เชื่อหรือไม่ ว่าคุณสามารถเห็นสิ่งต่างๆที่อยู่บนเยื่อหุ้มแก้วตาของคุณ

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย guaregod, 8 มิถุนายน 2010.

  1. guaregod

    guaregod เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    962
    ค่าพลัง:
    +1,009
    วันนี้ ตอนเย็น แดดยังแรง ฟ้าโปร่ง ผมลองนอนมองบนท้องฟ้า แต่กลับเห็นคล้ายกลุ่มเซลล์อะไรสักอย่างอยู่บนท้องฟ้า และมีเส้นยาวที่มีฟองอากาศเหมือนกับที่เรามองกล้องจุลทรรศ์ พอเืหลือกตาไปมามันก็วิ่งไปทางทิศเดียวกันกับที่เหลือกตา พอหลับตา้ข้างซ้ายก็ไม่เห็น พอหลับตาขวาก็เห็น เลยเกิดคำถามว่าใครที่เห็นอะไรแปลกๆ ที่อยู่บนท้องฟ้า เป็นไปได้มั้ยจริงๆแล้วมันก็บนผิวดวงตาเรานี่เอง หรือเมื่อเรามองไปยังฉากใดๆ ที่เป็นเหมือนกับบลูสกรีน จะทำให้เราเห็นภาพหรือวัตถุต่างๆที่อยู่บนผิวตาเรา แล้วเมื่อจ้องมองไปอีก ก็จะเห็นจุดสว่าง วิ่งพล่านไปหมด เต็มตาไปหมดเลย ลักษณะคล้ายเวลาเรามองเห็นจุดกลมหลายๆวงที่วิ่งกันไปมาในอากาศ ผมคงต้องหาน้ำยามาล้างตาแล้วหล่ะ เพราะมีอะไรเยอะเลยบนผิวดวงตาของเรา
     
  2. น้ำดี1

    น้ำดี1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    13,402
    ค่าพลัง:
    +43,432
    ไม่รู้เหมือนกันสิค่ะ
     
  3. into_aj

    into_aj สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    8
    ค่าพลัง:
    +14
    โรควุ้นในตาเสื่อมครับ ลองหาข้อมูลในเน็ตได้
     
  4. runchoo_man

    runchoo_man เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    597
    ค่าพลัง:
    +593
    "โรควุ้นในตาเสื่อม" ครับ
    ในลูกตาเราจะมีน้ำวุ้นอยู่ตรงกลางลูกตา ถ้าผิวด้านในของลูกตาเสื่อมลง จะลอกออกมาและลอยปนอยู่ในน้ำวุ้นนั้นครับ

    ถ้าเป็นมากๆ ผิวด้านในลูกตา จะลอกออกมามากทำให้ประสาทตาฉีกขาด
    จะเห็นเป็นแสงเหมือนไฟแฟลช จากจุดเล็กๆ กลายเป็นเหมือนฟ้าผ่าในลูกตา
    ไม่ว่าจะหลับหรือจะลืมตา ถึงขั้นนี้ต้องผ่าตัดครับ

    คนเล่นเนตมากๆ จะเป็นครับ อย่าคิดว่า
    การอ่านตัวหนังสือบนจอคอม กับ อ่านหนังสือกระดาษ จะเหมือนกันเด็ดขาด

    เพราะการก้มๆเงย ของการเล่นคอม จอคอมที่อยู่ห่าง ตัวหนังสือที่ไม่มีขอบคมชัดของจอคอมพิวเตอร์ แสงที่จ้าเกินปกติ รังสีที่แผ่ออกมา ฯลฯ
    สิ่งเหล่านี้ทำให้ลูกตาเสื่อม ลูกตาทำงานหนัก

    กว่าจะพิมพ์งานเสร็จชิ้นหนึ่ง คุณอาจจะต้องก้มเงยๆ เป็นร้อยๆครั้ง และลูกตาจะต้องโฟกัส ใกล้-ไกล กลับไปกลับมาเป็นพันๆครั้ง

    เพราะว่าถ้าอ่านหนังสือกระดาษ แขนกับมือ จะปรับระยะโฟกัสแทนลูกตา
    ระยะโฟกัสคงที่สม่ำเสมอ และขอบตัวหนังสือกระดาษ จะคมชัด
    แต่ถ้าอ่านหนังสือจากจอคอมพิวเตอร์ คุณจะต้องใช้ลูกตาโฟกัสแทน
    เพราะถ้าเล่นคอม ความกว้างของจอ จะทำให้คุณต้องถอยหลังออกมาไกล
    บวกกับมีแป้นคีย์บอร์ด และช่วงแขนที่วางบนจอคอม บวกกันแล้วเกิน 1 ฟุตเสมอ
    และบวกกับตัวหนังสือบนจอคอม จะมีขอบไม่คมชัด เพราะเป้นแค่จุดเล็กๆ มาผสมกันหยาบๆ ให้พออ่านออกเท่านั้น

    บวกกับจอคอมสมัยใหม่ เน้นความกว้าง
    (ความจริงเหมาะกับการดูภาพ หรือหนัง แต่ไม่เหมาะกับการดูตัวหนังสือ)
    ยิ่งทำให้คุณต้องนั่งถอยหลังไปไกล
    (เพื่อจะจับภาพให้ครบทั้งจอ) หรือทำให้คอ หรือลูกตา
    มีระยะกวาดจากขอบหน้าจอข้างซ้าย ไปสุดขอบหน้าจอข้างขวา ยิ่งไกลมาก ยิ่งเมื่อยมาก
    แถมยังต้องโฟกัสอ่านตัวหนังสือในระยะไกลเสมอ

    และบางทีเล่นเกมส์กับทำงานพิมพ์สลับกัน บางคนขี้เกียจปรับแสงให้มืด ทำให้ตาเสีย
    เพราะเกมส์ต่างๆ มักจะมีพื้นฉากหลังมืดๆ (เช่นปราสาทมืดๆ)
    จะทำให้คนเล่นต้องปรับแสงให้สว่างแบบสุดกู่ เพื่อจะได้เห็นภาพรายละเอียดทั้งหมด
    แต่พอกลับมาพิมพ์งาน เช่น word ที่มีพื้นเป็นสีขาว จะทำให้แสงสีขาว เข้าตาเป็นเวลานาน

    บวกกับการเล่นเนตสมัยใหม่ ที่มีตัววิ่ง ตัวกระพริบต่างๆ และมีจุดที่จะให้ต้องไปคลิ๊กหลายจุด
    อย่างเช่นหน้าเวปท่าวาไรตี้ต่างๆ ที่มีจุดให้คลิ๊ก ให้ดูหลายจุด
    คนเล่นเนตเหล่านี้ จะติดนิสัย คือ "ติดนิสัยใช้ลูกตา กวาดดูทั้งหน้าจอ" จนสายตาพัง
    ทำให้ลูกตาทำงานหนัก เพราะจอคอมมันตั้งอยู่กับที่ จึงต้องใช้สายตากวาดมองดู

    ไม่เหมือนการดูอะไรๆ บนหนังสือกระดาษ ที่ลูกตากับ คอ กับ มือกับแขน จะสัมพันธ์กัน
    ทำให้ลดการเคลื่อนไหวของลูกตาในการจะโยกไปดูตามจุดต่างๆบน หน้ากระดาษ

    แต่คนเล่นเนตทั้งหลาย มักจะติดนิสัยการกวาดดูด้วยลูกตาเพียงอย่างเดียว
    แถมยังดูจอภาพที่มีแสงย้อนเข้าลูกตาโดยตรง (ยิ่งจอแก้ว ยิ่งเสี่ยง แถมมีรังสีมากกว่าจอ LCD)
    แถมตัวหนังสือยังไม่คมชัด ต้องโฟกัสกันในระยะไกลเกินหนึ่งฟุต ฯลฯ
    ก้มๆเงยๆ กลับไปกลับมา เป็นร้อย เป็นพันครั้ง สะสมกันหลายปี

    จอคอม จึงเหมาะกับการดูภาพ หรือ วิดีโอ แต่ไม่เหมาะกับการอ่านแบบแทนหนังสือกระดาษ
    กลับมาอ่านหนังสือกระดาษกันเถิด สายตาจะไม่เสีย ลูกตาจะไม่พัง
    (มีสถิติคนเป็นโรควุ้นในตาเสื่อม ถึง 14 ล้านคนในไทยแล้ว และจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทั่วโลก)
    เหตุเพราะการแพร่ระบาดของอินเตอร์เนต ไปทั่วประเทศ และทั่วโลกนี่เอง

    ปกติคนที่เป็นโรคนี้ในสมัยก่อน จะมีอยู่แค่ไม่กี่อาชีพ เช่น "ช่างเจียรไนเพชร-พลอย"
    ซึ่งต้องใช้สายตาจิกดูของเล็กๆ ทำให้สายตาและลูกตาเสื่อมเร็ว แต่ปัจจุบันไม่ใช่แล้ว

    อันนี้ผมเขียนเองนะครับ เพราะผมเป็นโรคนี้อยู่ ไม่เชื่อก็ตามใจค๊าบ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 มิถุนายน 2010
  5. อศูนย์น้อย

    อศูนย์น้อย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    458
    ค่าพลัง:
    +495
    ง่า ไม่ไช่เรื่องแปลกครับ
    ผมเห็นมาตั่งแต่จำความได้แล้ว
     
  6. รักดีทำดี

    รักดีทำดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    42
    ค่าพลัง:
    +238
    ถูกต้องไม่เห็นจะแปลกตรงไหนเลย เห็นมาตั้งแต่เด็กล่ะ เคยสงสัยเหมือนกันทุกวันนี้ก็ยังเห็นอยู่ แต่ก็คิดว่าน่าจะเป็นโมเลกุลอากาศอะไรซักอย่างก็แค่นั้นล่ะ ไม่แปลกจ้า สงสัยคนตั้งกระทู้นี้คิดว่าแปลกเต็มที ที่เห็นอย่างนี้ (อ่ะนะล้อเล้น)
     
  7. runchoo_man

    runchoo_man เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    597
    ค่าพลัง:
    +593
    ขอพูดต่ออีกหน่อยครับ
    และโรคตาที่คนจะเป็นกันมากต่อไปข้างหน้าคือ "ต้อหิน"
    สาเหตุของการเกิดโรคนี้ยังไม่ทราบแน่ชัด แต่สรุปกว้างๆคือมาจากความเสื่อม
    ปัจจุบันรู้แต่เพียงว่า เกิดจากการที่ท่อปล่อยของเหลวในลูกตา เกิดอุดตันขึ้น
    อาจจะเกิดจากกรรมพันธ์ หรือใช้ลูกตาหนักเกินไป(อาจจะเพราะเล่นคอมนี่แหละ)
    หรือ ใช้ยาสเตียรอยด์บ่อยๆ หรือ เคยมีอุบัติเหตุเกี่ยวกับลูกตา
    หรือ ยาหยอดตาบางตัว ที่มีสเตียรอยด์ คนดันไปซื้อมาหยอดเอง กลับกลายเป็นต้อหินซะเอง
    เรื่องเกี่ยวกับลูกตา ห้ามไปซื้อยามาหยอดเองเด็ดขาด

    ปกติของเหลวในลูกตาจะถูกสร้างเพิ่มขึ้นมาใหม่ทุกๆวัน
    และจะมีช่องสำหรับของเหลวไหลออกจากลูกตา
    อยู่ดีๆช่องระบายน้ำออกจากลูกตาเกิดปิดแคบลง ทำให้ความดันในลูกตาเพิ่มสูงขึ้น
    เพราะมีการสร้างของใหม่ออกมาทดแทนตลอดเวลา
    ทำให้ของเหลวในลูกตาเกิดความดันสูงขึ้นเรื่อยๆ จนของเหลวในลูกตาไปกดทับเส้นประสาทตา
    และเลือดที่มาเลี้ยงเส้นประสาทตา
    ผลก็คือ จะทำให้ประสาทตา ตายลงเรื่อยๆ ทำให้การมองเห็นแคบลงๆ เรื่อยๆ
    จนในที่สุด ทำให้สูญเสียการมองเห็นแบบ 100%

    อย่างในกรณีของคุณ ทูณ หิรัญทรัพย์ ที่กว่าจะไปหาหมอ
    ดวงตาก็สูญเสียการมองเห็นไป 90% ในข้างนึง(จำไม่ได้ว่าข้างไหน)
    ปกติโรคนี้ จะเป็นทั้งสองข้างพร้อมๆ กัน แต่จะข้างไหนเป็นมากกว่ากันเท่านั้นเอง

    หมอตาใน รพ. บอกว่า ผู้คนที่เดินตามท้องถนนในทุกวันนี้ มีเยอะที่ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นโรคนี้
    เหตุเพราะว่า โรคนี้ไม่จำเป็นจะต้องปวดตาทุกราย
    บางรายไม่ปวด แต่ประสาทตาจะตายลงทีละน้อยๆ เพราะความดันในลูกตาสูง
    และโรคนี้ "จะตรวจพบด้วยเครื่องมือของจักษุแพทย์เท่านั้น"
    ทำให้มีคนเป็นโรคนี้โดยไม่รู้ตัวกันมาก


    ถ้าคุณเล่นคอมนานๆ แล้วเงยหน้าออกไปมองที่ไกลๆ แล้วไม่สามารถโฟกัสภาพในระยะไกลได้
    เงยหน้ามองไกลๆตั้งนานแล้วยังไม่ชัด ต้องนั่งรอล่ะก็
    โปรดจงระวัง นั่นคือสัญญาณของความเสื่อมของลูกตา
    เพราะปกติคนเราจะสามารถโฟกัสใกล้-ไกล ได้เพียงแค่เสี้ยววินาที

    อวัยวะใดๆ ก็ตามถ้าใช้งานมันมากไปหนักเกินไป ความเสื่อมย่อมเกิดขึ้นมากกว่าปกติ
    โรคที่ไม่เคยเกิดกับคนวัยรุ่น วัยหนุ่มสาว ก็สามารถเกิดขึ้นมาได้

    แต่ก่อนคนที่เป็นโรคนี้ คือคนที่มีอายุเกิน 35 ปีขึ้นไป แต่เด๋วนี้ไม่ใช่แล้ว เด็กเริ่มจะเป็น
    ผมไม่อยากจะบอกเลยว่า "การเล่นเนต การเล่นคอม การเล่นเกมส์" ด้วยคอมพิวเตอร์นี่แหละที่เป็นตัวเร่งในเรื่องนี้
    ความเสื่อมด้วยเหตุผลข้อเดียวกันกับโรควุ้นในตาเสื่อม ที่ผมเขียนไว้คอมเม้นด้านบนนี่แหละ

    โรคต้อหินนี้ ถ้าต่อไปนานๆ บางคนเกิดดื้อยา ยาที่เคยใช้ไม่ได้ผล หยอดแล้วความดันไม่ลด
    ก็จะต้องผ่าตัด โดยจะใช้เลเซอร์เจาะลูกตา เพื่อระบายของเหลวในลูกตาให้ไหลออกสะดวก
    อาจจะต้องฝังท่อทองคำ เพื่อใช้เป็นทางให้น้ำระบายออกถาวร

    ปัจจุบัน ผมจะเปิดคอมเท่าที่จำเป็น ดูเท่าที่จำเป็น จะไม่นั่งแช่ นั่งอ่านเป็นวันๆอีกแล้ว
    อย่างการอ่านเรื่องธรรมะต่างๆ ผมก็ใช้การอ่านหนังสือกระดาษแทน และฟังเสียงmp3แทน
    (โชคยังดีที่ผมไปตรวจเจอโรคนี้ก่อนที่สายตาจะเสีย ไปตรวจเพราะแพ้โฟมล้างหน้า)

    เป็นโรคตาที่ดูแลง่าย แค่เพียงขยันหยอดตา วันละครั้ง เพื่อให้ความดันในลูกตาลด
    แต่เป็นโรคตาที่ร้ายแรงที่สุดในบรรดโรค "ต้อ" ทั้งหมด (ต้อลม,ต้อเนื้อ)
    เพราะว่าเป็นการทำลายประสาทตาโดยตรงอย่างถาวรทีละนิดๆ โดยไม่มีการถอยหลัง
    (ต้อเนื้อ พอตัดออกก็หาย ประสาทตายังสมบูรณ์เหมือนเดิม)


    โปรดใส่ใจกับการเล่นเนต เล่นคอม หรือการเล่นเกมส์ บนจอคอม ให้มากกว่านี้เถิด
    ควรจะเล่นแค่พอดีๆ นะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 มิถุนายน 2010
  8. guaregod

    guaregod เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    962
    ค่าพลัง:
    +1,009
    ขอบคุณครับ สำหรับความรู้เพิ่มเติม สงสัยต้องไปให้หมอตรวจซะแล้ว
     
  9. Mr.Boy_jakkrit

    Mr.Boy_jakkrit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    2,063
    ค่าพลัง:
    +2,676

    ตามนี้เลยครับ จะเป็นจุดบอดของเซลครับ

    อันตรายที่สุดคือถึงขั้นตาบอดได้เลยทีเดียว
     
  10. shesun

    shesun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    471
    ค่าพลัง:
    +1,327
    ขอบคุณมากค่ะที่ให้ความรู้...เป็นประโยชน์มากค่ะ ตอนนี้เริ่มแพ้แสงจากคอม ทั้งๆที่ใส่แว่นเพื่อกรองแสงแล้วนะ บางวันน้ำตาไหลเลยต้องงดเล่นคอม...ขอบคุณหลายๆค่ะ !!!
     
  11. sZerETleK

    sZerETleK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2007
    โพสต์:
    37
    ค่าพลัง:
    +126
    เราอ่านหนังสือสอบในเว็บบ่อยมาก แทบทุกวิชาเลย อ่านในอีเรินนิ่ง ขี้เกียดจด เป็นสไลด์ที่อาจารย์ใช้สอนอ่ะ นั่งอ่านในคอมจนได้เอมาหลายตัวและ ตอนนี้ตาเริ่มไม่ค่อยดีและล่ะมั้ง ตาแห้ง แพ้แสง แสบตาบ่อยๆ แต่ส่วนใหญ่จะอ่านที่ไม่เกี่ยวกับเรียนมากกว่า ก็คงจะอ่านในคอมจนเรียนจบนั่นแหละ ใช้อีเรินนิ่งให้คุ้มกับค่าเทอมหน่อย ดีกว่าไปอ่านในหนังสือแล้วต้องมานั่งสรุปเอาเอง ในความคิดเรานะ ถึงอ่านในสมุดที่สรุปแล้ว ก็ต้องมานั่งอ่านในคอมอีกที เป็นการทวน

    ถ้าเวลาอ่านพื้นหลังเป็นขาวแล้วตัวหนังสือเป็นสีดำจะปวดตามาก เราเคยอ่านอยู่วิชานึง มึนมากเลย แต่สไลด์ที่เราอ่านมันเป็นสีๆอ่ะ มันเลยไม่มึน ไม่ค่อยปวดตา

    ขอบคุณสำหรับความรู้ดีๆๆนะครับ
     
  12. ik que jun

    ik que jun สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    3
    ค่าพลัง:
    +14
    เราก้อเห็นค่ะ เวลามองในแสงสว่างจะเห็นแสงเหมือน เหมือนดาวเล็กมากมาย วิ่งวนอยู่ในอากาศ ถ้าใครยังไม่เคยเห็น หัดลองเพ่งอากาศจนเห็นฝุ่นละอองสิ แล้วหลังจากนั้นคุณจะเห็นแสงเล็ก ๆ นี้ทุกครั้งที่อยากเห็น
     
  13. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918
    ไม่แปลกนะ สำหรับคนที่ฝึกสมาธิ ทำสติปัฏฐาน การรับรู้ผ่านทาง ตา
    หรือ จักขุ จะดูได้ 4 ระดับ

    1. รู้รูปจากแสง ที่มาจาก วัตถุภายนอก

    2. รู้รูปที่จากแสง ที่มาจาก วัตถุที่กระทบ หรือ แนบกับ กระจกตา
    ( อันนี้ ก็คือ เห็นเป็น ละออง หรือ ดวงใส แต่จะเคลื่อนไปตามการกลอกตา
    หายไปบ้าง คงอยู่บ้าง ที่คงอยู่บางที่เป็นรอยแผล รอยขีดข่วน รอยการเสื่อม
    สลายของกระจกตา )

    3. รู้รูปจากแสง ที่่กระทบอยู่ภายในแก้วตา จอประสาทตา อันนี้จะเห็นเป็นฟอง
    อากาศสว่างว๊าปบ้าง เห็นเป็นเม็ดๆวิ่งไปมา แต่มีวิถีการวิ่งคงเส้นคงวา ทั้งนี้สิ่ง
    ที่เห็นก็คือ เม็ดเลือดแดง ขาว ที่วิ่งในเส้นเลือดฝอย

    4. รู้รูปจากแสง ที่กระทบจอประสาทตา เห็นเป็นละอองของแสงบ้าง เห็นเป็น
    ดวงแสงคล้ำๆที่เป็นปฏิภาคกับแสงวัตถุจริงบ้าง เห็นเป็นแสงแต่ให้ความรู้สึกยิบ
    ยับและรู้สึกเคืองตาหยุกหยิกๆรู้ว่าเคมีในลูกกระตามันทำงานสัมผัสกับแสงอยู่ อัน
    นี้ก็พอเห็นได้ รู้สึกได้ ....หากวางการรู้ การยึดมั่นการรู้ตรงนี้ไป ก็จะเข้า
    มาสู่มโนทวาร ภาพที่เห็นจะเป็นนิมิต หรือเกิดจากความนึกคิด นี่ก็ละเอียดไปอีก

    ....อย่างไรก็ดี การเห็นแบบนี้ไม่ใช่สิ่งวิเศษอะไร เป็นเรื่องปรกติ เป็นของธรรมดา
    หากฝึกสมาธิได้พอสมควร....

    หากจะเอามาต่อยอดเพื่อการหลุดพ้น ก็เอามาอาศัยระลึก รู้ๆ แล้ว วางไป ไม่สน
    ใจในเนื้อหาสาระ หรือจะไปเอาสาระอรรถใดจากการเห็น นอกจากอาศัยระลึกเพื่อ
    สร้างความว่องไวของสติ ตั้งมั่นรู้แล้ววางได้เป็นสัมปชัญญะ ไปเรื่อยๆ ก็พอกล้อม
    แกล้ม เป็นกายคตาสติได้เหมือนกัน ...แต่ท่านว่า ฝึกโดยใช้ตากระทบนี้ยากอยู่
    สู้บริกรรมอะไรสักอย่างไม่ได้ เพราะคำบริกรรมนั้นจะออกมาจาก มโนทวาร เลย
    ไม่ต้องไปเสียเวลาอยู่กับอยาตนะนอกๆ อันนี้ ก็เหมือนเรื่อง พระโปฏิละ ที่เลือก
    ปิด5ทวาร เพื่อฝึกระลึกรู้ที่ มโนทวาร เพียงอยาตนะเดียว
     
  14. mib8gdviNz

    mib8gdviNz เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    1,009
    ค่าพลัง:
    +1,524
    เป็นเหมือนกันครับ
    *-*
     

แชร์หน้านี้

Loading...