มันก้อยัง..งงๆ...วอนผู้มีเมตตาอธิบายทีครับ(ศีล สมาธิ สติ ปัญญา)

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย เดชพล, 3 พฤศจิกายน 2010.

  1. เดชพล

    เดชพล สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    10
    ค่าพลัง:
    +22
    คือผมรบกวนสอบถามเพื่อความมั่นใจและเข้าใจในการดำเนินทางแห่งการหลุดพ้นดังนี้ครับ

    1.ศีลเป็นตัวทำให้สมาธิเจริญยิ่งๆขึ้นใช่ไหมครับ

    2.แล้วถ้าศีลบกพร่องหรือขาดเป็นข้อๆไปจะมีผลอย่างไรต่อสมาธิ

    3.คำพูดที่ พ่อ แม่ ครูบาอาจารย์ พูดว่า "สติมา ปัญญาเกิด" แต่ทำไมตอนที่ผมเดินเข้า อาบ อบ นวด หรือ กำลังผิดศีล(ศีลยังไม่ครบครับ) มีก็มีสติดีและรู้ว่ามันไม่มีแต่ก็ ไม่มี ปัญญาที่จะตัดขาดจากสิ่งเหล่านั้น เพราะผมไม่มีทั้งสติและปัญญาใช่ไหมครับ

    4.ตามความเข้าใจของผมการจะทำให้ศีลบริบูรณ์นั้น มันจะต้องเกิดจากปัญญาที่เข้าใจตามสภาวะความเป็นจริงว่า สิ่งนั้นเป็นสิ่งไม่ดี พระพุทธเจ้าท่านทรงห้ามไว้ว่าอย่าทำ เพราะผมรู้สึกว่าห้ามใจยากมากในการรักษาศีล โดยเฉพาะ ข้อ 3

    5.ขอคำแนะนำจากท่านผู้มีจิตเมตตาแนะนำทางแก้ไข ใน ศีล ให้ผมด้วยครับ

    ขอขอบคุณในน้ำใจไมตรีและขออนุโมทนาให้กับทุกท่านล่วงหน้า บุญใดที่เกิดจากการให้ธรรมะเป็นทาน ของท่านเทวดา นางฟ้า อริยะบุคคลทั้งหลาย ขอบุญนั้นจงนำท่านไปถึงที่สุดแห่งการดับทุกข์ด้วยครับ สาธุ

    ป.ล. ผมเป็นนักปฏิบัติมือใหม่ ยังไม่ค่อยเข้าใจในศัพท์ของท่านที่เรียนปริยัติเท่าใดนักครับ ต้องขออภัยในความเขลาด้วยครับ
     
  2. suthipongnuy

    suthipongnuy ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    661
    ค่าพลัง:
    +1,428
    ขออนุญาติตอบคำถาม ตามความรู้และความเข้าใจของผมนะครับ ผิดถูกยังไง ก็ขออโหสิกรรมล่วงหน้าละกัน อิอิ เพราะผมก็มือใหม่เหมือนกัน

    1.ศีลเป็นตัวทำให้สมาธิเจริญยิ่งๆขึ้นใช่ไหมครับ
    - ตอบ ทาน ศีล ภาวนา ต้องครบบริบูรณ์ทั้งสามประการครับ เริ่มแรกให้ทานก่อน ต่อมารักษาศีล จากนั้นก็ภาวนาให้จิตเป็นสมาธิ หลังจากนี้ก็ใช้จิตที่เป็นสมาธิ พิจารณาวิปัสสนา ทำให้เกิดปัญญา

    2.แล้วถ้าศีลบกพร่องหรือขาดเป็นข้อๆไปจะมีผลอย่างไรต่อสมาธิ
    - ตอบ ถ้าศีลไม่บริสุทธิ์ เป็นการยากที่จะทำให้สมาธิทรงตัวอยู่ได้นานๆ ถ้าบกพร่องบางข้อ ก็ทำสมาธิให้เกิดได้ แต่จะอยู่ไม่นาน เพราะฐานคือศีลไม่แข็งแรง เปรียบเหมือนสร้างตึก แล้วตอกเสาเข็มไม่ดี ตึกอาจพังเมื่อไหร่ก็ได้ครับ

    3.คำพูดที่ พ่อ แม่ ครูบาอาจารย์ พูดว่า "สติมา ปัญญาเกิด" แต่ทำไมตอนที่ผมเดินเข้า อาบ อบ นวด หรือ กำลังผิดศีล(ศีลยังไม่ครบครับ) มีก็มีสติดีและรู้ว่ามันไม่มีแต่ก็ ไม่มี ปัญญาที่จะตัดขาดจากสิ่งเหล่านั้น เพราะผมไม่มีทั้งสติและปัญญาใช่ไหมครับ
    - ตอบ นั่นก็คือตัวสติแล้วครับ รู้ว่าสิ่งไหนดีสิ่งไหนไม่ดี หรือรู้ว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ เพียงแต่ยังสู้กิเลสไม่ไหว

    4.ตามความเข้าใจของผมการจะทำให้ศีลบริบูรณ์นั้น มันจะต้องเกิดจากปัญญาที่เข้าใจตามสภาวะความเป็นจริงว่า สิ่งนั้นเป็นสิ่งไม่ดี พระพุทธเจ้าท่านทรงห้ามไว้ว่าอย่าทำ เพราะผมรู้สึกว่าห้ามใจยากมากในการรักษาศีล โดยเฉพาะ ข้อ 3
    - ตอบ การรักษาศีลให้บริสุทธิ์ได้ มีเหตุ3ประการคือ 1.เราไม่ละเมิดศีล 2.เราไม่ยุยงให้คนอื่นผิดศีล 3.เราไม่ยินดีที่คนอื่นผิดศีล และที่สำคัญ การทรงพรหมวิหาร4 คือเมตตา ความรัก กรุณาความสงสาร มุทิตา การยินดีในความดีของคนอื่น อุเบกขา การวางเฉยในสิ่งที่เราแก้ไขไม่ได้ ถ้าเรามีคุณธรรมทั้ง4ข้อนี้ จะทำให้เรารักษาศีลได้ง่ายขึ้นครับ (รายละเอียดหาอ่านเอาในเวบนี้มีเยอะแยะครับ)
    ตัวอย่างเช่น คุณผิดศีลข้อ3 กาเมฯ ถ้าลองเอาพรหมวิหาร4 มาทรงไว้ในใจของคุณ
    1) เมตตา ความรัก คิดดูนะครับ เรารักตัวเอง รักพ่อแม่ รักพี่น้อง รักญาติมิตร แล้ว คนที่คุณไปเที่ยวฯ เค้ารักตัวเองมั๊ย เค้ามีเหตุผลอะไรที่ต้องทำ ทำเพราะต้องเลี้ยงดูพ่อแม่,ลูกหรือเปล่า ถ้าเราเป็นแบบเค้า เราจะทำแบบนั้นมั๊ย อีกอย่างคือ ถ้าเรารักตัวเอง เราไปเที่ยว ติดโรคมา หรือทำให้เสียทรัพย์ พ่อแม่ ลูกเมียของเรา ก็ต้องกินต้องใช้ แล้วเราเอาทรัพย์มาเที่ยว เค้าจะอยู่จะกินยังไง
    2) กรุณา ความสงสาร สงสารตัวเองนะครับ ไปเที่ยว เสียทั้งเงิน ทั้งเวลา และเป็นการส่งเสริมอาชีพนี้ด้วย สงสารพ่อแม่ที่หาเงินเลี้ยงเรา ลูกเมียที่รออยู่ที่บ้าน สงสารคนที่ประกอบอาชีพนี้ ฯลฯ
    3) มุทิตา ยินดีในคุณความดีของคนอื่น ก็เหมือนกับสองข้อแรก ถ้าเค้าไม่ทำอาชีพนี้ เค้าก็ไม่มีกินมีใช้ ไม่มีเงินส่งให้พ่อแม่ นี่ก็เป็นการทำความดีประการหนึ่ง เพียงแต่ถ้าเลือกได้ เค้าคงไม่มาทำอาชีพนี้
    4) อุเบกขา การวางเฉย ในเมื่อเราพิจารณาตาม3ข้อแรกแล้ว เราทำอะไรไม่ได้ ไม่รู้จะช่วยเหลือเค้ายังไง ก็วางเฉยเสีย ถือว่าเป็นสิ่งที่เค้าเลือกไม่ได้ และเราก็ไม่สามารถไปช่วยเหลือได้ทุกคน
    - อาจจะสับสนเล็กน้อย เพราะผมวิปัสสนายังไม่เป็นโล้เป็นพาย อ่านแล้วคงพอเข้าใจ นั่นคือถ้าเราเอาพรหมวิหาร4 ไปจับกับศีลแต่ละข้อ แล้วนำมาพิจารณาเป็นข้อๆ ไป คุณจะคิดได้ทันทีว่า เป็นเรื่องง่ายมากที่จะรักษาศีลให้บริสุทธิ์ เพราะเราทรงพรหมวิหาร4

    5.ขอคำแนะนำจากท่านผู้มีจิตเมตตาแนะนำทางแก้ไข ใน ศีล ให้ผมด้วยครับ
    - ตอบ เหมือนข้อ4
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 พฤศจิกายน 2010
  3. หลบภัย

    หลบภัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    2,207
    ค่าพลัง:
    +3,123
    ขอตอบสั้นๆ ตามกำลังปัญญา สติ ช่วยให้ รักษาศีลได้ มีศีลทำให้เรามีสัมมาทิฐิ
    เมื่อมีสัมมาสมาธิ จะนำพาซึ่งปัญญา ต่อไปยังไม่อาจรู้ได้ ขอตอบแค่ตรงนี้
     
  4. รู้รู้ไป

    รู้รู้ไป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    951
    ค่าพลัง:
    +3,166
    คือผมรบกวนสอบถามเพื่อความมั่นใจและเข้าใจในการดำเนินทางแห่งการหลุดพ้นดังนี้ครับ

    1.ศีลเป็นตัวทำให้สมาธิเจริญยิ่งๆขึ้นใช่ไหมครับ
    ใช่ครับ

    2.แล้วถ้าศีลบกพร่องหรือขาดเป็นข้อๆไปจะมีผลอย่างไรต่อสมาธิ
    มีเครื่องรบกวนความสงบ ความตั้งมั่น ความเป็นสมาธิ ตามกำลังของศีลที่บกพร่อง

    3.คำพูดที่ พ่อ แม่ ครูบาอาจารย์ พูดว่า "สติมา ปัญญาเกิด" แต่ทำไมตอนที่ผมเดินเข้า อาบ อบ นวด หรือ กำลังผิดศีล(ศีลยังไม่ครบครับ) มีก็มีสติดีและรู้ว่ามันไม่มีแต่ก็ ไม่มี ปัญญาที่จะตัดขาดจากสิ่งเหล่านั้น เพราะผมไม่มีทั้งสติและปัญญาใช่ไหมครับ มีแต่กำลังไมพอที่จะตัดขาดจากสิ่งเหล่านั้นครับ

    4.ตามความเข้าใจของผมการจะทำให้ศีลบริบูรณ์นั้น มันจะต้องเกิดจากปัญญาที่เข้าใจตามสภาวะความเป็นจริงว่า สิ่งนั้นเป็นสิ่งไม่ดีเป็นทุกข์เป็นเหตุแห่งทุกข์ พระพุทธเจ้าท่านทรงห้ามไว้ว่าอย่าทำเพื่อความไม่ทุกข์ของเรา เพราะผมรู้สึกว่าห้ามใจยากมากในการรักษาศีล โดยเฉพาะ ข้อ 3
    ห้ามยากตามจริตตามกรรมของแต่ละคนที่สั่งสมมาครับ
    ไม่เป็นไรเราปฏิบัติเพื่อจัดการมันนี่ครับ ถ้าไม่มีอะไรยากก็ไม่ต้องปฏิบัติกันแล้ว

    5.ขอคำแนะนำจากท่านผู้มีจิตเมตตาแนะนำทางแก้ไข ใน ศีล ให้ผมด้วยครับ
    ปฏิบัติเพื่อให้ศีลบริสุทธิ์ ศีลบริสุทธิ์เพื่อไม่ต้องปฏิบัติ

    อย่างที่ท่านได้กล่าวมาแล้วครับ
    มันจะต้องเกิดจากปัญญาที่เข้าใจตามสภาวะความเป็นจริงว่า สิ่งนั้นเป็นสิ่งไม่ดี
    แต่ตามปกติเราจะไหลคล้อยตามมันไปจนไม่ทันเข้าใจไม่เห็น ความไม่ดีของมัน ทานศีลภาวนาเป็นเครื่องช่วยให้ไม่ไหลตาม ให้เห็นได้ทันถึงความเข้าใจความไม่ดีของมัน เจริญขึ้นเรื่อยๆซึ่ง ทานศีลภาวนา ก็ทานกำลังก็ไม่ไหลตามได้ในซักวันครับ
    สมถภาวนา
    วิปัสนาภาวนา
    มากมายหลากหลายในสายการปฏิบัติ ตั้งใจจริงมีใจจริง ทุกสิ่งสำเร็จได้ตามที่หวังอนุโมทนาด้วยครับ ในการปฏิบัติ ในการต่อกรกับกิเลสทุกข์ทั้งหลาย
     
  5. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    แหม ไม่ยักรู้ว่า มีศิษย์วัตรโพฯ ก็สนใจธรรมะ

    ดีแล้วๆ เมื่อสนใจธรรมะ ธรรมะย่อมก่อประโยชน์ให้ได้กับ ทุกๆคนเสมอ

    ตอนนี้ คุณสงสัยกับเรื่อง ศีลที่ดูเหมือนจะไม่เต็ม ก็เลยอยากทำให้เต็ม

    ศีลคุณใช่ว่าจะไม่มี ศีลหนะมี แต่ไม่เต็มเท่านั้นเอง ศีลข้อ3 นี่เขาห้าม
    ผิดลูกผิดเมียเขา อันนี้ก็ดูเหมือนว่าจะรักษาได้ แต่ทว่า เราไปโดนสังคม
    ของการบริโภคหลอกเอา ไปเห็นว่า การเที่ยววัตรโพฯ แบบนั้นน่าจะไม่
    ผิดศีลข้อนี้สักเท่าไหร่ เอาเข้าจริงๆมันก็ผิดมากอยู่ เพราะ คนที่มาทำ
    หน้าทีบริการนั้นต่างมีเจ้าของ มีบุคคลยังหวงแหนแสดงความเป็นเจ้าของ
    จะอนุญาติเมื่อเอาทรัพย์ตบตา!เขา อีกทั้งหากคุณถามคนที่ให้บริการสักนิดว่า
    เอาเงินส่งให้พ่อแม่หรือเปล่า หากมี ก็นั่นแปลว่าสาวคนนั้นมีเจ้าของที่เป็น
    พ่อแม่พี่น้องด้วย แบบนี้ การมีอะไรด้วยมันก็เลยทำให้ ศีลไม่เต็ม ทั้งๆที่
    มันก็น่าจะเต็มได้

    คำว่า ศีลไม่เต็ม ศีลเต็ม อันนี้ มีคำบาลีเข้ามารับ ท่านใช้คำว่า ศีลบารมี

    สรุปแล้ว บารมีทางศีลคุณไม่เต็ม ใช่ว่าจะไม่มี

    ตกลงทำความรู้จักคำว่า ศีลปารมี ไว้คำนึงก่อนนะ ตะไว้ก่อน

    * * * * * *

    มาดูต่อถึง หน้าที่ของศีล ศีลนั้นอย่าไปมองว่า ต้องทำเพื่อให้มีศีล แล้วใช้
    วิธีกาคะแนนว่า วันนี้เราได้ทำศีลแล้ว และไปกาคะแนนว่า เราเป็นคนมีศีลข้อ
    นั้นข้อนี้แล้ว ศีลนั้นจะมีหรือไม่มีให้ดูเป็นขณะจิต ขณะปัจจุบัน

    ทำไมต้องดู ศีลที่มีหรือไม่มี ในภาวะปัจจุบัน ก็เพราะมันเนื่องกับ สมาธิ

    สมาธินั้นเป็นเรืองของ ปัจจุบัน เป็นเรื่องที่จัดการบริหารกัน เฉพาะหน้า
    (ขณะกำลังเผชิญ) และความเนื่องกันกับตัวสมาธิ ก็เพราะมันเป็น เครื่อง
    ประกันคุณภาพของสมาธิที่เกิดขึ้นในปัจจุบันนั้น สติขณะนั้นๆ

    หากศีลพร่อง สติก็ดี สมาธิก็ดี ย่อมชี้ได้ว่า มีบางส่วนเป็น มิจฉา เจือปน

    เมื่อมี มิจฉาเจือปน ทำให้ สติก็ดี สมาธิก็ดี มันเกิดขึ้นภายใต้สภาวะอกุศล
    เจือปน แล้วท่านให้เรียกว่า มันเป็น มิจฉาสมาธิ มิจฉาสติ

    เมื่อเป็น มิจฉาสติ มิจฉาสมาธิเสียแล้ว แน่นอนหละ ผู้ที่สำรวจตน รู้จักสำรวจ
    ตนจะต้องเห็นว่า ฉันก็มีสตสตังค์นี่ ฉันก็มีสมาธิดีอยู่นี่ ฉันเดินเหินเดินยืนนั่งนอน
    ได้หลายท่าหลายทางอยู่นี่ แถมยังมีสมาธิยังกิจต่างๆให้เสร็จถึงจุดสุดยอดได้อีก
    ต่างหาก ก็จะเห็น สติมี สมาธิก็มี แต่มันพาเราไปสำเร็จในทางที่ไม่ใช่มรรคผล
    แต่มันพาเราไปลงอ่างน้ำร้อนถึงร้อนมาก พาเราเสียแรงเสียเหงื่อเสียเนื้อหนังหลุด
    ลอกรับเอาสรรพสิ่งที่เราสำคัญว่าไม่โสโครกเข้ามา กว่ามันจะแสดงผลความโสโครก
    ให้เป็นดวงเป็นดาวประดับเป็นพัน เป็นท้าวพันตาพันแผลบางทีก็สายเสียแล้ว

    สรุปคือ สติมีถูก สมาธิมีก็ถูก แต่เพราะว่า พร่องในศีล เครื่องประกันคุณภาพ
    ของสติ สมาธิให้เป็น สัมมาสติ สัมมาสมาธิ เลยไม่มี พอสัมมาสติ สัมมาสมาธิ
    ไม่มีก็เลยงงว่า ทำไมไม่เป็นเพื่อปัญญาสลัดออก ทั้งๆที่ก็รู้อยู่ว่าไม่ดี แต่กลับเอา
    ปัญญาที่มีนั้นมาสลัดตัวตนออกไปจากเรื่องเศร้ามหมองภายหลังนี้ไม่ได้

    * * * * *

    คราวนี้ มาดูที่มาของ ศีล

    ศีลนั้น จะมีบทการศึกษาหรือ ศีลสิกขา 3 ขั้นตอน มีหยาบ กลาง ละเอียด

    การศึกษาศีลหยาบๆ หรือ ศีลขั้นต้นๆ นี่ อันนี้ต้องอ่านหนังสือเอา อ่านแล้ว
    ก็ต้องทำใจนมสิการยอมรับ มาเป็นวินัยในตน เหมือนทหารรับคำสั่งจากนาย

    ดังนั้น ศีลขั้นต้นนี่จะให้ ความศรัทธาที่มีต่อนาย ต่อหน่อยเหนือ คนที่ฉลาดๆ
    ก็จะรู้ว่า ตนต้องเข้าไปปรวณาตนกับ พระสงฆ์องค์เจ้าที่มีคุณธรรมเหนือจิตตน
    มีอิทธิพลเหนือจิตตน นี่ก็จะช่วยได้มาก ทำให้เรา นมสิการวินัยมาถือ มาปฏิบัติ
    ได้ ถ้าทำผิดเวลาไปกราบท่านอีกครั้งเราก็จะอายท่าน จิตมันลงให้กับท่าน ก็จะ
    เหมือนคนชาร์จแบทกลับมามีวินัยได้อีก คนที่ฉลาดขึ้นมาอีกก็จะน้อมไปเห็นคุณ
    ของพระพุทธเจ้า ใช้ใจสัมผัส แทนการไปกราบไหว้สงฆ์ถึงตัว นี่ก็จะช่วยให้เรา
    ไปที่ไหนอยู่แห่งหนไหน อยู่ต่อหน้าสาวไหนๆ เราก็จะเห็นพระพุทธองค์ปรากฏอยู่
    เสมือนตรงหน้า ก็จะช่วยให้เรามีจิตลงให้กับวินัยได้เข้ามาอีก แต่....ก็ยังไม่พอ
    คนที่ฉลาดกว่านั้น มีปัญญากว่านั้น เขาจะใช้ ธรรมะ หรือ นิพพาน เป็นธงชัย
    เมื่ออยู่ต่อหน้าสาวไหน เมื่อเราเอา นิพพาน เป็นธงชัย เราก็จะมีกำลังมากขึ้น

    สำหรับศีลอย่างกลางนั้น คุณจะต้องรู้จัก ศีลที่ทำหน้าที่เป็นเครื่องประกันให้กับ
    สติและสมาธิมาพอสมควร ต้องมากพอที่จะสรุปรวบยอดได้ว่า ศีลนั้นรักษากันจุดๆ
    เดียว รักษาศีลที่ประตูใจเท่ากับรักษาศีลครบทุกประตู พอเห็นศีลตัวนี้ทำงานจน
    มั่นใจได้ว่ารู้จักศีลชนิดนี้แล้ว คราวนี้ก็จะไม่ลำบากในการรักษาศีล เพราะมีศีลพี่
    เลี้ยงหรือ อินทรีย์สังวรณ์ศีล มองเห็นสิ่งที่เกิด สาวที่นั่งอยู่ คนที่ชักชวนให้ไปหา
    สาวเหล่านั้นเป็นเพียง "สิ่งใดสิ่งหนึ่ง" เท่านั้น ไม่ใช่เห็นเป็น สาว เป็น คน อีก

    ส่วนศีลละเอียดนั้น ก็จะเป็นเรื่องของคนที่รักษาอินทรีย์สังวรณ์ศีลจนสัมปยุตกับจิต
    ได้แล้ว ไม่ต้องออกแรงรักษาอีก หากศีลนั้นจะเสียจะยอมตายมากกว่าที่จะเสียศีล
    เมื่อเป็นบุคคลเช่นนี้แล้วก็จะมี ศีลละเอียดให้ถือปฏิบัติอีก ทั้งหมดก็เพื่อเป็นเครื่อง
    ประกันสัมมาสมาธิ สัมมาสติ เพื่อยังกิจให้ถึงพระนิพพานนั่นเอง

    * * * *

    กลับมาเรื่อง ศีลบารมี ....อันนี้ คุณก็ต้อง ใส่ใจใคร่ครวญดูหละว่า การมีศีล
    นั้นมีผลดีอย่างไร มีผลเสียอย่างไร มีคุณอย่างไร มีโทษอย่างไร

    ที่ว่ามีคุณอย่างไร ก็สำรวจอีกทีว่า เป็น สัจจความจริงแค่ไหน หรือ มีค่านิยมมาหลอกตา

    ที่ว่ามีโทษอย่างไร ก็สำรวจอีกทีว่า เป็น สัจจความจริงแค่ไหน หรือ มีค่านิยมมาหลอกตา

    เมื่อพิจารณาใคร่ครวญให้มากๆ อีกทั้งหากได้เห็น สมณะผู้เจริญแล้วบ้าง ก็เชื่อแน่ว่า
    คุณย่อมมีแรงใจให้กับการทำบารมีในศีลให้เต็มไม่มากก็น้อย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 พฤศจิกายน 2010
  6. primrose

    primrose เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    169
    ค่าพลัง:
    +527
    ขอตอบเท่าที่ปัญญาอันน้อยนิดของคนที่เพิ่งเริ่มเรียนรู้นะคะ

    คือผมรบกวนสอบถามเพื่อความมั่นใจและเข้าใจในการดำเนินทางแห่งการหลุดพ้นดังนี้ครับ

    1.ศีลเป็นตัวทำให้สมาธิเจริญยิ่งๆขึ้นใช่ไหมครับ
    ใช่ค่ะ คิดอย่างง่าย ถ้าเราจะทำอะไรที่ผิดศีล เช่น ลักทรัพย์ ยักยอกทรัพย์เขา เราก็ต้องคิดวางแผน เมื่อทำไปแล้วก็ต้องคอยกังวลอีกว่าจะโดนจับได้ไม๊ ... นี่ล่ะที่ทำให้สมาธิไม่เกิด

    2.แล้วถ้าศีลบกพร่องหรือขาดเป็นข้อๆไปจะมีผลอย่างไรต่อสมาธิ
    จะเกิดความฟุ้งซ่าน ไม่สามารถทำสมาธิได้ค่ะ ใจสัยมีบทเรียนมากกับศีลข้อ 4 ที่บกพร่องจากการเล่นเวบบอร์ด มันภาวนาไม่ขึ้นจริง ๆ ค่ะ พอลดละการเล่นเวบบอร์ดให้น้อยลงกา่ีรภาวนาก็ดีขึ้น อันนี้เป็นประสบการณ์ส่วนตัว และเป็นประสบการณ์ตรงค่ะ


    3.คำพูดที่ พ่อ แม่ ครูบาอาจารย์ พูดว่า "สติมา ปัญญาเกิด" แต่ทำไมตอนที่ผมเดินเข้า อาบ อบ นวด หรือ กำลังผิดศีล(ศีลยังไม่ครบครับ) มีก็มีสติดีและรู้ว่ามันไม่มีแต่ก็ ไม่มี ปัญญาที่จะตัดขาดจากสิ่งเหล่านั้น เพราะผมไม่มีทั้งสติและปัญญาใช่ไหมครับ
    คำว่า "สติ" ในทางโลก กับทางธรรมต่างกันค่ะ สติที่เกิดขึ้นของคุณขณะเดินเข้าสถานบันเทิงนั้นเป็น "สติ" ทางโลก ค่ะ "สติ" ทางธรรม คือ "สติ" ที่รู้ทันกิเลสที่เกิดขึ้นในใจ แล้วไม่ทำกรรมใด ๆ เพื่อสนองต่อกิเลสค่ะ อันนี้ใจสัยก็สู้กับมันมาเป็นเืดือน ๆ เลยค่ะกว่าจะผ่านมาได้ เป็นกิเลสตระกูลโทสะค่ะ ต้องเอาศีล 5 เข้ามาสู้กับมัน เพื่อไม่ให้ก่อกรรมทางกาย วาจา แต่ใจน่ะคิดไปแล้ว รู้ทันบ้าง รู้ไม่ทันบ้างค่ะ ผ่านมาได้รู้สึกโล่ง และภูมิใจ ที่เราเอาชนะกิเลสมารได้


    4.ตามความเข้าใจของผมการจะทำให้ศีลบริบูรณ์นั้น มันจะต้องเกิดจากปัญญาที่เข้าใจตามสภาวะความเป็นจริงว่า สิ่งนั้นเป็นสิ่งไม่ดี พระพุทธเจ้าท่านทรงห้ามไว้ว่าอย่าทำ เพราะผมรู้สึกว่าห้ามใจยากมากในการรักษาศีล โดยเฉพาะ ข้อ 3
    ^^! รู้ทันกิเลส แล้วใช้ศีล 5 มาควบคุมการกระทำ ต้องบรรลุโสดาฯ นั่นแหละ ถึงจะได้ศีลบริบูรณ์ และเป็นศีลอัตโนมัติ ... สำคัญคือ อยู่กับปัจจุบัน เผลอผิดศีลไปแล้ว ก็ปล่อยให้เป็นอดีตไป แค่รู้ว่าผ่านไปแล้วเราในอดีต กับเราขณะปัจจุบัน คนละคนกัน แล้วเริ่มนับหนึ่งใหม่ ตั้งใจใหม่ ไม่ใีครมีศีลบริบูรณ์หรอกค่ะ ไปเรื่อย ๆ แล้วการรักษาศีลที่ว่ายาก ๆ ก็จง่ายไปเอง ลองคิดดี ๆ ศีลข้อ 4 ผิดง่าย บกพร่องง่ายที่สุดค่ะ ถ้าศึกษากันให้ละเอียดจริง ๆ แล้วล่ะก็ ต้องไม่พูด ไม่โพสต์ ไม่ตอบโต้ อะไรเลย พูดง่าย ๆ คือ ปิดวาจาไปเลย ศีลข้อ 4 ถึงจะบริสุทธิ์ค่ะ ^o^

    5.ขอคำแนะนำจากท่านผู้มีจิตเมตตาแนะนำทางแก้ไข ใน ศีล ให้ผมด้วยครับ
    มีสติระลึกรู้อยู่ในปัจจุับันขณะค่ะ

    ขอขอบคุณในน้ำใจไมตรีและขออนุโมทนาให้กับทุกท่านล่วงหน้า บุญใดที่เกิดจากการให้ธรรมะเป็นทาน ของท่านเทวดา นางฟ้า อริยะบุคคลทั้งหลาย ขอบุญนั้นจงนำท่านไปถึงที่สุดแห่งการดับทุกข์ด้วยครับ สาธุ

    ป.ล. ผมเป็นนักปฏิบัติมือใหม่ ยังไม่ค่อยเข้าใจในศัพท์ของท่านที่เรียนปริยัติเท่าใดนักครับ ต้องขออภัยในความเขลาด้วยครับ
     
  7. เดชพล

    เดชพล สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    10
    ค่าพลัง:
    +22
    ขออนุโมทนาสาธุกับญาติธรรมทุกท่านครับ ขอให้เจริญในทาน ศีล ภาวนา ยิ่งๆขึ้นไปนะครับ
     
  8. ผู้พันจุ่น

    ผู้พันจุ่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    1,396
    ค่าพลัง:
    +2,983
    เอาแบบความคิดเห็นของตัวเองนะ....

    ศีล เป็นตัวที่ทำให้เราไม่ไปล่วงเกินผู้อื่น และไม่ทำให้ตัวเองเดือดร้อน วุ่นวาย เวลานั่งสมาธิมันก็จะปลอดโปร่ง ไม่มีวิตกกังวลเรื่องอื่นมากมาย สมาธิก็เป็นไปด้วยดีตั้งมั่นได้นาน ได้เร็ว

    ปัญญา เป็นตัวคิด พิจารณาวิธีการ นั่งสมาธิ ให้ถูกต้องว่าเป็นไปอย่างไร...กำหนดใจอย่างไร???

    สมาธิ ระดับไหน อย่างไร ไม่มีใครรู้ดี นอกจากตัวเอง หากจะวัดกันด้วยผลงานของสมาธิ ต้องยกให้เรื่องของความศักดิ์สิทธิ์ หนังเหนียว มหาอุด .....โจร มันจี้ปล้นเขากิน สมัยก่อนโจรมีคุณธรรม มีสัจจะ ภาวนาคาถาตลอดเวลา แต่หนังเหนียว ปัจจุบันก็ยังมีให้เห็น ถามเจ้าหน้าที่เจาะเลือดที่โรงพยาบาล บอกว่า..มี เจาะ 2 ครั้งไม่เข้า ต้องเอาเครื่องรางออกก่อน จึงเจาะได้

    ไม่ต้องมีศีลก็ได้ แต่การมีศีลทำให้เรามีความมั่นใจในตัวเอง เชื่อมั่นมากยิ่งขึ้น เหมือนมีที่ยึดเหนี่ยวเป็นกำลังใจ ครูอาจารย์ก็สั่งนักหนาว่า ห้ามผิดศีล ก็ยึดมั่นในศีล ห้ามลอดไม้ค้ำกล้วย ตะพานหัวเดียว น้ำเต้าห้ามกิน ฯ... ก็ไม่ใช่ศีล มันทำให้เชื่อมั่นมากขึ้น เท่านั้น

    แล้วโจรต้องปล้น แย่งเขากินมันผิดศีลไหม ????? เขาก็รอดตายเพราะมีศีล มีสมาธิในการท่องบ่นคาถานั่นแหละ.....เสือมเหศวร เสือใบ เขาก็มีวิชานี้

    มีแต่กรรมเท่านั้นที่หนีไม่พ้น.................สำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้ว ก็ต้องยอมรับกรรม.
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 พฤศจิกายน 2010
  9. หลานศิษย์

    หลานศิษย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 เมษายน 2008
    โพสต์:
    191
    ค่าพลัง:
    +561
    จะรักษาศีลได้ เพราะพิจารณาโทษของการผิดศีล เรียกว่าปัญญา
    มีสมาธิดี ก็รักษาศีลได้ เพราะไม่ต้องการให้จิตเศร้าหมอง

    พิจารณาว่า ความสุขจากการเที่ยว มักสุขแท้จริงไหม
    สุขได้นานไหม

    พระพุทธองค์ก่อนบวช เป็นเจ้าชายสิทธัตถะ มีสนมอยู่ 3000 นาง
    ยังทิ้งกามกิเลส แสวงหาความสุขที่ไม่เจือด้วยกามตัณหา

    ตราบใดที่ยังเป็นปุถุชนคนธรรมดา ศีลก็มีขาดตกบกพร่องบ้าง
    ทำๆ ไป

    แค่นี้นะครับ พิจารณาให้ดี
     
  10. Mr.Boy_jakkrit

    Mr.Boy_jakkrit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    2,063
    ค่าพลัง:
    +2,676
    ศีลเป็นปัจจัยให้เกิดความสงบสุขในจิตใจเบื้องลึกเปรียบเสมือนน้ำเย็นใสๆจิบทีไรก็สดชื่นสะอาดสบายใจ ย่อมมีผลต่อการเจริญสมาธิครับ

    ก็ลองนั่งสมาธิยามปวดท้องหรือไม่สบายตัวดูสิ นั่งหลับตายังไงก็ไม่สงบเสียที
    เช่นเดียวกันกับคนที่ทำผิดศีล โดยเฉพาะคนที่รู้ว่าสิ่งที่ทำนั้นมันไม่ดีแต่ฉันก็ยังทำ พอหลับตาปุ๊บก็เดือดร้อนขึ้นมาทันที ฉนั้นใครทำอะไรไว้ก็ย่อมรู้อยู่แก่ใจ ผลกรรมจะมหาศาลมากเมื่อบุคคลนั้นคิดจะกลับใจ


    ก็มีสติอยู่นี่ แต่เป็นสติแบบคล้อยตามตัณหา เสพแล้ว เสพอีก ก่อนเสพก็มีสติที่ติดไปกับความอยากปราถนาในสิ่งนั้น จากนั้นเสพสมแล้วก็ยังเคลิบเคลิ้มไปหวนกลับไปติดอีก ธรรมสอนให้ปฏิบัติให้เห็นถึงสภาพจิตใจของตนแต่ก็ไม่ปล่อยตามใจตัวเองนะ

    ก็ต้องเข้าใจตามสภาวะตามความเป็นจริงไปนะ
    เช่น เมื่ออยากก็เสพ เสพสมแล้วก็ยังอยาก อยากแล้วก็เสพ เสพแล้วก็อิ่ม อิ่มแล้วก็หิว วนเวียนๆๆๆ อยู่อย่าง สุข ทุกข์ ๆๆๆๆ กลับไปกลับมา
    สุขก็ตอนได้เสพ ทุกข์ก็ตอนอยากจะเสพนี่ไงล่ะ ธรรมมีทุกที่ไม่ใช่มีเฉพาะเวลานั่งหน้าหิ้งพระเท่านั้นนะ การเข้าใจในสิ่งใดๆไม่เท่ากับเข้าใจในจิตตนเองดอก


    ก็อย่างที่กล่าวไปแล้วข้างต้น สามารถนำมาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้เลยครับ ประเด็นคือ เข้าใจตนเอง แต่ไม่ตามตนเอง โดยเฉพาะเมื่อท่านตัดสินใจแล้วว่าจะยึดศีล5 เป็นแนวทางเพื่อความหลุดพ้นในอนาคต ท่านก็จงพิจารณาว่า สภาวะจิตใจก่อนที่จะเกิดความอยากต่างๆนั้น มันอยากอะไร มันอยากไปไหน มันได้ไป มันได้สมปราถนาในสิ่งใดๆแล้ว สุดท้ายมันก็ไม่เที่ยง มันก็อิ่มๆหิวๆ สุขๆ ทุกข์ สุกๆ ดิบๆ ประปนกันไปหรือไม่อย่างไร
    ก็ขอจบไว้เพียงเท่านั้น จงอย่ามาถามเพื่อความหลุดเพราะถ้าถามแล้วไม่ปฏิบัติ ก็ไม่รู้จะถามไปทำไมเนาะ..
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • image019.jpg
      image019.jpg
      ขนาดไฟล์:
      30.8 KB
      เปิดดู:
      77
  11. ลุงมหา

    ลุงมหา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    307
    ค่าพลัง:
    +1,092
    เส้นทางนักปฏิบัติ

    ขออนุญาติครับ
    ขอตอบแบบรวมๆก็พิจารนาเอานะครับ

    พระธรรมของพระพุทธองค์นั้นแบ่งง่ายๆออกเป็น

    ศรัทธา
    ทาน
    ศีล
    สมาธิ
    ปัญญา
    วิมุติ
    หลุดพ้น

    โดยมีศรัทธาเป็นฐานชั้นล่างสุด
    ความหลุดพ้นเป็นจุดสูงสุด
    ถ้าเรียงซ้อนกันขึ้นไปจะเป็นทรงคล้ายๆปิรามิด
    คือฐานต้องใหญ่ต้องแน่นก่อนส่วนข้างบนจึงจะตามมาได้

    แต่เส้นทางนักปฏิบัติจริงๆแล้ว กลับกลายเป็นว่า

    สมาธิ ก็การปฏิบัติสมาธิภาวนานั้นละครับ
    สามารถเสริมสร้างทุกๆส่วนได้ทั้งหมด ในเส้นทางนักปฏิบัติทุกระดับ

    ระดับผู้ฝึกใหม่ สมาธิทำให้ จิตใจสงบ เยือกเย็นลง ความคิดความอ่านจะช้าลง แต่จะละเอียดขึ้น
    การคิดทางกุศล(ทางที่ดี ทางที่เป็นบุญ)จะมากกว่าอกุศล(ทางที่ไม่ดี ทางที่เป็นบาป)มากขึ้นๆ

    สำหรับผู้ปฏิบัติขั้นกลาง สมาธิ จะเป็นกำลังหนุนให้การปฏิบัติก้า่วหน้าได้เร็วขึ้นมากๆ

    สำหรับผู้ปฏิบัติขั้นสูง สมาธิจะเป็นการพักผ่อนของจิต เมื่อจิตเหน็ดเหนื่อยเมื่อยหล้า จากการพิจารนาด้านปัญญามากๆ

    สำหรับผู้ปฏิบัติใหม่ๆ ให้เน้นการปฏิบัติสมาธิภาวนามากๆ
    ส่วนศรัทธา ทาน ศีล จะตามมาได้เอง ส่วนความกังวลเรื่องศีล เรื่องทางอกุศลนั้น
    เมื่อปฏิบัติไปๆ จิตก็จะพาค่อยๆลด ค่อยๆละไปได้เอง


    ถ้าท่านอยากไปได้เร็ว ให้ สวดพระคาถาชินบัญชร อย่างน้อยวันละ 1 จบ
    เพราะพระคาถานี้เป็นการอัญเชิญ
    องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทั้ง 28 พระองค์
    และพระสาวกทั้งหลาย มาปกป้องคุ้มครอง ทั้งรอบๆตัวเรา และ อยู่ภายในตัวเราด้วย
    เป็น การระลึก พุทธานุสติ ธรรมานุสติ สังฆานุสติ และ เทวตานุสติ รวมอยู่ในพระคาถาหมดเลย

    ขออนุโมทนาในกุศลผลบุญของท่านด้วย

    ขอบคุณครับ

    ลุงมหา
     
  12. JIT_ISSARA

    JIT_ISSARA เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2010
    โพสต์:
    790
    ค่าพลัง:
    +1,163
    คือผมรบกวนสอบถามเพื่อความมั่นใจและเข้าใจในการดำเนินทางแห่งการหลุดพ้นดังนี้ครับ

    1.ศีลเป็นตัวทำให้สมาธิเจริญยิ่งๆขึ้นใช่ไหมครับ
    ศีลคือการมีสติหรือจดจ่อในสิ่งใดๆสิ่งหนึ่ง สัมปชัญญะ คือ ความรู้สึกในสิ่งที่ระลึกรู้หรือจดจ่ออย่างจริง ๆในสิ่งนั้น เมื่อระลึกรู้ในสิ่งใดๆสิ่งหนึ่ง บ่อยครับ จึงเกิดความตั้งมั่นของจริง ควรจะจดจ่อในสิ่งไหนจะพูดอีกที่
    ศีล คือการจดจ่อ หรือ สติ
    สมาธิ คือ ทำบ่อยๆในสิ่งที่จดจ่อ หรือ สัมปชัญญะ
    2.แล้วถ้าศีลบกพร่องหรือขาดเป็นข้อๆไปจะมีผลอย่างไรต่อสมาธิ
    ทำให้การระลึกรู้ในสิ่งนั้นไม่ชัดเจน ทำให้จิตไม่ตั้งมั่น
    3.คำพูดที่ พ่อ แม่ ครูบาอาจารย์ พูดว่า "สติมา ปัญญาเกิด" แต่ทำไมตอนที่ผมเดินเข้า อาบ อบ นวด หรือ กำลังผิดศีล(ศีลยังไม่ครบครับ) มีก็มีสติดีและรู้ว่ามันไม่มีแต่ก็ ไม่มี ปัญญาที่จะตัดขาดจากสิ่งเหล่านั้น เพราะผมไม่มีทั้งสติและปัญญาใช่ไหมครับ
    มีสติ มีความเพียร มีความรู้สึกตัว ทำบ่อยๆ จะเกิดปัญญา คือจิตจะเห็นเองว่าไม่มีประโยชน์ ไม่มีสาระ และสติจะทำการแก้ไข ความคิด ความรู้สึก และอารมณ์ต่างๆ ให้กลับสู่ความกลางของจิต
    มันจะวนรอบของมันเอง คือ ความเพียร ทำบ่อยๆ ระลึกได้ รู้สึกตัวทั่วพร้อม -->ระลึกได้ รู้สึกตัวทั่วพร้อม--->...ระลึกได้ รู้สึกตัวทั่วพร้อม แล้วจิตจะมีกำลังออกจากความยึดมั่นในสิ่งทั้งปวง

    4.ตามความเข้าใจของผมการจะทำให้ศีลบริบูรณ์นั้น มันจะต้องเกิดจากปัญญาที่เข้าใจตามสภาวะความเป็นจริงว่า สิ่งนั้นเป็นสิ่งไม่ดี พระพุทธเจ้าท่านทรงห้ามไว้ว่าอย่าทำ เพราะผมรู้สึกว่าห้ามใจยากมากในการรักษาศีล โดยเฉพาะ ข้อ 3
    รู้ทันความคิด เพราะเมื่อคิด จะมีการปรุงแต่ง เมื่อมีการปรุงแต่งจะมีความรู้สึก เมื่อมีความรู้สึก จะมีการบันทึก เมื่อมีการบันทึก จะมีการขุดอารมณ์ความรู้สึกมาให้รับรู้
    ปัญญาที่แท้จริงคือจิตเขาจะวางเขาเอง และจะทำการคลายอารมณ์และความยึดมั่นถือมั่นเอง ไม่ต้องไปตั้งใจทำปัญญาให้เกิด
    5.ขอคำแนะนำจากท่านผู้มีจิตเมตตาแนะนำทางแก้ไข ใน ศีล ให้ผมด้วยครับ

    ขอข
    ถ้าเข้าใจศีล ที่แท้จริง ไม่ต้องไปห้ามความคิด และความรู้สึกผิดในใจ แค่วางจิตไว้ที่กลางหน้าอก แล้วรับรู้อารมณ์ต่างๆที่เข้ามา และเรียนรู้อารมณ์ต่างๆที่เข้ามา โดยไม่เข้าไปผลักไส แค่รับรู้เฉยๆ และทำบ่อย ๆ จิตเขาจะมีศีล และตั้งมั่นเอง ทำได้ทั้งวัน
    อบคุณในน้ำใจไมตรีและขออนุโมทนาให้กับทุกท่านล่วงหน้า บุญใดที่เกิดจากการให้ธรรมะเป็นทาน ของท่านเทวดา นางฟ้า อริยะบุคคลทั้งหลาย ขอบุญนั้นจงนำท่านไปถึงที่สุดแห่งการดับทุกข์ด้วยครับ สาธุ

    ป.ล. ผมเป็นนักปฏิบัติมือใหม่ ยังไม่ค่อยเข้าใจในศัพท์ของท่านที่เรียนปริยัติเท่าใดนักครับ ต้องขออภัยในความเขลาด้วยครับ

    จขกท ต้องการสหายธรรม โทรมาได้นะครับ 089-4503506 ถ้าท่านคิดว่าแนวทางนี้ใช่ หรือต้องการจะลองดูโทรมานะครับ ถ้าใช่นำไปทำดู ถ้าไม่ใช่วางมันเสีย ทุกสิ่งล้วนเกิดจากความไม่มีอะไร ความหลุดพ้น คือการเห็นทุกสิงเป็นเรื่องธรรมดา รับรู้ให้ทันในปัจจุบัน ให้ตรงความเป็นจริง แค่นั้นครับ
     
  13. บุญพิชิต

    บุญพิชิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    686
    ค่าพลัง:
    +418
    ดูแล้วสิ่งที่จขกทอธิบายความมา พิจารณาแล้วยังขาดความเข้าใจ
    ในเรื่องอวิชชาของอริยสัจจ์สี่ คือการไม่รู้ทุกข์ ไม่รู้สมุทัย ไม่รู้มรรคและนิโรธ

    ซึ่งการที่จะทำให้เกิด วิชชาได้คือการรู้ในสิ่งนั้นทุกตัวทุกแง่มุม
    และที่สำคัญที่สุดคือการลงมือปฏิบัติ ที่เรียกว่ามรรค
    และที่สำคัญลึกลงไปกว่านั้นอีก ก็คือ การปฏิบัติที่เรียกว่ามรรคนั้น
    จะต้องปฏิบัติให้ครบองค์แปด เพราะม้นเป็นเหตุปัจจัยเกื้อหนุนกัน

    หลักคำสอนที่ว่าศีลสมาธิและปัญญานี้แท้จริงแล้ว มันเกิดจากการปฏิบัติ
    ที่เรียกว่า มรรคมีองค์แปด พอจะยกให้ดูได้ดังนี้
    สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ และสัมมาอาชีวะ ก็คือศีล
    สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ ก็คือสมาธิ
    สัมมาทิฐิ สัมมากังกัปปะ ก็คือปัญญา

    ศีล..เกิดจากการมี สัมมาในส่วนของวาจาดี ประพฤติดีและเลี้ยงชีพชอบ
    สมาธิ..เกิดจากการมีความเพียรชอบ การไม่พลั่งเพลอและมีจิตที่ตั้งมั่น
    ปัญญา..เกิดจากการเห็นสิ่งที่ถูกต้องตามจริงและการพิจารณาแต่สิ่งดีที่ชอบ
    ใช่ครับ มันเป็นตัวเกื้อหนุนให้เกิดสมาธิ และศีลที่ว่าถ้ากล่าวในแง่ของการ
    ปฏิบัติ ก็คือ การมี วาจาความประพฤติและอาชีพที่ดีที่ชอบครับ
    มันไม่ใช่เรื่องของ ศีลห้าหรือศีลแปดอันนี้เป็นข้อห้ามของปุถุชน
    แต่ที่กล่าวเป็นเรื่องของการดับทุกข์ เป็นอธิศีลครับ
    มันก็ต้องดูครับว่า สิ่งที่เราทำลงไปนั้น เราไปยึดมั่นถือมั่นแบบไม่มีวันลืม
    หรือเปล่า ถ้าทำไปแล้วไม่ไปคิดอีกก็ไม่มีผลต่อสมาธิหรอกครับ แต่ต้องไม่
    ลืมเรื่อง กฎแห่งกรรมนะครับ มันไม่เกี่ยวกัน
    ตามที่บอกไว้ครับว่า การเกิดปัญญาหรือการพ้นทุกข์ เราต้องมีมรรคอัน
    ประกอบด้วยองค์แปดครบถ้วน จะขาดอันใดอันหนึ่งไม่ได้

    พอจะกล่าวในกรณีของคุณว่า คุณมีสติครับ แต่ขาดความเพียรชอบ
    ไม่หมั่นเจริญสติและสมาธิให้ต่อเนื่อง ปัญญาก็ไม่เกิดครับ
    ศีลที่คุณว่ามา มันไม่ได้เกี่ยวกับปัญญาหรือแนวทางพ้นทุกข์ครับ
    มันเป็นข้อห้ามของปุถุชนทั่วไป เพื่อการอยู่กันอย่างปกติสุข
    การรักษาศีลที่ว่าไม่สามารถทำให้หลุดพ้นหรือพ้นทุกข์

    ถ้าเป็นเรื่องของศีลที่เกี่ยวกับปัญญา เขาเรียกว่า อธิศีลซึ่งมันเป็น
    เรื่องของมรรคครับ

    คุณลองสังเกตุดู สองสิ่งนี้มันเหมือนกันตรงคำว่าศีล แต่มันต่างกันที่
    อันหนึ่งห้ามทำ แต่อีกสิ่งให้ทำครับ ผลแห่งความดีคือปัญญามันเป็นผล
    มันจะเกิดได้ก็ต้องทำ ก็คือทำดี
    การไม่ทำชั่วไม่ส่งผลอะไรกับปัญญาก็แค่คนไม่ทำชั่ว ถ้าไม่ทำดีเสริมก็ไม่ได้
    หมายถึงคนดี การไม่ทำชั่วเป็นการไม่ประมาท ที่จะทำให้ตัวเองไปอบายภูมิ
    ตอนนี้ยังขาดความเข้าใจในเรื่องการปฏิบัติ ก็มั่นรักษาศีลของปุถุชนไป
    ให้เป็นหลักยึด เป็นสติด้วยความเพียร เมื่อชำนาญแล้ว ค่อยๆปฏิบัติในสิ่ง
    ที่สูงขึ้นไป ที่สำคัญเราต้องเข้าใจในสิ่งที่เราปฏิบัติด้วย ไม่ใช่ใครเขาบอก
    ให้ทำอะไรก็ทำไปตามเขาทั้งๆที่ยังไม่เขาใจว่า ทำไปแล้วเกิดผลอะไร
    แล้วทำไมต้องทำ

    ถ้ายังไม่เข้าใจก็มั่นถามครับ ถ้าอาจารย์คนใดบอกว่า ห้ามสงสัยห้ามถาม
    ผมแนะนำให้ถอยห่างเลยครับ เพราะมันเป็นข้ออ้างของคนไม่รู้จริงครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...