แนะนำพระดี มีพลังมหัศจรรย์ อาถรรพ์หนุนชีวิต อิทธิฤทธิ์มหาศาล

ในห้อง 'ประสบการณ์ เรื่องเล่า' ตั้งกระทู้โดย หนุ่มเมืองแกลง, 15 พฤษภาคม 2010.

  1. Na_mo_

    Na_mo_ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2007
    โพสต์:
    2,025
    ค่าพลัง:
    +4,750
    ขอขอบคุณเจ้าของบทความด้วยครับ
    [​IMG]

    ข้าวตอกพระร่วง ข้าวพระร่วง ตามตำนานผู้เฒ่าผู้แก่ได้เล่าสืบต่อกันมาว่า "ในวันใส่บาตรเทโวที่บนลานวัดเขาพระบาทใหญ่ เมื่อพระร่วงฉันภัตตาหารเสร็จ ข้าวที่เหลือจากก้นบาตรท่านได้โปรยลงบนลานวัดและทรงอธิษฐานว่า...

    "ให้ ข้าวตอกดอกไม้นี้กลายเป็นหินชนิดหนึ่ง และมีอายุยั่งยืนนานชั่วลูกชั่วหลาน" ดังนั้น ข้าวตอกพระร่วงที่ชาวบ้านเรียกขานกันจึงหมายถึงหินรูปสี่เหลี่ยมโดยธรรมชาติ ที่ฝังตัวอยู่ในหินก้อนใหญ่ ส่วนข้าวพระร่วงหรือข้าวกับบาตรพระร่วงนั้นจะมีลักษณะคล้ายเมล็ดข้าวสุกฝัง ตัวอยู่ในหินสีดำ
    ข้าวตอกพระร่วงมีลักษณะเป็นหินก้อนเล็ก ๆ รูปทรงสี่เหลี่ยมลูกบาศก์คล้ายกับลูกเต๋า มีสีสนิมเหล็กหรือสีน้ำตาลไหม้คล้ำ ๆ มีหลายขนาด แต่จะมีหน้าราบขนาด ๒.๓ ซม. ก้อนเล็ก ๆ จะมีขนาดประมาณครึ่งเซนติเมตร สำหรับก้อนที่ใหญ่ ๆ นั้น หากเราลองทุบ ให้แตกออก ลักษณะที่แตก ออกจากกันนั้นก็จะคงรูปสี่เหลี่ยมลูกบาศก์เล็ก ๆ อีกเหมือนกัน จะมีเพียงบางก้อนที่เป็นรูปสี่เหลี่ยมยาว หินเหล่านี้ จะมีปะปนอยู่ทั่วไปพบมากบริเวณเขา พระบาทใหญ่ ต.เมืองเก่า อ.เมือง จ.สุโขทัย ผู้เชี่ยวชาญทางด้านธรณีวิทยา ได้ตรวจสอบแล้วสรุปว่า แร่ที่ชาวบ้าน เรียกว่าข้าวตอก พระร่วงนี้ คือ แร่โลหะชนิดหนึ่งที่ชื่อว่า "แร่ไพไรต์" นั่นเอง อีกชนิดหนึ่งมีลักษณะ คล้ายเม็ดข้าวสารฝังจม ปนอยู่ในหินแร่เหล่านี้ด้วย ชาวบ้าน เรียกว่า ข้าวสารพระร่วง ทั้งสอง ชนิดนี้เป็นที่นิยมกันว่าศักดิ์สิทธิ์ ผู้ใดมีไว้ถือว่าเป็นสิริมงคล มีความสุขความเจริญด้วย โภคทรัพย์ต่าง ๆ นอกจากนั้นยังนิยม นำมาฝนกับ แผ่นกระเบื้องบดยาหยดน้ำลงไปด้วย ขณะที่ฝนแล้วนำน้ำนั้นมาทาบริเวณที่ถูกพิษแมลงสัตว์กัดต่อย เป็นต้นว่า ตะขาบ มด แมลงป่อง ก็จะหายจากอาการเจ็บปวดอย่างน่าอัศจรรย์ยิ่ง ชาวบ้านนิยมนำมาดับพิษแมลงเวลาถูกต่อย จะใช้กันอย่าง แพร่หลายด้วยความศรัทราส่วนคนเฒ่าคนแก่ที่กินหมากนั้น จะนิยมนำข้าวตอก พระร่วงมาใส่ปนกับสีผึ้งทาปากตลับละหนึ่งถึงสองเม็ด เหตุที่ทำเช่นนี้เพราะเชื่อว่ามีเมตตา มหานิยมดี โดยเฉพาะเม็ดที่ติดกันชาวบ้านเรียกว่า "อมกัน" นิยมกันมากว่ามีเมตตามหานิยมมากยิ่งขึ้น

    ต่อมาข้าวตอกพระร่วงและ ข้าวสารพระร่วง มีผู้นำมาเจียระไนเป็น เครื่องประดับ และ เข้าพิธีพุทธาภิเษก เมื่อ ๑๒ เมษายน ๒๕๒๗ ทำให้ประชาชน ให้ความสนใจใคร่มีไว้เป็นสิริมงคลกันมาก ปัจจุบันจึงค่อนข้างหายาก สาเหตุที่เป็นที่นิยมของชาวบ้านว่าเป็นของศักดิ์สิทธิ์ทั้งนี้เพราะมีความ เชื่อ เกี่ยวกับเรื่อง พระร่วงวาจาสิทธิ์ เมื่อครั้งพระองค์เสด็จมาประพาสป่า หยุดเสวย พระกระยาหารกลางวันแล้ว จึงนำข้าวโปรยไว้บนเขาพระบาทใหญ่แล้วกล่าวว่า จงเป็นข้าวตอกดอกไม้ ดังนั้นจึงกลายเป็น ข้าวตอกพระร่วง ข้าวสารพระร่วง ตามวาจาสิทธิ์นั้น
    ข้าวตอกพระร่วง
    คือ แร่ชนิดหนึ่งเป็นแร่ LIMONITE คือออกไซด์ของเหล็กชนิดหนึ่ง (2Fe2 O3 . H2O) เนื่องจากแร่นี้ไม่มี crystal form มีลักษณะเป็น colloid จึงสามารถเกิดเป็นผลึกโดยอาศัยรูปผลึกของแร่อื่นได้ ในกรณีของข้าวตอกพระร่วงนี้อาศัยรูปผลึกของแร่ PYRITE (Fe S2) จึงเรียกว่า Limonite Pseudomorphed after Pyrite แร่นี้มีพบมากที่จังหวัดสุโขทัยพบฝังอยู่ในหินผุตามเชิงเขาพระบาทใหญ่ เมื่อทุบให้แผ่นหินผุแตกจะพบหินเป็นรูปสี่เหลี่ยมคล้ายลูกเต๋าสีสนิมเหล็ก หรือสีน้ำตาลไหม้เล็กบ้างใหญ่บ้าง ก้อนใหญ่หน้าราบขนาดราว2-3 เซนติเมตร ก้อนเล็กราวครึ่งเซ็นติเมตร และก้อนใหญ่บางก้อนนั้น ถ้าทุบให้แตกอีกก็จะแตกเป็นก้อนย่อย ๆ รูปสี่เหลี่ยมอีกเหมือนกัน แต่บางก้อนเป็นรูปสี่เหลี่ยมยาวก็มี ชาวบ้านเรียกหินชนิดนี้ว่า ข้าวตอกพระร่วง เชื่อกันว่าเป็นของขลังและศักดิ์สิทธิ์ ป้องกันอสรพิษได้ ถ้าถูกแมลงมีพิษกัดต่อยให้เอาหินก้อนนั้นกดทับตรงบาดแผลจะระงับพิษได้ บางคนก็เอามาเลี่ยมทำเครื่องประดับใช้เป็นเครื่องราง
    พระร่วง
    พระ ร่วง เป็นชื่อบุคคลผู้เป็นวีรบุรุษ เป็นผู้นำของสังคม สังคมไทยโบราณนิยมสืบต่อเรื่องราวเก่าทำนองตำนาน นิทานปรัมปรา นิทานพื้นบ้าน เป็นแบบมุขปาฐะ เล่ากันปากต่อปาก (oral history) ต่อมาจึงมีการจดบันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษร ในบรรดาเรื่องราวเกี่ยวกับผู้นำทางวัฒนธรรม เรื่อง "พระร่วง" เป็นเรื่องที่ถูกหยิบยกมาเล่าขานทั้งในฐานะผู้นำทางวัฒนธรรมตามตำนาน ฐานะวีรบุรุษผู้มีตัวตนจริงของประวัติศาสตร์ และในฐานะสัญลักษณ์ของผู้รู้ และความเป็นปราชญ์

    เรื่องของพระร่วงมีตำนานเล่ากันมาหลายเรื่อง ซึ่งมิได้ระบุว่าเป็นกษัตริย์สมัยสุโขทัยพระองค์ใด พ่อขุนศรีอินทราทิตย์เมื่อเสด็จขึ้นครองราชสมบัติในกรุงสุโขทัยก็เรียกว่า "ราชวงศ์พระร่วง" ทำให้คนทั้งหลายเข้าใจว่า พระร่วงคงจะเริ่มตั้งแต่พ่อขุนศรีอินทราทิตย์เป็นต้นมา พ่อขุนรามคำแหงมหาราชที่เรียกนามในภาษาบาลีว่า "โรจนราช" กล่าวกันว่าเป็นพระสหายกับพระเจ้าเม็งรายมหาราชที่นครเชียงใหม่ และพ่อขุนงำเมืองแห่งนครพะเยา พระนามของพ่อขุนรามคำแหงมหาราชนี้ในหนังสือเก่าเรียกตามภาษามคธว่า "รามราช" แต่ยังมีคำที่คนทั้งหลายเรียกพระนามกษัตริย์สุโขทัยอีกคำหนึ่งว่า พระร่วง ในพงศาวดารบางฉบับกล่าวว่า พระร่วงนี้มีบุญญาภินิหาร และฤทธิเดชเลิศล้ำ แม้ในพงศาวดารของประเทศใกล้เคียง เช่น ในพงศาวดารมอญ พงศาวดารลานนาไทย ก็ยังได้กล่าวถึงพระร่วงเมืองสุโขทัย ทุกวันนี้ยังมีสิ่งที่ออกพระนามพระร่วงด้วยหลายสิ่ง เช่น ข้าวตอกพระร่วง ปลาพระร่วง ทำนบพระร่วง หนังสือไตรภูมิพระร่วง สุภาษิตพระร่วง ปากพระร่วง (ผู้มีวาจาสิทธิ์ว่าอะไรเป็นอย่างนั้น) และที่สุดเรือรบของไทยลำหนึ่งก็ชื่อ เรือพระร่วง ล้วนเป็นคำที่ประกอบกับคำที่เล่าเรื่องพระร่วงสืบกันมา

    สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงอุตสาหะสอบสวนค้นคว้าทางโบราณคดีและรวบรวมเรื่องราวเป็นข้อวินิจฉัย ให้ชื่อว่า นิทานโบราณคดีเรื่องพระร่วง จึงขอนำมาสรุปดังนี้
    ใน หนังสือพงศาวดารเหนือ กล่าวถึงชาติวงศ์ของพระร่วง ในเรื่องอรุณกุมาร (อรุณ คือ ศัพท์ภาษามคธแปลว่า ร่วง) ว่า พระยาอภัยคามะนีเจ้าเมืองหริภุญชัย (ลำพูน) ไปจำศีลบนภูเขาแห่งหนึ่ง ไปพบนางนาคซึ่งจำแลงเป็นมนุษย์มาเที่ยวเล่น เกิดสมัครรักใคร่ได้อภิรมย์สมรสอยู่ด้วยกัน 7 วัน นางมีครรภ์กลับไปเมืองนาค เมื่อจะคลอดลูกก็ขึ้นมาคลอดที่ภูเขาเพราะเกรงว่าถ้าคลอดในเมืองนาคอาจไม่มี ชีวิตรอดเพราะมีเชื้อมนุษย์ เมื่อคลอดทารกชายแล้วก็ทิ้งไว้ในป่าพร้อมกับแหวน ผ้าห่ม และของที่พระยาอภัยคามะนีประทานนางไว้ มีพรานป่าไปพบทารกนั้นจึงพามาเลี้ยงไว้ เกิดอัศจรรย์ต่าง ๆ ปรากฏที่ตัวเด็กอย่างผู้มีบุญ ความทราบถึงพระยาอภัยคามะนี ตรัสเรียกไปทอดพระเนตร เมื่อทรงทราบเรื่องที่พรานป่าไปพบและทอดพระเนตรเห็นของที่อยู่กับตัวเด็ก ก็ทราบชัดว่าเป็นราชบุตรที่เกิดกับนางนาค จึงประทานนามว่า "อรุณกุมาร" แล้วเลี้ยงไว้ในที่ลูกหลวง ต่อมามีราชบุตรเกิดด้วยอัครมเหสีอีกองค์หนึ่ง ประทานามว่า "ฤทธิกุมาร" อยู่ด้วยกันมาจนเติบใหญ่

    พระยาอภัยคามะ นีปรารถนาจะหาเมืองให้อรุณกุมารครอบครอง ทราบว่าเจ้าเมืองศรีสัชนาลัยมีแต่ราชธิดา จึงสู่ขอนางนั้นให้อภิเษกสมรสกับอรุณกุมาร อรุณกุมารจึงไปอยู่เมืองศรีสัชนาลัยต่อมาก็ได้ครองเมืองนั้น ทรงพระนามว่า "พระร่วง" ส่วนฤทธิกุมารนั้นเมื่อเติบใหญ่ก็ได้อภิเษกสมรสกับราชธิดาพระยาเชียงใหม่ และได้ครองเมืองเชียงใหม่ ทรงพระนามว่า "พระลือ" เมื่อทั้งสองอาณาเขตมีเจ้าเมืองเป็นพี่น้องกันเช่นนี้ บ้านเมืองก็เป็นสัมพันธมิตรสืบกันมา เรื่องอรุณกุมารนี้พระร่วงเป็นเชื้อมนุษย์กับนาคระคนกัน และเป็นวงศ์กษัตริย์วงศ์หริภุญชัยในลานนา

    เรื่องพระร่วงใน พงศาวดารเหนืออีกเรื่องหนึ่ง เรียกว่า พระร่วงส่วยน้ำ กล่าวว่า มีชายชาวเมืองละโว้คนหนึ่งชื่อ "คงเครา" เป็นนายกองคุมคนตักน้ำในทะเลชุบศรส่งไปถวายพระเจ้าปทุม สุริยวงศ์ ณ เมืองขอม นายคงเครามีบุตรคนหนึ่งชื่อ นายร่วง เป็นผู้มีบุญด้วยวาจาสิทธิ์ คือถ้าว่าอะไรให้เป็นอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น แต่ไม่รู้ตัวว่ามีฤทธิ์อย่างนั้น จนอายุได้ 11 ปี วันหนึ่งพายเรือไปในทะเลชุบศร เรือทวนน้ำทำให้เหนื่อยมากจึงออกปากว่า ทำไมน้ำไม่ไหลกลับไปทางนั้นบ้าง พอว่าขาดคำ น้ำก็ไหลกลับไปอย่างว่าเด็กร่วงก็รู้ตัวว่ามีวาจาสิทธิ์ แต่ปิดความไว้ไม่ให้ผู้อื่นรู้ ครั้นนายคงเคราถึงแก่กรรมพวกไพร่ก็พร้อมใจกันยกนายร่วงขึ้นเป็นนายกองส่วย น้ำแทนพ่อ ครั้นต่อมานักคุ้มข้าหลวงเมืองขอมคุมเกวียนมารับส่วยน้ำตามเดิม นายร่วงเห็นว่ากล่องน้ำที่ทำมานั้นหนัก จึงให้ไพร่สานชะลอมขึ้นเป็นอันมาก แล้วให้เอาชะลอมจุ่มลงไปในน้ำ ลั่นวาจาสิทธิ์สั่งน้ำให้ขังอยู่ในชะลอมก็เป็นเช่นว่า

    นักคุ้ม ข้าหลวงเห็นเช่นนั้นก็ฤทธิ์นายร่วง รีบรับชะลอมน้ำกลับไปยังเมืองขอม ทูลพระเจ้าปทุมสุริยวงศ์ว่า มีผู้วิเศษเกิดขึ้นที่เมืองละโว้ พระเจ้าปทุมสุริยวงศ์ทรงวิตกเกรงว่าจะเป็นกบฏ จึงแต่งกองทหารให้มาจับตัวนายร่วง แต่นายร่วงได้ยินข่าวรู้ตัวก่อน จึงหนีออกจากเมืองละโว้ขึ้นไปทางเมืองเหนือ ไปบวชเป็นภิกษุอยู่ ณ วัดแห่งหนึ่งในเมืองสุโขทัย คนจึงเรียกกันว่า "พระร่วง" เพราะเหตุที่บวชเป็นพระ ฝ่ายทหารขอมมาถึงเมืองละโว้ รู้ว่านายร่วงรู้ตัวหนีขึ้นไปเมืองเหนือ ทหารขอมผู้หนึ่งก็ติดตามไปเที่ยวสืบเสาะได้ความว่า นายร่วงหนีไปอยู่เมืองสุโขทัย มิรู้ว่าไปบวชเป็นพระ จึงดำดินลอดปราการเข้าไปในเมือง เผอิญไปโผล่ขึ้นที่ลานวัดที่พระร่วงกำลังกวาดอยู่ พระร่วงเห็นเข้าก็รู้ว่าเป็นขอมแต่ขอมไม่รู้จักพระร่วง จึงถามพระร่วงว่า "รู้หรือไม่ว่านายร่วงที่มาจากเมืองละโว้อยู่ที่ไหน" พระร่วงก็ลั่นวาจาสิทธิ์ว่า "สูอยู่ที่นั่นเถิดรูปจะไปบอกนายร่วง" พอว่าขาดคำขอมก็กลายเป็นหินติดคาแผ่นดินอยู่ตรงนั้น ด้วยอำนาจวาจาสิทธิ์ของพระร่วง ชาวเมืองสุโขทัยรู้ว่าพระร่วงเป็นผู้มีบุญ เมื่อพระเจ้ากรุงสุโขทัยสิ้นพระชนม์ เสนาอำมาตย์จึงพร้อมใจกันเชิญพระร่วงขึ้นเป็นพระเจ้าแผ่นดิน ทรงพระนามว่า "พระเจ้าศรีจันทราบดี"

    สมเด็จฯพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงพระนิพนธ์ขยายความเพิ่มเติมอีกว่า เรื่องพระร่วงทั้งสองเรื่องนี้ จะเชื่อว่าพระร่วงเป็นลูกนางนาคจริง หรือจะเชื่อว่าพระร่วงมีวาจาสิทธิ์จริง ดูก็ผิดธรรมดาทั้งสองสถาน ถ้าพิจารณาดูศักราชตามที่อ้างในพงศาวดารเหนือทั้งสองเรื่องนั้นว่าเป็นรัช สมัยของพระร่วงนั้นก็แตกต่างกันไกล ในเรื่องอรุณกุมารว่าพระร่วงได้ครองบ้านเมืองราว พ.ศ. 950 แต่ในเรื่องพระร่วงส่วยน้ำ พระร่วงได้ครองบ้านเมืองเมื่อราว พ.ศ. 1500 ผิดกันตั้ง 500 ปี ยิ่งมาถึงสมัยได้ศิลาจารึกครั้งกรุงสุโขทัย ตรวจหาความรู้เรื่องพงศาวดารเหนือหลักฐานที่มีอยู่เดิมในเรื่องพระร่วงดูก็ ยิ่งคลาดเคลื่อนมากขึ้น ตามศิลาจารึกไทยเพิ่งชิงอำนาจจากขอมมาตั้งตนเป็นอิสระเมื่อพ.ศ. 1800 ภายหลังสมัยพระร่วงที่อ้างในพงศาวดารเหนือหลายร้อยปี ผู้ที่ชิงอาณาเขตสุโขทัยจากขอมได้ทรงพระนามว่า "พ่อขุนบางกลางท่าว" เจ้าเมืองบางยาง เมื่อได้เมืองสุโขทัยแล้วทำพิธีราชาภิเษกเป็นพระเจ้าแผ่นดินทรงพระนามว่า "พ่อขุนศรีอินทราทิตย์" ต่อมา "พ่อขุนบาลเมือง" ราชโอรสองค์ใหญ่ของพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ได้เป็นพระเจ้าแผ่นดิน กษัตริย์ที่สืบทอดต่อ ๆ มาก็คือ "พ่อขุนรามคำแหงมหาราช" "พระเจ้าเลอไทย" "พระเจ้าลือไทย"(พระเจ้าธรรมราชา) ทั้งห้าองค์ครองราชสมบัติสืบต่อกันมาตั้งแต่ พ.ศ. 1800-1921 นานถึง 121 ปี กรุงสุโขทัยจึงตกเป็นประเทศราชของกรุงศรีอยุธยาในรัชกาลของสมเด็จพระบรม ราชาธิราช (ขุนหลวงพงั่ว)

    ข้อสำคัญอย่างหนึ่งในศิลาจารึกไม่มี พระนาม "พระร่วง" ปรากฏสักแห่งเดียว จะเข้าใจว่าพระร่วงเป็นแต่นิทานไม่มีตัวจริงก็ไม่ได้ ด้วยประเทศเพื่อนบ้านใกล้เคียงกับกรุงสุโขทัยในสมัยนั้น ต่างเรียกพระเจ้ากรุงสุโขทัยว่า "พระร่วง" ทั้งสิ้น เช่นในเรื่องราชาธิราชก็อ้างว่า พระร่วงได้ชุบเลี้ยงมะกะโทและทรงส่งเสริมให้เป้นพระเจ้าฟ้ารั่วครองเมืองมอญ ในพงศาวดารโยนกก็กล่าวว่า เมื่อพระยาเม็งรายสร้างเมืองเชียงใหม่ได้เชิญ"พระร่วงเมืองสุโขทัย"กับ" พระยางำเมืองเมืองพะเยา" ผู้เป็นสหายไปปรึกษา หนังสือตำนานพระพุทธสิหิงค์ซึ่งพระโพธิรังษีแต่งเป็นภาษามคธที่เมือง เชียงใหม่ ก็แปลงคำ "พระร่วง" เป็น "รังคราช" ว่าได้พระพุทธสิหิงค์จากเมืองนครศรีธรรมราชข้นไปไว้ ณ เมืองสุโขทัย และที่สุดชาวกรุงศรอยุธยาก็เรียกกันทั่วไปว่า "พระร่วง" จึงเห็นว่า "พระร่วง " นั้นคงเป็นพระเจ้าแผ่นดินที่ครองกรุงสุโขทัยพระองค์ใดพระองค์หนึ่งในห้า พระองค์นั้น ซึ่งทรงอานุภาพเลิศล้ำเป็นที่ยำเกรงแก่นานาประเทศใกล้เคียง และคงเลื่องลือระบือพระเกียรติแต่ยังทรงพระนามว่าพระร่วง ไม่เปลี่ยนไปเรียกตามพระนามใหม่ที่ถวายเมื่อราชาภิเษก ตัวอย่างเช่น พระเจ้าอู่ทองเมื่อตั้งกรุงศรีอยุธยาเป็นอิสระทรงพระนามเมื่อราชาภิเษกว่า สมเด็จพระรามาธิบดี แต่ไพร่บ้านพลเมืองก็ยังเรียกว่า พระเจ้าอู่ทอง อยู่นั่นเอง การที่จะวินิจฉัยเอาเรื่องพระร่วงเข้าในพงศาวดาร จึงอยู่ที่ต้องพิจารณาหาหลักฐานว่าพระองค์ใดในพระเจ้าแผ่นดินกรุงสุโขทัย 5 พระองค์นั้นเป็นพระร่วง แล้วพิจารณาต่อไปว่า เหตุใดจึงเรียกว่า "พระร่วง" เขียนโดย พระฉัพพรรณรังสี ที่ <a class="timestamp-link" href="http://buddhacosmic-metta.blogspot.com/2010/06/blog-post_400.html" rel="bookmark" title="permanent link"><abbr class="published" title="2010-06-19T07:48:00-07:00">7:48</abbr>
     
  2. เพพัง

    เพพัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,756
    ค่าพลัง:
    +8,250
    วันนี้ในอดีด

    21 กันยายน: วันสันติภาพสากล, วันประกาศเอกราชใน มอลตา (พ.ศ. 2507), เบลีซ (พ.ศ. 2524) และ อาร์เมเนีย (พ.ศ. 2534)
    [​IMG]


     
  3. Maestro

    Maestro เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    676
    ค่าพลัง:
    +2,411
    คนเช็คพระ พระเช็คคน
    ในสมัยที่หลวงปู่ยังมีชีวิต มีลูกศิษย์นักเช็คพระ (นักสัมผัสพลังในวัตถุมงคล) คนหนึ่ง นำวัตถุมงคลส่วนตัวมาเพื่อขอให้หลวงปู่อธิษฐานจิตให้ ซึ่งหลวงปู่ก็ได้เมตตาอธิษฐานให้ตามประสงค์
    ผ่านไปไม่กี่วัน ภายหลังกลับจากงานเลี้ยง เขาก็นำวัตถุมงคลดังกล่าวมาพิจารณา (พูดตรงไปตรงมาก็คือนำมาจับพลัง) ปรากฏว่าปีติเกิดน้อยมาก จนเขาต้องเช็คซ้ำ ๆ หลายครั้ง ซึ่งได้ผลอย่างเดิม จนทำให้เขาประหลาดใจ เพราะจากประสบการณ์ส่วนตัว วัตถุมงคลของหลวงปู่เมื่อนำมากำแล้วจะต้องเกิดปีติถึงศีรษะทุกครั้งไป แต่ทำไมกับวัตถุมงคลชิ้นนี้จึงไม่แรงอย่างเคย
    ต่อมาเขาจึงได้มากราบเรียนถามข้อข้องใจกับหลวงปู่ หลวงปู่จึงได้เตือนเขาว่า “วัตถุมงคลอันนี้ ข้าทำไว้เช็คจิตของแกเอง” เขา ต้องอึ้งไป เพราะไม่เคยเจอแบบนี้ พอกลับไปบ้าน เขาก็พยายามภาวนารักษาใจให้ดีต่อเนื่องกันหลายวัน จากนั้นจึงไปหยิบวัตถุมงคลชิ้นเดิมขึ้นมาเช็คอีก ทีนี้ปีติท่วมท้น จนทำให้เขาต้องกราบขอขมาเพราะความไม่รู้จึงได้นึกปรามาสบารมีพระ ซึ่งเหตุการณ์ครั้งนั้นถือว่าหลวงปู่ได้เมตตาให้บทเรียนที่มีค่ายิ่งแก่เขา ที่ทำให้เขามิอาจลำพองใจที่จะเที่ยวด่วนสรุปพุทธคุณที่มีอยู่ในองค์พระอีก ต่อไป เพราะผลการเช็คนั้นขึ้นอยู่กับสภาพจิตของผู้เช็คเป็นสำคัญ จิตหยาบก็สัมผัสได้เพียงผิวเผิน จิตละเอียดก็สัมผัสได้ลึกซึ้งไปตามลำดับ จึงว่าบางครั้ง “พระท่านเช็คเรา มิใช่เราเช็คท่าน”

    เครดิต คุณสิทธิ์ Luangpudu.com / Luangpordu.com
     
  4. chainerror

    chainerror เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    2,783
    ค่าพลัง:
    +7,901
    ว่าด้วยเรื่องพระสวลี
    ในหมวดหมู่หัวใจของคาถาต่างๆ คาถาหัวใจพระสีวลีนับว่าเป็นที่นิยมกล่าวถึง และนำไปใช้ท่องจำ ตลอดจนมีการนำไปลงในวัตถุมงคลที่เด่นด้านโชคลาภ ความร่ำรวย เมตตามหานิยมต่างๆ แต่ในตำราโบราณส่วนใหญ่จะเรียกคาถานี้ว่า “หัวใจพระฉิมพลี” ทางเหนือเรียกว่า “หัวใจพระสิมป๊ะลี” และในตำราพรหมชาติ เรียกคาถานี้ว่า “คาถามหาลาภ (พระสีวลี)” โดยคาถาทั้งหมดจะมีหัวใจสี่คำคือ “นะ ชา ลิ ติ” เหมือนกัน บางแห่งก็เขียนเป็นคำไทยว่า นะ ชา ลี ติ แต่ดูตามอักขระขอมแล้วเหมือนกัน

    คาถา หัวใจพระฉิมพลี
    นะชาลีติ ชาลีตินะ ลีตินะชา ตินะชาลี
    คาถาหัวใจพระฉิมพลี นี้ วิธีใช้ ให้เสกแป้งหรือน้ำมันลูบไล้ตามร่างกาย หรือใบหน้าทำให้คนเห็นคนรัก ใครเห็นใครชม มีเสน่ห์ มหานิยมวิเศษนักแล...

    การนำคาถาหัวใจพระสีวลี สี่คำ คือ “นะ ชา ลิ ติ”มาถอดเป็นสิบหกคำนั้น โบราณจารย์ท่านว่า เพื่อจะได้นำมาเขียนเป็นยันต์ เป็นตาราง ในทางวิชาอาคมต่อไป ซึ่งจะสังเกตได้ว่า หัวใจของคาถาต่างๆ ก็จะถอดออกมาในลักษณะเดียวกัน คือใช้คำซ้ำไปมา เหมือนเป็นการย้ำให้จดจำได้ง่ายขึ้น และทำให้มีสติ มีสมาธิดีอีกด้วย นี่คือสิ่งที่ละเอียดลึกซึ้งซึ่งแฝงอยู่ในคาถา หรือบทสวดมนต์ต่างๆ
    หัวใจพระสีวลี “นะชาลีติ” มีความหมายในแต่ละอักขระดังนี้
    นะ หมายถึง นอบน้อม มีสัมมาคาราวะ
    ชา หมายถึง ขวนขวายเรื่องการงาน
    ลี หมายถึง ไม่นอนมาก ไม่นอนดึก ไม่ตื่นสาย
    ติ หมายถึง ว่าโดยทั้งหมด
    มีพระเกจิอาจารย์ผู้ทรงพุทธาคมได้นำคาถา นะชาลิติ ไปใช้จารลงในวัตถุมงคลต่างๆ มากมายหลายสำนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวัตถุมงคลที่จะให้นำไปใช้ด้านเมตตามหานิยม โภคทรัพย์ การทำมาค้าขาย ยกตัวอย่างวัตถุมงคล ของหลวงพ่อตัด วัดชายนา จ.เพชรบุรี ซึ่งผู้เขียนเคารพนับถือเป็นพิเศษ ท่านได้ลงคาถา นะชาลิติ ในวัตถุมงคล อาทิ ปลัดขิก ผ้ายันต์ พระเครื่อง และรูปเหมือนของพระสีวลีด้วย
     
  5. sakuda

    sakuda เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +2,214
    หลังจากได้รับวิชาจากคุณอา เรื่องการแขวนพระ ชีวิตผมก็รู้สึกว่าดีขึ้นเรื่อยๆเลยครับ
    ตอนนี้ได้ข่าวปรับฐานเงินเดือน และบริษัทก็เตรียมโบนัสพิเศษให้ผมอีก
    ขอบคุณมากครับคุณอา
     
  6. FLUKE-NICE

    FLUKE-NICE เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กันยายน 2008
    โพสต์:
    968
    ค่าพลัง:
    +1,397
    ธรรมะกับวิถีชีวิตประจำวัน โดยพระอาจารย์ดำรงธรรม อตตทีโป

    <hr style="color: rgb(255, 255, 255); background-color: rgb(255, 255, 255);" size="1"> <ins style="display: inline-table; border: medium none; height: 250px; margin: 0pt; padding: 0pt; position: relative; visibility: visible; width: 300px;"><ins id="google_ads_frame1_anchor" style="display: block; border: medium none; height: 250px; margin: 0pt; padding: 0pt; position: relative; visibility: visible; width: 300px;"></ins></ins>
    คัดตัดตอนจากเทปธรรมะ และซีดีธรรมะ ที่ท่านพระอาจารย์ได้แสดงไว้ ณ โอกาสต่าง ๆ
    (๐๑) ถ้ามีสติ กิเลสตัณหาราคะเกิดขึ้น รู้เท่าทัน ละได้เร็ว โกรธวิ่งมา โลภวิ่งมา หลงวิ่งมาก็รู้เท่าทัน และละได้เร็ว แต่ถ้าไม่มีสติก็จะไม่รู้ หลงมัวเมา นึกคิดปรุงแต่งไป ๕ ชั่วโมง ๑๐ ชั่วโมง ก็ยังไม่รู้สึกตัว มันหลอกให้ทุกข์ ให้คิด ให้ปรุงแต่ง อยากได้อันนั้น อยากได้อันนี้ อยากเป็นอย่างนั้น อยากเป็นอย่างนี้ อยากร่ำอยากรวย อยากพิเศษจากโลก อยากเหนือคนอื่น คิดไปลม ๆแล้ง ๆ นี่มันใจกิเลส ใจสัตว์โลก เป็นสิ่งที่ไม่จริงไม่แท้ มันทรมานสัตว์มาไม่รู้ภพกี่ชาติ มันทรมานมามากพอแล้ว เพราะฉะนั้นให้เรามาปลดปล่อยสัตว์ ละภพละชาติด้วยสติสัมปชัญญะ...ffice:eek:ffice" />:p>:p>
     
  7. ebee

    ebee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กันยายน 2010
    โพสต์:
    294
    ค่าพลัง:
    +763
    ก่อน ที่โครงสร้างร่างกายจะเสียสมดุล เราควรต้องเปลี่ยนวีถีชีวิตตัวเองใหม่ใส่ใจกับตัวเองให้มากขึ้น เพื่อให้ร่างกายอยู่ได้อย่างเต็มศักยภาพตลอดอายุขัย ซึ่ง"เพ็ญพิชชากร แสนคำ"นักกายภาพบำบัดจากสถาบันปรับโครงสร้างร่างกาย ซีเคร็ท เชพ เวลเนส เซ็นเตอร์ ได้สรุปพฤติกรรมที่ทำให้โครงสร้างร่างกายเสีย สมดุล เอาไว้ 10 ข้อดังนี้

    1. การนั่งไขว่ห้าง

    จะทำให้น้ำหนักตัวลงที่ก้นข้างใดข้างหนึ่ง เป็นผลให้กระดูกคดอย่างแน่นอนหรืออาจจะคดแล้วก็ได้โดย ที่ไม่รู้ตัว

    2. การนั่งกอดอก

    ทำให้ หลังช่วงบนสะบัก และหัวไหล่ ถูกยืดยาวออก หลังช่วงบนค่อมและงุ้มไปด้านหน้า ทำให้กระดูก คอยื่นไปด้านหน้า มีผลต่อเส้นประสาทที่ไปเลี้ยงแขน อาจทำให้มืออ่อนแรงหรือชาได้ นอกจากนี้ยังมีผลต่อหลอดเลือด ที่ไปเลี้ยงสมอง เพราะถ้ากระดูกคอผิดรูป จะทำให้กล้ามเนื้อคอเกร็ง และจำกัดการไหลเวียนเลือดที่ไปเลี้ยงสมอง เป็นสาเหตุของการอาการปวดศีรษะหรืออาจทำให้เป็นไมเกรนเรื้อรังได้

    3. การนั่งหลังงอ/นั่งหลังค่อม

    เช่น การอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ติดต่อกันนานๆ เป็นชั่วโมง จะทำให้กล้ามเนื้อเกร็งค้าง เกิดการ คั่งของกรดแลกติค ทำให้มีอาการเมื่อยล้า ปวด และมีปัญหาเรื่องกระดูกผิดรูปตามมา

    4. การนั่งเบาะเก้าอี้ไม่เต็มก้น

    การ นั่งเก้าอี้ส่วนใหญ่จะชอบนั่งแบบครึ่งๆก้น ซึ่งส่งผลทำให้กล้ามเนื้อหลังต้องทำงานหนัก เพราะฐานในการรับน้ำหนักตัวแคบ แต่ในทางตรงข้าม ถ้านั่งให้เต็มก้นเต็มเบาะ คือเลื่อนก้นให้เข้าในสุดจนติดพนักพิง จะทำให้กล้ามเนื้อหลังทำงานน้อยและเกิดการรองรับน้ำหนักตัวได้เต็มที่

    5. การยืนพักขาลงน้ำหนักด้วยขาข้างเดียว

    การยืนที่ถูกต้องควรลงน้ำหนักที่ขาทั้ง 2 ข้างเท่าๆกัน โดยยืนให้ขากว้างเท่า สะโพกจะทำให้เกิดความสมดุลของโครงสร้างร่างกายไม่ทำให้กล้?ามเนื้อข้างใด ข้างหนึ่งต้องทำงานหนักมากเกินไป ในทางตรงข้าม หากยืนพักขาหรือลงน้ำหนักขาไม่เท่ากัน จะทำให้กระดูกเชิงกรานบิดเบี้ยวส่งผลให้กระดูกสันหลังคด

    6. การยืนแอ่นพุง/หลังค่อม

    ควรยืนหลังตรงแขม่วท้องเล็กน้อย ขณะยืน เดิน หรือนั่ง ให้พยายามแขม่วท้องเล็กน้อยโดย ให้มีสติรู้สึกตัวอยู่ตลอด หากเป็นไปได้ควรทำตลอดเวลาเพื่อเป็นการรักษาแนวกระดูกช่วงล่างไม่ให้แอ่นและทำให้ไม่ ปวดหลัง

    7. การใส่ส้นสูงเกิน 1 นิ้วครึ่ง

    จะทำให้แนวกระดูกสันหลังช่วงล่างแอ่นมากกว่าปกติ ซึ่งจะนำมาสู่อาการปวดหลังและการมี โครงสร้างร่างกายที่ผิด

    8. การสะพายกระเป๋าหนักข้างเดียว

    ไม่ควรสะพายกระเป๋าข้างใดข้างหนึ่งต่อเนื่องกันเป็นเวลานาน ควรเปลี่ยนเป็นการถือ กระเป๋า โดยใช้ร่างกายทั้ง 2 ข้างให้เท่าๆกัน อย่าใช้แค่ข้างใดข้างหนึ่งตลอด เพราะจะทำให้ตัวคุณต้องทำงานหนักอยู่ เพียงซีกเดียว ส่งผลให้กระดูกสันหลังคดได้

    9. การหิ้วของด้วยนิ้ว

    การ ใช้นิ้วหิ้วของหนักบ่อยๆ จะมีผลทำให้มีพังผืดยึดตามข้อนิ้วมือ เพราะจริงๆแล้วกล้ามเนื้อในมือ เป็นกล้ามเนื้อมัดเล็ก หน้าที่หลักคือการใช้หยิบ,จับโดยไม่หนัก แต่หากต้องใช้จับหรือหิ้วหนักๆ จะทำให้เส้นเอ็นมีการ เสียดสีและเกิดพังผืดในที่สุด ยิ่งหากหิ้วหนักมากๆ จะทำให้รั้งกล้ามเนื้อมัดอื่นๆ และเกี่ยวโยงไปถึงกระดูกคอ ทำให้กล้ามเนื้อเกร็งมากกว่าปกติ มีผลต่อการทรุดของกระดูกและกดทับเส้นประสาทได้

    10. การนอนขดตัว/นอนตัวเอียง

    ท่า นอนหงายเป็นท่านอนที่ถูกต้องที่สุด ควรนอนให้ศีรษะอยู่ในแนวระนาบขนานกับ เพดานไม่แหงนหน้าหรือก้มคอมากเกินไป หมอนหนุนศีรษะต้องไม่แข็งหรือนิ่มเกินไป ควรมีหมอนรองใต้เข่าเพื่อลดความแอ่นของกระดูกสันหลังช่วงล่าง หากจำเป็นต้องนอนตะแคง ให้หาหมอนข้างก่ายโดยก่ายให้ขาทั้งหมดอยู่บนหมอนข้าง เพื่อรักษาแนวกระดูกให้อยู่ในแนวตรง...
     
  8. 9046

    9046 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    487
    ค่าพลัง:
    +2,503
    [FONT=&quot]คัดลอกมาครับ
    [/FONT]

    [FONT=&quot]แนะนำวิธีการักษาศีลแบบง่ายๆ[/FONT]
    [FONT=&quot]วิธีนี้เป็นวิธีที่ทุกๆคนทำได้[/FONT] [FONT=&quot]และสามารถทำได้ทุกวันด้วย โดยทำได้ดังนี้ค่ะ[/FONT]
    [FONT=&quot]ทุกคืนหลังจากสวดมนต์ไหว้พระ[/FONT] [FONT=&quot]นั่งสมาธิแล้ว ให้เราตั้งจิตอธิฐานว่า เราจะรักษาศีล ๕ หรือศีล ๘[/FONT] [FONT=&quot]เท่าชีวิตของเรา โดยเริ่มตั้งแต่ล้มตัวลงนอน จนกระทั่งตื่นนอนตอนเช้า[/FONT] [FONT=&quot]การทำเช่นนี้โอกาสที่เราจะผิดศีลนั้นแทบจะไม่มี เพราะเราหลับตลอดเวลา[/FONT] [FONT=&quot]ในขณะที่เราหลับนั้นศีลเราได้เต็มบริบูรณ์อย่างแน่นอน[/FONT] [FONT=&quot]แม้ว่าเราจะไม่ได้ทำเต็มวันเป็นเพียงช่วงระยะเวลาหนึ่ง[/FONT] [FONT=&quot]แต่ในชีวิตประจำวันท่านแน่ใจได้อย่างไรว่าท่านไม่ผิดศีลข้อใดข้อหนึ่ง[/FONT] [FONT=&quot]ถ้าหากเราทำวิธีนี้ทุกๆวัน คืนหนึ่งๆเราหลับกันประมาณ ๘ ชั่วโมง ปีหนึ่งมี[/FONT] [FONT=&quot]๓๖๕ เราก็ได้รักษาศีล ได้ทั้งหมด ๒.๙๒๐ ชั่วโมง ถ้าเราทำต่อเนื่องไปเรื่อยๆ[/FONT] [FONT=&quot]ก็เท่ากับเราเป็นผู้ไม่ประมาท หากเมื่อเราต้องเสียชีวิตในขณะนั้น[/FONT] [FONT=&quot]เราย่อมพบสุขคติเป็นเบื้องหน้าอย่างแน่นอน(มีคนเคยถามว่าทำแบบนี้[/FONT] [FONT=&quot]เด็กทารกก็รักษาศีลเช่นกันซิ เพราะนอนตลอด แต่ในความเป็นจริงแล้ว[/FONT] [FONT=&quot]การทำวิธีนี้จะต้องมีการอธิฐานก่อนและจะต้องทำด้วยแรงศรัทธาอันบริสุทธิ์และ[/FONT] [FONT=&quot]แน่วแน่ จึงจะทำให้ศีลเหล่านั้นครบบริบูรณ์[/FONT] [FONT=&quot]แต่เด็กทารกไม่ได้รู้จักสิ่งเหล่านี้[/FONT] [FONT=&quot]จึงทำให้การนอนของเด็กทารกไม่ได้เกิดศีลอย่างที่เราทำค่ะ)[/FONT] [FONT=&quot]และเราขอเล่าถึงอานิสงค์ของการรักษาศีลในสมัยพุทธกาลเรื่องหนึ่งให้ลองอ่าน[/FONT] [FONT=&quot]ดูนะค่ะ[/FONT]

    [FONT=&quot]สมัยหนึ่งเมื่อพระพุทธเจ้ายัง[/FONT] [FONT=&quot]ทรงมีชีวิตอยู่ มีเศรษฐีท่านหนึ่งชื่อ อนาบิณฑกเศรษฐี[/FONT] [FONT=&quot]เป็นผู้ที่ร่ำรวยมีทรัพย์สินเงินทองเป็นอันมาก[/FONT] [FONT=&quot]ทั้งยังเป็นมหาอุบาสกซึ่งมีความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา[/FONT] [FONT=&quot]เขามีบริวารเป็นอันมาก ทุกๆวันที่เป็นวันพระ[/FONT] [FONT=&quot]ท่านอนาบิณฑกเศรษฐีและบริวารจะต้องรักษาศีล ๘ อยู่เป็นเนือง[/FONT] [FONT=&quot]แล้ววันหนึ่งมีคนงานใหม่เข้ามาขอทำงานที่บ้านของอนาบิณฑกเศรษฐี[/FONT] [FONT=&quot]เขาทำงานอย่างขยันขันแข็ง จนกระทั่งถึงเวลาอาหารค่ำ[/FONT] [FONT=&quot]เขาจึงได้เข้าไปในโรงครัวเพื่อหาอาหารรับประทาน[/FONT] [FONT=&quot]แต่ก็เกิดความประหลาดใจว่ามิมีผู้ใดอยู่ในโรงครัวเลย[/FONT] [FONT=&quot]ทั้งไม่มีผู้ใดจะมีแววเสาะหาอาหารรับประทานเช่นเดียวกับกับเขา[/FONT] [FONT=&quot]เขาก็ได้แต่เฝ้ารอจนเวลาผ่านไปหลายชั่วโมง[/FONT] [FONT=&quot]จนกระทั่งความหิวเข้ามาเบียดเบียนเป็นอันมาก[/FONT] [FONT=&quot]เมื่อพบเพื่อนคนงานด้วยกันที่เคยอยู่กับท่านอนาบิณฑกเศรษฐีมาก่อน[/FONT][FONT=&quot]จึงได้ถามว่า เหตุใดวันนี้จึงไม่มีการหุงหาอาหารตอนเย็น[/FONT][FONT=&quot]เพื่อนจึงบอกว่า[/FONT][FONT=&quot]ท่านผู้มาใหม่ท่านคงยังไม่ทราบว่าวันนี้เป็นวันพระ[/FONT] [FONT=&quot]ทุกคนที่มาอยู่ในบ้านท่านอนาบิณฑกเศรษฐีจะต้องรักษาศีล ๘ ทุกคน[/FONT] [FONT=&quot]เขาจึงไม่มีการรับประทานอาหารเย็นกัน[/FONT][FONT=&quot]ชายผู้นั้นหลังจากฟังคำตอบแล้วก็เกิดความสงสัย อันคำว่า [/FONT][FONT=&quot]ศีลแปด[/FONT][FONT=&quot]นั้น[/FONT] [FONT=&quot]เป็นคำที่เขาได้ยินเป็นครั้งแรก จึงสอบถามเพื่อนว่าศีลแปดคืออะไร[/FONT] [FONT=&quot]เพื่อนจึงได้บอกให้ชายผู้นั้นไปถามท่านอนาบิณฑกเศรษฐีเองดีกว่า[/FONT] [FONT=&quot]เพราะสามารถอธิบายความหมายได้กระจ่างชัดเจนกว่า เขาจึงรีบรุดไปหาท่านเศรษฐี[/FONT] [FONT=&quot]หลังจากนั้นที่ท่านอนาบิณฑกเศรษฐีได้อธิบายความหมายและอานิสงค์ของการรักษา[/FONT] [FONT=&quot]ศีลแปดให้เขาฟัง[/FONT] [FONT=&quot]ชายผู้นั้นเกิดความศรัทธาเป็นอันมากจึงตั้งใจว่าคืนนี้จะรักษาศีลแปดเท่า[/FONT] [FONT=&quot]ชีวิต แม้เขาจะหิวมากเพียงใดก็ตามก็จะไม่ยอมรับประทานอาหารโดยเด็ดขาด[/FONT] [FONT=&quot]แต่ด้วยความที่เขาไม่เคยอดอาหารมื้อเย็นมาก่อนประกอบกับตนเองได้ทำงานอย่าง[/FONT] [FONT=&quot]หนักตลอดทั้งวัน เมื่อถึงเวลาเช้าเพื่อนคนงานได้ไปปลุกเขาเพื่อให้มาทำงาน[/FONT] [FONT=&quot]ก็ปรากฏว่าเขาได้สิ้นชีวิตแล้ว เมื่อเขาได้สิ้นชีวิตแล้ว[/FONT] [FONT=&quot]ถามว่าเขาได้ไปเกิดในที่ใด[/FONT] [FONT=&quot]ก็ปรากฏว่าเขาได้ไปเกิดเป็นเทพบุตรอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์[/FONT] [FONT=&quot]ก็โดยเหตุแห่งการรักษาศีล ๘ เพียงคืนหนึ่งเท่านั้น[/FONT]
     
  9. หนุ่มเมืองแกลง

    หนุ่มเมืองแกลง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2007
    โพสต์:
    32,522
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +210,857
    เท่าที่ดูแล้ว มีครบทุกด้านแล้วนะครับ ทั้งหนุนและเสริมกันเอง มีทั้งบุญฤทธิ์และอิทธิฤทธิ์ มีครบทั้งหยินและหยาง ทั้งก้าวหน้า การทำกิน เงินทองและหนุนวาสนา ไม่ต้องทำอะไรอีกแล้วครับ ดีมากแล้ว
     
  10. ขุนเทียน

    ขุนเทียน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    17
    ค่าพลัง:
    +125
    สำหรับคนที่ยังไม่พบทางเดินของชีวิตนะครับ ผมได้ดูรายการ SME ตีแตกเมื่อวันศุกร์ที่แล้ว มีอาจารย์ที่ดำเนินรายการคนหนึ่งในนั้นเค้าแนะนำว่า
    ฝรั่งเค้ามี 3 คำถามง่ายๆ ที่คุณต้องค้นให้พบ หาให้เจอ เพื่อจะได้ดำเนินชีวิตได้อย่างถูกทาง:
    1. Who you are?
    2. What do you want?
    3. What do you want to be?
    ขอให้ทุกท่านที่ใฝ่ในธรรม จงพบหนทางชีวิตครับ
     
  11. b_wanlop

    b_wanlop เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +1,888
    ของแต่งบ้าน 9 อย่างนี้ ถ้าคุณมีไว้ในบ้านช่วยให้คุณมีความสุขสบายขึ้น
    ของแบบนี้...ไม่ลองไม่รู้


    ส้ม เป็นรูปภาพก็ได้ หรือ ผลไม้เหมือนจริงวางไว้ที่ห้องรับแขก

    ทับทิม ปลูกไว้หน้าบ้าน จะได้ลูกหลานที่ดี และไม่มีภัย

    โต๊ะต่าง ๆ ภายในบ้านควรเลือกเป็นทรงกลม หรือ แปดเหลี่ยม หรือโต๊ะสี่เหลี่ยมเป็นมนๆ
    จะเสริมมงคลให้แก่บ้าน สามารถดึงดูดความเจริญเข้าสู่บ้าน

    ของแต่งบ้านรูปหมู เป็นสัญลักษณ์ของโชคและความอุดมสมบูรณ์

    ช้าง เป็นสัญลักษณ์ของสติปัญญา และโชค คงรตั้งไว้ในห้องรับแขก ห้ามตั้งช้างหันหน้าออกสู่ประตูเด็ดขาด เพราะจะทำให้ครอบครัวเกิดการขัดแย้ง

    การนำพัดมาตกแต่งบ้าน ช่วยบันดาลให้คุณและคนในครอบครัว ประสบความร่มเย็นเป็นสุข
    และได้รับข่าวดีเสมอ

    เต่า ตุ๊กตา หรือรูปปั้นเต่า ไว้ในห้องนั่งเล่นหรือมุมใดในบ้านก็ได้ จะทำให้คนในบ้านสุขภาพดี
    อายุยืน ยกเว้นห้องทำงานไม่ควรเอาไปตั้ง

    ไก่ ตุ๊กตา หรือ รูปปั้นวัสดุ ล้วนเป็นศิริมงคลต่อบ้าน ในทางเรียกโชคลาภ เงินทอง

    การแต่งบ้านด้วยเครื่องปั้นดินเผา ไม่ว่าจะเป็นรูปใด ทำให้คนในบ้านมีฐานะการเงินมั่นคง
     
  12. preechaniy

    preechaniy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    345
    ค่าพลัง:
    +2,356
    จากหนังสือ พรหมปัญโญบูชา<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ<o:p></o:p>

    ทรรศนะต่างกัน

    การมาอยู่ด้วยกัน ปฏิบัติด้วยกันมากเข้าย่อมมีเรื่องกระทบกระทั่งกันเป็นธรรมดา ตราบใดที่ยังเป็นปุถุชนคนธรรมดาอยู่ ทิฐิความเห็นย่อมต่างกัน ขอให้เอาแต่ส่วนดีมาสนับสนุนกัน อย่าเอาเลวมาอวดกัน การปรามาสพระก็ดี การพูดจาจ้วงจาบในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์หรือท่านที่มีศีลมีธรรมก็ดี จะเป็นกรรมติดตัวเราและขัดขวางการปฏิบัติธรรมในภายหน้า ดังนั้น หากใครทำความดี ก็ควรอนุโมทนายินดีด้วย แม้ต่างวัดต่างสำนักหรือแบบปฏิบัติต่างกันก็ตาม ไม่มีใครผิดหรอก เพราะจุดมุ่งหมายต่างก็เป็นไปเพื่อความพ้นทุกข์เช่นกัน เพียงแต่เราจะทำให้ดี ดียิ่ง ดีที่สุด เท่านั้น ขอให้ถามตัวเราเองเสียก่อนว่า แล้วเราล่ะถึงที่สุดแล้วหรือยัง

    อุเบกขาธรรม

    การอยากชวนคนมาวัด มาปฏิบัติให้มาก ๆโดยลืมดูพื้นฐานจิตใจของบุคคลที่กำลังจะชวนว่า เขามีความสนใจมากน้อยเพียงใด หลวงปู่ท่านบอกว่า ให้ระวังให้ดีจะเป็นบาป เปรียบเสมือนกับการจุดไฟไว้ตรงกลางระหว่างคน 2 คน ถ้าเราเอาธรรมะไปชวนเขา เขาไม่เห็นด้วย ปรามาสธรรมนี้ซึ่งเป็นธรรมของพระพุทธเจ้า ก็เท่ากับเราเป็นคนก่อแล้วเขาเป็นคนจุดไฟ บาปทั้งคู่ เรียกว่า เมตตาพาตกเหว

    หลวงปู่ดู่ ได้ยกอุธาหรณ์ สอนต่อว่า

    เหมือนกับมีชายคนหนึ่งตกอยู่ในเหวลึก มีผู้จะมาช่วย คนที่หนึ่งมีเมตตาจะมาช่วย เอาเชือกดึงขึ้นจากเหว ดึงไม่ไหวจึงตกลงไปในเหวเหมือนกัน คนที่สองมีกรุณามาช่วยดึงอีก ก็ตกลงเหวอีก คนที่สามมีมุทิตามาช่วยดึงอีกก็พลาดตกเหวอีกเช่นกัน คนที่สี่สุดท้ายเป็นผู้มีอุเบกขาธรรมเห็นว่าเหวนี้ลึกเกินกว่ากำลังของตนที่ จะช่วย ก็มิได้ทำประการใดทั้ง ๆ ที่จิตใจก็มีเมตตาธรรมที่จะช่วยเหลืออยู่ คนสุดท้ายนี้จึงรอดชีวิตจากการตกเหวตามเพราะ อุเบกขาธรรมนี้แล
     
  13. Na_mo_

    Na_mo_ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2007
    โพสต์:
    2,025
    ค่าพลัง:
    +4,750
    ขอขอบคุณเจ้าของบทความด้วยครับ

    เกร็ดความรู้เรื่องแก้วโป่งข่าม

    [​IMG]
    ลักษณะความเชื่อ เกี่ยวกับอย่างไหนใช้ทางใด
    ความเชื่อถือและนิยมเกี่ยวกับแก้วโป่งข่ามนั้นมีผุ้นิยมเชื่อถือตาม ประสบการณ์และความเชื่อดั้งเดิมดังนี้
    1.การอยู่ยงคงกระพัน
    - แก้วสีฟ้า หรือฟ้าหมอก
    - แก้วปวกเขียวและปวกสีต่างๆ
    - แก้วขนเหล็ก แก้วไหมทอง ไหมเงิน ไหมนาก
    - แก้วขาว
    - แก้วเข้าเป๊ก หรือแก้วพวกที่สหชาติกับแร่ธาตุอื่นๆเช่น เป๊กหน้าทั่ง
    - แก้วขนเหล็กน้ำตัน
    2.การมีอำนาจชนะฝ่ายตรงข้าม
    - แก้วเส้นต่างๆ
    - แก้วฝนแสนห่า
    3.การมีเมตตามหานิยม
    - แก้วสีฟ้าแร
    - แก้วเนื้อลำใย
    - แก้วปวกเขียว ปวกสีต่างๆ
    - แก้วกาบ
    - แก้วตูลต่างๆ หรือแก้ววิทูรย์
    - รวมทั้งแก้วหินทรายและแก้วหินสีต่างๆ
    4.การมีฤทธิ์ คลาดแคล้ว และความสำเร็จ
    - แก้วปวกเขียว ซึ่งมีเรื่องราวและประวัติมากที่สุด
    5.การมีโชคและเป็นแม่แก้วต่างๆ
    - แก้วเข้าแก้วจากหน่อแม่และหน่อโตน โตน คือ โทน
    - แก้วเข้าเป๊ก
    *** แม่แก้ว หมายถึง แก้วที่ชอบมีบริวารพ่วงตามมา เช่น เมื่อมีแก้ว 1 แล้ว มักจะได้ของดีตามติดกันมาอีก ผู้มีคาถาอาคมปลุกเสก ทดลองโดยเอาแก้ว 1 อธิษฐาน แก้วที่มีลักษณะเป็นแม่เหนือกว่า จะหันหัวเข้าไปหาแก้ว 2 ที่เป็นลูก
    6.การมีโชคและลาภลอย
    - แก้วแร
    - แก้วเนื้อลำใย
    7.การมียศ
    - แก้วกาบ
    - แก้วสุริยประภา หรือ แก้ววิตูลหนามเ^_^้ยง สีแดงเพลิง
    8.ความชุ่มเย็นกันไฟ
    - แก้วน้ำหาย
    - แก้วเข้าแก้ว
    - แก้วใสขาวต่างๆ
    - แก้วเข้าหลักรูปต่างๆ
    9.ความอยุ่เย็นเป็นสุข
    - แก้วปวกต่างๆ
    - แก้วกาบต่างๆ
    - แก้ววิตูลสีน้ำตันต่างๆ
    10.ความผจญภัย
    - แก้วขนเหล็กน้ำใสและน้ำตันต่างๆ
    - แก้วเข้าเป๊ก
    11.ความมีชื่อเสียง อำนาจวาสนา ดีในการเดินทางและแสดงโชคลาง
    - แก้วสีฟ้า
    - แก้วหมอกมุงมอง
    - แก้วปวก 3 สี
    *** แก้วสีฟ้าและปวกสี เมื่อจะมีเหตุการณ์เปลี่ยนแปลง สีซีดลงมักมีข่าวหรืออยู่ในระยะกังวล แก้วหมอกมุงเมือง เวลามีวาวมักโชคดีในการเดินทาง
    12.ร่ำรวยมั่นคง
    - แก้วสามกษัตริย์
    - แก้วเข้าแก้ว
    - แก้วประภาชื่นชม
    - แก้วเข้าหลักเงิน หลักคำ
    - แก้วกินบ่อเสี้ยง
    - แก้วทรายคำ – หมัดคำ
    13.ยศตำแหน่ง
    - แก้วพรหมสามหน้า
    - แก้วกาบ
    - แก้วสุริยประภา
    - แก้วสลัก
    - แก้วปวกต่างๆที่มีปรากฏการณ์เติบโตได้
    ———————————-
    อาจจะมีแก้วชนิดอื่นๆที่มีคุณต่างออกไป โดยผู้ใช้ต้องอาศัยประสพการณ์และการสังเกตดูการต้องโฉลกในการใช้ เพราะการใช้แก้วนั้น เราจะทราบทันทีกับเหตุการณ์ที่ได้แก้วนั้นมาในระยะที่เริ่มใช้ ตำรวจชอบแก้วปวกเขียว พ่อค้าชอบปวกเขียว ข้าราชการชอบปวกสีและสีฟ้า ทหารชอบขนเหล็กน้ำตันและขนเหล็กน้ำใส หนุ่มสาวชอบวิตูลสีต่างๆ พ่อค้าอาจไม่ชอบแก้วขนเหล็กเท่าตำรวจทหารที่เคยมีประสบการณ์เกี่ยวกับโชคชัย ในการต่อสู้ แต่มิใช่โชคชัยในการค้าขาย
    ———————————-
    มนุษย์เรามีความเชื่อถือในเรื่องพลังของแก้ว แต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ แก้วนิลสีน้ำตาลในพิพิธภัณฑ์ปารีส เคยถือว่าเป็นแก้วอัญมณี เครื่องโชคลางแห่งสก๊อตแลนด์ มีการสืบทอดแก้วที่ถือเป็นโชคลาง ระหว่างพระเจ้าชาร์ล เลอมัง จนถึงพระเจ้านโผเลียน จนถึงพระเจ้าหลุยส์นโปเลียนที่ 3
    ———————————-
    แก้วโป่งข่ามยังมีคุณในแก้วต่างชนิด จากประสบการณ์ต่างๆตามลักษณะความเชื่อถือที่ ต่างออกไป
    แก้วมังคละจุฬามณี
    ลักษณะแก้วมังคละจุฬามณีในตำนาน อันจัดเป็นแก้วมีค่าคณานับในหมวดแก้วมรกต คือแก้วที่เข้าวรรณะเขียว มีลักษณะพิจารราได้ดังนี้
    - แก้ววรรณะดั่งน้ำผึ้งในแก้วนั้นมีรูปสี่เหลี่ยม หมายถึงแก้วนั้นมีสีมรกต แต่เป็นแก้วที่ใสเหลือง โดยมองเห็นรูปสี่เหลี่ยม-ในแก้ว รูปสี่เหลี่ยมในที่นี้ ปรากฏอยุ่ในแก้วโป่งข่ามชนิดแก้วเข้าแร่เป๊ก ( เป๊กคือ แร่ตระ^_^ล ไพไรท์ หรือ เพชรหน้าทั่ง )
    - มีรูปพระเจ้า รูปเจดีย์ ลักษณะของสลักลายหิน และแก้วเข้าแก้วทรงเจดีย์ และทรงพระพุทธรูป อาจเป็นแก้วเข้าแก้วผลึก และแก้วเข้าแก้วสีวาวทอง
    - มีรูปไม้ศรีมหาโพธิ์ คือแก้วปวกเขียว ชนิดปวกปุยทรงต้นไม้
    - มีรูปนกยุง นกเขียน หงส์ ช้าง ราชสีห์ เกวียน อยู่ข้างใน รูปดั่งสัตว์ต่างๆมีได้ในสลักลายหินและก้อนแร่ลักษณะต่างๆสิ่งที่อยุ่ข้างใน แก้ว ย่อมมีอยุ่ในแก้วโป่งข่ามได้ คำว่าวรรณะเหลืองในที่นี้ หากแก้วนั้นบริบูรณ์ด้วยลักษณะในดังกล่าว สีทองสุกปลั่งและสีเหลือง บุษรา ปวกไรเหลือง ไรแก้ว ย่อมให้วาวสีเหลืองแก่แก้วได้
    ——————————————————————-
    หมวดแก้วมรกต
    1.มังคละจุฬามณี วรรณะดั่งน้ำผึ้ง ในแก้วมีรูปสี่เหลี่ยม รูปพระพุทธเจ้า รูปเจดีย์ รูปต้นโพธิ์ รูปนกยูง รูปนกเขียน รูปหงส์ รูปช้าง รูปราชสีห์ รูปรถ รูปเกวียน อยู่ข้างใน / มีค่าเหลือคณา
    2.มหาธุรกัณฐี วรรณะดั่งดอกหวายแห้ง แก้วน้ำผึ้งมีธนู คือ กำปุ้ง 6 ขา / ค่าแสนคำ
    3.มรกตยอดเต้า วรรณะดั่งยอเต้า / ค่าแสนคำ
    4.มรกตผิวไผ่ วรรณะดั่งผิวไผ่ / ค่าแสนคำ
    5.มรกตบ่อน้ำตาล วรรณะเขียวดั่งใบหอม มีกำปุ้งงำกลางไหลไปมา / ค่าแสนคำ
    6.เขียนยังไม่เสร็จ
    ———————
    แสดงค่าสูงสุดของแก้วแต่ละหมวด แต่โบราณเทียบได้ดังนี้
    1.มหาสักรชาติรัศมีใน ค่าเหลือคณา ไพร่มิควรทรง
    2.มังคละจุลฬามณี ค่าเหลือคณา
    3.สุวรรณมณีคำ มีองค์ดั่งแมงเหนี่ยงงำรัง
    ( แก้วเข้าแก้วโตน แร่โตน หรือเป๊กโตน ) ค่าเหลือคณา
    4.แก้วก๊อวิเศษ มีสร้อยหรือสังวาลย์ใน ค่าเหลือคณา
    5.มหานิลปทัมราค ค่าเหลือคณา
    6.วิเทรย์เทศไข่ฟ้า ค่าเหลือคณา
    7.แก้วประภา วรรณะดั่งมันสมองจรเข้ ค่าแสนคำ
    8.แก้วเผือกพรหมสามหน้า ค่าห้าพันคำ

    สกุลแก้วโป่งข่าม
    1.แก้วสามกษัตริย์ ( มีเป๊ก 1 สกุล ) รัศมีใน ค่าสูงสุด
    2.แก้วสลักช่อหรือปวกคำเข้าเป๊กแมงเหนี่ยง
    เรียกว่า ก้วสุวรรณมณีคำ ค่าสูงสุด
    3.แก้วเข้าเง่า แก้วเข้าปวก ไรแก้ว ค่ารองลงมา
    4.แก้วสอดสี ( ปวก 3 สี 7 สี 5 สี 9 สี ) ค่ารองลงมา
    5.แก้วสีฟ้าแพรแรใน ค่ารองลงมา
    6.แก้วสีฟ้าควัน หมอกแพร ค่ารองลงมา
    7.แก้วสีฟ้าแพรแรนอก ค่ารองลงมา
    8.แก้วสีฟ้าเส้นลายฝนแสนห่า ค่ารองลงมา
    9.แก้วสีฟ้าเส้นลายเปลวปล่องฟ้า ค่ารองลงมา
    10.แก้วฟ้าหมอกและแก้วเนื้อลำใย ค่ารองลงมา
    11.แก้วขนเหล็กฝนแสนห่า ค่ารองลงมา
    12.แก้วขนเหล็กเส้นพุ่มขนบ้ง ค่ารองลงมา
    13.แก้วขนเหล็กขนทะลาย ค่ารองลงมา
    14.แก้วเหลือบสีประภาพรหมสามหน้า ค่ารองลงมา
    15.แก้วแรมุกดาเหลือบสี ค่ารองลงมา
    16.แก้วประกาย ( แก้วรุ้งเพชร ) ค่ารองลงมา
    17.แก้วน้ำตันพรหมสามหน้า ค่ารองลงมา
    18.แก้วอื่นๆ ค่ารองลงมา
    .
    .
    19.แก้วน้ำหาย ค่ารองลงมา
    20.แก้วน้ำขุ่น น้ำตัน สีเดียวชนิดต่างๆ ราคาถูกสุด
    เทียบราคาแล้ว แก้วสามกษัตริย์ขนาด 10 กะรัดเท่ากับเพชรหรือมรกต แก้วโป่งข่ามอาจแพงกว่าเพราะเพชรและมรกตขนาด 10 กะรัด มีเงินพอหาซื้อได้ /
    —————————————————-
    หมวดแก้ววิตูล
    1.วิตูลเทศไข่ฟ้า วรรณะดั่งประภาชื่นชม มีเงาป้านกลาง ดั่งเมฆขึ้นกลางอากาศ มีลักษณะดั่งไข่นกจันทร์ มีผิวจุ่มไว้ด้วยเหมย ( ชุ่มด้วยน้ำค้าง ) จับอยู่ / ค่าเหลือคณา
    2.วิตูลน้ำผึ้ง วรรณะดั่งน้ำผึ้ง / ค่าแสนคำ
    3.วิตูลประกาย มีแสงดั่งดาวประกาย / ค่าแสนคำ
    4.วิตูลปทัมกาน วรรณะดั่งน้ำผึ้งไหมแสดแดงแสดเหลืองผ่านในดั่งน้ำไหล / ค่าแสนคำ
    5.วิตูลน้ำตาล วรรณะดั่งน้ำตาล / ค่าสี่พันคำ
    6.วิตูลเทศฟองสมุทร มีน้ำไหลในดั่งแมงเหนี่ยงงำรัง / ค่าพันคำ
    7.วิตูลดอกธารบุษ วรรณะดั่งดอกธารบุษ / ค่าพันคำ
    8.วิตูลปุมเป้งปา วรรณะดั่งดอกปุมเป้งปา / ค่าพันคำ
    9.วิตูลดอกพุทธ วรรณะดั่งดอกพุทธรักษา / ค่าห้าพันเงิน
    10.วิตูลขนทะลาย วรรณะขาวเหลือง ขนซอนกันเยื้อไปมา / ค่าห้าพันเงิน
    11.วิตูลฝนแสนห่า วรรณะดั่งดอกคำ มีขนซอนขึ้น / ค่าสี่พันเงิน



    คาถาบูชาแก้วโป่งข่าม
    ข่ามคง, แคล้วคลาด (แก้วทุกชนิด) นะมะพะทะ นิมิพิทิ นุมุพุทุ
    แก้วทุกชนิด นะอุกะอะ นะมะมะอะ มะอุมะนะ อะนะอะมะ อะอุอุมะ อุนะอุอะ
    (เจริญด้วยทรัพย์สมบิติ ปราศจากโรคภัย)
    พิรุณแสนห่า(หรือแก้วชนิดอื่น) พุทโธโมเธยยัง มุตโตโมเจยยัง ติณโณตาเรยยัง ปะสะหังปะตัง
    หมอกมุงเมือง(หรือแก้วชนิดอื่น) เทวะรานะมานะ (ภาวนาให้เกิดความร่มเย็น)
    แก้วทราย(หรือแก้วชนิดอื่น) สะมามิมิทธิมามิ (เจริญด้วยสมบัติ ร่ำรวยเงินทอง)



    แก้วโป่งข่ามกับพิธีกรรม
    การ ล้างแก้ว เชื่อกันว่าการล้างแก้วเป็นการชำระล้างสิ่งไม่ดีที่แก้วได้ซึมซับเอาไปจาก ตัวเรา โดยการนำแก้วไปล้างกับน้ำที่ไหล ซึ่งอาจจะเป็นลำธาร, ก๊อกน้ำ หรือน้ำที่รินออกจากแก้วก็ได้ (ล้างได้บ่อยเท่าที่มีโอกาส)
    การขึ้นพานบูชาแก้ว จะกระทำกันในวันพระ โดยเฉพาะวันพระขึ้น 15 ค่ำ (วันเพ็ญ) โดยการนำเอาน้ำสะอาด 1 แก้ว, ดอกไม้หรือเครื่องหอม (น้ำอบ, แป้งหอม ฯลฯ) ใส่พาน และกำหนดจิตด้วย คาถาบูชาแก้ว (หากเป็น “แก้วเข้าแก้ว” ขอแนะนำให้หาหมากหนึ่งคำใส่พานด้วย)
    แก้วอาบแสงจันทร์ การนำแก้วอาบแสงจันทร์ (วันเพ็ญ) เชื่อกันว่า แก้วจะดูดซับพลังจากแสงจันทร์ ซึ่งจะมีผลทำให้แก้วมีพลังอานุภาพมากยิ่งขึ้น และยังเป็นการทำให้แก้วนั้นบริสุทธิ์อีกด้วย (เป็นที่ทราบกันดีว่า ในทางวิทยาศาสตร์ระบุว่าดวงจันทร์มีพลังที่ส่งผลกระทบถึงโลก อันเป็นสาเหตุของน้ำขึ้น น้ำลง และอื่น ๆ)
    การเข้าร่วมพิธีกรรม การนำแก้วเข้าร่วมพิธีกรรมต่าง ๆ ของพระภิกษุสงฆ์ เนื่องจากแก้วจะได้ซึมซับพลังจากการแผ่เมตตาจิตของพระภิกษุ

    แก้วนางขวัญ (จอมขวัญ)
    แก้วนางขวัญ หรือแก้วจอมขวัญ เป็นแก้วอีกชนิดหนึ่งที่หาได้ยากมาก มีสีพื้นเป็นสีม่วงอ่อน ๆ จนถึงสีม่วงเข้ม (ซึ่งหาได้ยากมาก) สีม่วงนี้จะคล้ายสีม่วงดอกตะแบก หรือม่วงไวโอเล็ต หลายคนเข้าใจว่าจะเหมือนกับอเมทิส (Amethyst) ของประเทศทางตะวันตก แต่แก้วนางขวัญเมื่อทดสอบแล้ว จะมีเนื้อแข็งกว่ามาก
    คุณวิเศษของแก้วนางขวัญนี้ ดีไปในทางด้านจิต และการนั่งสมาธิ อีกทั้งยังทำให้ผู้ที่ครอบครองมีความเจริญรุ่งเรือง มีชื่อเสียง เป็นยอดในด้านเมตตามหานิยม ส่งเสริมความรักและวาสนา
    ในสมัยโบราณ แก้วชนิดนี้ถือได้ว่าสูงค่ามาก ดั่งที่ว่า “มีค่าแสนคำ” เนื่องจากเป็นแก้วที่กษัตริย์โบราณถวายเป็นสักการะแก่พระบรมสารีริกธาตุใน คราวบรรจุพระธาตุเจดีย์ต่าง ๆ
    อานุภาพของแก้วนางขวัญจะทำให้ผู้ที่ครอบครองมีเสน่ห์ต่อคนรอบข้าง และยังเชื่อถือกันว่าจะทำให้แคล้วคลาดจากอาถรรพ์เสน่ห์มายาทั้งปวง เพราะจิต (ขวัญ) ของคนผู้นั้นจะถูกคุ้มครองโดยอานุภาพของแก้ว ไม่ให้โดนอำนาจมนต์มายาใดใดสะกดเอาไว้ได้ เขียนโดย พระฉัพพรรณรังสี ที่ <a class="timestamp-link" href="http://buddhacosmic-metta.blogspot.com/2010/06/blog-post_600.html" rel="bookmark" title="permanent link"><abbr class="published" title="2010-06-19T07:35:00-07:00">7:35</abbr>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 กันยายน 2010
  14. มังกรน้อย101

    มังกรน้อย101 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,376
    ค่าพลัง:
    +4,390
    เป็นพระคุณอย่างยิ่งของเจ้าของเรื่องครับ


    เรื่อง มีอยู่ว่า เมื่อช่วงหน้าร้อนที่แล้วผมได้ซื้อคอมใหม่แล้วต้องเดินสายไฟเสียบคอมใหม่ ปกติจะจ้างช่างมาทำให้แต่ตอนนั้นเป็นเพราะผมงกมั้งเลยเดินสายไฟเองซึ่งต้อง ขึ้นไปเดินสายไฟที่ห้องใต้หลังค่าบ้านเมื่อเตรียมอุปกรณ์เสร็จก็ถอดสร้อยพระ หลวงปู่กวยออกแล้วก็ขออนุญาติหลวงปู่ขึ้นไปเดินสายไฟห้องใต้หลังคาที่อยู่ ข้างบนหิ้งพระแล้วก็สับคัทเอาท์ไฟทั้งบ้านเพื่อที่จะต่อไฟใหม่แล้วก็ขึ้นไป ต่อสายไฟใหม่กะว่าจะต่อสายไฟจากเส้นที่ใช้เดินไฟภายในบ้านแต่ก็หายจุดต่ไม่ ได้เลยไปต่อสายไฟจากมุมห้องซึ่งผมไม่รู้เลยว่าสายไฟเส้นสีดำที่ผมต่อนั้น เป็นสายเมนที่มาจาเสาไฟฟ้าซึ่งมีไฟอยูตลอดเวลาผมก้อเอามือปล่าวๆแกะเทปพัน สายไฟออกทั้งสองขั้วแล้วก้อใช้มือปล่าวพันสายไฟเข้าด้วยกัน(ตอนนั้นอากาศ ร้อนมากเหงื่อแตกเต็มตัวเลย)แล้วใช้คมีหนีบสายไฟให้แน่นแล้วก็พันเทปเป็นอัน เสร็จไปหนึ่งขั้วเหลืออีกหนึ่งขั้วก็ใช้มือปล่าวพันทองแดงแต่ยังไม่ไดพันเทป เลยลองเอาไขควงเช็คไฟจิ้มที่สายไปที่ยังไม่ได้พันปรากฏว่ามีไฟครับตอนนั้น จากอากาศร้อนเหงื่อแตกทั้งตัวกลายเป็นอากาศเย็นเข้าถึงขั้วหัวใจเย็นลงถึง ตาตุ่มเลยครับที่ไฟไม่ดูดผมคือไม่น่าเป็นไปได้เลยพอเช็คดูถึงรู้ว่าผมไปต่อ เข้ากับสายเมนที่มีไฟอยู่ตลอดเวลาทำงัยละทีนี้สายไฟอีกเส้นก็ยังไม่ได้พัน เทปเลยต้องใช้คีมหนีบสายไฟขึ้นมาแล้วใช้คีมหนีบเทปพันสายไฟจนเสร็จโล่งอกเลย ตอนที่ต่อสายไฟนั้นในตัวผมมีแหวนรุ่น2อยู่วงเดียวเลยเสร็จลงมายังมือสั่นใจ สั่นไปหมดเลยแล้วก็จุดธูปไห้วหลวงปู่ขอบพระคุณหลวงปู่ที่คุ้มครองให้ผมไม่ ถูกไฟดูดในครั้งนั้นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับตัวเองหลังจากเคยได้ยินได้ฟัง แต่ศิษย์พี่ศิษย์น้องเล่ามา ข้าพเจ้าขอกราบบารมีหลวงปู่ให้คุ้มครองศิษย์ทุกๆคนครับ สาธุสาธุสาธุ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  15. Limtied

    Limtied เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    822
    ค่าพลัง:
    +3,662
    เราเห็นแล้วว่า ถ้วยใบนี้ เอาไว้ที่ไหน...มันก็ต้องแตก
    จานนี่ เอาไว้ที่ไหน...ก็ต้องแตก
    แต่เราก็ต้องสอนเด็กว่า ล้างให้มันสะอาด เก็บไว้ให้ดี
    เราก็ต้องสอนเด็กอย่างนี้ ตามสมมุติอย่างนี้ เพื่อเราจะใช้ถ้วยนี้นาน ๆ
    อันนี้เรารู้จักธรรมะ เอาธรรมะมาปฏิบัติ

    ถ้าเห็นว่า อันนี้มันจะแตกอยู่แล้ว
    เราบอก เออ! ช่างมันเถอะลูก กินแล้วก็ไม่ต้องล้างมันหรอก
    จะตกก็ช่างมันเถอะ ไม่ใช่ของเราหรอก
    เอาทิ้งไว้ที่ไหนก็ได้ มันจะแตกอยู่แล้ว อย่างนี้ก็เป็นคนโง่ไป

    ถ้าเราเป็น "ผู้รู้สมมุติ" อันนี้
    เมื่อมันเจ็บไข้...ก็หาหยูกยาให้มันกิน
    เมื่อมันร้อน...ก็อาบน้ำให้มัน
    เมื่อมันเย็น...ก็หาความอบอุ่นให้มัน
    เมื่อมันหิว...ก็หาข้าวให้มันกิน

    แต่ให้เรารู้ว่า ให้ข้าวมันกิน...มันก็จะตายอยู่
    แต่ในเวลานี้ ยังไม่ถึงคราวจะตาย
    เหมือนถ้วยใบนี้...ยังไม่แตก
    ก็รักษาถ้วยใบนี้...ให้มัน "เกิดประโยชน์" เสียก่อน


    หลวงพ่อชา สุภัทโท
     
  16. lynn@nice

    lynn@nice เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2009
    โพสต์:
    21,355
    ค่าพลัง:
    +19,459
    วิธีอยู่กับคนที่เราเกลียด <โดย ว.วชิรเมธี>

    <hr style="color: rgb(255, 255, 255); background-color: rgb(255, 255, 255);" size="1"> รู้ไหมว่า เรามีเวลาอยู่ในโลกนี้คนละกี่ปี
    ชีวิตนั้นสั้นยิ่งกว่าหยดน้ำค้างเสียอีก จะตายวันตายพรุ่งก็ไม่มีใครรู้ล่วงหน้า
    ถ้าเราใช้เวลาอันแสนสั้นนี้ไปมัวหลับๆตื่นๆอยู่ในความรัก โลภ โกรธ หลง
    หมั่นไส้คนนั้น ปลาบปลื้มคนนี้ ริษยาเจ้านายใส่ไคล้ลูกน้อง
    ปกป้องภาพลักษณ์ (อัตตา) กด (หัว)
    คนรุ่นใหม่หลงใหลเปลือกของชีวิต โดยลืมไปเลยว่าอะไรคือสิ่งที่ตนควรทำอย่างแท้จริง
    คิดดูเถิดว่า เราจะขาดทุนขนาดไหน
    ท่านอังคาร กัลยาณพงศ์ เขียนบทกวีไว้ว่า
    :cool:''น้ำไหลอายุขัยก็ไหลล่วง ใบไม้ร่วงชีพก็ร้างอย่างความฝัน
    ฆ่าชีวาคือพร่าค่าคืนวัน จะกำนัลโลกนี้มีงานใด'':cool:
    คนเราไม่ควรพร่าเวลาอันสูงค่าด้วยการปล่อยตัวปล่อยใจ
    ให้ตกเป็นทาสของความชอบ ความชัง มากนัก
    เพราะถ้าเราวิ่งตามกิเลส กิเลสก็จะพาเราวิ่งทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ต่อไปไม่รู้จบ
    กิเลสไม่เคยเหนื่อย แต่ใจคนเราสิจะเหนื่อยหนักหนาสาหัสไม่รู้กี่เท่า
    ควรคิดเสียใหม่ว่า เราไม่ได้เกิดมาเพื่อที่จะชอบหรือไม่ชอบใคร
    หรือเพื่อที่จะให้ใครมาชอบหรือมาชัง
    แต่เราเกิดมาสู่โลกนี้เพื่อทำในสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์คนหนึ่งควรจะทำ
    เอาเวลาที่รู้สึกแย่ๆ กับคนอื่นนั้นหันกลับมามองตัวเองดีกว่า
    ชีวิตนี้เรามีอะไรบ้างที่เป็นแก่นสาร มีงานอะไรบ้างที่เราควรทำ
    นอกจากนั้นก็ควรมองกว้างออกไปอีกว่า
    เราได้ทำอะไรไว้ให้แก่โลกบ้างแล้วหรือยัง
    คนทุกคนนั้นต่างก็มีดีมีเสียอยู่ในตัวเอง
    ถ้าเราเลือกมองแต่ด้านเสียของเขา
    จิตใจของเราก็เร่าร้อน หม่นไหม้
    เวลาที่เสียไปเพราะมัวแต่สนใจด้านไม่ดีของคนอื่นก็เป็นเวลาที่ถูกใช้ไปอย่างไร้ค่า
    บางที่คนที่เราลอบมอง ลอบรู้สึกไม่ดีกับเขานั้น
    เขาไม่เคยรู้สึกอะไรไปด้วยกันกับเราเลย
    เราเผาตัวเราเองอยู่ฝ่ายเดียวด้วยความหงุดหงิด ขัดเคืองและอารมณ์เสีย
    วันแล้ววันเล่า สภาพจิตใจแบบนี้ไม่เคยทำให้ใครมีคุณภาพชีวิตดีขึ้นมาได้เลย
    ลองเปลี่ยนวิธีคิด วิธีมองโลกเสียใหม่ดีกว่า
    คิดเสียว่าคนเราไม่มีใครดีพร้อมหรือ เลวไม่มีที่ติไปเสียทั้งหมดหรอก
    เราอยู่ในโลกกันคนละไม่กี่ปี ประเดี๋ยวเดียวก็จะล้มหายตายจากกันไปหมดแล้ว
    มาเสียเวลากับเรื่องไร้สาระทำไม
    อะไรที่ควรทำก็รีบทำเถิดปล่อยวางเสียบ้าง
    ความโกรธ ความเกลียดนั้นไม่มีคุณค่าอะไรต่อชีวิตอันแสนน้อยนิดนี้เลย
    มุ่งไปข้างหน้า ไปหาสิ่งที่มีคุณค่าให้ชีวิตดีงามดีกว่า
    วิธีที่แนะนำทั้งหมดนั้น นักภาวนาเรียกว่า ''การกลับมาอยู่กับตัวเอง''
    กล่าวคือ ถ้าเราเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องอยู่กับคนที่ไม่ถูกโฉลก
    แทนที่จะปล่อยใจให้อยู่กับ ความรู้สึกแย่ๆไปตลอด ก็ควรหันกลับเข้ามา ''มองด้านใน''
    แก้ไขที่ตัวเอง อย่ามุ่งแก้ไขที่คนอื่น
    เพราะยิ่งพยายามแก้ไขคนอื่น ก็ยิ่งยุ่งเหมือนลิงทอดแห
    ยิ่งเราให้ความสำคัญกับคนที่เราเกลียดมากเท่าใด
    สภาพจิตใจก็ยิ่งแย่ลงมากเท่านั้น
    วิธีที่ดีที่สุดในการอยู่กับคนที่เรารู้สึกไม่ดีหรือเป็นปฏิปักษ์ก็คือ
    การดึงความรู้สึกจากเขามาอยู่เราทุกขณะ
    หรือถ้าเช่นนั้นก็ย้ายตัวเองออกไปเสียจาก สภาพแวดล้อมเช่นนั้นให้เร็วที่สุด
    อย่าอยู่นานจนทุกข์นั้นกลัดหนองเป็นมะเร็งร้ายในอารมณ์
    ปราชญ์จีนบอกว่า ''ถ้ามีขุนเขาขวางท่านอยู่ข้างหน้า อย่าเสียเวลาย้ายขุนเขา
    แต่จงย้ายตัวเอง
    ''
    ดังนั้นเราควรจะย้ายภูเขาที่อยู่ข้างในหรือจะย้ายภูเขาที่อยู่ข้างนอก?
    โดย ว.วชิรเมธี
     
  17. pei

    pei เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    778
    ค่าพลัง:
    +2,853
    พระคาถาบูชา
    หลวงพ่อกวย ชุตินธโร วัดบ้านแค

    ตั้งนะโม 3 จบ

    สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวกสังโฆ สังฆังนะมามิ
    อิติอะระหัง สุคะโต ชุตินธโร หลวงพ่อกวย นามเต อาจาริโยเม
    นะโมพุทธายะ นะชาลีติ นะสิวัง พรหมามะอะอุ
     
  18. SIR2010

    SIR2010 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    2,953
    ค่าพลัง:
    +5,649
    ฉลองหน้า 999 ตื่นเต้น ชวนติดตาม ผู้โชคดี<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
     
  19. ลูกน้ำเค็ม

    ลูกน้ำเค็ม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    3,022
    ค่าพลัง:
    +14,548
    อานุภาพพระคาถาชินบัญชร

    [​IMG]

    พระคาถานี้มีอนุภาพศักดิ์สิทธิ์มาก ผู้ใดสวดมนต์หรือภาวนาอยู่เป็นประจำ ไม่ว่าจะ กิน เดิน นั่งนอน หรือภาวนาแม้ยามอาบน้ำ แปรงฟัน หรือทำงาน จะมีอนุภาพดังนี้ คือ
    1. หากสวดมนต์อย่างน้อยวันละ 3 จบ อานุภาพจะคุ้มครองผู้นั้นไป 1 วัน กับ 1 คืน

    2. เวลานั่งรถ เรือ หรือขับขี่รถ หรือเดินทาง ให้นึกภาวนาไปในใจ จะทำให้คลาดแคล้ว ปลอดภัยจากอุบัติเหตุทั้งปวงได้ชงัดนักเคยพ้นมามากต่อมากแล้ว

    3.ผู้สวดมนต์ พระคาถานี้เป็นประจำ จะเป็นเสน่ห์มงคลด้วยประการทั้งปวง ไม่ว่าท่านจะอยู่ในเหตุการณ์ร้ายแรงอย่างใด ให้ภาวนาจะปลอดภัย แม้คนถูกกระทำของใส่คุณ หากเรารู้ตัวแล้วภาวนามิได้ขาด รับรองได้ว่าเขาทำอะไรเราไม่ได้เลย

    4. หากภาวนาประจำมิได้ขาดเลยเรามักมีอะไรพิเศษ เช่น อาจฝันรู้เหตุการณ์ล่วงหน้า หากนอนแล้วภาวนาจนกระทั่งหลับ (ในใจ) คืนนั้นจะนอนหลับสบายเป็นพิเศษ ตื่นขึ้นมาจะมีความสุขปลอดโปร่งแจ่มใสเป็นพิเศษ บางทีกลางคืนจะมีอะไรดีๆ มาสอนเราด้วย

    5. ผู้ที่มีอำนาจสมาธิจิตสูง สามารถจะภาวนาพระคาถานี้ ทำน้ำมนต์รักษาโรคบางชนิด ที่แพทย์ปัจจุบันรักษาไม่หายให้หายได้

    6. ใครเจ็บไข้อยู่หากมีคนอื่น (แม้มิใช่ญาติ) บนบานกล่าวว่าจะสวดมนต์ให้ร้อยเที่ยว ห้าร้อยเที่ยว หรือหนึ่งพันเที่ยว ให้แก่เจ้ากรรมนายเวรเขามักจะหายป่วยจริงๆ (เคยทดลองมาแล้วแม้คนต่างศาสนากัน) หากผู้เจ็บป่วยที่นอนรักษาตัวอยู่ที่ไหนก็แล้วแต่หากภาวนาพระคาถานี้อยู่ เรื่อยๆจะทำให้เขาหายป่วยเร็วขึ้น มากจนน่าแปลกใจ

    7. ผู้ประกอบอาชีพต่างๆ หากยามว่างให้ภาวนาพระคาถาบทนี้จะทำให้อาชีพดีขึ้น เช่น ค้าขายดีขึ้นแม้ปลูกพืช ปลูกผักผลผลิตจะดีขึ้นหรือรายได้ดีขึ้น เด็กๆ นักเรียนหากสวดมนต์บทนี้ได้และสวดประจำบ่อยๆ หรือทุกคืนก่อนนอน จะเรียนเก่ง จำดีอย่างแน่นอนรับรอง

    8. ผู้สวดมนต์พระคาถาบทนี้เป็นประจำแล้ว ประกอบอาชีพสุจริตไปด้วย จะทำให้ลดวิบากกรรมตัวเองให้เบาลงกว่าที่จะได้รับจริง หากกุศลส่งก็จะหนุนให้กุศลส่งแรงขึ้น หากใช้ไปนานชั่วชีวิตจะประสบสุขตามกุศลแน่นอน

    9. เมื่อร่วมกันสวดอธิษฐานพร้อมๆ กันหลายคน หรือเวลาเดียวกัน จะมีอานุภาพบริสุทธิ์แผ่ออกไปกว้างไพศาลมากทำให้ผู้สวดก็ดี สถานที่บริเวณก็ดี รวมไปถึงประเทศชาติจะได้เจริญ และรอดพ้นจากภัยพิบัติทั้งหลายที่จะเกิดขึ้นแก่ประเทศ เราได้ ทำให้ประเทศเราเด่นดังในที่สุดได้
    (อานุภาพของพระคาถายังมีอีกมาก หากทุกท่านหมั่นสวดมนต์ภาวนา ความเจริญ ความเมตตา หากินคล่องก็จะอยู่กับท่าน)

    ผู้ใดได้สวดภาวนาพระคาถาชินบัญชรนี้เป็นประจำอยู่สม่ำเสมอ จะทำให้เกิดความสิริมงคลสมบูรณ์พูนผล ศัตรูหมู่พาลไม่กล้ำกราย ไปทางใดย่อมเกิดเมตตามหานิยม เกิดลาภผลพูนทวี ขจัดภัยจากภูตผีปีศาจ ตลอดจนคุณไสยต่างๆ ทำน้ำมนต์รดแก้วิกลจริตแก้สรรพโรคภัยหายสิ้น เป็นสิริมงคลแก่ชีวิต มีคุณานุภาพตามแต่จะปรารถนา ดังคำโบราณว่า "ฝอยท่วมหลังช้าง" จะเดินทางไปที่ใดๆ สวด 10 จบ แล้วอธิษฐานจะสำเร็จสมดังใจ

    ตัวบทคาถาผมคิดว่าทุก ๆ ท่านน่าจะมีแล้วนะครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • images.jpeg
      images.jpeg
      ขนาดไฟล์:
      6.6 KB
      เปิดดู:
      646
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 กันยายน 2010
  20. nnatp

    nnatp เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    95
    ค่าพลัง:
    +470
    ขอบคุณทุกท่านสำหรับบทความดีดีครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...