อำนาจเหนือธรรมชาติจากการปฏิบัติธรรม (ที่ไม่ต้องการ)

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย หมอก้อย, 24 กรกฎาคม 2010.

  1. Bull_psi

    Bull_psi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    889
    ค่าพลัง:
    +1,445
    ขอใช้สิทธิ์ถูกพาดพิงนะคร้าบ:d

    ธรรมะเองมีหลายระดับ
    ทำไมหลวงพ่อเปิ่น สักยันต์
    ทำไมพระหลายท่านปลุกเสกพระเครื่อง
    ล้วนเพื่อให้คนสนใจพระศาสนาไว้ก่อน
    บางคนหลงอยู่มากก็ต้องใช้ศรัทธานำ
    แล้วค่อยให้ธรรมะที่พอเหมาะ

    สำหรับท่านที่อินทรีย์พละกล้าแล้ว
    หากกิเลสอ่อนกำลัง ก็ทำให้จบเกมส์
    อย่าปล่อยให้ซารอน(กิเลส)เอาแหวนกลับมาครองพิภพเดี๋ยวเรื่องมันยาว :boo:

    หลวงปู่เทสก์

    http://palungjit.org/threads/%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%AA%E0%B8%81%E0%B9%8C%E0%B8%AA%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%9B%E0%B8%B1%E0%B8%AA%E0%B8%AA%E0%B8%99%E0%B8%B2-%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%94.207553/
     
  2. krasin

    krasin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    395
    ค่าพลัง:
    +2,821
    แสดงว่าชาติที่แล้วหมอก้อย เคยบรรลุธรรมขั้นสูง พอมาถึงชาตินี้ได้ฝึกทบทวนไม่นานก็สำเร็จได้ เป็นบุญวาสนาแล้วครับ
     
  3. SP6580

    SP6580 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    518
    ค่าพลัง:
    +1,550
    เห็นประตูทางออกของการหยุดเวียนว่ายตายเกิดแล้ว แล้วก็สามารถเดินเข้าไปได้ด้วย เป็นผมจะรีบออกไปให้เร็วที่สุดอย่างมีสติพิจารณา แล้วคุณละ...
     
  4. gatsby_ut

    gatsby_ut เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    821
    ค่าพลัง:
    +14,291
    โมทนาสา .. ธุ ครับ จุดประสงค์ ของการปฏิบัติ คือ เพื่อทำอสวกิเลสให้สิ้นไป ในส่วนที่หมอได้ เป็นของเก่า ที่เข้ามาชน เรียกว่า เจโตปริยญาณ ถ้าคุณหมอใช้ให้เป็น คุณหมอจะได้ ญาณ ๘ โดยไม่รู้ตัว อันนี้ยังจัดว่าเป็น กีฬาสมาบัติ นะ ยังไม่ใช่แก่นแท้ ของการปฏิบัติ ในศาสนานี้ เพียรพยายาม ละสังโยชน์ ให้ถึงที่สุด นะ
     
  5. งูขาว

    งูขาว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มกราคม 2008
    โพสต์:
    945
    ค่าพลัง:
    +1,824
    หมอก้อย เป็นคนที่ งามทั่งภายนอก และ งามทั่งภายใน จริงๆ อนุโมทนาด้วยนะ
     
  6. runchoo_man

    runchoo_man เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    597
    ค่าพลัง:
    +593
    ผมก็มีประสบการณ์ครับ
    ช่วงไหนที่ผมอ่านหนังสือพระ และนั่งสมาธิบ่อยๆ จิตสงบมาก
    ผมเห็นอะไรก็นึกเป็นเรื่องไตรลักษณ์ไปหมด ไม่ว่าคน วัตถุุ สิ่งของ ฯลฯ
    จะคิดแบบนี้ทั้งวันทั้งคืน พอเห็นอะไรก็จะคิดตีความด้วยกฏไตรลักษณ์ตลอดเวลา
    (เหมือนทรงอารมณ์ฌานทั้งวันทั้งคืน) มันเบื่อไปหมด
    พอมีคนจะเดินมาใกล้มาหา ผมจะเห็นหน้าคนๆนั้นก่อนที่จะมาถึง(แว่บขึ้นมา)

    และ ผมทายชื่อของคนที่ไม่เคยรู้จักมาก่อนได้ (ถูกทุกตัวอักษร)
    จะเห็นภาพตัวอักษรเป็นชื่อขึ้นมา ตอนนั่งคุยกัน
    แต่ถ้าจิตไม่สงบ ก็จะไม่รู้ไม่่เห็น
    จอจะดำมืด กลายเป็นการเดาล้วนๆ เหมือนปกติเลยครับ

    และช่วงนั้นผมจะฝันเป็นภาพสีที่ชัดมากๆๆๆ เหมือนของจริงทุำกประการ
    รายละเอียดของๆทุกอย่างชัดเจน แม้แต่สายลมที่พัดมาโดนผิวหนัง,
    กลิ่นของสถานที่นั้นๆ,แสงเงา,และแม้แต่การสัมผัสวัตถุ
    จะเหมือนของจริงทุกอย่าง ตื่นนอนมาแล้ว ยังรู้สึกได้
    และสามารถหันดูได้รอบตัว เหมือนไปยืนอยู่ที่นั้นจรืิงๆ (อาจไ่ม่ใช่ฝัน)

    บางทีตื่นนอนแล้ว แต่ยังไม่ลืมตา แต่กลับเห็นสภาพในห้องนอน
    หรือเห็นเป็นภาพจอสี่เหลี่ยม เป็นภาพสีนิ่งๆ เหมือนภาพโปสเตอร์วิวขนาดใหญ่
    ลายละเอียดชัดเจนมากสีแจ่มชัดมาก
    และมีสติตลอดเวลา สามารถยืนนิ่งพิจารณาดู บน-ล่าง ซ้าย-ขวา
    เหมือนยืนดูรูปภาพในแกลลอรี่ แล้วเลือกดูได้

    ผมยึดเอา หนังสือคำสอนของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ เป็นสรณะ
    อ่านจนจะหมดครบทุกเล่มแล้ว (เหมามาเกือบหมด)

    ผมคิดว่า ศีลเป็นพื้นของสมาธิ และสมาธิเป็นพื้นของปัญญา
    ถ้าศีลไม่ดีไม่บริสุทธิ์ ความหนักแน่นมั่นคงของจิตก็จะไม่ดีตามไปด้วย
    นั่งเท่าไรก็จะไม่ไำด้ดี

    การสมาทานศีล5 ก่อนจะนั่งสมาธิ ถ้าจิตใจยังโลเล
    ยังมีความคิดว่าข้อใดข้อหนึ่งยังไม่สามารถรักษาไว้ได้100%
    จะมีผลต่อการนั่งสมาธิในครั้งนั้นๆ
    อันนี้ความคิดผมเอง ผิดถูกประการใดก็ขออภัยครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 กรกฎาคม 2010
  7. ภวโลกร้อน

    ภวโลกร้อน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    444
    ค่าพลัง:
    +1,272
    ขออนุโมทนากับคุณหมอด้วยนะคะ..สิ่งที่ได้นี้เป็นธรรมดาของคนที่ปฎิบัติจริงค่ะ..

    ทุกคนสามารถเป็นได้หมดไม่ว่าจะมีของเก่าหรือไม่มี...ถ้าคนที่มีอยู่แล้วจะไปได้เร็วกว่าคน

    อื่น..และก็ขอให้พยายามรักษาไว้นะคะ..อย่างน้อยใช้ได้ในชีวิตประจำวัน..ในสังคม..

    ของนี้มีได้และเสื่อมได้ตามความประพฤติปฎิบัติ..อีกอย่างระวังกิเลสมารนะคะ..

    ยิ่งเราปฎิบัติดียิ่งเท่าไหร่..พวกนี้จะเคยแทรกตลอดเวลา...
     
  8. มรรค8

    มรรค8 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    8
    ค่าพลัง:
    +16
    อนุโมทนา ด้วยค่ะ ขอให้สิ่งที่หมอมีอยู่เป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยเหลือมนุษย์ผู้อื่นด้วยนะคะ
     
  9. Nattawut8899

    Nattawut8899 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    1,408
    ค่าพลัง:
    +7,050
    อนุโมทนาครับ คุณหมอ
    เอาไปใช้ประโยชน์อย่างอื่นก็ได้นะครับ
    เช่น ตรวจอาการของคนไข้ว่าเป็นอะไรเเน่
     
  10. numphol aryupha

    numphol aryupha เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    466
    ค่าพลัง:
    +1,156
    ขออนุโมทนาครับคุณหมอ ปฏิบัติไปนานๆอาจเป็นหมอดูได้ด้วยฌานนะครับผมว่า
     
  11. Nuk036

    Nuk036 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    65
    ค่าพลัง:
    +99
    สวัสดีครับ ..

    ผมก็เป็นหมอ เหมือนกัน ( ที่เชียงใหม่ ) พึ่งจะเริ่มปฏิบัติอะครับ อยากถามหมอก้อยว่า ที่หมอก้อยปฏิบัตินั้น ปฏิบัติแนวทางไหน และทำอย่างไร ( ที่ถามไม่ได้ต้องการ อยากได้สิ่งที่หมอก้อยได้ เพียงแต่ อยากทราบวิธีการหลายๆ ทาง เผื่อจะตรงกับจริตของตัวเอง)

    ขอบคุณครับ
     
  12. natspdo

    natspdo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    1,041
    ค่าพลัง:
    +1,505
    อย่าไปสนใจกับสิ่งเหล่านั้นเลยเพราะมันแก้ปัญหาไม่ได้ สิ่งที่ได้ก็เสื่อมได้ ไม่แน่ไม่นอน บางคนอาจเห็นเป็นของแปลกของวิเศษ แต่ก็แก้กิเลสไม่ได้ สุดท้ายก็เสื่อมจิตใจก็เศร้าหมองเพราะต้องการให้มันคงอยู่ คิดว่าเกิดกับนักปฎิบัติหลายคน บางคนก็อ่านใจเขาไม่ได้ลองดูสิ อาจไม่ตรง....
     
  13. joeycoles

    joeycoles เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    572
    ค่าพลัง:
    +457
    ทุกคนมี แต่มีกี่คนที่จะทำมันได้ ส่วนที่ได้ก็ขอให้ใช้ประโยชน์สูงสุดนะครับ
     
  14. momแข็งแรง

    momแข็งแรง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    60
    ค่าพลัง:
    +214
    ถ้าคุณนึกถึงพระพุทธรูปตอนเข้าสมาธิแล้วจิตสงบรวมเป็นสมาธิได้ดี น่าจะลองปฏิบัติตามแนวทางที่หลวงพ่อฤาษีลิงดำเมตตาสั่งสอนเอาไว้อาจจะเหมาะกับคุณก็ได้นะครับ
     
  15. มุกลินลวา

    มุกลินลวา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    158
    ค่าพลัง:
    +268
    อนุโมทนา

    ยินดีด้วยกับสิ่งที่ได้รับ แม้ไม่ต้องการแต่เมื่อได้มาแล้วก็จงใช้อย่างมีคุณค่า เป็นประโยชน์ต่อสังคมและประเทศชาติ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  16. no-ne

    no-ne เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    1,198
    ค่าพลัง:
    +3,380
    ขออนูโมทนากับคุณหมอด้วยค่ะ ขอให้ประสบความสำเร็จ เจริญในธรรมยิ่งๆ ขึ้นไปเถิด นิพพานัง ปัจจะโย โหตุ
     
  17. สังวรคุณ

    สังวรคุณ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    148
    ค่าพลัง:
    +765
    อ่านดูแล้วรู้สึกว่า จขกท.ไม่มีความรู้สึกสงสัยในผลแห่งการปฏิบัติของตน ว่ามันคืออะไร มันเกิดอะไรขึ้นกับเรา สิ่งที่เกิดขึ้นกับเรามันคืออะไรกันแน่ ก็จะขอคุยด้วยหน่อย เพราะผมเคยเกิดอาการแบบนี้ เหมือนกัน แต่ผมจะเกิดขึ้นกับพระสงฆ์เป็นส่วนใหญ่ จะมีความรู้สึกในใจได้ถึงความ บริสุทธิ์ ไม่บริสุทธิ์ของจิตนักบวชแต่ละองค์ เราจะเคารพ หรือไม่เคารพก็ตรงนี้แหละ ส่วนเรื่องกายซ้อนนั้น ผมไม่ค่อยเข้าใจ เพราะของผมมัีนมีกายอีกกายที่แยกออกไปต่างหาก อีกกายหนึ่ง ถ้าเราเป็นทุกข์เร่าร้อน มันก็ดำสนิท ถ้าเราสบายใจปลอดโปร่งใจ มันก็สะอาด สว่าง ยิ่งถ้าเราพิจาระณาร่างกาย ให้เห็นตามความเป็นจริงว่า ไม่เที่ยงอย่างไร เป็นทุกข์ทนอยู่ตลอดไปไม่ได้อย่างไร แล้วอนัตตาสลายไปเป็นของว่างเปล่าไม่ใช่เราไม่ใช่ของๆเราอย่างไร กายที่ว่านี้ก็สว่าง บางจนมองทะลุได้เหมือนมองผ่านอากาศ ถ้าทรงอารมฌ์สบายๆ ได้อย่างนี้ ก็จะรู้ความรู้สึกของคนอื่น โดยเฉพาะ นักบวชอย่างที่ว่า แต่ด้วยที่ผม ตั้งใจปฏิบัติเพื่อตัดกิเลส ตัดทุกข์ อย่างเดียวเหมือนกัน ทำให้ผมศึกษาเฉพาะแก่นแห่งการปฏิบัติจริงๆ คือ ฝึกอานาปานสติให้จิตสงบพอสมควร เห็นร่างกายเป็นไตรลักษณ์เท่านั้น จึงไม่มีความรู้ในเรื่องรอบๆ จึงเกิดความสงสัยว่า สิ่งที่เกิดขึ้นกับเรานี้มันคืออะไร สำหรับเรื่องที่เรารู้ความรู้ความรู้สึกของคนอื่นได้ ไม่สงสัย เพราะคิดว่าดี สนุกกับการได้รู้ เหมือนวัยรุ่นทั่วไป แต่ที่สงสัยก็เรื่องที่มีกายอีกกายหนึ่งปรากฏขึ้นมานี่แหละ สงสัยมากๆ พยายามพิจารณาให้เห็นมันเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาเหมือนกายเนื้อนั้นมันไม่เป็น มันมีแต่สะอาด สว่าง สงบ เยือกเย็น หรือไม่งั้น ก็สรกปรก มืดมนต์ สับสน ฟุ้งซ่าน เร่าร้อน เท่านั้น ไม่ยอมเป็นอนัตตาเลย สงสัยอยู่หลายปี ปฏิบัติทีไรก็ได้แค่นี้
    จนกระได้มีโอกาสฝึกมโนมยิทธิ จึงมีความเข้าใจว่ามันคืออะไร เพราะไปสวรรค์ได้ ก็ใช้กายนี้แหละไป ไปนรกก็ไปด้วยกายนี้ ไปพรหมก็ไปด้วยกายนี้ ไปนิพพาน ก็ไปด้วยกายนี้ ไปสวรรค์ได้ถ้ากายนี้สะอาดเท่ากับเทวดา ไปพรหมโลกได้ถ้าำกายในสว่างและสะอาดเท่าพรหม ไปนิพพานได้ ถ้ากายนี้ปลอดโปร่งจากอารมฌ์ยึดมั่นถือมั่นในร่างกาย อารมฌ์เบาสบายถึงที่สุด ก็เข้าเขตนิพพานได้ สัมผัสสภาวะพระนิพพานได้ว่า นิพพานัง ปะระมังสุขัง นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่งนั้นมีสภาวะเป็นเช่นไร นิพพานัง ปะระมังสูญญัง นิพพานเป็นธรรมว่างอย่างยิ่ง นั้นหมายถึง กายนี้ต้องว่างจากรักโลภ โกรธ หลง จริงๆ จึ่งจะเข้านิพพานได้
    ที่สนทนากับ คุณ จขกท.มานี้ไม่ได้ว่าจะชักชวนให้ไปฝึกมโนมยิทธิินะครับ แต่อยากจะบอกว่า แก่นแท้ของการปฏิบัตินั้น คือต้องการตัดกิเลส ต้องการปฏิบัติเพื่อความพ้นทุกข์เท่านั้นเป็นสิ่งที่ตั้งใจตรงกัน และอยากจะบอกว่า สิ่งที่จะทำให้เราหลุดพ้นจากความทุกข์นั้น ก็คือตัดความยึดมั่น ถือมั่นในสังขารทั้งปวงเป็นสิ่งที่ถูกต้อง และ อยากจะบอกว่าเมื่อตัดทุกข์ไ้ด้ จะถึงพร้อมด้วยวิชชาสาม อภิญญาหก หรือ ปฏิสัมภิทาญาณนั้น ไม่ได้ผิดจากแนวทางปฏิบัติธรรมของพระสัมมาสัมพุุทธเจ้าแต่อย่างใดมันเป็นการสั่งสมบุญบาระมีมาต่างกันนั่นเอง เดี๋ยวจะไปคิดว่า วิชชาสาม อภิญญาหก หรือปฏิสัมภิทาญาณ ทิพยจักขุญาณ เจโตปริญญาณ เป็นพวกเดียวกับวิปัสสนูกิเลส ก็จะเสียผลในการปฏิบัติไปเปล่าๆ อีกชาติหนึ่ง เสียดายแทน
     
  18. pornsak

    pornsak เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    163
    ค่าพลัง:
    +272
    อนุโมทนาสาธุ ครับ
    ดูมันเฉยๆ หนะ ดีแล้วครับ

    อยากได้ ก็ กามตัณหา
    ได้มาแล้วชอบใจ ก็ ภาวะตัณหา
    ได้มาแล้วไม่ชอบใจ ก็ วิภาวะตัณหา

    ไม่ว่าจะตัณหาไหนๆ ก็ ล้วนก่อให้เกิดทุกข์
    ทุกข์มหันต์ ถ้าไปถือไปยึดเข้าไม่ว่าจะตัณหาตัวไหนก็ตาม

    "นอกจากทุกข์ ไม่มีอะไรเกิด นอกจากทุกข์ ไม่มีอะไรดับ"

    สรรพสิ่ง ที่เกิดดับ เกิดดับ ได้นั้น นั้นเพราะยังวนเวียนอยู่ในกองทุกข์
    สรรพสิ่ง เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และก็ต้องดับไปเป็นธรรมดา

    ฉันใดก็ฉันนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นกับเราตอนนี้ มีได้ ก็เสือมได้

    มันไม่ใช่สรณะ
    ไม่ใช่หลัก
    ไม่ใช่ทาง

    เห็นแล้ว รู้แล้วก็ปล่อยไป
    ไม่ต้องการ ไม่ยึดติด ไม่ผลักไส
    แล้วจะก้าวหน้ายิ่งๆขึ้นไปครับ

    อนุโมทนาสาธุ ครับ
     
  19. PITINATTH73

    PITINATTH73 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    2,991
    ค่าพลัง:
    +9,624
    ผมเคยอ่านกระทู้เกี่ยวกับเรื่องแบบนี้ ท่านผู้รู้ได้บอกว่า เป็นสิ่งที่รู้ได้เฉพาะตนครับ

    ขอ อนุโมทนา สาูธุ ครับ
     
  20. EakChutidet

    EakChutidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    199
    ค่าพลัง:
    +856
    ขออนุโมทนา สาธุ ขอความเจริญในธรรมจงมีแด่ทุกท่านทุกรูปทุกนาม อนุโมทนาสาธุ

    ธรรมานุปัสสนา


    หมวดธรรมเป็นหมวดใหญ่ แบ่งเป็นหมวดย่อยๆหลายหมวด ดังนี้


    1 หมวดนิวรณ์ 5
    2 หมวดขันธ์ 5
    3 หมวดอายตนะ 6
    4 หมวดโพชฌงค์ 7
    5 หมวดอริยสัจ 4


    แม้ว่าหมวดธรรมจะมีรายละเอียดมากมาย แต่อาจสรุปได้ว่าให้พิจารณาว่าธรรมชาติเหล่านี้ ได้เกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไปตามธรรมชาติที่ควรจะเป็น เป็นการเรียนรู้จากสิ่งที่เกิดขึ่นจริงในตัวเรา เหมือนกับการเรียนรู้ในห้องปฏิบัติการ โดยมีคู่มือคือเนื้อความในธรรมานุปัสสนา ธรรมชาติเรื่องใดไม่ว่าเป็นด้านเลวหรือด้านดี ถ้ายังอยู่ก็ให้รู้ว่ายังอยู่ ถ้าดับหายไปแล้วก็ให้รู้ว่าดับไปแล้ว ถ้าเกิดขึ้นก็ให้ทบทวนว่าเกิดอย่างไร ถ้าดับไปก็ให้รู้ว่าดับไปอย่างไร เป็นต้น


    จะเห็นได้ว่าในร่างกายมนุษย์เรานี้ มีเรื่องราวความรู้ที่เรียกได้ว่าเป็นวิทยาศาสตร์ทางด้านจิตใจที่ได้รับการศึกษาค้นคว้า และยังได้จัดเป็นหมวดหมู่เพื่อนำไปเรียนรู้และปฏิบัติเป็นขั้นตอนอย่างละเอียด อยากจะบอกว่ามหาสติปัฏฐานสี่เป็นตำราพุทธศาสตร์ที่สมบูรณ์ที่สุดทั้งด้านทฤษฎีและปฏิบัติ


    หมวดธรรมานุปัสสนาเป็นหมวดสุดท้ายในมหาสติปัฏฐานสี่ หากจิตได้เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาในธรรมชาติเหล่านึ้ ก็จะเกิดความเบื่อหน่าย และลด ละ เลิกถึงความยึดถือใดๆ แต่จะลดละเลิกได้แค่ไหนก็เป็นไปตามความพยายามในการตามดูธรรมชาติเหล่านี้ ซึ่งพระพุทธเจ้าตรัสรับรองว่า หากได้ทำให้มากพอ ทำอย่างสม่ำเสมอก็จะสำเร็จในที่สุด อย่างช้าสุดก็ไม่เกินเจ็ดปี

    ขอแนะนำ
    คำแนะนำการฝึกมโนมยิทธิ
    โดย หลวงพ่อพระมหาวีระ ถาวโร ต่อไปนี้จะขอแนะนำเนื่องในการเจริญมโนมยิทธิ คำว่า มโนมยิทธิ นี่เป็นกรรมฐานอย่างหนึ่งในกรรมฐาน ๔๐ เพราะกรรมฐานที่พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้มี ๔๐ แบบ แล้วก็ ๔๐ แบบ ถ้าแบ่งเป็นหมวดก็ ๔ หมวด คือ
    หมวดที่ ๑ สุขวิปัสสโก
    หมวดที่ ๒ เตวิชโช
    หมวดที่ ๓ ฉฬภิญโญ
    หมวดที่ ๔ ปฏิสัมภิทัปปัตโต
    หมวดที่ ๑ ที่เรียกว่า สุขวิปัสสโก ท่านแปลว่า บรรลุมรรคผลได้อย่างแบบง่าย ๆ แต่ความจริงแล้วไม่ง่าย ยากมากแบบสุขวิปัสสโกนี่เวลาเจริญสมาธิตามที่บรรดาญาติโยมพุทธบริษัททำอยู่ตามปกติ เป็นการทำจิตให้เป็นสมาธิเข้าถึงฌานสมาบัติ แล้วก็ตัดกิเลส ไม่สามารถจะเห็นผี เห็นนรก เห็นเทวดา เห็นสวรรค์ได้ คือไม่มีทิพจักขุญาณ
    สำหรับ เตวิชโช นั้น มีความสามารถพิเศษอยู่ ๒ อย่าง คือว่ามีทิพจักขุญาณด้วย สามารถระลึกชาติด้วย และก็
    ฉฬภิญโญ (อภิญญาหก) แสดงฤทธิ์ได้ มีหูเป็นทิพย์ มีตาเป็นทิพย์
    ปฏิสัมภิทัปปัตโต มีความสามารถคลุมวิชชาสามและอภิญญาหก มีความฉลาดกว่า
    หมวดที่พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้ไม่เหมือนกัน แต่วิธีปฏิบัติคล้ายคลึงกัน เอาในกรรมฐานทั้ง ๔๐ มาแยกปฏิบัติเป็นหมวดหมู่
    ทีนี้สำหรับการปฏิบัติ ถ้าจะถามว่าอย่างไหนเข้าถึงมรรคผลง่ายกว่ากัน ก็ต้องเป็นไปตามอัธยาศํยของบรรดาท่านพุทธบริษัท
    สำหรับ สุขวิปัสสโก พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้สำหรับผู้ที่ต้องการเรียบ ๆ ไม่ต้องการฤทธิ์เดช ทำแบบสบาย ๆ จิตใจไม่ชอบจุกจิก
    สำหรับ เตวิชโช นั้น พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้สำหรับคนที่อยากรู้อยากเห็น ถ้ามีสิ่งปิดบังลี้ลับอยู่ ทนไม่ไหว ต้องหาให้พบ ค้นให้เห็น
    สำหรับ ฉฬภิญโญ นั้น สำหรับคนที่ต้องการมีฤทธิ์เดชพระพุทธเจ้าก็ทรงสอนไว้
    สำหรับ ปฏิสัมภิทาญาณ หรือปฏิสัมภิทัปปัตโต ท่านมีทั้งฤทธิ์ด้วย มีทั้งความเป็นทิพย์ของจิตด้วยมีความฉลาดด้วย สอนไว้เพื่อคนที่ต้องการรอบรู้ทุกอย่าง
    ฉะนั้นการที่พระพุทธเจ้าทรงสอน จึงเป็นไปตามอัธยาศัยของคน
    สำหรับวันนี้จะนำเอาคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าส่วนหนึ่งที่เรียกว่า มโนมยิทธิ มาแนะนำแก่บรรดาท่านพุทธบริษัท
    มโนมยิทธิ นี่คล้ายคลึงกับ เตวิชโช แต่ว่ามีกำลังสูงกว่า เป็นกรรมฐานเพื่อนเตรียมตัวที่จะปฏิบัติเพื่อ อภิญญาหก ต่อไปข้างหน้า
    สำหรับ เตวิชโช ก็ได้แก่ วิชชาสาม ก็มีทิพจักขุญาณ ซึ่งต่างกับ มโนมยิทธิ คือว่าท่านที่ได้ทิพจักขุญาณแล้วนั่งอยู่ตรงนี้ สามารถจะเห็นเทวดาหรือพรหมได้ สามารถจะคุยได้ แต่ไปหาไม่ได้ สามารถจะเห็นสัตว์นรก เห็นเปรต เห็นอสุรกายได้ แต่ว่าไม่สามารถจะไปหากันได้ เห็นอย่างเดียว
    สำหรับมโนมยิทธิ ใช้กำลังของจิตเคลื่อนออกจากกายไปสวรรค์ก็ได้ ไปพรหมโลกก็ได้ ไปนิพพานก็ได้ ซึ่งมีกำลังสูงกว่า ทั้งนี้เพราะว่าถือเป็นส่วนหนึ่งของอภิญญาสมาบัติ
    สำหรับประโยชน์ที่จะฝึกพระกรรมฐาน นอกจากที่บรรดาท่านพุทธบริษัทจะเข้าใจว่าการเจริญกรรมฐานนี้ต้องการสวรรค์ ต้องการพรหมโลก ต้องการนิพพานอย่างเดียว ความจริงไม่ใช่อย่างนั้น มีประโยชน์ทั้งทางโลกและทางธรรม
    ถ้าทุกท่านได้มโนมยิทธิแล้วก็ไปฝึกฝนให้คล่อง เมื่อฝึกฝนคล่องแล้ว นอกจากจะยกจิตขึ้นไปสู่ภพต่าง ๆ ก็ยังมีคุณสมบัติ ๘ ประการ คือ
    ทิพจักขุญาณ สามารถจะเห็นสิ่งของที่อยู่ในที่ลี้ลับได้ เห็นผีได้ เห็นเทวดาได้ เห็นนรก เห็นสวรรค์ได้ ของที่เราเก็บไว้ในที่ลี้ลับหาไม่พบเราก็สามารถเอาจิตเข้าไปกำหนดรู้ได้ หรือว่าใครจะแอบแฝงอยู่ที่ไหนเราก็ทราบได้ ถ้าเราต้องการจะรู้ รวมความว่าไม่มีอะไรเป็นความลับสำหรับพวกที่มีทิพจักขุญาณ
    และถ้าหากว่าจะใช้ทิพจักขุญาณนี้ประกอบอาชีพ ถ้าทิพจักขุญาณมีความเข้มข้นขึ้น เข้าถึงฌาน ๔ และก็ได้ อดีตังสญาณ อนาคตังสญาณ มันจะได้ไปเอง ถ้าเราจะประกอบอาชีพเราก็สามารถจะรู้ได ้ว่า อาชีพที่เราประกอบข้างหน้ามันขาดทุนหรือกำไรจะทำอะไรก็ได้
    ถ้าเป็นนักเรียนนักศึกษา ถ้ามีกำลังจิตเข้มข้นจริง ๆ สามารถจะเดาข้อสอบ (ไม่ต้องเดาละดูเลย ดูข้อสอบเลย ก่อนที่ครูจะเขียนน่ะ) อนาคตังสญาณ จะสามารถรู้ข้อสอบที่ครูจะออกมาได้ ถ้าหากว่าจิตยังคล่องไม่ถึง มีความเข้มข้นไม่ถึงเวลาจะสอบถ้าตอบไม่ได้ตัดสินใจใช้กำลังสมาธิช่วยสัก ๒ นาที คิดว่าถ้าจะตอบยังไงถึงจะถูก ขอให้ตัดสินใจไปตามนั้น มันตัดสินใจเองแล้วก็ถูกต้อง
    อย่างนี้นักเรียนนักศึกษาในกรุงเทพฯ ใช้มาหลายพันคนแล้ว เวลาเข้ามาหาวิทยาลัยเธอตอบไม่ได้เธอก็เดาอย่างนี้ แต่ไม่ใช่เดานะ เดาเฉย ๆ ไม่ได้นะ ต้องใช้กำลังใจที่เขาเรียกว่าทำจิตเข้าไปถึงนิพพานก่อนและก็นั่งอยู่ที่นั่น ขอพระพุทธเจ้าว่าจะตอบอย่างไร ตัดสินใจไปตามนั้น อย่าถามท่านไม่ได้นะ ถามท่านไม่บอกแต่ว่าจะรู็ด้วยกำลังของจิตที่เป็นทิพย์
    แบบนี้เขาใช้กันเยอะแล้ว ถ้าจะถามว่าได้หรือ นี่มันสายไปแล้ว เขาทำได้มากแล้ว อันนี้เป็นประโยชน์ในทางโลก ใช้ได้มากกว่านี้
    เมื่อกี้พูดถึงทิพจักขุญาณ และก็ญาณที่ ๒ ที่จะได้จากมโนมยิทธิก็คือ จุตูปปาตญาณ
    จุตูปปาตญาณ ที่เขาบอกว่าจะรู้เห็นคนหรือสัตว์ หรือ ว่าได้ยินชื่อคนหรือสัตว์ เราสามารถรู้ได้ทันทีว่าคนพวกนี้ก่อนเกิดมาจากไหน ถ้ารู้็ว่าใครเขาตายเขาแจ้งว่าคนนั้นตาย สัตว์ตัวนี้ตายเราก็จะทราบได้ว่าผู้ตายผู้นี้เวลานี้ไปอยู่ที่ไหน อันนี้เขาเรียกว่า จุตูปปาตญาณ
    แล้วก็ต่อมาเป็น ปุพเพนิวาสนุสสติญาณ การระลึกชาติ สามารถจะทบทวนชาติต่าง ๆ ที่เราเกิดมาได้ทั้งหมดว่า เราเคยเกิดมาแล้วกี่ชาติ แต่กี่ชาตินี่นับไม่ไหวนะ ว่าเคยเกิดมาแล้วกี่แสนชาติดีกว่า เคยเกิดเป็นอะไรมาบ้าง เราสามารถจะรู้
    แล้วก็ต่อไป เจโตปริยญาณ เจโตปริยญาณ เขาแปลว่าสามารถรู้อารมณ์จิตของบุคคลอื่น หมายความว่าคนที่นั่งอยู่ที่นี่ก็ดี ถ้ายังไม่มาก็ดี เราจะรู้ว่าเขาคิดอะไร เราสามารถจะรู้ได้ทันที
    และต่อไป อตีตังสญาณ สามารถรู้เหตุการณ์ในอดีตของคนและสัตว์และสถานที่ได้ ว่าก่อนนั้นเขาทำอะไรมาหรือมีสภาพเป็นอย่างไร
    อนาคตังสญาณ รู้เหตุการณ์ในอนาคต
    ปัจจุปันนังสญาณ ญาณนี้สำคัญมาก รู้กฏของกรรมที่ทำให้คนมีความสุขหรือความทุกข์ เราก็ดี บุคคลอื่นก็ดี ซึ่งกำลังมีความสุขอยู่เพราะผลความดีอะไรให้ผล ที่มีความทุกข์อยู่เพราะความชั่วอะไรให้ผลทำมาแล้วในอดีต ถ้าหากว่ารู้ญาณนี้ได้ความหนักใจความกลุ้มใจไม่มี
    รวมความว่า มโนมยิทธิ นอกจากจะยกจิตไปสู่ภพต่าง ๆ แล้ว ยังมีคุณสมบัติอีก ๘ ประการ และก็พระพุทธเจ้าตรัสไว้ใน อุทุมพริกสูตร เฉพาะอย่างยิ่งท่านกล่าวถึง วิชชาสาม ท่านบอกว่า
    ท่านผู้ใดสามารถกระทำจิตไปสู่ภพต่าง ๆ คือว่าไปสวรรค์ก็ได ้ไปนรกก็ได ้ไปพรหมก็ได้ ไปนรกเปรตอสุรกายได้ ชื่อว่าถึงแก่นของพระศาสนา
    เมื่อบุคคลปฏิบัติกิจเข้าถึงแก่นของพระศาสนาแบบนี้ ถ้าปฏิบัติด้านวิปัสนาญาณ ท่านบอกว่า
    ถ้ามีบารมีแก่กล้า จะเป็นอรหันต์ภายใน ๗ วัน
    ถ้ามีบารมีอย่างกลาง จะเป็นอรหันต์ภายใน ๗ เดือน
    ถ้ามีบารมีอย่างอ่อน จะเป็นอรหันต์ภายใน ๗ ปี
    คำว่า บารมี ก็หมายถึง </B>กำลังใจ กำลังใจที่เราจะเอาจริงหรือไม่เอาจริง ถ้าเราใช้กำลังส่วนนี้ไปช่วยวิปัสสนาญาณ หรือนำวิปัสสนาญาณมาใช้ ก็จะเป็น พระโสดา สกิทาคา อนาคา อรหันต์
    และก็เป็นที่น่าเสียดายที่มีกำลังพอแต่ไปใช้กำลังอย่างอื่นอยู่ ถ้ามุ่งต้องการความเป็นพระอริยเจ้าจริง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าต้องการพระโสดาบันละก็ อย่างช้าก็ไม่เกิน ๑ เดือน ช้ามากเกินไป แต่ว่าคนขี้เกียจก็เร็วมากเกินไป ใช่ไหม ถ้าขี้เกียจ ๑ เดือนนี่ เร็วมากเกินไป ถ้าขยัน ๑ เดือน ช้าเกินไป เร็วมากเกินไป
    พระพุทธเจ้าไม่ได้หมายถึงว่าเป็นพระโสดาบัน ท่านพูดถึงอรหันต์เลย ถ้ามีความเข้มข้นในการปฏิบัติที่เรียกว่ามีบารมีแก่กล้า จะเป็นอรหันต์ภายใน ๗ วัน
    ถ้ามีกำลังใจอย่างกลางที่เรียกว่า อุปบารมี คือกำลังใจอย่างกลาง จะเป็นอรหันต์ภายใน ๗ เดือน
    ถ้าขี้เกียจมากหน่อย แต่ว่าทำไม่เลิก ทำบ้างไม่ทำบ้าง วันหนึ่งก็ไม่เว้นละ ทำมากทำน้อย นอนน้อยทำมาก สลับกันไปอย่างนี้ไม่เกิน ๗ ปี
    แต่ว่าก็มีเยอะเหมือนกัน ที่ได้ไปแล้วไม่ใช้ให้เป็นประโยชน์ ใช้เฉพาะกิจส่วนนี้ก็ยังดีกว่า เพราะหายสงสัย
    ที่พระพุทธเจ้าสอนวิชานี้ไว้เป็นวิชาขั้นต้นของ อภิญญา ก็เพราะว่าพระพุทธเจ้าทรงเทศน์บอกว่า
    คนเราตายไปแล้วมีสภาพไม่สูญ ถ้าสร้างผลของความชั่ว ผลของความชั่วจะให้ผล คือไปนรก จากนรกก็ต้องมาเป็นเปรต จากเปรตแล้วก็มาอสุรกาย จากอสุรกายมาเป็นสัตว์เดียรัจฉาน
    สัตว์เดียรัจฉานนี่เป็นนานหน่อย ต้องเสวยบารมีมากฆ่าสัตว์กี่ตัว สัตว์ประเภทใดบ้าง ต้องเกิดเป็นสัตว์ประเภทนั้นเท่าชีวิตที่เราฆ่า ฆ่ายุงไปเท่าไร เอาแค่ยุงอย่างเดียวก็พอมั๊ง
    หลังจากเกิดเป็นสัตว์เดียรัจฉานแล้วก็มาเกิดเป็นมนุษย์ กรรมชั่วที่เราทำไว้จะให้ผลเพียงเศษ เช่น
    ทำปาณาติบาต ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต หรือทรมานสัตว์ เป็นปัจจัยให้คนมีอายุสั้น เพราะทำเขาไว้มาก หรือว่าป่วยไข้ไม่สบาย มีร่างกายทุกพพลภาพ สุดแท้แต่กฎของกรรม
    กรรมของอทินนาทาน ลักขโมยยื้อแย่งทรัพย์สมบัติของบุคคลอื่น เป็นเหตุให้ทรัพย์เสียหายจากไฟไหม้บ้าง ลมพัดบ้าง น้ำท่วมบ้าง ถูกโจรลักขโมยบ้าง
    กรรมของกาเมสุมิจฉาจารที่เราละเมิด เป็นเหตุให้คนในปกครองว่ายากสอนยาก คนที่มีลูกดื้อ ๆ จำให้ดีนะ เคยทำกรรมนี้มาแล้วจะให้พระช่วยได้อย่างไร และ
    กรรมของมุสาวาท เราพูดจริงแต่ไม่มีใครเขาอยากฟัง
    เศษกรรมของการดื่่มสุราเมรัย</B> ทำให้เป็นโรคเส้นประสาท หรือโรคบ้า
    ทีนี้ถ้าอาการทั้ง ๕ อย่างนี้เกิดขึ้น อย่าไปโทษใคร ถ้าเราได้ ยถากรรมมุตาญาณ เราจะทราบ ว่ากรรมประเภทนี้ทำให้เราลำบากเราทำไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ และก่อนที่จะได้รับเศษของกรรมเราได้รับโทษของกรรมใหญ่ที่ไหนบ้าง ลงนรกมากี่ขุม ท่องเที่ยวนรกแสนสบาย มีความสุขมีที่อยู่ที่อาศัย พญายมเอาอกเอาใจ ไม่ต้องการให้พ้นจากนรกนี่ดีมีวาสนาบารมีสูง
    ออกจานรกขุมใหญ่ ออกจากนรกบริวาร ผ่านยมโลกียนรกอีก ๑๐ ขุม ออกจากยมโลกียนรกอีก ๑๐ ขุม ผ่านเปรตอีก ๑๒ ลำดับ จากเปรตมาผ่านอสุรกาย จากอสุรกายมาเป็นสัตว์เดียรัจฉาน กว่าจะเกิดมาเป็นคนที่มีความสมบูรณ์มาก พระพุทธเจ้าตรัสแล้วหลายสิบองค์ อันนี้เป็นกฎของความชั่วที่เราพึงจะรู้ได้ด้วยกำลัง มโนมยิทธิ ที่ญาติโยมพุทธบริษัทปฏิบัติกัน
    ด้านของความดีที่เราจะพึงทราบจาก ปุพเพนิวาสานุสติญาณ เราจะทราบว่าเราเคยเป็นเทวดามาแล้วกี่ครั้ง เคยเกิดเป็นคนมาแล้วเท่าไหร แล้วเคยเกิดมาเป็นมนุษย์มาแล้วเท่าไหร่ ความเป็นมนุษย์ชาติไหนมีความสุขมาก ชาติไหนมีความทุกข์มาก ชาติไหนมีฐานะอย่างไร อย่างนี้เราทราบได้
    ทีนี้ถ้าอยากจะทราบว่าบุญที่เราทำมาตั้งแต่ต้นจนถึงวันนี้ บุญประเภทนี้จะให้ผลเราขนาดไหน สมมุติว่าถ้าเราตายขณะนี้เราจะเป็นเทวดาหรือจะไปเป็นพรหมหรือจะไปนิพพาน เราพิสูจน์ได้เลย บุญทำวันนี้พิสูจน์วันนี้ได้ว่าบุญวันนี้จะส่งผลไปถึงไหน
    ถ้าจะถามว่าถ้าปุบปับตายจะมีวิมานอยู่ไหม ถ้าเคยทำบุญก่อสร้างเกี่ยวกับการสร้างวัดสร้างศาลา สร้างสาธารณประโยชน์ แม้แต่เขาสร้างโบสถ์ ๑ หลัง เราทำบุญไป ๑ บาท และทำด้วยความเต็มใจ วิมานก็ปรากฏแล้ว คือว่าทำในทันทีวิมานจะปรากฏทันที
    ที่กล้าพูดอย่างนี้ เพราะว่าทุกท่านหรือหลาย ๆ ท่านกำลังเจริญมโนมยิทธิ และก็หลายท่านที่ได้แล้วสามารถพิสูจน์ได้ทันที ก็มาตัดสินใจทำบุญไว้ตั้งแต่เมื่อไหรก็ตามเถอะไม่สนใจ วันนี้หรือก่อนวันนี้ทำบุญเนื่องในการก่อสร้างสาธารณประโยชน์ วิมานจะปรากฏก่อน เราสามารถจะไปดูวิมานได้ทันทีว่าวิมานเราอยู่ที่ไหน
    ทีนี้วิมานนี่อยู่ตามกำลังของบารมีหรือตามกำลังของบุญที่ทำ ถ้ากำลังบุญของท่านถึงขั้น กามาวจรสวรรค์ วิมานก็จะตั้่้งอยู่ที่สวรรค์ กำลังบุญของท่านถึงขั้นของพรหม วิมานจะตั้งอยู่ที่พรหม กำลังบุญความดีของท่านถึงขั้นนิพพาน วิมานก็อยู่ที่นิพพาน คอยอยู่แล้ว ตายเมื่อไรถึงเมื่อนั้น อันนี้พูดถึงผลที่จะพึงได้
    ต่อไปก็ขออธิบายถึงวิธีการปฏิบัติกรรมฐาน ที่บอกไว้แล้ว ๔ หมวด คือ สุกขวิปัสสโก เตวิชโช ฉฬภิญโญ ปฏิสัมภิทัปปัตโต อันนี้ใช้แนวสมาธิเหมือนกันแต่ใช้กำลังไม่เท่ากัน อันนี้ต้องระวังให้มากนะ กำลังขึ้นต้นไม่เท่ากัน ถ้าใช้กำลังขึ้นต้นผิดไม่มีผล
    สำหรับ สุขวิปัสสโก นี่ท่านเริ่มเจริญสมาธิเล็กน้อยควบคู่กับวิปัสสนาญาณ
    แต่ว่าเรื่องศีลมีความสำคัญมาก ถ้าศีลไม่บริสุทธิ์สมาธิไม่มีผล อย่างวันนี้ท่านฝึกมโนมยิทธิ หากว่าศีลของท่านไม่บริสุทธิ์มาก่อน หรือว่าท่านไม่แน่ใจในความบริสุทธิ์ของศีล เวลาสมาทานศีลก็ขอให้ตั้งใจสมาทานด้วยความเคารพจริง ๆ ว่าเราจะเป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์ ถ้าหากว่าท่านไม่มั่นใจในศีล พอไปถึงพระจุฬามณี เขาไม่เปิดประตูให้เข้า อย่างนี้ครูผู้ฝึกเขาจับได้แน่
    ศีลดีพอสมควร แต่ไม่มั่นใจ คือศีลบกพร่อง ทางจุฬามณีเขาไม่เปิดประตูให้เข้าเด็ดขาด ทำยังไงเขาก็ไม่ยอมให้เข้า ถ้าเราไม่สามารถจะผ่านจุฬามณีได้ก็ไปที่อื่นไม่ได้เหมือนกัน
    ถ้าหากว่าท่านผู้ใดไม่มั่นใจในศีลของท่านว่าที่ผ่านมาแล้วศีลจะดีพอควรไหม เวลาสมาทานศีลก็จงคิดว่าเวลานี้เราเป็นผู้บริสุทธิ์ แต่ว่านับตั้งแต่เวลาสมาทานไปจนกว่าจะไปจากที่นี้ ศีล ๕ เราไม่มีโอกาสจะขาด ใช่ไหม เราฆ่าใครเขาได้เล่า ลักขโมยใครเขานี้ไม่แน่นะ อย่าไปล้วงกระเป๋าเขานะ บอกว่าผมไม่ลัก แต่ผมล้วงกระเป๋าเขาอย่างเดียว
    เป็นอันว่าทุกคนต้องถือว่าศีลบริสุทธิ์ นี่เป็นพื้นฐานใหญ่
    แล้วเวลาทรงสมาธิ สำหรับสุขวิปัสสโก ก็ใช้สมาธิเล็กน้อยเริ่มต้นควบกับวิปัสสนาญาณ มโนมยิทธิจริง เขาเริ่มต้นด้วยฌาน ๔ แต่ว่าการเริ่มต้นด้วยฌาน ๔ นี่ลำบาก จึงลดลงเหลือกำลังอุปจารสมาธิเ่ท่าวิชชาสาม
    ฉะนั้นเวลาเริ่มต้นขอทุกท่านใช้กำลังสมาธิแค่อุปจารสมาธิ ถ้าถึงฌานสมาบัติ กำลังสูงเกินไปเลยความเป็นทิพย์ ถ้าต่ำไปก็ไม่ถึงความเป็นทิพย์
    เหมือนกับกำแพงที่มีช่องน้อย ๆ อยู่ช่องหนึ่ง ถ้าเรามองตาสูงกว่าช่องเราก็มองไม่เห็น ต่ำกว่าช่องเราก็มองไม่เห็น เราต้องมองให้พอดี ๆ จึงเห็น
    สำหรับ ทิพจักขุญาณ ก็เหมือนกัน จิตเกิดเป็นทิพย์ ตอนจิตเข้าสู่อุปจารสมาธิเท่านั้น ถ้าจิตเลยไปถึงฌานความเป็นทิพย์ก็ดับ ถ้าต่ำกว่าฌานความเป็นทิพย์ก็ดับ
    ถ้าจะถามว่า อุปจารสมาธิทำอารมรณ์ขนาดไหน ก็ขอตอบแบบตรงไปตรงมาว่าใช้อารมณ์แบบปกติธรรมดา เวลาภาวนาอยู่ การภาวนานี่ต้องคู่กับลมหายใจเข้าออก เพราะว่าลมหายใจเข้าออกทำให้จิตเป็นสมาธิ ทำให้จิตมีกำลัง สมาธิ เขาแปลว่า ตั้งใจ
    สำหรับคำภาวนาใช้ภาวนาว่า นะ มะ พะ ธะ คำภาวนา นะ มะ พะ ธะ ทำให้กำลังจิตเป็นทิพย์ แต่ว่าคำภาวนาทำให้จิตเป็นทิพย์มีหลายสิบแบบ ไม่เฉพาะแต่ นะ มะ พะ ธะ อย่างเดียว
    แต่ว่าที่เลือก นะ มะ พะ ธะ มาใช้ก็เพราะว่าแบบอื่น ถ้าเราสามารถจะรู้ได้ เห็นได้ ไปได้ ไปท่องเที่ยวในภพต่าง ๆ ได้ แต่คนข้าง ๆ ถามไม่ได้ ต้องจบกิจเรื่องนั้นแล้วกลับมาจึงจะคุยกับคนข้าง ๆ ได้
    สำหรับ นะ มะ พะ ธะ นี่ ขณะที่เราไปพบอะไรที่ข้างบน หรือที่ไหนก็ตาม นรกก็ตาม สวรรค์ก็ตาม พรหมโลกก็ตาม คนข้าง ๆ จะถามได้ทันทีแล้วจะตอบได้เลย ทางโน้นตอบมา ฝ่ายนี้ก็พูด พูดรู้เรื่องกันได้ตลอด
    แบบนี้ควานหามา ๒๓ ปี กว่าจะพบ และแบบอื่น ๆ เป็นของไม่ยาก แต่ว่าเป็นเรื่องสงสัยของคน ผู้ถามอยู่ข้าง ๆ ต้องการจะรู้ว่าพ่อฉันตายแม่ฉันตายไปอยู่ที่ไหน หลับตาปี๋อยู่นาน ลืมตามาก็บอก ทีนี้คนข้าง ๆ อาจจะสงสัย หมอนี่อาจจะโกหกก็ได้
    สำหรับ มโนมยิทธิแบบนี้ ปัจจุบันใช้ นะ มะ พะ ธะ คนข้าง ๆ จะถามได้ทันที และก็เราผู้ไม่รู้ ถ้าไปพบคนตาย จะต้องถามก่อนที่ท่านจะตายรูปร่างลักษณะอย่างไร แสดงให้ดูก่อน ร่างกายจะตายอาการแบบไหน ชี้ให้ชัดว่าคนที่ถามเขารู้เวลานั้นเอาเฉพาะอาการที่รู้ เราก็จะบอกได้ตามปกติว่ามันชัดเจนดี เขามีโอกาสซัก ซักได้ทั้งที่ยังไม่ถอนจากฌานแบบนี้มีประโยชน์มาก
    ฉะนั้นเวลาปฏิบัติของบรรดาท่านพุทธบริษัททำอารมณ์ตามแบบปกติ ไม่ต้องทำจิตให้มันเครียดเป็นฌานอย่าลืมนะ ถ้าเป็นฌานไม่มีผล คือใช้คำภาวนาว่า นะ มะ พะ ธะ
    ถ้าจะควบคู่กับลมหายใจเข้าออก เวลาหายใจเข้าก็นึกว่า นะ มะ เวลาหายใจออกก็นึกว่า พะ ธะ เอาแบบสบาย ๆ นะ อย่าให้เหนื่อย อย่าไปเร่งรัดลมหายใจ อย่าบังคับลมหายใจ อย่าให้เร็วเกินไป อย่าให้ช้าเกินไป ปล่อยลมหายใจไปตามปกติ แค่นึกตามเวลาหายใจเข้านึกว่า นะ มะ เวลาหายใจออกนึกว่า พะ ธะ เอาแค่นี้นะ
    แล้วเลาที่ยังไม่มีใครเข้าไปแนะนำ จงอย่าไปนึกอย่ากรู้ อยากเห็นอะไรเป็นอันขาด เพราะว่าถ้านึกอยากรู้อยากเห็นตอนนั้นจิตซ่านไม่เป็นสมาธิ
    และก็มีปัญหาอันหนึ่งที่บรรดาท่านพุทธบริษัทยังสงสัย เวลาที่ผู้แนะนำเขาปล่อยให้นั่งภาวนาประมาณ ๑๕ นาที ตอนนี้เราก็รู้ลมหายใจเข้าออกด้วย รู้คำภาวนาด้วย จิตก็อดซ่านไม่ได้เป็นของธรรมดา ภาวนาไปรู้ลมหายใจเข้าออกไปสัก ๒-๓ นาทีก็เผลอไปคิดเรื่องอื่นเข้ามาแทน ถ้านึกขึ้นมาได้ก็กลับดึงเข้ามาใหม่
    ถ้าอาการจิตเป็นอย่างนี้ละก็ขอบรรดาท่านพุทธบริษัทอย่าเพิ่งคิดว่าเราชั่ว ถือว่าที่เราทำไปนั้นไม่ชั่วแล้วก็ไม่ผิด มันเป็นเรื่องธรรมดาของจิตมันชอบคิดเรื่องอื่น แต่วาถ้าไปคิดเรื่องอื่นแทนที่ ถ้าเรารู้ตัวก็ดึงกลับมาใหม่ ถ้าจิตอยู่ในขั้นอุปจารสมาธิ มันเป็นแบบนี้แหละ เพราะยังไม่ได้ฌานสมาบัติ ถ้าจิตจะทรงตัวจริงต้องเป็น ฌานสมาบัติ
    ทีนี้พอได้เวลาก็จะมีผู้เข้าไปแนะนำโดยตรง วิธีนี้ถ้าปล่อยให้ปฏิบัติธรรมดานะ พระเคยทำมาแล้ว ๓๐ ปีบ้าง ๔๐ ปีบ้าง บางองค์ ๔๐ ปีไม่ได้ ตายไปเลย ตายไปเยอะ ไม่ใช่เรื่องเล็กนะ เป็นเรื่องใหญ่มากเดิมทีเดียวต้องขึ้นต้นด้วยฌาน ๔ ทีนี้กว่าจะได้ฌาน ๔ เขี้ยวเหี้ยน กินหญ้าต่อไปไม่ได้แล้ว
    ต่อมาท่านเจ้าของมาแนะนำบอกว่า ปฏิบัติอย่างนี้ (แบบเก่า) มันไม่มีผล เพราะว่ากำลังของคนไม่พอ ท่านก็แนะนำบอกว่า ให้ขึ้นต้นด้วยอุปจารสมาธิ ใช้กำลังของวิชชาสามแทน การใช้กำลังของวิชชาสามแทนนี้ก็อ่อนไปหน่อย การเคลื่อนไหวตัวรู้สึกตัวน้อย ๆ เป็นที่น่าสงสัย
    ถ้าหากว่าใช้กำล้ังเดิม คือกำลังของฌาน ๔ เวลามันออกมันรู้ตัวเหมือนอกจากกระบอกไม้ มันพุ่งตรงออกจากโพรงไม้หรืออกจากถ้าำ มันรู้ตัวเลย ก็จะปรากฏชัดเป็นแสงสว่างในอากาศ แสงสว่างเป็นลำบ้าง เป็นแสงทั่วไปในอากาศบ้าง จะปรากฏเห็นกายข้างในมันพุ่งตรงออก ไปไหนก็มีรู้สึกเหมือนเราไปเอง
    แต่ว่ากำลังแบบนี้เวลานี้ท่านพุทธบริษัทยังรับไม่ได้กว่าจะรับได้ก็ใช้เวลาเป็นเดือนหรืออาจจะเป็นปี ที่สอนมาแล้วระยะต้น เมื่อปี ๒๕๐๘ ได้มาประมาณ ๘๐ คน หลังจากนั้นมาอีก ๑๐ ปี ไม่มีใครได้เลย เพราะกำลังไม่พอ ต่อมาท่านเจ้าของจึงแนะนำบอกว่า ให้ลดกำลังลงเหลือกำลังของวิชชาสาม
    ทีนี้กำลังของวิชชาสามมีสภาพคล้ายความฝัน เป็นที่น่าสงสัย กำลังของวิชชาสามก็คือใช้กำลังของอุปจารสมาธิแทนฌานสมาบัติ
    ทีนี้มาจุดหนึ่งที่บรรดาท่านพุทธบริษัทยังสงสัย คือ คำว่า ทิพจักขุญาณ
    คำว่า ทิพจักขุญาณ นี่ไม่ใช่แปลว่า ลูกตาเนื้อเป็นทิพย์ ญาณ เขาแปลว่า รู้ ทิพจักขุญาณ เขาแปลว่า มีความรู้ทางใจคล้ายตาทิพย์ อย่าลืมนะว่าความรู้สึกทางใจคล้ายตาทิพย์ เพราะว่าเรายังไม่ได้ใช้ฌาน ๔ ถ้าใช้ฌาน ๔ ตัวนี้ไม่ต้องอธิบายเพราะมันออกไม่รู้ตัว เมื่อใช้กำลังของวิชชาสามกำลังลังอ่อนลง ไม่สามารถจะมีความเข้มแข็งแบบนั้นได้ ต้องใช้ความสังเกตเป็นเกณฑ์
    ถ้าหากว่าศีลดี สมาธิดีพอสมควร ไม่มากนักการตัดสินใจด้านพระนิพพานน้อยเกินไป อย่างนี้ทิพจักขุญาณจะเกิดอย่างอ่อน เกิดความรู้สึกของใจ ความรู้สึกทางใจนี่มันจะมีความรู็สึกอันดับแรกว่าเป็นอะไรต้องตอบทันที ตัวแรกเป็นตัวแท้แล้วก็แน่นอน
    และเวลาที่ท่านทั้งหลายจะนำไปใช้ให้เป็นประโยชน์ ถ้าทำใจให้สบายคิดว่างานที่เราทำจะมีผลดีหรือผลชั่ว อารมณ์แรกมันบอกปั๊บต้องเชื่ออารมณ์นั้นทันที
    ทีนี้ถ้าหากว่าถ้าอารมณ์มันอ่อน เมื่อเวลามีผู้เข้าไปแนะนำ หลังจากภาวนาไปแล้วประมาณ ๑๕ นาที เขาจะให้สัญญาณบอกว่าพักได้ แล้วต้องสังเกตนะ ถ้าท่านผู้ใดมีคนไปนั่งข้างหน้า เขาจะแนะนำ ขอให้ท่านผู้นั้นเลิกภาวนาเสียเลย อย่าภาวนา แล้วก็เลิกรู้ลมหายใจเข้าออก ปล่อยใจสบาย ๆ เพราะตอนนั้นไปภาวนาไม่ได้ ขวางกัน ให้ฟังคำแนะนำของผู้แนะนำ
    ถ้าผู้แนะนำเขาแนะนำว่ายังไงให้ตัดสินใจไปตามนั้น ถ้าเห็นว่ากำลังใจเริ่มเป็นทิพย์พอสมควร เขาจะถามว่า
    “มีความรู้สึกว่ามีผู้ใดอยู่ข้างหน้าบ้าง...?”
    ไม่ใช่หมายถึงตัวเขา ถ้าสมาธิอ่อน ความรู้สึกมันว่ามีก็ตอบว่ามี อย่ายั้งตัวนะ ถ้ายั้งตัวแน่หรือไม่แน่ ตรงนี้ตัวกิเลสคือนิวรณ์ ตัวสงสัยจะขวางทันที คือผิดหมด ถ้าเราเกิดความรู้สึกครั้งแรกว่ามีก็ต้องตอบว่ามี
    ถ้าเขาถามว่า “ผู้ที่มาอยู่ข้างหน้าเป็นผู้หญิงหรือผู้็ชาย”
    ความรู้สึกมันว่าผู้หญิงหรือผู้ชายก็ตอบทันที อย่ายั้งตัว ถ้ายั้ง ถอยหลังไม่ได้ ผิด
    ถ้าเขาถามว่าแต่งตัวสีอะไร ก็ตอบตามความรู้สึกถ้าคนข้าง ๆ เขาสีแดง ของเราเขียวก็ตอบเขียวอย่าตามเขานะ เพราะความเป็นทิพย์ของเทวดา พรหม หรือพระอรหันต์ ย่อมสามารถจะทำให้คนเห็นสีต่างกันในขณะเดียวกัน
    ถ้าเป็นอย่างนี้สัก ๒-๓ วาระ ครูเขารับรองว่าถูกต้อง กำลังใจจะดีขึ้น ตอนนี้อารมณ์จิตจะเป็นฌานเอง คำว่าเป็นฌานอย่าไปบังคับมันนะ มันจะเป็นของมันเอง เมื่ออารมณ์จิตเริ่มเป็นฌาน ความสว่างไสวจะปรากฏขึ้นบ้างตามพอสมควร
    ตอนนี้ภาพที่เรามองไม่เห็นจะมีความรู้สึกว่ามีเห็นเป็นผู้หญิงผู้ชายนั่นแหละ มันไม่ปรากฏภาพมาก่อน แต่ความรู้สึกจะเกิดขึ้นกับใจ เมื่อจิตเริ่มเป็นฌานภาพจึงปรากฏขึ้นกับใจ
    หลังจากนั้นไปครูเขาจะแนะนำในการตัดขันธ์ ๕ การตัดขันธ์ ๕ มีความสำคัญมาก คือเอาจิตมุ่งพระนิพพานโดยเฉพาะ คิดว่าถ้าตายชาตินี้ เมื่อตายเมื่อไหรขอไปนิพพานจุดเดียว ตัดสินใจแน่นอนละก็ไปถึงนิพพานแน่
    หลังจากนั้นเขาจะพาไปพระจุฬามณี ซึ่งตั้อยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ถ้าขั้นถึงจุฬามณีพึงทราบได้เลยว่าขณะนั้นจิตเป็นฌาน ๔ ภาพจะเกิดความสว่างไสวมาก เขาจะพาไปนมัสการพระ ให้เห็นเทวดาหรือพรหม
    หลังจากผ่านพระจุฬามณีแล้วเขาจะพาตรงไปพระนิพพาน ที่เราว่านิพพานสูญนั้นน่ะ เราจะได้ทราบว่านิพพานไม่สูญ ถ้านิพพานสูญก็ไม่มีพระอรหันต์องค์ไหนไปนิพพาน
    นี่พูดถึงว่าสำหรับจิตที่มีกำลังอ่อน แต่ว่ามีมากท่านด้วยกันที่มีความเข้มแข็งทางจิต จิตสะอาดจริง พอเริ่มได้รับคำแนะนำจากครูไม่กี่คำจิตจะสว่างจ้า เห็นภาพชัดเจนแจ่มใสมาก เหมือนกับเห็นคนในเวลากลางวัน เครื่องแต่งกายละเอียดละออเพียงใดก็ตาม ก็สามารถจะเห็นได้
    ฉะนั้น ผู้จะปฏิบัติมโนมยิทธิ ขอให้ตั้งใจ ถ้าสมาทานศีล ขอให้สมาทานศีลด้วยความเคารพ คิดว่าเวลานี้เป็นผู้มีศีล แล้วก็ภาวนา อย่าลืมใช้คำว่าภาวนาว่า นะ มะ พะ ธะ ควบคู่กับลมหายใจ เวลาหายใจเข้านึกว่า นะ มะ เวลาหายใจออกนึกว่า พะ ธะ เวลาภาวนาอยู่จงอย่าอยากรู้อยากเห็นอะไรทั้งหมด จนกว่าจะมีครูเข้าไปแนะนำ
    [/COLOR]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 240Mar44.jpg
      240Mar44.jpg
      ขนาดไฟล์:
      23 KB
      เปิดดู:
      41
    • 327124.jpg
      327124.jpg
      ขนาดไฟล์:
      24.9 KB
      เปิดดู:
      54
    • Luangphor5.jpg
      Luangphor5.jpg
      ขนาดไฟล์:
      43.1 KB
      เปิดดู:
      34

แชร์หน้านี้

Loading...