สมาธิจากการ เพ่งพระอาทิตย์

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย โทสะ, 15 พฤศจิกายน 2009.

  1. โทสะ

    โทสะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    187
    ค่าพลัง:
    +466
    <meta http-equiv="Content-Type" content="text/html; charset=utf-8"><meta name="ProgId" content="Word.Document"><meta name="Generator" content="Microsoft Word 11"><meta name="Originator" content="Microsoft Word 11"><link rel="File-List" href="file:///C:%5CDOCUME%7E1%5CADMINI%7E1%5CLOCALS%7E1%5CTemp%5Cmsohtml1%5C01%5Cclip_filelist.xml"><!--[if gte mso 9]><xml> <w:WordDocument> <w:View>Normal</w:View> <w:Zoom>0</w:Zoom> <w:punctuationKerning/> <w:ValidateAgainstSchemas/> <w:SaveIfXMLInvalid>false</w:SaveIfXMLInvalid> <w:IgnoreMixedContent>false</w:IgnoreMixedContent> <w:AlwaysShowPlaceholderText>false</w:AlwaysShowPlaceholderText> <w:Compatibility> <w:BreakWrappedTables/> <w:SnapToGridInCell/> <w:ApplyBreakingRules/> <w:WrapTextWithPunct/> <w:UseAsianBreakRules/> <w:DontGrowAutofit/> </w:Compatibility> <w:BrowserLevel>MicrosoftInternetExplorer4</w:BrowserLevel> </w:WordDocument> </xml><![endif]--><!--[if gte mso 9]><xml> <w:LatentStyles DefLockedState="false" LatentStyleCount="156"> </w:LatentStyles> </xml><![endif]--><style> <!-- /* Font Definitions */ @font-face {font-family:"Angsana New"; panose-1:2 2 6 3 5 4 5 2 3 4; mso-font-charset:0; mso-generic-font-family:roman; mso-font-pitch:variable; mso-font-signature:16777219 0 0 0 65537 0;} @font-face {font-family:Tahoma; panose-1:2 11 6 4 3 5 4 4 2 4; mso-font-charset:0; mso-generic-font-family:swiss; mso-font-pitch:variable; mso-font-signature:1627421319 -2147483648 8 0 66047 0;} /* Style Definitions */ p.MsoNormal, li.MsoNormal, div.MsoNormal {mso-style-parent:""; margin:0cm; margin-bottom:.0001pt; mso-pagination:widow-orphan; font-size:12.0pt; mso-bidi-font-size:14.0pt; font-family:"Times New Roman"; mso-fareast-font-family:"Times New Roman"; mso-bidi-font-family:"Angsana New";} @page Section1 {size:612.0pt 792.0pt; margin:72.0pt 90.0pt 72.0pt 90.0pt; mso-header-margin:36.0pt; mso-footer-margin:36.0pt; mso-paper-source:0;} div.Section1 {page:Section1;} --> </style><!--[if gte mso 10]> <style> /* Style Definitions */ table.MsoNormalTable {mso-style-name:ตารางปกติ; mso-tstyle-rowband-size:0; mso-tstyle-colband-size:0; mso-style-noshow:yes; mso-style-parent:""; mso-padding-alt:0cm 5.4pt 0cm 5.4pt; mso-para-margin:0cm; mso-para-margin-bottom:.0001pt; mso-pagination:widow-orphan; font-size:10.0pt; font-family:"Times New Roman"; mso-bidi-font-family:"Times New Roman"; mso-ansi-language:#0400; mso-fareast-language:#0400; mso-bidi-language:#0400;} </style> <![endif]--> จิต และ สภาวธรรม ไม่ขออธิบาย ซึ่งท่านใดที่อ่านมาถึงตรงนี้แล้ว ก็พอจะมองเลาๆออกว่า ในการมีสติตั้ง ใช้ปัญญาแทงทะลุ ในข้อที่ว่าด้วย จิต และ สภาวธรรมนั้นเป็นอย่างไร ซึ่งขอบอกว่ามันละเอียด ล้ำลึกจนยากที่จะเข้าใจ ที่เหล่าอริยะท่านทั้งหลายดำเนินมามีสิ่งหนึ่งที่จะเกิดขึ้นกับท่านทั้งหลายเหล่านั้นคือ สติอัตโนมัติ และปัญญาอัตโนมัติ<o:p></o:p>
     
  2. ทำเป็นงง

    ทำเป็นงง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    80
    ค่าพลัง:
    +557

    ขอบคุณ ครับ คือที่ผมเจอก็เป็นประมาณ นี้ ครับ ยังไม่เจอ เรื่องที่คุยกันเลย เพราะเห็นมี ความแตกต่าง กันอย่างมาก

    จึงอยากเรียนถาม ท่านผู้รู้ว่า อันใหนผิด อันใหนถูก ครับ พลีสสสสสสสสส
    ด้วยความเคารพ ครับ

    กสิน ๑๐
    โดยพระเดชพระคุณ พระราชพรหมยาน



    [​IMG]
    คือ เป็นการทำสมาธิด้วยวิธี การเพ่ง
    ( คำว่าเพ่ง ในที่นี้ คือ ลืมตามอง ภาพกสิน แล้วหลับตา นึกถึงภาพ กสิน )
    <O:p

    ๑. ปฐวีกสินเพ่งดิน
    ๒. อาโปกสิณเพ่งน้ำ
    ๓. เตโชกสิณเพ่งไฟ
    ๔. วาโยกสินเพ่งลม
    ๕. นีลกสิน เพ่งสีเขียว
    ๖. ปีตกสินเพ่งสีเหลือง
    ๗. โลหิตกสิณเพ่งสีแดง
    ๘. โอฑาตกสิณเพ่งสีขาว
    ๙. อาโลกกสิณเพ่งแสงสว่าง
    ๑๐. อากาศกสิณเพ่งอากาศ

    <O:p
    กิจก่อนการเพ่งกสิณ
    เมื่อจัดเตรียมอุปกรณ์เรียบร้อยแล้วท่านให้ชำระร่างกายให้สะอาดแล้วนั่งขัดสมาธิที่ตั่งสำหรับนั่งหลับตาพิจารณาโทษของกามคุณ ๕ ประการ ตามนัยที่กล่าวในอสุภกรรมฐาน ต้องการทราบละเอียดโปรดเปิดไปที่ บทว่าด้วยอสุภกรรมฐานจะทราบละเอียดเมื่อพิจารณาโทษของกามคุณจนจิตสงบจากนิวรณ์แล้วให้ลืมตาขึ้นจ้องมองภาพกสิณจดจำให้ดีจนคิดว่าจำได้ก็หลับตาใหม่
    กำหนดภาพกสิณไว้ในใจภาวนาเป็นเครื่องผูกใจไว้ว่าปฐวีกสิณเมื่อเห็นว่าภาพเลือนไปก็ลืมตาดูใหม่เมื่อจำได้แล้วก็หลับตาภาวนากำหนดจดจำภาพนั้นต่อไป ทำอย่างนี้บ่อยๆหลายร้อยหลายพันครั้งเท่าใดไม่จำกัดจนกว่าอารมณ์ของใจจะจดจำภาพกสิณไว้ได้เป็นอย่างดีจะเพ่งมองดูหรือไม่ก็ตาม ภาพกสิณนั้นก็จะติดตาติดใจนึกเห็นภาพได้ชัดเจนทุกขณะที่ปรารถนาจะเห็นติดตาติดใจตลอดเวลาอย่างนี้ท่านเรียกว่าอุคคหนิมิตแปลว่า นิมิตติดตา อุคคหนิมิตนี้ท่านว่ายังมีกสิณ
    โทษอยู่มากคือภาพที่เห็นเป็นภาพดินตามที่ทำไว้และขอบวงกลมของสะดึง ย่อมปรากฏริ้วรอยต่าง ๆ เมื่อเข้าถึงอุคคหนิมิตแล้วท่านให้เร่งระมัดระวังรักษาอารมณ์สมาธิและนิมิตนั้นไว้จนกว่าจะได้ปฏิภาคนิมิตปฏิภาคนิมิตนั้นรูปและสีของกสิณเปลี่ยนจากเดิมคือกสิณทำเป็นวงกลมด้วยดินแดงนั้นจะกลายเป็นเสมือนแว่นแก้วมีสีใสสะอาดผ่องใสคล้ายน้ำที่กลิ้ง อยู่ในใบบัวฉะนั้นรูปนั้นบางท่านกล่าวว่าคล้ายดวงจันทร์ที่ปราศจากเมฆหมอกปิดบังเอากันง่ายๆ ก็คือเหมือน
    แก้วที่สะอาดนั่นเองรูปคล้ายแว่นแก้วจะกำหนดจิตให้เล็กโตสูงต่ำได้ตามความประสงค์อย่างนี้ท่านเรียกปฏิภาคนิมิตเมื่อถึงปฏิภาคนิมิตแล้วท่านให้นักปฏิบัติเก็บตัวอย่ามั่วสุมกับนักคุยทั้งหลาย จงรักษาอารมณ์รักษาใจให้อยู่ในขอบเขตของสมาธิเป็นอันดี อย่าสนใจในอารมณ์ของนิวรณ์แม้แต่น้อยหนึ่ง เพราะแม้นิดเดียวของนิวรณ์ อาจทำอารมณ์สมาธิที่กำลังจะเข้าสู่ระดับฌานนี้ให้สลายตัวได้โดยฉับพลันขอท่านนักปฏิบัติจงระมัดระวัง อารมณ์รักษาปฏิภาคนิมิตไว้คล้ายกับระมัดระวังบุตรสุดที่รักที่เกิดในวันนั้น

    <O:p
    จิตเข้าสู่ระดับฌาน
    เมื่อปฏิภาคนิมิตเกิดขึ้นแล้ว จิตก็เข้าระดับฌาน อารมณ์ของฌานในกสิณทั้ง ๑๐อย่างนั้นมีอารมณ์ดังนี้ ฌานในกสิณนี้ท่านเรียกว่าฌาน ๔ บ้าง ฌาน ๕บ้างเพื่อเป็นการป้องกันการเข้าใจผิด ขออธิบายฌาน ๔ และ ฌาน ๕ให้เข้าใจเสียก่อน

    ฌาน ๔
    ฌาน ๔ท่านเรียกว่าจตุตถฌาน ท่านถืออารมณ์อย่างนี้
    ๑.ปฐมฌานมีองค์ ๕คือ วิตกวิจาร ปีติ สุขเอกัคคตา
    ๒. ทุติยฌานมีองค์ ๓ คือละวิตกและวิจารเสียได้ คงดำรงอยู่ในองค์ ๓คือปีติ สุข
    เอกัคคตา
    ๓. ตติยฌานมีองค์ ๒ คือ ละวิตก วิจารปีติ เสียได้ดำรงอยู่ในสุขกับเอกัคคตา
    ๔. จตุตถฌานมีองค์ ๒คือ ละวิตก วิจารปีติ สุข เสียได้ คงทรงอยู่ในเอกัคคตา
    กับเพิ่มอุเบกขาเข้ามาอีก ๑
    ฌาน ๔ หรือที่เรียกว่ากสิณทั้งหมดทรงได้ถึง ๔ ท่านจัดไว้อย่างนี้สำหรับในที่บางแห่งท่านว่ากสิณทั้งหมดทรงได้ถึงฌาน ๕ท่านจัดของท่านดังต่อไปนี้

    ฌาน ๕
    ๑.ปฐมฌานมีองค์ ๕ คือ วิตกวิจาร ปีติ สุขเอกัคคตา
    ๒.ทุติยฌานมีองค์ ๔ คือ ละวิตกเสียได้คงทรง วิจารปีติ สุข เอกัคคตา
    ๓. ตติยฌานมีองค์ ๓ คือ ละวิตก วิจารเสียได้ คงทรง ปีติสุขเอกัคคตา
    ๔. จตุตถฌานมีองค์ ๒คือ ละวิตก วิจาร ปีติเสียได้ คงทรงสุขกับเอกัคคตา
    ๕. ฌาน ๕ หรือที่เรียกว่าปัญจมฌานมีองค์สองเหมือนกันคือ ละวิตกวิจาร ปีติ
    สุขเสียได้ คงทรงอยู่ในเอกัคคตาและเพิ่มอุเบกขาเข้ามาอีก ๑<O:p

    เมื่อพิจารณาดูแล้ว ฌาน ๔ กับฌาน ๕ก็มีสภาพอารมณ์เหมือนกัน ผิดกันนิดหน่อยที่
    ฌาน ๒ ละองค์เดียวฌาน ๓ ละ ๒องค์ ฌาน ๔ ละ ๓ องค์ มาถึงฌาน ๕ ก็มีสภาพเหมือนาน ๔ตามนัยนั่นเองอารมณ์มีอาการเหมือนกันในตอนสุดท้าย อารมณ์อย่างนี้ท่านแยกเรียกเป็นฌาน ๔ ฌาน ๕ เพื่ออะไรไม่เข้าใจเหมือนกันกสิณนี้ถ้าท่านผู้ปฏิบัติทำให้ถึงฌาน ๔ หรือฌาน๕ซึ่งมีอารมณ์เป็นเอกัคคตารมณ์ และอุเบกขารมณ์ไม่ได้ก็เท่ากับท่านผู้นั้นไม่ได้เจริญ ในกสิณนั้นเองเมื่อได้แล้วก็ต้องฝึกการเข้าฌานออกฌานให้คล่องแคล่ว กำหนดเวลาเข้าเวลาออกให้ได้ตามกำหนด จนเกิดความชำนาญ เมื่อเข้าเมื่อไร ออกเมื่อไรได้ตามใจนึกการ เข้าฌานต้องคล่องไม่ใช่เนิ่นช้าเสียเวลาแม้ครึ่งนาทีพอคิดว่าเราจะเข้าฌานละก็เข้าได้ทันที ต้องยึดฌาน๔ หรือฌาน ๕คือเอาฌานที่สุดเป็นสำคัญ เมื่อเข้าฌานคล่องแล้วต้องฝึกนิรมิตตามอำนาจกสิณให้ได้ คล่องแคล่วว่องไว จึงจะชื่อว่าได้กสิณกองนั้น ๆถ้ายังทำไม่ได้ถึง ไม่ควรย้ายไปปฏิบัติในกสิณกองอื่นการทำอย่างนั้นแทนที่จะได้ผลเร็ว กลับเสียผล คือของเก่าไม่ทันได้ทำใหม่เก่าก็จะหาย ใหม่ก็จะไม่ปรากฏผล ถ้าชำนาญช่ำชองคล่องแคล่วในการนิรมิตอธิษฐานแล้ว เพียงกองเดียว กองอื่นทำไม่ยากเลยเพราะอารมณ์ในการฝึกเหมือนกันต่างแต่สีเท่านั้นจะเสียเวลาฝึกกองต่อๆ ไปไม่เกินกองละ ๗ วัน หรือ ๑๕ วันเป็นอย่างสูงจะนิรมิตอธิษฐานได้สมตามที่ตั้งใจของนักปฏิบัติจงอย่าใจร้อน พยายามฝึกฝนจนกว่าจะได้ผลสูงสุดเสียก่อนจึงค่อยย้ายกองต่อไป <O:p
    องค์ฌานในกสิณทั้ง ๑๐ กอง

    ปฐมฌานมีองค์ ๕ คือ วิตกมีอารมณ์จับอยู่ที่ปฏิภาคนิมิตกำหนดจิตจับภาพ ปฏิภาคนิมิตนั้น เป็นอารมณ์ วิจารพิจารณาปฏิภาคนิมิตนั้นคือพิจารณาว่ารูปปฏิภาคนิมิตสวยสดงดงามคล้ายแว่นแก้ว ที่มีคนชำระสิ่งเปรอะเปื้อนหมดไปเหลือไว้แต่ดวงเก่าที่บริสุทธิ์สะอาด ปราศจากธุลีต่างๆ

    ปีติ มีประเภท ๕ คือ
    ๑. ขุททกาปีติ มีอาการขนพองสยองเกล้าและน้ำตาไหล
    ๒. ขณิกาปีติ มีแสงสว่างเข้าตาคล้ายแสงฟ้าแลบ
    ๓.โอกกันติกาปีติ มีอาการร่างกายกระเพื่อมโยกโคลง คล้ายเรือที่ถูกคลื่นซัด บางท่านก็นั่งโยกไปโยกมาอย่างนี้เรียกโอกกันติกาปีติ
    ๔. อุพเพงคาปีติมีกายลอยขึ้นเหนือพื้นบางรายก็ลอยไปได้ไกลหลายๆ กิโลก็มี
    ๕.ผรณาปีติ อาการเย็นซ่าซาบซ่านทั้งร่างกายและมีอาการคล้ายกับร่างกายใหญ่
    สูงขึ้นกว่าปกติสุขมีอารมณ์เป็นสุขเยือกเย็น ในขณะที่พิจารณาปฏิภาคนิมิต
    เอกัคคตามีจิตเป็นอารมณ์เดียวคือมีอารมณ์จับอยู่ในปฏิภาคนิมิตเป็นปกติ ไม่สอดส่ายอารมณ์ออกนอกจากปฏิภาคนิมิตทั้ง ๕ อย่างนี้เป็นปฐมฌานมีอารมณ์เหมือนกับฌานในกรรมฐานอื่นๆ แปลกแต่กสิณนี้
    มีอารมณ์ยึดนิมิตเป็นอารมณ์ไม่ปล่อยอารมณ์ให้พลาดจากนิมิตจนจิตเข้าสู่จตุตถฌาน หรือปัญจมฌาน
    ทุติยฌานมีองค์ ๓ คือตอนนี้จะเว้นจากการภาวนาไปเองการกำหนดพิจารณารูปกสิณจะยุติลง คงเหลือแต่ความสดชื่นด้วยอำนาจปีติอารมณ์สงัดมาก ภาพปฏิภาคนิมิตจะสดสวยงดงามวิจิตรตระการตามากกว่าเดิมมีอารมณ์เป็นสุขประณีตกว่าเดิม อารมณ์จิตแนบสนิทเป็น สมาธิมากกว่า
    ตติยฌานมีองค์ ๒ คือตัดความสดชื่นทางกายออกเสียได้เหลือแต่ความสุขแบบเครียดๆคือมีอารมณ์ดิ่งแห่งจิตคล้ายใครเอาเชือกมามัดไว้มิให้เคลื่อนไหวลมหายใจอ่อนระรวยน้อยเต็มที่ภาพนิมิตดูงามสง่าราศีละเอียดละมุนละไมมีรัศมีผ่องใสเกินกว่าที่ประสบมาอารมณ์ของจิตไม่สนใจกับอาการทางกายเลย
    จตุตถฌาน ทรงไว้เพียง เอกัคคตากับอุเบกขาคือมีอารมณ์ดิ่งไม่มีอารมณ์รับความสุข และความทุกข์ใดๆ ไม่รู้สึกในเวทนาทั้งสิ้นมีอุเบกขาวางเฉยต่ออารมณ์ทั้งมวลมีจิตสว่างโพลงคล้ายใครเอาประทีปที่สว่างมากหลายๆดวงมาตั้งไว้ในที่ใกล้ ไม่มีอารมณ์รับแม้แต่เสียงลมหายใจสงัดรูปกสิณเห็นชัดคล้ายดาวประกายพรึก ฌานที่๔เป็นฌานสำคัญชั้นยอด ควรกำหนดรู้แบบง่ายๆไว้ว่าเมื่อมีอารมณ์จิตถึงฌาน๔จะไม่ปรากฏว่ามีลมหายใจ ควรกำหนดไว้ง่ายๆ แบบนี้สะดวกดีท่านทำได้ถึงระดับนี้ ก็ชื่อว่าจบกิจในกสิณ ไม่ว่ากองใดก็ตามจุดจบของกสิณต้องถึงฌาน๔และนิมิตอะไรต่ออะไรตามอำนาจกสิณถ้าทำไม่ถึงกับนิมิตได้ตามอำนาจกสิณ ก็เป็นเสมือนท่าน ยังไม่ได้กสิณเลย

    [​IMG]

    <O:p
    ปฐวีกสิณ<O:p
    กสิณนี้ท่านเรียกว่าปฐวีกสิณ เพราะมีการเพ่งดินเป็นอารมณ์ รวมความแล้วได้ความว่าเพ่งดิน
    ปฐวีกสิณนี้มีดินเป็นอุปกรณ์ในการเพ่งจะเพ่งดินที่เป็นพื้นลานดินที่ทำให้เตียนสะอาดจากผงธุลี หรือจะทำเป็นสะดึงยกไปยกมาได้ก็ใช้ได้ทั้งสองอย่าง ดินที่จะเอามาทำเป็นดวงกสิณนั้นท่านให้ใช้ดินสีอรุณอย่างเดียว ห้ามเอาดินสีอื่นมาปนถ้าจำเป็นหาดินสีอรุณไม่ได้มากท่านให้เอาดินสีอื่นรองไว้ข้างล่างแล้วเอาดินสีอรุณทาทับไว้ข้างบน ดินสีอรุณนี้ท่านโบราณาจารย์ท่านว่าหาได้จากดินขุยปูเพราะปูขุดเอาดินสีอรุณขึ้นไว้ปากช่องรูที่อาศัย เมื่อหาดินได้ครบแล้วต้องทำสะดึงตาม ขนาดดังนี้ ถ้าทำเป็นลานติดพื้นดิน ก็มีขนาดเท่ากัน

    ขนาดดวงกสิณ
    วงกสิณที่ทำเป็นวงกลมสำหรับเพ่งอย่างใหญ่ท่านให้ทำไม่เกินเส้นผ่าศูนย์กลาง ๑ คืบ ๔นิ้วอย่างเล็กไม่เล็กกว่าขอบขัน ระยะนั่งเพ่งบริกรรม ท่านให้นั่งไม่ใกล้ไม่ไกลกว่า ๒คืบ ๔ นิ้วตั่งที่รองวงกสิณ ท่านให้สูงไม่เกิน ๒ คืบ ๔ นิ้วท่านว่าเป็นระยะที่พอเหมาะพอดี เพราะจะได้ไม่มองเห็นรอยที่ปรากฏบนดวงกสิณที่ท่านจัดว่าเป็นกสิณโทษ เวลาเพ่งกำหนดจดจำ ท่านให้มุ่งจำแต่สีดินท่านไม่ให้คำนึงถึงขอบและริ้วรอยต่าง ๆ

    อาโปกสิณ
    อาโปกสิณ อาโปแปลว่าน้ำกสิณแปลว่าเพ่งอาโปกสิณแปลว่าเพ่งน้ำ
    กสิณน้ำ มีวิธีปฏิบัติดังต่อไปนี้ ท่านให้เอาน้ำที่สะอาดถ้าได้น้ำฝนยิ่งดีถ้าหาน้ำฝนไม่ได้ท่านให้เอาน้ำที่ใสแกว่งสารส้มก็ได้อย่าเอาน้ำขุ่นหรือมีสีต่างๆมาท่านให้ใส่น้ำในภาชนะเท่าที่จะหาได้ใส่ให้เต็มพอดี อย่าให้พร่องการนั่งหรือเพ่ง มีอาการอย่างเดียวกับปฐวีกสิณ จนกว่าจะเกิดอุคคหนิมิตอุคคหนิมิตของอาโปกสิณนี้ปรากฏเหมือนน้ำไหวกระเพื่อมสำหรับปฏิภาคนิมิตปรากฏเหมือนพัดใบตาลแก้วมณีคือใสมีประกายระยิบระยับเมื่อถึงปฏิภาคนิมิตแล้วจงเจริญต่อไป ให้ถึงจตุตถฌานบทภาวนาภาวนาว่าอาโปกสิณัง

    เตโชกสิณ
    เตโชแปลว่าไฟกสิณเพ่งไฟเป็นอารมณ์ กสิณนี้ท่านให้ทำดังต่อไปนี้ท่านให้จุดไฟให้ลุกโชนแล้วเอาเสื่อหรือหนังมาเจาะทำเป็นช่องกว้าง ๑ คืบ ๔ นิ้วแล้ววางเสื่อหรือหนังนั้นไว้ข้างหน้าให้เพ่งพิจารณาไปตามช่องนั้น การนั่งสูงหรือระยะไกลใกล้ เหมือนกับปฐวีกสิณการเพ่งอย่าเพ่งเปลวไฟที่ไหวไปมาให้เลือกเพ่งแต่ไฟที่มีแสงหนาทึบที่ปรากฏตามช่องนั้นเป็นอารมณ์ภาวนาว่าเตโชกสิณัง ๆๆๆหลาย ๆ ร้อยหลายพันครั้งจนกว่านิมิตจะเป็นอุคคหนิมิตและปฏิภาคนิมิตอุคคหนิมิตปรากฏเป็นดวงเพลิงตามปกติสำหรับปฏิภาคนิมิตนั้นมีรูป คล้ายผ้าแดงผืนหนาหรือคล้ายกับพัดใบตาลที่ทำด้วยทองหรือเสาทองคำที่ตั้งอยู่ในอากาศเมื่อได้ปฏิภาคนิมิตแล้วท่านจงพยายามทำให้ถึงจตุตถฌานเถิดผลที่ตั้งใจไว้จะได้รับสมความปรารถนา

    วาโยกสิณ
    วาโยกสิณแปลว่าเพ่งลมการถือเอาลมเป็นนิมิตนั้นท่านกล่าวว่าจะถือเอาด้วยการเห็น หรือจะถือเอาด้วยการกระทบก็ได้
    การกำหนดถือเอาด้วยการเห็นท่านให้ถือเอาการที่ลมพัดถูกต้องปลายหญ้าหรือปลายไม้เป็นอารมณ์เพ่งพิจารณา
    การถือเอาด้วยการถูกต้องท่านให้ถือเอาการที่ลมพัดมากระทบตัวเป็นอารมณ์สมัยนี้การถือเอาลมกระทบจะใช้พัดลมเป่าแทนพัดลมหรือถือเอาการเห็นต้นหญ้าต้นไม้ที่ไหวเพราะลมพัดจะใช้พัดลมเป่าให้ไหวแทนลมธรรมชาติก็ได้เมื่อเพ่งพิจารณาอยู่ ให้ภาวนาว่าวาโยกสิณัง ๆๆๆ อุคคหนิมิตของวาโยกสิณนี้ ปรากฏว่ามีการไหวๆคล้ายกับกระไอแห่งการหุงต้มที่มีไอปรากฏมากระทบจักษุ พูดให้ชัดเข้าก็คือมีปรากฏการณ์คล้ายตามองเห็นไอน้ำที่ต้มเดือดแล้วนั่นเองมีอาการปรากฏขึ้นอย่างนั้น สำหรับปฏิภาคนิมิตมีอาการปรากฏภาพเหมือนไอน้ำที่ลอยขึ้น แต่ไม่เคลื่อนไหวหรือคล้ายกับก้อนเมฆบางที่ลอยอยู่คงที่นั่นเอง อาการอื่นนอกจากนี้เหมือนในปฐวีกสิณ <O:p
    <O:p
    นีลกสิณ
    นีลกสิณแปลว่าเพ่งสีเขียวท่านให้ทำสะดึงขึงด้วยผ้าหรือหนัง กระดาษก็ได้แล้วเอาสีเขียวทา หรือจะเพ่งพิจารณาสีเขียวจากใบไม้ก็ได้ ทำเช่นเดียวกับปฐวีกสิณอุคคหนิมิตเมื่อเพ่งภาวนาว่านีลกสิณังๆๆๆๆอุคคหนิมิตนั้นปรากฏเป็นรูปที่เพ่งนั่นเอง

    ปีตกสิณ
    ปีตกสิณแปลว่าเพ่งสีเหลืองการปฏิบัติทุกอย่างเหมือนนีลกสิณแต่อุคคห นิมิตเป็นสีเหลืองปฏิภาคนิมิตเหมือนนีลกสิณ นอกนั้นเหมือนกันหมดบทภาวนาภาวนาว่าปีตกสิณังๆๆ

    โลหิตกสิณ
    โลหิตกสิณแปลว่าเพ่งสีแดงบทภาวนา ภาวนาว่าโลหิตกสิณังๆๆๆๆนิมิตที่จัดหามาเพ่งจะเพ่งดอกไม้สีแดงหรือเอาสีแดงมาทาทับกับสะดึงก็ได้ อุคคหนิมิตเป็นสีแดงปฏิภาคนิมิตเหมือนนีลกสิณ

    โอทาตกสิณ
    โอทาตกสิณแปลว่าเพ่งสีขาวบทภาวนา ภาวนาว่าโอทาตกสิณัง ๆๆๆๆสีขาวที่จะเอา มาเพ่งนั้น จะหาจากดอกไม้หรืออย่างอื่นก็ได้ตามแต่จะสะดวกหรือจะทำเป็นสะดึงก็ได้นิมิตทั้งอุคคหะและปฏิภาคก็เหมือนนีลกสิณเว้นไว้แต่อุคคหะเป็นสีขาวเท่านั้นเอง

    อาโลกกสิณ
    อาโลกกสิณแปลว่าเพ่งแสงสว่างท่านให้หาแสงสว่างที่ลอดมาตามช่องฝา หรือช่องหลังคาหรือเจาะเสื่อลำแพนหรือแผ่นหนังให้เป็นช่องเท่า ๑ คืบ ๔ นิ้วตามที่กล่าวในปฐวีกสิณแล้วภาวนาว่าอาโลกกสิณังๆๆอย่างนี้จนอุคคหนิมิตปรากฏอุคคหนิมิตของอาโลกกสิณมีรูปเป็นแสงสว่างที่เหมือนรูปเดิมที่เพ่งอยู่ปฏิภาคนิมิตนั้นปรากฏเป็นแสงสว่างหนาทึบเหมือนกับเอาแสงสว่างมากองรวมกันไว้ที่นั้นแล้วต่อไปขอให้นักปฏิบัติจงพยายามทำให้เข้าถึงจตุตถฌานเพราะข้อความที่จะกล่าวต่อไปก็เหมือนกับที่กล่าวมาแล้วในปฐวีกสิณ

    อากาสกสิณ
    อากาสกสินแปลว่าเพ่งอากาศอากาสกสิณนี้ภาวนาว่าอากาสกสิณัง ๆๆท่าน
    ให้ทำเหมือนในอาโลกกสิณคือเจาะช่องเสื่อหรือหนัง หรือมองอากาศคือความว่างเปล่าที่ลอดมาตามช่องฝาหรือหลังคา หรือตามช่องเสื่อและผืนหนังโดยกำหนดว่าอากาศ ๆๆจนเกิดอุคคหนิมิตซึ่งปรากฏเป็นช่องตามรูปที่กำหนดปฏิภาคนิมิตนั้นปรากฏคล้ายอุคคหนิมิตแต่มีพิเศษที่บังคับให้ขยายตัวออกให้ใหญ่เล็กสูงต่ำได้ตามความประสงค์อธิบายอื่นก็เหมือนกสิณอื่นๆ

    [​IMG]<O:p
    <O:p
    อานุภาพกสิณ๑๐<O:p

    กสิณ ๑๐ ประการนี้เป็นปัจจัยให้แสดงฤทธิ์ต่างๆ ตามนัยที่กล่าวมาแล้ว ในฉฬภิญโญเมื่อบำเพ็ญปฏิบัติในกสิณกองใดกองหนึ่งสำเร็จถึงจตุตถฌานแล้วก็ควรฝึกตามอำนาจที่กสิณกองนั้น ๆ มีอยู่ให้ชำนาญ ถ้าท่านปฏิบัติถึงฌาน ๔แล้วแต่มิได้ฝึกอธิษฐานต่าง ๆ ตามแบบท่านว่าผู้นั้นยังไม่จัดว่าเป็นผู้เข้าถึงกสิณ อำนาจฤทธิ์ในกสิณต่างๆ มีดังนี้<O:p

    ปฐวีกสิณมีฤทธิ์ดังนี้ เช่นนิรมิตคน ๆเดียวให้เป็นคนมากได้ ให้คนมากเป็นคน ๆ เดียวได้ ทำน้ำและอากาศให้แข็งได้

    อาโปกสิณสามารถนิรมิตของแข็งให้อ่อนได้ เช่นอธิษฐานสถานที่เป็นดินหรือหินที่
    กันดารน้ำให้เกิดบ่อน้ำอธิษฐานหินดินเหล็กให้อ่อนอธิษฐานในสถานที่ฝนแล้งให้เกิดฝนอย่างนี้เป็นต้น

    เตโชกสิณอธิษฐานให้เกิดเป็นเพลิงเผาผลาญหรือให้เกิดแสงสว่างได้ ทำแสงสว่างให้
    เกิดแก่จักษุญาณสามารถเห็นภาพต่าง ๆในที่ไกลได้คล้ายตาทิพย์ทำให้เกิดความร้อน ในทุกสถานที่ได้

    วาโยกสิณอธิษฐานจิตให้ตัวลอยตามลมหรืออธิษฐานให้ตัวเบา เหาะไปในอากาศก็ได้สถานที่ใดไม่มีลม อธิษฐานให้มีลมได้

    นีลกสิณสามารถทำให้เกิดสีเขียว หรือทำสถานที่สว่างให้มืดครึ้มได้

    ปีตกสิณสามารถนิรมิตสีเหลืองหรือสีทองให้เกิดได้

    โลหิตกสิณสามารถนิรมิตสีแดงให้เกิดได้ตามความประสงค์

    โอทาตกสิณสามารถนิรมิตสีขาวให้ปรากฏ และทำที่มืดให้เกิดแสงสว่างได้เป็น
    กรรมฐานที่อำนวยประโยชน์ในทิพยจักษุญาณ เช่นเดียวกับเตโชกสิณ

    อาโลกกสิณนิรมิตรูปให้มีรัศมีสว่างไสวได้ทำที่มืดให้เกิดแสงสว่างได้เป็น
    กรรมฐานสร้างทิพยจักษุญาณโดยตรง

    อากาสกสิณ สามารถอธิษฐานจิตให้เห็นของที่ปกปิดไว้ได้ เหมือนของนั้นวางอยู่ในที่แจ้ง สถานที่ใดเป็นที่อับด้วยอากาศ สามารถอธิษฐานให้เกิดความโปร่ง มีอากาศสมบูรณ์เพียงพอแก่ ความต้องการได้

    วิธีอธิษฐานฤทธิ์
    วิธีอธิษฐานจิตที่จะให้เกิดผลตามฤทธิ์ที่ต้องการ ท่านให้ทำดังต่อไปนี้ ท่านให้เข้าฌาน ๔ ก่อน แล้วออกจากฌาน ๔ แล้วอธิษฐานในสิ่งที่ตนต้องการจะให้เป็นอย่างนั้น แล้วกลับเข้าฌาน ๔ อีก ออกจากฌาน ๔ แล้วอธิษฐานจิตทับลงไปอีกครั้ง สิ่งที่ต้องการจะปรากฏสมความปรารถนา
    <O:p


    (จบกสิณ ๑๐ แต่เพียงเท่านี้)
    [​IMG]<O:p
    แนะกสิณร่วมวิปัสสนาญาณ

    ท่านผู้ฝึกกสิณ ถ้าประสงค์จะให้ได้อภิญญาหก ก็เจริญไปจนกว่าจะชำนาญทั้ง ๑๐ กอง ถ้าท่านประสงค์ให้ได้รับผลพิเศษเพียงวิชชาสาม ก็เจริญเฉพาะอาโลกกสิณ หรือเตโชกสิณ หรือโอทาตกสิณ อย่างใดอย่างหนึ่ง แล้วฝึกทิพยจักษุญาณ แต่ท่านที่มีความประสงค์จะเร่งรัดให้เข้าสู่ พระนิพพานเร็วๆ ไม่มีความประสงค์จะได้ญาณพิเศษเพราะเกรงจะล่าช้าหรืออัชฌาสัยไม่ ปรารถนา รู้อะไรจุกจิก ชอบลัดตัดทางเพื่อถึงจุดหมายปลายทางขอให้ปฏิบัติดังต่อไปนี้<O:p
    ๑. สักกายทิฏฐิ เห็นตรงข้ามกับอารมณ์นี้ที่เห็นว่า ร่างกายคือขันธ์ ๕ เป็นเรา
    เป็นของเรา เรามีในขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ มีในเราเสียได้ โดยเห็นว่า ขันธ์ ๕ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่
    ของเรา เราไม่มีในขันธ์ ๕ และขันธ์ ๕ ไม่มีในเรา เพราะถ้าขันธ์ ๕ มีในเรา เรามีในขันธ์ ๕ หรือขันธ์ ๕ เป็นเรา เราเป็นขันธ์ ๕ จริงแล้ว ในเมื่อเราไม่ต้องการความทุกข์อันเกิดจากโรคภัยไข้เจ็บและการเปลี่ยนแปลง ขันธ์ ๕ ก็ต้องไม่มีการป่วยไข้และเปลี่ยนแปลง เราไม่ต้องการให้ขันธ์ ๕ สลายตัว ขันธ์ ๕ ถ้าเป็นของเราจริงก็ต้องดำรงอยู่ ไม่สลายตัว แต่นี่หาเป็น เช่นนั้นไม่ กลับเต็มไปด้วยความทุกข์ เปลี่ยนแปลงไม่หยุดยั้ง ทั้ง ๆ ที่เราไม่ต้องการ และ พยายามเหนี่ยวรั้งด้วยวิธีการต่างๆ ขันธ์ ๕ ก็มิได้เป็นไปตามความปรารถนา ในที่สุดก็สลายตัว จนได้ เพราะขันธ์ ๕ เป็นสมบัติของกฎธรรมดา กฎธรรมดาต้องการให้เป็นอย่างนั้น ไม่มีใคร มีอำนาจเหนือกฎธรรมดา ฝ่าฝืนกฎธรรมดาไม่ได้ เมื่อจิตยอมรับนับถือกฎธรรมดา ไม่หวั่นไหว ในเมื่อร่างกายได้รับทุกข์เพราะป่วยไข้ หรือเพราะการงานหนักและอาการเกิดขึ้นเพราะเหตุ เกินวิสัย อารมณ์ใจยอมรับนับถือว่า ธรรมดาของผู้ที่เกิดมาในโลกที่หาความแน่นอนไม่ได้ โลกที่เต็มไปด้วยความทุกข์ หาความสุขจริงจังมิได้ ที่เห็นว่าเป็นสุขจากภาวะของโลก ก็เป็น ความสุขที่มีผีสิง คือสุขไม่จริง เป็นความสุขอันเกิดจากเหยื่อล่อของความทุกข์ พอพบความสุข ความทุกข์ ก็ติดตามมาทันที เช่น มีความสุขจากการได้ทรัพย์ พร้อมกันนั้นความทุกข์เพราะ การมีทรัพย์ก็เกิด เพราะทรัพย์ที่หามาได้นั้นจะมีชีวิตหรือไม่ก็ตาม เมื่อได้มาแล้ว ก็ต้องมีทุกข์ ทันทีด้วยการคอยระวังรักษาไม่ให้สูญหายหรือทำลาย เมื่อทรัพย์นั้นเริ่มค่อย ๆ สลายตัวหรือ สูญหายทำลายไป ทุกข์เกิดหนักขึ้นเพราะมีความ เสียดายในทรัพย์ แม้แต่ตัวเองก็แบกทุกข์ เสียบรรยายไม่ไหว จะเอาอะไรมาเป็นเครื่องบำรุงความสุขได้จริงจัง ไม่ว่าอะไรก็ต้องตกอยู่ ในอำนาจของกฎธรรมดาสิ้น จิตเมื่อเห็นอย่างนี้ ความสงบระงับจากความหวั่นไหวของการ เปลี่ยนแปลงก็จะเกิดขึ้น เป็นจิตที่ประกอบไปด้วยเหตุผล ไม่มีน้ำตาไหล ในเมื่อได้ข่าวญาติ หรือคนที่รักตาย ไม่หนักใจเมื่อความตายกำลัง คืบคลานมาหาตน และพร้อมเสมอที่จะรอรับ ความตายที่จะเกิดแก่ตน ตามกฎของธรรมดา รู้อยู่ คิดอยู่ถึงความตายเป็นปกติ ยิ้มต่อความทุกข์และความตายอย่างไม่มีอะไรหนักใจ จิตมีอารมณ์อย่างนี้ ท่านเรียกว่า ละสักกายทิฏฐิ
    ได้แล้ว ได้คุณสมบัติของพระโสดาบันไว้ได้หนึ่งอย่าง

    ๒. วิจิกิจฉา ละความสงสัยในมรรคผลเสียได้ โดยมีสัทธาเกิดขึ้นเที่ยงแท้มั่นคงว่าผล ของการปฏิบัตินี้มีผลที่จะพ้นจากวัฏทุกข์ได้จริง

    ๓. สีลัพพตปรามาส ถือศีล ๕ อย่างเคร่งครัด ยอมตัวตายดีกว่าศีลขาด ไม่ยอมให้ศีล บกพร่อง เมื่อมีคุณสมบัติครบสามประการดังนี้ ท่านก็เป็นพระโสดาบันแล้ว ไม่ต้องรอให้ใครบอก และออกใบประกาศโฆษณา องค์ของพระโสดาบัน

    เพื่อสะดวกแก่การพิจารณาตัวเอง ขอบอกองค์ของพระโสดาบันไว้ เพราะรู้ไว้เป็น คู่มือพิจารณาตัวเอง
    ๑. รักษาศีล ๕ เป็นปกติ ไม่ทำให้ศีลขาดหรือด่างพร้อยตลอดชีวิต
    ๒. เคารพพระรัตนตรัยอย่างเคร่งครัด ไม่กล่าวจ้วงจาบพระธรรมวินัย แม้แต่จะพูดเล่นๆ ก็ไม่พูด
    ๓. มีอารมณ์รักใคร่ในพระนิพพานเป็นปกติ ไม่มีความปรารถนาอย่างอื่นนอกจาก พระนิพพาน

    พระโสดาบันตามปกติมีอารมณ์สามประการดังกล่าวมานี้ ถ้าท่านได้ ท่านเป็นพระโสดา ท่านก็จะเห็นว่าอาการที่กล่าวมานี้เป็นความรู้สึกธรรมดาไม่หนัก แต่ถ้าอารมณ์ อะไรตอนใดในสามอย่างนี้ยังมีความหนักอยู่บ้าง ก็อย่าเพ่อคิดว่าท่านเป็นพระโสดาบันเสียก่อนสำเร็จ จะเป็นผลร้ายแก่ตัวท่านเอง ต้องได้จริงถึงจริง แม้ได้แล้วถึงแล้ว ก็ควรก้าวต่อไปอย่าหยุดยั้งเพียงนี้ เพราะ มรรคผลเบื้องสูงยังมีต่อไปอีก<O:p


    (จบกสิณ ๑๐)


    พระเดชพระคุณ พระราชพรหมยาน วัดท่าซุง
     
  3. vergo shaka

    vergo shaka เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    539
    ค่าพลัง:
    +835
    พระเยซู...คงไม่ว่าอะไรนะ ถ้าคนนอกศาสนาอย่างเราจะศึกษาธรรมของ
    ตถาคต...เพราะในสมัยของพระองค์ คนต่างความเชื่อก็สนทนาธรรมกับ
    พระพุทธเจ้าได้...อีกอย่างธรรมะคือของกลางไม่ได้ผูกขาดเป็นของใครคนใดคนหนึ่ง ธรรมะคือสิ่งที่มีมาแต่เดิมตามธรรมชาติ .....ที่นับถือพระเยซูเพราะ
    พระองค์เปลี่ยนอสูรในจิตเราก็เท่านั้น..
     
  4. lightmagician

    lightmagician Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    59
    ค่าพลัง:
    +38
    เมื่อปติบัติกสินไฟแล้วประโยชนืที่ได้คือการได้ทิพจักษุ
    สามารถมองเห็นสิ่งต่างๆได้
    ท่าน้อมนำไปพิจารนาถึงความไม่เที่ยง
    เหมือนการดูหนังซ้ำๆ ดูครั้งแรกก้ตื่นเต้นลองดูไปเรื่อยๆซ้ำไปซ้ำมาหลายๆรอบสิก้จะเห็นเองว่าไม่ตื่นเต้นเหมือนเดิมแล้วที่กลัวก้ไม่กลัวที่เกลียดก้เริ่มเฉยๆ เห็นสาเหตุว่าทำไมถึงทุขทำไมถึงไม่วาง

    ท่าปติบัติมาแบบนี้คงเป็นประโยชน์ไม่น้อยเลย
     
  5. ฤาษีสมาบัติแปด

    ฤาษีสมาบัติแปด สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    5
    ค่าพลัง:
    +4
    มีใครบ้างที่ใช้การเพ่งตะวัน

    หลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม ท่านได้เล่าไว้ในประวัติ ว่าท่านก็ใช้การเพ่งตะวัน

    ตั้งแต่เช้าถึงเที่ยง หลวงพ่อจำเนียร วัดถ้ำเสือท่านเพ่งตั้งแต่เช้าถึงเย็น

    อาจารย์ณรงค์ เผือกเที่ยง เล่าให้ลูกศิษย์ฟังว่าท่านก้อใช้วิธีนี้ ท่านนี้ช่วงวันใหว้ครู ดีดนิ้วดังเป๊าะ เทียนจะติดทันที่ท่านชำนาญกสินไฟ เสกน้ำมนต์ใส่ปลัดขิก จะวิ่งท่านที ตัวผมเพ่งมาสามอาทิตย์ ยังไม่มีผลอะไร แต่ตาแข็งขึ้นไม่ค่อยกลัวแสง เวลาทำงานอะไรตามปกติ เผลอหลับตาจะมีแสงกลมๆสีเหลืองในความมืดของดวงตา ถ้าตื่นเช้ามาจะเห็นแสงลอยมากลมๆ ทั้งที่ไม่กำหนดจิต ,,,,บางทีการปฏิบัติมันต้องอาศัยบารมีเก่า สิ่งที่เราทำมา มันจะเกิดความพึงพอใจสิ่งนั้นขึ้นมา เราควรยึดแนวทางนั้น ที่ใจเราบอกจะดีที่สุด
    ,,,,เมื่อเริ่มปฏิบัติสิ่งที่ควรนึกถึง อิมาหัง ภควา อัตตภาวัง ตุมหากัง ปะริจจะฉามิ มอบกายถวายชีวิตแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า ก็จบแค่นั้นเอง ตายไปเป็นอะไรก็ไป อยู่กับพระพุทธเจ้า ไม่เห็นน่ากลัวอะไร บางทีจะกลัวเพราะเค้าว่า หรือต้องยึดหลักวิทยาศาสตร์ มันจะตีกันตายเสียมากกว่า เรื่องวิทยาศาสตร์ก็ยังไม่สามารถเจาะเรื่องจิตได้เด็ดขาดเลย อยากอิ่มต้องกินเอง อยากรู้เรื่องจิต ก็ใช้จิตศึกษา เพ่งดวงอาทิตย์มีคุณหรือโทษ ตัวเองจะให้คำตอบ แต่ไม่ควรที่จะให้คำแนะนำ ในเมื่อตัวเองยังไม่ทดลองเอง อย่าใช้คำว่าเขาว่า แต่ผมคนหนึ่งทียังไม่เจอโทษของการเพ่งตะวัน เจอข้อดี คือได้นิมิต
    ติดตาเร็ว นาน (ลืมเล่าไปสมัยวัยรุ่นเคยเพ่งครั้งหนึ่ง เพ่งแล้วหลับตา เพื่อนึกย้อนภาพว่าติดตาใหม ลืมตาหลับตาอยู่พักหนึ่ง ใจนึกว่าอยากให้เห็นภาพตลอดแม้หลับตา ไม่มีคำภาวนาใดๆ ช่วงหนึ่งเห็นภาพเหมือนเราลืมตา ใจมันเกิดปิติ สะดุ้งออกจากสมาธิ เพราะภาพมันชัดมาก เหมือนลืมตาดู )

    ฉะนั้นท่านก็พิจารณากันตามวาสนาบารมีเก่าแล้วกัน แต่อานิสงฆ์ที่มาชี้แนะด้วยใจบริสุทธิ์นี้ ขอให้ข้าพเจ้าได้บรรลุธรรมที่ปราถนาในเร็ววันเทอญ และขอท่านที่เคยปฏิบัติแนวทางการเพ่งพระอาทิตย์ได้รับความสำเร็จในอภิญญาที่ท่านมุ่งมาตั้งแต่อดีตชาติในเร็ววัน เมื่อบรรลุแล้วขอท่านจงถึงนิพานในเบื้องสูงต่อไป
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 26 มิถุนายน 2010
  6. ฤาษีสมาบัติแปด

    ฤาษีสมาบัติแปด สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    5
    ค่าพลัง:
    +4
    <TABLE class=tborder id=post3469695 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD class=alt1 id=td_post_3469695 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><HR style="COLOR: #ffffff; BACKGROUND-COLOR: #ffffff" SIZE=1> <!-- google_ad_section_start -->หลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม ท่านได้เล่าไว้ในประวัติ ว่าท่านก็ใช้การเพ่งตะวัน

    ตั้งแต่เช้าถึงเที่ยง หลวงพ่อจำเนียร วัดถ้ำเสือท่านเพ่งตั้งแต่เช้าถึงเย็น

    อาจารย์ณรงค์ เผือกเที่ยง เล่าให้ลูกศิษย์ฟังว่าท่านก้อใช้วิธีนี้ ท่านนี้ช่วงวันใหว้ครู ดีดนิ้วดังเป๊าะ เทียนจะติดทันที่ท่านชำนาญกสินไฟ เสกน้ำมนต์ใส่ปลัดขิก จะวิ่งท่านที ตัวผมเพ่งมาสามอาทิตย์ ยังไม่มีผลอะไร แต่ตาแข็งขึ้นไม่ค่อยกลัวแสง เวลาทำงานอะไรตามปกติ เผลอหลับตาจะมีแสงกลมๆสีเหลืองในความมืดของดวงตา ถ้าตื่นเช้ามาจะเห็นแสงลอยมากลมๆ ทั้งที่ไม่กำหนดจิต ,,,,บางทีการปฏิบัติมันต้องอาศัยบารมีเก่า สิ่งที่เราทำมา มันจะเกิดความพึงพอใจสิ่งนั้นขึ้นมา เราควรยึดแนวทางนั้น ที่ใจเราบอกจะดีที่สุด
    ,,,,เมื่อเริ่มปฏิบัติสิ่งที่ควรนึกถึง อิมาหัง ภควา อัตตภาวัง ตุมหากัง ปะริจจะฉามิ มอบกายถวายชีวิตแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า ก็จบแค่นั้นเอง ตายไปเป็นอะไรก็ไป อยู่กับพระพุทธเจ้า ไม่เห็นน่ากลัวอะไร บางทีจะกลัวเพราะเค้าว่า หรือต้องยึดหลักวิทยาศาสตร์ มันจะตีกันตายเสียมากกว่า เรื่องวิทยาศาสตร์ก็ยังไม่สามารถเจาะเรื่องจิตได้เด็ดขาดเลย อยากอิ่มต้องกินเอง อยากรู้เรื่องจิต ก็ใช้จิตศึกษา เพ่งดวงอาทิตย์มีคุณหรือโทษ ตัวเองจะให้คำตอบ แต่ไม่ควรที่จะให้คำแนะนำ ในเมื่อตัวเองยังไม่ทดลองเอง อย่าใช้คำว่าเขาว่า แต่ผมคนหนึ่งทียังไม่เจอโทษของการเพ่งตะวัน เจอข้อดี คือได้นิมิต
    ติดตาเร็ว นาน (ลืมเล่าไปสมัยวัยรุ่นเคยเพ่งครั้งหนึ่ง เพ่งแล้วหลับตา เพื่อนึกย้อนภาพว่าติดตาใหม ลืมตาหลับตาอยู่พักหนึ่ง ใจนึกว่าอยากให้เห็นภาพตลอดแม้หลับตา ไม่มีคำภาวนาใดๆ ช่วงหนึ่งเห็นภาพเหมือนเราลืมตา ใจมันเกิดปิติ สะดุ้งออกจากสมาธิ เพราะภาพมันชัดมาก เหมือนลืมตาดู )

    ฉะนั้นท่านก็พิจารณากันตามวาสนาบารมีเก่าแล้วกัน แต่อานิสงฆ์ที่มาชี้แนะด้วยใจบริสุทธิ์นี้ ขอให้ข้าพเจ้าได้บรรลุธรรมที่ปราถนาในเร็ววันเทอญ และขอท่านที่เคยปฏิบัติแนวทางการเพ่งพระอาทิตย์ได้รับความสำเร็จในอภิญญาที่ท่านมุ่งมาตั้งแต่อดีตชาติในเร็ววัน เมื่อบรรลุแล้วขอท่านจงถึงนิพานในเบื้องสูงต่อไป<!-- google_ad_section_end -->
    </TD></TR><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid">[​IMG] [​IMG]<SCRIPT type=text/javascript> vbrep_register("3469695")</SCRIPT> [​IMG] </TD><TD class=alt1 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 0px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid" align=right>[​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE>


    <TABLE cellSpacing=1 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=thead>จาตุโลกบาล</TD></TR><TR><TD class=vbmenu_option>ดูรายละเอียดของ</TD></TR><TR><TD class=vbmenu_option>ส่งข้อความส่วนตัวถึงคุณ จาตุโลกบาล</TD></TR><TR><TD class=vbmenu_option>ค้นหาโพสเพิ่มเติมของ จาตุโลกบาล</TD></TR><TR><TD class=vbmenu_option>Add จาตุโลกบาล to Your Contacts</TD></TR><TR><TD class=vbmenu_option>จาตุโลกบาล Donation Stats</TD></TR><TR><TD class=vbmenu_option>View จาตุโลกบาล's Videos </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  7. ฤาษีสมาบัติแปด

    ฤาษีสมาบัติแปด สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    5
    ค่าพลัง:
    +4
    มีใครบ้างที่ใช้การเพ่งตะวัน

    :cool:
    หลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม ท่านได้เล่าไว้ในประวัติ ว่าท่านก็ใช้การเพ่งตะวัน
    ตั้งแต่เช้าถึงเที่ยง หลวงพ่อจำเนียร วัดถ้ำเสือท่านเพ่งตั้งแต่เช้าถึงเย็น
    อาจารย์ณรงค์ เผือกเที่ยง เล่าให้ลูกศิษย์ฟังว่าท่านก้อใช้วิธีนี้ ท่านนี้ช่วงวันใหว้ครู ดีดนิ้วดังเป๊าะ เทียนจะติดทันที่ท่านชำนาญกสินไฟ เสกน้ำมนต์ใส่ปลัดขิก จะวิ่งท่านที ตัวผมเพ่งมาสามอาทิตย์ ยังไม่มีผลอะไร แต่ตาแข็งขึ้นไม่ค่อยกลัวแสง เวลาทำงานอะไรตามปกติ เผลอหลับตาจะมีแสงกลมๆสีเหลืองในความมืดของดวงตา ถ้าตื่นเช้ามาจะเห็นแสงลอยมากลมๆ ทั้งที่ไม่กำหนดจิต ,,,,บางทีการปฏิบัติมันต้องอาศัยบารมีเก่า สิ่งที่เราทำมา มันจะเกิดความพึงพอใจสิ่งนั้นขึ้นมา เราควรยึดแนวทางนั้น ที่ใจเราบอกจะดีที่สุด
    ,,,,เมื่อเริ่มปฏิบัติสิ่งที่ควรนึกถึง อิมาหัง ภควา อัตตภาวัง ตุมหากัง ปะริจจะฉามิ มอบกายถวายชีวิตแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า ก็จบแค่นั้นเอง ตายไปเป็นอะไรก็ไป อยู่กับพระพุทธเจ้า ไม่เห็นน่ากลัวอะไร บางทีจะกลัวเพราะเค้าว่า หรือต้องยึดหลักวิทยาศาสตร์ มันจะตีกันตายเสียมากกว่า เรื่องวิทยาศาสตร์ก็ยังไม่สามารถเจาะเรื่องจิตได้เด็ดขาดเลย อยากอิ่มต้องกินเอง อยากรู้เรื่องจิต ก็ใช้จิตศึกษา เพ่งดวงอาทิตย์มีคุณหรือโทษ ตัวเองจะให้คำตอบ แต่ไม่ควรที่จะให้คำแนะนำ ในเมื่อตัวเองยังไม่ทดลองเอง อย่าใช้คำว่าเขาว่า แต่ผมคนหนึ่งทียังไม่เจอโทษของการเพ่งตะวัน เจอข้อดี คือได้นิมิต
    ติดตาเร็ว นาน (ลืมเล่าไปสมัยวัยรุ่นเคยเพ่งครั้งหนึ่ง เพ่งแล้วหลับตา เพื่อนึกย้อนภาพว่าติดตาใหม ลืมตาหลับตาอยู่พักหนึ่ง ใจนึกว่าอยากให้เห็นภาพตลอดแม้หลับตา ไม่มีคำภาวนาใดๆ ช่วงหนึ่งเห็นภาพเหมือนเราลืมตา ใจมันเกิดปิติ สะดุ้งออกจากสมาธิ เพราะภาพมันชัดมาก เหมือนลืมตาดู )
    ฉะนั้นท่านก็พิจารณากันตามวาสนาบารมีเก่าแล้วกัน แต่อานิสงฆ์ที่มาชี้แนะด้วยใจบริสุทธิ์นี้ ขอให้ข้าพเจ้าได้บรรลุธรรมที่ปราถนาในเร็ววันเทอญ และขอท่านที่เคยปฏิบัติแนวทางการเพ่งพระอาทิตย์ได้รับความสำเร็จในอภิญญาที่ท่านมุ่งมาตั้งแต่อดีตชาติในเร็ววัน เมื่อบรรลุแล้วขอท่านจงถึงนิพานในเบื้องสูงต่อไป
     
  8. Bi-Location

    Bi-Location Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2010
    โพสต์:
    54
    ค่าพลัง:
    +49
    จะศาสนาใดก็แล้วแต่ มันมีระดับแห่งการเข้าถึงที่ต่างกัน
    หลายศาสนาสอนให้คนไปเป็นเทวดา
    บางศาสนาสอนให้คนไปเกิดเป็นพรม
    บางลัทธิสอนให้คนไปเป็นเทวดาก็มี เป็นคนเหมือนเดิมก็มี แต่ก็แปลกที่บางลัทธิสอนให้กันแห่ลงนรก
    คนไม่มีศาสนา ส่วนใหญ่ก็ยากที่จะได้กลับมาได้อัตภาพแห่งการเป็นมนุษย์ มีแต่จะลงอบาย
    ขอบอกว่า มีเพียงหนึ่งเดียวที่สอนให้คนให้หลุดพ้นจากภพ ภูมิ เหล่านี้ พิจารณาเองว่าสุดยอดขนาดไหน

    ขออนุโมทนา สาธุครับ
     
  9. lamb of god

    lamb of god เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2009
    โพสต์:
    543
    ค่าพลัง:
    +436
    อาเมน....เป็นเช่นนั้นแหละ
     
  10. Kama-Manas

    Kama-Manas เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    5,351
    ค่าพลัง:
    +6,491
    สรุปว่าท่านตอบเค้าจริงๆ หรือว่าท่าน"กวน-" เค้ากันแน่ อ่านแล้วไม่เข้าใจ...
     
  11. saturday_rainy

    saturday_rainy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มกราคม 2009
    โพสต์:
    335
    ค่าพลัง:
    +957
    อ่านหนังสือของ อ.บูรพา เรื่องกสินไฟก่อนครับ จะได้รู้ข้อดี ข้อเสีย ไม่ได้มาโฆษณานะ แต่อาจารย์ทิ้งกสินไฟไปแล้วนะครับ ไม่รู้ทำไมน้า อยากรู้ลองอ่านเอา
     
  12. โทสะ

    โทสะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    187
    ค่าพลัง:
    +466
    ตอนแรก .... ว่าจะปล่อยให้กระทู้นี้ ไปแล้ว แต่เห็นหลายท่านสนใจเรื่องนี้

    เอ้า มาคุยกันต่อ
     
  13. โทสะ

    โทสะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    187
    ค่าพลัง:
    +466
    เครื่องผูกจิต ที่ดี สำหรับแต่ละท่าน หากจะให้ดี ควรถูกจริตตน

    การเพ่งตะวัน ต้องรู้กลวิธี ฉลาดในการเพ่งเพื่อให้ได้ภาพนิมิตติดตา มิใช่ไปเบิกตา ดูดวงอาทิตย์ยามเที่ยงวัน หากจะทำไปโดยขาดปัญญาเยี่ยงนั้น อันตรายเกิดกับผู้นั้นแน่นอน
    ประเด็ดสำคัญคือ เราต้องการให้สามารถจำภาพได้ และเอามาเป็นเครื่องผูกจิต นึกขึ้นเมื่อใด ภาพนั้นก็ยังตราตรึงอยู่ในใจ และหากสมาธิตั้งมั่น ถึงขั้นอุปจาระสมาธิ เมื่อหลับตา ท่านผู้นั้นจะเห็นภาพนิมิตเหมือนดวงอาทิตย์ที่ตนเพ่งมอง หากยังไม่สามารถเห็นภาพดวงอาทิตย์เหมือนลืมตาดู ก็อย่าไปบังคับให้เห็น หากจิตไม่สงบ ภาพนิมิตมันไม่เกิด ( อย่าอยาก ยิ่งไม่เกิด เหมืิอนวิ่งตาม ยิ่งห่างออกไป ยิ่งเฉย สบาย ขี้คร้านจะขี้เกียจเห็น )
    เพราะฉะนั้น ภาพพระอาทิตย์ สำหรับผู้ฝึกใหม่ ต้องเป็นยามเช้า หรือยามเย็นที่แสงอ่อนๆ แล้ว มองดูเพื่อให้จำได้ ไม่ใช่ไปถ่างตาดูจนตาแฉะ ( ขอให้ใช้หลักการเพ่งกสิณ ) และควรอยู่ในท่าที่ผ่อนคลาย สบาย สงบ จะยืน หรือนั่งก็ได้ แต่หากนั่งในท่าเข้าสมาธิจะดี
    เมื่อ จำภาพได้แล้ว ต้องใช้ภาพนั้นเป็นเครื่องผูกจิต ไปตลอดเวลา คือนึกเห็น และเมื่อต้องการเข้าสมาธิ ก็ หลับตาแล้วเรียกภาพนั้นขึ้นมา เชื่อเถอะว่า หากจิตไม่สงบ ไม่ตั้งมั่นขึ้นสู่สมาธิขั้นกลาง เรียกให้ตายมันก็ไม่เห็นอะไร มีแต่มืดตื๊ดตือเท่านั้น
    เมื่อจิต สงบ เริ่มเข้าสมาธิขั้นกลาง เมื่ออาการปีติเริ่มเกิด ภาพมันจะเริ่มชัด และชัดขึ้นเรื่อยๆ จนเมื่อ เข้าไปแตะ ฌาน ๑ ท่านจะมองเห็นมันยังกับดวงอาทิตย์จริงๆ

    ลองเพียรดู ให้ใช้ปัญญาตน พลิกแพลง อย่าทำแบบทื่อๆ เซ่อๆ โดยขาดปัญญา แล้วความจริงจะประจักษ์กับใจท่านเอง ไม่ต้องไปถามใคร ไม่ต้องให้ใครรับรอง เพราะท่านเท่านั้นเป็นผู้รู้เอง เห็นเอง

    ขอให้เจริญในธรรม
     
  14. โทสะ

    โทสะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    187
    ค่าพลัง:
    +466
    ข้อ สำคัญอีกประการหนึ่ง สำหรับท่านที่สนใจ กสิณกองนี้ คือ อย่าเป็นคนปอดแหก

    หากคิดว่าตน ยังรักตัว กลัวตาย ขี้ขาด ตาขาว ไม่แนะนำให้มาฝึก
     
  15. อวตาร.

    อวตาร. เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    411
    ค่าพลัง:
    +633
    เป็นความสามารถเฉพาะตัวห้ามลอกเรียนแบบ
    ไม่เช่นนั้น ถึงตาไม่ขาว ก็อาจจะเป็นคน ตาขาว ได้นะครับ อิอิ
     
  16. apichai53

    apichai53 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    630
    ค่าพลัง:
    +2,261
    ความรู้ความเข้าใจ และสิ่งที่สะสมกันมาไม่เท่ากันในแต่ละคน
    บางเรื่องเป็นปัจจัตตัง เรายังเข้าถึงไม่ได้ ก็ไม่ได้หมายความว่า
    ไม่มี หรือเป็นไปไม่ได้ เปิดใจให้กว้าง รับฟังให้รอบด้าน

    ถ้ายังไม่สามารถทำความเข้าใจได้ในตอนนี้ ก็ให้ละ ไว้ก่อน
    ไว้ให้พร้อมเมื่อไหร่ค่อยมาดูมาศึกษากันใหม่ อย่าเพิ่งไปปฏิเสธ
    หรือไปว่ากล่าว โดยสร้างวจีกรรมต่อกัน....มีอีกหลายๆเรื่อง
    ในโลกเรานี้ที่ซับซ้อนเกินความนึกคิดเราจะคาดเดาได้...
    ค่อยๆศึกษากันไปครับ...
    http://palungjit.org/threads/sungazing-เพื่อความสมดุลแห่ง-กาย-ใจ-และจิตวิญญาณ.293844/

    อนุโมทนาเจ้าของกระทู้ด้วยครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 22 กันยายน 2011
  17. อศูนย์น้อย

    อศูนย์น้อย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    458
    ค่าพลัง:
    +495
    ขอเสดงความเห็นหน่อยนะครับ คือส่วนตัวก็เพ่งพระอาทิตย์ครับ เพ่งตอนที่นึกได้ ^^ ส่วนมาก
    จะเพ่งตอนเทียงตอนบ่าย เป็นประจำแต่ตอนนี้ไม่ได้เพ่งแล้ว เดียวหน้าดำ หน้าไม่ใสเดียวไม่หล่อ 5555 <----- อันนี้เอาฮานะ มันเป็นแค่อุบายหลอกจิตเท่านั้นครับ
    กสินไฟเป็นอะไรที่เร็วจริง เห็นจริงรู้จริง และ หลอน จริง ๆ ถ้าเข้าใจจริงทุกสิ่งทุกอย่าง มันเป็นปกติ เป็นอัตโนมัต ไม่ต้องไปกำหนดข่มเพ่งบังคับเลยแม้แต่น้อย
    ถ้าเพ่งพระอาทิตย์แล้วตาบอกจริง ผมคงตาบอดตั่งแต่เด็กแล้วละครับ เพ่งไปแล้วมันมีความอัศจรรย์ ของมันในตัว
    ไม่แสบตาไม่เคืองตาเลยแม้แต่น้อย อันนี้เป็นภาวะส่วนตัวนะใครจะเป็นอย่างไรผมไม่รู้ผมรู้แค่ ตัวผมเท่านั้นมันเกิดแบบนั้นจริง มันเป็นแบบนั้นเอง จริตคนเราแตกต่างครับ ท่านที่ว่าเพ่งพระอาทิตย์แล้ว โง่ คิดหรือเปล่าครับที่พิมแบบนั้น ความพึงพอใจของแต่ละคนแต่ละท่านมันแตกต่างกัน
    มันไม่มีหลอกครับ คำว่า แบบไหนดีกว่า กองไหนดีกว่า ที่มันดีนะมันเข้ากับจริตเราหรือเปล่าถ้ามันตรงแฮปปี้ที่ทำกองนั้นๆ ก็ทำไปทำไห้ถึงทำไห้จริง
    ในกองนั้นๆที่เราท่านเลือกที่จะทำ เกิดผลแน่นอน ถ้าไม่ฝึกกสินไฟท่านจะไม่รู้เลยว่าความ มันสุดยอดมันอยู่ตรงไฟนี่และ
    แต่แล้วมันไม่ได้สำคัญมั่นหมายเลยแม้แต่น้อย เป็นเพียงทางผ่านเท่านั้น ขอ อนุโมทนากับท่านผู้มีความเพียนทุกๆท่านด้วยครับ
    แล้วอีกอย่าง ขอรบกวนถาม จ ข ก ท หน่อยครับว่า ที่ท่านฝึกกสิณไฟนั้น ทำอะไรได้บ้างครับ เช่น จุดไฟติดไหม คือ เอาเทียนตั่งไว้หข้างหน้า กำหนดจิตเพ่งไห้ไปติด ทำได้ไหมครับ
    ท่าน รบกวนตอบด้วยนะครับ ^^
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG_0699.jpg
      IMG_0699.jpg
      ขนาดไฟล์:
      23.7 KB
      เปิดดู:
      123
  18. snakejoke

    snakejoke เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    374
    ค่าพลัง:
    +699
    เราก้อสามารถมองเห็นพระอาทิตย์ได้

    เราเห็นมาสามปีแล้ว มองเป็นชม.ก้อมองได้ ตอนแรกแสงอาทิตย์จะส่องตาแล้วมันจะปรับม่านตาให้มองได้เมื่อมอง จะเห็นสีของพระอาทิตย์เป็นสีขาวๆ รอบๆมีแสง
    มองตอนกลางวันจะเป็นดวงเล็กๆส่องแสงสว่าง พอมองพื่นก้อจะมืดนิดเดียว คือมองเห็นแสง ภาพทั่วไปแต่จะมืดเล็กน้อย พอมองพื้นจะเห็น รูปพระพุทธรูปบ้าง รูป แสงกลมๆ สีทอง มองไปทางไหน้ก้อเจอ ลอยอยู่บนพื้น
    นอกจากมองพระอาทิตย์ได้ก้อมองดวงดาวเคลื่อนที่ไปมาจากขวาไปซ้าย มองเห็นดวงดาวเคลื่อนที่เป็นแสงแว็ปๆๆ ไปมา ถ้าเป็นกลุ่มดาวก้อจะเคลื่อนที่ยอกล้อกันน่าดู น่ามอง
    ออร่าคนก้อมองเห็น จะเป็นสีใสๆห่างจากตัวคนเซ็นหนึ่ง
    ตอนกลางวันถ้ามองฟ้า จะเห็นสีทองเม็ดเล็กเต็มทอ้งฟ้าไปหมด ซึ่งเป็นหมื่นๆดวง และในตาทั้งสองข้างถ้าจอ้งดูดีๆๆ จะมีเหมือนเม็ดพลาสติกลอยไปมาตามดวงตา คล้ายพญานาคบ้าง คล้ายรากไม้บ้าง คล้ายรูปพระโพธิสัตว์บ้าง
    นี่คือความอัศจรรย์ที่เรามอง เราปฏิบัติธรรมสายสัญญาบารมี ถ้ามีกุศลมูลเดิมเยะอก้อจะมองเห็นซึ่งแม่กะน้องที่ปฏิบัติมานานก้อยังไม่เห็น เพราะยังไม่ถึงเวลาครับ มาแชร์ว่าเห็นอะไรให้ฟังครับผมม
     
  19. telwada

    telwada เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2004
    โพสต์:
    1,606
    ค่าพลัง:
    +1,817
    อา...ฮ้า....... ขออภัยนะขอรับ อย่าหาว่าขัดคอเลยขอรับ ใครอย่าได้เชื่อแล้วทำตามเป็นอันขาดนะขอรับ
    การเพ่งมองดวงอาทิตย์จะทำให้ตาบอดได้นะขอรับ
    อีกประการที่สำคัญ ดวงอาทิตย์ มีสิ่งมีชีวิตที่เจริญกว่ามนุษย์อาศัยอยุ่นะขอรับ
    สมัยเมื่อข้าพเจ้ายังรับราชการอยู่ ก็ชอบเพ่งมองดวงอาทิตย์ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงกาล พอเพ่งมองมากเข้า ขั้นแรกก็ถูก พญานาคราชที่พันอยู่ที่คอ พ่นพิษใส่ดวงตาข้าพเจ้า จนเจ็บตาทั้งสองข้าง ทั้งๆที่ขณะข้าพเจ้าเพ่งมองดวงอาทิตย์นั้น เป็นเวลาเย็นสามารถมองดวงอาทิตย์ได้อย่างสบาย ไม่ใช่คิดเอาเองนะขอรับ เห็นเป็นตัวชัดๆเลยขอรับ
    อีกครั้งหนึ่ง เป้นชั้นที่สอง ขณะอยู่ในที่ทำงาน ขณะนั้นเวลาประมาณเกือบเทียงวันเห็นจะได้ ข้าพเจ้าเพ่งมองดวงอาทิตย์อยู่ประมาณ ไม่น่าจะเกิน ๓๐ วินาที มาเลยขอรับ ใส่เครื่องทรงครบชุดเป็นสิ่งที่คนไทยเรียกว่า เทวดานั่นแหละ ขว้างจักรเห็นชัด เข้าที่คอข้าพเจ้า กายหยาบและกายละเอียด คอขาดเลยขอรับ แต่กายหยาบคอกลับต่อดังเดิม ส่วนกายละเอียดซึ่งตอนนั้น มีสีดำ ถึงกลับขาดและหายวับไปเลยขอรับ และในตอนนั้น มีผู้รู้เห็นอยู่หนึ่งคนขอรับ นามสกุล ณ.เชียงใหม่ (ขออนุญาตเอ่ยนามสกุลขอรับ)
    อย่าทำเป็นล้อเล่นกับดวงอาทิตย์นะขอรับ ประเดี๋ยวจะไม่ได้ตายเย็นนะขอรับ
     
  20. ลูกพุทธธะ

    ลูกพุทธธะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    1,179
    ค่าพลัง:
    +4,787
    แนะนำเพ่งเทียนก่อนนะครับ แล้วค่อยเพ่งพระอาทิตย์ แต่ที่เพ่งมาไม่เห็นเทวดาทำร้ายเลย มีแต่ร่วมโมทนา เพราะถ้าทำได้ก็เป็นบุญชนิดหนึ่ง แสดงว่าคุณtelwadaคิดไม่ดีใช่เปล่า
     

แชร์หน้านี้

Loading...