จักรแก้วพิสดาร-ทิพยสมบัติของพระมหาจักรพรรดิ์

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย Army56, 10 กรกฎาคม 2010.

  1. Army56

    Army56 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,098
    ค่าพลัง:
    +1,862
    กระทู้นี้ผมขอนำความพิเศษพิสดารของจักรแก้ว ซึ่งเป็นทิพยสมบัติที่

    มีไว้ให้ พระมหาจักรพรรดิ์ผู้มีบุญญาธิการ ผู้เป็นพระราชาของมนุสสภูมิ

    หรือ มนุษย์ทั้งสี่ทวีป ในสมัยหรือกัปป์ที่มนุสสภูมินั้นไม่มี พระพุทธเจ้า

    หรือพระโพธิสัตว์มาบังเกิด โดยขอคัดลอกข้อความมาจาก

    Wikipedia ตาม link นี้ครับ

    ไตรภูมิพระร่วง/มนุสสภูมิ - วิกิซอร์ซ

    ก่อนอื่นให้ทุกท่านลบภาพของกงจักรเดิมที่อยู่ในภาพจิตรกรรม

    หรือละคร ไปก่อนนะครับ


    [​IMG]

    พระมหาจักรพรรดิ์

    [​IMG]


    จักรแก้ว
     
  2. Army56

    Army56 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,098
    ค่าพลัง:
    +1,862
    ยังมีกงจักรแก้วอันหนึ่งชื่อว่า จักรรัตนะ แลประดับนิ์ด้วยแก้วทั้ง ๗ ประการแลมีกำนั้นได้พัน ๑ อยู่รอบดุมนั้นดูงามนักหนา แลจมอยู่ในท้องมหาสมุทรโดยลึกไส้ได้ ๘๔,๐๐๐ โยชน์ แลกงจักรนั้นแก้วแลดุมนั้นแก้วอินทนิล หัวกำอันฝังเข้าไปในดุม ๆ นั้นย่อมเงินแลทองงามนักหนา เมื่อแลเห็นปานดังดุมนั้นรู้หัว แลพรรณขาวงามนัก โดยปากดุมนั้นหุ้มด้วยแผ่นเงินแลเห็นงามดังเดือนเมื่อวันเพ็งบูรณ์ เท่าว่ากลางนั้นเป็นรูตระลอดไปโดยรอบหัวกำนั้น


    ในสมัยนั้นมีกงจักรอันหนึ่งชื่อว่า จักรรัตนะ ซึ่งประดับด้วยแก้ว 7 ชนิด และมีกำ


    (กำคืออะไรผมก็ไม่ทราบ อ่ะผ่านไปก่อน) อยู่ 1 พันอันรอบดุม(น่าจะหมายถึงดุม

    ตรงกลางจักร) แลดูสวยงามมาก และจมอยู่ในท้องมหาสมุทรโดยลึกได้

    84,000 โยชน์(1 โยชน์=16 กม. โยชน์สมัยนั้นกับสมัยนี้อาจจะไม่เท่ากันก็ได้)

    แก้วและดุมนั้นเป็นแก้วอินทนิล หัวกำที่ฝังเข้าไปในดุมตรงกลางนั้นเป็นโลหะเงิน

    และทอง เมื่อเห็นดุมนูนขึ้นมานั้นก็จะรู้ว่าเป็นด้านหัว(ด้านบน) เป็นสีขาวๆสวย

    งาม โดยที่ปากดุม(ด้านบนสุด)นั้นมีแผ่นเงินหุ้มอยู่โดยรอบสว่างไสว เหมือนพระ

    จันทร์วันเพ็ญ เหมือนว่าข้างในดุมนั้นเป็นรูและที่ว่างจนถึงหัวกำ
     
  3. Army56

    Army56 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,098
    ค่าพลัง:
    +1,862
    เทียรย่อมประดับนิ์ ด้วยแก้ว ๗ ประการแลบ่อนเลื่อมใสงามดังฟ้าแมลบแลมีรัศมีดีงพระอาทิตย์เมื่อพิจารณาดูใสเหลื้อมพรายงามดังสายฟ้าแมลบรอบ ๆ ไพล ๆ ไขว่ ๆ ไปมาดูงามนักหนาทั่วทุกแห่งแลฯ ชื่อว่านาภีสัพพการบริบูรณ์ฯ แต่กาลใดพัน ๑ นั้นเทียรย่อมประดับนิ์ด้วยแก้ว ๗ ประการ ดูเหลื้อมงามดังฟ้าแมลบรุ่งเรืองด้วยรัศมีดังรัศมีพระอาทิตย์ เทียรย่อมแก้วอันตีเป็นตาปูดูลายงามแลมีรัศมีฉวัดเฉวียนไปมาดังเทพยดาผู้ชื่อว่าพระวิษณุกรรม์นั้น แลกงนั้นเทียรย่อมแก้วพระพาฬรัตนะ ดูเกลี้ยงดุจดังแสร้งทำแลมีรัศมีดังพระอาทิตย์เมื่อพึ่งขจึ้นแลเต็มงามบมิเบี้ยวบมิผึ่ง เมื่อแลดูในหน้ากลองนั้นรูปล่องตระลอดไปมาดังกลอง


    หัวกำพันอันนี้นั้นย่อมประดับด้วยแก้ว 7 ประการ ดูไม่คลายความเลื่อมใสเลย


    สวยเหมือนมีประกายฟ้าแลบและมีรัศมีเหมือนพระอาทิตย์ เมื่อพิจารณาดู


    เลื่อมพรายเหมือนสายฟ้าแลบเป็นประกายไขว้ไปมา ดูสวยงามทั่วทุกหน


    แห่งชื่อว่า นาภีสัพพการบริบูรณ์ (นาภึ=ท้องจักร สัพพการ=สว่างสไวไปทั่ว บริบูรณ์=อย่างสมบูรณ์)


    กำนั้นมีแก้วประดับเหมือนตีเป็นตะปูมีลวดลายงามเหมือนมีรัศมีฉวัดเฉวียน


    ไปมาดังพระวิษณุ และรอบๆกงจักรนั้นมีพระพาฬรัตนะ(แก้วชนิดหนึ่ง)ประดับ


    รอบดูกลมเกลี้ยงและมีรัศมีเหมือนพระอาทิตย์พึ่งขึ้นเต็มดวงกลมไม่มีเบี้ยว


    เมื่อมองดูในรูกำ แล้วก็เทียบได้ว่า เป็นรูปล่องที่ว่างในกลางกำ เหมือนกลอง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 11 กรกฎาคม 2010
  4. Army56

    Army56 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,098
    ค่าพลัง:
    +1,862
    อันชื่อว่าพังกาอันเทพยดาเจ้าในเมืองฟ้านั้น กลองแก้วประพาฬรัตนนั้นแพ่งเอาลมแลได้ยินเสียงมีเสียงดีนักหนา เสียงเผ่งเสียงผ่อนเสียงกลมเสียงกล้าเสียงหือพึงฟัง แก้วร้อยหนึ่งอยู่เหนือรอบลากลอง ฝูงนั้นกลองแก้ว ฝูงนั้นรองตีนตนกลมละขาว ร้อยหนึ่งโสดแลกลอนั้นมี หากคาบแลแห่งรอบอยู่รอบกลดนั้นโสดเหนือกลดซึ่งกลางนั้นมียอดทองเรืองงามดังแสงไฟฟ้า

    เป็นกงเหมือนกลองชื่อว่า พังกาที่เทวดาในเมืองฟ้าใช้ตี กลองแก้วสีแดงอ่อน(ประพาฬ=

    แก้วสีแดงอ่อน) เมื่อลมพัดได้ยินเสียงดี น่าฟัง

     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 11 กรกฎาคม 2010
  5. Army56

    Army56 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,098
    ค่าพลัง:
    +1,862
    เหนือจักรแก้วนั้นมีราชสีห์ทอง ๒ ตัวประดับนิ์ด้วยแก้วสัตตพิธรัตนะ แลมีแสงทองงามนักหนา เมื่อกงจักรแก้วนั้นหันไปเบื้องบนอากาศแลดูพรายงาม ดังไกสรสีหะสองตัวนั้นเหาะแลหว้ายหน้าออกมาแห่งชายกงจักรแก้วนั้น ดุจดังเข้าขับเข้าแหาเอาฝูงข้าศึกนั้นแลฯ เมื่อแลคนทั้งหลายเห็นดังนั้น คนทั้งหลายนั้นว่าดังนี้ว่าบุญเจ้านายเรา ผู้เป็นพระญามหาจักรพรรดิราชมีมากนักหนาแลฯ มเริ่มว่าราชสีห์อันมีกำลังแลมีชัยชำนะแก่สัตว์ทั้งหลายดังนี้ก็ดี สิยังอยู่มิได้แลยังมาไหว้มาถวาายบังคม แลมาสวามิภักดิแก่พระญาท่านผู้เะป็นเจ้านายแห่งเราฯ อันว่าฝูงคตนที้งหลายต่างคนต่างยกมือขึ้นเพียงหัวแล้วไหว้วันทนาการ แล้วว่าดังนี้ ว่าเชาวเราทั้งหลายเอ๋ยมิใช่แต่ปากราชสีห์สองตัวนั้นหาบมิได้ มีหมู่สร้อยมุกดาสองอันด้วยเล่าใหญ่เท่าลำตาลดูรุ่งเรืองงามดังรัศมีพระจันทร์ เมื่อวันเพ็งบูรณ์แลปากราชสีห์นั้นคาบสร้องมุกดานั้นเลื้อยลงมา แก้วนั้นอันอยู่ในชายมุกดานั้นเหลื้อมดูแต่ดุจรัศมีพระอาทิตย์เมื่อแรกขึ้นมานั้น

    ด้านบนของจักรแก้วมีราชสีห์สีทองสองตัวประดับด้วยแก้วสัตตพิธ มีแสงทองสวยงาม เมื่อกงจักรนั้น บินขึ้นไปบนอากาศ

    ทำให้ดูเหมือนสิงโตชะโงกหน้าออกมาพ้นขอบกงจักรนั้น เพื่อรุกไล่เข้าหาข้าศึก พอคนทั้งหลายเห็น ก็ว่าเป็นบารมีสูงส่งของ

    เจ้านายเรา ผู้เป็นพระยามหาจักรพรรดิ์ สิงโตอันว่าเป็นราชาแห่งสัตว์ทั้งหลาย อยู่เฉยไม่ได้ยังต้องมาถวายบังคมและ

    สวามิภักดิ์ ผู้คนทั้งหลายต่างยกมือขึ้นกราบไหว้ แล้วว่า ไม่ใช่มีแต่สิงโตบนจักรนั้นยังมีสร้อยทอดเลื้อยออกมาจากปาก

    ราชสีห์ใหญ่เท่าลำตาลมีประกายงามดังแสงพระจันทร์วันเพ็ญ แก้วเพชรที่ติดอยู่ปลายสร้อยนั้นก็มีแสงคล้ายพระอาทิตย์

    เพิ่งขึ้น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 12 กรกฎาคม 2010
  6. Army56

    Army56 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,098
    ค่าพลัง:
    +1,862
    ผิเมื่อกงจักรแก้วนั้นลอยอยู่บนอากาศแลบไหวดุจสร้อยมุกดานั้นพรายงาม ดังน้ำอันชื่ออากาศคงคาอันไหลลงมานั้น ขณะเมื่อกงจักรแก้วยังลอยอยู่อากาศไส้ แลฝูงมุกดานั้นพองออกรอบกงจักร์แก้วนั้น แลดุมกงจักรแก้ว ๓ อันหันผันไปด้วยกันคาบเดียวนั้น ๆ อันว่ากงจักรแก้วนั้นไส้ใช่อินท์แลพรหมเทพยดาผู้มีฤทธานุภาพ กระทำกงจักรแก้วนั้นหามิได้ แลกงจักรแก้วนั้หากเป็นเองแลเกิดสำหรับบุญท่านผู้เป็นพระญามหาจักรพรรดิราชเจ้านั้นแลฯ ผิเมื่อว่ากัลปอันใดแลบมีพระพุทธเจ้าและพระปัจเจกโพธิไส้ จึงมีพระญามหาจักรพรรดิแทนไส้ กัลปอันมีดังนั้นครั้นไฟไหม้แผ่นดินแล้วด้วยบุญท่านอันจะมาเป็นพระญาจักรพรรดิราชนั้น กงจักรแก้วนั้นหากเป็นก่อนแลจมอยู่ในมหาสมุทรนั้นหากอยู่ท่าท่านผู้จะมาเป็นจักรพรรดิราชนั้นแลฯ แลเครื่องอันเป็นสำหรับท่านผู้มีบุญนี้คือสิ่งใด แลจักรเสมอด้วยกงจักรแก้วนั้นหาบมิได้เลย แลกงจักรแก้วนั้นเกิดมาเพื่อว่าจะให้รู้จักคนมีบุญกว่าคนทั้งหลายไส้ แลจะให้ฝูงคนทั้งหลาย ๔ แผ่นดินรักกันดังใจเดียวเพื่อบุญท่านผู้เป็นพระญาจักรพรรดิราชนั้นแลฯ

    เมื่อเวลากงจักรแก้วนั้นลอยบนอากาศ สร้อยมุกที่ทอดลงมานั้นไม่ไหวติงไปตามลม ดิ่งตรงลงมาเหมือนสายน้ำไหลมาจาก

    อากาศ ขณะเมื่อจักรแก้วลอยอยู่บนอากาศ สร้อยมุกทั้งสองก็พองออกรอบกงจักร ทำให้ดูเหมือนเป็นมีดุมกงจักร ซ้อนกันอยู่

    สามอัน(บาเรียซ้อนกันสามอัน) ลอยไปทางเดียวกันและเวลาเดียวกัน ปรากฏการณ์ต่างๆของจักรแก้วนี้นั้นไม่ได้เกิดจาก

    ฤทธิ์ของพระอินทร์หรือพระพรหม แต่จักรแก้วนี้มันเป็นของมันเองเพื่อบารมีของพระเจ้าจักรพรรดิ์นั้น ซึ่งเมื่อกัลป์ใดไม่มี

    พระพุทธเจ้าหรือพระปัจเจกพุทธเจ้า ก็จะมีพระเจ้าจักรพรรดิ์แทน สุญญกัปป์นี้เมื่อไฟบรรลัยกัลป์ล้างจักรวาลเสร็จแล้ว

    ด้วยบุญของพระเจ้าจักรพรรดิ์ที่จะเกิดในสุญญกัปป์ จักรแก้วนั้นก็จะจมลงในมหาสมุทร ดังนี้ไม่มีทิพยสมบัติอันใดที่

    จะวิเศษเท่าจักรแก้วนั้นไม่มีเลย เหมือนว่าจักรแก้วรู้ตัวของมันว่าเกิดมาเพื่อคนที่มีบุญญาธิการเท่านั้น และเพื่อที่จะทำให้

    มนุษย์ทั้งสี่ทวีป(ทั้งจักรวาล) มีความสามัคคี มีใจเป็นหนึ่งเดียว ด้วยการไปโปรดสัตว์ของ พระยาจักรพรรดิ์ผู้มีบุณบารมี

    อันเป็นพระราชาของคนทั้งจักรวาล (แอชตา ชีราน ผู้บัญชากาของสหพันธ์กาแลคซี่ -Ashtar Sheran Galactic

    Federation Commander)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 12 กรกฎาคม 2010
  7. Army56

    Army56 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,098
    ค่าพลัง:
    +1,862
    จักรแก้วนั้นมีศักดานุภาพนักหนา ผิแลว่ามีผู้ใดไปไหว้นบคำรพบูชาแก่กงจักรแก้วนั้นด้วยข้าวตอกดอกไม้ไส้ แลกงจักรแก้วนั้นเทียรย่อมบำบัดเสียซึ่งความไข้ความเจ็บ ประพฤติให้อยู่ดีกินดีสรรพสวัสดิพิพัฒนาการ ด้วยทรัพย์ สิ่งสินแลสมบัตินั้นมากนักแลฯ กงจักรแก้วนี้ประเสริฐกว่าแก้วอันชื่อว่า สรรพกามททนั้นได้ละแสนเท่าไส้ แลกงจักรแก้วนั้นหาใจมิได้ดุจดังมีใจฯ เมื่อแลกงจักรแก้วนั้นเหาะขึ้นมาแลยังมิทันที่จะพ้นท้องพระมหามุทรดังนั้น แลน้ำพระมหาสมุทรนั้นก็หลีกแตกออกให้กงจักรแก้วนั้นเหาะขึ้นมาเถิงบนอากาศแลเห็นดุจดังกงจักรแก้วนั้น แก้วเป็นเครื่องประดับนิ์บนอากาศ เลื่อมพรรณรายพรายงามดังเมื่อพระจันทร์เมื่อเพ็งบูรณ์แลฯ

    จักรแก้วนั้นมีศักดานุภาพมาก ถ้ามีใครได้นำข้าวตอกดอกไม้ไปบูชา จักรแก้วนั้นจะช่วยรักษาโรค ทำให้ร่ำรวย ซึ่งจักรแก้ว

    นี้ประเสริฐกว่า แก้วสรรพกามททได้แสนเท่า แม้จักรแก้วนั้นจะไม่มีใจแต่ก็เหมือนมีใจ เมื่อจักรแก้วกำลังจะโผล่พ้นมหาสมุทร

    ก็เกิดเป็นทะเลแหวก เหาะขึ้นมาบนอากาศ มีแสงเลื่อมพรายเหมือนพระจันทร์วันเพ็ญ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 12 กรกฎาคม 2010
  8. Army56

    Army56 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,098
    ค่าพลัง:
    +1,862
    ในกาลวันนั้นพอเป็นวันเดือนเพ็งแล ฝูงคนทั้งหลายแต่งแง่แผ่ตนแล้วแลนั่งอยู่ในที่สำราญ แลเจรจาเล่นหัวไปมา ด้วยกันสบายพร้อมเพรียงกัน ทั้งฝูงบ่าว แลฝูงสาวเด็กเล็ก หญิงชายทั้งหลายยย่อมแต่งแง่แผ่ตนแล้วไปเล่นด้วยกัน บางหมู่ก็เล่นในกลางป่า บ้างเล่นในกลางน้ำกลางนาแลหนทางหลวง วันนั้นคนทั้งหลายอยู่ในเมืองพระญาผู้เป็นมหาจักรพรรดิราชเจ้าอยู่นั้น แลเมื่อกงจักรแก้วนั้นพุ่งขึ้นเทียมพระจันทร์เจ้านั้น พอเมื่อยามค่ำสนธิบาตร์แล้วแลเท่าพระจันทร์มาดูพระจันทร์ขึ้นมาวันนั้นสองดวง ครั้นมาใกล้ยัง ๑๒ โยชน์ จักรนั้นก็จะมาเถิงฯ เมื่อนั้นคนทั้งหลายได้ยินเสียงแห่งกงจักรแก้วอันผันแลต้องลม เสียงนั้นดังเพราะนักหนาแล เพราะกว่าเสียงพาทย์ แลพิณฆ้อง กลองแตรสังข์ กังสดาล ดุริย ดนตรี ทั้งหลายนั้น ๆ ฯ จึงคนทั้งหลายนั้นได้ยินเสียงอันเพราะแลถูกเนื้อจำเริญใจนักหนา แลยินหลากยินดีทุกคนแล้วก็ชวนกันว่าฉันนี้หลากหนอวันนี้เป็นไฉนอันว่าเราทั้งหลายแต่ก่อนบห่อนแลมาให้เห็นเป็นอัศจรรย์ฉันนี้ วันนี้เล่าพระจันทร์เจ้าขึ้นมาเป็นสองดวง แลเต็มงามบริบูรณ์เสมอกันทั้งสองอันแล ขึ้นมาเทียมกันดังราชหงส์ทองสองตัวนั้นแลเทียมกันขึ้นมาบนอากาศ

    ในวันนั้นซึ่งเป็นวันเพ็ญ คนทั้งหลายแต่งตัวสวยนั่งอยู่ในที่ต่างๆ พูดคุยหยอกล้อกัน อยู่ด้วยกันทั้งหญิงชาย เด็กก็พากันไป

    เล่นในกลางบ้าน กลางป่า กลางนา กลางน้ำ กลางถนนหนทาง วันนั้นคนทั้งหลายก็อยู่ในเมืองของพระยามหาจักรพรรดิ์

    เมื่อกงจักรแก้วพุ่งขึ้นมาสูงเท่าดวงจันทร์ ในเวลาหัวค่ำ เมื่อบินอยู่บนฟ้าห่าง 12 โยชน์ คนทั้งหลายก็พากันได้ยินเสียง

    ที่จักรแก้วหมุนแล้วพัดมาตามลม ซึ่งไพเราะเพราะพริ้งกว่าเสียงดนตรีใดๆ ทำให้ผู้คนมองขึ้นไปแล้วว่า วันนี้เป็นวันดีอะไร

    ทำไมจึงมีพระจันทร์เพ็ญถึงสองดวง เหมือนราชหงส์ทองสองตัวยืนอยู่คู่กันดังนั้น

     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 12 กรกฎาคม 2010
  9. Army56

    Army56 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,098
    ค่าพลัง:
    +1,862
    เขาจึงร้องเรียกกันให้มาแลดูทั้งหลายแลฯ ลางคนไส้ว่าพระจันทร์ออกสอดดวงฯ ลางคนร้องว่าสูนี้เป็นบ้า ชั่วปู่ชั่วย่ายังจะห่อนได้นิยว่ามีเดือนสองอันบ้างหรือ อันนี้ตระวันไส้มันหากพ้นที่ที่จจะร้อนแลมันบมิร้อนแลฯ คนจำพวกหนึ่งร้องว่ามาดังนี้ เหวยชาวเราสูมาดูเขาเหล่านั้นเป็นบ้าทุกอัน ก็ทุกว่าใช่ความที่จะกล่าวแลมากล่าวบัดแปรว่าเดือนขึ้นเป็นสองอัน ตรงบัดแห่งว่าอันนี้เป็นอันหนึ่งเป็นตระวัน ฉันนั้นน่าใคร่หัวเขาฝูงนี้เป็นบ้าจริงแลฯ ตระวันสิพึงตกไปบัดเดี๋ยวนี้ไส้ ดังฤๅแลว่าตระวันจะมาออกด้วยเดือนบัดเดียวทันตระวันปานนี้ อันนี้มิใช่อันอื่นเลย อันนี้คือว่าปราสาทของเทพยดาแล จึงดูรุ่งเรืองสุกใสเพราะว่าแก้วแหวนเงินทองอันที่ประดับประดาปราสาทนั้นแลฯ คนจำพวกหนึ่งร้องหัวแลว่าเขาฝูงนั้นมาว่าดังนี้เล่าไส้ เหวย ๆ สูชาวเจ้าทั้งหลายอย่าได้โจทย์เถียงกีนไปมาเลย อันนี้มิใช่เดือนมิใช่ตระวันมิใช่ปราสาทแก้วเทพยดาฯ อันสูทั้งหลายว่าเดือนก็ดี ตระวันก็ดี ว่าปราสาทแก้วเทพยดาก็ดี แลบห่อนเคยได้ยินเสียงมี่เสียงก้องเสียงดังนักหนาดังนี้สักคาบ อันนี้ถ้าจะมีไส้ก็คือกงจักรแก้วอันชื่อว่าจักรรัตนนั้น ได้ยินท่านย่อมกล่าวมาแต่ก่อนดังนี้แลฯ

    คนทั้งหลายต่างเรียกพากันให้มาดูบอกว่ามีพระจันทร์ขึ้นสองดวง ก็มีคนตะโกนออกมาว่า เธอน่ะบ้า ปู่ย่าตายายเกิดมา

    ไม่เคยว่ามีพระจันทร์สองดวง หรือว่ามันเป็นพระอาทิตย์แต่มันก็ไม่ร้อน คนอีกกลุ่มก็ว่า เฮ้ยย มาดูคนบ้าเขาเถียงกัน

    ว่ามีพระจันทร์สองดวง หรือ พระอาทิตย์กับพระขจันทร์ขึ้นคู่กัน น่าหัวเราะนัก สงสัยจะบ้ากันจริงๆ พระอาทิตย์ก็เพิ่งตกดิน

    ไปเมื่อกี้นี้ ที่เห็นนั้นคือ ปราสาทของเทวดาจึงดูสว่างไสวนัก คนอีกกลุ่มก็ว่าอย่ามัวเถียงกันเลย มันไม่ใช่อะไรสักอย่าง

    เพราะมันไม่มีอะไรที่เสียงก้องดังเท่านี้เลย ถ้าจะเป็นก็คงเป็นจักรแก้วรัตนะที่เคยได้ยินเขาเล่ามาแต่ก่อน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 12 กรกฎาคม 2010
  10. ker-kanok

    ker-kanok Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    32
    ค่าพลัง:
    +96
    อ้าวอิง คุณ zmartalker (กำคืออะไรผมก็ไม่ทราบ อ่ะผ่านไปก่อน) คือตอนเด็กๆ ชาวบ้านแถวบ้านผม เรียก ซี่ลวดล้อจักรยาน ว่า กำ จะใช่ความหมายแล้วเอาไปประกอบกับยานของพระมหาจักรพรรดิ ได้หรือไม่ ผมก็ขออภัยมาด้วยครับ รอผู้รู้ มาตอบอีกทีนะครับ
     
  11. Army56

    Army56 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,098
    ค่าพลัง:
    +1,862
    อันว่ากงจักรแก้วนั้นย่อมมาด้วยบุญท่านผู้มีบุญแลจะได้เป็นพระญามหาจักรพรรดิราชนั้นไส้ฯ คนทั้งหลายต่างคนก็ต่างว่าไปว่ามาแก่กันอยู่ดังนั้น เาบมิได้เชื่อถ้อยเชื่อคำของกันของกันแต่สักคนเลยฯ จึงกงจักรแก้วนั้นจากพระจันทร์เจ้ามาแลเข้าใกล้กว่าเก่ายังแต่โยชน์หนึ่งจึงจะเถิงเมืองนั้น ๆ จึงชนทั้งหลายเห็นแท้แลเห็นงามนัก แลมีใจรักทุก ๆ คนแล เสียงกงจักรนั้นดังมี่ก้องนักหนาดังท่านให้เลืองลือชาปรากฎว่า พระญาองค์นั้นธจะได้เป็นพระบรมมหาจักรพรรดิราชเจ้าแลฯ จึงมาเถิงพระนครที่พระญาผู้มีบุญเสด็จอยู่นั้น ๆ เมื่อดังนั้นคนทั้งหลายจึงว่าดังนี้ อันว่ากงจักรแก้วดวงนี้จะไปสู่พระญาองค์ใดหนอ คนจำพวกหนึ่งนั้นจึงว่ดังนี้เล่า อันว่ากงจักรแก้วดวงนี้ไส้มิได้มาด้วยบุญพระญาองค์อื่นเลย ดีร้ายมาด้วยบุญพระญาท่านผู้เป็นเจ้าเป็นนายนี้แลฯ ท่านนี้ไส้มีบุญนักหนา ท่านจะได้เป็นบรมมหาจักรพรรดิราชแล ท่านคำนึงเถิงกงจักรแก้วอยู่แล จึงกงจักรแก้วดวงนี้มาหาท่านแลฯ

    จักรแก้วนี้นั้นจะมาหาผู้มีบุญญาธิการซึ่งจะได้เป็นพระมหาจักรพรรดิ์ แต่ก็ไม่มีใครเชื่อใครต่างวิพากษ์วิจารณ์ไปต่างๆนานา

    จักรแก้วนั้นจึงลอยเข้ามาห่างจากพื้นดิน 1 โยชน์ ทำให้คนทั้งหลายได้พิจารณาถึงความงาม ได้ยินเสียงอันดังก้อง

    จึงพากันเชื่อว่าจักรแก้วนี้จะมาหาเจ้านายเรา ผู้ซึ่งมีบุญญาธิการเป็นพระมหาจักรพรรดิ์ ซึ่งท่านได้นึกถึงจักรแก้ว

    จักรแก้วจึงมาหาท่าน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 12 กรกฎาคม 2010
  12. Army56

    Army56 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,098
    ค่าพลัง:
    +1,862
    โอ ใช่ครับใช่ จักรนี้คงมีซี่ๆอยู่รอบๆดุม
     
  13. Army56

    Army56 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,098
    ค่าพลัง:
    +1,862
    จึงกงจักรแก้วนั้นก็มาเถิงเมืองนั้นแล้วร่อนลงที่ประตูเมืองท่านแล้ว ๆ กระทำประทักษิณ ๓ รอบเมืองนั้น ๗ รอบ แล้วแลเขช้าล่วงอากาศโดยหนทางหลวง แล้วก็เข้ามาสู่พระราชมณเฑียรของพระญาแล ประทักษิณพระญานั้น ๓ รอบ พระราชมณเฑียรพระญานั้น ๗ รอบแล้วก็เข้ามาสู่พระญานั้นดุจดังมีใจ และจะมานบมานอบแก่พระญานั้นแล้วแลเข้ามาอยู่แทบตีนนอนนั้น ที่นี้แลที่แห่งใดก็ดีไส้กงจักรแก้วนั้นก็อยู่ในสถานที่นั้นฯ จึงฝูงคนทั้งหลายเขาก็เอาข้าวตอกแลดอกไม้บุปผชาติเทียนแลธูปวาดชวาลา แลกระแจะจวงจันทน์น้ำมันหอมมาไหว้มานบคำรพวันทนาการบูชากงจักรแก้วนั้นฯ แลมีกงจักรแก้วแลสถิตย์ตั้งอยู่ในที่อันบังควรแลไส้ แลยนังมีรัศมีกงจักรแก้วนั้นก็รุ่งเรืองรอบคอบทั่วทั้งพระราชมณเฑียรนั้นทุกแห่งดังยอดเขายุคุนธร เมื่อเพ็งบูรณ์ แลเมื่อพระจันทร์เสด็จขึ้นมาเหนือจอมเขานั้นแลรุ่งเรืองนักหนาแลฯ

    จักรแก้วนั้นก็บินไปถึงประตูเมือง บินเวียน 3 รอบ แล้วบินช้าลงมาบนถนนเข้าไปสู่ในเขตพระราชวัง แล้วบินวนในนั้น 3 รอบ

    7 รอบ แล้วก็เข้ามาหาพระเจ้าจักรพรรดิ์เหมือนมีชีวิต ดุจจะมานบน้อมถึงเท้าของพระเจ้าจักรพรรดิ์ จากนั้นก็มีจักรแก้ว

    ปรากฏอยู่ทั่วทั้งเมือง ฝูงคนก็พากันนำข้าวตอกดอกไม้ เทียนธูป และน้ำมันหอมมาไหว้บูชาจักรแก้ว และยังมีจักรแก้ว

    ที่ยังอยู่ตามที่ต่างๆ มีรัศมีรุ่งเรืองไปทั่วทั้งเมือง ดังยอดเขายุคนธร ยามที่มีแสงจันทร์วันเพ็ญทอดมาจากหลังเขาดังนั้น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 12 กรกฎาคม 2010
  14. Army56

    Army56 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,098
    ค่าพลัง:
    +1,862
    เมื่อนั้นพระญานั้นจึงเสด็จมาออกมาจากปราสาทเพื่อว่าจักมาชมกงจักรแก้วนั้น จึงอำมาตย์ก็ทูลแด่พระญาว่าขออังเช้ญ พระองค์เจ้าชมกงจักรแก้วอันมีรัศมีรอันรุ่งเรืองงาม ๆ ทั่วทั้งพระราชมณเฑียรพระองค์เจ้านี้ฯ พระญาองค์นั้นจึงเสด็จมานั่งในแท่นทองอันประดับนิ์ด้วยแก้วนั้นอันมีอยู่แทบบัญชรนั้น พระมหากษัตริย์เจ้านั้น ก็ชมกงจักรแก้ว อันรุ่งเรือง ด้วยแก้ว ๗ ประการนั้นงามนักหนาหาที่จะอุปมาบมิได้ดังนั้นฯ พระญาองค์นั้นจึงมีพระโองการประกาศด้วยอำมาตย์ราชมณตรีทั้งหลายว่าฉันนี้ฯ ดังได้ยินมา พระอาจารย์ท้งหลายกล่าวมาแต่ก่อนว่า พระญาแลองค์ใดมีบุญไส้ แลจะได้เป็นพระมหาจักรพรรดิราชแลปราบได้ทั่วทั้งจักรวาลไส้ แลกงจักรแก้วอันชื่อว่าจักรรัตนะนั้นย่อมมาสู่ด้วยบุญสมภารพระญาองค์นั้น ๆ แลว่าคราวทีนี้เยียวว่าเราไส้ได้กระทำบุญแต่ก่อน แลบุญนั้นจะมาเถิงแก่เราจริง ๆ กงจักรแก้วอันมาหาเราบัดนี้ ฯ รู้ว่าวันนั้นพอเป็นวันเพ็งอุโบสถศีลแลพระญาองค์นั้นธให้ทานแล้วแลรักษาศีล ๘ อันแล้วเมตตาภาวนาอยู่ แลรำพึงเถิงทานแลศีลภาวนาแลจึงกงจักรแก้วนั้นมาหาเราในเมื่อกลางคืนนี้แลฯ พระญาองค์นั้นจึงเอาผ้าอันขาวอันเนื้อละเอียดนั้นมา พาดเหนือพระอังษาทั้งสอง สองกราบ หลายด้วยผ้าเล็กหลกผ้าสาลี มีลางพวกห่มพ้าชมพูผ้าหนังผ้ากรอบเทียรย่อมถือเครื่องฆ่าน่าไม้กับธนูหอกดาบแหลนหลาว หมอกในหัวเขามวกส่วนใส่เครื่องเงินคำถมอยอกลบิ้งกลดชุมสายหลายคัน กั้นไปชมหมู่ไม้ในกลางป่าดง มีพวกถือธงเล็กแลธงใหญ่ธงราม ธงแดง ธงขาวดูงามด้วยพิสดารแลเมาเป็นแองชัพพนิกาอันติ มีอันขาวอันดำอันแดงมีอันเหลืองเรืองทุกแห่งทุกพายพรางามดังแสงตระวันเรืองทั่วแผ่นดินเป็ฯได้แก่สี่แผ่นดิน จึงเสด็จไปล่วงอากาศกลางหาวด้วยพระญาจักรพรรดิราชฯ

    ดังนั้นพระเจ้าจักรพรรดิ์ก็ออกมาชมจักรแก้ว อำมาตย์ก็ทูลเชิญให้พระองค์ชมจักรแก้วอันมีรัศมีรุ่งเรืองงามทั่วทั้งเมืองนี้

    แล้วพระองค์ก็กล่าวว่า เราก็เคยได้ยินพระอาจารย์เล่ามาแต่เก่าก่อนว่า จักรแก้วนั้นจะบินมาหาผู้มีบุญญา ผู้ปราบทั้งจักรวาล

    ด้วยธรรม และเรานั้นได้ทำบุญมาแต่เก่าก่อน และบุญนั้นมาถึงเราจริงๆ จักรแก้วนั้นจึงมาหาเรา รู้ว่าเป็นวันเพ็ญอุโบสถศีล

    ให้ทานและรักษาศีลแปดและภาวนาอยู่ และนึกถึงบุญนั้น

    พระเจ้าจักรพรรดิ์จึงนำผ้าขาวเนื้อละเอียดมาพาดบ่าทั้งสอง สองข้างทางมีผ้าเล็ก ผ้าหลากสี ผ้าสาลี และมีพวกห่มผ้าชมพู

    ผ้าหนัง ผ้ากรอบ ซึ่งถืออาวุธ หน้าไม้ หอกดาบธนู ใส่หมวกเงินคำ ถือกลดหลายคัน มีพวกถือธงเล็กธงใหญ่ ขาวแดง

    ดูงามอย่างพิสดารเป็นแองชัพพนิกา(คืออะไร)อันดี มีขาวมีดำมีแดงมีเหลือง รุ่งเรืองเหมือนแสงตะวันทั่วทั้งสี่แผ่นดิน

    ร่วมเหาะไปในอากาศกับ พระยามหาจักรพรรดิ์
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 12 กรกฎาคม 2010
  15. Army56

    Army56 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,098
    ค่าพลัง:
    +1,862
    เมื่อนั้นเสนาบดีผู้ใหญ่จึงบังคับเจ้าเมืองทั้งหลายให้เอากลาองอันงามอันท่าวเอาทองเป็นสายแลมีแสงเป็นอันแดงงามดังแสงไฟนั้นไปตีป่าวแก่ฝูงราษฎรทั้งหลายด้วยคำว่าดังนี้ ท่านผู้เป็นพระญาผู้เจ้านายของเรานี้ธได้เป็นมหาบรมทจักรพัตราธิราชแล บัดนี้ปราบทวีปได้ทั้ง ๔ ทวีปนี้แล้ว ผู้ใดจะใคร่ไหว้ใคร่ชมบุญเจ้านายไส้ เร่งให้ชักชวนกันมาไหว้ชมเจ้านายเถิดฯ บัดนี้เจ้านายเราเสด็จไปปราบทวีปทั้ง ๔ แล จงท่านทั้งหลายเร่งแต่งแง่ตนแลพากันไปโดยเสด็จเจ้านายเรา แลพลางชมสมภารเจ้านายเราด้วยเถิดฯ เมื่อนั้นคนทั้งหลายได้ยินเสียงกงจักรแก้วนั้นเพราะดังไปก่อนหน้าพระญามหาจักรพรรดิราชเจ้านั้นโดยอากาศเวหาฯ จึงคนทั้งหลายต่าง ๆ ก็ละการงานอันตนทำค้างอยู่นั้นก็ละไว้ แล้วจึงชักชวนกันแต่งแง่แผ่ตนทากระแจะแลจันทน์น้ำมันหอม แลมีมือถือข้าวตอกดอกไม้ไปบูชากงจักรแก้วนั้นแลฯ เมื่อนั้นคนทั้งหลายยินดีลากยินดีแล้วก็ไปโดยเสด็จทุกคนแล ฯ ครั้นว่าเขานึกในใจเขาว่าไปโดยเสด็จท่านไส้ คนทั้งหลายนั้นหากเปลี่ยนใจโดยอากาศ ด้วยบุญอำนาจแห่งกงจักรแก้วนั้นแลฯ ฝูงพราหมณษจารย์ก็ดี แลลูกเจ้าลูกไทยทั่วบ้านทั่วเมืองแลลูกขุนมนตรีหัวหมื่นหัวพัน แลไพร่กุฎมพีเศรษฐีพยารีพ่อค้าพ่อครัวสูทร์แพศย์ทั้งหลายฝงนี้ เทียรย่อมมีกายอันงามบริสุทธิทุกคนหามลทินบมิได้เลยสักคน แม้นว่าแต่ก่อนโพ้นไส้ตัวเขานั้นกอประด้วยมวลทินด้วยการณ์ใด ๆ ก็ดี แลด้วยเดช บุญอำนาจแห่งกงจักรแก้วนั้นแล อาจสามารถมาบรรเทาเสียซึ่งสัพพทงทิน อันมีในกายแห่งมนุษย์บุถุชนทั้งหลายนั้นเสียสิ้นทุกประการแลฯ

    เสนาบดีจึงสั่งให้เจ้าเมืองทั้งหลายตีกลองป่าวประกาศราษฎรว่า บัดนี้ พระยาเจ้านายของเรา ได้เป็นพระมหาจักรพรรดิ์ผู้

    ปราบทั้งสี่ทวีป ใครจจักชมจักไหว้ให้รีบมา พระเจ้าจักรพรรดิ์จะไปปราบทั้งสี่ทวีปแล้ว เร่งแต่งตัวละการงาน ตามเสด็จท่าน

    ไป ตามเสียงกงจักรที่ดังออกมาก่อนแล้วนั้น นำข้าวตอกดอกไม้ไปบูชาเพียงแค่อธิษฐานก็จะได้ตามเสด็จไปในอากาศกับ

    พระเจ้าจักรพรรดิ์นั้น

    จักรแก้วนั้นก็จะทำให้ทุกคนมีกายอันงามบริสุทธิ์ปราศจากมลทิน แม้ว่าแต่ก่อนเคยมีตำหนิข้อด้อยในกายตนก็ตาม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 12 กรกฎาคม 2010
  16. Army56

    Army56 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,098
    ค่าพลัง:
    +1,862
    แลจะกล่าวให้รู้ ๆ ว่ากำลังรี้พลโยธาแห่งพระมหาบรมจัพรพัตราธิราชเจ้านั้นเท่าใดฯ ผิจะใคร่รู้ไส้ว่ายังมีที่ทำเนแห่งหนึ่งโดยกว้าง ๑๒ โยชน์แลโดยปริมณฑลรอบนั้นได้ ๓๖ โยชน์ แล้วจึงให้รี้พลทั้งหลายนั้นนั่งอยู่ในที่แห่งนั้นจึงกงจักรแก้วก็พออยู่ไส้ พระองค์สมเด็จมหาจักรพรรดิพัตราธิราชเจ้านั้นก็ดี แลรี้พลทั้งหลากนั้นก็ดี ก็ย่อมไปโดยอากาศดุจดังวิชาธรีอันมีฤทธิ์ด้วยสาตราคม สมถนำอันพิเศษแลไปบนอากาศนั้นทุกเมื่อ พระญาก็ดี รี้พลก็โ ไปบนอากาศดังนั้นเพื่อเพราะอำนาจแห่งกงจักรแก้วนั้นแลฯ องค์พระยามหากฃจักรพรรดิราชนั้นรุ่งเรืองงามดังเดือนเพ็งูรณ์แล มีลูกเาเหง้าขุนทั้งหลายที่ไปด้วยเสด็จท่านนั้นก็รุ่งเรืองงามดังดารากรทั้งหลาย อันห้องล้อมเป็นบริวารพระจันทร์เจ้านั้นแลฯ อันว่าชนทั้งหลายนั้นยินดีตรีสนุกนิ์สุขสารสำราญบานใจแลชมชื่นหืนเริงตาเกิงบันจงมีองค์แต่งแง่แผ่ตนชมเลบ่นชมหัว แล้วแลร้องก้องขับเสียงพาทย์เสียงพิณแตรสังข์ ทั้งเสียงกลองใหญ่แลกลองรามกลองเล็ก แลฉิ่งแฉ่งบัณเฑาะว์แสนาะวังเวง ลางคนตีกลองตีพาทย์ฆ้องตีกรับสัพพทุกสิ่ง ลางจำพวกดีดพิณแลสีซอพุงตอแลกั้นฉิ่งริงรำ จับระบะเต้นเล่นสารพนักคุนทั้งหลายสัพพดุริยดนตรีอยู่ครืนเครง อลวลเลวงดังแผ่นดินจะถล่มแลฝูงคนทั้งหลายอันเป็นบริวาร ซึ่งไปโดยเสด็จพระมหาจักรพรรดิราชเจ้าในกลางอัมพรากาศวันนั้นงามนักหนา ดังเทพยดาทั้งหลายซึ่งเป็นบริวารแห่งสมเด็จอัมรินทราธิราชเจ้านั้นแลฯ

    และหากจะประมาณจำนวนกำลังพลของพระเจ้าจักรพรรดิ์นี้นั้น ก็เทียบเท่าว่ามีที่ว่างแห่งหนึ่งกว้าง 12 โยชน์ ยาว 36 โยชน์

    แล้วให้กำลังพลทั้งหมดนั่งในที่แห่งนั้น เข้าไปอยู่ในจักรแก้วก็สามารถบรรจุอยู่ได้ และพระเจ้าจักรพรรดิ์และรี้พล ก็เหาะ

    ไปในอากาศกับจักรแก้วดังมีฤทธิ์ แต่เหาะไปได้ด้วยฤทธิ์แห่งจักรแก้วนั้น พระยาจักรพรรดิ์ก็มีแสงรุ่งเรืองงามดังพระจันทร์

    รี้พลก็มีแสงดังดวงดาราอันเป็นบริวารแก่พระเจ้าจักรพรรดิ์นั้น รี้พลและผู้ตามเสด็จนั้นต่างมีความสุขสำราญ ร้องเพลง เล่น

    ดนตรี เต้นรำกันอย่างสนุกสนาน บริวารทั้งหลายนั้นงามนักหนาดังเทพยดา ของพระอัมรินทราธิราชเจ้า
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 12 กรกฎาคม 2010
  17. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    <CENTER>พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๑ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๓
    ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค</CENTER><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="90%" align=center background="" border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD width="100%" bgColor=darkblue vspace="0" hspace="0">[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>

    ๓. จักกวัตติสูตร (๒๖)

    --------------------------

    [๓๓] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้-
    สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ เมืองมาตุลาในแคว้นมคธ ณ ที่
    นั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ฯ
    ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคแล้ว พระผู้มีพระภาคจึงตรัสดังนี้ว่า
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงมีตนเป็นเกาะ มีตนเป็นที่พึ่ง อย่ามี
    สิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง จงมีธรรมเป็นเกาะ มีธรรมเป็นที่พึ่ง อย่ามีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่งอยู่
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุผู้มีตนเป็นเกาะ มีตนเป็นที่พึ่ง ไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง
    มีธรรมเป็นเกาะ มีธรรมเป็นที่พึ่ง ไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง เป็นไฉน
    ๑. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ พิจารณาเห็นกายในกายอยู่
    มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติกำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลก
    เสียได้ ฯ
    ๒. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ พิจารณาเห็นเวทนา
    ในเวทนาทั้งหลายอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัด
    อภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้ ฯ
    ๓. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ พิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่
    มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติกำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลก
    เสียได้ ฯ
    ๔. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ พิจารณาเห็นธรรมในธรรม
    ทั้งหลายอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและ
    โทมนัสในโลกเสียได้ ฯ
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุมีตนเป็นเกาะ มีตนเป็นที่พึ่ง ไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง
    มีธรรมเป็นเกาะ มีธรรมเป็นที่พึ่ง ไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่งอยู่ อย่างนี้แล ดูกรภิกษุ
    ทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงเที่ยวไปในโคจรซึ่งเป็นวิสัยอันสืบมาจากบิดาของตน
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อเธอทั้งหลายเที่ยวไปในโคจร ซึ่งเป็นวิสัยอันสืบมาจากบิดา
    ของตน มารจักไม่ได้โอกาส มารจักไม่ได้อารมณ์ ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุญนี้
    เจริญขึ้นอย่างนี้ เพราะเหตุถือมั่นธรรมทั้งหลายอันเป็นกุศล ฯ
    [๓๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรื่องเคยมีมาแล้ว มีพระราชาจักรพรรดิ์
    พระนามว่า ทัลหเนมิ ผู้ทรงธรรม เป็นพระราชาโดยธรรม เป็นใหญ่ในแผ่นดิน
    มีมหาสมุทร ๔ เป็นขอบเขต ทรงชำนะแล้ว มีราชอาณาจักรมั่นคง สมบูรณ์
    ด้วยแก้ว ๗ ประการ คือ จักรแก้ว ช้างแก้ว ม้าแก้ว แก้วมณี นางแก้ว
    คฤหบดีแก้ว ปริณายกแก้ว เป็นที่ ๗ พระราชบุตรของพระองค์มีกว่าพัน ล้วน
    กล้าหาญ มีรูปทรงสมเป็นวีรกษัตริย์ สามารถย่ำยีเสนาของข้าศึกได้ พระองค์
    ทรงชำนะโดยธรรม มิต้องใช้อาชญา มิต้องใช้ศัสตราครอบครองแผ่นดิน มีสาคร
    เป็นขอบเขต ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้น โดยล่วงไปหลายปี หลายร้อยปี หลาย
    พันปี ท้าวเธอตรัสเรียกบุรุษคนหนึ่งมารับสั่งว่า ดูกรบุรุษผู้เจริญ ท่านเห็นจักรแก้ว
    อันเป็นทิพย์ถอยเคลื่อนจากที่ในกาลใด พึงบอกแก่เราในกาลนั้นทีเดียว ดูกรภิกษุ
    ทั้งหลาย บุรุษนั้นทูลสนองพระราชดำรัสของท้าวเธอแล้ว ดูกรภิกษุทั้งหลาย
    โดยล่วงไปอีกหลายปี หลายร้อยปี หลายพันปี บุรุษนั้นได้เห็นจักรแก้วอันเป็น
    ทิพย์ถอยเคลื่อนจากที่ จึงเข้าไปเฝ้าท้าวเธอถึงที่ประทับ แล้วได้กราบทูลว่า ขอเดชะ
    พระพุทธเจ้าข้า ขอพระองค์พึงทรงทราบ จักรแก้วอันเป็นทิพย์ของพระองค์ถอย-
    *เคลื่อนจากที่แล้ว ฯ
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ลำดับนั้น ท้าวเธอตรัสเรียกพระกุมารองค์ใหญ่มา
    รับสั่งว่า ดูกรพ่อกุมาร ได้ยินว่า จักรแก้วอันเป็นทิพย์ของพ่อถอยเคลื่อนจากที่แล้ว
    ก็พ่อได้สดับมาดังนี้ว่า จักรแก้วอันเป็นทิพย์ของพระเจ้าจักรพรรดิ์องค์ใด ถอย
    เคลื่อนจากที่ พระเจ้าจักรพรรดิ์พระองค์นั้น พึงทรงพระชนม์อยู่ได้ไม่นานในบัดนี้
    ก็กามทั้งหลายอันเป็นของมนุษย์ พ่อได้บริโภคแล้ว บัดนี้เป็นสมัยที่จะแสวงหากาม
    ทั้งหลายอันเป็นทิพย์ของพ่อ มาเถิดพ่อกุมาร พ่อจงปกครองแผ่นดิน อันมีสมุทร
    เป็นขอบเขตนี้ ฝ่ายพ่อจักปลงผมและหนวด นุ่งห่มผ้าย้อมน้ำฝาด ออกจาก
    เรือนบวชเป็นบรรพชิต ฯ
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ลำดับนั้น ท้าวเธอทรงสั่งสอนพระกุมารองค์ใหญ่
    ในราชสมบัติเรียบร้อยแล้ว ทรงปลงพระเกศาและพระมัสสุ ทรงครองผ้าย้อม-
    *น้ำฝาด เสด็จออกจากเรือน ทรงผนวชเป็นบรรพชิตแล้ว ดูกรภิกษุทั้งหลาย
    ก็เมื่อพระราชฤาษี ทรงผนวชได้ ๗ วัน จักรแก้วอันเป็นทิพย์อันตรธานไปแล้ว
    [๓๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้น ราชบุรุษคนหนึ่งเข้าไปเฝ้าพระราชา
    ผู้เป็นกษัตริย์ ซึ่งได้มูรธาภิเษกแล้ว ถึงที่ประทับ ครั้นแล้วได้กราบทูลว่า ขอเดชะ
    พระพุทธเจ้าข้า พระองค์พึงทรงทราบเถิด จักรแก้วอันเป็นทิพย์อันตรธานไปแล้ว
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ลำดับนั้น เมื่อจักรแก้วอันเป็นทิพย์อันตรธานไปแล้ว
    ท้าวเธอได้ทรงเสียพระทัยและทรงเสวยแต่ความเสียพระทัย ท้าวเธอเสด็จเข้าไป
    หาพระราชฤาษีถึงที่ประทับ แล้วได้กราบทูลว่า ขอเดชะ พระพุทธเจ้าข้า
    พระองค์พึงทรงทราบว่าจักรแก้วอันเป็นทิพย์อันตรธานไปแล้ว ดูกรภิกษุทั้งหลาย
    เมื่อท้าวเธอกราบทูลอย่างนี้แล้ว พระราชฤาษีจึงตรัสกะท้าวเธอว่า ดูกรพ่อ พ่อ
    อย่าเสียใจ และอย่าเสวยแต่ความเสียใจไปเลย ในเมื่อจักรแก้วอันเป็นทิพย์
    อันตรธานไปแล้ว ดูกรพ่อ ด้วยว่าจักรแก้วอันเป็นทิพย์หาใช่สมบัติสืบมาจาก
    บิดาของพ่อไม่ ดูกรพ่อ เชิญพ่อประพฤติในจักกวัตติวัตรอันประเสริฐเถิด ข้อนี้
    เป็นฐานะที่จะมีได้แล เมื่อพ่อประพฤติในจักกวัตติวัตรอันประเสริฐ จักรแก้ว
    อันเป็นทิพย์ซึ่งมีกำพันหนึ่ง มีกง มีดุม บริบูรณ์ด้วยอาการทุกอย่าง จักปรากฏมี
    แก่พ่อผู้สระพระเศียร แล้วรักษาอุโบสถอยู่ ณ ปราสาทอันประเสริฐชั้นบน ใน
    วันอุโบสถ ๑๕ ค่ำ ฯ
    ร. พระพุทธเจ้าข้า ก็จักกวัตติวัตรอันประเสริฐนั้น เป็นไฉน ฯ
    ราช. ดูกรพ่อ ถ้าเช่นนั้น พ่อจงอาศัยธรรมเท่านั้น สักการะธรรม
    ทำความเคารพธรรม นับถือธรรม บูชาธรรม ยำเกรงธรรม มีธรรมเป็นธงชัย
    มีธรรมเป็นยอด มีธรรมเป็นใหญ่ จงจัดการรักษาป้องกันและคุ้มครองอันเป็นธรรม
    ในชนภายใน ในหมู่พล ในพวกกษัตริย์ผู้เป็นอนุยนต์ ในพวกพราหมณ์และ
    คฤหบดี ในชาวนิคมและชาวชนบททั้งหลาย ในพวกสมณพราหมณ์ ในเหล่าเนื้อ
    และนก ดูกรพ่อ การอธรรมอย่าให้มีได้ในแว่นแคว้นของพ่อเลย ดูกรพ่อ อนึ่ง
    บุคคลเหล่าใดในแว่นแคว้นของพ่อ ไม่มีทรัพย์ พ่อพึงให้ทรัพย์แก่บุคคลเหล่านั้น
    ด้วย ดูกรพ่อ อนึ่ง สมณพราหมณ์เหล่าใด ในแว่นแคว้นของพ่อ งดเว้นจาก
    ความเมาและความประมาท ตั้งมั่นอยู่ในขันติและโสรัจจะ ฝึกตนแต่ผู้เดียว สงบ
    ตนแต่ผู้เดียว ให้ตนดับกิเลสอยู่แต่ผู้เดียว พึงเข้าไปหาสมณพราหมณ์เหล่านั้น
    โดยกาลอันควร แล้วไต่ถามสอบถามว่า ท่านขอรับ กุศลคืออะไร ท่านขอรับ
    อกุศลคืออะไร กรรมมีโทษคืออะไร กรรมไม่มีโทษคืออะไร กรรมอะไรควรเสพ
    กรรมอะไรไม่ควรเสพ กรรมอะไรอันข้าพเจ้ากระทำอยู่ พึงมีเพื่อไม่เป็นประโยชน์
    เพื่อทุกข์ สิ้นกาลนาน หรือว่ากรรมอะไรที่ข้าพเจ้ากระทำอยู่ พึงมีเพื่อประโยชน์
    เพื่อความสุข สิ้นกาลนาน พ่อได้ฟังคำของสมณพราหมณ์เหล่านั้นแล้ว สิ่งใด
    เป็นอกุศล พึงละเว้นสิ่งนั้นเสีย สิ่งใดเป็นกุศลพึงถือมั่นสิ่งนั้นประพฤติ ดูกรพ่อ
    นี้แล คือจักกวัตติวัตรอันประเสริฐนั้น
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ท้าวเธอรับสนองพระดำรัสพระราชฤาษีแล้ว ทรง
    ประพฤติในจักกวัตติวัตรอันประเสริฐ เมื่อท้าวเธอทรงประพฤติจักกวัตติวัตรอัน
    ประเสริฐอยู่ จักรแก้วอันเป็นทิพย์ซึ่งมีกำพันหนึ่ง มีกง มีดุม บริบูรณ์ด้วย
    อาการทุกอย่าง ปรากฏมีแก่ท้าวเธอผู้สระพระเศียร ทรงรักษาอุโบสถอยู่ ณ
    ปราสาทอันประเสริฐชั้นบน ในวันอุโบสถ ๑๕ ค่ำ ท้าวเธอทอดพระเนตรเห็นแล้ว
    มีพระดำริว่า ก็เราได้สดับมาว่า จักรแก้วอันเป็นทิพย์ มีกำพันหนึ่ง มีกง มีดุม
    บริบูรณ์ด้วยอาการทุกอย่าง ปรากฏมีแก่พระราชาผู้เป็นกษัตริย์พระองค์ใด ผู้ได้
    มูรธาภิเษก สระพระเศียร ทรงรักษาอุโบสถอยู่ ณ ปราสาทอันประเสริฐชั้นบน
    ในวันอุโบสถ ๑๕ ค่ำ พระราชาพระองค์นั้น เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ์ เราได้เป็น
    พระเจ้าจักรพรรดิ์หรือหนอ ฯ
    [๓๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ลำดับนั้น ท้าวเธอเสด็จลุกจากพระที่แล้ว
    ทรงทำผ้าอุตตราสงค์เฉวียงพระอังสาข้างหนึ่ง จับพระเต้าด้วยพระหัตถ์ซ้าย ทรง
    ประคองจักรแก้วด้วยพระหัตถ์ขวา แล้วตรัสว่า ขอจักรแก้วอันประเสริฐ จงเป็น
    ไปเถิด ขอจักรแก้วอันประเสริฐ จงชนะโลกทั้งปวงเถิด ฯ
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ขณะนั้น จักรแก้วนั้นก็เป็นไปทางทิศบูรพา พระเจ้า
    จักรพรรดิ์พร้อมด้วยจตุรงคินีเสนา ก็เสด็จติดตามไป ฯ
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ฝ่ายพระเจ้าแผ่นดินที่อยู่ ณ ทิศบูรพาพากันเสด็จ
    เข้าไปเฝ้าพระเจ้าจักรพรรดิ์ ได้กราบทูลอย่างนี้ว่า ขอเชิญเสด็จมาเถิด มหาราช-
    *เจ้า พระองค์เสด็จมาดีแล้ว ราชอาณาจักรเหล่านี้ เป็นของพระองค์ทั้งสิ้น ขอ
    พระองค์พระราชทานพระบรมราโชวาทเถิด มหาราชเจ้า ท้าวเธอจึงตรัสอย่างนี้ว่า
    พวกท่านไม่พึงฆ่าสัตว์
    ไม่พึงถือเอาของที่เจ้าของไม่ได้ให้
    ไม่พึงประพฤติผิดในกามทั้งหลาย
    ไม่พึงกล่าวคำเท็จ
    ไม่พึงดื่มน้ำเมา
    จงบริโภคตามเดิมเถิด
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกพระเจ้าแผ่นดินที่อยู่ ณ ทิศบูรพาได้พากันตาม
    เสด็จท้าวเธอไป ดูกรภิกษุทั้งหลาย ลำดับนั้น จักรแก้วนั้น ก็ลงไปสู่สมุทร
    ด้านบูรพา แล้วโผล่ขึ้นไปลงที่สมุทรด้านทักษิณ แล้วโผล่ขึ้นไปสู่ทิศปัจฉิม
    ท้าวเธอพร้อมด้วยจตุรงคินีเสนาก็เสด็จติดตามไป ดูกรภิกษุทั้งหลาย จักรแก้ว
    ประดิษฐานอยู่ ณ ประเทศใด ท้าวเธอก็เสด็จเข้าไปพักอยู่ ณ ประเทศนั้น
    พร้อมด้วยจตุรงคินีเสนา ฯ
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ฝ่ายพระเจ้าแผ่นดินที่อยู่ ณ ทิศปัจฉิมก็พากันเสด็จ
    เข้าไปเฝ้าท้าวเธอ ได้กราบทูลอย่างนี้ว่า ขอเชิญเสด็จมาเถิด มหาราชเจ้า
    พระองค์เสด็จมาดีแล้ว มหาราชเจ้า อาณาจักรเหล่านี้เป็นของพระองค์ทั้งสิ้น
    มหาราชเจ้า ขอพระองค์พระราชทานพระบรมราโชวาทเถิด ท้าวเธอจึงตรัสอย่างนี้ว่า
    พวกท่านไม่พึงฆ่าสัตว์
    ไม่พึงเอาสิ่งของที่เจ้าของไม่ได้ให้
    ไม่พึงประพฤติผิดในกามทั้งหลาย
    ไม่พึงกล่าวคำเท็จ
    ไม่พึงดื่มน้ำเมา
    จงบริโภคตามเดิมเถิด
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกพระเจ้าแผ่นดินที่อยู่ ณ ทิศอุดร ได้พากันตาม
    เสด็จท้าวเธอไป ดูกรภิกษุทั้งหลาย ลำดับนั้น จักรแก้วนั้นได้ชนะวิเศษยิ่งซึ่ง
    แผ่นดินมีสมุทรเป็นขอบเขตได้แล้ว จึงกลับคืนสู่ราชธานีนั้น ได้หยุดอยู่ที่ประตู
    พระราชวังของท้าวเธอ ปรากฏเหมือนเครื่องประดับ ณ มุขสำหรับทำเรื่องราว
    สว่างไสวอยู่ทั่วภายในพระราชวังของท้าวเธอ ฯ
    [๓๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย พระเจ้าจักรพรรดิ์องค์ที่ ๒ ก็ดี องค์ที่ ๓ ก็ดี
    องค์ที่ ๔ ก็ดี องค์ที่ ๕ ก็ดี องค์ที่ ๖ ก็ดี องค์ที่ ๗ ก็ดี โดยกาลล่วงไป
    หลายปี หลายร้อยปี หลายพันปี ได้ตรัสเรียกบุรุษคนหนึ่งมารับสั่งว่า ดูกรบุรุษ
    ผู้เจริญ ท่านเห็นจักรแก้วอันเป็นทิพย์ ถอยเคลื่อนจากที่ในกาลใด พ่อพึงบอก
    แก่เราในกาลนั้นทีเดียว ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุรุษนั้นทูลสนองพระราชดำรัสของ
    ท้าวเธอแล้ว ดูกรภิกษุทั้งหลาย โดยล่วงไปอีกหลายปี หลายร้อยปี หลายพันปี
    บุรุษนั้นได้แลเห็นจักรแก้วอันเป็นทิพย์ถอยเคลื่อนจากที่ จึงเข้าไปเฝ้าท้าวเธอถึงที่
    ประทับ แล้วได้กราบทูลว่า ขอเดชะ พระพุทธเจ้าข้า ขอพระองค์พึงทรงทราบ
    จักรแก้วอันเป็นทิพย์ของพระองค์ถอยเคลื่อนจากที่แล้ว ดูกรภิกษุทั้งหลาย ลำดับ
    นั้น ท้าวเธอตรัสเรียกพระกุมารองค์ใหญ่มารับสั่งว่า ดูกรพ่อกุมาร ได้ยินว่า
    จักรแก้วอันเป็นทิพย์ของพ่อถอยเคลื่อนจากที่แล้ว ก็พ่อได้สดับมาดังนี้ว่า จักร-
    *แก้วอันเป็นทิพย์ของพระเจ้าจักรพรรดิ์พระองค์ใด ถอยเคลื่อนออกจากที่ พระ-
    *เจ้าจักรพรรดิ์พระองค์นั้นพึงทรงพระชนม์อยู่ได้ไม่นาน ในบัดนี้ ก็กามทั้งหลาย
    อันเป็นของมนุษย์ พ่อได้บริโภคแล้ว บัดนี้เป็นสมัยที่จะแสวงหากามทั้งหลาย
    อันเป็นทิพย์ของพ่อ มาเถิดพ่อกุมาร พ่อจงปกครองแผ่นดินอันมีสมุทรเป็น
    ขอบเขตนี้ ฝ่ายพ่อจะปลงผมและหนวด นุ่งห่มผ้าย้อมน้ำฝาด ออกจากเรือนบวช
    เป็นบรรพชิต ดูกรภิกษุทั้งหลาย ลำดับนั้น ท้าวเธอทรงสั่งสอนพระกุมารองค์
    ใหญ่ในราชสมบัติเรียบร้อยแล้ว ทรงปลงพระเกศาและพระมัสสุ ทรงครองผ้า
    ย้อมน้ำฝาด เสด็จออกจากเรือนทรงผนวชเป็นบรรพชิตแล้ว ดูกรภิกษุทั้งหลาย
    ก็เมื่อพระราชฤาษี ทรงพระผนวชได้ ๗ วัน จักรแก้วอันเป็นทิพย์อันตรธาน
    ไปแล้ว ฯ
    [๓๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ลำดับนั้น บุรุษคนหนึ่งเข้าไปเฝ้าพระราชา
    ผู้กษัตริย์ ซึ่งได้มูรธาภิเษกแล้วถึงที่ประทับ ครั้นแล้ว ได้กราบทูลว่า ขอเดชะ
    พระพุทธเจ้าข้า พระองค์พึงทรงทราบเถิด จักรแก้วอันเป็นทิพย์อันตรธานไปแล้ว
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ลำดับนั้น ท้าวเธอเมื่อจักรแก้วอันเป็นทิพย์อันตรธานไปแล้ว
    ได้ทรงเสียพระทัย และได้ทรงเสวยแต่ความเสียพระทัย แต่ไม่ได้เสด็จเข้าไป
    เฝ้าพระราชฤาษี ทูลถามจึงจักกวัตติวัตรอันประเสริฐ นัยว่าท้าวเธอทรงปกครอง
    ประชาราษฎร์ ตามพระมติของพระองค์เอง เมื่อท้าวเธอทรงปกครองประชาราษฎร์
    ตามพระมติของพระองค์อยู่ ประชาราษฎร์ก็ไม่เจริญต่อไป เหมือนเก่าก่อน เหมือน
    เมื่อกษัตริย์พระองค์ก่อนๆ ซึ่งได้ทรงประพฤติในจักกวัตติวัตรอันประเสริฐอยู่
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้น คณะอำมาตย์ข้าราชบริพารโหราจารย์และมหาอำมาตย์
    นายกองช้าง นายกองม้า เป็นต้น จนคนรักษาประตู และคนเลี้ยงชีพด้วยปัญญา
    ได้ประชุมกันกราบทูลท้าวเธอว่า พระพุทธเจ้าข้า ได้ยินว่าเมื่อพระองค์ทรงปกครอง
    ประชาราษฎร์ตามพระมติของพระองค์เอง ประชาราษฎร์ไม่เจริญเหมือนเก่าก่อน
    เหมือนเมื่อกษัตริย์พระองค์ก่อนๆ ซึ่งได้ทรงประพฤติในจักกวัตติวัตรอันประเสริฐ
    อยู่ พระพุทธเจ้าข้า ในแว่นแคว้นของพระองค์มีอำมาตย์ข้าราชบริพาร โหราจารย์
    และมหาอำมาตย์ นายกองช้าง นายกองม้า เป็นต้น จนคนรักษาประตู และคน
    เลี้ยงชีพด้วยปัญญา อยู่พร้อมทีเดียว ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลาย คือข้าพระพุทธเจ้า
    ทั้งหลายด้วยและประชาราษฎร์ เหล่าอื่นด้วย จำทรงจักกวัตติวัตรอันประเสริฐได้อยู่
    ขอเชิญพระองค์โปรดตรัสถามถึงจักกวัตติวัตรอันประเสริฐเถิด พวกข้าพระพุทธ-
    *เจ้าอันพระองค์ตรัสถามแล้ว จักกราบทูลแก้จักกวัตติวัตรอันประเสริฐถวายพระองค์ฯ
    [๓๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ลำดับนั้น ท้าวเธอโปรดให้ประชุมอำมาตย์ราช-
    *บริพารโหราจารย์และมหาอำมาตย์ นายกองช้าง นายกองม้าเป็นต้น จนคนรักษา
    ประตู และคนเลี้ยงชีพด้วยปัญญา แล้วตรัสถามจักกวัตติวัตรอันประเสริฐ เขา
    เหล่านั้นอันท้าวเธอตรัสถามจักกวัตติวัตรอันประเสริฐแล้ว จึงกราบทูลแก้ถวาย
    ท้าวเธอ ท้าวเธอได้ฟังคำทูลแก้ของพวกเขาแล้ว จึงทรงจัดการรักษาป้องกัน
    และคุ้มครอง อันชอบธรรม แต่ไม่ได้พระราชทานทรัพย์ให้แก่คนที่ไม่มีทรัพย์
    เมื่อไม่พระราชทานทรัพย์ให้แก่คนที่ไม่มีทรัพย์ ความขัดสนจึงได้ถึงความแพร่
    หลาย เมื่อความขัดสนถึงความแพร่หลาย บุรุษคนหนึ่งจึงขโมยทรัพย์ของคนอื่น
    ไป เขาช่วยกันจับบุรุษนั้นได้แล้ว แสดงแก่ท้าวเธอพร้อมด้วยกราบทูลว่า
    พระพุทธเจ้าข้า บุรุษคนนี้ขโมยเอาทรัพย์ของคนอื่นไป ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อ
    เขาพากันกราบทูลอย่างนี้แล้ว ท้าวเธอจึงตรัสคำนี้กะบุรุษผู้นั้นว่า พ่อบุรุษ ได้
    ยินว่า เธอขโมยเอาทรัพย์ของคนอื่นไปจริงหรือ ฯ
    บุ. จริง พระพุทธเจ้าข้า ฯ
    ร. เพราะเหตุไร ฯ
    บุ. เพราะข้าพระพุทธเจ้าไม่มีอะไรจะเลี้ยงชีพ ฯ
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ลำดับนั้น ท้าวเธอจึงพระราชทานทรัพย์ให้แก่เขา
    แล้วรับสั่งว่า พ่อบุรุษ เธอจงเลี้ยงชีพ จงเลี้ยงมารดาบิดา จงเลี้ยงบุตรภรรยา
    จงประกอบการงานทั้งหลาย จงตั้งทักษิณาที่มีผลในเบื้องบน อันเกื้อกูลแก่สวรรค์
    มีสุขเป็นผล เป็นไปเพื่อสวรรค์ ในสมณพราหมณ์ทั้งหลายด้วยทรัพย์นี้เถิด
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย เขาได้สนองพระราชดำรัสของท้าวเธอแล้ว ฯ
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้บุรุษอีกคนหนึ่งก็ได้ขโมยทรัพย์ของคนอื่นไป เขา
    ช่วยกันจับบุรุษนั้นได้แล้วจึงแสดงแก่ท้าวเธอพร้อมด้วยกราบทูลว่า พระพุทธเจ้าข้า
    บุรุษผู้นี้ขโมยเอาทรัพย์ของคนอื่นไป ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อเขาพากันกราบทูล
    อย่างนี้แล้ว ท้าวเธอจึงตรัสคำนี้กะบุรุษผู้นั้นว่า พ่อบุรุษ ได้ยินว่า เธอขโมย
    เอาทรัพย์ของคนอื่นไป จริงหรือ ฯ
    บุ. จริงพระพุทธเจ้าข้า ฯ
    ร. เพราะเหตุไร ฯ
    บุ. เพราะข้าพระพุทธเจ้าไม่มีอะไรจะเลี้ยงชีพ ฯ
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ลำดับนั้น ท้าวเธอจึงพระราชทานทรัพย์ให้แก่เขา
    แล้วรับสั่งว่า พ่อบุรุษ เธอจงเลี้ยงชีพ จงเลี้ยงชีพมารดาบิดา จงเลี้ยงบุตรภรรยา
    จงประกอบการงานทั้งหลาย จงตั้งทักษิณาที่มีผล ในเบื้องบน อันเกื้อกูลแก่
    สวรรค์ มีสุขเป็นผล เป็นไปเพื่อสวรรค์ ในสมณพราหมณ์ทั้งหลายด้วยทรัพย์
    นี้เถิด ดูกรภิกษุทั้งหลาย เขาได้สนองพระราชดำรัสของท้าวเธอแล้ว ฯ
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย มนุษย์ทั้งหลายได้ฟังมาว่า ดูกรท่านผู้เจริญทั้งหลาย
    ได้ยินว่า คนขโมยทรัพย์ของคนพวกอื่นไป พระเจ้าแผ่นดินยังทรงพระราชทาน
    ทรัพย์ให้อีก เขาได้ยินมา จึงพากันคิดเห็นอย่างนี้ว่า อย่ากระนั้นเลย แม้เรา
    ทั้งหลายก็ควรขโมยเอาทรัพย์ของคนอื่นบ้าง ฯ
    [๔๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ลำดับนั้น บุรุษคนหนึ่งขโมยเอาทรัพย์ของ
    คนอื่นไป เขาช่วยกันจับบุรุษนั้นได้แล้ว จึงแสดงแก่ท้าวเธอพร้อมด้วยกราบทูลว่า
    พระพุทธเจ้าข้า บุรุษผู้นี้ขโมยเอาทรัพย์ของคนอื่นไป ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อ
    เขาพากันกราบทูลอย่างนี้แล้ว ท้าวเธอจึงตรัสคำนี้กะบุรุษผู้นั้นว่า พ่อบุรุษ ได้
    ยินว่า เธอขโมยเอาทรัพย์ของคนอื่นไปจริงหรือ ฯ
    บุ. จริง พระพุทธเจ้าข้า ฯ
    ร. เพราะเหตุไร ฯ
    บุ. เพราะข้าพระพุทธเจ้าไม่มีอะไรจะเลี้ยงชีพ ฯ
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ลำดับนั้น ท้าวเธอจึงทรงพระดำริอย่างนี้ว่า ถ้าเรา
    จักให้ทรัพย์แก่คนที่ขโมยเอาทรัพย์ของคนอื่นเสมอไป อทินนาทานนี้จักเจริญทวี
    ขึ้นด้วยประการอย่างนี้ อย่ากระนั้นเลย เราจะให้คุมตัวบุรุษผู้นี้ให้แข็งแรง จะทำ
    การตัดต้นตอ ตัดศีรษะของบุรุษนั้นเสีย ดูกรภิกษุทั้งหลาย ลำดับนั้น ท้าวเธอ
    ตรัสสั่งบังคับราชบุรุษทั้งหลายว่า แน่ะ พนาย ถ้าเช่นนั้น ท่านจงเอาเชือก
    เหนียวๆ มัดบุรุษนี้ให้มือไพล่หลังให้แน่น เอามีดโกนๆ ศีรษะให้โล้น
    แล้วพาตระเวนตามถนน ตามตรอก ด้วยบัณเฑาะว์เสียงกร้าว ออกทางประตู
    ด้านทักษิณ จงคุมตัวให้แข็งแรง ทำการตัดต้นตอ ตัดศีรษะบุรุษนั้นเสีย นอก
    พระนครทิศทักษิณ ราชบุรุษทั้งหลายรับพระราชดำรัสของเธอแล้ว จึงเอาเชือก
    เหนียวมัดบุรุษนั้นให้มือไพล่หลังให้แน่น เอามีดโกนๆ ศีรษะให้โล้น แล้วพา
    ตระเวนตามถนน ตามตรอก ด้วยบัณเฑาะว์เสียงกร้าว ออกทางประตูด้านทักษิณ
    คุมตัวให้แข็งแรง ทำการตัดต้นตอ ตัดศีรษะบุรุษนั้น นอกพระนคร
    ทิศทักษิณแล้ว ฯ
    [๔๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย มนุษย์ทั้งหลายได้ฟังมาว่า ดูกรท่านผู้เจริญ
    ทั้งหลาย ได้ยินว่า พระเจ้าแผ่นดินให้คุมตัวบุคคลผู้ขโมยเอาทรัพย์ของคนอื่น
    อย่างแข็งแรง ทำการตัดต้นตอ ตัดศีรษะพวกเขาเสีย เพราะได้ฟังมา พวกเขา
    จึงมีความคิดเห็นอย่างนี้ว่า อย่ากระนั้นเลย แม้พวกเราควรให้ช่างทำศัสตรา
    อย่างคม ครั้นแล้วจะคุมตัวบุรุษที่เราจักขโมยเอาทรัพย์ให้แข็งแรง จักทำการตัด
    ต้นตอ ตัดศีรษะพวกมันเสีย พวกเขาจึงให้ช่างทำศัสตราอย่างคม ครั้นแล้ว
    จึงเริ่มทำการปล้นบ้านบ้าง ปล้นนิคมบ้าง ปล้นพระนครบ้าง ปล้นตามถนน
    หนทางบ้าง คุมตัวบุคคลที่พวกเขาจักขโมยเอาทรัพย์ไว้อย่างแข็งแรง ทำการตัด
    ต้นตอ ตัดศีรษะบุคคลนั้นเสีย ฯ
    [๔๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ด้วยประการดังพรรณนามานี้ เมื่อพระมหา-
    *กษัตริย์ไม่พระราชทานทรัพย์ให้แก่คนที่ไม่มีทรัพย์ ความขัดสนก็ได้ถึงความแพร่
    หลาย เมื่อความขัดสนถึงความแพร่หลาย อทินนาทานก็ได้ถึงความแพร่หลาย
    เมื่ออทินนาทานถึงความแพร่หลาย ศัสตราก็ได้ถึงความแพร่หลาย เมื่อศัสตราถึง
    ความแพร่หลาย ปาณาติบาตก็ได้ถึงความแพร่หลาย เมื่อปาณาติบาตถึงความแพร่
    หลาย มุสาวาทก็ได้ถึงความแพร่หลาย เมื่อมุสาวาทถึงความแพร่หลาย แม้อายุ
    ของสัตว์เหล่านั้นก็เสื่อมถอย แม้วรรณะก็เสื่อมถอย เมื่อพวกเขาเสื่อมถอยจาก
    อายุบ้าง เสื่อมถอยจากวรรณบ้าง บุตรของมนุษย์ที่มีอายุ ๘๐,๐๐๐ ปี ก็มีอายุ
    ถอยลง เหลือ ๔๐,๐๐๐ ปี ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๔๐,๐๐๐ ปี
    บุรุษคนหนึ่งขโมยเอาทรัพย์ของคนอื่นไป เขาช่วยกันจับบุรุษนั้นได้แล้ว จึงแสดง
    แก่พระราชาผู้กษัตริย์ ซึ่งได้มูรธาภิเษกพร้อมด้วยกราบทูลว่า พระพุทธเจ้าข้า
    บุรุษผู้นี้ขโมยเอาทรัพย์ของคนอื่นไป ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อเขาพากันกราบทูลอย่าง
    นี้แล้ว ท้าวเธอจึงตรัสคำนี้กะบุรุษนั้นว่า พ่อบุรุษ ได้ยินว่า เธอขโมยเอาทรัพย์ของ
    คนอื่นไปจริงหรือ บุรุษนั้นได้กราบทูล คำเท็จทั้งรู้อยู่ว่า ไม่จริงเลยพระพุทธเจ้าข้า ฯ
    [๔๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ด้วยประการดังพรรณนามานี้ เมื่อพระมหา-
    *กษัตริย์ไม่พระราชทานทรัพย์ให้แก่คนที่ไม่มีทรัพย์ ความขัดสนก็ได้ถึงความแพร่
    หลาย เมื่อความขัดสนถึงความแพร่หลาย อทินนาทานก็ได้ถึงความแพร่หลาย
    เมื่ออทินนาทานถึงความแพร่หลาย ศัสตราก็ได้ถึงความแพร่หลาย เมื่อศัสตราถึง
    ความแพร่หลาย ปาณาติบาตก็ได้ถึงความแพร่หลาย เมื่อปาณาติบาตถึงความแพร่
    หลาย มุสาวาทก็ได้ถึงความแพร่หลาย เมื่อมุสาวาทถึงความแพร่หลาย แม้อายุ
    ของสัตว์เหล่านั้นก็เสื่อมถอย แม้วรรณะก็เสื่อมถอย เมื่อพวกเขาเสื่อมถอยจาก
    อายุบ้าง เสื่อมถอยจากวรรณะบ้าง บุตรของมนุษย์ที่มีอายุ ๔๐,๐๐๐ ปี ก็มี
    อายุ ๒๐,๐๐๐ ปี ฯ
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๒๐,๐๐๐ ปี บุรุษคนหนึ่งขโมย
    เอาทรัพย์ของคนอื่นไป บุรุษอีกคนหนึ่งจึงกราบทูลแก่พระราชาผู้กษัตริย์ซึ่งได้
    มูรธาภิเษกเป็นการส่อเสียดว่า พระพุทธเจ้าข้า บุรุษชื่อนี้ ขโมยเอาทรัพย์
    ของคนอื่นไป ฯ
    [๔๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ด้วยประการดังพรรณนามานี้ เมื่อพระมหา-
    *กษัตริย์ไม่พระราชทานทรัพย์ให้แก่คนที่ไม่มีทรัพย์ ความขัดสนก็ได้ถึงความแพร่
    หลาย เมื่อความขัดสนถึงความแพร่หลาย ปิสุณาวาจาก็ได้ถึงความแพร่หลาย
    เมื่อปิสุณาวาจาถึงความแพร่หลาย แม้อายุของสัตว์เหล่านั้นก็เสื่อมถอย แม้
    วรรณก็เสื่อมถอย เมื่อพวกเขาเสื่อมถอยจากอายุบ้าง เสื่อมถอยจากวรรณะบ้าง
    บุตรของมนุษย์ที่มีอายุ ๒๐,๐๐๐ ปี ก็มีอายุถอยลงเหลือ ๑๐,๐๐๐ ปี ฯ
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๑๐,๐๐๐ ปี สัตว์บางพวกมีวรรณะ
    ดี สัตว์บางพวกมีวรรณะไม่ดี ในสัตว์ทั้งสองพวกนั้น สัตว์พวกที่มีวรรณะไม่ดี
    ก็เพ่งเล็งสัตว์พวกที่มีวรรณดี ถึงความประพฤติล่วงในภรรยาของคนอื่น ฯ
    [๔๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ด้วยประการดังพรรณนามานี้ เมื่อพระมหา-
    *กษัตริย์ไม่พระราชทานทรัพย์ให้แก่คนที่ไม่มีทรัพย์ ความขัดสนก็ได้ถึงความแพร่
    หลาย เมื่อความขัดสนถึงความแพร่หลาย อทินนาทานก็ได้ถึงความแพร่หลาย
    เมื่ออทินนาทานถึงความแพร่หลาย กาเมสุมิจฉาจารก็ได้ถึงความแพร่หลาย เมื่อ
    กาเมสุมิจฉาจารถึงความแพร่หลาย แม้อายุของสัตว์เหล่านั้นก็เสื่อมถอย แม้
    วรรณะก็เสื่อมถอย เมื่อพวกเขาเสื่อมถอยจากอายุบ้าง เสื่อมถอยจากวรรณะบ้าง
    บุตรของมนุษย์ที่มีอายุ ๑๐,๐๐๐ ปี ก็มีอายุถอยลงเหลือ ๕,๐๐๐ ปี ฯ
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๕,๐๐๐ ปี ธรรม ๒ ประการคือ
    ผรุสวาจาและสัมผัปปลาปะก็ได้ถึงความแพร่หลาย เมื่อธรรม ๒ ประการถึงความ
    แพร่หลาย แม้อายุของสัตว์เหล่านั้นก็เสื่อมถอย แม้วรรณะก็เสื่อมถอย เมื่อพวก
    เขาเสื่อมถอยจากอายุบ้าง เสื่อมถอยจากวรรณะบ้าง บุตรของมนุษย์ที่มีอายุ
    ๕,๐๐๐ ปี บางพวกมีอายุ ๒,๕๐๐ ปี บางพวกมีอายุ ๒,๐๐๐ ปี ฯ
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๒,๕๐๐ ปี อภิชฌาและพยาบาท
    ก็ได้ถึงความแพร่หลาย เมื่ออภิชฌาและพยาบาทถึงความแพร่หลาย แม้อายุของ
    สัตว์เหล่านั้นก็เสื่อมถอย แม้วรรณะก็เสื่อมถอย เมื่อพวกเขาเสื่อมถอยจากอายุ
    บ้าง เสื่อมถอยจากวรรณะบ้าง บุตรของมนุษย์ที่มีอายุ ๒,๕๐๐ ปี ก็มีอายุถอยลง
    เหลือ ๑,๐๐๐ ปี ฯ
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๑,๐๐๐ ปี มิจฉาทิฐิก็ได้ถึงความ
    แพร่หลาย เมื่อมิจฉาทิฐิถึงความแพร่หลาย แม้อายุของสัตว์เหล่านั้นก็เสื่อมถอย
    แม้วรรณะก็เสื่อมถอย เมื่อพวกเขาเสื่อมถอยจากอายุบ้าง เสื่อมถอยจากวรรณะ
    บ้าง บุตรของมนุษย์ที่มีอายุ ๑,๐๐๐ ปี ก็มีอายุถอยลงเหลือ ๕๐๐ ปี ฯ
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๕๐๐ ปี ธรรม ๓ ประการคือ
    อธรรมราคะ ๑- วิสมโลภ ๒- มิจฉาธรรม ๓- ก็ได้ถึงแก่ความแพร่หลาย เมื่อธรรม
    ๓ ประการถึงความแพร่หลาย แม้อายุของสัตว์เหล่านั้นก็เสื่อมถอย แม้วรรณะก็
    เสื่อมถอย เมื่อพวกเขาเสื่อมถอยจากอายุบ้าง เสื่อมถอยจากวรรณะบ้าง บุตร
    ของมนุษย์ที่มีอายุ ๕๐๐ ปี บางพวกมีอายุ ๒๕๐ ปี บางพวกมีอายุ ๒๐๐ ปี ฯ
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๒๕๐ ปี ธรรมเหล่านี้คือ ความ
    ไม่ปฏิบัติชอบในมารดา ความไม่ปฏิบัติชอบในบิดา ความไม่ปฏิบัติชอบในสมณะ
    ความไม่ปฏิบัติชอบในพราหมณ์ ความไม่อ่อนน้อมต่อท่านผู้ใหญ่ในตระกูล ก็ได้
    ถึงความแพร่หลาย
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ด้วยประการดังพรรณนามานี้ เมื่อพระมหากษัตริย์ไม่
    พระราชทานทรัพย์ให้แก่คนที่ไม่มีทรัพย์ ความขัดสนก็ได้ถึงแก่ความแพร่หลาย
    เมื่อความขัดสนถึงความแพร่หลาย อทินนาทานก็ได้ถึงความแพร่หลาย เมื่อ
    อทินนาทานถึงความแพร่หลาย ศัสตราก็ได้ถึงความแพร่หลาย เมื่อศัสตราถึงความ
    แพร่หลาย ปาณาติบาตถึงความแพร่หลาย เมื่อปาณาติบาตถึงความแพร่หลาย
    มุสาวาทก็ได้ถึงความแพร่หลาย เมื่อมุสาวาทถึงความแพร่หลาย ปิสุณาวาจาก็ได้
    ถึงความแพร่หลาย เมื่อปิสุณาวาจาถึงความแพร่หลาย กาเมสุมิจฉาจารก็ได้ถึงความ
    แพร่หลาย เมื่อกาเมสุมิจฉาจารถึงความแพร่หลาย ธรรม ๒ ประการคือ ผรุสวาจา
    และสัมผัปปลาปะก็ได้ถึงความแพร่หลาย เมื่อธรรม ๒ ประการถึงความแพร่หลาย
    อภิชฌาและพยาบาทก็ได้ถึงความแพร่หลาย เมื่ออภิชฌาและพยาบาทถึงความ
    แพร่หลาย มิจฉาทิฐิก็ได้ถึงความแพร่หลาย เมื่อมิจฉาทิฐิถึงความแพร่หลาย
    ธรรม ๓ ประการคือ อธรรมราคะ วิสมโลภ มิจฉาธรรม ก็ได้ถึงความแพร่หลาย
    @(๑) ความกำหนัดในฐานะอันไม่ชอบธรรม (๒) ความโลภไม่เลือก (๓) ความ
    @กำหนัดด้วยอำนาจความพอใจผิดธรรมดา
    เมื่อธรรม ๓ ประการถึงความแพร่หลาย ธรรมเหล่านี้ คือ ความไม่ปฏิบัติชอบใน
    มารดา ความไม่ปฏิบัติชอบในบิดา ความไม่ปฏิบัติชอบในสมณะ ความไม่ปฏิบัติ
    ชอบในพราหมณ์ ความไม่อ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่ในตระกูล ก็ได้ถึงความแพร่หลาย
    เมื่อธรรมเหล่านี้ถึงความแพร่หลาย แม้อายุของสัตว์เหล่านั้นก็เสื่อมถอย แม้
    วรรณะก็เสื่อมถอย เมื่อสัตว์เหล่านั้นเสื่อมถอยจากอายุบ้าง เสื่อมถอยจากวรรณะ
    บ้าง บุตรของมนุษย์ที่มีอายุ ๒๕๐ ปี ก็มีอายุถอยลงเหลือ ๑๐๐ ปี ฯ
    [๔๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย จักมีสมัยที่มนุษย์เหล่านี้มีบุตรอายุ ๑๐ ปี ใน
    เมื่อมนุษย์มีอายุ ๑๐ ปี เด็กหญิงมีอายุ ๕ ปี จักสมควรมีสามีได้ ดูกรภิกษุ
    ทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๑๐ ปี รสเหล่านี้คือเนยใส เนยข้น น้ำมัน น้ำผึ้ง
    น้ำอ้อย และเกลือ จักอันตรธานไปสิ้น ดูกรภิกษุทั้งหลายในเมื่อมนุษย์ มีอายุ
    ๑๐ ปี หญ้ากับแก้ ๑- จักเป็นอาหารอย่างดี ดูกรภิกษุทั้งหลายเปรียบเหมือนข้าวสุก
    ข้าวสาลีระคนกับเนื้อสัตว์ จักเป็นอาหารอย่างดี ในบัดนี้ฉันใด ดูกรภิกษุทั้งหลาย
    ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๑๐ ปี หญ้ากับแก้ก็จักเป็นอาหารอย่างดี ฉันนั้นเหมือนกัน
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๑๐ ปี กุศลกรรมบถ ๑๐ จักอันตรธานไปหมด
    สิ้น อกุศลกรรมบถ ๑๐ จักรุ่งเรืองเหลือเกิน ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ
    ๑๐ ปี แม้แต่ชื่อว่ากุศลก็จักไม่มี และคนทำกุศลจักมีแต่ไหน ดูกรภิกษุทั้งหลาย
    ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๑๐ ปี คนทั้งหลายจักไม่ปฏิบัติชอบในมารดา จักไม่ปฏิบัติ
    ชอบในบิดา จักไม่ปฏิบัติชอบในสมณะ จักไม่ปฏิบัติชอบในพราหมณ์ จักไม่
    ประพฤติอ่อนน้อมต่อท่านผู้ใหญ่ในตระกูล เขาเหล่านั้นก็จักได้รับการบูชา และ
    ได้รับการสรรเสริญ เหมือนคนปฏิบัติชอบในมารดา ปฏิบัติชอบในบิดา ปฏิบัติ
    ชอบในสมณะ ปฏิบัติชอบในพราหมณ์ ประพฤติอ่อนน้อมต่อท่านผู้ใหญ่ใน
    ตระกูล ในบัดนี้ ฯ

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๑๐ ปี เขาจักไม่มีจิตคิดเคารพ
    ยำเกรงว่า นี่แม่ นี่น้า นี่พ่อ นี่อา นี่ป้า นี่ภรรยาของอาจารย์ หรือว่านี่ภรรยา
    ของท่านที่เคารพทั้งหลาย สัตว์โลกจักถึงความสมสู่ปะปนกันหมด เปรียบเหมือน
    แพะ ไก่ สุนัขบ้าน สุนัขจิ้งจอก ฉะนั้น ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ
    ๑๐ ปี สัตว์เหล่านั้นต่างก็จักเกิดความอาฆาต ความพยาบาท ความคิดร้าย ความ
    คิดจะฆ่าอย่างแรงกล้าในกันและกัน มารดากับบุตรก็ดี บุตรกับมารดาก็ดี บิดากับ
    บุตรก็ดี บุตรกับบิดาก็ดี พี่ชายกับน้องหญิงก็ดี น้องหญิงกับพี่ชายก็ดี จักเกิดความ
    อาฆาต ความพยาบาท ความคิดร้าย ความคิดจะฆ่ากันอย่างแรงกล้า นายพราน
    เนื้อเห็นเนื้อเข้าเกิดความอาฆาต ความพยาบาท ความคิดร้าย ความคิดจะฆ่า
    อย่างแรงกล้าฉันใด ฉันนั้นเหมือนกัน ฯ
    [๔๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๑๐ ปี จักมีสัตถันตรกัป
    สิ้น ๗ วัน มนุษย์เหล่านั้นจักกลับได้ความสำคัญกันเองว่าเป็นเนื้อ ศัสตราทั้ง
    หลายอันคมจักปรากฏมีในมือของพวกเขา พวกเขาจะฆ่ากันเองด้วยศัสตราอันคม
    นั้นโดยสำคัญว่า นี้เนื้อ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้น สัตว์เหล่านั้น บางพวกมี
    ความคิดอย่างนี้ว่า พวกเราอย่าฆ่าใครๆ และใครๆ ก็อย่าฆ่าเรา อย่ากระนั้น
    เลย เราควรเข้าไปตามป่าหญ้าสุมทุมป่าไม้ ระหว่างเกาะ หรือซอกเขา มีรากไม้
    และผลไม้ในป่าเป็นอาหารเลี้ยงชีวิตอยู่ เขาพากันเข้าไปตามป่าหญ้าสุมทุมป่าไม้
    ระหว่างเกาะหรือซอกเขา มีรากไม้และผลไม้ ในป่าเป็นอาหารเลี้ยงชีวิตอยู่ตลอด
    ๗ วัน เมื่อล่วง ๗ วันไป เขาพากันออกจากป่าหญ้าสุมทุมป่าไม้ ระหว่างเกาะ
    ซอกเขา แล้วต่างสวมกอดกันและกัน จักขับร้องดีใจอย่างเหลือเกินในที่ประชุม
    ว่า สัตว์ผู้เจริญ เราพบเห็นกันแล้ว ท่านยังมีชีวิตอยู่หรือๆ ฯ
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ลำดับนั้น สัตว์เหล่านั้น จักมีความคิดอย่างนี้ว่า เรา
    ถึงความสิ้นญาติอย่างใหญ่เห็นปานนี้ เหตุเพราะสมาทานธรรมที่เป็นอกุศล อย่ากระ
    นั้นเลยเราควรทำกุศล ควรทำกุศลอะไร เราควรงดเว้นปาณาติบาต ควรสมาทาน
    กุศลธรรมนี้แล้วประพฤติ เขาจักงดเว้นจากปาณาติบาต จักสมาทานกุศล
    ธรรมนี้แล้วประพฤติ เพราะเหตุที่สมาทานกุศลธรรม เขาจักเจริญด้วยอายุบ้าง
    จักเจริญด้วยวรรณะบ้าง เมื่อเขาเจริญด้วยอายุบ้าง เจริญด้วยวรรณะบ้าง บุตร
    ของมนุษย์ทั้งหลายที่มีอายุ ๑๐ ปี จักมีอายุเจริญขึ้นถึง ๒๐ ปี ฯ
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ลำดับนั้นสัตว์เหล่านั้นจักมีความคิดอย่างนี้ว่า เรา
    เจริญด้วยอายุบ้าง เจริญด้วยวรรณะบ้าง เพราะเหตุที่สมาทานกุศลธรรม อย่า
    กระนั้นเลย เราควรทำกุศลยิ่งๆ ขึ้นไป ควรทำกุศลอะไร เราควรงดเว้นจาก
    อทินนาทาน ควรงดเว้นจากกาเมสุมิจฉาจาร ควรงดเว้นจากปิสุณาวาจา ควรงดเว้น
    จากผรุสวาจา ควรงดเว้นจากสัมผัปปลาปะ ควรละอภิชฌา ควรละพยาบาท
    ควรละมิจฉาทิฐิ ควรละธรรม ๓ ประการ คืออธรรมราคะ วิสมโลภ มิจฉาธรรม
    อย่ากระนั้นเลยเราควรปฏิบัติชอบในมารดา ควรปฏิบัติชอบในบิดา ควรปฏิบัติชอบ
    ในสมณะ ควรปฏิบัติชอบในพราหมณ์ ควรประพฤติอ่อนน้อมต่อท่านผู้ใหญ่ใน
    ตระกูล ควรสมาทานกุศลธรรมนี้แล้วประพฤติ เขาเหล่านั้นจักปฏิบัติชอบในมารดา
    ปฏิบัติชอบในบิดา ปฏิบัติชอบในสมณะ ปฏิบัติชอบในพราหมณ์ ประพฤติ
    อ่อนน้อมต่อท่านผู้ใหญ่ในตระกูล จักสมาทานกุศลธรรมนี้แล้วประพฤติ เพราะ
    เหตุที่สมาทานกุศลธรรมเหล่านั้น เขาเหล่านั้นจักเจริญด้วยอายุบ้าง จักเจริญด้วย
    วรรณะบ้าง เมื่อเขาเหล่านั้นเจริญด้วยอายุบ้าง เจริญด้วยวรรณะบ้าง บุตรของคน
    ผู้มีอายุ ๒๐ ปี จักมีอายุเจริญขึ้นถึง ๔๐ ปี บุตรของคนผู้มีอายุ ๔๐ ปี จักมีอายุ
    เจริญขึ้นถึง ๘๐ ปี บุตรของคนผู้มีอายุ ๘๐ ปี จักมีอายุเจริญขึ้นถึง ๑๖๐ ปี บุตร
    ของคนผู้มีอายุ ๑๖๐ ปี จักมีอายุเจริญขึ้นถึง ๓๒๐ ปี บุตรของคนผู้มีอายุ ๓๒๐ ปี
    จักมีอายุเจริญขึ้นถึง ๖๔๐ ปี บุตรของคนผู้มีอายุ ๖๔๐ ปี จักมีอายุเจริญขึ้นถึง
    ๒,๐๐๐ ปี บุตรของคนผู้มีอายุ ๒,๐๐๐ ปี จักมีอายุเจริญขึ้นถึง ๔,๐๐๐ ปี บุตร
    ของคนผู้มีอายุ ๔,๐๐๐ ปี จักมีอายุเจริญขึ้นถึง ๘,๐๐๐ ปี บุตรของคนมีอายุ
    ๘,๐๐๐ ปี จักมีอายุเจริญขึ้นถึง ๒๐,๐๐๐ ปี บุตรของคนผู้มีอายุ ๒๐,๐๐๐ ปี
    จักมีอายุเจริญขึ้นถึง ๔๐,๐๐๐ ปี บุตรของคนผู้มีอายุ ๔๐,๐๐๐ ปี จักมีอายุเจริญ
    ขึ้นถึง ๘๐,๐๐๐ ปี ฯ
    [๔๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๘๐,๐๐๐ ปี เด็กหญิงมี
    อายุ ๕๐๐ ปี จึงจักสมควรมีสามีได้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ
    ๘๐,๐๐๐ ปี จักเกิดมีอาพาธ ๓ อย่าง คือ ความอยากกิน ๑ ความไม่อยากกิน ๑
    ความแก่ ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๘๐,๐๐๐ ปี ชมพูทวีปนี้จัก
    มั่งคั่งและรุ่งเรือง มีบ้านนิคมและราชธานีพอชั่วไก่บินตก ดูกรภิกษุทั้งหลาย
    ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๘๐,๐๐๐ ปี ชมพูทวีปนี้ประหนึ่งว่าอเวจีนรก จักยัดเยียดไป
    ด้วยผู้คนทั้งหลาย เปรียบเหมือนป่าไม้อ้อ หรือป่าสาลพฤกษ์ฉะนั้น ฯ
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๘๐,๐๐๐ ปี เมืองพาราณสีนี้ จัก
    เป็นราชธานีมีนามว่า เกตุมดี เป็นเมืองที่มั่งคั่งและรุ่งเรืองมีพลเมืองมาก มีผู้คน
    คับคั่ง และมีอาหารสมบูรณ์ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๘๐,๐๐๐ ปี
    ในชมพูทวีปนี้จักมีเมือง ๘๔,๐๐๐ เมือง มีเกตุมดีราชธานีเป็นประมุข ฯ
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๘๐,๐๐๐ ปี จักมีพระเจ้าจักร-
    *พรรดิ์ทรงพระนามว่า พระเจ้าสังขะ ทรงอุบัติขึ้น ณ เกตุมดีราชธานี เป็นผู้ทรง
    ธรรม เป็นพระราชาโดยธรรม เป็นใหญ่ในแผ่นดิน มีมหาสมุทร ๔ เป็นขอบเขต
    ทรงชนะแล้ว มีราชอาณาจักรมั่นคงสมบูรณ์ด้วยแก้ว ๗ ประการ คือจักรแก้ว ๑
    ช้างแก้ว ๑ ม้าแก้ว ๑ แก้วมณี ๑ นางแก้ว ๑ คฤหบดีแก้ว ๑ ปริณายกแก้วเป็น
    ที่ ๗ พระราชบุตรของพระองค์มีกว่าพัน ล้วนกล้าหาญ มีรูปทรงสมเป็นวีรกษัตริย์
    สามารถย่ำยีเสนาของข้าศึกได้ พระองค์ทรงชำนะโดยธรรมมิต้องใช้อาชญา มิต้อง
    ใช้ศัสตรา ครอบครองแผ่นดินมีสาครเป็นขอบเขต ฯ
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๘๐,๐๐๐ ปี พระผู้มีพระภาคทรง
    พระนามว่าเมตไตรย์ จักเสด็จอุบัติขึ้นในโลก พระองค์เป็นอรหันต์ ตรัสรู้เอง
    โดยชอบ ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เสด็จไปดีแล้ว ทรงรู้แจ้งโลก เป็นสารถี
    ฝึกบุรุษที่ควรฝึกไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้
    เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกพระธรรม เหมือนตถาคตอุบัติขึ้นแล้วในโลกในบัดนี้
    เป็นอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ ไปดีแล้ว รู้แจ้ง
    โลก เป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึกไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์
    ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกพระธรรม พระผู้มีพระภาคพระนามว่า
    เมตไตรย์พระองค์นั้น จักทรงทำโลกนี้พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ให้
    แจ้งชัดด้วยพระปัญญาอันยิ่งด้วยพระองค์เองแล้ว ทรงสอนหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณ-
    *พราหมณ์เทวดาและมนุษย์ให้รู้ตาม เหมือนตถาคตในบัดนี้ ทำโลกนี้พร้อมทั้งเทวโลก
    มารโลก พรหมโลก ให้แจ้งชัดด้วยปัญญาอันยิ่งด้วยตถาคตเองแล้ว สอนหมู่สัตว์
    พร้อมทั้งสมณพราหมณ์เทวดาและมนุษย์ให้รู้ตามอยู่ พระผู้มีพระภาคพระนามว่า
    เมตไตรย์พระองค์นั้นจักทรงแสดงธรรม งามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งาม
    ในที่สุด ทรงประกาศพรหมจรรย์ พร้อมทั้งอรรถ พร้อมทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์
    บริบูรณ์สิ้นเชิงเหมือนตถาคตในบัดนี้ แสดงธรรมงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง
    งามในที่สุด ประกาศพรหมจรรย์ พร้อมทั้งอรรถ พร้อมทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์
    บริบูรณ์สิ้นเชิง พระผู้มีพระภาคพระนามว่าเมตไตรย์พระองค์นั้น จักทรงบริหาร
    ภิกษุสงฆ์หลายพัน เหมือนตถาคตบริหารภิกษุสงฆ์หลายร้อย ในบัดนี้ฉะนั้น ฯ
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้น พระเจ้าสังขะจักทรงให้ยกขึ้นซึ่งปราสาทที่
    พระเจ้ามหาปนาทะทรงสร้างไว้ แล้วประทับอยู่ แล้วจักทรงสละ จักทรงบำเพ็ญ
    ทาน แก่สมณพราหมณ์ คนกำพร้า คนเดินทาง วณิพก และยาจกทั้งหลาย จัก
    ทรงปลงพระเกศาและพระมัสสุ ทรงครองผ้ากาสาวพัสตร์ เสด็จออกจากเรือน ทรง
    ผนวชเป็นบรรพชิต ในสำนักของพระผู้มีพระภาคพระนามว่า เมตไตรย์อรหันต-
    *สัมมาสัมพุทธเจ้า ท้าวเธอทรงผนวชอย่างนี้แล้ว ทรงปลีกพระองค์อยู่แต่ผู้เดียว
    ไม่ประมาท มีความเพียร มีตนส่งไปแล้ว ไม่ช้านักก็จักทรงทำให้แจ้งซึ่งประโยชน์
    อันยอดเยี่ยมที่กุลบุตรทั้งหลาย พากันออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตโดยชอบ
    ต้องการ อันเป็นที่สุดแห่งพรหมจรรย์ ด้วยพระปัญญาอันยิ่งด้วยพระองค์เอง ใน
    ทิฐธรรมเทียว เข้าถึงอยู่ ฯ
    [๔๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงมีตนเป็นเกาะ มีตนเป็นที่พึ่ง
    อย่ามีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง จงมีธรรมเป็นเกาะ มีธรรมเป็นที่พึ่ง อย่ามีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่งอยู่
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุผู้มีตนเป็นเกาะ มีตนเป็นที่พึ่ง ไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง มี
    ธรรมเป็นเกาะ มีธรรมเป็นที่พึ่ง ไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่งอยู่ อย่างไรเล่า ฯ
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ พิจารณาเห็นกายในกายอยู่
    มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้ ฯ
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนา
    ทั้งหลายอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติกำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลก
    เสียได้ ฯ
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ พิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่ มี
    ความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้ ฯ
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ พิจารณาเห็นธรรมในธรรม
    ทั้งหลายอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติกำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลก
    เสียได้ ฯ
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุมีตนเป็นเกาะ มีตนเป็นที่พึ่ง ไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่
    พึ่ง มีธรรมเป็นเกาะ มีธรรมเป็นที่พึ่ง ไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่งอยู่อย่างนี้แล ฯ
    [๕๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงเที่ยวไปในโคจร ซึ่งเป็นวิสัย
    อันสืบมาจากบิดาของตน ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อเธอทั้งหลายเที่ยวไปในโคจร
    ซึ่งเป็นวิสัยอันสืบมาจากบิดาของตน จักเจริญทั้งด้วยอายุ จักเจริญทั้งด้วยวรรณะ
    จักเจริญทั้งด้วยสุข จักเจริญทั้งด้วยโภคะ จักเจริญทั้งด้วยพละ ฯ
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเรื่องอายุของภิกษุ มีอธิบายอย่างไร ดูกรภิกษุ
    ทั้งหลาย ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ เจริญอิทธิบาทประกอบด้วยฉันทะสมาธิปธาน
    สังขาร เจริญอิทธิบาทประกอบด้วยวิริยะสมาธิปธานสังขาร เจริญอิทธิบาท
    ประกอบด้วยจิตตสมาธิปธานสังขาร เจริญอิทธิบาทประกอบด้วยวิมังสาสมาธิปธาน
    สังขาร เธอนั้น เพราะเจริญอิทธิบาท ๔ เหล่านี้ เพราะกระทำให้มากซึ่งอิทธิบาท
    ๔ เหล่านี้ เมื่อปรารถนาก็พึงตั้งอยู่ได้ถึงกัป ๑ หรือเกินกว่ากัป ๑ ดูกรภิกษุ
    ทั้งหลาย นี้แลเป็นอธิบายในเรื่องอายุของภิกษุ ฯ
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเรื่องวรรณะของภิกษุ มีอธิบายอย่างไร ดูกรภิกษุ
    ทั้งหลาย ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ เป็นผู้มีศีล สำรวมระวังในพระปาติโมกข์
    ถึงพร้อมด้วยมรรยาทและโคจร มีปรกติเห็นภัยในโทษเพียงเล็กน้อย สมาทาน
    ศึกษาอยู่ในสิกขาบททั้งหลาย ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้แลเป็นอธิบายในเรื่องวรรณะ
    ของภิกษุ ฯ
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเรื่องสุขของภิกษุ มีอธิบายอย่างไร ดูกรภิกษุ
    ทั้งหลาย ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม บรรลุ
    ปฐมฌาน มีวิตก มีวิจาร มีปีติและสุข เกิดแก่วิเวกอยู่ บรรลุทุติยฌาน มี
    ความผ่องใสแห่งจิต ณ ภายใน เป็นธรรมเอกผุดขึ้น เพราะวิตกวิจารสงบไป
    ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร มีปีติและสุขเกิดแต่สมาธิอยู่ เป็นผู้มีอุเบกขา มีสติ มี
    สัมปชัญญะ เสวยสุขด้วยกาย เพราะปีติสิ้นไป บรรลุตติยฌาน ที่พระอริยะ
    ทั้งหลายสรรเสริญว่า ผู้ได้ฌานนี้ เป็นผู้มีอุเบกขา มีสติ อยู่เป็นสุข บรรลุ
    จตุตถฌาน ไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข เพราะละสุขละทุกข์และดับโสมนัสโทมนัสก่อนๆ
    ได้ มีอุเบกขาเป็นเหตุให้สติบริสุทธิ์อยู่ ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้แลเป็นอธิบายใน
    เรื่องสุขของภิกษุ ฯ
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเรื่องโภคะของภิกษุ มีอธิบายอย่างไร ดูกรภิกษุ
    ทั้งหลาย ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ มีจิตประกอบด้วยเมตตาแผ่ไปตลอดทิศ ๑ อยู่
    ทิศที่ ๒ ทิศที่ ๓ ทิศที่ ๔ ก็เหมือนกัน ตามนัยนี้ ทั้งเบื้องบน เบื้องล่าง
    เบื้องขวาง ด้วยจิตประกอบด้วยเมตตาอันไพบูลย์ ถึงความเป็นใหญ่ หาประมาณ
    มิได้ ไม่มีเวร ไม่มีความเบียดเบียน แผ่ไปตลอดโลก ทั่วสัตว์ทุกเหล่า ในที่ทุก
    สถาน ด้วยมีจิตประกอบด้วยกรุณา แผ่ไปตลอดทิศ ๑ อยู่ ทิศที่ ๒ ทิศที่ ๓
    ทิศที่ ๔ ก็เหมือนกัน ตามนัยนี้ ทั้งเบื้องบน เบื้องล่าง เบื้องขวาง ด้วยจิต
    ประกอบด้วยกรุณาอันไพบูลย์ ถึงความเป็นใหญ่ หาประมาณมิได้ ไม่มีเวร ไม่มี
    ความเบียดเบียน แผ่ไปตลอดโลก ทั่วสัตว์ทุกเหล่า ในที่ทุกสถาน ด้วยมีจิต
    ประกอบด้วยมุทิตา แผ่ไปตลอดทิศ ๑ อยู่ ทิศที่ ๒ ทิศที่ ๓ ทิศที่ ๔ ก็เหมือน
    กัน ตามนัยนี้ ทั้งเบื้องบน เบื้องล่าง เบื้องขวาง ด้วยจิตประกอบด้วยมุทิตา
    อันไพบูลย์ ถึงความเป็นใหญ่หาประมาณมิได้ ไม่มีเวร ไม่มีความเบียดเบียน แผ่
    ไปตลอดโลก ทั่วสัตว์ทุกเหล่า ในที่ทุกสถาน ด้วยมีจิตประกอบด้วยอุเบกขา
    แผ่ไปตลอดทิศ ๑ อยู่ ทิศที่ ๒ ทิศที่ ๓ ทิศที่ ๔ ก็เหมือนกัน ตามนัยนี้ ทั้ง
    เบื้องบน เบื้องล่าง เบื้องขวาง ด้วยจิตประกอบด้วยอุเบกขาอันไพบูลย์ ถึงความ
    เป็นใหญ่ หาประมาณมิได้ ไม่มีเวร ไม่มีความเบียดเบียน แผ่ไปตลอดโลก
    ทั่วสัตว์ทุกเหล่า ในที่ทุกสถาน ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้แลเป็นอธิบายในเรื่องโภคะ
    ของภิกษุ ฯ
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเรื่องพละของภิกษุ มีอธิบายอย่างไร ดูกรภิกษุ
    ทั้งหลาย ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ ทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติและปัญญาวิมุติ อันหา
    อาสวะมิได้ เพราะอาสวะสิ้นไป ด้วยปัญญาอันยิ่งด้วยตนเอง ในทิฐธรรมเทียว
    เข้าถึงอยู่ ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้แลเป็นอธิบายในเรื่องพละของภิกษุ ฯ
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราไม่เล็งเห็นแม้กำลังสักอย่างหนึ่งอื่น อันข่มได้
    แสนยาก เหมือนกำลังของมารนี้เลย ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุญนี้จะเจริญขึ้นได้
    อย่างนี้ เพราะเหตุถือมั่นกุศลธรรมทั้งหลาย ฯ
    พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสพระพุทธพจน์นี้แล้ว ภิกษุเหล่านั้นยินดีชื่นชม
    พระภาษิตของพระผู้มีพระภาคแล้วดังนี้แล ฯ
    จบ จักกวัตติสูตร ที่ ๓

    http://www.84000.org/tipitaka/pitaka...3_%28%F2%F6%29<!-- google_ad_section_end -->
     
  18. somsannannom

    somsannannom เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    183
    ค่าพลัง:
    +1,626
    [​IMG]
    [​IMG]

    หรือว่าจะ

    [​IMG]
     
  19. emaN resU

    emaN resU เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    2,944
    ค่าพลัง:
    +3,294
    You-know-who<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_3527013", true); </SCRIPT>
    สมาชิก

    [​IMG]




    ครายก้อด้าย... ช่วยเอากระดาษ Tissue หยิบบักหลอดนี่กลับไปอยู่ในความมืดหน่อยดิคร๊าบ



    บักหลอดบอกว่าเป็นลูกครึ่งเกย์ เอ๊ย... ลูกครึ่งเกรย์ซะด้วยนะเนี่ย

    อย่างนี้... น้องเมย์ Reptilian คงถูกใจแย่เรยยยยยยย
    เอาไปอยู่ด้านมืดของดวงจันทร์ด้วยกันดีมั๊ยจ๊ะเมย์
    แต่ตอนหยิบไปอย่าลืมใช้กระดาษ Tissue นะจ๊ะเมย์จ๋า... เดี๋ยวขี้ไคลบักหลอดจะเลอะมืออันแสนจะบอบบางของ Reptilian สาวอ่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 11 กรกฎาคม 2010
  20. Army56

    Army56 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,098
    ค่าพลัง:
    +1,862

    ไฮไลท์อยู่ที่ตรงนี้ครับ

    จักรแก้วสามารถบรรจุลี้พล จำนวน 12 x 36 โยชน์ ได้ในนั้น

    และบินขึ้นไปในอากาศ

    ดังนั้น จักรแก้วเป็นยานพาหนะ มากกว่า ศาสตราวุธ โดยนัย
     

แชร์หน้านี้

Loading...