พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ที่มา http://www.tteen.net/view.php?time=20040923163507


    • กราบทูบขอพระบรมพุทธนุญาตแก้ไขพุทธบัตติ
      เสมือนหนึ่ง ท่านพระมหากัจจายนะ พักอาศัยอยู่ที่ภูเขาปวัตตะ แขวงเมืองกุรุรฆระ
      ในอวันตีทักขิณาปถชนบท ขณะนั้น มีอุบาสกคนหนึ่งชื่อว่า โสณกุฎิกัณณะ มีศรัทธาจะ
      อุปสมบท แต่เนื่องจากในอวันตีชนบทนั้นมีพระภิกษุจำนวนน้อย ไม่ครบเป็นคณปูรกะจำนวน
      ๑๐ รูป (ทสวรรค) ตามพระบรมพุทธานุญาต ท่านจึงให้บรรพชาเป็นสามเณรอยู่นานถึง ๓ ปี
      กว่าจะได้อุปสมบท และเมื่อท่านโสณกุฏิกัณณะได้อุปสมบทแล้ว ปรารถนาจะเข้าเฝ้า
      พระบรมศาสดา ได้กราบลาพระมหากัจจายนะ ก็อนุญาตพร้อมทั้งสั่งให้ไปราบทูลขอ
      พระบรมพุทธานุญาต ให้พระพุทธองค์ทรงแก้ไขพุทธบัญญัติ ๕ ข้อ ซึ่งไม่สะดวกแก่พระภิกษุผู้
      อยู่ในอวันตีชนบท คือ:-
      ๑) ในอวันตีชนบท มีพระภิกษุจำนวนน้อย ขอให้พระผู้มีพระภาคทรงอนุญาตการอุปสมบท
      ด้วยคณะพระภิกษุน้อยกว่า ๑๐ รูปได้
      ข้อนี้ พระพุทธองค์ทรงอนุญาตว่า
     
  2. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ที่มา http://www.tteen.net/view.php?time=20040923163507

    ความสามารถพิเศษของพระมหากัจจายนเถระ
    พระมหากัจจายนเถระ เป็นพระพุทธสาวก ที่มีสติปัญญาเฉลียวฉลาดสามารถอธิบาย
    ธรรมที่ย่อให้พิสดาร ให้ผู้ฟังเกิดศรัทธาเลื่อมใสได้โดยไม่ยาก ทั้งนี้เพราะส่วนหนึ่งท่านเป็นผู้มี
    ความเชี่ยวชาญในปฏิสัมภิทา ๔ คือ:-
    ๑) อัตถปฏิสัมภิทา ผู้มีปัญญาแตกฉานในอรรถ
    สามารถอธิบายความย่อให้พิสดารได้
    ๒) ธัมาปฏิสัมภิทา ผู้มีปัญญาแตกฉานในธรรม
    สามารถถือเอาความโดยย่อจากธรรมที่พิสดารได้
    ๓) นิรุตติปฏสัมภิทา ผู้มีปัญญาแตกฉานในนิรุตติ
    มีความเชี่ยวชาญในภาษา สามารถพูดให้คนอื่น
    เลื่อมใสได้
    ๔) ปฏิภาณปฏิสัมภิทา ผู้มีปัญญาแตกฉานในปฏิภาณ
    มีไหวพริบและปฏิภาณ สามารถแก้ไขสถานการณ์
    เฉพาะหน้าได้
    นอกจากนี้ยังมีพระธรรมเทศนาของท่านอีกหลายกัณฑ์ ที่พระธรรมสังคาหกาจารย์ ได้
    ยกขึ้นสู่สังคีติ คือการทำสังคายนา ได้แก่:-
    ๑ ภัทเทกรัตตสูตร เป็นสูตรที่แสดงถึงเรื่องบุคคลผู้มีราตรีเดียวเจริญ คือ คนที่เวลา
    วันคืนหนึ่ง ๆ มีแต่ความดีงาม ความเจริญก้าวหน้า ได้แก่ ผู้ที่ไม่มัวครุ่นคิดถึงอดีต ไม่เพ้อฝัน
    หวังอนาคต ใช้ปัญญาพิจารณาให้เห็นแจ้งประจักษ์สิ่งที่เป็นปัจจุบัน ทำความดีเพิ่มพูนขึ้นเรื่อย
    ไป มีความเพียรพยายามทำกิจที่ควรทำตั้งแต่ในวันนี้
    ๒ มธุรสูตร เป็นสูตรที่ท่านแสดงแก่พระเจ้ามธุรราชอวันตีบุตร ในขณะที่ท่านพักอยู่ที่
    คุณธาวัน มธุรราชธานี สูตรนี้มีใจความแสดงถึงความไม่แตกต่างกันของวรรณะ ๔ คือ กษัตริย์
    พราหมณ์ แพศย์ และศูทร วรรณะทั้ง ๔ นี้ แม้จะถือตัวอย่าง เหยียดหยามกันอย่างไร แต่ถ้าทำดี
    ก็ไปสู่ที่ดีเหมือนกันทั้งหมด ถ้าทำชั่วก็ต้องรับโทษไปอบายเหมือนกันทั้งหมดทุกวรรณะเสมอกัน
    ในพระธรรมวินัย ออกบวชบำเพ็ญสมณธรรมแล้ว ไม่เรียกว่าวรรณะอะไร แต่เป็นสมณะ
    เหมือนกันทั้งหมด
    ที่พระเถระกล่าวสูตรนี้ ก็เพราะพระเจ้ามธุรราชอวันตีบุตร ถามปัญหากับท่านเกี่ยวกับ
    เรื่องพราหมณ์ถือตัวว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ และเกิดจากพรหม ท่านจึงแก้ว่าไม่เป็นความจริงแล้วยกตัว
    อย่างเป็นข้อ ๆ ดังนี้:-
    ๑) ในวรรณะ ๔ เหล่านี้ วรรณะใดเป็นผู้ร่ำรวย มั่งมีเงินทอง วรรณะเดียวกัน และ
    วรรณะอื่นย่อมเข้าไปหา ยอมเป็นบริวารของวรรณะนั้น
    ๒) วรรณะใดประพฤติอกุศลกรรมบถ เมื่อตายไป วรรณะนั้นย่อมเข้าสู่อบายเสมอ
    เหมือนกันทั้งหมด
    ๓) วรรณะใดประพฤติกุศลกรรมบถ เมื่อตายไป วรรณะนั้นย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์
    เหมือนกันทั้งหมด
    ๔) วรรณะใดทำโจรกรรม ทำปรทาริกกรรม วรรณะนั้นต้องรับราชอาญาเหมือนกันทั้ง
    หมด ไม่มียกเว้น
    ๕) วรรณะใดออกบวช ตั้งอยู่ในศีลในธรรม วรรณะนั้นย่อมได้รับความนับถือ การ
    บำรุง และการคุ้มครองรักษา เสมอเหมือนกันทั้งหมด
    เมื่อพระเถระแสดงเทศนามธุรสูตรจบลงแล้ว พระเจ้ามธุรราช ก็เกิดศรัทธาเลื่อมใส
    ประกาศประองค์เป็นอุบาสกในพระพุทธศาสนา
     
  3. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ที่มา http://www.tteen.net/view.php?time=20040923163507

    พระเถระแปลงร่าง
    ดังที่กล่าวมาในตอนต้นแล้วว่าพระมหากัจจายนเถระ เป็นผู้มีรูปร่างสง่างามผิวเหลือง
    ดุจทองคำสะอาดผ่องใจ เป็นที่ต้องตาถูกใจแก่ผู้พบเห็นทั่วไป จนกระทั่งมีเหตุการณ์วิปริตเกิดขึ้น
    แก่บุตรเศรษฐีคนหนึ่งในเมืองโสเรยยะ ชื่อว่า โสเรยยะ เหมือนชื่อเมือง ขณะที่เขานั่งบนยาน
    พาหนะกับสหายเพื่อไปอาบน้ำพร้อมกับบริวารทั้งหลาย ได้เห็นพระเถระกำลังยืนห่มจีวร เพื่อ
    เข้าไปบิณฑบาตในเมืองแล้วเกิดความพอใจ ในดวงจิตคิดอกุศลขึ้นว่า “งามจริงหนอ พระเถระ
    รูปนี้ น่าจะเป็นภริยาของเรา หรือไม่ก็ขอให้ภริยาของเรามีสีผิวกายเหมือนพระเถระนี้”
    ด้วยอกุศลจิตคิดเพียงเท่านี้ ทำให้เพศชายของเขาหายไป กลายเป็นเพศหญิงไปทั้งร่าง
    ทำให้เขาอับอายเป็นอย่างมาก และโดยที่ไม่มีใครรู้เขารีบลงจากยานนั้นแล้วเดินตามกองเกวียน
    พ่อค้าไปยังเมืองตักสิลา และได้เป็นภริยาของลูกชายเศรษฐีในเมืองนั้น อยู่ร่วมกันจนมีบุตร ๒
    คน แต่เดิมทีที่เขาอยู่ในเมือง โสเรยยะนั้น เขาก็มีภริยาอยู่แล้วและมีบุตรด้วยกัน ๒ คน เช่นเดียว
    กัน จึงปรากฏว่าเขาเป็นทั้งพ่อและแม่ หรือเป็นทั้งผัวและเมียในชาติเดียวกันนี้
    ต่อมา พระมหากัจจายนเถระ จาริกมายังเมืองตักสิลา โสเรยยะทราบแล้วจึงเล่าเรื่องราว
    ของตนที่ผ่านให้สามีฟัง แล้วพากันไปกราบขอขมาโทษต่อพระเถระ เมื่อท่านทราบเรื่องโดย
    ตลอดแล้วก็ยกโทษให้ และเพศหญิงก็หายไปเพศชายปรากฏขึ้นมาเหมือนเดิม เขาเกิดศรัทธา
    เลื่อมใสในพระเถระเป็นอย่างยิ่ง อีกทั้งเห็นว่าตนเองเป็นคนแปลกคือเป็นทั้งชายและหญิงในอัต
    ภาพเดียวเท่านั้น และยังคิดว่าไม่ควรที่จะอยู่ครองเพศฆราวาสต่อไป จึงมอบบุตรทั้ง ๔ คนให้
    บิดามารดาเลี้ยงดูต่อไป ส่วนตนเองได้ขอบวชในสำนักพระเถระ และได้บรรลุเป็นพระอรหันต์
    ในกาลต่อมา
    พระมหากัจจายนะ นอกจากจะมีเรื่องของโสเรยยะแล้ว ยังมีเรื่องพระภิกษุเทวดาและ
    มนุษย์ทั้งหลาย เห็นพระเถระเดินมาแต่ไกลแล้วก็พากันกล่าวว่า “พระบรมศาสดาของพวกเรา
    เสด็จมาแล้ว” แล้วพากันทำความเคารพกราบไหว้ ทั้งนี้ก็เพราะท่านมีรูปลักษณ์ละม้ายกับ
    พระผู้มีพระภาคนั้นเอง
    พระเถระพิจารณาเห็นโทษเช่นนี้แล้ว จึงอธิษฐานจิตเนรมิตรร่างกายของท่านให้เปลี่ยน
    แปลงผิดแปลงไปจากเดิม ร่างกายที่เคยสง่างามก็ย่นย่อ ต่ำเตี้ย ท้องป่อง หมดความสวยงามดังที่
    พุทธศาสนิกชนนิยมสร้างรูปท่านไว้เป็นที่สักการบูชาในทุกวันนี้
     
  4. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ที่มา http://www.tteen.net/view.php?time=20040923163507

    ได้รับยกย่องในทางอธิบายความย่อให้พิศดาร
    ครั้งหนึ่ง พระผู้มีพระภาคทรงแสดงภัทเทกรัตตสูตรแต่โดยย่อ แล้วเสด็จเข้าสู่พระวิหาร
    ที่ประทับ พระภิกษุทั้งหลายไม่ได้โอกาสเพื่อจะกราบทูลถามเนื้อความที่ตรัสไว้โดยย่อให้เข้าใจ
    ได้ จึงพากันเข้าไปหาพระมหากัจจายนะ กราบอาราธนาให้ท่านได้เมตตาอธิบายขยายความให้
    ฟัง
    พระเถระได้อธิบายขยายความย่อให้ฟังอย่างพิสดาร แล้วกล่าวแนะนำว่า “ท่านผู้มีอายุ
    ข้าพเจ้าเข้าใจความหมายแห่งพระสูตรนี้ตามที่อธิบายมานี้ แต่ถ้าท่านทั้งหลายมีความต้องการจะ
    ทราบให้แน่ชัดก็จงไปกราบทูลถามพระผู้มีพระภาค เมื่อพระองค์ทรงแก้อย่างไร ก็จงจำไว้อย่าง
    นั้นเถิด”
    พระภิกษุเหล่านั้นพากันลาพระเถระแล้ว เข้าไปกราบทูลเนื้อความที่พระมหากัจจายนะ
    อธิบายไว้ให้พระพุทธองค์ทรงสดับ
    พระผู้มีพระภาค ตรัสสรรเสริญพระเถระว่า “ภิกษุทั้งหลาย พระมหากัจจายนะ เป็นผู้มี
    ปัญญา เนื้อความนั้นถ้าพวกเธอถามตถาคต แม้ตถาคตก็จะอธิบายอย่างนั้น เช่นกัน ขอพวกเธอ
    จงจำเนื้อความนั้นไว้เถิด”

    เมื่อครั้งพระพุทธองค์ ประทับอยู่ ณ พระเชตะวันมหาวิหาร ทรงตั้งพระมหากัจจายนะ
    ไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะ เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายในฝ่าย ผู้อธิบายเนื้อความย่อให้พิสดาร
    ท่านพระมหากัจจายนเถระ ดำรงอายุสังขารโดยสมควรแก่กาลเวลาแล้วก็ดับขันธปรินิพพาน

    <!--tory ******************************--><!--ottom ************************-->
     
  5. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    พระพิมพ์กรุวัดพระแก้ว นั้น มีมากมาย มีจนคนส่วนใหญ่เห็นแล้วเป็นของปลอม เท่าที่ผมได้ตามศึกษากับท่านอาจารย์ประถม อาจสาคร ท่านเองเคยบอกผมไว้ว่า พระกรุวัดพระแก้วนั้น มีไม่น้อยกว่าเลข 8 หลัก และผมได้ศึกษากับนายทหารที่ท่านได้ศึกษาพระชุดนี้เป็นระยะเวลามากกว่า 15 ปี พระกรุวัดพระแก้วมีมากจนไม่มีใครสนใจ แต่ก็มีคนอีกกลุ่มหนึ่ง ซึ่งตามเก็บพระกรุวัดพระแก้วเป็นหลักอีกเช่นกัน ซึ่งรวมทั้งผมด้วย บางคนเก็บกันเป็นหลักแสนองค์ก็มีหลายๆคน พระกรุวัดพระแก้วนี้ หากจะตามเก็บกันควรจะศึกษาให้ดีก่อน มีหลายตำราให้เลือกศึกษากัน แต่บางตำรานั้นข้อมูลก็มีการผิดพลาดให้เห็นอยู่ พระที่ติดพลอยนั้น เป็นพระที่สร้างขึ้นในพระราชพิธีหลวง ปี พ.ศ.2451 เป็นการเฉลิมฉลองพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวครองราชย์ครบ 40 ปี และเป็นการเฉลิมฉลองพระบรมรูปทรงม้า แต่ก็มีอีกเหมือนกันที่พระในพระราชพิธีหลวงปี พ.ศ.2451 ที่ไม่ได้ติดพลอย

    ส่วนพระที่มีลูกปัดนั้น เริ่มสร้างขึ้นในปี พ.ศ.2408ซึ่งเป็นพระราชพิธีหลวง เนื่องในวาระการเสด็จสวรรคตพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้า จวบจนพระราชพิธีหลวงปี พ.ศ.2451 บางองค์บางพิมพ์มีลูกปัดแถมมีพระธาตุด้วย ปัจจุบันมีของปลอมมาให้เห็นบ้างแล้ว พระพิมพ์ที่มีลูกปัดนั้น ผมเองเก็บไว้ไม่กี่องค์ ส่วนใหญ่จะเก็บที่มีลูกปัดและมีพระธาตุ ที่สร้างในปี พ.ศ.2408 และ ปีพ.ศ.2411 (ปี พ.ศ.2408 พระราชพิธีหลวงพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าท่านสวรรคต ส่วนปี พ.ศ.2411 พระราชพิธีหลวงพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวขึ้นครองราชย์)

    หากท่านใดมีพระกรุวัดพระแก้ว จะสอบถามได้นะครับ ถ้าผมทราบ ผมจะบอกให้ แต่ถ้าผมไม่ทราบ ผมก็จะบอกว่าไม่รู้หรือไม่ทราบ พระกรุวัดพระแก้วนั้น ท่านอาจารย์ประถม ท่านเคยพูดกับผมหรือลูกศิษย์ของท่านว่า เรียนกันไม่รู้จักจบสิ้น

    .
     
  6. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เนื่องจากทางกลุ่มลูกศิษย์ของท่านอาจารย์ประถม อาจสาครได้จัดทำหนังสือเกี่ยวกับพระพิมพ์ที่ท่านได้เคยสร้างไว้ หากท่านใดมีความประสงค์ที่จะได้ไว้เป็นสมบัติส่วนตัว ขอให้แจ้งผมได้โดยผ่านทางข้อความส่วนตัว ผมจะแจ้งหมายเลขบัญชีให้ทราบ หนังสือเล่มละ 200 บาท ค่าจัดส่งจำนวน 50 บาทต่อ 1 เล่ม หมดเขตการแจ้งความประสงค์วันอาทิตย์ที่ 22 ตุลาคม 2549 นี้ครับ หนังสือเล่มนี้ไม่มีวางขายตามท้องตลาดครับ

    ผมขอสงวนสิทธิ์สำหรับผู้ที่เข้ามาจองนะครับ หากว่าเป็นผู้ที่ผมไม่เคยเห็นชื่อมาก่อน ผมขอสงวนสิทธิ์ไม่รับจองครับ ต้องขออภัยด้วย



    ส่วนการจ่ายเงินค่าหนังสือนั้น วันสุดท้ายที่จะจ่ายเงินค่าหนังสือเป็นวันพุธที่ 25 ตุลาคม 2549ครับ

    สำหรับท่านที่ติดตามกระทู้นี้ ที่ไม่ได้เป็นสมาชิกเว็บไซด์พลังจิต ผมต้องขออภัยด้วยนะครับ ที่ไม่สามารถรับจองจากท่านๆได้ครับ ผมขอโทษนะครับ

    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ :::เพชร::: [​IMG]
    หนังสือเล่มนี้ ต่างจากเล่มสีน้ำเงินยังไงครับ

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    เล่มสีน้ำเงินก็คือ ชื่อหนังสือ วิเคราะห์พระพิมพ์สมเด็จฯ และพระสมเด็จท่านเจ้าคุณกรมท่า เจ้าพระยาภานุวงศ์มหาโกษาธิบดี (ท้วม บุญนาค) ซึ่งเขียนโดย ท่านปรัศนี ประชากร (เป็นนามปากกาของท่านอาจารย์ประถม อาจสาคร )

    แต่เล่มนี้ จะเป็นประวัติของท่านอาจารย์ประถม โดยย่อ จะมีเรื่องของพระพิมพ์ที่ท่านเคยสร้างไว้ จะมีเรื่องบทความที่เกี่ยวกับพระพิมพ์ (บางเรื่องผมนำมาลงให้อ่านกันในกระทู้นี้) บางเรื่องจะเป็นเรื่องที่ปรับปรุงจากของเดิมที่มีอยู่ จำนวนหน้านั้น ประมาณ 100 หน้ากว่าๆนิดหน่อยครับ มีรูปสี(รูปพระพิมพ์)ให้ชมกัน เป็นข้อมูลที่ผมคิดว่าไปหาจากที่อื่น จากเซียนเขียน ก็ไม่ตรงกับข้อมูลของท่านอาจารย์ประถมท่านเขียนครับ



    หากท่านใดโอนเงินเข้าบัญชีแล้ว กรุณาช่วยแจ้งผมผ่านข้อความส่วนตัวด้วยนะครับ ว่าโอนเงินวันไหน จำนวนเงินเท่าไรครับ ไม่ต้องscan ใบนำฝากก็ได้ครับ
    <!-- / message --><!-- sig -->
     
  7. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ไปอ่านเจอมาครับ ตรงกับเทศกาลกินเจ ก็เลยนำมาให้อ่านกัน ระวังสุขภาพกันด้วยครับ

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>สธ.แนะไม่อยาก “อ้วน” เลี่ยงอาหารมันจัดช่วงกินเจ</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>18 ตุลาคม 2549 15:22 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=350 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=350>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> สธ.เตือนกิจเจระมัดระวังสารพิษตกคางในผัก และอาหารเจที่มีรสชาติมันจัด เค็มจัด และแป้งมากเกินไป เพราะจะอ้วนได้ แนะควรเลือกกินอาหารเจที่ปรุงด้วยการต้ม นึ่ง ย่าง ยำ อบ และครบ 5 หมู่ในแต่ละมื้อ

    นายสง่า ดามาพงษ์ โฆษกกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ช่วงเทศกาลกินเจ ผู้บริโภคควรระมัดระวังสารพิษปนเปื้อนในผักและหลีกเลี่ยงอาหารเจที่มีรสชาติมันจัด เค็มจัด และแป้งมากเกินไป เนื่องจากการปรุงอาหารเจ วัตถุดิบหลัก คือ ผัก ซึ่งหากผู้ปรุงไม่คำนึงถึงความสะอาด โดยไม่ได้ล้างผักหรือล้างไม่สะอาดอาหารเจหม้อ หรือสำรับ นั้น ก็จะเต็มไปด้วยสารพิษ สารเคมี และเชื้อโรคปนเปื้อน อีกทั้งยังส่งผลต่อสุขภาพของผู้บริโภค ก่อให้เกิดโรคระบบทางเดินอาหารและสารเหล่านี้จะสะสมในร่างกาย อันจะนำไปสู่การเป็นโรคมะเร็งในระยะยาวได้

    ทั้งนี้ สิ่งที่ผู้บริโภคต้องให้ความสำคัญอีกประการหนึ่ง คือ การเลือกซื้ออาหารเจที่มีการวางจำหน่ายโดยทั่วไป เนื่องจากอาหารเจส่วนมากจะปรุงด้วยการผัดและทอดที่ใช้น้ำมันมากจึงกลายเป็นอาหารที่มีไขมันสูง หากกินทุกวัน วันละ 3 มื้อก็จะทำให้ร่างกายสะสมไขมัน น้ำหนักตัวเพิ่มและกลายเป็นโรคอ้วนในที่สุด เพื่อสุขภาพที่ดีจึงควรเลือกกินอาหารเจที่ปรุงด้วยการต้ม นึ่ง ย่าง ยำ อบ

    นายสง่า กล่าวต่อว่า เนื่องจากอาหารเจหลายเมนูจะมีรสเค็มจัด จึงควรหลีกเลี่ยง เพราะการกินเค็มจัดจะนำไปสู่โรคความดันโลหิตสูง ผู้ที่นิยมกินเจในช่วงเทศกาลดังกล่าว จึงควรเลือกกินอาหารเจที่หลากหลาย พอเหมาะกับความต้องการของร่างกาย และที่สำคัญ ควรกินให้ครบ 5 หมู่ในแต่ละมื้อ โดยเฉพาะอาหารที่ให้สารอาหารโปรตีน ที่ได้จากถั่วเมล็ดแห้งซึ่งต้องมั่นใจว่าวัตถุดิบที่นำมาปรุงแทนเนื้อสัตว์ต้องทำมาจากถั่วเมล็ดแห้งไม่ใช่จากแป้งที่นำดัดแปลงรูปร่างให้เหมือนกับเนื้อสัตว์ ทำให้เมื่อกินเข้าไปก็จะได้เฉพาะแป้งกับผักจึงมีผลทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นได้
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  8. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    อีกเช่นกัน ผมได้รับเมล์มา อ่านแล้วรู้สึกดีมาก ขอบคุณผู้เขียนและผู้ส่งเมล์มาให้ครับ

    *****************************************


    บางครั้งไม่ใช่ว่าสิ่งที่มันเป็นอยู่ที่จะต้องเปลี่ยนเท่านั้น
    อย่าคิดเปลี่ยนคนอื่นเพราะเค้าเองนั่นแหละที่รู้ว่าพร้อมที่จะเปลี่ยนแล้วหรือยัง
    จงเริ่มที่ตัวเราเอง

    *** รู้ไหมว่าหมาขี้เรื้อนมันคิดอะไร***

    ลูกชายนักธุรกิจใหญ่มีชื่อเสียงระดับประเทศคนหนึ่งเพิ่งสำเร็จการศึกษากลับมาจากเมืองนอก

    ยังไม่ทันทำงานอะไรเป็นชิ้นเป็นอันก็ถูกผู้เป็นแม่ขอร้องให้บวชเรียนเสียก่อน

    เพื่อเห็นแก่แม่..บัณฑิตใหม่หมาดๆจากเมืองนอกจึงบวชอย่างเสียไม่ได้

    เมื่อบวชที่วัดใหญ่ในกรุงเทพฯแห่งหนึ่งเสร็จแล้ว

    ผู้เป็นแม่จึงพาไปฝากให้จำพรรษาอยู่กับพระวิปัสสนาจารย์รูปหนึ่งที่วัดป่าแถวภาคอีสาน

    พระหนุ่มการศึกษาสูงมาจากตระกูลผู้ดีมีแต่ความสุขสบายเมื่อมาอยู่วัดป่ากว่าจะปรับตัวได้จึงใช้เวลานาน

    เป็นแรมเดือน

    แต่ก็นั่นแหละกว่าจะนิ่งก็ทำเอาพระร่วมวัดหลายรูปพลอยอิดหนาระอาใจไปตามๆกัน

    ปัญหาที่ทำให้พระทั้งวัดเหนื่อยหน่ายจนนึกระอาก็เพราะพระใหม่มีนิสัยชอบจับผิด

    และชอบอวดรู้ยกหู ชูหางตัวเองอยู่เป็นประจำ

    วันแรกที่มาอยู่วัดป่าก็นึกเหยียดพระเจ้าถิ่นทั้งหลายว่าไม่

    ได้รับการศึกษาสูงเหมือนอย่างตน ออกบิณฑบาตได้อาหารท้องถิ่นมาก็ทำท่าว่าจะฉันไม่ลง

    เห็นที่วัดใช้ตะเกียงน้ำมันก๊าดแทนไฟฟ้าก็วิพากษ์วิจารณ์เสียเป็นการใหญ่หาว่าล้าสมัยไม่รู้จักใช้เทคโนโลยี่

    ตอนหัวค่ำมีการทำวัตรสวดมนต์เย็นก็บ่นว่าท่านรองเจ้าอาวาสทำวัตรนานเหลือเกินกว่าจะสิ้นสุดยุติได้ก็นั่ง

    จนขาเป็นเหน็บชา

    ครั้นพอถึงเวรตัวเองล้างห้องน้ำเข้าบ้างก็ทำท่าจะล้างอย่างขอไปทีล้างไปบ่นไป

    ประเภทตูจบปริญญาโทมาจากเมืองนอกต้องมาเข้าเวรล้างห้องน้ำร่วมกับใครก็ไม่รู้

    โอ้ชีวิต! ความสำรวยหยิบโหย่งทำให้พระใหม่ไม่พอใจสิ่งนั้นสิ่งนี้ถือดีว่าตัวเองมีชาติตระกูลสูงมีการ

    ศึกษาสูงกว่าใครในวัดนั้น

    ผิวพรรณก็ดูสะอาดสะอ้านชวนเจริญศรัทธากว่าพระรูปไหนทั้งหมด

    มองตัวเองเปรียบกับพระรูปอื่นแล้วช่างรู้สึกว่าตัวเองเหนือกว่าทุกประตู

    นึกแล้วก็ยิ้มกระหยิ่มอยู่ในใจกลับเข้ากุฏิเมื่อไหร่ก็เอาปากกามาขีดเครื่องหมายกากบาทบนปฏิทินนับถอย

    หลังรอวันสึกด้วยใจจดจ่อ

    อยู่มาได้พักใหญ่พระใหม่อดีตนักเรียนนอกก็สังเกตเห็นว่าท่านเจ้าอาวาสวัดป่าแห่งนี้ไม่ค่อยพูดไม่ค่อยจา

    ซ้ำนานๆครั้งจะออกมาให้โอวาทกับลูกศิษย์เสียทีหนึ่ง

    วันๆไม่เห็นท่านทอะไรเอาแต่กวาดใบไม้เก็บขยะ ซักผ้าเอง (เณรน้อยก็มีไม่

    รู้จักใช้) สอนก็ไม่สอน

    การบริหารวัดก็มอบให้ท่านรองเจ้าอาวาสเป็นคนจัดการไปเสียทุกอย่างเห็นแล้ว

    เลยนึกร้อนวิชาเสนอให้ปรับโน่นลดนี่สารพัดที่ตัวเองเห็นว่าไม่เข้าท่าล้าสมัย

    รวมทั้งให้เสนอให้วัดใช้ไฟฟ้าแทนตะเกียงด้วยอีกข้อหนึ่งเพราะตนเห็นว่ายุคสมัยก้าวไกลมามากแล้วไม่

    ควรจะทำตนเป็นคนหลังเขาให้คนอื่นเขาดูถูก

    อีกหนึ่งในข้อวิจารณ์จุดด้อยของวัดทั้งหลายเหล่านั้นพระใหม่เสนอให้หลวงพ่อเจ้าอาวาสมีปฏิสัมพันธ์กับ

    พระลูกวัดให้มากขึ้นกว่านี้ สอนให้มากขึ้นเทศน์ให้มากขึ้น

    และแนะนำว่าคนระดับผู้บริหารไม่ควรจะทำงานอย่างการซักจีวรเองเป็นต้นด้วยตนเองควรจะกระจาย

    อำนาจมอบงานให้คนอื่นทำดีกว่า

    เย็นวันนั้นเป็นวันพระสิบห้าค่ำหลวงพ่อเจ้าอาวาสมานั่งทำวัตรที่โบสถ์ธรรมชาติกลางลานทรายด้วยท่านไม่

    ลืมที่จะหยิบข้อเสนอแนะจากพระใหม่มาอ่านให้พระหนุ่มสามเณรน้อยทั้งหลายฟังแต่ท่านไม่บอกว่าพระรูป

    ไหนเป็นคนเขียน

    อ่านจบแล้วหลวงพ่อก็ยิ้มอย่างมีเมตตาพลางหยิบไมโครโฟนขึ้นมา

    แล้วชี้ให้ภิกษุหนุ่มสามเณรน้อยทั้งหลายดูหมาขี้เรื้อนตัวหนึ่งที่นอนอยู่ใต้ม้าหินอ่อนตัวหนึ่งจากใต้ต้นอโศกที่อยู่

    ใกล้ๆ เธอทั้งหลายเห็นหมาขี้เรือนตัวนั้นหรือไม่

    เจ้าหมาตัวนั้นน่ะมันเป็นขี้เรื้อน คันไปทั้งตัวฉันเห็นมันวิ่งวุ่นไปมาทั้งวัน เดี๋ยวก็วิ่งไปนอนตรงนั้นเดี๋ยวก็

    ย้ายมานอนตรง

    นี้อยู่ที่ไหนก็อยู่ไม่ได้นานเพราะมันคัน

    แต่พวกเธอรู้ไหม เจ้าหมาตัวนั้นน่ะมันไปนอนที่ไหนมันก็นึกด่าสถานที่นั้นอยู่

    ในใจ หาว่าแต่ละที่ไม่ได้ดั่งใจตัวเองสักอย่างนอนที่ไหนก็ไม่หายคัน สถานที่

    เหล่านั้นช่างสกปรกสิ้นดี คิดอย่างนี้แล้วมันจึงวิ่งหาที่ที่ตัวเองนอนแล้วจะไม่คัน

    แต่หาเท่าไหร่มันก็หาไม่พบสักที เลยต้องวิ่งไปทางนี้ทางโน้นอยู่ทั้งวัน

    เจ้าหมาโง่ตัวนั้นมันหารู้สักนิดไม่ว่าเจ้าสาเหตุแห่งอาการคันนั้นหาใช่เกิดจากสถานที่เหล่านั้นแต่อย่างใด

    ไม่แต่สาเหตุแห่งอาการคันอยู่ที่โรคของตัวมันเองนั่นต่างหาก

    พูดจบแล้วหลวงพ่อก็วางไมโครโฟนลงเป็นสัญญาณให้รู้ว่าได้เวลาภาวนาหลังการทำวัตร สวดมนต์เย็น

    แล้วขณะที่ทุกรูปนั่งหลับตาภาวนาอย่างสงบนั้นในใจของพระใหม่กลับร้อนเร่าผิดปกตินอกสงบแต่ในวุ่นวาย

    นึกอย่างไรก็มองเห็นตัวเองไม่ต่างไปจากหมาขี้เรื้อนที่หลวงพ่อชี้ให้ดู

    ยิ่งนั่งสมาธินานๆ ยิ่งคันคะเยอในหัวใจทั้งอายทั้งสมเพชตัวเอง

    นับแต่วันนั้นเป็นต้นมาพระใหม่อดีตนักเรียนนอกก็เปลี่ยนไปเป็นคนละคน

    จากคนพูดมากกลายเป็นคนพูดน้อย จากคนที่หยิ่งยโสกลายเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน

    จากคนที่ชอบจับผิดคนอื่นกลายเป็นคนที่หันมาจับผิดตัวเอง

    เมื่อออกพรรษาแล้วโยมแม่มาขอให้ลาสิกขาเพื่อกลับไปสืบต่อธุรกิจจากครอบครัวท่านก็ยังไม่ยอมสึก

    " อาตมาเป็นหมาขี้เรื้อนขออยู่รักษาโรคจนกว่าจะหายคันกับครูบาอาจารย์ที่นี่อีกสักหนึ่งพรรษา"

    โยมแม่ได้ฟังแล้วก็ได้แต่ยกมืออนุโมทนาสาธุการกราบลาพระลูกชาย

    แล้วก็เดินออกจากวัดไปขึ้นรถพลางนึกถามตัวเองอยู่ในใจว่าคำว่า

    หมาขี้เรื้อน ของพระลูกชายหมายความว่าอย่างไรกันแน่หนอ

    ถ้าเรา ยังเป็น โรค อยู่ในใจ ไม่ว่า เราย้ายงานไปที่ไหน เราก็ บ่นว่าสถานที่เหล่านั้นสกปรก สิ้นดี

    ***********************************************************

    ขอบุญจากธรรมทานนี้จงถึงแก่นายเวรและผู้ปกปักรักษาดูแลช่วยเหลือผมและครอบครัวที่มาถึงตัวทุกภพภูมิ

    ขอบุญนี้จงเป็นปัจจัยให้ข้าพเจ้าถึงพระนิพพานในชาติปัจจุบันหากไม่ถึงเพียงใดให้ขอให้คำว่าไม่มี ไม่รู้ใน

    สิ่งที่ดี จงอย่าได้ปรากฏแก่ข้าพเจ้า ขอให้เกิดในภพภูมิเขต ประเทศที่มีพระพุทธศาสนาประดิษฐานอย่าง

    มั่นคง และได้ศึกษาพระธรรมได้อย่างเข้าใจถ่องแท้ลึกซึ้ง ตลอดจนกว่าจะเข้าพระนิพพานด้วยเทอญ
    ขอท่านพระยายมราชจงป็นสักขีพยานในการบำเพ็ญบุญของผมในครั้งนี้ด้วยเทอญ
     
  9. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    อีกเช่นกัน ผมได้รับเมล์มา อ่านแล้วรู้สึกดีมาก ขอบคุณผู้เขียนและผู้ส่งเมล์มาให้ครับ

    Banana...........

    ถ้าต้องการให้ระดับพลังงาน ที่หย่อนยานลงให้กลับคืนมาอย่างรวดเร็ว ไม่มีอาหารว่างใดดีไปกว่า กล้วย

    อุดมด้วยน้ำตาลธรรมชาติ 3 ชนิด
    คือ ซูโครส ฟรุคโทส และ กลูโคส รวมกับเส้นใยและกากอาหาร กล้วยจะช่วยเสริมเพิ่มพลังงานให้กับร่าง


    กายทันทีทันใด จากงานวิจัยพบว่ากินกล้วยแค่ 2 ผล ก็สามารถเพิ่มพลังงานให้อย่างเพียงพอ กับการ

    ออกกำลังกายอย่างเต็มที่ได้นานถึง 90 นาที จึงไม่น่าแปลกใจที่กล้วยเป็นผลไม้อันดับหนึ่งของนักกีฬา

    ชั้นนำระดับโลก ไม่ใช่เพียงแค่เพิ่มพลังงานเท่านั้นยังช่วยเอาชนะ และป้องกันโรคต่าง ๆ ที่จะเกิดกับร่าง

    กายได้อีกหลายโรค จึงควรรับประทานทุกวัน

    1. โรคโลหิตจาง ในกล้วยมีธาตุเหล็กสูงจะเป็นตัวช่วยกระตุ้นการผลิตฮีโมโกลบินในเลือด และจะช่วยใน

    กรณีที่มีสภาวะขาดกำลัง หรือภาวะโลหิตจาง

    2. โรคความดันโลหิตสูง มีธาตุโปรแตสเซียมสูงสุด แต่มีปริมาณเกลือต่ำ ทำให้เป็นอาหารที่สมบูรณ์แบบที่

    สุดที่จะช่วยความดันโลหิตมาก อย.ของอเมริกา ยินยอมให้อุตสาหกรรมการปลูกกล้วยสามารถ โฆษณาได้

    ว่า กล้วยเป็นผลไม้พิเศษช่วยลดอันตรายอันเกิดจากเรื่องความดันโลหิตหรือโรคเส้นเลือดฝอยแตก

    3. กำลังสมอง นักเรียน 200 คน ที่โรงเรียน Twickenham ได้รับผลดีจากการสอบตลอดปีนี้ ด้วยการรับ

    ประทานกล้วย ในมื้ออาหารเช้า ตอนพัก และมื้ออาหารกลางวันทุกวัน เพื่อช่วยส่งเสริมกำลังของสมองใน

    พวกเขา จากงานวิจัยแสดง ให้เห็นว่าปริมาณโปรแตสเซียมที่มีอยู่เต็มเปี่ยมในกล้วยสามารถให้นักเรียนมี

    การตื่นตัวในการเรียนมากขึ้น

    4. โรคท้องผูก ปริมาณเส้นใยและกากอาหารที่มีอยู่ในกล้วยช่วยให้การขับถ่ายเป็นปกติ และยังช่วยแก้

    ปัญหาโรคท้องผูกโดยไม่ต้องกินยาถ่ายเลย

    5. โรคความซึมเศร้า จากการสำรวจเร็ว ๆ นี้ ในจำนวนผู้ที่มีความทุกข์เกิดจากความซึมเศร้าหลายคนจะมี

    ความรู้สึกที่ดีขึ้นมากหลังการกินกล้วย เพราะมีโปรตีนชนิดที่เรียกว่า try potophan เมื่อสารนี้เข้าไปในร่าง

    กายจะ ถูกเปลี่ยนเป็น serotonin เป็นที่รู้จักกันดีว่าเป็นตัวผ่อนคลายปรับปรุงอารมณ์ให้ดีขึ้นได้ คือทำให้

    เรารู้สึกมีความสุขเพิ่มขึ้นนั่นเอง

    6. อาการเมาค้าง วิธีที่เร็วที่สุดที่จะแก้อาการเมาค้าง คือ การดื่มกล้วยปั่นกับนมและน้ำผึ้ง กล้วยจะทำให้

    กระเพาะของเราสงบลง ส่วนน้ำผึ้งจะเป็นตัวช่วยหนุนเสริมปริมาณน้ำตาลในเส้นเลือดที่หมดไปในขณะที่

    นมก็ช่วย ปรับระดับของเหลวในร่างกายของเรา

    7. อาการเสียดท้อง กล้วยมีสารลดกรดตามธรรมชาติที่มีผลต่อร่างกายของเรา ถ้าปัญาเกี่ยวกับอาการ

    เสียด ท้อง ลองกินกล้วยสักผล คุณจะรู้สึกผ่อนคลายจากอาการเสียดท้องได้

    8. ความรู้สึกไม่สบายในตอนเช้า การกินกล้วยเป็นอาหารว่างระหว่างมื้ออาหาร จะรักษาระดับน้ำตาลใน

    เส้นเลือดให้คงที่ เพื่อหลีกเลี่ยงความรู้สึกไม่สบายในตอนเช้า

    9. ยุงกัด ก่อนใช้ครีมทาแก้ยุงกัด ลองใช้ด้านในของเปลือกกล้วยทาบริเวณที่ถูกยุงกัด มีหลายคนพบอย่าง

    มหัศจรรย์ว่า เปลือกกล้วยสามารถแก้เม็ดผื่นคันที่เกิดจากยุงกัดได้

    10. ระบบ ป ระสาท ในกล้วยมีวิตามินบี สูงมาก ช่วยทำให้ระบบประสาทสงบลงได้ โรคน้ำหนักเกินและ

    โรคที่ เกิดในที่ทำงาน จากการศึกษาของสถาบันจิตวิทยาในออสเตรียค้นพบว่า ความกดดันในที่ทำงาน

    เป็นเหตุนำไปสู่ การกินอย่างจุบจิบ เช่นอาหารพวกช็อคโกแล็ต และอาหารประเภททอดกรอบต่าง ๆ ใน

    จำนวนคนไข้ 5,000 คน ในโรงพยาบายต่าง ๆ นักวิจัยพบว่า ส่วนใหญ่เป็นโรคอ้วนมากเกินไป และส่วน

    ใหญ่ทำงานภายใต้ความกดดันสูง มาก จากรายงานสรุปว่า เพื่อหลีกเลี่ยงการตื่นตระหนกและนำไปสู่การ

    กินอาหารอย่างบ้าคลั่ง เราจึงต้องควบคุม ปริมาณน้ำตาลในเส้นเลือด ด้วยการกินอาหารว่างที่มีปริมาณ

    คาร์โบโฮเดรตสูง เช่น กินกล้วยทุก 2 ชั่วโมง เพื่อรักษาปริมาณน้ำตาลให้คงที่ตลอดเวลา ไม่ต้องคำนึงถึง

    เรื่อยยา การกินกล้วยที่มีวิตามินบี 6 ซึ่งประกอบด้วย สารควบคุมระดับกลูโคสที่สามารถมีผลต่ออารมณ์ได้

    11. โรคลำไส้เป็นแผล กล้วยเป็นอาหารที่แพทย์ใช้ควบคุม เพื่อต้านทานการเกิดโรคลำไส้เป็นแผล เพราะ

    เนื้อของกล้วยมีความอ่อนนิ่มพอดี เป็นผลไม้ชนิดเดียวที่ทานได้ง่าย ๆ ไม่ยุ่งยากสำหรับผู้ที่มีปัญหาเรื่องโรค

    ลำไส้เรื้อรัง และกล้วยยังมีสภาพเป็นกลางไม่เป็นกรด ทำให้ลดการระคายเคือง และยังไปเคลือบผนังลำไส้

    และ กระเพาะอาหารด้วย

    12. การควบคุมอุณหภูมิของร่างกาย ในวัฒนธรรมของหลายแห่งเห็นว่ากล้วย คือผลไม้ที่สามารถทำให้

    อุณหภูมิเย็นลงได้ทั้งทางร่างกายและจิตใจ โดยเฉพาะอุณหภูมิของอารมณ์ของคนที่เป็นแม่ที่ชอบคาดหวัง

    ตัวอย่างในประเทศไทย จะให้ผู้หญิงที่กำลังตั้งครรภ์รับประทานกล้วยทุกวันเพื่อให้แน่ใจว่า ทกรกที่เกิดมา

    จะมีอุณหภูมิเย็น
     
  10. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    จากกระทู้
    เรื่องราวของพระศรีฯ ที่คนทั่วๆไปไม่ค่อยรู้
    http://www.palungjit.org/board/showthread.php?p=349771#post349771

    <TABLE class=tborder id=post349381 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 0px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid">วันนี้, 12:33 PM <!-- / status icon and date --></TD><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 0px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid" align=right> #668 </TD></TR><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175>Aunyasit<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_349381", true); </SCRIPT>
    สมาชิก

    [​IMG]

    เข้ามาครั้งสุดท้ายเมื่อ: วันนี้ 03:00 PM
    วันที่สมัคร: Aug 2005
    ข้อความ: 264 <!-- Start Post Thank You Hack -->
    Thanks: 0
    Thanked 1,045 Times in 228 Posts <!-- End Post Thank You Hack -->
    พลังการให้คะแนน: 146 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]


    </TD><TD class=alt1 id=td_post_349381 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><!-- message -->คุณ sithiphong

    หลวงปู่ใหญ่กับพระครูเทพโลกอุดรนั้นเป็นคนละอย่างกัน ท่านปรารถนาคนละประเภทกันแต่เกี่ยวข้องกันอยู่
    พระครูเทพโลกอุดรนั้นท่านใช้อยู่ถึง 32 ร่าง หรือสามารถแยกได้ 32 ร่างที่ต่างแบบกันนั่นเอง ท่านจะใช้เฉพาร่างที่เป็นพระภิกษุ สามเณร เด็ก คนแก่ คนบ้าคนใบ้ สำหรับร่างที่เป็นผู้หญิงจะไม่มีโดยเด็ดขาด

    สำหรับหลวงปู่ใหญ่ท่านก็สามารถแสดงทางบุญญฤทธิ์ได้เช่นเดียวกันกับพระครูเทพโลกอุดร ผู้ที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใกล้ชิดจริงๆจะไม่สามารถแยกออกได้ว่าใครเป็นใคร เพราะถ้าเป็นหลวงปู่ใหญ่นั้นท่านจะมีกงจักรในฝ่าเท้าครับ ส่วนหลวงปู่เทพโลกอุดรนั้นท่านจะมีฝ่าพระบาทนิ่มและเสมอกัน มีปานแดงเป็นสัญญลักษณ์ ผมมีโอกาสได้พบเจอกายเนื้อท่านมาแล้วทั้งสองรูป และก็ค่อนข้างจะใกล้ชิดด้วย วันนี้ท่านก็ฝากรุ่นน้องมาบอกว่าให้ผมปฏิบัติภาวนาบางประการเพื่อติดต่อทางจิตกับท่าน ที่จริงท่านบอกมาประมาณสองเดือนแล้วแต่ผมขี้เกียจทำ ก็คิดว่าถึงกาลเวลาที่จะต้องติดต่อศึกษากับครูบาอาจารย์เป็นเรื่องเป็นราวซะที
    ถ้าเป็นผู้ที่เกี่ยวข้องกับสายโลกอุดรโดยตรง ก็จะสามารถเข้าใจศาสน์ศิลป์พิเศษแบบวิชาดอกไม้แดงได้ด้วยเพราะเป็นวิชาสำคัญของสายโลกอุดร
    </TD></TR></TBODY></TABLE>


    <TABLE class=tborder id=post349447 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 0px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid">วันนี้, 02:03 PM <!-- / status icon and date --></TD><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 0px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid" align=right> #669 </TD></TR><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175>sithiphong<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_349447", true); </SCRIPT>
    สมาชิก
    สมาชิกยอดนิยม

    [​IMG]

    เข้ามาครั้งสุดท้ายเมื่อ: วันนี้ 08:00 PM
    วันที่สมัคร: Dec 2005
    ข้อความ: 6,286 <!-- Start Post Thank You Hack -->
    Thanks: 3,866
    Thanked 18,985 Times in 3,390 Posts <!-- End Post Thank You Hack -->
    พลังการให้คะแนน: 2566 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]


    </TD><TD class=alt1 id=td_post_349447 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><!-- message -->อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ Aunyasit [​IMG]
    คุณ sithiphong

    หลวงปู่ใหญ่กับพระครูเทพโลกอุดรนั้นเป็นคนละอย่างกัน ท่านปรารถนาคนละประเภทกันแต่เกี่ยวข้องกันอยู่
    พระครูเทพโลกอุดรนั้นท่านใช้อยู่ถึง 32 ร่าง หรือสามารถแยกได้ 32 ร่างที่ต่างแบบกันนั่นเอง ท่านจะใช้เฉพาร่างที่เป็นพระภิกษุ สามเณร เด็ก คนแก่ คนบ้าคนใบ้ สำหรับร่างที่เป็นผู้หญิงจะไม่มีโดยเด็ดขาด

    สำหรับหลวงปู่ใหญ่ท่านก็สามารถแสดงทางบุญญฤทธิ์ได้เช่นเดียวกันกับพระครูเทพโลกอุดร ผู้ที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใกล้ชิดจริงๆจะไม่สามารถแยกออกได้ว่าใครเป็นใคร เพราะถ้าเป็นหลวงปู่ใหญ่นั้นท่านจะมีกงจักรในฝ่าเท้าครับ ส่วนหลวงปู่เทพโลกอุดรนั้นท่านจะมีฝ่าพระบาทนิ่มและเสมอกัน มีปานแดงเป็นสัญญลักษณ์ ผมมีโอกาสได้พบเจอกายเนื้อท่านมาแล้วทั้งสองรูป และก็ค่อนข้างจะใกล้ชิดด้วย วันนี้ท่านก็ฝากรุ่นน้องมาบอกว่าให้ผมปฏิบัติภาวนาบางประการเพื่อติดต่อทางจิตกับท่าน ที่จริงท่านบอกมาประมาณสองเดือนแล้วแต่ผมขี้เกียจทำ ก็คิดว่าถึงกาลเวลาที่จะต้องติดต่อศึกษากับครูบาอาจารย์เป็นเรื่องเป็นราวซะที
    ถ้าเป็นผู้ที่เกี่ยวข้องกับสายโลกอุดรโดยตรง ก็จะสามารถเข้าใจศาสน์ศิลป์พิเศษแบบวิชาดอกไม้แดงได้ด้วยเพราะเป็นวิชาสำคัญของสายโลกอุดร

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    ร่างที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรที่ท่านใช้ ไม่จำเป็นเสมอไปนะครับ ท่านเองเป็นอทิสมันกาย หลักสูตรเบื้องต้นที่ท่านสอนลูกศิษย์นั้น เป็นเรื่องจิต เรื่องการแปรธาตุ ดังนั้นร่างที่หลวงปุ่ท่านใช้จึงไม่จำเป็นเสมอไปครับ ท่านอาจารย์ประถม อาจสาครท่านเองก็ได้เจอหลวงปู่ในสมาธิครบทั้ง 5 องค์ พระหลานชายท่าน เห็นหลวงปู่ออกมาจากรูปทั้ง 5 องค์เช่นกันและสามารถจับต้องด้วยกายเนื้อได้ด้วย ส่วนท่านพันเอกชม สุคันธรัตน์นั้น ท่านเองก็ได้เรียนและผ่านหลักสูตรเบื้องตนแล้วเช่นกัน ส่วนวิชาอื่นๆนั้น ผมขอไม่นำมาลงนะครับ เป็นเรื่องอจินไตยเกินไปครับ

    .
    <!-- / message --><!-- sig --></TD></TR></TBODY></TABLE>


    <TABLE class=tborder id=post349482 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 0px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid">วันนี้, 03:00 PM <!-- / status icon and date --></TD><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 0px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid" align=right> #670 </TD></TR><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175>Aunyasit<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_349482", true); </SCRIPT>
    สมาชิก

    [​IMG]

    เข้ามาครั้งสุดท้ายเมื่อ: วันนี้ 03:00 PM
    วันที่สมัคร: Aug 2005
    ข้อความ: 264 <!-- Start Post Thank You Hack -->
    Thanks: 0
    Thanked 1,045 Times in 228 Posts <!-- End Post Thank You Hack -->
    พลังการให้คะแนน: 146 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]


    </TD><TD class=alt1 id=td_post_349482 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><!-- message -->คุณ sithiphong

    เรื่องของหลวงปู่ใหญ่กับหลวงปู่เทพโลกอุดรนั้น ใครสัมผัสท่านแบบไหนก็ควรจะเชื่อตามแนวทางนั้น เพราะเป็นการบ่งบอกว่ามีบุพกรรมเกี่ยวข้องกับท่านเหล่านั้นมาอย่างไร
    เรื่องของพันเอกชม ก็เคยศึกษามาเช่นกัน แต่คิดว่ายังไม่ถึงขั้นของอาจารย์ประกาศ กิ่งโพธิ์ ซึ่งเป็นศิษย์หลวงพ่อยีครับ ที่จริงลูกศิษย์ปู่ใหญ่กับหลวงปู่เทพโลกอุดรที่เป็นฆราวาสเก่งๆมีอีกหลายคน เพราะผู้ที่เข้าถึงความเป็นโลกอุดรที่เป็นฆราวาสก็มีเช่นกันครับ
    <!-- / message --></TD></TR></TBODY></TABLE>


    <TABLE class=tborder id=post349488 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 0px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid">วันนี้, 03:10 PM <!-- / status icon and date --></TD><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 0px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid" align=right> #671 </TD></TR><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175>sithiphong<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_349488", true); </SCRIPT>
    สมาชิก
    สมาชิกยอดนิยม

    [​IMG]

    เข้ามาครั้งสุดท้ายเมื่อ: วันนี้ 08:00 PM
    วันที่สมัคร: Dec 2005
    ข้อความ: 6,286 <!-- Start Post Thank You Hack -->
    Thanks: 3,866
    Thanked 18,985 Times in 3,390 Posts <!-- End Post Thank You Hack -->
    พลังการให้คะแนน: 2566 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]


    </TD><TD class=alt1 id=td_post_349488 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><!-- message -->อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ Aunyasit [​IMG]
    คุณ sithiphong

    เรื่องของหลวงปู่ใหญ่กับหลวงปู่เทพโลกอุดรนั้น ใครสัมผัสท่านแบบไหนก็ควรจะเชื่อตามแนวทางนั้น เพราะเป็นการบ่งบอกว่ามีบุพกรรมเกี่ยวข้องกับท่านเหล่านั้นมาอย่างไร
    เรื่องของพันเอกชม ก็เคยศึกษามาเช่นกัน แต่คิดว่ายังไม่ถึงขั้นของอาจารย์ประกาศ กิ่งโพธิ์ ซึ่งเป็นศิษย์หลวงพ่อยีครับ ที่จริงลูกศิษย์ปู่ใหญ่กับหลวงปู่เทพโลกอุดรที่เป็นฆราวาสเก่งๆมีอีกหลายคน เพราะผู้ที่เข้าถึงความเป็นโลกอุดรที่เป็นฆราวาสก็มีเช่นกันครับ

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    ลูกศิษย์ของหลวงปู่ยีนั้น เพื่อนผมเองก็เป็นลูกศิษย์ของพระสงฆ์องค์หนึ่งที่ท่านเป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่ยี วัดดงตาก้อนทอง หลวงปู่ยีนั้น ท่านเป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่พระอุตรเถระเจ้าครับ

    พระสงฆ์องค์นี้ ท่านเคยบอกกับเพื่อนผมว่า หลวงปู่ยีนั้น บางวันท่านเหาะเข้ามาทางหน้าต่าง ท่านถือตาลปัดมาด้วย หลวงปู่ยีท่านจะมาสนทนาธรรมกับลูกศิษย์ของท่านเสมอครับ

    .
    <!-- / message --><!-- sig --></TD></TR></TBODY></TABLE>


    <TABLE class=tborder id=post349490 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 0px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid">วันนี้, 03:11 PM <!-- / status icon and date --></TD><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 0px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid" align=right> #672 </TD></TR><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175>sithiphong<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_349490", true); </SCRIPT>
    สมาชิก
    สมาชิกยอดนิยม

    [​IMG]

    เข้ามาครั้งสุดท้ายเมื่อ: วันนี้ 08:00 PM
    วันที่สมัคร: Dec 2005
    ข้อความ: 6,286 <!-- Start Post Thank You Hack -->
    Thanks: 3,866
    Thanked 18,985 Times in 3,390 Posts <!-- End Post Thank You Hack -->
    พลังการให้คะแนน: 2566 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]


    </TD><TD class=alt1 id=td_post_349490 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><!-- message -->อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ Aunyasit [​IMG]
    คุณ sithiphong

    เรื่องของหลวงปู่ใหญ่กับหลวงปู่เทพโลกอุดรนั้น ใครสัมผัสท่านแบบไหนก็ควรจะเชื่อตามแนวทางนั้น เพราะเป็นการบ่งบอกว่ามีบุพกรรมเกี่ยวข้องกับท่านเหล่านั้นมาอย่างไร
    เรื่องของพันเอกชม ก็เคยศึกษามาเช่นกัน แต่คิดว่ายังไม่ถึงขั้นของอาจารย์ประกาศ กิ่งโพธิ์ ซึ่งเป็นศิษย์หลวงพ่อยีครับ ที่จริงลูกศิษย์ปู่ใหญ่กับหลวงปู่เทพโลกอุดรที่เป็นฆราวาสเก่งๆมีอีกหลายคน เพราะผู้ที่เข้าถึงความเป็นโลกอุดรที่เป็นฆราวาสก็มีเช่นกันครับ

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    ลูกศิษย์ของหลวงปู่ยีนั้น เพื่อนผมเองก็เป็นลูกศิษย์ของพระสงฆ์องค์หนึ่งที่ท่านเป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่ยี วัดดงตาก้อนทอง หลวงปู่ยีนั้น ท่านเป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่พระอุตรเถระเจ้าครับ

    พระสงฆ์องค์นี้ ท่านเคยบอกกับเพื่อนผมว่า หลวงปู่ยีนั้น บางวันท่านเหาะเข้ามาทางหน้าต่าง ท่านถือตาลปัดมาด้วย หลวงปู่ยีท่านจะมาสนทนาธรรมกับลูกศิษย์ของท่านเสมอครับ จริงๆแล้วผมเองจะไม่ลงเนื่องจากว่าเป็นเรื่องอจินไตย แต่เห็นคุณอัญญาสิทธิ์ คุยในเรื่องหลวงปู่ยีครับ
    .
    <!-- / message --><!-- sig --></TD></TR></TBODY></TABLE>
    .
     
  11. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ผมมีคำถามจะมาถามนะครับ แต่คำถามนี้ผมตั้งกติกาไว้คือ ให้มาตอบในกระทู้ พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้... เท่านั้น โดยผู้ตอบ 10 ท่านแรกที่ตอบ ผมมีพระผงยาจินดามณี(สีดำ) ที่เป็นประคะแนนขอบชิดซุ้มให้ 10 องค์ โดยคุณนักเดินทางเป็นผู้ส่งพระให้ครับ

    มีผู้ชายอยู่คนหนึ่ง มีนามว่านายเป็นเลิศ นายเป็นเลิศนี้ได้อดน้ำและอาหารมาเป็นเวลา 3 วันแล้ว และหิวเป็นอย่างมาก ได้บ่นกับแม่ว่า คุณแม่ครับผมหิวข้าวและหิวน้ำมากเลยครับ เมื่อแม่นายเป็นเลิศได้ยินดังนั้น จึงรีบเข้าไปในครัว ไปหุงข้าวและทำกับข้าวมา 5 อย่าง แล้วจึงรีบยกข้าว สำรับกับข้าวพร้อมทั้งน้ำเย็นๆ ไปตั้งไว้ตรงหน้านายเลิศ เมื่อนายเลิศเห็นข้าว สำรับกับข้าว อีกทั้งน้ำเย็นๆ จึงได้บอกกับแม่ว่า ผมยังไม่กินครับ ผมจะกินข้าว สำรับกับข้าวและน้ำเย็นๆ ในอนาคตครับ


    คุณมีความคิดเห็นอย่างไร คำตอบผมขอไม่น้อยกว่า 5 บรรทัดนะครับ โชคดีทุกท่านครับ เข้ามาตอบกันไวๆคร๊าบบบบบบบบบบบบบบบบบบบ

    แต่อย่าลืมไปทำบุญ(ผาติกรรม)ให้กับวัดหรือคณะสงฆ์ด้วยนะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 ตุลาคม 2006
  12. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948

    แบบว่าแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน และอยากแจกพระม๊ากมากคร๊าบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบ
    .
     
  13. littlelucky

    littlelucky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    295
    ค่าพลัง:
    +1,938
    ความเห็นครับ

    ผมขอเสนอความเห็นว่า
    นายเลิศ้ตระหนักถึง ความทุกข์ในอนาคตอย่างเดียว คือ ความกระหายและความหิว นั้นจะเกิดขึ้นได้ในอนาคตแน่นอนเปรียบได้กับการเจ็บป่วย และตาย จึงได้หาทางป้องกันความกระหายและความหิวนั้น โดยบอกแม่ของตนให้จัดเตรียมข้าว สำรับกับข้าวและน้ำเย็นๆ เพื่อรับประทาน แต่นายเลิศลืม ความหิว กระหายน้ำในปัจจุบัน ทำให้แทนที่นายเลิศจะรับประทานอาหารที่เตรียมไว้ทันทีเพื่อละความหิวกระหายน้ำในปัจจุบันเสียก่อน กลับกล่าวว่าจะรับประทานน้ำและอาหารนั้นในอนาคต เพราะ ละเลยไม่พยายามทำให้ทุกข์ในปัจจุบันอันเกิดจากการกระหายน้ำและความหิวของตน หายไป หมดไป เสียก่อน
    ซึ่งเป็นวิธีการที่ไม่ถูกต้อง ซึ่งทางที่ดี นายเลิศควรกินอาหารนั้น เพื่อตนเองหายจากความกระหายน้ำและความหิวไปก่อน เพื่อให้ทุกข์ในปัจจุบันดับไป และควรหาจัดเตรียมป้องกันล่วงหน้าเพื่อไม่ให้เกิดความทุกข์อันเกิดจากความกระหายน้ำและความหิวได้เกิดขึ้นใหม่ เช่น การจัดเตรียมกระติกน้ำที่ใส่น้ำเต็มเพราะ ความกระหายน้ำ เป็นทุกข์ที่น่าจะเกิดขึ้นได้แน่นอน ฉะนั้นจึงควรตระเตรียมล่วงหน้าไม่ใช่ หิวกระหายแล้วค่อยไปหาซื้อกระติกน้ำ หรือ ค่อยขุดบ่อน้ำ และ จัดเตรียมหาอาหารไว้พร้อมสำหรับเมื่อหิวเพราะ ความหิวอาหาร ก็เป็นทุกข์ที่จะเกิดขึ้นได้แน่นอน เช่นกัน ้ไม่ใช่ค่อยมาปลูกข้าว ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวมาควรเดินอยู่ในทางสายกลาง ครับ

    (i)
    พยายามเพื่อให้ทุกข์ที่มีอยู่ดับไป และเพื่อไม่ให้ทุกข์ใหม่เกิดขึ้น
    ความทุกข์ในอนาคต อันได้แก่ เจ็บ และตาย นั้นเป็นสิ่งที่น่าจะเกิดขึ้นได้แน่นอน(i)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 ตุลาคม 2006
  14. guawn

    guawn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    10,642
    ค่าพลัง:
    +42,113
    มีความสุขกับการกินเจอย่างปลอดภัย ด้วย 4 คุณค่าของการกินเจให้ดีต่อสุขภาพ
    <HR style="COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- / icon and title --><!-- message --><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>


    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=right border=0><TBODY><TR><TD width=5>[​IMG]</TD><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=150 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle>คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น</TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle width=150>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    * * * * *

    กินเจปีนี้...กูรเมต์มาร์เก็ต ดิ เอ็มโพเรียม-พารากอน ดีพาร์ทเม้นท์ สโตร์ สรรหาวิธีการกินเจ เพื่อคนรุ่นใหม่ และทันสมัยใส่ใจในสุขภาพ ให้มีความสุขกับการกินเจอย่างปลอดภัย ด้วย 4 คุณค่าของการกินเจให้ดีต่อสุขภาพ

    1. บริโภคผัก ผลไม้ และธัญพืช ให้ดีต้องครบ 5 สี เพื่อให้เกิดความสมดุลและให้คุณค่าสูงสุดและช่วยให้อวัยวะหลักสำคัญภายในทำงานได้ดียิ่งขึ้น ได้แก่

    - สีแดง แดงส้ม แสด ชมพู อาทิ มะเขือเทศ พริกสุก แครอท มะละกอ ส้ม แตงโม ถั่วแดง ฯลฯ
    - สีดำ น้ำเงิน ม่วง อาทิ มะเขือม่วง เผือก เห็ดหูหนู ละมุด ลูกหว้า องุ่น ถั่วดำ ฯลฯ
    - สีเหลือง อาทิ ฟักทอง ข้าวโพด พริกเหลือง มะม่วง กล้วย ทุเรียน ถั่วเหลือง ฯลฯ
    - สีเขียว อาทิ ผักคะน้า ถั่วฝักยาว ผักบุ้ง ฝรั่ง ชมพู่ มะเฟือง ถั่วเขียว ฯลฯ
    - สีขาว อาทิ หัวผักกาดขาว ผักกาดขาว กะหล่ำดอก มะพร้าว น้อยหน่า ถั่วขาวหรือถั่วลิสง ฯลฯ

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=left border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=133 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle>คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น</TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle width=133>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD width=5>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>2. บริโภคผักปลอดสารจากโครงการหลวง ครั้งแรกมาของการนำผักมาจัดเป็นสลัดบาร์ให้เลือกตักในแบบฉบับที่ชื่นชอบ ประกอบด้วย ผักสดกว่า 28 ชนิด คือ “ผักออร์แกนิค” อาทิ กะหล่ำปลี ยอดฟักซาโยเต้ กะหล่ำปลีรูปหัวใจ และผักกาดหวาน “ผักไฮโดรโพนิค” อาทิ บัตเตอร์เฮด โอ๊คลีฟแดง โอ๊คลีฟเขียว แรดิชชิโอ เรดโครอล “ผักปลอดภัย” อาทิ ผักกาดหอมห่อ แครอท บร็อคโคลี่ เบบี้แครอท ฟักทองญี่ปุ่น แตงกวาญี่ปุ่น ฯลฯ และธัญพืชประเภทถั่ว พร้อมน้ำสลัดเจสูตรใหม่ 3 รส ที่คิดค้นอย่างเป็นพิเศษจาก ฟักทอง อะโวคาโด มะเขือเทศ นอกจากนี้ ยังมี ผัก-ผลไม้ ปลอดภัยและ อาหารแห้งต่างๆ จากเยาวราช ให้เลือกอีกกว่า 1,000 รายการ

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=right border=0><TBODY><TR><TD width=5>[​IMG]</TD><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=150 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle>คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น</TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle width=150>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>3. สุดยอดซุปเจ สำหรับ Soup Lover สดชื่นกับสุดยอดซุปยอดนิยม ในช่วงเทศกาลกินเจเชฟมือหนึ่งของเราคิดค้นสูตรใหม่ เพื่อต้อนรับเทศกาลกินเจโดยเฉพาะ ความโดดเด่นของซุปที่นี่อยู่ที่ เลือกใช้ “เฮลตี้ ครีม ฟอร์ แคร์” ซึ่งเป็นครีมที่ทำมาจากน้ำมันพืชที่ให้ความเข้มมันได้ใกล้เคียงกับครีมจากนม ทำให้ไม่มีคอเลสเตอรอล และมีปริมาณกรดไขมันอิ่มตัวที่ต่ำกว่าครีมจากนม

    อีกหนึ่งทางเลือกเพื่อคนรักสุขภาพ เหมาะกับทุกเพศทุกวัย ให้เลือกรับประทานได้ตลอดช่วงเทศกาลกินเจถึง 7 ซุป อาทิ ซุปเจผักโขม อัลมอนด์สไลส์ ซุปเจเห็ดรวมข้าวบาร์เลย์ ซุปเจงาดำแปะก๊วย ซุปเจถั่วลันเตา ซุปเจดอกกะหล่ำ ซุปเจมะเขือเทศกับพริกหวาน และ ซุปเจผักรวม


    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=left border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=148 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle>คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น</TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle width=148>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD width=5>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>4. ตระการตาอาหารปรุงสำเร็จ พบกับมุมพิเศษสำหรับคุณแม่บ้านยุคใหม่ บริเวณฟู้ดฮอลล์ ที่ยกขบวนอาหารเจ ปรุงสำเร็จจากภัตตาคารชื่อดัง ในย่านเยาวราช อาทิ ร้านแปลงนาม ร้านเจ๊สี่ (เยาวราช) ร้านโส่ย เยาวราช ร้านเฮงเชียง ร้านก๋วยเตี๋ยวเสาชิงช้า สร้างสรรค์เมนูพิเศษเพื่อต้อนรับเทศกาลกว่า 100 เมนูให้เลือกอย่างมากมายที่บริเวณมาร์เก็ตฮอลล์

    อาทิ ซุปหูฉลามเจ ห่านเจ ปอเปี๊ยะเจเสฉวน ผักม้วนทรงเครื่อง ยำแมงกะพรุนน้ำมันงาเจ ผัดผักเจเต้าหู้ยี้ ผัดหมี่ซั่ว ข้าวห่อใบบัว ซี่โครงหมูเปรี้ยวหวาน ซาลาเปาไส้หมูแดง ซาลาเปาไส้ถั่วแดง แปะก๊วยพุทราจีน น้ำเต้าหู้ ฯลฯ

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    .
     
  15. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948

    โมทนาสาธุครับ สำหรับคำตอบคนที่ 1 ครับ

    .
     
  16. kaicp

    kaicp เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    146
    ค่าพลัง:
    +1,190
    ผมขอเสนอความคิดเห็นในเรื่องของนายเลิศด้วยครับ

    ในแง่ของการดำรงค์ชีวิตให้อยู่ได้ นายเลิศอาจมองเพียงแค่ต้องการตอบสนองความรู้สึกของตนเองว่า ตนเองหิวก็ต้องทานข้าวก่อน ส่วนเรื่องอื่น ๆ สำคัญน้อยกว่า ค่อยทำเป็นอันดับต่อ ๆ ไป ซึ่งเมื่อทานเฉพาะข้าวอย่างเดียวก่อน คงจะทำให้ฝืดคอ เพราะการทานข้าวจะต้องมีส่วนประกอบอย่าง ๆ อย่างไปพร้อม ๆ กัน จึงจะทำให้การทานข้าวมีรสชาติ

    ในแง่การประยุกต์กับการดำรงค์ชีพที่เป็นสุข

    แม่เป็นผู้ให้ที่ประเสริฐสุด ต้องการที่จะทำให้ลูกทุก ๆ คนมีความสุข เมื่อลูกมีความต้องการอะไร แม่พร้อมเสมอที่จะทำเพื่อลูก การที่แม่ได้เตรียมทั้งข้าว สำหรับกับข้าว 5 อย่าง อาจเปรียบได้ว่า อาหารที่เพรียบพร้อมด้วยโภชนาการทั้ง 5 หมู่ที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายมนุษย์มาก หรือเปรียบได้ในสิ่งที่เราควรทำหรือไม่ควรทำ 5 ประการ นั้นคือ เบญจศีลและเบญจธรรม และยังได้เตรียมน้ำซึ่งเป็นส่วนที่หล่อเลี้ยงให้ทุก ๆ อย่างผสมกลมกลืนกันได้
    ถ้าผมเป็นนายเลิศ ผมจะค่อย ๆ ทานข้าวไปพร้อม ๆ กับกับข้าวในสำรับและดื่มน้ำไปด้วยในบางครั้ง เพื่อให้ทุกอย่างผสมผสานกันไป ไม่ต้องรีบร้อน การดำรงค์ชีวิตให้มีความสุขนั้น จะต้องเดินทางสายกลาง ไม่ควรที่จะรีบร้อนที่จะทำอะไรเพียงอย่างเดียว เราสามารถทำละอย่างได้แต่ให้ทุก ๆ อย่างผสมกลมกลืนกันไปได้ เช่นบางวันท่านไม่สามารถปฏิบัติในแง่ของเบญจธรรมได้อย่างครบถ้วน แต่หากตระหนักในเบญจศีลที่ควรจะงดเว้นได้ แม้ว่าในวันนั้น ทำตามเบญจธรรมได้บางข้อ ละเว้นตามเบญจศีลได้บางข้อ ก็สร้างความสุขได้แล้วไม่ใช่หรือ?
    โดยสรุปอยากให้ทุกท่านพิจารณาว่า ไม่จำเป็นต้องเลือกทำอะไรเพียงอย่างเดียวที่คิดว่าตอบสนองได้มากตามความรู้สึกในขณะนั้น แต่ให้พิจารณาให้ละเอียดว่าอาจจะมีอีกหลาย ๆ ที่สามารถตอบสนองความรู้สึกในระยะต่อ ๆ ไปได้เช่นกัน เราสามารถทำอะไรได้หลาย ๆ อย่างพร้อม ๆ กัน เพียงแต่ต้องจัดลำดับตามความจำเป็นและความสามารถที่เรามีอยู่ด้วย เพียงเพียงให้เหมาะสมตามทางสายกลาง
     
  17. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  18. ธัญญ์นิธิ

    ธัญญ์นิธิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    1,794
    ค่าพลัง:
    +6,030
    จากเรื่องของนายเลิศ ผมอ่านแล้วเกิดความรู้สึกขึ้นดังนี้ครับ
    1. ความรักของผู้เป็นแม่ที่มีต่อลูก ที่รู้ว่าลูกลำบากก็รีบจัดแจงสำรับอาหารอย่างดีมาให้นายเลิศในทันที
    2. สิ่งที่คาดเดาว่านายเลิศจะทำในอนาคต
    ที่นายเลิศยังไม่ทานข้าวกับน้ำในทันที ผมคิดว่านายเลิศคงกำลังเข้านิโรธกรรม หรือ นิโรธสมาบัติอยู่ครับ เพื่อเป็นการตอบแทนคุณของมารดา จึงยังไม่รับประทานอาหารนั้นในทันที แต่รอให้ออกจากนิโรธสมาบัติก่อนครับ ค่อยรับประทานอาหารของแม่เป็นคนแรก เพื่อให้แม่ได้บุญสูงมาก เป็นการตอบแทนบุญคุณแม่ครับ
    3. จากเรื่องนี้สะท้องให้แง่คิดว่า นายเลิศเป็นผู้ที่มองเห็นความทุกข์ในปัจจุบัน และอนาคตครับ ทุกข์ในปัจจุบันก็คือความหิว ความกระหาย ทุกข์ในอนาคตก็คือ ความหิว ความกระหายที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เหมือนการเวียนว่ายตายเกิดที่ไม่มีที่สิ้นสุด อย่างนี้ไปนิพพานกันดีกว่าครับ จะได้ไม่มีทุกข์ต่อไปแล้ว

    เป็นแค่ความคิดเห็นนะครับ ผิดถูกอย่างไรขออภัยด้วยครับ
     
  19. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    จากกระทู้มหากฐินสามัคคีวัดบ่อเงินบ่อทอง วันที่29 ตุลาคม 2549 & ขอเชิญร่วมเป็นเจ้าภาพสร้างกุฏิดินถวายวัดบ่อเงินบ่อทอง บัญชีของ โรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญบ่อเงินบ่อทอง ปริยัติศึกษา บัญชีออมทรัพย์ 203-0-06304-5 ชื่อบัญชี รร.พระปริยัติธรรมบ่อเงินบ่อทอง บมจ.ธนาคารกรุงไทย สาขาพนมสารคาม

    แผนที่วัดบ่อเงินบ่อทอง

    หากท่านใดดูแล้วยังสงสัย หรือยังงงอยู่ ลองโทร.สอบถามหลวงพ่อแผนได้นะครับ 081-940-8541

    [​IMG]

    [​IMG]
     
  20. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948

แชร์หน้านี้

Loading...