การจะเป็นพระอรหันต์ได้นั้นจำเป็นต้องบวชเหรอครับ

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย frankenstein-z, 29 มิถุนายน 2010.

  1. ภราดรภาพ

    ภราดรภาพ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2009
    โพสต์:
    1,578
    ค่าพลัง:
    +2,762
    อนาคามี: พระในเพศฆราวาส

    การปฏิบัติพระกรรมฐาน : บรรยายโดย อาจารย์ชัชวาลย์ ชิงชัย[FONT=Tahoma,Helvetica,Sans-Serif][/FONT]

    [FONT=Tahoma,Helvetica,Sans-Serif]อนาคามี: พระในเพศฆราวาส[/FONT]

    [FONT=Tahoma,Helvetica,Sans-Serif] สำหรับวันนี้จะบรรยายให้ท่านทั้งหลายฟัง ในหัวข้อเรื่องอนาคามี : พระในเพศฆราวาส ที่เป็นเช่นนั้นก็[/FONT][FONT=Tahoma,Helvetica,Sans-Serif]เพราะว่า ฆราวาสสามารถที่จะบรรลุอริยบุคคลได้ทุกชั้น แต่พระโสดาบันและสกทาคามีนั้น ยังมีพฤติกรรม[/FONT][FONT=Tahoma,Helvetica,Sans-Serif]บางอย่างที่คล้ายๆ กับ ปถุชน เช่น ท่านยังมีครอบครัว มีสามี ภรรยา และลูก เพีงแต่ท่านมีศีล 5 บริสุทธิ์ ท่านละ[/FONT][FONT=Tahoma,Helvetica,Sans-Serif]สังโยชน์ คือ กิเลสทั้ง 3 ตัวได้[/FONT]

    [FONT=Tahoma,Helvetica,Sans-Serif] สิ่งที่สำคัญก็คือ สำหรับอริยบุคคล 2 ชั้นนี้ ท่านยังสามารถบริโภคความสุขได้ทั้ง 3 ประการ คือ [/FONT]
    [FONT=Tahoma,Helvetica,Sans-Serif] 1.กามสุข [/FONT][FONT=Tahoma,Helvetica,Sans-Serif]ความสุขจากกาม [/FONT]
    [FONT=Tahoma,Helvetica,Sans-Serif] 2.ฌานสุข ความสุขที่เกิดจากฌาน [/FONT]
    [FONT=Tahoma,Helvetica,Sans-Serif] 3.นิพพานสุข ความสุขที่ได้จากการเข้าถึงนิพพาน [/FONT]
    [FONT=Tahoma,Helvetica,Sans-Serif][/FONT]
    [FONT=Tahoma,Helvetica,Sans-Serif]แม้ยัง[/FONT][FONT=Tahoma,Helvetica,Sans-Serif]ไม่สามารถเข้าถึงได้อย่างชนิดเต็มตัว แต่ท่านสามารถหน่วงเหนี่ยวอารมณ์แห่งนิพพานได้[/FONT]
    [FONT=Tahoma,Helvetica,Sans-Serif] [/FONT]
    [FONT=Tahoma,Helvetica,Sans-Serif] สำหรับอริยบุคคลชั้นสูงขึ้นไป คือ ในระดับพระอนาคามีและพระอรหันต์ ท่านไม่ได้บริโภคกามสุข [/FONT][FONT=Tahoma,Helvetica,Sans-Serif]ท่านบริโภคเฉพาะฌานสุขและนิพพานสุขเท่านั้น ทั้งนี้ก็สืบเนื่องมาจากการที่พระอนาคามีนั้นท่านสามารถละ [/FONT][FONT=Tahoma,Helvetica,Sans-Serif]สังโยชน์ คือ กิเลสเพิ่มได้อีก 2 ตัว ก็คือ กามราคะ ท่านสามารถตัดความรัก ความยินดีในกาม คือ รูป เสียง กลิ่น รส [/FONT][FONT=Tahoma,Helvetica,Sans-Serif]และ สัมผัส ท่านสามารถตัดปฏิฆะ คือ ความโกรธเสียได้ [/FONT]
    [FONT=Tahoma,Helvetica,Sans-Serif]
    เมื่อท่านสามารถตัดความรักและความโกรธได้แล้ว จึงทำให้ท่านเป็นผู้มีศีลบริบูรณ์ แต่ศีลในที่นี้ไม่ได้
    [/FONT][FONT=Tahoma,Helvetica,Sans-Serif]เป็นศีลเหมือนอริยบุคคล 2 ระดับ ดังกล่าวแล้ว พระโสดาบันและพระสกทาคามีนั้น เป็นผู้ที่มีศีล 5 บริสุทธิ์โดย[/FONT][FONT=Tahoma,Helvetica,Sans-Serif]ธรรมชาติ ส่วนพระอนาคามีนั้นมีอธิศีลเหมือนพระโสดาบัน แต่ข้อแตกต่างกันก็คือ พระอนาคามีมีศีล 8 โดย[/FONT][FONT=Tahoma,Helvetica,Sans-Serif]ธรรมชาติหรืออาจเรียกได้ว่าศีลอุโบสถก็ได้[/FONT][FONT=Tahoma,Helvetica,Sans-Serif]

    ที่สำคัญก็คือ พระอนาคามีเป็นผู้ที่มีอธิจิตบริบูรณ์ คำว่า อธิจิต ก็หมายความว่า เป็นผู้ที่มีสมาธิที่
    [/FONT][FONT=Tahoma,Helvetica,Sans-Serif]สมบูรณ์ ท่านทั้งหลายโปรดสังเกตว่า ในการฝึกสมาธินั้นมีกิเลสตัวสำคัญที่รุมล้อมทำร้ายจิตใจของเรา เรียกว่า [/FONT][FONT=Tahoma,Helvetica,Sans-Serif]นิวรณ์ทั้ง 5 ได้แก่ [/FONT]
    [FONT=Tahoma,Helvetica,Sans-Serif] 1.กามฉันทะ ความพอใจในกาม [/FONT]
    [FONT=Tahoma,Helvetica,Sans-Serif] 2.ความพยาบาท ความขัดเคืองไม่พอใจ [/FONT]
    [FONT=Tahoma,Helvetica,Sans-Serif] 3.ถีนมิทธะ ความ[/FONT][FONT=Tahoma,Helvetica,Sans-Serif]หดหู่และความเซื่องซึม [/FONT]
    [FONT=Tahoma,Helvetica,Sans-Serif] 4.อุทธัจจะกุกกุจจะ ความฟุ้งซ่านแระ รำคาญใจ [/FONT]
    [FONT=Tahoma,Helvetica,Sans-Serif] 5.วิจิกิจฉา ความลังเลสงสัย[/FONT]
    [FONT=Tahoma,Helvetica,Sans-Serif]
    กิเลสตัวสำคัญที่สุด คือ กามราคะ หรือในนิวรณ์เรียกว่า กามฉันทะนั่นเอง แล้วก็พยาบาท ซึ่งใน
    [/FONT][FONT=Tahoma,Helvetica,Sans-Serif]สังโยชน์เรียกว่า ปฏิฆะ ราคะกับโทสะ สองตัวนี้เป็นสิ่งที่มีความสำคัญมากในระดับกิเลสชั้นกลาง เพราะว่าเป็น[/FONT][FONT=Tahoma,Helvetica,Sans-Serif]กิเลสที่มารุมทำร้ายจิตใจ ทำให้จิตใจของเรานั้นไมีความสงบ เดี๋ยวจิตก็ฟุ้งซ่านไปในอารมณ์ของ ความรัก ความ[/FONT]
    [FONT=Tahoma,Helvetica,Sans-Serif]โกรธ เมื่อเราสามารถตัดราคะและโทสะได้ พระอนาคามีจึงชื่อว่าเป็นผู้มี อธิจิตสิกขา คือ เป็นผู้ที่มีสมาธิจิตบริบูรณ์[/FONT]
    [FONT=Tahoma,Helvetica,Sans-Serif]
    ส่วนปัญญาของท่านก็มีอยู่พอควร ถ้าท่านไม่มีปัญญา ท่านไม่สามารถละกิเลสในระดับหนึ่งได้ เพียง
    [/FONT][FONT=Tahoma,Helvetica,Sans-Serif]แต่ท่านยังมีกิเลสเบื้องสูงอีก 5 ตัวที่ท่านยังไม่สามารถละไ[/FONT][FONT=Tahoma,Helvetica,Sans-Serif]ด้ ภาษาพระใช้คำว่า อุทธัมภาคิสังโยชน์ แปลว่า กิเลสที่[/FONT][FONT=Tahoma,Helvetica,Sans-Serif]เป็นไปในฝ่ายสูง คือ พระอนาคามียังละรูปราคะ คือ ความพอใจในรูปฌานไม่ได้ ยังละอรูปราคะ คือ ความพอใจ[/FONT][FONT=Tahoma,Helvetica,Sans-Serif]ในอรูปฌานไมได้ ยังละ มานะ คือ ความถือตนว่าดีกว่าเขา เสมอกว่าเขา หรือ ต่ำกว่าเขาไม่ได้ ยังละอุทธัจจะ คือ [/FONT][FONT=Tahoma,Helvetica,Sans-Serif]ความฟุ้งซ่านระดับเบื้องสูงไม่ได้ และที่สำคัญคือ ท่านยังละอวิชชา ความหลงไม่ได้[/FONT]

    เพราะฉะนั้น นี่คือ ภาระหนักสำหรับพระอนาคามี ที่ยังมีภาระกิจ คือ กิเลสละเอียด ที่จะต้องละต่อไป
    ครั้งที่แล้วได้อธิบายให้ท่านทั้งหลายฟังว่า ในศีล 8 นั้น ข้อที่น่าสนใจคือ ข้อที่ 3 ในศีล 5 ข้อ คือ กาเมสุมิจฉาจาร หมายความว่า เราจะไม่ยุ่งกับคู่ครองของคนอื่น แต่เราก็ยังมีเพศสัมพันธ์ปกติกับคู่ครองคือสามีและภรรยาของเราได้ แต่พอบรรลุอนาคามีนั้น สภาพจิตของท่านสูงขึ้น เนื่องจากตัดกามระคะได้

    ดังนั้น ศีลข้อที่สามจึงเปลี่ยนจาก กาเมาสุมิจฉาจารา เวรมณี มาเป็น อพรัหมจริยาเวรมณี คำว่า
    อพรัหมจริยาเวรมณี หมายความว่า ไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องทางเพศทุกชนิด เพราะท่านไม่มีภารกิจที่ต้องทำในเรื่องเหล่านี้แล้ว เนื่องจากตัดถอนรากถอนโคนกามราคะได้หมดสิ้นแล้ว

    คำว่า กามราคะ ในศัพท์จิตวิทยา เรียกว่าสัญชาตญาณทางเพศ ซึงในเรื่องนี้มีมุมมองที่ขัดแย้งกัน
    ในทางความคิด เนื่องจากทางตะวันตกนี่ ไม่ว่าจะป็น อริสโตเติ้ล ซิกมันด์ ฟรอยด์ เขาถือว่ากิเลสเป็นสารัตถะ แก่นแท้ของความเป็มนุษย์ มนุษย์ไม่สามารถที่จะตัดทำลายกิเลสได้ เมื่อใดก็ตามที่มนุษย์ตัดทำลายกิเลสหรือสัญชาตญานเหล่านี้ จะทำให้ความเป็นมนุษย์พิกลพิการ นี่คือ แนวคิดของทางตะวันตก ที่ถือว่ากิเลสกับมนุษย์ หรือกิเลสกับจิตเป็นตัวเดียวกัน

    แต่ในทางตะวันออกโดยเฉพาะในทางพระพุทธศาสนา ถือว่ากิเลสเป็นคนละตัวกับจิต กิเลสเป็น
    เจตสิก เป็นสิ่งที่เกิดร่วมกับจิต อาศัยอยู่ในจิต แต่ไม่ใช่จิต ถ้าจิตเปรียบเหมือนเป็นแก้วน้ำ กิเลสก็เป็นเหมือนกับน้ำที่อยู่ในแก้วนั่นเอง เพราะฉะนั้น แก้วน้ำกับน้ำ เป็นสิ่งที่ต้องอาศัยกัน แต่ไม่ใช่เป็นสิ่งเดียวกัน

    ในทางพระพุทธศาสนาจึงถือว่า เราสามารถตัดทำลายกิเลสอันเป็นอกุศล คือ ความไม่ดีได้และ
    เมื่อทำลายความชั่วในจิตให้หมดไปจากจิตใจได้แล้ว ในจิตใจก็เหลือไว้ซึ่งกุศลและเจตสิก ซึ่งเป็นคุณธรรมความดีเพื่อนจะอยู่เกื้อกูลชาวโลกต่อไป เหมือนอย่างที่พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ท้งหลาย ท่านมีเมตตา มีกรุณา มีปัญญา มีคุณธรรมความดีต่างๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่จะใช้เกื้อกูลชาวโลก

    สิ่งที่น่าสนใจอีกข้อหนึ่งคือ ข้อ วิกาลโภชนา เวรมณี พระอนาคามีปกติทานอหารไม่เกินเที่ยง อันนี้
    ก็น่าแปลกเหมือนกัน ซึ่งลางทานอาจสังสัยว่าทำไมทานน้อย มันก็สัมพันธ์กับศีลข้อที่ 3 คือ อพพัมจริยา ท่านงดเว้นเด็ดขาดจากเรื่องเพศทุกชนิด ก็ไม่ต้องใช้พลังงานมากมาย ทานอาหารมื้อเช้าบำรุงกำลัง ท้องว่างมาหลายชั่วโมง มื้อเพลไม่เกินเที่ยง บำรุงปัญญา ส่วนมื้อเย็นบำรุงกามรมณ์

    [FONT=Tahoma,Helvetica,Sans-Serif] สำหรับพวกฆราวาสผู้เสพกาม จำเป็นที่จะต้องบริโภคอาหารในเวลาเย็น ถ้าไม่ทาน คุณพ่อ คุณ[/FONT][FONT=Tahoma,Helvetica,Sans-Serif]แม่ก็คงไม่มีเรี่ยวแรงผลิตพวกเราให้ได้ออกมาชมโลกใบนี้ อันเป็นเรื่องธรรมดา เป็นปกติวิสัยของปุถุชนคนมีกิเลส [/FONT][FONT=Tahoma,Helvetica,Sans-Serif]แต่สำหรับพระอนาคามี ท่านไม่จำเป็นในเรื่องเหล่านี้แล้ว ศีลข้อต่อไปคือ ที่เราสมาทานว่า งดเว้นจากการฟ้อนรำ [/FONT][FONT=Tahoma,Helvetica,Sans-Serif]ขับร้อง บรรเลงดนตรีที่เป็นข้าศึกแก่กุศล คือ สิ่งที่ทำให้จิตใจเพลิดเพลินยินดี ตกไปในอารมณ์แห่งกามคุณ การ[/FONT][FONT=Tahoma,Helvetica,Sans-Serif]ทัดทรงดอกไม้ ของหอม และเครื่องลูบไล้ ซึ่งใช้เป็นเครื่องประดับตกแต่ง ท่านก็ตัดสิ่งเหล่านี้ได้หมด และข้อที่ 8 [/FONT][FONT=Tahoma,Helvetica,Sans-Serif]งดจากการนั่งนอนในที่นอนสูงใหญ่ หรูหราฟุ่มเฟือย สิ่งเหล่านี้ท่านสามารถที่จะตัดได้[/FONT]
    [FONT=Tahoma,Helvetica,Sans-Serif]
    เรื่องของพระอนาคามีเป็นเรื่องที่น่าสนใจมาก ท่านท้งหลายจะสังเกตว่า ในระดับของพระระดับ
    [/FONT][FONT=Tahoma,Helvetica,Sans-Serif]โสดาบันและสกทาคามีนี้ เราจะเรียกท่านเหล่านี้ว่า เป็นชาวบ้านชั้นดีก็ได้ เป็นสุภาพบุรุษชน เป็นสุภาพสตรีชน [/FONT][FONT=Tahoma,Helvetica,Sans-Serif]เป็นคนผู้ชายผู้หญิงที่เป็นคนดี ที่ไม่ละเมิดศีล 5 แต่พระอนาคามี เราไม่อยากเรียกท่านว่าเป็นสุภาพบุรุษ สุภาพสตรี [/FONT][FONT=Tahoma,Helvetica,Sans-Serif]ชั้นดี เพราะว่าท่านมีบุคคลิกภาพที่แปลกไป นั่นก็คือ ท่านมีชีวิตอยู่อย่างฆราวาสจริง แต่วิถีชีวิตของท่านไม่เหมือน[/FONT][FONT=Tahoma,Helvetica,Sans-Serif]ฆราวาส จะเรียกท่านเหล่านี้ว่า อนาคาริก ก็ได้ คำว่า อนาคาริก ก็แปลว่า ผู้ไม่มีเรือน ไม่ครองเรือน
    [/FONT]
    [FONT=Tahoma,Helvetica,Sans-Serif] ท่านทั้งหลายอาจบอกว่า ถ้าไม่ครองเรือน ก็หมายความว่า อนาคามีต้องออกบวชทิ้งหมดใช่หรือไม่ [/FONT][FONT=Tahoma,Helvetica,Sans-Serif]คำตอบก็คือ ไม่มีความจำเป็นถึงขนาดนั้น เท่าที่ตรวจสอบจากหลักฐานในพระไตรปิฏก ก็พบว่าท่านเหล่านี้างส่วน[/FONT][FONT=Tahoma,Helvetica,Sans-Serif]เหมือนกันที่ไม่มีภาระทางโลกแล้ว ท่านก็ปลีกตัวออกไปบวช อย่างเช่น บิดา มารดา ของนางมาคันทิยา ฟังเทศน์[/FONT][FONT=Tahoma,Helvetica,Sans-Serif]จากพระพุทธเจ้าได้บรรลุเป็นพระอนาคามี แล้วท่านก็เอาลูกสาวอันเป็นที่รักคนเดียว คือ นามมาคันทิยาไปฝากไว้[/FONT][FONT=Tahoma,Helvetica,Sans-Serif]กับน้องชาย จากนั้นก็ออกบวชเลย ไม่มีความห่วงใยทางเรือนแล้ว ก็มีบ้างที่ออกบวช หรือ อย่างวิสาขอุบาสก [/FONT][FONT=Tahoma,Helvetica,Sans-Serif]วิสาอุบาสก ฟังเทศน์ได้บรรลุเป็นอนาคามี แต่ท่านก็ไม่ได้ออกบวช[/FONT]

    ท่านทั้งหลายอาจตั้งคำถามว่า อนาคามี แปลว่า ผู้ไม่ครองเรือน ก็หมายความว่าเป็นผู้ที่ไม่มีลูกมี
    เมียใช่หรือไม่ ? ถ้าท่านบรรลุเป็นอนาคามี ท่านก็ไม่มีคู่ครอง หมายความว่า ท่านก็จะไม่ยุ่งเกียวฉันท์สามีภรรยากับคู่ครองของตนเอง ทีนี้ท่านทั้งหลายอาจถามว่า แล้วถ้าอย่างนั้น ความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยาจะป็น
    อย่างไร คำตอบก็คือ ท่านจะอยู่แบบพี่แบบน้อง
    [FONT=Tahoma,Helvetica,Sans-Serif]
    ยกตัวอย่างกรณี วิสาขาอุบาสกที่ให้อิสระแก่ภรรยาคือนางธรรมทินนา แต่ตัวธรรมทินนาก็ถือ
    [/FONT][FONT=Tahoma,Helvetica,Sans-Serif]โอกาสออกบวช แล้วก็ได้บรรลุเป็นอรหันต์สูงกว่าสามี อย่างนี้เป็นต้น ท่านก็จะมีชีวิตอยู่ทางโลกแต่ท่านามี[/FONT][FONT=Tahoma,Helvetica,Sans-Serif]พฤติกรรมไม่เหมือนกับชาวโลก จึงเรียกท่านว่าอนาคามี พระที่อยู่ในเพศฆราวาส เพราะว่าท่านไม่ยุ่งเกี่ยวในเรื่อง[/FONT]
    [FONT=Tahoma,Helvetica,Sans-Serif]ทางเพศ ทีนี้ถ้าเรามามองในด้านสังคมวิทยา พระอนาคามีท่านก็ยังมีภาระอยู่นี่ ยกตัวอย่าง เช่น มีอนาคามีบางท่าน [/FONT][FONT=Tahoma,Helvetica,Sans-Serif]พี่พ่อแม่แก่ชราตาบอด ท่านก็ยังต้องประกออาชีพเป็นช่างปั้นหม้อ เลี้ยงตัวเอง บิดา มารดา ผู้ตาบอด นี้ก็ไม่ใช่[/FONT][FONT=Tahoma,Helvetica,Sans-Serif]สิ่งแปลประหลาด หรือว่าถ้าท่านมีลูกอยู่ ภรรยาไปมีสามีใหม่ ภรรยาไม่ประสงค์จะเลี้ยงลูก ท่านก็อาจจะรับภาระ[/FONT][FONT=Tahoma,Helvetica,Sans-Serif]เลี้ยงลูกทำหน้าที่ความเป็นบิดามารดาได้ตามปกติ[/FONT]
    [FONT=Tahoma,Helvetica,Sans-Serif]
    แต่ท่านจะไม่มีลักษณะของกามราคะ คือ รักในความยึด ในความหวง ในความห่วง ท่านมองสัตว์
    [/FONT][FONT=Tahoma,Helvetica,Sans-Serif]โลกทั้งหลายเหมือนกับเพื่อนร่วมชะตาเดียวกัน เป็นเพื่อนร่วมเกิด แก่ เจ็บ ตาย สิ่งสำคัญที่เด่นมากี่สุดสำหรับพระ[/FONT][FONT=Tahoma,Helvetica,Sans-Serif]อนาคามี ที่อยากอธิบายให้ฟังก็คือว่า ตัวเมตตา คือ ความรัก ความปรารถนาดี เป็นจิตที่เด่นมากของอนาคามี [/FONT][FONT=Tahoma,Helvetica,Sans-Serif]เพราะว่าในจิตของ โสดาบันและสกทาคามี จะสังเกตได้ว่า ท่านเหล่านั้นก็ยังมีความโกรธ แต่ท่านไม่ผูกโกรธ ไม่[/FONT][FONT=Tahoma,Helvetica,Sans-Serif]อาฆาต พยาบาท ความโกรธยังมีอยู่เพราะท่านตัดไม่ได้ แต่พอมาเป็นพระอนาคามีท่านตัดความโกรธได้ [/FONT]

    ศัตรูตัวสำคัญของเมตตาคือ ความรัก ความปรารถนาดี เป็นเมตตาที่ไม่แสดงอานุภาพออกมาได้
    อย่างแรงกล้า ก็เนื่องมาจากอุปสรรคสำคัญ 2 ประการ นั่นคือ โทสะ เมตตา เป็นคู่ปรับกับโทสะ ยามใดที่จิตมีเมตตา จิตก็ไม่มีพยาบาท หรือยามใดที่จิตมีความพยาบาท จิตไม่มีเมตตา เพราะฉะนั้น ตัวโทสะ เป็นตัวที่ทำให้เมตตาเศร้าหมอง เป็นศัตรูไกล คู่ปรับตัวสำคัญและสิ่งที่เป็นศัตรูใกล้ๆคอยกระแซะๆ ให้เมตตา ต้องสูญเสียความเป็นเมตตาก็คือ ราคะ ความกำหนัด ยินดี

    ลักษณะความกำหนัดยินดีมีมากมาย เป็นลักษระความกำหนัดยินดีทางเพศ มันกลายเป็นเมตตาไป
    ไม่ได้ เพราะมันเปลี่ยนจากเมตตาไปเป็นราคะ หรืออาจจะเป็นลักษระในเชิงเจ้าของก็ได้ว่า นี่ลูกเมียเรา เรารัก เราหวง เราห่วงอะไรต่างๆ

    อนาคามีสามารถเสพสุขได้เพียง 2 สุข คือ ฌานสุขและนิพพานสุข ท่านทั้งหลาย อาจจะบอกว่า
    ถ้าอย่างนั้นก็แพ้โสดาบ้นและสกคาทามี เพราะว่าโสดาบัน สกทาคามี เสพสุขได้ทั้ง 3 สุข เป็นกามสุขก็เสพได้ ฌานสุขก็ได้ นิพพานสุขก็ได้ แต่พอมาเป็นอนาคามีเสียกามสุขไปแล้ว อย่างนั้นก็เสียเปรียบ อันที่จริงถือว่า ไม่เป็นการเสียเปรียบแต่เป็นการได้เปรียบมากกว่า

    เพราะในทางพระพุทธศาสนา ถือว่าการเสพกามสุขนั้น ก็เหมือนกับเสพทุกข์ การกอดกามสุขนั้นก็
    เหมือนกับการกอดกองไฟ พระพุทธเจ้าท่านตรัสตำหนิติเตียนโทษของกามไว้มากมาย ว่ากามทั้งหลายมีรสอร่อย มีทุกข์มาก กามทั้งหลายเป็นของเผ็ดร้อน กามทั้งหลายเป็นเหมือนกับการทานอาหารที่ผสมกับยาพิษ อุปมาเปรียบความทุกข์ที่เกิดจากกามนี้มีมากและก็ตรัสไว้เยอะเป็ฯการตรัสตำหนิติเตียนกาม

    เพราะฉะนั้นผู้ใดก็ตามที่ยังเสพกามอยู่ ผู้นั้นก็ได้ชื่อว่ายังเสพทุกข์อยู่ ยังหนีจากความทุกข์ไปไม่ได้
    ในสมัยพุทธกาลนี่มีเยอะมากมายที่พระโสดาบันต้องมีความทุกข์จากครอบครัว ยกตัวอย่างง่ายๆ พระโสดาบันผู้หนึ่งภรรยาเป็ฯผู้ไม่อิ่มในเรื่องของกาม ก็ไปมีชู้ ท่านก็เศร้าโศรกเสียใจ ไปปรับทุกข์กับพระพุทธเจ้าก็มี ในสมัย
    [FONT=Tahoma,Helvetica,Sans-Serif]พุทธกาลนี่ยังไม่มีโรคเอดส์ระบาด ท่านทั้งหลายลองจินตนาการดูว่า ถ้าคู่ครองของพระโสดาบันไปสำส่อนในเรื่อง[/FONT][FONT=Tahoma,Helvetica,Sans-Serif]ทางเพศนี่ พระโสดาบันจะเอาตัวรอดได้หรือไม่? เรื่องนี้เป็นเรื่องที่น่าขบคิดทีเดียวว่า แม้แต่ตัวเองจะบรรลุเป็น[/FONT][FONT=Tahoma,Helvetica,Sans-Serif]โสดาบันและสกทาคามีแล้วแตก็ไม่ใช่ว่าตัวเองจะปลอดภัย ยังมีโสดาบันยังมีสิทธิ์ติดเอดส์ได้เหมือนกัน ถ้าคู่ครอง[/FONT][FONT=Tahoma,Helvetica,Sans-Serif]ของตนยังไม่ดีอย่างนี้ [/FONT]

    แต่ถ้าใครก็ตามหลีกหนีออกจากกาม เป็นผู้ไม่ครองเรือน อนาคาริก แปลว่า เป็นผู้ไม่มีเรือน คำ
    ว่าไม่มีเรือน คำว่าไม่มีเรือนนี่ ไม่ได้หมายความว่าต้องออกบวชเสมอไป อยู่ในชีวิตฆราวาสก็ได้ อยู่ในครอบครัวก็ได้ แต่ไม่ยุ่งเกี่ยวในเชิงสัมพันธ์สวาททางเพศ แต่ยังมีความรู้สึกที่เป็นมิตร มีความรู้สึกที่เกื้อกูล ต่อมนุษยชาติ แต่ในทางสังคมวิทยานี่ อาจจะโจมตีได้ว่า อนาคามีมีข้อไม่ดี เป็นการทำลายสถาบันครอบครัว ทำให้มนุษยชาติต้องเสื่อมสูญและสูญชาติพันธุ์ อันนี้เขาอาจโจมตีได้ แต่ก็เป็นเรื่องของเขา เพราะว่าคนในโลกนี้จะมีอนาคามีซักกี่เปอร์เซนต์ โลกนี้มีคนอยู่ ห้าหกพันล้านคน คนที่เป็นพระอนาคามีมีน้อย เพราะฉะนั้น ข้อโจมตีหรือข้อวิจารณ์ในเรื่องนี้ก็คงเอามาเป็นประเด็นไม่ได้ สำหรับเรื่อง อนาคามี: พระในเพศฆราวาส ในวันนี้พอสมควรแก่เวลา ขอให้ท่านทั้งหลาย ตั้งสติ คือ ตัวรู้ไว้ที่ดวงตาทั้งสองข้าง แล้วก็ลืมตาขึ้นช้าๆ ออกจากสมาธิฯ
     
  2. Sriaraya5

    Sriaraya5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    3,079
    ค่าพลัง:
    +12,852
    พระนิพพานได้เตือนผู้รู้มา ทุกยุคทุกสมัย ระวังความเขลา
    ของตัวเองเอาไว้ เพราะมันอยู่นอกหนือกว่าตำรา
    จะตามรู้ได้ทั้งหมดทั้งสิ้น อย่าปฏิบัติเกินจากความเป็นจริง
    นี่คือการทดสอบ ผู้ที่จะโตเป็นผู้ใหญ่ มีธรรมะที่เป็นผู้ใหญ่ที่จะเติบโตและสร้างความมั่นคงสืบไป ควรทำความกระจ่างนั้นให้กับตัวท่านเอง เมื่อท่านได้รู้จักตัวท่านดีแล้วจะทำให้การภาวนาไม่ติดขัด ว่ายังสงสัยคุณของพระรัตนตรัยอยู่ไหม

    ถ้าท่านยังสงสัยไม่สิ้นสงสัย ไม่ใช่แล้วจำพวกนี้ยังอีกไกล
     
  3. Sriaraya5

    Sriaraya5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    3,079
    ค่าพลัง:
    +12,852

    พระนิพพานได้เตือนผู้รู้มา ทุกยุคทุกสมัย ระวังความเขลา
    ของตัวเองเอาไว้ เพราะมันอยู่นอกหนือกว่าตำรา
    จะตามรู้ได้ทั้งหมดทั้งสิ้น อย่าปฏิบัติเกินจากความเป็นจริง
    นี่คือการทดสอบ ผู้ที่จะโตเป็นผู้ใหญ่ มีธรรมะที่เป็นผู้ใหญ่ที่จะเติบโตและสร้างความมั่นคงสืบไป ควรทำความกระจ่างนั้นให้กับตัวท่านเอง เมื่อท่านได้รู้จักตัวท่านดีแล้วจะทำให้การภาวนาของท่านไม่ติดขัดไปได้อย่างราบรื่น ได้บรรลุอริยะจริง ถามว่ายังสงสัยคุณของพระรัตนตรัยอยู่ไหม

    ถ้าท่านยังสงสัยไม่สิ้นสงสัย ไม่ใช่แล้วจำพวกนี้ยังอีกไกล
     
  4. กสิน9

    กสิน9 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    322
    ค่าพลัง:
    +270
    catt3 สักแต่ว่า.....
     
  5. Sriaraya5

    Sriaraya5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    3,079
    ค่าพลัง:
    +12,852
    บุคคลในโลกนี้จำพวกพูดได้ แต่ทำไม่ได้
    อุปมาเท่ากับขนของโค
     
  6. Sriaraya5

    Sriaraya5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    3,079
    ค่าพลัง:
    +12,852
    อุปมาเท่ากับขนของโค<!-- google_ad_section_end --> โคหลายๆตัว
    rabbit_run_awaydannce_









    ส่วนผู้ทำได้พูดได้ มีอุปมาได้เขาโค

    oishi_(ผู้ซึ่งได้ดื่มกินรสชาติของพระนิพพาน)
     
  7. นาสังสิโม

    นาสังสิโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    113
    ค่าพลัง:
    +1,703
    เอาแบบง่ายๆ ก่อนครับ
    1. ให้ทำบุญที่เกี่ยวเนื่องด้วย สมเด็จองค์ปฐม ก่อน(หลวงพ่อฤาษีลิงดำบอกว่าทำให้เข้านิพพานได้เร็ว) แล้วอธิษฐาน ขอเข้าพระนิพพานชาตินี้ ตั้งใจว่าชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย ของข้าพเจ้า
    2.สวดมนต์ให้พระทุกคืนแล้วอธิษฐาน ขอเข้าพระนิพพานชาตินี้ ตั้งใจว่าชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย ของข้าพเจ้า
    3.หาหนังสือธรรมะของพระอรหันต์ ทุกสายมาอ่าน แล้วฝึกโยนิโสมนสิการ คือการน้อมเอาธรรมที่เกิดขึ้น มาพิจารณา แล้วเราจะมีความเข้าใจในธรรมละเอียดขึ้นเรื่อยๆ แล้วเราจะเข้าใจว่า ธรรม แต่ละอาจารย์ลีลาการสอนต่างกัน แต่เพื่อจุดประสงค์เดียวกัน
    ตัวชี้วัดการปฏิบัติ คือ
    1.จิตนึกถึงพระนิพพาน บ่อยขึ้น
    2.มีกิเลสมากระทบ จะวางได้ไวขึ้นเรื่อยๆ ใจจะเบา
    3.ใจเริ่มเป็นเอกัตตามากขึ้น คือ ความคิดแทรกจะมีน้อยลง ทำอะไรให้ตั้งใจทำทีละอย่าง

    ที่กล่าวมานี้ เป็น วิธีการฝึกที่ ตรงกับจริตของผม ครับ คือฝึกแล้วเห็นผลไว ซึ่งวิธีการปฏิบัติมีอีกมาก แล้วแต่จริตของแต่ละคน เมื่ออ่านแล้ว ถ้าเห็นเป็นประโยชน์ต่อท่าน ก็นำไปพิจารณาปรับใช้ให้เหมาะกับ ตัวเองต่อไปครับ
     
  8. MahaSaran

    MahaSaran เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มกราคม 2008
    โพสต์:
    22
    ค่าพลัง:
    +163
    เจริญตามมรรคมีองค์๘สิครับแล้วจะเข้าใจ
    หรืออย่างย่อ ศิล สมาธิ ปัญญา

    ๑สุตมยปัญญา ปัญญาจากการได้ยิน
    ๒จิตตมยปัญญา ปัญญาจากการคิด
    ๓ภาวนามยปัญญา ปัญญาจากการภาวนา <===
    อยากรู้ต้องปฏิบัติ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 19 กรกฎาคม 2010
  9. โลกุตตระ

    โลกุตตระ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    448
    ค่าพลัง:
    +2,624
    ฆราวาสบรรลุพระอรหันต์ได้ แต่ต้องบวชภายในวันนั้นแหละ
    เพราะเพศฆราวาสไม่บริสุทิ์พอ ที่จะรองรับอรหันตผล
    ไปค้นหาดูได้ในคัมภีร์ทางศาสนา
    หรือสอบถามครูบาอาจารย์ที่ยังครองขันธ์อยู่ นะครับ
    http://www.larndham.net/cgi-bin/kratoo.pl/005296.htm

    (อย่าลืมวิปัสนูปกิเลส ด้วยนะครับ...)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 กรกฎาคม 2010
  10. Sriaraya5

    Sriaraya5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    3,079
    ค่าพลัง:
    +12,852
    คุณๆ ที่รักทั้งหลาย คุณไม่รู้อะไรเลย ในเวลาใกล้จะสิ้นยุค
    กฏกติกา ที่เคยใช้ได้ผลก็จะมีวันเลิกใช้ จะใช้กับ มนุษย์ยุคพลังงานใหม่ไม่ได้

    อย่างเรื่องที่เป็นปัญหาใหญ่ทำไมพระอรหันต์อยู่ในเพศชาว

    บ้านไม่ได้ ถ้าไม่ออกบวชจะตาย จะต้องเข้านิพพาน

    นั่นเป็นเรื่องของพลังงานเก่า ซึ่งมันเป็นคนละเรื่อง

    กับมนุษย์ยุคพลังงานใหม่ ภูมิพระอรหันต์ไม่ใช่ภูมิเพชฌฆาต

    นะพอถึงแล้วต้องตายแบบมนุษย์ยุคพลังงานเก่า ผมยืนยันคำ

    เดิมไม่เปลี่ยนแปลง ว่าพระอรหันต์ไม่ตายถ้าจะอยู่แบบชาว

    บ้านเว้นแต่ท่านเหล่านี้ ตรวจดูด้วยญาณแล้วรู้ว่าสิ้นอายุไข

    ก็ต้องเข้านิพพานเท่านั้นเอง

    มนุษย์ยุคพลังงานเก่าพลังงานใหม่ ผลของการบำเพ็ญธรรม

    เค้ามีกำหนดเวลาการกลับบ้านที่เราจากมา โดยการถูกแบ่ง

    เป็นจิตวิญญาณมาเกิดอีกทีหนึ่ง หนึ่งคนเกิด 60,000 ปี

    ต้องเข้านิพพาน ถ้าเกินกว่า 60,000 ปี นั่นหมายถึงคุณหลง

    ทางหาทางกลับบ้านพระนิพพานไม่ได้ จึงต้องมีจิตที่ยอมเสีย

    สละขันอาสา พระแม่องค์ธรรมที่เราเรียกว่าพระบิดา

    ลงมาลงมาเกิดเป็นพระศาสดาที่หลายๆคนเรียกว่าพระบุตร

    เพื่อรื้อสัตว์ขนสัตว์ ให้ออกไป

    จากทะเลทุกข์ ถ้าคุณโลกุตตระไม่รู้ เข้าพระนิพพานไม่ได้

    นั่นเป็นสิ่งที่คุณโลกุตตระต้องรู้ จะได้เข้าพระนิพพานได้








     
  11. โลกุตตระ

    โลกุตตระ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    448
    ค่าพลัง:
    +2,624
    เป็นเรื่องที่อยู่นอกเหนือคำสอนของพระพุทธเจ้า
    ผมไม่ทราบจริงๆ ครับ...ขอบคุณครับที่บอก

    ถือว่าเป็นการแลกเปลี่ยนข้อมูลกันนะครับ
    ทั้งนี้ก็เพื่อจะหาทางหลุดพ้นจากสังสารวัฏ
    กันทั้งนั้น...อนุโมทนาครับ
     
  12. จิม

    จิม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    87
    ค่าพลัง:
    +123
    ถามว่าจะบรรลุอรหันต์ จำเป็นต้องบวช ใหม แล้วถามกลับว่าทำไม พระพุทธเจ้าท่านถึงได้สละสิ่งต่าง ต่าง ไม่ว่าจะเป็นลาภ ยศ สรรเสริญ และ บิดามารดา ภรรยา ลูก ญาติพี่น้อง และสิ่งต่างฯ แล้วออกบวชคิดดูเอา
     
  13. โลกุตตระ

    โลกุตตระ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    448
    ค่าพลัง:
    +2,624
    ฆ ร า ว า ส บ ร ร ลุ ธ ร ร ม ไ ด้ ห รื อ ไ ม่ ?

    พระราชสังวรญาณ (หลวงพ่อพุธ ฐานิโย)
    วัดป่าสาลวัน ต.ในเมือง อ.เมือง จ.นครราชสีมา

    ถาม

    หากเผื่อว่าไม่ได้บวชเป็นพระนี้
    จะสามารถชำระจิตของท่านจนสามารถบรรลุถึงธรรมได้ไหมเจ้าคะ?

    หลวงพ่อ

    อาศัยตามหลักฐานในพระคัมภีร์
    ผู้ที่เป็นฆราวาสก็สามารถชำระจิตให้ถึงวิมุตติความหลุดพ้นได้

    ยกตัวอย่างเช่น สมเด็จพระเจ้าสุทโธทนะ พระพุทธบิดา
    พระองค์ก็สำเร็จพระอรหันต์ในขณะทรงเป็นฆราวาสอยู่
    เพราะเมื่อได้ฟังเทศน์ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว
    ก็สำเร็จอรหันต์ทั้งๆ ที่ยังเป็นฆราวาสอยู่

    ในปัจจุบันนี้ คฤหัสถ์ที่ยังครองเพศอยู่
    ก็สามารถที่จะปฏิบัติในทางจิต ทำให้มีจิตสงบเป็นสมาธิ
    รู้ธรรมเห็นธรรมได้เหมือนกับพระในพระพุทธศาสนา

    ถาม

    หมายความว่า ถ้าแม้ว่าเข้าถึงพระอรหันต์แล้ว
    ถ้าไม่บวชก็วางเบญขันธ์ได้อย่างสิ้นเชิงใช่ไหมคะ?

    หลวงพ่อ

    ตามพระคัมภีร์ก็ยืนยันว่าเป็นอย่างนั้น
    แต่ถ้านำมาพิจารณาให้รู้แน่นอน
    และจะหาเหตุผลมาขัดแย้ง ก็อาจจะมีทาง

    เพราะในแง่ที่จะขัดแย้งได้มีว่า
    โดยธรรมชาติของพระอรหันต์แล้ว
    ท่านจะละวางเบญจขันธ์
    คลายความยึดมั่นหมดกิเลสตัณหา มานะทิฏฐิ
    แม้อาวสวะน้อยหนึ่งก็ไม่มีในจิตใจของท่าน
    อาจจะดำรงชีพอยู่จนกระทั่งอายุขัยก็ย่อมเป็นได้
    ถ้าหากว่าหามติมาขัดแย้งได้

    แต่คุณของความเป็นอรหันต์นั้น
    เป็นคุณธรรมหรือว่าเป็นสัจธรรมที่สูง
    ซึ่งโดยหลักธรรมชาติของธรรมะขั้นนี้
    แล้วจะไปสิงสถิตอยู่ในร่างของคฤหัสถ์
    ซึ่งเป็นร่างของชาวบ้านธรรมดา
    เป็นการไม่คู่ควรกัน

    จึงสามารถทำให้ร่างของฆราวาสผู้สำเร็จอรหันต์แล้วต้องสลายตัวไป
    อันนี้เป็นกฎความจริงของธรรมชาติในขั้นนี้

    ถ้าจะเปรียบก็เหมือนกับแร่ธาตุบางอย่างในโลกนี้
    ในเมื่อมาพบกันเมื่อใดแล้ว
    จะต้องมีปฏิกิริยาสลายตัวหรือเกิดธาตุใหม่ขึ้นมา

    ในกรณีเช่นนี้ ธาตุแท้แห่งอรหันต์ที่บริสุทธิ์สะอาดอย่างแท้จริง
    เมื่อเกิดอยู่ในร่างของคฤหัสถ์ธรรมดา
    จึงมีประสิทธิภาพหรือมีอำนาจ
    ที่จะทำให้ร่างกายของคฤหัสถ์สลายตัวลงไปได้

    เพราะเป็นร่างกายที่ไม่ควรที่จะรองรับคุณธรรมของพระอรหันต์

    ........................................................................................

    ที่มา : ฆราวาสบรรลุธรรมได้หรือไม่?” ใน ธรรมวิสัชนา โดย พระภาวนาพิศาลเถร
    (หลวงพ่อพุธ ฐานิโย) วัดป่าสาลวัน อ.เมือง จ.นครราชสีมา, พ.ศ. ๒๕๓๒,หน้า ๘-๑๐)
    <!-- google_ad_section_end -->
    <HR style="BACKGROUND-COLOR: #ffffff; COLOR: #ffffff" SIZE=1>
     
  14. ศิษย์ธรรมเทพ

    ศิษย์ธรรมเทพ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    324
    ค่าพลัง:
    +786
    เหมือนเคยตอบกระทู้คำถามนี้ไปครั้งหนึ่งแต่นานมาแล้ว

    ที่ว่า"ผู้ที่สำเร็จเป็นพระอรหันต์นั้นต้องบวชภายใน 7 วัน มิเช่นนั้นจะต้องตาย" ครูอาจารย์ผู้รู้ท่านอธิบายว่า พระอรหันต์นั้นเป็นผู้ที่มีสภาวะจิตอันหลุดพ้นจากกิเลสทั้งปวง ด้วยกายของท่าน ด้วยจิตของท่านเอง ความบริสุทธิ์ก็คือจิตที่หลุดพ้น ในขณะที่หลุดพ้นนั้น ศีล หรือความปกติของท่านนั้นก็เป็นความปกติที่ไม่มี โทสะ โมหะ โลภะ ข้อที่ว่ากายทนไม่ได้หรือต้องตายพระอรหันต์ท่านคงมิได้กลัวเกรง แต่ที่ท่านทั้งหลายนั้นจะต้องออกบวชภาชใน 7 วัน เป็นไปเพราะความที่ท่านมีเมตตาเอื้ออาทรด้วยการออกบวช เพื่อเป็นการป้องกันมิให้ปุถุชนทั้งหลายที่ไม่รู้ไปล่วงเกินต่อพรอรหันต์จะเป็นบาปมาก

    พระอรหันต์ทั้งหลายท่านละแล้วซึ่งมิจฉาทิฐิทั้งปวงท่านจึงไม่มาฝืนพุทธบัญญัติ หรือ กฏแห่งโลกวิญญาณใดๆ อันสุ่มเสี่ยงต่อการสร้างกรรมอันเป็นเอนกอนันต์ให้กับสัตว์โลกหรอก

    สาธุ
     
  15. ลุงมหา

    ลุงมหา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    307
    ค่าพลัง:
    +1,092
    ขออนุญาติครับ
    ท่านอาจารย์ปู่ หลวงปู่มหาบัวท่านยืนยันว่าคุณแม่ชีแก้ว สำเร็จเป็นพระอรหันต์ โดยมีพระธาตุเป็นหลักฐาน แล้วอีกท่านที่ได้รับการยกย่องจากพระลูกพระหลานมากๆคือพ่อท่านเฟื่อง โชติโก แห่งวัดธรรมสถิตย์ จ.ระยอง ท่านบวชเมื่ออายุ 60 แต่ก็ยังสำเร็จทันก่อนสิ้นอายุขัยได้
    อืกองค์ก็ท่านหลวงปู๋เขียน บ้านโพน อ.คำม่วง จ.กาฬสินธุ์ ซึ่งท่านเกิดปีเดียวกับอาจารย์ปู่ หลวงปู่มหาบัว ท่านกล้าหาญชาญชัยถึงกับกล้าถามอาจารย์ปู่ทวด หลวงปู่มั่น ภูริทัตโตว่า
    ท่านจะสำเร็จในชาตินี้ใหม ท่านได้เมตตาตอบว่าสำเร็จแต่ต้องสู้เอา แล้วท่านก็ทิ้งตำแหน่งเจ้าคณะจังหวัดนครราชสีมาเดินทางกลับบ้านเกิดเพื่อเร่งปฎิบัติจนหลุดพ้น ทั้งทั้งที่ท่านจบมหาเปรีญ9 ด้วยซ้ำ
    ผมว่าท่านที่สำเร็จเป็นพระอรหันต์นั้นไม่ว่าเป็นพระหรือฆราวาส ก็ได้ แต่ว่าเมื่อสำเร็จแล้ว
    ท่านย่อมรู้ด้วยตัวท่านเองว่าท่านสมควรบวชหรือไม่ แล้วที่พระพุทธองค์มีน้ำพระเมตตาอันประมาณไม่ได้ทรงเผยแพร่พระศาสนาอย่างไม่ทรงเหน็ดเหนื่อย แล้วครูบาอาจารย์ที่อบรมสั่งสอนอีกหละจะทดแทนคุณท่านอย่างไร นอกจากบวชแล้วช่วยกันดูแลพระศาสนา
    ขนาดตัวผมเองยังเจอศิษย์สายตรงของหลวงปู่โลกอุดรเมตตาอบรมสั่งสอนว่า อยากค้ำจุนพระศาสนาต้องมาบวชเหมือนพวกผมนี่ถึงจะถูก
    สรุปว่าสำเร็จแล้วบวชไม่บวชท่านจะรู้ด้วยตัวท่านเองครับ
    ขอบคุณครับ
    ลุงมหา
     

แชร์หน้านี้

Loading...