ชมรมนักปฏิบัติธรรมและคนมีองค์

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย Pleased, 30 พฤษภาคม 2009.

  1. สมรปราง

    สมรปราง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กันยายน 2008
    โพสต์:
    377
    ค่าพลัง:
    +263
    อะนะ..เพิ่งได้ท่านมาเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว..เก่าจัดสนิมเขียวจนองค์กลายเปนหยกเลยละตัวเอง... ถามก็ไม่ตอบว่าท่านเปนใคร?...ทรงถืออะไรอยู่รึ? ทรงอมยิ้มเล็กน้อยและพระเนตรปิด ซึ่งแสดงความรู้สึกที่เร้นลับ ...เหอ..เหอ..เร้นลับจิงๆๆตามที่ท่าน บอกน่านแหละ...
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • DSC00146.JPG
      DSC00146.JPG
      ขนาดไฟล์:
      2.4 MB
      เปิดดู:
      152
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 กรกฎาคม 2010
  2. สมรปราง

    สมรปราง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กันยายน 2008
    โพสต์:
    377
    ค่าพลัง:
    +263
    หลายเดือนก่อนเจอ...อีกองค์หนึ่ง 4 กรสูงกว่าข้าพเจ้าก็คงประมาณ 2 เมตร..สวยมากๆๆ คนขายก็ขายให้ไม่แพง เธอก็อ้อนวอนจะเอาเท่าไร?...จะขายให้..ราคาเปนแสนแต่ลดให้ 80% ไม่ได้ทุนเลยแต่เธอบอกว่าเธอลำบากเธอไม่อยากเก็บเอาไว้

    ไม่กล้าบอกเธอว่าใครจะกล้าซื้อล่ะ...องค์ใหญ่ขนาดนี้ บารมีขนาดนี้..ถ้าทำไม่ดี มีหวังเจ้าของใหม่ก็ซี้ม่องเทก หรือไม่ก็โดน...ต....ขอเซ็นเซอร์เดี๋ยวคุณหนูจะโดนซะก่อน

    เรื่องพวกนี้ก็แปลกดีเหมือนกัน คนบางคนก็ว่าแค่เศษอิฐเศษปูนกราบไหว้กันทามไม?
    เคยคิดเหมือนกันเลยไม่ไหว้บ้าง ขี้เกียจก็ไม่สวดมนต์ คนจะนอนจะเปนไรปาย?
    เปนจ้า...ถึงตัวเลยเจ้าค่ะ..ขอไม่เล่ามันเปนปัจจัตตัง..รู้ได้เฉพาะตน..จบจ้า..
     
  3. ภราดรภาพ

    ภราดรภาพ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2009
    โพสต์:
    1,578
    ค่าพลัง:
    +2,762
    สนใจรูปเคารพองค์นี้จัง ขอทราบพระนามด้วยนะครับ
    มีภาพถ่ายไหม
     
  4. kamomros

    kamomros เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    36
    ค่าพลัง:
    +153
    ขออนุโมทนาแด่ท่านภราดรภาพด้วยครับ ที่แนะนำทางสว่างให้ ขอน้อมนำไปปฏิบัติต่อไป
    ขอบคุณมากครับ
     
  5. ภราดรภาพ

    ภราดรภาพ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2009
    โพสต์:
    1,578
    ค่าพลัง:
    +2,762
    ทรงถือจักร ก็พระนารายณ์นะดิ ส่วนพระพักต์งามแท้
    น่าสนใจนะจ๊ะ ไปเจอแถวไหนละ วันหลังพาไปชมนะจ๊ะ
     
  6. สมรปราง

    สมรปราง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กันยายน 2008
    โพสต์:
    377
    ค่าพลัง:
    +263
    เดือนก่อนก็ได้เทวรูปมาองค์หนึ่งเรียกปางซุ้มเรือนแก้ว มีคนทักหลายคนมากๆๆ พยามยามเลิกซื้อเทวรูปแล้วแต่ก็ทำไม่ได้ :'( เพราะแต่ละองค์สายขอม ลพบุรีเคยมีเจ้าของมาก่อนสายขาวบ้าง ลงอิทธิเจบ้าง บางครั้งลงทั้งอาคมขาวและอาคมดำไม่เหมือนกัน สะสมของพวกนี้อันตรายส่วนสายธิเบตไม่มีการปลุกเสกมาแบบเทวรูปเปล่าๆๆ ที่คุณหนูขนมาจากเนปาลและธิเบตไม่เปนไร
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • DSC00140.JPG
      DSC00140.JPG
      ขนาดไฟล์:
      2.2 MB
      เปิดดู:
      170
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 กรกฎาคม 2010
  7. ภราดรภาพ

    ภราดรภาพ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2009
    โพสต์:
    1,578
    ค่าพลัง:
    +2,762
    รูปเคารพพระพุทธเจ้า พระนามว่าอะไร? ศิลปะแบบไหนหรอ? น่าจะลพบุรีนะ แบบบายนประยุกต์
     
  8. สมรปราง

    สมรปราง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กันยายน 2008
    โพสต์:
    377
    ค่าพลัง:
    +263
    พระนามไม่ทราบท่านไม่ยอมคุยเลยเรียกตามลักษณะว่า "พระซุ้มเรือนแก้ว"
    ถูกต้องนะจ๊ะ ลพบุรี

    พระแต่ละองค์เทวรูปแต่ละองค์ก็ไม่เหมือนกันไม่เข้าใจเลย แต่ก็พยายามจะเข้าใจให้ได้เพราะบางองค์ก็อยู่กันได้ บางองค์ก็อยู่กันไม่ได้ บ้างก็คุย บ้างก็ไม่คุย..
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 กรกฎาคม 2010
  9. ภราดรภาพ

    ภราดรภาพ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2009
    โพสต์:
    1,578
    ค่าพลัง:
    +2,762
    เขมรแบนพระไทย อะไรเกิดขึ้น?

    เป็นข่าวโครมครามข้ามประเทศครึกโครมมาอีกข่าวหนึ่ง คือเรื่องที่รัฐบาลประเทศกัมพูชาหรือที่เราคุ้นเคยกันดีว่า "เขมร" ได้สั่งการให้เก็บ "พระพุทธรูปศิลปะไทยทุกสมัย" ในจังหวัดบันเตียเมียนเจย ออกจากปูชนียสถานให้หมด นับพระพุทธรูปในจังหวัดเดียวที่ถูกล้างบางมีจำนวนถึง 410 องค์ !

    หลังจากทราบข่าวนี้แล้ว ทั้งวงน้ำชาและกาแฟต่างก็ซดกันด้วยเสียงสนั่น เกิดวิวาทะหลายมุมมอง สรุปแล้วมีสองมุม คือมองแบบไทยและมองแบบเขมร แต่วันนี้จะขอมองแบบมุมใหม่ในมุมอินเตอร์ คือไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด ทั้ง ๆ ที่เป็นไทย แต่ขอได้โปรดเข้าใจว่ายังรักไทย ไม่ได้มีใจเป็นเขมรแต่อย่างใด


    ประวัติศาสตร์กัมพูชานั้นมีมานานนับพันปี เรียกว่านานกว่าประวัติศาสตร์ไทย คนไทยเรานั้นแต่เดิมเป็นทาสหรือเป็นขี้ข้าเขมร จนกระทั่งพ่อขุนบางกลางท่าวเจ้าเมืองบางยางและพ่อขุนผาเมืองเจ้าเมืองราด สองพระสหายนำพลพรรคพระร่วงร่วมด้วยช่วยกันปฏิวัติยึดเมืองสุโขทัยจากเขมรแล้วตั้งราชอาณาจักรสุโขทัยขึ้นมาเป็นแห่งแรก เมื่อประมาณ
    พ.ศ.1792 ซึ่งก็คือ 755 ปีที่ผ่านมา จนมาถึงสมัยอยุธยา รัชกาลสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 หรือขุนหลวงพะงั่ว ทรงยกทัพไปตีเมืองพระนครหรือนครธมของเขมรแตก กวาดต้อนเอากษัตริย์ขัตติยวงศ์ สมณพราหมณาจารย์ และไพร่ฟ้าข้าแผ่นดิน มาไว้ในกรุงศรีอยุธยา รวมทั้งรูปสัมฤทธิ์ปางต่าง ๆ ซึ่งเป็นรูปเคารพในศาสนาพราหมณ์ก็ถูกลำเลียงมาไว้ในครั้งนั้นด้วย ภาษาพงศาวดารเรียกงานเช่นนี้ว่า "เทครัว" และเป็นที่มาของสำนวน "พระยาเทครัว" คือกวาดต้อนหรือกินรวบหมด ไม่เหลือไว้ให้ใครเลย ท่านประมาณว่า ครัวเขมรที่ถูกเทเข้ามาคราวนั้นมากมายถึง 100,000 คน


    วัตถุประสงค์หลักของการเทครัวเขมรเข้ามาไว้ในกรุงศรีอยุธยาครั้งนั้นก็คงเหมือนกับพระเจ้ามังระตีกรุงศรีอยุธยาแตก ในวันที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2310 แล้วกวาดต้อนเอาชาวอยุธยาไปไว้ในพม่า (ไม่ใช่ชาวไทย เพราะตอนนั้นยังไม่มีประเทศไทย เราเรียกคนสมัยนั้นแยกกันเป็นเมือง ๆ ไป เช่น ชาวสุโขทัย ชาวหริภุญไชย (ลำพูน) ชาวเชียงใหม่ ชาวอยุธยา หรือชาวล้านนา ล้านช้าง เป็นต้น) ซึ่งก็คือ ต้องการกำจัดต้นตอไม่ให้เป็นที่ซ่องสุมกำลังพลเป็นอันตรายต่อความมั่นคงอีกต่อไป (ชาวอยุธยาถูกต้อนไปหลายแสนคน) ตั้งแต่นั้นมาเขมรหรือกัมพูชาก็แทบจะหมดสภาพความเป็นราชอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ กำลังจะโตก็ถูกไทยมาตีแล้วกวาดต้อนเอาไปทุกที จนมาถึงสงครามกลางเมืองระหว่างเขมร 3 ฝ่าย ชาวกัมพูชาก็ฆ่าไปกันอีกหลายล้าน ประชากรซึ่งน้อยอยู่แล้วก็ยิ่งเบาบางลงไปอีก

    ทีนี้จะเข้าเรื่องราวเกี่ยวกับพระกับเจ้า เพราะประวัติศาสตร์นั้นถ้าจะเล่าก็ยาวเหลือเกิน เอาล่ะนะ คือว่า การที่ชาวกรุงศรีอยุธาไปตีได้เมืองนครธมของเขมรแล้วกวาดต้อนเอาชาวเขมรมาไว้ในกรุงศรีอยุธยานั้น กลับปรากฏว่า
    คนไทยไม่ได้ดูหมิ่นเขมรว่าต่ำต้อยด้อยค่ากว่าไทย แต่คนไทยอยุธยาเสียอีกที่ให้ความเคารพยกย่องเขมรว่าดีกว่าเลิศกว่าด้วยอารยธรรม คำว่าอารยธรรมในที่นี้ก็หมายถึง ศิลปวัฒนธรรมแบบเขมร เอาที่เห็นเด่นชัดก็คือ ภาษาและขนบธรรมเนียมของเขมร ถูกเจ้านายไทยใช้เป็นแบบแผนในงานพระราชพิธี แม้กระทั่งทุกวันนี้ ภาษาบาลีที่เขียนเป็นยันต์จะต้องเขียนเป็นภาษาเขมรถึงจะขลัง คำราชาศัพท์ไปนับดูเถิด ร้อยทั้งร้อยเป็นภาษาเขมรทั้งสิ้น การที่ไทยได้เขมรจึงเหมือนพระเจ้าอโนรธามังช่อของพม่าตีได้เมืองพะโคะของมอญ แล้วก็ขนเอาทั้งศิลปะวัฒนธรรม พระพุทธศาสนา และภาษาของมอญไปเป็นของพม่า ก็อปปี้กันมาเป็นรุ่น ๆ


    เสียทีแต่ว่า ภายหลังมา ทั้งพม่าและไทยต่างก็เป็นใหญ่เป็นโตกว่ามอญและเขมร เหมือนศิษย์เก่งกว่าครู นานเข้าครูเลยกลายเป็นลูกศิษย์ เลยถูกดูหมิ่นเหยียดหยาม ทั้ง ๆ ที่วิชาการต่าง ๆ อันเป็นบทเรียนเริ่มต้นนั้นก็ของครูทั้งสิ้น ไม่ต่างจากชาวอเมริกันคิดเมื่อชนะสงครามประกาศอิสรภาพจากอังกฤษ


    เขมรพยายามฮึดสู้ไทยหลายครั้ง กษัตริย์เขมรที่โด่งดังในพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาก็คือ
    พระยาละแวก เจ้าเมืองละแวก เมืองนี้ถูกตั้งขึ้นเป็นเมืองหลวงแทนเมืองพระนครที่ถูกขุนหลวงพะงั่วทำลายยับเยินลงไป พระยาละแวกนั้นเกิดร่วมรุ่นเดียวกับสมเด็จพระมหาธรรมราชา
    พระราชบิดาของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ช่วงที่ไทยถูกพม่ายึดครอง พระยาละแวกก็ยกทัพมากวาดต้อนเอาคนตามหัวเมืองในภาคตะวันออกลงมาจนถึงเมืองเพชรบุรีหนีกลับไปบ่อย ๆ จนสมเด็จพระนเรศวรมหราชทรงสบถเอาไว้ว่า จะเอาเลือดในพระศอของพระยาละแวกมาทำปฐมกรรมให้หายแค้น และภายหลังท่านว่าก็ได้ทำจริง ๆ แต่เราก็ไม่รู้จริง ๆ ว่าปฐมกรรมที่สมเด็จพระนเรศวรทรงทำนั้นเป็นการเอาเลือดในคอมาล้างพระบาท เหมือนกับพระเจ้าวิฑูฑภะทำกับพระญาติศากยวงศ์ของพระพุทธเจ้าหรือเปล่า เล่าหลายเปลาะนะ


    แต่นั้นมาคนไทยทุกสมัยจึงจำใส่ใจว่า
    "พระยาละแวกเป็นคนทรยศเหมือนงูที่มักแว้งกัด" คนไทยมองคนเขมรเป็นเช่นนั้น ถามว่าจริงหรือไม่ ?


    แหมถ้าตอบแล้วก็อาจจะแสลงใจใครบางคน แต่ก็ขอตอบแบบนิ่ม ๆ ว่า จะว่าจริงก็จริง จะว่าไม่จริงก็น่าจะไม่จริง ทั้งนี้ความจริงกับความไม่จริงมันอิงเหตุอิงผล จะว่าไปโดด ๆ คนก็จะหาว่าใส่ร้ายหรือเข้าข้างกันไม่ฝ่ายใดก็ฝ่ายหนึ่ง

    คือความจริงแล้ว ประเทศเขมรนั้นถูกกระหนาบด้วยสองอภิมหาอำนาจคือ
    อยุธยากับเวียตนาม
    บางครั้งก็ถูกอยุธยายึดครอง บางคราวก็ต้องส่งดอกไม้เงินดอกไม้ทองไปให้แก่รัฐบาลเวียตนาม ตามแต่ใครจะมีอิทธิพลมากกว่าใครในแต่ละยุค สภาพที่ต้องตกเป็นเบี้ยล่างทั้งซ้าย-ขวาของเขมรมาเป็นเวลายาวนานนั้น ทำให้ทำใจและวางตัวลำบาก เดี๋ยวไทยมาบังคับให้พูด เดี๋ยวแกวมาบังคับให้สารภาพ จะพูดตรงทั้งหมดก็จะเข้าตัว จึงต้องพูดมั่ว ๆ หน่อย นานไปก็เลยกลายเป็นว่า "เป็นผู้มีวาจาเชื่อถือไม่ได้" ก็คือโกหกเก่งว่างั้น อันนี้เขาว่านะ ผู้เขียนก็เอามาบอกเล่าเก้าสิบเท่านั้น ไม่ได้มีความคิดเช่นนี้ในหัวแต่อย่างใดเลย เพราะคนเขมรที่มีสัจวาจาที่เคยคบหาก็มีเยอะ


    เรื่องนี้คนไทยส่วนใหญ่ตราหน้าเขมรว่าเป็นคนสอพลอตอแหล พูดอะไรมาต้องเอาห้าหรือเอาสิบหาร จึงจะได้ความจริง แต่ในความจริงแล้วไทยเราก็ไม่เบาเหมือนกันแหละ กรณีสงครามโลกครั้งที่สองก็ทำนองเดียวกัน คือประกาศสงครามกับสหราชอาณาจักร (อังกฤษ) และสหรัฐอเมริกาแล้ว ภายหลังกลับบอกว่า
    "เซ็นต์ชื่อไม่ครบ จึงเป็นโมฆะ"
    ส่วนว่าดินแดนที่ญี่ปุ่นยกให้ไทยนั้นก็รับมาไว้จนเต็มมือ เพิ่งจะมาคืนก็อีตอนแพ้สงครามนี่แหละ ไหมล่ะว่าจะไม่ว่าคนไทยด้วยกันแล้วเชียว ที่ยกมาพูดนี้ก็เพื่อชี้ให้เห็นถึง "เหตุปัจจัย" ที่บังคับให้ทั้งไทยทั้งเขมรจำต้องทำทุกวิถีทางเพื่อ "เอาตัวรอด" มันไม่ใช่โดยสันดาน แต่ถ้าทำนาน ๆ ไปก็อาจจะกลายเป็นสันดอนได้ ดังนั้นก่อนจะว่าอะไรให้ใครก็ควรศึกษาภูมิหลังของเขาเสียก่อน จะเข้าใจเขามากขึ้น


    กัมพูชาประสพปัญหาการเมืองภายในอย่างหนักเพราะแตกเป็นสาม
    ก๊กเรียกว่าเขมรสามฝ่าย แม้จะผ่านพ้นสงครามไปนานแล้ว แต่หลายสิบปีมาจนวันนี้ก็ยังไม่มีความสมัครสมานกลมเกลียวกันเท่าที่ควร สหประชาชาติเข้าไปช่วยเหลือให้มีการเลือกตั้ง ก็ยังทำรัฐประหารกันอีก จนเหลือผู้มีอำนาจหนึ่งเดียวคือ สมเด็จฮุนเซน


    ทีนี้เมื่อเริ่มจะตั้งตัวได้ คนกัมพูชาในระดับแนวหน้า เช่น ทหาร นักการเมือง เป็นต้น ก็พบว่า เขมรแทบไม่เหลือความเป็นเขมรหรือเอกลักษณ์อะไรแล้ว ภาษาก็แย่ ศิลปวัฒนธรรมก็เหลือแต่ซากนครวัดนครธมให้คนมาชมในฐานะสิ่งมหัศจรรย์ของโลก หากแต่ด้านการศึกษา ศิลปะ วัฒนธรรม กลับถูกประเทศข้างเคียงคือไทยแลนด์แทรกซึม ทั้งทีวี วิทยุ ข่าวสาร แม้แต่อาหารการกิน ตั้งแต่ร้านค้าปลีกไปจนซุปเปอร์สโตร์ไปดูเถิดอะไรก็ไทยแลนด์ ๆๆๆๆ ขนาดปลาแห้งในทะเลสาปยังถูกเทคโอเวอร์ด้วยแบรนด์ไทยเลย คนเขมรก็เลยน้อยใจ แต่ทำไงได้ ในเมื่อมันจนก็จำต้องเจียม รอให้รวยเสียก่อนค่อยเผยอผยอง


    แต่นั้นเป็นเพียงความคิดของคนทั่วไป ยังไม่ใช่ระดับรัฐมนตรีซึ่งมีดีกรีของความรักชาติรุนแรงกว่า โดยเฉพาะก็คือ
    สมเด็จฮุนเซน


    จนถึงวันที่
    18 มกราคม 2546 หนังสือพิมพ์ รัศมี อังกอร์ (Rasmei Angkor) ของกัมพูชา ได้เปิดประเด็นการเมืองเรื่องวัฒนธรรม ออกข่าวว่า คุณสุวนันท์ คงยิ่ง ดาราทีวีไทยได้ให้สัมภาษณ์ในรายการ "สัญญามหาชน ช่อง 7" ในวันที่ 17 มกราคม เขียนเป็นสำนวนเขมรว่า หนูกบไม่มีทางที่จะเดินทางไปที่กัมพูชาอย่างเด็ดขาด เนื่องจากเจ็บแค้นที่เขมรแย่งนครวัดซึ่งเป็นของคนไทยไป นอกจากนั้นยังระบุด้วยว่า "กบ-สุวนันท์พูดว่า ฉันเกลียดคนเขมร เพราะพวกเขาขโมยนครวัดของเราไป แล้วถ้าฉันเกิดใหม่ได้ในชาติหน้า ฉันจะขอให้ตัวเองเกิดเป็นหมา ดีกว่าจะเกิดเป็นคนเขมร"


    และวันต่อมา สมเด็จฮุนเซน
    นายกรัฐมนตรีของเขมรก็ให้สัมภาษณ์นักข่าวด้วยอารมณ์รุนแรง แสดงความพอใจต่อข่าวสารที่ทราบมาอย่างยิ่ง ถึงกับออกชื่อออกนามนางสาวสุวนันท์กันเลยทีเดียว แถมยังประกาศจะไม่ดูละครทีวีไทย (ซึ่งไม่อยากให้คนเขมรดูมาตั้งนานแต่หาโอกาสไม่พบ) อีกด้วย


    กระแส
    "แอนตี้ไทย"
    ในครั้งนั้นถูกจุดเป็นไฟไปบนน้ำมันเบนซินที่อยู่ในหัวใจของชาวเขมรทั้งประเทศมานานแล้ว ปากต่อปาก คำต่อคำ นำมาซึ่งขบวนการล้างผลาญไทย ไม่ว่าอะไรที่เป็นของคนไทย มีสัญลักษณ์ไทย แม้กระทั่งธงชาติไทย และพระบรมฉายาลักษณ์ของพระมหากษัตริย์ไทย ถูกชาวเขมรรุมปล้น ทุบทำลายและเผาทิ้ง กรุงพนมเปญเมืองหลวงของเขมรเป็นจลาจลต่อต้านไทยในวันที่ 29 มีนาคม 2546 เหตุการณ์บานปลายถึงขั้นบุกเผาสถานเอกอัครราชทูตไทยในกรุงพนมเปญ


    หัวค่ำวันนั้น
    พันตำราจโททักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีแห่งประเทศไทย ต่อสายตรงถึง
    สมเด็จฮุนเซน นายกรัฐมนตรีเขมร เตือนให้ควบคุมสถานการณ์ให้อยู่ ไม่งั้นอีกไม่เกินหนึ่งชั่วโมง ไทยจะส่งคอมมานโดเข้าไปปกป้องคนไทยและทรัพย์สินของไทย !


    เป็นสำนวนทางการทูตที่เรียกว่า
    "หิน" ที่สุดที่สมเด็จฮุนเซนเคยเจอมาตั้งแต่มีเขมรสามฝ่าย เพราะไทยในตอนนี้เป็นผู้มีอิทธิพลทั้งด้านเศรษฐกิจและการทหาร ไม่ใช่เขมรรบกันเอง การขู่ว่าจะส่งคอมมานโดไทยไปลุยเมืองพนมเปญจึงเป็นการละเมิดอธิปไตยข้ามชาติไม่ต่างไปจากสหรัฐอเมริกาส่งทหารยึดครองประเทศอิรัก ซึ่งต้องเป็นประเทศอภิมหาอำนาจเท่านั้นที่บังอาจทำเช่นนั้น นอกนั้นไม่มีใครเขาทำ การแสดงออกของนายกรัฐมนตรีแห่งประเทศไทยจึงเป็นการประกาศความเป็นอภิมหาอำนาจของไทยในอินโดจีน สะท้านข้ามไปถึงฮานอยโน่นทีเดียว แล้วก็ลงล็อก เมื่อสมเด็จฮุนเซนอ่านไพ่ในมือแล้ว
    ขืนไม่ยับยั้งจลาจลเอง ปล่อยให้ทหารไทยไปคุมพนมเปญได้ก็เท่ากับว่าสูญเสียเอกราช ! ยิ่งถ้าไทยเกิดประกาศว่า จะขออยู่ดูสถานการณ์อีกซักสองสามวันมันจะยิ่งยุ่ง เกมที่สมเด็จฮุนเซนเปิดขึ้นมาเล่นด้วยไพ่ใบแรกคือกบ-สุวนันท์ ถูกพันตำรวจโททักษิณเกทับด้วยคอมมานโด จึงเหมือนกับเอาไพ่ใบดำมาทับใบแดง แต้มของสมเด็จฮุนเซนจึงออกมาเป็นซีโร่ แม้ว่าจะเป็นฮีโร่ในใจชาวกัมพูชาก็ตาม แต่ก็เป็นขวัญใจที่มีแต่เพียงใจให้กันเท่านั้น เพราะหลังจากนั้นรัฐบาลไทยประกาศปิดแดน ตัดความสัมพันธ์ทางการทูต ขู่ว่าต้องขอขมาอย่างเป็นทางการ และต้องชดใช้ค่าเสียหายทุกบาททุกสตังค์ ไม่งั้นไม่เล่นด้วย


    นั่นเป็นบทบาทของรัฐบาลไทยที่ดูเหมือนจะถูกใจคนไทยทั้งชาติ ต่างยกย่องท่านด๊อกเตอร์ทักษินว่าเป็นอัศวินแห่งยุค เป็นผู้นำที่โดดเด่นที่สุดยิ่งกว่าสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เรียกว่าตามกระแสกันลั่นเมือง ทั้ง ๆ ที่เมื่อเกิดกรณีรัฐบาลและหนังสือพิมพ์พม่าโฆษณาด่าประเทศไทยกระทบถึงราชวงศ์ แต่รัฐบาลไทยกลับใช้วิธีทางการทูตพูดแบบนิ่ม ๆ นายกรัฐมนตรีรีบบินไปเจรจาความทางการเมืองด้วยสำนวนน้ำผึ้งเดือนห้า แตกต่างจากนโยบายกับประเทศกัมพูชาอย่างสิ้นเชิง

    ต่อ 1/2
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 มิถุนายน 2010
  10. ภราดรภาพ

    ภราดรภาพ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2009
    โพสต์:
    1,578
    ค่าพลัง:
    +2,762
    เขมรแบนพระไทย อะไรเกิดขึ้น?

    ความต่ำต้อยให้ด้อยค่าลงไปอีกในใจของชาวเขมร เข้าวัดเข้าวาไหว้พระไหว้เจ้าก็ยังต้องมาเจอกับพระพุทธรูปแบบไทยๆ หน้าใสๆ ไม่เคร่งขรึม นิ้วพระหัตถ์เรียวยาวเหมือนช่างฟ้อนซ้อนเล็บ เพราะสยามนั้นเมืองยิ้ม พระพุทธรูปจึงเป็นสัญลักษณ์ของสยาม ต้องงามแบบไทยๆ เข้าไว้ แล้วในวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2547 ก็มีข่าวทางหนังสือพิมพ์คัมพูชาเดลี่ ที่รัฐบาลกัมพูชาสั่งเก็บพระพุทธรูปศิลปะไทยให้หมดประเทศ เริ่มที่เขตบันเจียเมียนเจยดังกล่าว

    คนที่ไม่ติดตามข่าวสารบ้านเมืองเท่าใดนักก็คงงง ว่านี่เขมรเป็นบ้าอะไรขึ้นมา แม้กระทั่งพระพุทธรูปก็ยังไม่เว้น จะจงเกลียดจงชังคนไทยปานนั้นเชียวหรือ อืม อันนี้ก็เห็นทีจะต้องวิสัชนากันยาวหน่อย

    ความจริงแล้ว ถ้าจะว่าไปมันมีหลายมิติหลายมุมมอง คือเราต้องมองให้เป็นว่า เขมรนั้นนอกจากจะถูกคุกคามทางด้านการสื่อสารโฆษณาด้วยวิทยุโทรทัศน์และหนังสือไทยแล้ว เศรษฐกิจก็ถูกไทยยึดครอง ที่สำคัญก็คือ ศิลปะวัฒนธรรมที่ดำรงมายาวนานคู่กับพระพุทธศาสนาแบบกัมพูชานั้นก็ถูกยึดครองไปหมดแล้วด้วย โดยเฉพาะที่มองเห็นโดดเด่นก็คือพระพุทธรูปแบบไทย ที่สำนักเสาชิงช้าและโรงงานหล่อพระทั่วประเทศไทยหล่อส่งขายเป็นว่าเล่นนั่นแหละ

    พระเขมร-พระไทย เป็นคำจำกัดความที่ดูออกจะแคบ แต่ก็ไม่คับเสียทีเดียวนัก สมัยรัชกาลที่ 3 นั้น เมื่อพระภิกษุวชิรญาณ (สมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว) ทรงผนวช ทรงเลื่อมใสในวัตรปฏิบัติของพระมอญ ถึงกับทรงทำอุปสมบทกรรมซ้ำซ้อนที่เรียกว่าทัฬหีกรรม คือบวชครั้งที่สองกับพระมอญ แล้วตอนหลังก็ทรงเปลี่ยนไปครองผ้าแบบมอญ ตอนนั้นพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ถึงกับทรงมีพระลิขิตถึงกรมหมื่นวชิรญาณวโรรส สมเด็จพระสังฆราช ตำหนิว่า เป็นการไม่รักษาพระเกียรติยศของชาติบ้านเมือง เนื่องเพราะมอญนั้นเป็นเมืองขึ้นของไทย

    นั่นเป็นกรณีที่พระมหากษัตริย์ไทยไม่เห็นด้วยกับพระราชวงศ์ ที่หลงอุดมการณ์โดยไม่มองบ้านมองเมือง การตั้งคณะธรรมยุติขั้นมาจึงอีหลักอีเหลื่อ จะโตก็ไม่ใช่ จะตายก็ไม่เชิง เพราะมีคนต่อต้าเยอะว่าเป็นพระนิกายมอญ สมเด็จพระจอมเกล้าจึงทรงเปลี่ยนมาเป็น "ธรรมยุติ" เพื่อเลี่ยงบาลีมิให้คนไทยรังเกียจ แล้วก็ประสบความสำเร็จเมื่อคนไทยลืมมอญเสียสนิท แทบจะไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่า คณะธรรมยุตินั้นก็คือคณะพระมอญนี่เอง เปลี่ยนก็แต่ยี่ห้อเท่านั้น


    ครั้นมาถึงกรณีเขมรแอนตี้พระพุทธรูปไทยใน พ.ศ. นี้ เราก็ควรเข้าใจหัวอกหัวใจของเขา ประเทศของใคร ๆ ก็รัก วัฒนธรรมของใคร ๆ ก็หวง เราล่วงละเมิดเขาจะโดยความตั้งใจหรือไม่ก็ตามแต่ แต่ว่ามันเกิดปฏิกิริยาจากเขาออกมาแล้ว ในฐานะที่เป็น "เพื่อนบ้าน" ไม่ใช่บริวารของใคร ถ้าเราจริงใจไม่จิงโจ้แล้วจะโมโหโกรธาไปทำไม ถามง่าย ๆ ถ้าทำอย่างนี้เป็นการเหมาะสม ก็ลองแลกเปลี่ยนเอาพระศิลปะเขมรมาตั้งแทนพระพุทธรูปแบบไทยในอัตราเดียวกันสิ คนไทยจะยอมไหม ไหนว่าพระพุทธศาสนาต้องใจกว้างไง อย่าว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเสียเองสิ


    เรื่องนี้ยังมีความเกี่ยวเนื่องกับอีกเรื่องหนึ่ง คือผลประโยชน์ที่ถูกดูดกลืนโดยนักธุรกิจไทย เรื่องนี้สำคัญมาก ในประเทศไทยเองเมื่อบริษัทข้ามชาติจากอังกฤษ อเมริกา มาตั้งสาขาในบ้านเราแล้วขนเงินกลับประเทศเขา เราก็หาว่าเขาเอาเปรียบเรา แต่กับประเทศเขมรและลาว เรากลับมีพฤติกรรมเอารัดเอาเปรียบเขาทุกวิถีทาง ทั้งทางด้านเศรษฐกิจและศาสนา จะหาว่าเขาไม่มีเหตุผลได้อย่างไร ?


    ในอเมริกานี่ก็เกิดปัญหาเรื่อง ลาว-ไทย-เขมร ในหลายเมือง มีการฟ้องร้องกันนัวเนียว่า สมัชชาสงฆ์ไทยและพระธรรมทูตไทยไปแย่งวัดเขา ในขณะเดียวกันพระไทยก็ทวงบุญคุณว่า ไปช่วยสร้างจนเสร็จแล้วก็ไล่อาตมาออก ซึ่งเป็นทั้งข้อกล่าวหาและคำแก้ตัวที่คลุมเคลือเป็นอย่างยิ่ง


    ในความเป็นจริงแล้ว ถ้าเราเอาจริยาพระธรรมทูตมาวัดเป็นบรรทัดฐาน ตามพระบรมพุทโธวาทที่ว่า "จงไปเพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขแก่ชนหมู่มาก เพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่ชาวโลก" ก็แสดงว่าจงไปเพื่อให้ ไม่ใช่เพื่อเอา แต่ว่าพระไทยกลับไปต่อสู้แย่งชิงถึงกับฟ้องโรงฟ้องศาลจะเอาวัดมาเป็นของสมัชชาสงฆ์ไทย ทั้ง ๆ ที่ในเมืองนั้น ๆ มีแต่คนลาวคนเขมร ไม่มีคนไทยอยู่เลย


    ปัญหาจริง ๆ แล้วจึงอยู่ที่สปิริตของคนที่อ้างว่า "ข้าคือพระธรรมทูต" แต่เป็นพระธรรมทูตขี้เลื่อย มีความหิวกระหายในอำนาจวาสนา เป็นใหญ่ในวัดไทยไม่ได้ก็หาทางขึ้นเป็นใหญ่ในวัดลาววัดเขมร แต่ไปอยู่กับเขาแล้วกลับทำตัวเข้ากับเขาไม่ได้ หลายเมืองเป็นเช่นนี้ คืออวดดีอวดเด่น เช่นศาสนพิธีที่เป็นลาวเป็นเขมรก็ทำไม่เป็น คนเขมรคนลาวมาวัดก็ให้เขาปฏิบัติศาสนพิธีแบบไทย ๆ อุตริบอกว่าของไทยดีกว่า แม้แต่อาหารการกิน บางรูปนั้นไทยจ๋ากินปลาร้าไม่เป็น แต่กินไม่เป็นยังไม่เป็นไร ยังปากเสียไปทักว่า "เอาอันนี้ออกไป อาหารลาวอาตมาฉันไม่ได้" แต่เงินดอลล่าห์ที่ลาวและเขมรเอามาถวายนั้น "รับได้ ไม่เหม็น" วัดไทย-วัดลาว-เขมร จึงเห็นมีอยู่คู่กันมาแทบทุกเมือง ไม่เชื่อไปสำรวจดูได้ แต่อย่าถามพระเทพโสภณ อธิการบดีมหาจุฬาฯเลย ท่านไม่รู้เรื่องหรอก เพราะได้เป็นศาสตราจารย์สาขาปรัชญา ไม่เกี่ยวกับพระพุทธศาสนาเช่นนี้

    ท้ายบทความนี้จึงขอชี้ว่า คนไทยต้องปรับตัวปรับใจเสียใหม่ ให้เห็นชาวลาวชาวกัมพูชาเป็นเพื่อน มิใช่พี่น้อง ซึ่งไทยต้องเป็นพี่ตลอดกาล การคบหากันถ้าไม่ให้เกียรติเขาอย่างจริงใจ ก็แสดงว่าไทยเรานี่เองที่คบไม่ได้ ไม่ใช่เขมรหรือลาว ก่อนจะว่าเขาก็ควรสำรวจตัวเราเสียก่อนว่า ก่อนที่เราจะไปบ้านเขาน่ะ ไปเพื่ออะไร "เพื่อให้หรือว่าเพื่อเอา"


    อ้างอิง: พระมหานรินทร์ นรินฺโท วัดไทย ลาสเวกัส รัฐเนวาด้า สหรัฐอเมริกา

    Alittlebuddha.com The Vision of Phramaha Narin

     
  11. สมรปราง

    สมรปราง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กันยายน 2008
    โพสต์:
    377
    ค่าพลัง:
    +263
    ...แค่บอกว่า..แต่ละองค์..แต่ละองค์ก็ไม่เหมือนกันไม่เข้าใจเลยแต่คุณหนูก็พยายามจะเข้าใจให้ได้..งานท่านภราดรภาพเข้าเลยรึ?... รายละเอียดมาเพียบ

    อย่างน้อยๆๆ ข้าพเจ้าก็คิดเห็นเปนกลางอยู่แล้วจะตั้งพระพุทธรูปเขมร (ไม่ยิ้ม ไม่คุย) กับพระพุทธรูปสยาม(หน้าใสๆๆ ยิ้มสยาม นิ้วเรียวยาว คุยได้)..ไว้คู่กัน...ใครจะว่าไงก็ช่าง..ห้องมันแคบก็ต้องเบียดกันหน่อย..อบอุ่นดีจ้า...เปนการเตือนสติว่าต้องปฏิบัติบูชาและทุกๆ..ต้องสามัคคีกันไม่มีการแบ่งแยกชนชั้น ชาติ ศาสนา ปิดกั้นพลังกันเองหรือทำลายกันเอง ไม่เกิดประโยชน์อย่างแท้จริง









    <HR style="BACKGROUND-COLOR: #ffffff; COLOR: #ffffff" SIZE=1>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 มิถุนายน 2010
  12. ภราดรภาพ

    ภราดรภาพ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2009
    โพสต์:
    1,578
    ค่าพลัง:
    +2,762
  13. สมรปราง

    สมรปราง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กันยายน 2008
    โพสต์:
    377
    ค่าพลัง:
    +263
    เอาภาพสวยมาฝากท่านภราดรภาพ..
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • Yama and Shiva.jpg
      Yama and Shiva.jpg
      ขนาดไฟล์:
      56.6 KB
      เปิดดู:
      963
    • -.jpg
      -.jpg
      ขนาดไฟล์:
      42.3 KB
      เปิดดู:
      1,445
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 มิถุนายน 2010
  14. ภราดรภาพ

    ภราดรภาพ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2009
    โพสต์:
    1,578
    ค่าพลัง:
    +2,762
    [​IMG]

    พระอิศวร พระยมราช กับเด็กน้อย
    ช่วยแปลความนัยเกี่ยวกับปกรณัมเรื่องนี้

    Mrikandu was a great rishi. Marudvati was his wife. For a long time they had no children.

    The rishi prayed to lord Siva. Lord Siva appeared to him, and said, "I am pleased with you, Mrikandu. Tell me, do you want a hundred sons, who will live for a long time, but will all be foolish?

    Or, do you want one very intelligent son, who will live for only sixteen years?"

    The rishi at once said, "Lord, give me that one intelligent son."
    Lord Siva said, "Good! You shall have him."


    Soon the rishi got a son. He named him Markandeya. The boy grew to be very intelligent and handsome. The rishi invested him with the sacred thread. Markandeya learnt the Vedas and Sastras, easily. Everyone liked him.

    As the boy was getting on to be sixteen, Rishi Mrikandu became sadder and sadder. One day Markandeya asked his father: "Father, why do you look so sad?"

    The rishi said, "Son! What shall I say? When Lord Siva gave you to me, he said you would live only sixteen years. You are now about to reach that age. How can Iand your mother bear to lose you as we will at the end of this year?"

    Markandeya said, "Father! Is that the reason? Lord Siva is very kind to His devo- tees. You yourself told me that. He has saved many from death before. I have read about it in the Puranas. I shall therefore worship Lord Siva day and night from today. I am sure, He will save -me too! "

    RishiMrikandu was very happy to hear his son say this. He blessed his son.
    Markandeya built a Siva-Linga at a spot on the sea-shore. He started worshipping Lord Siva morning, noon and night. He sang bhajans, and often danced in joy.

    On the last day, Markandeya was about to sing bhajans, when Yama, the Lord of Death, came to him. Yama rode on a buffalo. He held a noose in his hand. He spoke to Markandeya, "Stop your bhajan! You boy! Your life in this world is over. Be ready to die."

    Markandeya was not afraid. He clung to the Siva-Linga as one clings to one's mother.

    Yama threw his noose round the boy's neck, and pulled him along with the Siva- Linga.

    Then the Siva-Linga burst open and Lord Siva came out of it, Lord kicked Yama in the chest, and said, "Yama, begone! Don't touch this boy. He is my beloved devotee. He will live forever!"

    Yama went away crest-fallen. Markandeya then prayed to Lord Siva more fervently than ever. This prayer says at the end of each line, "What can Death do to me?" Many people recite this prayer even now.

    Markandeya came home, and fell at the feet of his parents. They embraced him, and wept with joy. Markandeya became a great rishi, and lived very long.



    [​IMG]

    พระอิศวร ทรงประทานจักรแด่พระนารายณ์ จักรนี้ มีพระนามว่า สุฑาชนะ (Sudarshana Chakra)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 มิถุนายน 2010
  15. สมรปราง

    สมรปราง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กันยายน 2008
    โพสต์:
    377
    ค่าพลัง:
    +263
    ..คือว่า แปลกใจแต่ละองค์จะมีอาวุธประจำกาย อาจเหมือนหรือต่างกัน
    แต่ถึงจะเหมือนกันถ้าไม่ใช่เจ้าของใช้เองก็ให้ผลที่ต่างกันอีก

    แล้วทำไมบางครั้งต้องขอยืมกัน...
    การใช้งานและความเหมาะสมแต่ละอย่างก็ยากจะเข้าใจ...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 มิถุนายน 2010
  16. tanthaibaby

    tanthaibaby เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    28
    ค่าพลัง:
    +105
    พี่ภราดรภาพ ก็ไปก็หรอครับ
    หวังว่าคงได้เจอกันนะครับ (^_^) ถ้าผมไม่หลงทาง น่าจะเจอ นะครับ
     
  17. ภราดรภาพ

    ภราดรภาพ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2009
    โพสต์:
    1,578
    ค่าพลัง:
    +2,762
    ไปครับ หวังว่าจะได้พบกันนะครับ
     
  18. ภราดรภาพ

    ภราดรภาพ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2009
    โพสต์:
    1,578
    ค่าพลัง:
    +2,762
    ประกาศ เปิดรับสมัครนักปฏิบัติธรรมรุ่นที่ 6 ประจำปี 2553

    กลุ่มเป้าหมาย: ผู้ที่สนใจและตั้งใจจริงทุกๆ ท่าน

    จำนวนที่รับ: 10-15 ท่าน

    วัตถุประสงค์:
    1) เพื่อพบปะ สนทนา และสร้างสัมพันธ์ที่ดีระหว่างกัลยาณมิตร
    2) เพื่อศึกษา วิเคราะห์ และปฏิบัติสมาธิกรรมฐาน-วิปัสสนา
    3) เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนนักปฏิบัติธรรมให้มีความรู้และความเข้าใจอย่างถ่องแท้ รวมถึงร่วมกิจกรรมสร้างบุญกุศลและสาธารณประโยชน์แก่สังคม

    กำหนดการ:
    วันเสาร์ที่ 24 กรกฎาคม 2553 เวลา 10.00 น. - 17.00 น.

    ค่าใช้จ่าย: ไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ

    กิจกรรม:
    09.30 น. พบปะ แนะนำ สนทนา แบบพี่ๆ น้องๆ
    10.00 น. พิธีเปิดบารมีวิชชาสาม
    12.00 น. พักทานอาหารกลางวัน (ไม่มีค่าใช้จ่าย)
    13.00 น. บรรยายเรื่อง: แก่นธรรม การเจริญกรรมฐานวิชชาสาม พลังจิตตานุภาพ
    13.40 น. การเจริญ (นั่งสมาธิ) กรรมฐานวิชชาสาม
    14.30 น. สอบอารมณ์
    15.30 น. จบโปรแกรม


    สถานที่:
    ณ บ้านทรงไทย
    ซอยจรัญสนิทวงศ์ 35 ในซอยแก้วเงินทอง 2
    แขวงตลิ่งชัน เขตตลิ่งชัน จ.กรุงเทพมหานคร

    แผนที่: คลิกที่รูปภาพด้านล่าง

    วิธีการเดินทาง

    1) เริ่มจากเซ็นทรัลปิ่นเกล้า ให้ขับตรงมาทางถนนบรมราชชนนี ข้ามสะพานตรงสายใต้ใหม่เดิม เบี่ยงซ้ายเข้าทางคู่ขนาน ข้ามสะพานชิดซ้ายไว้ตรงไปผ่าน ส.น ตลิ่งชัน เจอแยกแรกไม่เลี้ยว ให้ตรงไปก่อน ชิดซ้ายไว้จะเจอแยกที่สองให้เลี้ยวได้เลย จะเป็นถนนราชพฤกษ์ (ไปออก ถ.เพชรเกษม –บางแค) ขับตรงไปข้ามสะพานที่1 ผ่านไป จะเห็นร้านกุ้งเต้นซ้ายมือ ผ่านไปอีกจะข้ามสะพานที่ 2 ลงสะพานชิดซ้ายไว้จะเจอทางลัดไปออก ซ.จรัญ35-วัดแก้ว ให้เลี้ยวเลยค่ะขับตรงมานะค่ะ ระหว่างทางจะเป็นซอยบางพรหมต่างๆค่ะ ไม่ต้องสนใจ ขับตรงมาตลอดสุดทางจะเป็นสามแยกค่ะ (มองสูงขึ้นไปทางแยกจะเห็นป้ายวัดแก้วค่ะ) ให้เลี้ยวซ้ายค่ะ ตรงไปขับช้าๆ อย่าใจร้อน มองซ้ายมือจะเป็นซอยแก้วแหวนเงินทอง2 ใช่เลยค่ะ คราวนี้สบายใจได้ค่ะ จะถึงแล้วค่ะ ขับตรงไปตามทางหลักค่ะเบี่ยงซ้ายนิดหน่อยผ่านศาลพระภูมิ ซ้ายมือค่ะ ตรงไปให้มองทางซ้ายมือ เริ่มนับค่ะซอยที่1 ซอยที่2 เราเลี้ยวซอยที่3 ค่ะ ขับตรงมานิดหน่อยจะเจอซอยแรกซ้ายมือเลี้ยวมาเลย

    ขับตรงมาสุดเลยค่ะถึงแล้ว ขับมาจอดในบ้านเลยค่ะจะเปิดประตูคอยต้อนรับกัลยาณมิตรทุกท่านค่ะ

    2) เริ่มจากสะพานพระราม7 ขาออก ข้ามสะพานพระราม7 ขับตรงมาตลอดผ่านบางอ้อ ผ่านห้างเทสโก้โลตัส ให้เลี้ยวขวาตรงแยกบางพลัด(ทางเลี้ยวจะอยู่เหนืออุโมงค์ลอดแยก เพราะฉะนั้นห้ามลอดอุโมงค์) ขัวตรงมาตามถนนสิรินธร จะผ่านตั่งฮั่วเส็ง ขวามือ ให้ขึ้นสะพาน เบี่ยงซ้ายเข้าคู่ขนาน ขับตรงมาแล้วข้ามสะพาน ชิดซ้ายผ่าน ส.น.ตลิ่งชัน ตรงไป ซอยแรกไม่เลี้ยว ตรงไปจะเจอแยกที่สองให้เลี้ยวแยกนี้ค่ะค่ะ จะเป็นถนนราชพฤกษ์(ไปออก ถ.เพชรเกษม –บางแค ) ขับตรงไปข้ามสะพานที่1 ผ่านไป จะเห็นร้านกุ้งเต้นซ้ายมือ ผ่านไปอีกจะข้ามสะพานที่ 2 ลงสะพานชิดซ้ายไว้จะเจอทางลัดไปออก ซ.จรัญ35-วัดแก้ว ให้เลี้ยวเลยค่ะขับตรงมานะค่ะระหว่างทางจะเป็นซอย บางพรหมต่างๆค่ะไม่ต้องสนใจ ขับตรงมาตลอดสุดทางจะเป็นสามแยกค่ะ(มองสูงขึ้นไปทางแยกจะเห็นป้ายวัดแก้วค่ะ) ให้เลี้ยวซ้ายค่ะ ตรงไปขับช้าๆอย่าใจร้อน มองซ้ายมือจะเป็นซอยแก้วแหวนเงินทอง2 ใช่เลยค่ะ คราวนี้สบายใจได้ค่ะ จะถึงแล้วค่ะ ขับตรงไปตามทางหลักค่ะเบี่ยงซ้ายนิดหน่อยผ่านศาลพระภูมิ ซ้ายมือค่ะ ตรงไปให้มองทางซ้ายมือ เริ่มนับค่ะ ซอยที่1 ซอยที่2 เราเลี้ยวซอยที่3 ค่ะ ขับตรงมานิดหน่อยจะเจอซอยแรกซ้ายมือเลี้ยวมาเลยขับตรงมาสุดเลยค่ะถึงแล้ว ขับมาจอดในบ้านเลยค่ะจะเปิดประตูคอยต้อนรับกัลยาณมิตรทุกท่าน


    3) เริ่มจากปากซอยจรัญ35 (บริเวณตรงข้าม foodland สาขาจรัญ) ฝั่งเดียว กับซอยวัดเพลง makro สาขาจรัญ (ถ้าผ่านคือเลยไปแล้ว) เลี้ยวเข้าซอยจรัญ35 ขับตรงมาตามทางตลอด ไม่ต้องวอกแวกตรงไหน ระหว่างทางจะผ่านวัดปากน้ำให้ตรงมา ถัดมาจะเจอวัดแก้วเป็นโค้งเลยโค้งจะเป็นสามแยกมองตรงแยกขวามือจะเป็น 7 ให้ตรงมา ขับช้าๆมองซ้ายมือ มองหาซอยแก้วแหวนเงินทอง2 ใช่เลยค่ะ คราวนี้สบายใจได้ค่ะ จะถึงแล้วค่ะ ขับตรงไปตามทางหลักค่ะเบี่ยงซ้ายนิดหน่อยผ่านศาลพระภูมิ ซ้ายมือค่ะ ตรงไปให้มองทางซ้ายมือ เริ่มนับค่ะ ซอยที่1 ซอยที่2 เราเลี้ยวซอยที่3 ค่ะ ขับตรงมานิดหน่อยจะเจอซอยแรกซ้ายมือเลี้ยวมาเลยขับตรงมาสุดเลยค่ะถึงแล้ว ขับมาจอดในบ้านเลยค่ะจะเปิดประตูคอยต้อนรับกัลยาณมิตรทุกท่านค่ะ


    4) มาจากทางถนนขาเข้าจากนครปฐม ให้ขับตรงมาตลอด ก่อนจะข้ามสะพานไปปิ่นเกล้า


    หากต้องการทราบรายละเอียดเพิ่มเติม ติดต่อ:
    มือถือ 081-808-6695 คุณภราดรภาพ
    มือถือ 084-924-4353 คุณแม่เล็ก
    มือถือ 080-629-2625 คุณจัมโบ้
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 1.jpg
      1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      682.3 KB
      เปิดดู:
      172
  19. ภราดรภาพ

    ภราดรภาพ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2009
    โพสต์:
    1,578
    ค่าพลัง:
    +2,762
    รายนามผู้สมัครนักปฏิบัติธรรมและ คนมีองค์รุ่นที่ 6 ประจำปี 2553
    ในวันเสาร์ที่ 24 กรกฎาคม 2553 เวลา 10.00 น. - 17.00 น.

    ยินดีต้อนรับ คุณแสงธรรมและภรรยา

    รับจำนวน: 15 ท่าน

    1) คุณแสงธรรม
    2) ภรรยาคุณแสงธรรม

    ยอดผู้สมัคร จำนวน 2 ท่าน
    ยอดคงเหลือ จำนวน 13 ท่าน

    ยังสมัครได้อยู่นะครับ
     
  20. ภราดรภาพ

    ภราดรภาพ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2009
    โพสต์:
    1,578
    ค่าพลัง:
    +2,762
    รายนามผู้สมัครนักปฏิบัติธรรมและ คนมีองค์รุ่นที่ 6 ประจำปี 2553
    ในวันเสาร์ที่ 24 กรกฎาคม 2553 เวลา 10.00 น. - 17.00 น.


    ยินดีต้อนรับ คุณโชตและภรรยา ศาลเจ้าแม่ทับทิม พระราม 2
    รับจำนวน: 15 ท่าน

    1) คุณแสงธรรม
    2) ภรรยาคุณแสงธรรม
    3) คุณโชติ
    4) ภรรยาคุณโชติ

    ยอดผู้สมัคร จำนวน 4 ท่าน
    ยอดคงเหลือ จำนวน 11 ท่าน

    ยังสมัครได้อยู่นะครับ

     

แชร์หน้านี้

Loading...