เรื่องเล่าของข้าพเจ้าความศักดิ์สิทธิ์พระคาถาชินบัญชร

ในห้อง 'สมเด็จโต พรหมรังสี' ตั้งกระทู้โดย ชัชวาล เพ่งวรรธนะ, 1 ตุลาคม 2008.

  1. kung_9894

    kung_9894 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    186
    ค่าพลัง:
    +1,584
    ขออนุโมทนาในความคิดที่จะบวชด้วยนะคะ

    พอดีอ่านเจอ อานิสงค์ของการบวช เลยนำมาลงให้อ่านกันค่ะ
    <TABLE style="TABLE-LAYOUT: fixed" cellSpacing=0 cellPadding=5 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top width="85%" height="100%">อานิสงส์ของการบวช คืออะไร ?
    ~ พุทธทาสภิกขุ ~

    เมื่อกล่าวถึงผลหรืออานิสงส์ของการบวชแล้วผู้บวชควรจะทำในใจถึงผลของการบวชให้กว้างออกไปเป็น3 ประการ เป็นอย่างน้อย อานิสงส์ของการบวชนั้นย่อมมีมากมายกว้างขวางเหลือที่จะกล่าวให้ครบถ้วนเป็นรายละเอียดได้แต่เราอาจจะประมวลเข้าด้วยกัน แล้วจำแนกออกเป็นประเภทใหญ่ ๆ ได้ 3 ประเภท กล่าวคือ

    อานิสงส์ที่จะพึงได้แก่ ตัวผู้บวชเอง
    อานิสงส์ที่จะพึงได้แก่ ผู้อื่น มีมารดา บิดาที่เป็นประธาน
    อานิสงส์ที่จะพึงได้แก่ พระศาสนา
    รวมเป็น 3 ประการด้วยกัน ดังนี้
    สำหรับ อานิสงส์ที่จะพึงได้แก่ตัวผู้บวชเองนั้น โดยส่วนใหญ่ ย่อมหมายถึงการพ้นไปจากการเผาผลาญของไฟกิเลสและไฟทุกข์ หรือที่เรียกว่า “ นิพพาน “ นี้เป็นที่ตั้ง หากไม่ได้ถึงนั้น ก็ย่อมได้รองลงมาในอันดับที่รองลงมา คือ มีไฟกิเลส และไฟทุกข์เผาผลาญแต่เพียงเบาบาง แล้วแต่ว่าตนจะสามารถประพฤติปฏิบัติธรรมวินัยได้ดีเพียงไร นี้กล่าวสำหรับผู้บวชตลอดไป
    ส่วนผู้ที่บวชเฉพาะกาลชั่วคราว ตามขนบธรรมเนียมประเพณีของบางประเทศนั้น ย่อมได้ผลโดยสรุปคือ จักได้เรียนรู้ศาสนาที่ตนนับถือได้อย่างใกล้ชิด จักได้ลองชิมการปฏิบัติธรรมะเป็นเครื่องพ้นทุกข์ดู เท่าที่ตนจะปฏิบัติได้ และในที่สุดจักได้กลับออกมาเป็นคนที่ดีกว่าเก่า เหมาะสมที่จะเป็นผู้นำในครอบครัว
    ทั้งหมดนี้เรียกว่า อานิสงส์ที่ผู้นั้นจะพึงได้รับ เฉพาะตนและตนจะต้องทำให้ได้รับจริง ๆ อย่าให้เสียทีที่ได้บวชเลย

    สำหรับอานิสงส์ที่ได้พึงได้แก่ผู้อื่น มีมารดาบิดาเป็นต้นนั้น ข้อนี้ย่อมหมายถึงการมุ่งตอบแทนบุญคุณของผู้มีบุญคุณ เป็นที่ตั้ง มีมารดาบิดาเป็นประธานของบุคคลเหล่านั้น ๆ คนเราพอสักว่าเกิดมาในขณะนั้น ยังไม่ทันจะลืมตาดูโลกได้ก็เป็นหนี้บุญคุณแก่คนทั้งหลาย อย่างมากมายเหลือที่จะกล่าวได้เสียแล้ว สำหรับมารดาบิดานั้นไม่ต้องกล่าวเพราะว่าท่านมีบุญคุณเหนือเศียรเกล้าของบุตรเพียงไรนั้น ย่อมเป็นที่ประจักษ์กันดีแล้ว
    ส่วนที่ว่า “ เป็นหนี้บุญคุณผู้อื่นอีกมากมายเสียตั้งแต่ยังไม่ทันลืมตาดูโลก “ นั้น ข้อนี้หมายความว่า พอเด็กคลอดออกมาก็ต้องอาศัยสติปัญญาวิชาความรู้ของผู้ที่เป็นแพทย์ เป็นหมอ ของผู้ที่รู้จักคิดรู้จักทำเครื่องนุ่งห่มขึ้นในโลก และของผู้ที่ทำการช่วยเหลือแวดล้อมทุกอย่างทุกประการโดยไม่รู้สึกตัว จนอาจจะสรุปได้ว่า พอเกิดมาก็เป็นหนี้บุญคุณคนทั้งโลกทีเดียว
    เพราะฉะนั้นจึงเป็นหน้าที่ของคนดี ที่จะต้องตอบแทนบุญคุณของผู้มีบุญคุณทั้งหลาย ซึ่งมีมารดาบิดาเป็นประธาน
    ในการตอบแทนบุญคุณนั้น บัณฑิตทั้งหลายมีพระพุทธเจ้าเป็นต้น ได้กล่าวไว้ว่า ไม่มีอะไรที่จะตอบแทนดียิ่งไปกว่าการทำให้ผู้มีบุญคุณนั้น ๆ ได้รับความดี ความงามอันสูงสุด สำหรับความดีความงามอันสูงสุดนั้น ก็ไม่มีอะไรยิ่งไปกว่า การได้พ้นไปจากความทุกข์ หรือพ้นไปจากการถูกเผาผลาญของไฟกิเลสและไฟทุกข์
    เพราะเหตุฉะนี้แหละ บุตรที่จะต้องตอบแทนมารดาบิดาจักต้องสำนึกถึงการทำให้มารดาบิดาเป็นต้นนั้น ได้รับความดีความงามเป็นความพ้นทุกข์ก่อนสิ่งอื่นใดทั้งสิ้นท่านผู้รู้ได้กล่าวเปรียบความข้อนี้ไว้ว่าแม้หากจะทำได้ถึงกับว่าให้มารดาบิดาทั้งสองอยู่บนบ่าของบุตร แล้วฟูมฟักรักษามารดาบิดานั้น ไม่ให้อนาทรร้อนใจด้วยการกินอยู่เป็นต้น บนบ่าโดยไม่ต้องลงสู่พื้นดินเลย เป็นเวลาตลอดกัปป์ตลอดกัลป์ ก็ยังหาจัดว่าเป็นการตอบแทนบุญคุณมารดาบิดา ได้เพียงพอหรือเหมาะสมกันไม่ แต่ท่านได้กล่าวไว้สืบไปว่า ถ้าหากบุตรคนใดได้ทำมารดาบิดา ที่เป็นมิจฉาทิฏฐิ หรือว่าทำมารดาบิดาที่เป็นสัมมาทิฏฐิ ให้เป็นสัมมาทิฏฐิยิ่งขึ้น จนถึงกับออกจากทุกข์ได้หมดจนสิ้นเชิง นี้แหละ ก็คือการตอบแทนบุญคุณของมารดาบิดาได้อย่างสมกัน
    เราจึงเห็นได้ชัดว่า โอกาสแห่งการตอบแทนบุญคุณของมารดาบิดานั้น นับว่ามีมากที่สุดในการบวช คือว่าด้วยการบวชนั้น จักทำให้มารดาบิดาเป็นต้นนั้น มีศรัทธามั่นคงในพระพุทธศาสนายิ่งขึ้น ได้เป็นผู้ใกล้ชิด หรือเป็นญาติในพระศาสนายิ่งขึ้น ได้ใกล้ชิดการประพฤติปฏิบัติธรรมวินัยยิ่งขึ้นได้มีความรู้ความเข้าใจในธรรมอันลึกซึ้งยิ่งขึ้นหรืออย่างน้อยที่สุดก็เป็นผู้มั่นคงไม่หวั่นไหวในพระรัตนตรัย จนเป็นที่รับประกันได้ว่า ไม่มีทางที่จะตกไปสู่อบายได้เลย ดังนี้เป็นต้น
    จึงนับว่า การบวชที่ถูกต้องนี้เป็นโอกาสที่จะตอบแทนบุญคุณมารดาบิดาได้จริง ๆ แต่ทั้งนี้ ย่อมหมายถึงว่า ผู้นั้นจะต้องบวชจริง ศึกษาเล่าเรียนจริง ประพฤติปฏิบัติจริง ๆ ได้รับผลแห่งพรหมจรรย์นี้จริง ๆ แล้วตั้งหน้าตั้งตาสอนผู้อื่นจริง ๆ ล้วนแต่เป็นการทำจริงไปทั้งหมดดังนี้ จึงจะมีผลเป็นการตอบแทนบุญคุณมารดาบิดาเป็นต้น อันเป็นที่รักที่เคารพจริงอย่างเหมาะสมกันได้
    ขอให้ผู้บวชแล้วทั้งหลาย จงอ้างเอาคุณมารดาบิดาเป็นที่ตั้ง โดยมีความสำนึกว่า ท่านเหล่านั้นได้มีบุญคุณแก่เรามาก่อนแล้ว เป็นฝ่ายที่ทำแก่เราก่อน เรากำลังเป็นหนี้บุญคุณของท่านอยู่แล้ว แล้วตั้งอกตั้งใจประพฤติปฏิบัติธรรมวินัย ด้วยการทำจริง ดังกล่าวมา ให้เป็นการตอบแทนบุญคุณมารดาบิดาอย่างเหมาะสมกัน อย่าให้เป็นขบถหรือหลอกลวงต่อความหวังของมารดาบิดาแต่ประการใดเลย อันนี้แลเรียกว่า อานิสงส์ของการบวชที่จะพึงได้แก่ผู้มีบุญคุณทั้งหลาย มีมารดาบิดาเป็นต้น

    สำหรับอานิสงส์อันจะพึงได้แก่พระศาสนาเอง เป็นประการสุดท้ายนั้น ข้อนี้หมายความว่า แม้พระศาสนาก็เป็นสิ่งที่มีปัจจัยปรุงแต่ง อาจจะเสื่อมสูญไปได้ ถ้าหากไม่มีการปรุงแต่งสืบต่ออายุเอาไว้
    เพราะฉะนั้น การบวชของพวกเรา จึงมีความมุ่งหมายให้เป็นการสืบอายุพระศาสนาไปด้วยอีกส่วนหนึ่ งเราที่ได้บวชนี้ก็เพราะมีพระพุทธศาสนา ถ้าหากไม่มีพระศาสนา เราจะบวชได้อย่างไร เป็นสิ่งที่เข้าใจกันได้อยู่ดีแล้ว บุญคุณของพระศาสนานั้นเองที่ทำให้เราได้บวช เพราะฉะนั้นเราจักตอบแทนคุณของพระศาสนา
    ถ้ากล่าวให้ยืดออกไปกว่านี้อีก คือ เราต้องรำลึกถึงคุณอุปัชฌาย์อาจารย์ ที่ได้สืบอายุพระศาสนากันมาเป็นลำดับ ๆ นับตั้งแต่สมัยพุทธกาลมาจนถึงบัดนี้ จนทำให้เราได้บวช เราต้องสำนึกถึงบุญคุณของอุปัชฌาย์อาจารย์เหล่านั้น ซึ่งแต่ละท่านล้วนแต่หวังว่า เราผู้เป็นลูกศิษย์ชั้นหลัง ๆ จักช่วยกันสืบอายุพระศาสนาให้เป็นช่วง ๆ รับมอบกันไปอย่าให้ขาดสายได้ นี้เป็นเหตุให้เราต้องคิดตอบแทนคุณอุปัชฌาย์อาจารย์เหล่านั้น ด้วยการสืบอายุพระศาสนาไว้ให้ได้จริง ๆ ถ้าจะกล่าวให้ยืดออกไปกว่านั้นอีก เราจะต้องรำลึกถึงพระคุณของพระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้เป็นต้นกำเนิดของพระศาสนา ในข้อที่พระองค์ได้ทรงเสียสละ ไม่เห็นแก่ความเหนื่อยยากลำบากในการประดิษฐานพระศาสนาซึ่งเมื่อเราได้ศึกษาประวัติอันประเสริฐของพระองค์แล้วเราจะเห็นได้ว่าพระองค์ทรงบากบั่นในการประดิษฐานและเผยแพร่พระศาสนานี้ จนถ้าจะกล่าวโดยโวหารธรรมดาก็กล่าวได้ว่า “ ตายคาที่บนแผ่นดินกลางทางเดิน ที่โคนต้นไม้แห่งหนึ่ง “ ไม่ได้ตายบนกุฏิเหมือนเราท่านทั้งหลายโดยมาก

    สรุปข้อความนี้ว่า พระองค์ทรงมีความพยายามและความหวังอย่างยิ่ง ที่จะประดิษฐานพระศาสนาของพระองค์ให้มั่นคงอยู่ในโลกนี้เพื่อเป็นประโยชน์แก่สัตว์ทั้งหลายรวมทั้งพวกเราด้วย เพราะเหตุฉะนั้นแหละเราจะต้องบากบั่นในการสืบอายุพระศาสนา ให้สมกับตัวอย่างที่พระองค์ได้ทรงกระทำไว้และให้สมกับบุญคุณอันใหญ่หลวงที่พระองค์ทรงกระทำไว้แก่สัตว์ทั้งหลายรวมทั้งพวกเราด้วย เพื่อจะให้เป็นการสืบอายุพระศาสนาได้สมจริงนั้น ย่อมมีอยู่แต่ทางเดียวเท่านั้น คือ
    เราจะต้องบวชจริง ศึกษาเล่าเรียนจริง ประพฤติปฏิบัติจริงให้ได้รับผลของพรหมจรรย์นี้จริง แล้วพยายามสั่งสอนผู้อื่นต่อกันไปจริง จึงจะเป็นการสืบอายุพระศาสนาเป็นเครื่องบูชาตอบแทนพระคุณของพระองค์ได้จริง
    เพราะฉะนั้น เราทั้งหลายควรจะรำลึกถึงพระคุณของพระผู้มีพระภาคเจ้า ถึงพระคุณของอุปัชฌาย์อาจารย์ ที่ได้สืบอายุพระศาสนา สืบต่อกันลงมาจนถึงพวกเรา และรำลึกถึงคุณของพระศาสนา ซึ่งเป็นเครื่องบำบัดความทุกข์ของสัตว์ได้จริง แล้วตั้งหน้าตั้งตาตอบแทนคุณพระศาสนา คุณอุปัชฌาย์อาจารย์และคุณพระผู้มีพระภาคเจ้า ด้วยการเรียนจริงปฏิบัติจริงเป็นต้น ดังกล่าวแล้ว
    นี้เรียกว่า อานิสงส์ของการบวชอันจะพึงได้แก่ ตัวศาสนาเอง ซึ่งในที่สุดอานิสงส์อันนั้นก็จะแผ่ไปในทุก ๆ โลก ทั้งมนุษยโลกและเทวโลกเป็นเหมือนร่มโพธิ์ร่มไทรที่คุ้มครองสิ่งที่มีชีวิตทั้งหลายให้เยือกเย็นอยู่ภายใต้ร่มเงาของพระศาสนาตลอดกาลนาน

    รวมอานิสงส์ ทั้ง 3 ประการเข้าด้วยกัน คือ
    อานิสงส์ที่พึงจะได้แก่ ตัวผู้บวชเอง
    อานิสงส์ที่จะพึงได้แก่ ผู้มีบุญคุณทั้งหลาย มีมารดาบิดาเป็นประธาน
    และอานิสงส์ที่จะพึงได้แก่ ตัวพระศาสนา
    ดังนี้แล้ว ย่อมเห็นได้ว่าเป็นการเพียงพอแล้ว ที่เราจะต้องเสียสละทุกสิ่งทุกอย่าง ด้วยการอดกลั้นอดทนเพื่อให้เกิดการบวชจริง เรียนจริง ปฏิบัติจริง ได้รับผลจริง แล้วสั่งสอนสืบต่อกันไปจริง ซึ่งอาจจะกล่าวได้ด้วยความมั่นใจว่า ไม่มีการกระทำอย่างใดที่จะดียิ่งกว่าการกระทำอันนี้ ซึ่งถือว่าเป็นอานิสงส์ของการบวชที่พวกเราจะพึงได้รับ

    </TD></TR><TR><TD class=smalltext vAlign=bottom width="85%"><TABLE style="TABLE-LAYOUT: fixed" width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=smalltext width="100%" colSpan=2>ขออนุโมทนาด้วยทุกประการค่ะ สาธุ _/|\_</TD></TR><TR><TD class=smalltext id=modified_1025 vAlign=bottom></TD><TD class=smalltext vAlign=bottom align=right> </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>

     
  2. kung_9894

    kung_9894 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    186
    ค่าพลัง:
    +1,584
    ขออนุโมทนาค่ะ

    สวัสดีค่ะ น้องปอม
    ยินดีต้อนรับนะคะ
    ขออนุโมทนากับการปฎิบัติด้วย ขอให้เจริญก้าวหน้าในทางธรรมยิ่งๆขึ้นไปค่ะ
    พี่กุ้ง
     
  3. laemchabang

    laemchabang สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    9
    ค่าพลัง:
    +12
    ทุกเรื่องที่คุณชัชวาล เขียนจากประการณ์มีประโยชน์สำหรับ
    ผู้เริ่มต้นการปฏิบัติธรรม จนถึงผู้ที่กำลังปฏิบัติธรรมที่หาวิธี
    ที่เหมาะสำหรับตนเองครับ หลายเรื่องเมื่อพิจารณาตามคุณชัชวาล
    มีความเข้าใจธรรมมากขึ้นครับ



    ขออนุโมทนา สำหรับการให้ธรรมทาน คุณชัชวาล ด้วยครับ
     
  4. วันชัย13

    วันชัย13 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    41
    ค่าพลัง:
    +176
    เมื่อเห็นกายไม่ใช่เรา เห็นจิตไม่ใช่เรา แล้วเราอยู่ที่ไหน แล้วอะไรล่ะคือ"เรา"

    เมื่อเห็นความจริงครั้งแรกๆว่า "กายใจ ไม่ใช่เรา"
    สภาวะที่ปรากฏคือ "เวิ้งว้าง เหงา โดดเดี่ยว ใจหาย"
    เกิดสภาวะที่ว่า "ยอมรับไม่ได้"

    เกิดสภาวะที่ว่า "แล้วสิ่งที่เห็นอยู่ มีอยู่ รู้อยู่ นี่คือใครล่ะ"
    ยังไม่ยอมรับความจริงว่ากายใจไม่ใช่เรา
    ( สงสัยในจิตลึกๆว่า ต้องมีเราสักที่ในกายในจิตนี่หล่ะ)

    แต่เมื่อขยันดู เพียรดู ดูไปเรื่อยๆ (ตามเดิม)
    ความจริงของกายใจก็ผุดให้เห็นบ่อย
    เมื่อเห็นความจริงของกายใจบ่อย

    สิ่งที่ยึดว่า นี่คือ"เรา"
    ก็เกิดสภาวะที่ว่า "จางลงทีละนิดๆ"
    จางเพราะเห็นความจริงบ่อย(ต่อเนื่อง)
    จนเริ่มยอมรับความจริงได้ทีละนิดๆ

    จนเกิดสภาวะที่ซึมซาบซ่านเข้าถึงใจว่า
    "ไม่มีเราที่ไหนเลยจริงๆ มีแต่ธรรมชาติ
    ที่เขาทำงานตามเหตุตามปัจจัยของเขาเท่านั้นเอง"

    มีแต่ธรรมชาติของรูป ที่ทำงานของเขา
    มีแต่ธรรมชาติของนาม ที่เขาทำงานของเขา
    รวมแล้วมีแต่ธรรมชาติของรูปนามทำงานของเขาเอง ตามเหตุปัจจัยเกื้อหนุน

    "ไม่มีเราที่ไหนเลยจริงๆ"
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 เมษายน 2010
  5. Sriaraya5

    Sriaraya5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    3,079
    ค่าพลัง:
    +12,852

    ถ้าเห็นอย่าที่โพสๆ มา หมดเหตุปัจจัยแล้วไปไหนซะละ

    ก็ไม่สามารถหาได้ เหมือนควันไฟที่ลอยหายไปในอากาศ

    ก็ไม่สามารถหาได้ว่าไปในทิศทางใด เพราะมันได้ดับไปแล้ว

    ไม่สามารถตั้งได้ ทรงตัวได้ เพราะมันได้ดับไปแล้ว
     
  6. ชัชวาล เพ่งวรรธนะ

    ชัชวาล เพ่งวรรธนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    843
    ค่าพลัง:
    +4,120
    ธรรมชาติที่ยึดธรรมชาติธาตุรู้ยึดโลกธรรม
    ธรรมชาติรู้ธรรมชาติรู้เหตุละเหตุไม่อิงโลกธรรม
    สำทับเข้าไปที่ตัวรู้ดูเหมือนลึกดสุดจะหยั่งถึง
    ดูเหมือนเวิ้งว่างไร้ขอบเขต
    ดูเหมือนอะไรไม่รู้อธิบายไม่ถูก
    แต่เหมือนเป็นพยานยืนยันหนักแน่นเพิ่มขึ้น
    ในสิ่งที่เป็นเหตุเป็นปัจจัยที่ไหลไปแลก่อรูปร่างแลจิตสังขารปรุงแต่ง
    แลมองลึกสุดจะหยั่งชั่วแวบขณะนั้น
    ดูว่าเป็นอุปทานในขันธ์เพราะโจมตีไปที่ช่องวิญญาณอายตนะ
    สถานที่เหลือบชำเรืองรู้ชัดแจ้งในสัจธรรม
    พบธาตุรู้ไหลไปมาดั่งไฟลามทุ่งเพราะสะสมรูปสภาวะก่อเป็นขันธ์แสดงตน
    เหมือนดั่งกลุ่มระอองพรายน้ำระยิบระยับหล่อหลอมรวมเป็นฟองก้อนน้ำขนาดใหญ่
    แล้วเมื่อเฝ้าดูมันก็ระเบิดสลายหายไปกลมกลืนเข้าไปกับน้ำเหมือนเช่นเดิม
    เราคืออะไรแท้จริงแล้วเราก็คือธรรมชาติ
    เมื่อรู้แจ้งเหตุแลปัจจัยย่อมรู้แจ้งเหตุแห่งอริยสัจธรรม
    เข้าถึงกฎแห่งธรรมชาติของปฎิจสมุบบาท
    เมื่อรู้แล้วระบบการทำลายอุปทานในขันธ์ก็จะเริ่มก่อร่างสร้างตัว
    สะสมทีละนิดแห่งความเชื่อมั่น
    ก่อให้เกิดศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา สมบูรณ์พร้อม
    แลด้วยคุณธรรม37ประการแก่งโพธิปักขิยธรรมอันเจริญยิ่ง

    วันนี้อ้องทราบเรื่องคนงานคนหนึ่งที่อ้องพอจะรู้จักเค้าบ้าง
    ฆ่าตัวเองตายเพราะน้อยใจวาสนาที่เกิดมาหลังค่อมแลพิการ
    พร้อมสุขภาพของโรคเลือดโลหิตเม็ดเลือดขาว
    ชีวติมีแต่ทุกข์ระทมและก็ไปพึึ่งเอาเหล้ามาย้อมชีวิตตนเองเสริมทับเข้าไป

    นี่ก็เพราะเหตุแห่งอวิชชา ความไม่รู้ ไม่เข้าใจชีวิต
    ย่อมสะสมทางเดินแห่งทุกข์ระทมอีกต่อไปเป็นอันมาก
    ซักวันหนึ่งที่อ้องรู้อ้องจะทำให้เพื่อนร่วมทุกข์ได้รู้ได้เข้าใจ
    ได้เข้าถึงสัจธรรมความจริงของธรรมชาติ

    เพื่อตื่นในโลกแลไม่จมปรักเข้ากับทะเลทุกข์อีกต่อไป

    ลอยเท้านกบนอากาศ
    ไฟที่หายไปในอากาศ
    และฟองน้ำที่รวมกันเป็นฟองใหญ่เป็นกลุ่มก้อนแลแตกออกในห้วงน้ำ
    สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ก็คือธรรมชาติที่ไม่อิงโลกอีกต่อไป

    มันไม่ได้หายไปไหนเลย...
    แต่หลอมกลมกลืนเข้ากับสรรพสิ่งชั่วนิรันต่างหากนี้แล...คือนิพพานังปัจจโยโหตุ
    สันติสุขสงบเพราะปราศจากขันธ์อันเป็นที่ตั้งแห่งตัวทุกข์ทั้งมวลละลายหายไป
    ระเบิดออก
    แตกทำลาย อาสวะห่อหุ้มถูกปัญญาวิปัสสนาทำลายในสังโยชน์สิ้นลง
    อวิชา ตัณหา อุปทาน ไม่หลงเหลืออีก

    คำว่าไม่มี ไม่หลงเหลือก็คือ รู้ว่ามีอยู่แต่สักแต่รู้เหลือเพียงกริยาจิตจนกว่าสังขารขันธ์
    จะแตกทำลายลงไปนั่นแลจึงจะปรากฏคำว่าไม่มีในโลก มองไม่เห็นในโลก

    สิ่งที่อ้องเขียนเป็นความเข้าใจส่วนตน...
    ผิดพลาดขออภัยมา ณ ที่นี้

    ครั้งหนึ่งงหลวงปู่มั่นบอกว่าได้พบพระพุทธองค์ในนิมิต
    แลพระพุทธเจ้าอีกหลายๆองค์ ท่านบอกว่า เป็นอุปทานของจิต
    ท่านไม่มาเวียนว่ายหรือทำหน้าที่อันใดอีกแล้ว
    จบกิจท่านแล้ว...

    อนุโมทนาครับ
    อ้อง...
     
  7. ชัชวาล เพ่งวรรธนะ

    ชัชวาล เพ่งวรรธนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    843
    ค่าพลัง:
    +4,120
    อย่าหลงประแสโลกจนลืมดูสภาวะกันนะ

    ฝึกตัวรู้มาดูสภาวะมาก็ให้รู้อย่าทอดทิ้งเน้อ
    ขนาดครูบางท่านยังฟุ้งและหดหู่อดที่จะส่งจิตซัดส่ายไม่ได้
    อุปทานในรูปดีรูปเลวมันเยอะเน้อ
    ถ้าสติเท่าทันสังขารขันธ์ที่กำลังปรุงแต่งโลกธรรมนั้น
    เราจะเห็นว่าจิตมันทุกข์เพราะยึดรูปลักษณะดีเลวของโลก
    จิตมันไหลไปหาเหตุตามธรรมชาติของจิตเป็นเรื่องธรรมดาที่มีเชื้อสะสม
    ถ้ารู้เท่าทันอารมณ์ไม่ไหลคล้อยตาม
    มรรคก็อยู่ตรงรู้ สติ ศีล สมาธิ ปัญญาก็อยู่ตรงรู้ตื่นเบิกบานในธรรม
    จิตที่เห็นจิตก็จะเกิดพยานยืนยันหนักแน่นในตรงรู้นั้นหล่ะทำให้เกิด
    กำลังแห่งอินทรีย์ทั้ง5เจริญงอกงาม
    อริยสัจธรรมก็แสดงตัวตนเค้าให้รู้ตรงจุด ตำแหน่ง
    เมื่อรู้จักจู่โจม ใช้กำลังแห่งพละ5 คุณธรรมแห่งอิทธิบาท4
    อันเป็นส่วนหนึ่งของคุณธรรมแห่งโพธิปักขิยธรรม37ประการให้เจริญยิ่งแล้ว
    ธรรมอันมีอุปการะมากเช่นโพชณงค์ก็ย่อมเจริญ
    คำว่าตรัสรู้แจ้งเค้าอยู่ตรงคำว่ารู้ๆแล้วคลายจากอุปทานขันธ์จนหมดยึดขันธ์
    ก็เท่ากับค้นพบความจริงของธรรมชาติ
    พระศาสดาทรงแสดงธรรมแก่พระอัสสชิเถระว่า
    ธรรมใด(ธรรมชาติ)เกิดเพราะมีเหตุ
    พระพุทธองค์ทรงแสดงเหตุเกิดและการดับไป
    อันเป็นเรื่องธรรมดาของธรรม(ธรรมชาติ)

    ช่วงนี้น้องๆเพื่อนๆฟุ้งซ่าน จิตหดหู่ จิตเศร้าหมอง จิตมีโทสะ
    ก็ต้องรู้ตามจริงในสภาวะของขันธ์ที่แสดงเชื้อของมัน
    หน้าที่เราคือรู้เพื่อตื่น
    ตื่นเพื่อไม่หลง ไม่เผลอจมเข้าไปกับกระแสโลก

    โลกมันคือปรักน้ำครำ บ่อโสโครกมูดเน่า
    อย่าพักอยู่ที่แห่งนี้
    อย่าเพียรอยู่ในที่ปิติสุขสบาย
    เมื่อนั้นพี่ๆน้องๆย่อมก้าวข้ามโอฆะทั้งหลาย

    ด้วยสติ สมาธิ ปัญญาตามความจริง
    อนุโมทนาสาธุครับ
     
  8. ชัชวาล เพ่งวรรธนะ

    ชัชวาล เพ่งวรรธนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    843
    ค่าพลัง:
    +4,120
    ไฟล์คำภีร์หมื่นโลกธาตุ ไฟล์เวิรด์

    พอดีน้องเปียวทำมาให้เสร็จเรียบร้อย
    แต่ยังไม่ได้ทำเป็นPDFนะครับ
    ท่านใดต้องการไฟล์ คำภีร์หมื่นโลกธาตุก็ขออ้องมาที่เมล์ได้เลยนะครับ
    จะแนบไฟล์ไปให้นะครับ
    อนุโมทนาน้องเปียวด้วยพร้อมกับการที่จะบวชไม่กี่วันข้างหน้าล่ะ
    เมล์อ้องนะครับ heaoon@hotmail.com
     
  9. ชัชวาล เพ่งวรรธนะ

    ชัชวาล เพ่งวรรธนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    843
    ค่าพลัง:
    +4,120
    ไม่มีอะไรกับอะไร ไม่เป็นอะไรกับอะไร

    นับแต่โบราณกาลเป็นต้นมา…
    ตั้งแต่มนุษย์ก่อเกิดบนผืนพิภพ
    สิ่งที่มนุษย์พึงปรารถนาคือเหนือมนุษย์…

    ไม่ว่ายุคใดๆที่ผ่านพ้น ใครคือผู้เหนือมนุษย์
    ์ใครเป็นสุดยอดแห่งพิภพเลิศจบแดน

    มนุษย์ต่างแสวงหาค้นคว้าสรรพศาสตร์วิชาต่างๆมากมาย เพื่อหาหนทางก้าวเข้าสู่เซียนหรือเหนือสรรพสิ่ง

    อัจฉริยะแห่งแต่ละยุคสมัยต่างก็หนีไม่พ้นการชิงไหวชิงพริบ
    การต่อสู้การหักล้าง
    การกระทำใดๆที่ทำให้เหนือกว่าเพื่อเป็นที่กล่าวขวัญในโลกหล้า

    มนุษย์ใช้การฆ่าฟันเป็นคำกล่าวอ้างเพื่อผดุงความเป็นธรรม
    ใช้การฆ่าฟันเพื่อสันติ
    ใช้คำว่าชอบธรรมมาทำลายล้าง
    แบ่งฝ่ายดีเลว
    แบ่งแยกเผ่าพันธุ์…

    มนุษย์ที่ยังยกคำกล่าวอ้างสิ่งดีและสิ่งเลว
    ก็เป็นเพียงมนุษย์ที่เดินดินผู้หนึ่งเพียงเท่านั้น

    ปราชญ์แต่โบราณพร่ำสอนให้เข้าสู่หนทางที่ไม่อิงธรรมชาติ ทำอย่างไรจะเหนือสรรพสิ่งและทำอย่างไร
    จะเป็นผู้ที่เหนือมนุษย์เหนือสรรพสิ่ง

    เมื่อธาตุครอบงำกาย ธาตุแห่งธรรมชาติย่อมครอบงำจิต...

    ถ้าวันใดวันหนึ่งมีมนุษย์ที่พ้นจากการครองงำแห่งปวงธาตุ
    จู่โจมตีในจุดต้นกำเนิดในวิญญาณอายตนะทั้งหลาย

    มนุษย์จะเข้าสู่ความจริงของธรรมที่ปิดบังช่อนเล้นภพชาติมาอย่างยาวนาน
    รวมทั้งความทุกข์ทั้งมวลที่จิตแสวงหารูปร่างใหม่ตลอดเวลาเป็นภพ

    มนุษย์จะใช้สิ่งใดโจมตีจุดกำเนิดแห่งชาติภพได้
    นอกจากคำว่า… ทำลายตนเองเพื่อพบความสมบูรณ์

    มนุษย์จะทำลายตนเองด้วยวิธีไหนจึงพบความสมบูรณ์

    ถ้ามนุษย์ผู้นั้นค้นพบสัจธรรมความจริง สิ่งที่ห่อหุ้มจิตอยู่ย่อมสำรอกออกจากพันธนาการมาอเนกชาติ

    มนุษย์ผู้นั้นย่อมพบกับคำว่าสันติเหนือสรรพสิ่ง
    หลอมกลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ
    เข้าสู่ความเป็นกลางไม่อิงดีและเลว

    ใครผู้ใดที่โจมตีซึ่งปวงธาตุ
    โจมตีตำแหน่งวิญญาณอายตนะ
    โจมตีในจุดกำเนิดแห่งภพ เพื่อแสวงหาสันติสุข

    ทำลายสิ้นเชิงซึ้งปวงธาตุ
    ทำลายสิ้นซึ้งวิญญาณอายตนะ
    ทำลายจุด
    ทำลายตำแหน่ง
    ทำลายช่องว่าง
    ไม่อิงกาลเวลา เหลือเพียงคำว่าสันติสุขล้วนๆ
    มีเพียงหนึ่งเดียว เข้าสู่ความเป็นกลางถึงที่สุด

    ทำลายแม้ธาตุรู้ (จิตเป็นเพียงธาตุรู้อารมณ์เพียงนั้น)
    ทำลายแม้ตัวตน

    มนุษย์ผู้นั้นย่อมประหารกิเลสมารทั้งหลาย
    สิ้นภพจบแดนเพราะทำลายตนเพื่อพบความสมบูรณ์
    ที่เหนือโลกเหนือสรรพสิ่ง

    ไม่อิงจุด ตำแหน่ง ช่องว่างแห่งกาลเวลา
    ไม่เอาธาตุ ไม่เอาภพ ไม่เอารูปลักษณะ ไม่เอาอะไรทั้งสิ้น

    ทิ้งทุกสิ่งลงไว้ข้างหลัง หมดจดเป็นไท อิสระเพราะไร้การครอบงำของธาตุและของโลก

    ใจเดียวจิตหนึ่ง ไม่กระเพื่อม ไม่หวั่นไหว ย่อมพบสัจธรรมตามจริงไม่กลับมายังพิภพทั่วทุกดินแดน

    เราไม่มีอะไรกับอะไร
    เราไม่เป็นอะไรกับอะไร
    เพราะเราแท้จริิงเป็นเพียงธรรมชาติชนิดหนึ่งเพียงนั้น

    การยอมรับธรรมชาติย่อมพบธรรมชาติตามจริง
    และจะมีสิ่งที่น่าหวาดหวั่นว่า
    โอ้...แท้จริงๆแล้วเราจะยอมรับความจริงการไม่มีอะไรกับอะไรได้หรือ

    มันรักความเป็นตัวตน ของๆตน
    แต่เมื่อแสวงหาสัจธรรมแห่งกาลเวลา
    เมื่อพิจารณาลงไปมันเหนือคำว่าไม่มีกาลเวลา ไม่มีอดีต อนาคต
    มีแต่ปัจจุบันแห่งความจริงที่ปรากฎ

    เมื่อทำจิตให้แยบคายว่าเราจะพ้นจากทุกข์ได้อย่างไร
    สิ่งที่ปรากฎคือสติเพียงสิ่งเดียวคือตื่นขึ้นมา
    ด้วยการอบรมของศีล สมาธิ ปัญญา มาดีแล้วทั้งสิ้น

    จิตวิสังขารเริ่มก่อร่างสร้างรูปในขบวนการทำลายตน
    จิตที่กำลังพ้นไปจากการปรุงแต่ง
    ที่แม้การปรุงแต่งก็ไม่สามารถกล้ำกลายเข้าถึงได้อีก
    เข้าสู่ขบวนการพ้นไปจากขันธ์คือรูปและจิต

    พบจิตทำลายจิต พบผู้รู้ทำลายผู้รู้ พบใจประหารฆ่าทิ้ง
    นั่นก็คือไม่ยึดมั่นถือมั่นในสรรพสิ่งทั้งปวง

    โอ...ความจริงมันคือสิ่งนี้หล่ะ เป็นไท อิสร จิตที่สักแต่รู้แทบจะเริ่มขบวนการทำลายตน
    เพื่อเข้าสู่กริยาจิตเพียงแค่สักแต่รู้ทั้งปวงโดยมีผู้ตื่นอยู่ตลอดไป

    แสวงหาสัจธรรมมาเนิ่นนาน
    เฝ้ามองหาความจริงเที่ยงแท้
    เดินหน้าเข้าหาใจเที่ยงแท้ดั้งเดิมที่ยึดหลง

    ไม่ว่าทำงานอันใดอยู่ก็เป็นอาชีพชอบทั้งสิ้น
    ถ้างานนั้นมีมรรคเป็นเครื่องอยู่ให้รักษา

    ธรรมชาติที่พบธรรมชาติ สิ่งที่พบคือ...
    เราเป็นเพียงธรรมชาติชนิดหนึ่งที่ไหลหล่อหลอมมารวมกันเพราะการ
    เกิดดับอย่างมากมายมาเป็นร่างกายและจิต

    เราเป็นเพียงธรรมชาติที่มีเหตุให้เกิดเป็นแค่เรื่องธรรมดาที่มีเชื้อของ
    อดีตกรรม อารมณ์ เจตสิก วัตถุรูป

    เราเป็นเพียงธรรมชาติชนิดหนึ่งที่มีแต่เกิดและดับตั้งอยู่ไม่ได้ต้องสลายหายไป
    เป็นแค่ธรรมดาของธรรมชาติ

    เราไม่ใช่รูปนาม เราไม่เป็นอะไรกับอะไร
    เราไม่มีอะไรกับอะไร
    เราแท้จริงคือธรรมชาติชนิดหนึ่งที่มีแต่การเกิดดับ
    ไม่ใช่คน สัตว์ สิ่งของ

    ไม่มีอะไร ไม่เหลืออะไรกับโลกธรรม ขันธ์ก็สลายหายสูญ
    หลอมกลมกลืนกับสรรพสิ่ง

    ซักวันในอนาคตกาลข้างหน้า...
    ข้าพเจ้าจะประกาศว่า
    ข้าพบเรือนเจ้าแล้ว ข้าได้ลื้อเรือนทำลายเจ้าทิ้งลงแล้ว
    สิ่งที่รู้ข้ารู้แล้ว ข้าจะสอนสิ่งที่รู้เพื่อเพื่อนร่วมทุกข์ทั้งหลาย
    ให้พ้นไป ให้สิ้นไปจากความทุกข์ทั้งหลายเสียที

    วันหนึ่งข้างหน้าย่อมมีวันนั้น...
     
  10. ชัชวาล เพ่งวรรธนะ

    ชัชวาล เพ่งวรรธนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    843
    ค่าพลัง:
    +4,120
    แจกไฟล์PDFเรื่องเล่าความศักดิ์สิทธิ์ คำภีร์หมื่นโลกธาตุ มิติภูต

    พอดีน้องเค้ารวบรวมมาให้รวมทั้งไฟล์ถามตอบของอ้องนะครับ
    อ้องคงจะขึ้นกระทู้แจกไฟล์เผื่อเพื่อนๆ จะอ่านในแต่ละเรื่อง
    เพราะในกระทู้ยาวมาก
    ท่านใดสนใจอันไหนก็แจ้งมาได้ที่เมล์heaoon@hotmail.com
    อ้องจะส่งไฟล์ไปให้นะครับ
    พอดีช่วงสองสามวันนี้อาจไปเชียงใหม่ลูกเปิดเทอมแล้ว
    กลับมาอ้องจะมาส่งไฟล์ให้นะครับ
    ขออนุโมทนา
    ชัชวาล เพ่งวรรธนะ
     
  11. tay pps

    tay pps เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    67
    ค่าพลัง:
    +377
    ชินนะปัณชรท่องจำให้แม่น....นะ

    ดีใจจังที่พวกท่านท่องชินนะปัณชร....
     
  12. ชัชวาล เพ่งวรรธนะ

    ชัชวาล เพ่งวรรธนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    843
    ค่าพลัง:
    +4,120
    ภัยทั้ง4

    ชัชวาล เพ่งวรรธนะ


    วิบากร่วมผูกติดในชาติภพ จิตติดตรึงผูกพัน กรรมหนักหนา
    ทำกันไปทำกันมาน่าระอา เมื่อไหร่หนาจะพ้นสิ้น การจองเวร
    เผ่าพันกรรมเผ่าพันผูกติดในเชื้อ นั้นก็เพราะสร้างผลกรรม ส่งเหตุผล
    มองย้อนไปต่างก็เคยสร้างเวรกรรม ตามล้างผลาญเพราะอาฆาตไร้อภัย
     
  13. ชัชวาล เพ่งวรรธนะ

    ชัชวาล เพ่งวรรธนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    843
    ค่าพลัง:
    +4,120
    เตรียมแจกไฟล์Pdf luciddreaming ตื่นในฝัน ถอดจิต

    เพิ่งเสร็จเมื่อกี้นี้เอง ยากมากยิ่งกว่าคำภีร์หมื่นโลกธาตุเสียอีก
    เพราะต้องอธิบายรายละเอียดขั้นตอนต่างๆมากพอสมควร
    บางครั้งอาจจะซ้ำหรือคล้ายๆกันก็ขออภัย
    เดี๋ยวว่างจะมาขึ้นกระทู้แจกนะครับ
    ชัชวาล เพ่งวรรธนะ
     
  14. ชัชวาล เพ่งวรรธนะ

    ชัชวาล เพ่งวรรธนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    843
    ค่าพลัง:
    +4,120
    เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเราเจริญขึ้นหรือเสื่อมลง

    ขอมาอธิบายตามความเข้าใจโดยเอาการยกขึ้นในพระธรรม
    ที่ตุ๊เจ้า.พุทธฎีกาแสดงเอาไว้ในท่อนที่พิสูจน์สัจธรรมในการตรัสรู้แจ้งตามความจริง เป็นความเข้าใจส่วนตนเอง ผิดพลาดขออภัย
    1. วิราคะ เมื่อเราได้สำรวมอินทรีย์เอาไว้ด้วยดีในวิญญาณอายตนะ เรารักษาจิตภายในเอาไว้ด้วยดี ไม่ซัดส่ายไปภายนอก
    แก่นแท้ภายในประจักษ์แจ้งในสัจธรรมที่วิญญาณอายตนะ ตามความจริง
    เราไม่ติดพันในรูปลักษณะด้วยสติที่เท่าทันไม่เผลอหลง เราพิสูจน์ด้วยใจแยบคายได้ว่า
    กาย จิต อารมณ์เป็นคนละส่วน สิ่งทั้ง3ไม่เกาะกุมด้วยการพิจารณาอันอาศัยคุณแห่งอิทธิบาท4ในจิตตะและวิมังสา
    จิตที่รู้จิตแจ่มชัด ีมีสติรักษา ย่อมรู้แจ้งชัดว่า...จิต
    ไม่ติดพัน ไม่เกาะกุม ไม่กระเพื่อม ไม่หวั่นไหว จิตย่อมอิสร เพราะไม่ยึดเอาอุปทานขันธ์ว่าเป็นกายและจิต


    2. วิสังโยค ในขณะที่สติที่เป็นผู้รู้ ตื่น เบิกบานปรากฏ
    เราย่อมพิสูจน์ได้ในขณะที่รู้สึกตัวด้วยสติ สมาธิที่ตั้งมั่น ว่า ไม่มีสิ่งผูกมัด
    จิตที่ทุกขณะ ที่จะประกอบด้วยทุกข์แห่งโมหะก็ไม่ปรากฏ
    จิตที่ทุกขณะ ที่มักประกอบด้วยโทสะก็ไม่ปรากฏ
    จิตที่ทุกขณะ ที่ประกอบไปด้วยราคะทุกขณะก็ไม่ปรากฏ

    เราพิสูจน์พิจารณาได้ด้วยคุณธรรมอันเป็นเครื่องตรัสรู้ได้ว่าสิ่งที่เราเจริญสติ
    ผิดพลาดหรือคลาดเคลื่อนคือ ความหมดเครื่องผูกรัด, ความไม่ประกอบไปด้วยทุกข์

    3. อปจยะ ในขณะที่รู้สึกตัวทั่วพร้อมและขันธ์ได้แสดงตนผ่านไปแล้ว
    เราสามารถเกิดคำว่าการฉลาดรู้ การเท่าทันอารมณ์ การพิจารณาว่าสิ่งใดเป็นทุกข์และเราจะหนีทุกข์
    ได้ด้วยเพียง...
    การอบรมกายและจิตที่ดีแล้วเพียงนั้น
    เราพิสูจน์ได้ที่คุณธรรมที่เจริญงอกงามขึ้นเป็นลำดับว่าสิ่งที่ครูสอนนั้นผิดหรือถูก ด้วยการพิจารณาโดยแยบคายแล้วว่า

    เราที่แท้กำลังเพียรเผากิเลสหรือพอกพูนกิเลส
    เราพิจารณาได้ในขันธ์ที่แสดงสภาวะธรรมเดิมๆและจิตผู้รู้แลสติก็เท่าทันและตื่นไม่เข้าไปหลงในอุปทานขันธ์สิ่งนี้คือ ความไม่พอกพูนกิเลส

    4. อัปปิจฉตา ธรรมอันใดที่เจริญมากขึ้น สภาวะธรรมอันใดที่เราพิจารณาได้มากขึ้น สติที่ตื่นรู้เบิกบานในสภาวะธรรมนั้นก็แสดงตัวตนมากขึ้น
    เพราะถีรสัญญาอันเป็นการจดจำได้หมายรู้เท่าทัน เมื่อรู้แจ้งในสภาวะธรรมนั้นมากเข้า จิตย่อมคลายกำหนัด ความอยากในสภาวะที่หลงมามากมายย่อม
    น้อยลงเพราะพฤติจิตมีความว่องไวในสภาวะธรรมที่ประกอบด้วยสตินั่นก็ คือ ความอยากอันน้อย, ความมักน้อย

    5. สันตุฏฐี เมื่อเราเจริญสภาวะธรรมต่างๆด้วยการสำรวมอินทรีย์ สิ่งที่ปรากฏคือแต่ก่อนมีแต่ความวุ่นวาย มีแต่ความสับสน
    อยากจะแสวงหาความสงบสันโดษแต่จริงแท้แล้ว ความสงบสันโดษมันอยู่ในใจ ที่นี่ไม่วุ่นวาย ที่นี่ไม่สับสน
    มันอยู่ที่ใจ เมื่อใจสงบจึงแสวงหาความสันโดษ ใจไม่แสวงหากิเลสมาเผาผลาญใจตนเองอีกต่อไปสิ่งนี้
    คือ ความสันโดษ สงบเงียบเพราะไร้กิเลสมาครอบครองใจ

    6. ปวิเวก สิ่งที่เรียกว่าเดินปัญยาอยู่ภายในจึงทำให้รู้แจ้งชัดว่า ทุกๆสิ่งทีเป็นวัตถุรูป วิญญาณอายตนะ ภายในและภายนอกนั้น
    ก็คืือวัตุถุรูปที่จิตให้ค่าตีความหมายอยู่ตลอดเวลา
    คนสัตว์สิ่งของไม่ใช่สาระแก่นสารเป็นบัญญัติแลสมมุติ
    แม้คำพูดที่กระทบเมื่อเดินปัญญาอยู่ภายในมันแสดงถึงการตีค่าความหมายในขันธ์

    เมื่อเพียรเผากิเลสด้วยการสำรวมวิญญาณอายตนะภายใน
    ไม่ซัดส่ายรู้แจ้งสัจธรรมแสดงตนที่ช่องวิญญาณทั้ง5 ความสงัดในกามคุณทั้ง5
    กามคุณที่เคยพึงปรารถนามามากมายย่อมถูกกำจัดทิ้งเพราะความไร้สาระในแก่นสาร
    ในสิ่งที่ไม่มีแก่นสารมาตั้งแต่แรก

    จิตที่พึงติดในรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส เมื่อเท่าทันอารมณ์ที่จะปรากฏด้วยสติที่รู้เท่าทันขันธ์ความสงัดในกามจึงปรากฏในช่องวิญญาณอายตนะทั้ง5 คือ ความสงัด

    7. วิริยารัมภะ เมื่อข้าพเจ้าเจริญอิทธิบาท4อยู่และปรากฏฉันทะความพึงพอใจในงานที่กระทำ งานนั้นๆก็ปรากฏด้วยความเพียรชอบ
    เพราะพึงพอใจจึงกระทำอย่างมุ่งมั่นไม่ท้อถอย
    การทำงานนั้นๆจึงเป็นไปตามธรรมชาติที่สบายๆดังที่หลวงพ่อสอน

    ธรรมชาติแท้จริงจึงปรากฏกับสัจธรรม ง่ายกับง่ายจึงคล้องจองกันและกัน
    เพราะธรรมชาติแท้จริงคือง่ายเพียงกลมกลืน
    ที่ยากเพราะเพียรผิดสิ่งนีี้พิสูจน์ได้คือเพียรชอบในมรรค คือ การประกอบความเพียร

    8. สุภรตา การเลี้ยงง่าย อยู่ง่าย ล้วนเกิดมาจากการเจริญมั่นคงในสิ่งต่างๆที่กล่าวมาประกอบกัน
    เมื่อเท่าทันในกามคุณทั้ง5ว่าเป็นทุกข์ เป็นโทษ เป็นภัย เป็นสิ่งที่ควรก้าวข้าม
    กามคุณทั้ง5 กิเลสทั้งสามอันมี ราคะ โทสะ โมหะ ย่อมไม่ครอบงำจิตได้

    ผู้ที่ฉลาดในพฤติจิต ผู้ที่อบรมกายและจิตมาแล้วด้วยดี
    ถำิพิจารณาแยกแยะได้ว่าเราเจริญในคุณธรรมนั้นๆ นั่นก็เพราะได้สำรวจคุณธรรม แห่งเครื่องตรัสรู้อยู๋เสมอ
    จิตมีสภาวะไม่เที่ยงแท้ สติมีสภาวะไม่เที่ยง ธรรมทั้งหลายทั้งปวงเป็นอนัตตา

    การที่ข้าพเจ้าสำรวจตนเองว่าคำสอนนั้นเป็นคำสอนจริงหรือคำสอนปลอมข้าพเจ้ามีพระไตรปิฏกเปรียบเทียบอ้างอิงอยู่เสมอ
    และที่สำคัญคือไม่ว่าจริงหรือปลอมก็สามารถพิสูจน์ได้ด้วยการกระทำ ถ้าทำมาพอสมควรก็ยังฟุ้ง
    ยังเผลอหลงก็ควรหาครูอาจารย์ท่านอื่นชี้แนะต่อไป

    ขอให้เพื่อนๆหมั่นสำรวจคุณธรรมและพึ่งพาพระไตรปิฏกเทียบเคียงคำสอนของครู
    พิจารณาแยกแยะด้วยปัญญาและการอบรมในสิ่งที่ครูสอนว่าผิดพลาดหรือคลาดเคลื่อนหรือไม่ใช่จริตตน
    ไม่ใช่สิ่งยากเลยว่าเราจะรู้สึกว่าเราดีขึ้นที่คุณธรรมทั้งหลายแห่งโพธิปักขิยธรรม37ประการ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 มิถุนายน 2010
  15. SONICx

    SONICx เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    113
    ค่าพลัง:
    +225
    สวัสดีครับพี่

    พี่คนนี้มีแต่ให้จริงๆเลย... ขออนุโมทนาบุญครับ

    พี่ครับ ทุกวันนี้ผมพยายามไม่ออกแล้วครับ อยู่ที่กาย ใจตนนี้
    ด้วยผมออกเดินปัญญาในขั้นหยาบ โดยถอดถอนความยึดติดในกาย โดยใช้บทปลงอสุภะ 10
    วิธีการคือ สติตั้ง ใช้ปัญญาแทง ก่อนๆ มันระลึกรู้ทันบ้าง ไม่ทันบ้าง แต่ทุกวันนี้มันตามติดกันจนเหมือนวิ่งไล่หลังกันมา หลายคืนนิมิตฝันเห็นตนเป็นศพ ที่ผุพังแบบแห้งๆบ้าง เปื่อยยุ่ยเละบ้าง เหลือแต่กระดูกมีเนื้อห่อยต่องแต่งบ้าง มันมีอารมณ์อีกประเภทเกิดขึ้น คือ ความกำหนัดในกามลดลง จนจะหาไม่เจอ มันมีกำหนัดน้อยมาก ทุกวันนี้ผมยังเพียรแบบนี้อยู่ การตามรู้ทันกาย แล้วแทงทะลุลงไปว่ามันเป็นเช่นนั้นเองมันยิ่งชัด เร็วมากแต่ตามกันทัน ในขั้นนี้ จิตเบา กายเบา เดินเหินยังกับจะลอย

    ผมเข้าใจว่าสิ่งที่แสดงออกให้เรารู้นี้เป็นเพียงนิมิตอาการทางจิิต แต่ไม่รู้อีกนานไหมถึงจะหยั่งลงถึงได้
     
  16. ชัชวาล เพ่งวรรธนะ

    ชัชวาล เพ่งวรรธนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    843
    ค่าพลัง:
    +4,120
    หนุ่ยพิจารลงไปอีกด้วยใจแยบคายว่า สิ่งที่รู้ที่เป็นขันธ์เป็นสภาะวะธรรมนั้น
    ล้วนตกอยู่ภายใต้ธรรมชาติตามจริงของสัจธรรมแห่งพระไตรลักษณ์
    หยั่งถึงซึ่ง
    ปวงธาตุ หลอมกลมกลืนไม่แบ่งแยก ห้ามไม่ได้ที่จะปรากฏ รู้ดีและไม่ดี
    รักษาจิตภายในจะเห็นแจ้งตามจริงที่รู้ด้วยความสำรวมระวังในอินทรีย์
    เราจะรู้ซึ่งวิญญาณอายตนะ ในจุด ต้นเหตุแล้วละที่เหตุ ด้วยสติ ด้วยการอบรม

    ผู้ใดรู้แจ้งซึ้งวิญญาณอายตนะ สัจธรรม ปวงขันธ์และธาตุ ผู่นั้นย่อมทำลาย
    ความหลง ความถูกครอบงำ ได้อย่างสิ้นเชิง
    สมาธิหนุ่ยแรงไป กำลังมากเกิน จะมีนิมิตปรากฎ กายเบา จิตเบา เดินล่องลอย

    เข้าไปรู้ทุกอย่างที่จิตรู้ ทำลายทุกอย่างที่จิตยึด แม้อุปทานขันธ์ที่ละเอียด ด้วยใจที่เป็นกลางต่อทุกสิ่ง
    เราจะทำลายมันด้วยการคลายออก ไม่ยึดมั่นถือมั่น ด้วยสติที่่แปลว่า ผู้รู้ ตื่น เบิกบาน ที่เพียรเผากิเลส เป็นนิจ
    อนุโมทนานะ หนุ่ย

    ( ทำดีแล้วแต่ใช้อิทธิบาท4เพิ่มเข้าไป รู้จิตในจิต และพิจารณาด้วยใจที่แยบคาย ในวิมังสา ใส่ใจในความละเอียด)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 มิถุนายน 2010
  17. kung_9894

    kung_9894 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    186
    ค่าพลัง:
    +1,584
    ขออนุโมทนาด้วยค่ะ

    ขออนุโมทนากับพี่อ้องด้วยทุกประการค่ะ
    2 ข้อนี้ที่ รู้สึกสะดุดเป็นพิเศษค่ะ
    จะตั้งใจปฏิบัติให้ดียิ่งๆขึ้นไปค่ะ
    กุ้ง

     
  18. namwan-jang

    namwan-jang Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    10
    ค่าพลัง:
    +28
    ติดตามอ่านมาตลอด
    ได้ความรู้ที่จะนำไปปฎิบัติอย่างถูกต้อง
    ขอบพระคุณทุกท่านที่ถ่ายทอดความรู้มาเล่าสู่กันฟัง
    ขออนุโมธนาสาธุค่ะ
     
  19. suchon

    suchon สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    1
    ค่าพลัง:
    +3
    ยังอ่านไม่จบครับแต่จะพยายามอ่านให้จบครับ ่อนุโมทนาด้วยครับ ขอบคุณครับ
     
  20. สมาปัญญา

    สมาปัญญา Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    34
    ค่าพลัง:
    +88
    สวัสดีครับคุณอาอ้อง ขออนุญาตเรียกคุณอาอ้องด้วยคนนะครับ

    ผมขออนุโมทนากับคุณอาอ้องด้วยครับ

    ขอบคุณคุณอามากครับที่พยายามชี้ให้พวกเราเห็นว่านี้คือประตูสู่นิพพาน (สมาธิ)

    ขอบคุณคุณอามากครับที่มอบกุญแจสำหรับเปิดประตูนิพพานนี้มาด้วย (ปัญญา)

    อยู่ที่ตัวเราจริงๆครับว่าจะหยิบกุญแจนี้ขึ้นมาแล้วเดินไปเปิดประตูสู่นิพพานได้หรือเปล่า เมื่อเปิดประตูได้แล้วจะก้าวไปถึงนิพพานหรือเปล่า เหมือนที่คุณอากำลังปฏิบัติอยู่ นิพพานไม่ได้จำกัดใช่ไหมครับอาอ้องว่าจะต้องเป็นพระภิกษุ ขอเพียงแต่เราเปิดประตูและเลือกกุญแจให้ถูกใช่ไหมครับ ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ อย่าไปยึดติดกับอะไรทั้งสิน ไม่ว่าเราจะเดิน จะนั่ง จะนอน จะกิน จะรวยหรือจะจน ทุกอย่างนั้นคือความว่างเปล่า แต่ความว่างเปล่านี้จะต้องฝึกขัดเกลาจนชินเป็นนิสัยใช่ไหมครับ เหมือนเส้นผมบังภูเขาจริงๆครับ

    ผมขอขอบคุณคุณอาอ้องมากครับ
    สมาปัญญา
     

แชร์หน้านี้

Loading...