอทนั้นอาจจะสามารถนำผู้ที่เป็นเจ้าของ ให้เกิดอิทธิฤทธิและกระทำปาฏิหาริย์ต่างๆ

    ได้ ดังอุปเท่ห์โบราณดังนี้...

    ๑.ผู้ใดอมปรอทไว้ ผู้นั้นจะมีรูปร่างดังพระมหาจักรพรรดิ

    (หมายถึง ความมีเดช ฤทธิ์ และความงามเป็นที่เสน่หากระมัง

    อันนี้รวมถึงอานุภาพที่คล้ายกับเหล็กไหลในตำนาน ที่เด่นเรื่องคุ้มครองป้องกันด้วย)

    ๒.เสียงไพเราะ ดังท้าวมหาพรหม

    (หมายถึง พูดถูกใจบุคคล เป็นเสน่ห์ พูดอะไรมีคนเชื่อถือกระมัง)

    ๓.ไปป่าหิมพานต์ยาม ๑ ก็ถึง (คงหมายถึงการปาฏิหาริย์ ล่องหน)

    ๔.ไป ๔ ทวีป ในนิ้วมือเดียว (เช่นเดียวกับข้อ ๓ หรืออาจหมายถึงกายทิพย์ก็ได้)

    ๕.คิดอะไรสำเร็จความปรารถนา

    ข้อมูลประกอบบทความ : นิตยสารอุณมิลิต ฉบับที่ ๑๕ เดือนสิงหาคม ๒๕๔๗

    การทำปรอทเป็นสรรพยามีสรรพคุณมากมาย จึงมีกระบวนการทำตามแบบโบราณ ดังนี้

    ใช้วิธีการดักจับปรอทตามน้ำคลำ, น้ำที่เน่าเหม็นปรอทจะมากินสิ่งที่เน่าเหม็น

    มีกรรมวิธีการดักจับหลายวีธี...

    การทำปรอทให้บริสุทธิ์

    นำปรอทมาใส่ในชามกระเบี้องเคลือบนำข้าวที่หุงสุกใหม่ ๆ ทิ้งเอาไว้ให้เย็น

    แล้วนำมาใส่ให้ท่วมปรอท คลุกเคล้าข้าวสุกกับปรอทให้เข้ากัน ด้วยไม้หรือกระเบื้องเคลือบ

    พยายามบี้บดให้ปรอทแตกตัวสัก 15 นาที หรือจนปรอทแตกตัวเป็นเม็ดละเอียด

    จะเห็นว่าข้าวสุกจะติดสีดำมากมาย สุดท้ายล้างด้วยน้ำสะอาด โดยการเทน้ำสะอาด

    ใส่ลงไปล้างหลาย ๆ ครั้งแล้วถ่ายน้ำออกหรือเทน้ำออกให้ระมัดระวังตามสมควร

    เนื่องจากปรอทมีน้ำหนักมากจะไม่เกาะติดสิ่งใด ๆ การล้างออกจึงทำได้ไม่ยากนัก

    นำปรอทมาแช่น้ำปลาร้า หมั่นคนสักพักหนึ่งคนบ่อย ๆ ทิ้งเอาไว้สัก 1 คืน

    รุ่งเช้าให้ล้างน้ำปรอทด้วยน้ำสะอาดเหมือนกับขั้นตอนแรกหลาย ๆ ครั้ง

    ให้นำเอาตะใคร้ทั้งต้นทั้งใบมาตำให้ละเอียด นำไปคลุกเคล้ากับปรอทคนให้เข้ากัน

    ทิ้งไว้อีก 1 คืน นำมาล้างออกด้วยน้ำสะอาดแบบเดียวกับการล้างน้ำในขั้นตอนแรก

    เอาปรอทมาแช่น้ำมะดัน หรือมะกรูดหรือน้ำมะนาวหมั่นคนบ่อย ๆ ทิ้งเอาไว้ 1 คืน

    วันรุ่งขึ้นให้นำไปล้างด้วยน้ำสะอาด เสร็จแล้วนำเอามาใส่เอาไว้ในขวดแก้วปิดฝาให้แน่น

    เพื่อกันมิให้ปรอทดูดเอาสิ่งที่เป็นพิษเข้ามาปะปนอีก ปรอทที่ได้มานี้ยังเป็นของเหลว

    เชื่อกันว่าปรอทที่ผ่านวิธีการกรองเอาพิษออกแล้วนี้มีความบริสุทธิ์ 90 กว่าเปอร์เซ็นต

    การทำปรอทให้แข็งแบบโบราณ

    แบบที่ 1 ให้สะกดด้วยอาคมโดยนำเอาปรอทใส่ลงในกระทะ

    เอาไม้สนเกี๊ยะจุดไฟใส่ใต้กระทะเป็นเชื้อเพลิง จากนั้นบริกรรมเติมไฟ แต่ไม่ให้ร้อนมาก

    ชั่วเวลาหนึ่งให้ใส่ทองคำลงไป เพื่อล่อให้ปรอทแทรกตัวเข้าไปอยู่ในทองคำและแข็งตัว

    เมื่อปรอทแข็งตัวแล้วก็จะผ่อนไฟจน กระทั่งหยุดใส่ไหและเย็นลงในเวลาต่อมา

    ขั้นตอนต่อไปเป็นการบูชาเจ้าป่าเจ้าเขาก่อนที่จะเอาปรอทแข็งตัว

    แล้วนำเอาไปใส่เอาไว้ในพานวางตั้งเอาไว้หน้าหิ้งพระ คลุมด้วยทองคำเปลว

    แบบที่ 2 ใช้ปรอท,ดีบุก,น้ำตะใคร้,จุนสี,กำมะถัน,น้ำประสานทอง

    อย่างละเท่า ๆ กัน สำหรับจุนสีและน้ำประสานทอง ให้ระมัดระวังหน่อย

    ต้องนำมาให้ความร้อนให้แตกตัวก่อน เรียกว่าการฆ่าพิษ นำทั้งหมดมากวนรวมกันให้เข้ากัน

    จนเป็นสีรุ้ง การหุงนำไปตั้งในเตาแก๊สก็ได้แล้วนำเอาไปเทลงในแบบพิมพ์ต่าง ๆ

    เมื่อปรอทแข็งตัวได้รูปแล้ว นำเอามาแต่งด้วยกระดาษทรายละเอียด

    และนำเอาไปใช้ตามเจตนารมณ์ต่อไป

    ข้อเสียของปรอท คือ กินทอง,กินดวงคนที่เกิดปีธาตุทองเช่นปีมะโรง,และกินคนที่มีชื่อว่าทองด้วย

    เรื่องปรอทสำเร็จ มีเล่าไว้มากมาย ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช

    มีทหารเอกชื่อพระยาสีหราชเดโชชัย(ทิป) ขี่ม้าขาว พกปรอททำให้คงกระพันชาตรี

    และหายตัวได้ ท่านผู้อ่านที่มีความสนใจ ให้ลองไปหาอ่านในตำนาน

    หรือพงศาวดารของกรุงศรีอยุธยาเพิ่มได้


    ในสมัยจอมพล ป. ก็มีเรื่องเล่าไว้ว่า มีไข้ป่าชุกชุมมาก ทำให้ทหารและคนงานที่ไปสร้างเมืองใหม่

    ที่เพชรบูรณ์ล้มตายไปจำนวนมาก พวกที่รอดตายมาได้ในคราวนั้น ล้วนมีปรอท ติดตัวกันทุกคน


    และเมื่อค้นตำนานภาคใต้ก็พบว่า ในตำนานเมืองนครศรีธรรมราชนั้น ในสมัยพระเจ้าศรีธรรมโศกราช

    เกิดไข้ห่าหรือโรคอหิวาตกโรคระบาดหนัก จนต้องอพยพผู้คนไปอยู่ที่ลานสะกา

    และได้มีพิธีล้างไข้ห่าโดยนำปรอท มาหุงขัดยา แล้วทำเป็น หัวนอโม หว่านไปทั่วเมือง

    จนไข้ห่า หายขาดไปอย่างอัศจรรย์

    ปรอทขัดยาดังกล่าวนี้ น่าจะหมายถึง ปรอทสำเร็จนั่นเอง...


    ต่อไปอหิวาตกโรคสายพันธุ์ใหม่จะระบาด ปรอทสดของหลวงปู่น่าจะช่วยชีวิตผู้คนได้มาก

    ปรอท ตามคติของการสร้างวัตถุมงคล เป็นแร่ธาตุที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ โดยในสมัยโบราณท่านกล่าวไว้ว่า ให้นำแร่ปรอทมาใช้เป็นส่วนผสม ส่วนหนึ่งในการรักษาโรคต่างๆ ของยาแผนโบราณ และบางส่วนก้อใช้ประโยชน์ได้โดยตรง ในอีกส่วนหนึ่งก็มีการทำให้แข็งตัวตามตำราที่สืบทอดกันมาจากโบราณ ที่เรียกขานกันว่าเป็นการเล่นแร่แปรธาตุ เพราะวงการนักนิยมเครื่องรางของลัง เชื่อถือกันว่า ปรอท เป็นแร่ธาตุที่มีความศักดิ์สิทธิ์ และมีอานุภาพ อยู่ในตัวเอง แม้นจะเก็บไว้นานก้อคงสภาพไม่แปรเปี่ยนเป็นสีอื่น ปรอทที่แท้จริงจะมีสีขาว ถ้าขัดถูจะดูสดใสขึ้นในทันที จะดูเป็นสีใหม่อยู่เสมอ พิสูจน์ได้โดยเอาถูกับตะกั่วซองบุหรี่ จะร้อนไหม้ขึ้นในทันที เอาหลังแตะกันจะเห็นเป็นยาง เอาถูอลุมิเนียมจะเป็นขุยขึ้นมา เอาถูที่มือ จะป็นสีดำ จึงจะเป็นของแท้ถูกต้องตามตำรา สรรพคุณของปรอท ใช้ได้กว้างขวาง เหมาะแก่ท่านที่อยู่ตามชนบท ต่างๆ เช่น ตามไร่ นา ป่า เขา ควรมีพระปรอทติดตัวไว้บูชา ป้องกันอันตรายได้หลายอยาง บรรพบุรุษนับถือกันจริงๆ ยิ่งนำมาสร้างเป็นพระหลวงปู่ทวดเหยีย่บน้ำทะเลจืด ถือได้ว่าย่อมมีความศักดิ์สิทธิ์หลายอย่าง เพราะหลวงปู่ทวด เป็นสุดยอดพระนิรันตราย พระเนื้อปรอทหลวงปู่ทวดนี้ นำพกติดตัว เมื่ออันตรายใช้ได้ทันที อาทิ แช่น้ำเป็นน้ำพุทธมนต์ หรือ ดื่มกินเพื่อรักษาโรคต่างๆ อานุภาพ ของพระเนื้อปรอทตามตำนานที่เชื่อถือกันมาแต่โบราณ

    1. เมื่อถูกของมีคม ใช้ถูปากแผล ห้ามเลือด และแผลจะปิดทันที
    2. กันไข้ป่า ไข้พิษ ต่างๆ
    3. ดูดพิษแมลงสัตว์กัดต่อย ใช้น้ำสุราล้างพระปรอท ปิดแผล
    4. ดูดพิษงู
    5. ป้องกันภูติ ผีปิศาจ และคุณไสย
    6. เวลาเดินทางไกล อาราธนาติดตัว หรือแช่ทน้ำมนต์ ประพรหมยานพาหนะป้องกันภยันตรายต่างๆ
    7. ปวดฟันให้อมพระปรอทไว้
    8. ป้องกันยาพิษ ยาสั่ง
    9. ทารักษาโรคผิวหลังกลากเกลื้อน
    10. เป็นฝี ใช้พระเนื้อปรอท ล้างน้ำสุรา ปิดที่หัวฝี

    " ฤาษีตาวัวเดิมท่านเป็นสงฆ์ ตาบอดทั้งสองข้างแต่ชอบเล่นแร่แปรธาตุ จนสามารถทำปรอทแข็งได้ แต่ยังไม่ได้ทำให้เกิดประโยชน์อันใดคราวหนึ่งท่านไปถาน(ส้วม)แล้วเผอิญทำปรอทสำเร็จตกที่จะหยิบเอาก็มิได้ด้วยตามองไม่เห็น จึงเงียบไม่บอกใคร เลยแกล้งบอกให้ศิษย์ไปหาที่ถานว่าหากเห็นเรืองแสงเป็นสิ่งใดให้เก็บมาให้ ครั้นศิษย์กลั้นใจทำตามท่านดีใจนัก ได้ปรอทมา ก็ล้างให้สะอาดแล้วใส่โถน้ำผึ้ง เอาไว้ฉันเป็นยาไม่เอาติดตัวอีกเพราะเกรงหาย ต่อมาท่านรำพึงว่า เราจะมัวมานั่งตาบอดไปใย มีของดีวิเศษอยู่(ปรอทสำเร็จ) จึงให้ศิษย์ไปหาคนตายใหม่ๆ เพื่อควักลูกตาแต่ศิษย์หาศพคนตายไม่ได้ได้แต่พบวัวนอนตายอยู่เห็นเข้าทีดีจึงควักลูกตาวัวมาแทนท่านจึงเอาปรอทแช่น้ำผึ้งมาคลึงที่ตา แล้วควักตาบอดออกเสีย เอาตาวัวใส่แทน แล้วเอาปรอทคลึงที่หนังตาด้วยฤทธิ์ปรอทสำเร็จไม่ช้าตาท่านที่บอดก็เห็นดีดังธรรมดา หลวงตาท่านนั้นจึงสึกจากพระมาถือบวชเป็นฤาษีและเรียกฤาษีตาวัวมาแต่บัดนั้น "

    จะเห็นได้ว่าปรอทสำเร็จนั้นทำอะไรได้มากกว่าที่คิดเยอะ

    และคตปรอทน่าจะทำอะไรได้มากกว่าที่เรารับรู้กันมาได้อีกเยอะ

    ปิรามิดนั้นสามารถรวมพลังจักรวาลได้ ปิรามิดปรอทก็น่าจะรวมพลังจักรวาลได้ดีกว่าปิรามิดธรรมดา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 มิถุนายน 2010
  12. Palita N

    Palita N เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    543
    ค่าพลัง:
    +1,515
    ขออนุโมทนาบุญค่ะ สาธุ สาธุ สาธุ
     
  13. Palita N

    Palita N เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    543
    ค่าพลัง:
    +1,515
     
  14. Single Club

    Single Club เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    1,025
    ค่าพลัง:
    +1,735
    ขอบคุณครับคุณ Ong สำหรับข้อมูล คงหายาก เคยได้ยินแต่ไม่เคยเห็นน่ะครับ
     
  15. h_pisit

    h_pisit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    384
    ค่าพลัง:
    +1,272
    ขอบคุณครับ ที่ช่วยหาข้อมูล เปิดหูเปิดตาให้ลิงครับ

    หลังจากลองฝึกสมาธิแบบ นับประคำตามที่น้องกร กับพี่ พันบุญ บอกมา
    เลยเห็นว่าตัวเอง เวลานั่งสมาธิ จะวูบเป็น พักๆ
    รู้เพราะ เวลาวูบ ประคำจะหลุดมือ ตกส่งเสียงดัง (เมียเลยบ่นเอา 5555)

    ไม่รู้เมื่อไหร่จะแก้ได้ เฮ้อ...อ่านเจอในหนังสือมาเค้าบอกว่า น่าจะเป็นมิจฉาสมาธิ
    ให้เลิกทำสมาธิ ไป 5 ปี แล้วค่อย เริ่มใหม่แบบมีครูฝึกแก้ให้ เนื่องจากแก้ยาก

    แต่สำหรับผมน่ะจะเพิ่งเริ่มเป็น ต้องขอบคุณพี่พันบุญ ที่บอกแต่เนื่นๆ ครับ



     
  16. Ong

    Ong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มีนาคม 2005
    โพสต์:
    2,501
    ค่าพลัง:
    +12,861

    คุณnumkitti ตอนนี้อาการเป็นยังไงบ้างครับ
    เรียนถามอาจารย์ย่ามแดง ท่านบอกว่าเป็นการปรับธาตุ
    สิ่งที่ไม่ดี ก็ถูกปรับด้วยครับ
     
  17. numkitti

    numkitti เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มกราคม 2008
    โพสต์:
    343
    ค่าพลัง:
    +844
    วันนี้ อาการดีขึ้นแล้วครับ ไม่มึนหัวแล้วครับ แต่หลังจากตอกคตปรอทแล้ว รู้สึกใจนิ่ง และใจเย็นมากขึ้นครับ
     
  18. Ong

    Ong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มีนาคม 2005
    โพสต์:
    2,501
    ค่าพลัง:
    +12,861
    ดีใจด้วยครับ สังเกตเกี่ยวกับการภาวนาและสมาธิมั่งยังครับ :cool:
     
  19. Ma-Li

    Ma-Li เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    32
    ค่าพลัง:
    +176
    พี่ๆคะ ที่เขียนไว้บอกว่า

    ข้อเสียของปรอท คือ กินทอง,กินดวงคนที่เกิดปีธาตุทองเช่นปีมะโรง,และกินคนที่มีชื่อว่าทองด้วย

    อันนี้จริงเหรอคะเนี่ย งี้คนเกิดปีมะโรงก็ไม่ควรบูชาพระปรอทรึป่าวคะ :'(
     
  20. pana_mool

    pana_mool เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    1,696
    ค่าพลัง:
    +7,048
    ถ้าคุณมะลิ ไม่บูชาแล้วจะมอบให้ผมก็ได้นะครับ ยินดีรับครับ:cool:(ล้อเล่นนะครับ)
    คงต้องถามหลวงปู่ ถ้าใจถึงพอ หรือ ถาม อ.ย่ามแดง กระมังครับถึงจะได้มั่นใจในคำตอบ ว่าเป็นคำตอบที่ถูกต้อง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 3 มิถุนายน 2010
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...