ข้อความทดสอบปัญญาคับผม

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย banana603, 13 ธันวาคม 2010.

  1. banana603

    banana603 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    62
    ค่าพลัง:
    +17
    ฟังในสิ่งที่ไม่ได้ยิน มองในสิ่งที่ไม่เห็น ทำในสิ่งที่ไม่มี
    ความดังกล่าวนี้ มองได้กี่แง่ หมายถึงอะไรบ้าง
    แสดงความเห็นๆ บ้างคับผม นำมาเจริญวิปัสนาโดยทั่วกัน..
     
  2. รู้รู้ไป

    รู้รู้ไป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    951
    ค่าพลัง:
    +3,165
    เมื่อฟัง ตนได้รับผล ผู้อื่นไม่ได้รับผล เสมือนฟังได้ในสิ่งที่ไม่ได้ยิน
    เมื่อมอง ตนได้รับผล ผู้อื่นไม่ได้รับผล เสมือนมองได้ในสิ่งที่ไม่เห็น
    เมื่อทำ ตนได้รับผล ผู้อื่นไม่ได้รับผล เสมือนทำได้ในสิ่งที่ไม่มี


    เมื่อฟัง แต่ไม่ได้รับผลแห่งการฟังนั้น เสมือนฟังในสิ่งที่ไม่ได้ยิน
    เมื่อมอง แต่ไม่ได้รับผลแห่งการมองนั้น เสมือนมองในสิ่งที่ไม่เห็น
    เมื่อทำ แต่ไม่ได้รับผลแห่งการทำนั้น เสมือนทำในสิ่งที่ไม่มี


    ขอลองตอบ ลองแสดงความเห็นซัก 2 แง่นะครับ ถูกผิด ก็ขอแบ่งปันความคิดความเข้าใจ ไว้เจริญปัญญา อย่างที่เจ้าของกระทู้เชิญชวนครับ

    แท้จริงแล้ว มีแง่เดียว?
     
  3. ศนิวาร

    ศนิวาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2008
    โพสต์:
    7,337
    ค่าพลัง:
    +17,632
    มติความเห็นของผมเป็นอย่างนี้ อาจไม่ถูกต้องตามปริศนาธรรมก็ได้

    ฟังในสิ่งที่ไม่ได้ยิน


    ในทางโลกิยะคือ ให้ฟังคำทักท้วง คำติเตียน คำนินทา ด้วยใจเป็นธรรมเพื่อนำมาพิจารณาใคร่ครวญว่าเราได้เป็นได้ทำในสิ่งนั้น ๆ บ้างหรือไม่ เพราะคำพูดเหล่านี้เป็นคำพูดที่เราไม่ได้ยินจากคนที่เราคบหาสมาคมด้วย

    ในทางธรรมคือ คุณธรรมในใจ เมื่อเราคิดทำบาป หรือทำบาป คุณธรรมก็จะยับยั้งเราไม่ให้ทำผิด คืเกรงกลัวตอบาป ละอายใจต่อบาป นี่คือ ฟังในสิ่งที่ไม่ได้ยิน

    มองในสิ่งที่ไม่เห็น

    ทางโลกียะคือ การกำหนดอนาคตของตนเองว่าจะเป็นไปในแนวทางใด คือการวางแผนการดำเนินชีวิตนั่นเอง เพราะอนาคตข้างหน้าเป็นสิ่งที่ยังไม่เห็นแต่เรามองเอาไว้ก่อน

    ทางธรรมคือ การมีสติไม่ประมาท ตั้งมั่นในการทำความดี เพราะบาป - บุญ , กรรมเวร สวรรค - นรก และภพภูมิต่าง ๆ นั้นเรามองไม่เห็น และไม่รู้ว่าจะเวียนมาสนองเมื่อใด แต่ก็ต้องมองเอาไว้ก่อนทั้ง ๆ ที่ไม่เห็น จะได้ไม่ขาดทุนภายหลัง

    ทำในสิ่งที่ไม่มี

    ในทางโลกียะ คือก่อร่างสร้างตัวหาทรัพย์สมบัติต่าง ๆ เอาไว้เพื่อเลี้ยงดูตนเอง เลี้ยงดูบิดา - มารดา ลูก - เมีย ที่จะมีขึ้นในข้างหน้า นี่คือทำในสิ่งที่ไม่มีให้มีขึ้น

    ในทางธรรม ให้เร่งสร้างสมบุญ - บารมี ทาน , ศีล ,สมาธิ เอาไว้เพราะสิ่งเหล่านี้ถึงแม้จะมีก็เหมือนไม่มีเพราะไม่มีรูปธรรมให้เห็น นี่จึงเรียกว่า ทำในสิ่งที่ไม่มี

     
  4. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    ขึ้นกับสภาพของ ทิฏฐิ

    หากยังไม่เป็น สัมมาทิกฐิ เพราะข้องในข่าย ทิฏฐิพราหม์

    สิ่งที่ไม่รู้ ไม่เห็น ไม่มี คือ ภพภูมิเทวดา ภพภูมิพรหม ภพภูมิลูกฟัก
    โดยอาศัยฐานะของ มนุษย์เป็นฐานย่ำเหยียดเหยีบดำเนิน

    หากยังไม่เป็น สัมมาทิกฐิ เพราะข้องในข่าย ทิฏฐิไสย

    สิ่งที่ไม่รู้ ไม่เห็น ไม่มี คือ ภพภูมิผี ภพภูมิสาง ภพภูมินาง ภพภูมิยักษ์
    โดยอาศัยฐานะของ มนุษย์เป็นฐานย่ำยีเบียดบังเป็นอาจิณ

    หากมีสัมมาทิฏฐิ ไม่ติดข้องในภพใดๆ พ้นจากทิฏฐิความเป็นผู้แสวงหาภพ(สัมภเวสี)

    สิ่งที่ไม่รู้ ไม่เห็น ไม่มี คือ ไม่รู้ทุกข์ ไม่เห็นอนิจจัง ไม่มีอัตตา(อนัตตา)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 ธันวาคม 2010
  5. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    ขอบังอาจแก้ปริศนาธรรมด้วยค่ะ เพื่อเป็นการทดสอบตัวเอง
    ฟังในสิ่งที่ไม่ได้ยิน ก็คือการพิจารณาธรรม ที่เกิดขึ้น เมื่อมีผัสสะมากระทบทางอายตนะ 6 ด้วยปัญญา หรือเรียกอีกอย่างว่า วิปัสสนา (การวิสัชนาถามตอบทางจิตกับปัญญาที่เกิดขึ้น)
    มองในสิ่งที่ไม่เห็น ก็คือการเห็นธรรมที่ได้พิจารณาแล้ว ว่าเป็นสิ่งทั้งหลายทั้งปวงที่มากระทบนั้น ไม่เที่ยง เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป เป็นเช่นนั้นเอง
    ทำสิ่งที่ไม่มี ก็คือ เมื่อได้รู้ด้วยปัญญาว่าสิ่งเหล่านั้น เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แล้วก็ปล่อยวาง ไม่ยึดติด ทำจิตให้ว่างจากอวิชชาทั้งปวง
     
  6. อภิราม

    อภิราม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +9,005
    ขออนุญาตแสดงความคิดเห็นด้วยคนครับ

    ฟังในสิ่งที่ไม่ได้ยิน คือ ฟังกิเลสตัณหาและความชั่วภายในจิตใจ

    เมื่อกิเลสตัณหาเกิดขึ้นภายในจิต เราไม่เคยคิดจะฟังกันเลย เราทำตามมันทันที
    แม้คิดจะฟังก็ฟังไม่ได้ยิน เราจึงต้องฝึกที่จะฟังมัน ฟังแล้วต้องรู้เท่าทันไม่ทำตามมัน

    มองในสิ่งที่มองไม่เห็น คือ มองธรรมะภายในจิตใจ

    เราทุกคนมีธรรมภายในจิตใจกันทุกคน มองให้เห็นธรรมภายในใจของตนเอง
    ต้องพากเพียรฝึกฝน จึงจะเห็นและรับรู้ธรรมภายในใจตนเองได้

    ทำในสิ่งที่ไม่มี คือ ทำวิชชาปัญญารู้แจ้งให้มีภายในจิตใจ

    เราเกิดมามีอวิชชาติดตัวกันทุกคน เราจึงควรศึกษาจิต ศึกษาสิ่งต่างๆภายในจิตใจ
    ทั้งกิเลสตัณหาและธรรมะภายในจิตใจเรา เพื่อให้เกิดวิชชาปัญญารู้แจ้ง คือ สิ่งที่เรายังไม่มีมาตั้งแต่เกิด
     
  7. Ricky

    Ricky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    350
    ค่าพลัง:
    +682
    มันเป็นอนัตตาครับ เพราะฉะนั้นการฟัง การมอง การทำ ทั้งหลายล้วน ไม่ได้ยิน ไม่เห็น และไม่มี

    ทั้งนี้ทั้งนั้นสิ่งที่ทำให้เราทั้งหลายเห็นว่า ได้ยิน ได้เห็น และได้ทำล้วนเกิดจากขันธ์ 5 ทั้งสิ้น โดยตัวขันธ์แต่ละส่วนมันก้อมีหน้าที่แตกต่างกันไป วิญญาณเป็นตัวรับรู้ สังขารเป็นตัวปรุงแต่ง สัญญาเป็นตัวกำหนดจดจำ เวทนาเป็นตัวรู้สึก จำแนกอารมณ์ว่าสุข ทุกข์ หรือเฉยๆ ส่วนรูปจะเป็นส่วนของรูปธรรม

    ลองมาพิจารณาทีละตัว
    สิ่งที่ได้ยิน มีตัวตนไหม ถ้ามีตัวตนแล้วมันอยู่ที่ไหนล่ะ จับต้องได้ไหม
    สิ่งที่ถูกมอง สิ่งที่ถูกมองมีตัวตนไหม ถ้ามีแล้วต่อไปล่ะเป็นยังไง แล้วท้ายสุดเป็นยังไง
    สิ่งที่ถูกทำ มีตัวตนไหม ถ้ามีแล้วต่อไปเป็นยังไง แล้วท้ายสุดเป็นยังไง

    สิ่งต่างๆบนโลกนี้น่ะ ถ้าแบ่งแยกอย่างคร่่าวๆก็จะได้เป็น รูป กับ นาม สิ่งที่เป็นรูปนั้นจะเป็นลักษณะของรูปธรรม จับต้องได้ แต่ทว่าตัวรูปธรรมเป็นสิ่งที่เกิดจากธาตุทั้ง 4 และธาตุเหล่านี้เองก้อไม่ใช่สิ่งที่จะคงอยู่ตลอดไป ลองสังเกตตึกรามบ้านช่องที่ว่าแข็งแรงนักหนาดูก้อได้ หรือว่าจะลองสังเกตภูเขาเทือกเขาทั้งหลายซึ่งเกิดจากการเคลื่อนตัวของเปลือกโลก ถ้าอยากดูในระยะสั้นก้อลองดูที่พึ้นดินบนเขานั้นๆ แต่ถ้าอยากดูในระยะยาว ก้อลองเอาประวัติศาสตร์การเกิดเทือกเขามาดูล่ะกัน

    ส่วนทางด้านของนามเองก้อคือส่วนที่ถูกปรุงแต่งจาก เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ทั้งสิ้น ถ้าจะลองพิจารณาอย่างง่ายๆ ก้อลองยกมาจากข้างบนว่า สิ่งที่นำมาปรุงแต่งเองยังเป็นอนัตตา แล้วหากเรานำมันมาปรุงแต่งความคิดมันจะเป็น อัตตา ได้อย่างไร
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 ธันวาคม 2010
  8. passakorner

    passakorner เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    284
    ค่าพลัง:
    +1,034
    ฟังในสิ่งที่ไม่ได้ยิน
    - ฟังเสียงจิตที่เรียกหาความพ้นทุกข์ ความอยากในตัณหา ความหมกหมุ่นในกามนารมณ์ ความไม่อยาก ทั้งหลาย

    มองในสิ่งที่ไม่เห็น
    - มองจิตที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่อย่างเนื่องนิตย์ ให้เห็นโทษถึงการปรุงแต่งของจิตทุกเมื่อ ทุกขณะ

    ทำในสิ่งที่ไม่มี
    - ทำให้สิ่งที่ปุถุชนคิดว่าไม่มี คือการปฎิบัติตนไปสู่พระนิพพาน
    ยกระดับจิตตนเองให้สูงขึ้น ให้จิตสูงขึ้น (มนุษย์)
    ให้ละอายต่อบาป (เทวดา)
    ให้ปราศจากกามคุณทั้งหลาย (พรหม)
    ละความอาลัยกายนี้ (อรูปพรหม)
    นึกความตายเป็นของธรรมดา (โสดาบัน)
    มั่นเจริญสมาธิและยกระดับวิชชาให้เจริญงอกงามขึ้น (สกิทาคามี)
    มุ่งบำเพ็ญอย่างยิ่งยวด (อนาคามี)
    และ หมดกิจทางโลกอย่างสิ้งเชิง เป็นผู้ไม่กลับมาสู่วัฎฎะสงสารแห่งนี้อีกต่อไป มีจิตเกษมเนินนานหาที่สุด (อรหันต์)
     
  9. ชินนา

    ชินนา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    192
    ค่าพลัง:
    +248
    ขอร่วมด้วยคนครับ

    ถ้ามองในแง่ ๑
    ก็เป็นเพราะโลกธาตุไม่มีตัวตนที่แท้จริง เป็นดั่งความว่าง
    ถ้ามองในแง่ ๒
    ฟังในสิ่งที่ไม่ได้ยิน
    - ฟังธรรมที่ตนยังเข้าไม่ถึง จึงไม่เข้าใจธรรมนั้น เปรียบเหมือนไม่ได้ยิน
    มองในสิ่งที่ไม่เห็น
    - มองเห็นและอยู่กับธรรมะตลอดเวลา แต่ไม่เคยเห็นอริยสัจ ไม่เคยเห็นไตรลักษณ์ ไม่เห็นความเป็นธรรมดา เปรียบเหมือนไม่เห็น
    ทำในสิ่งที่ไม่มี
    - การปฏิบัติธรรมเพื่อความว่างจากกิเลส หลุดพ้นแล้วก็วางทุกอย่าง ไม่เอาอะไรไปเลยแม้แต่ฌาณ อภิญญา บุญ บาป จึงชื่อว่าทำในสิ่งที่ไม่มี(ทำเพื่อความไม่มี)
     
  10. suthipongnuy

    suthipongnuy ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    661
    ค่าพลัง:
    +1,428
    ขออนุญาติแสดงความโง่เขลา เบาปัญญา

    ฟังในสิ่งที่ไม่ได้ยิน = ไม่มีอะไรให้ฟัง
    มองในสิ่งที่ไม่เห็น = ไม่มีอะไรให้เห็น
    ทำในสิ่งที่ไ่ม่มี = ไม่มีอะไรให้ทำ
     
  11. dangcarry

    dangcarry เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2005
    โพสต์:
    1,396
    ค่าพลัง:
    +4,306
    สั้นที่สุดคือ จิต ตัวเดียวค่ะ
     
  12. banana603

    banana603 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    62
    ค่าพลัง:
    +17
    หลายท่านก็กล่าวไว้ตามแต่ที่ตรองไว้ หากท่านที่ตอบได้ปฏิบัติธรรมมาบ้าง อาจจะยอมรับในคำตอบได้บ้าง
    คำตอบข้อนี้ ไม่มีถูกผิดนะคับ เป็นความที่ทดสอบปัญญา และได้ผลดีมาก จะนำไปใช้ต่อก็ไม่ว่านะคับ เพราะคำถามมิใช่ที่ผมคิดมาเอง
    ก่อนอื่นควรเข้าในมุมมองไว้ก่อนซะว่า ทางโลก -- คนปกติมักมองสิ่งต่าง ๆ ล้วนเป็นอัตตา ทางธรรม -- มองทุกสิ่งเป็นอนัตตา
    มุมมองแง่ที่ 1 ทางโลก จะยึดติดรูป เป็นหลัก ต้องเป็นสิ่งที่สัมผัสได้ด้วย สัมผัสทั้ง 5 ถึงจะเรียกว่ามี ในทางโลก
    ฟังในสิ่งที่ไม่ได้ยิน -- คือ ฟังธรรม แต่ไม่รับรู้ในธรรม
    มองในสิ่งที่ไม่เห็น -- คือ เห็นธรรม แต่ไม่แจ้งในธรรม
    ทำในสิ่งที่ไม่มี -- คือ ปฏิบัติธรรม แต่ไม่เห็นผลทางธรรม
    มุมมองแง่ที่ 2 ทางธรรม พระนิพพานมีจริง
    ฟังในสิ่งที่ไม่ได้ยิน -- คือ ผู้ที่ฟังสิ่งต่าง ๆ ที่ล้วนไม่เป็นสาระ ไม่เกิดประโยชน์
    มองในสิ่งที่ไม่เห็น -- คือ ผู้ที่กำลังหาทางออกแต่หาไม่เจอ หรือ เป็นผู้ที่กำลังหลงผิดนั่นเอง
    ทำในสิ่งที่ไม่มี -- คือ ผู้ที่ยังละซึ่งกิเลสไม่ได้ และยังยึดติดอยู่กับทางโลก
    หากพิจารณาแล้ว สามารถใส่ความให้ชัดเจนได้
    -ทางโลก- ฟังในสิ่งที่ไม่ได้ยินด้วยหู ++ มองในสิ่งที่ไม่เห็นด้วยตา ++ ทำในสิ่งที่ไม่มีสิ่งให้สัมผัส
    -ทางธรรม- ฟังในสิ่งที่ไม่ควรได้ยิน ++ มองในสิ่งที่ไม่จำเป็นต้องเห็น ++ ทำในสิ่งที่ไม่มีประโยชน์
    สรุปโดยรวมแล้วก็คือ
    ในทางโลก จะเห็นธรรมะ เป็นสิ่งที่เพ้อเจ้อ ไม่มีจริง เป็นไปไม่ได้ สำหรับคนทั่วไปการสัมผัสสิ่งต่าง ๆ ได้ ถือเป็นสิ่งที่มี สำหรับมนุษย์โลก
    จุดมุ่งหมายของคนทางโลก มักว่ากันว่า อยากเสพสุขโดยไม่มีทุกข์ใดเลย ซึ่งแท้จริงแล้ว เป็นไปไม่ได้ สิ่งที่มนุษย์โลกได้ใคร่อยากเสพสุขนั้น
    แท้จริงแล้วคือ ความว่างเปล่า ดังคำพุทธองค์ " สุขอื่นใดหาได้เท่าความสงบไม่มี " จินตนาการที่มนุษย์มี คือ กิเลสทั้งสิ้น
    ในทางธรรม การดำเนินอยู่ในทางธรรม เป็นการฝืนหลักธรรมชาติ โดยเห็นสิ่งทางโลกเป็นสิ่งที่ชวนให้ยึดติด สิ่งที่ไม่มีดังกล่าวนั้นคือ ไม่เป็นประโยชน์
    หลายๆท่านอาจเคยได้ยินความว่า " ผู้ใดแจ้งใจในพระธรรม ผู้นั้นได้พบพระตถาคต "
    โดยทั่วไปแล้ว มนุษย์มักว่าตามหลักวิทยาศาสตร์เป็นตามเหตุและผล ซึ่งหารู้ไม่ว่า พระพุทธศาสนาของเรานั่นคือ
    หลักวิทยาศาสตร์ตั้งแต่สมัยโบราณ แถมละเอียดกว่าวิทยาศาสตร์ปัจจุบันเสียอีก หากท่านสัมผัสมาแล้ว
    โดยรวมแล้ว นำ2แง่ มาประสานเข้าด้วยกัน จะเป็นคำตอบกลาง ๆ นั่นก็คือ
    ความที่ว่า มีกลับไม่มี ไม่มีกลับมี การเข้าใจความขึ้นกับปัญญาของผู้ตีความ เพราะระดับปัญญาล้วนแล้วแตกต่างกันทั้งสิ้น
    ขออภัยที่ต้องใช้ ภาษาบ้าน ๆ เพื่อให้ทุกท่านเห็นภาพกันถ้วนหน้า ผู้ที่ไม่ได้ปฏิบัติ อาจไม่เห็นมุมมองทางธรรม
    หากผมอธิบายแล้วไม่เห็นภาพ ก็ขออภัยด้วยนะคับผม
    กระผมมิได้อ้าง หรือ อวดปัญญาด้วยเหตุใด เนื่องด้วยปัญญาก็ยังมีอยู่น้อยนิด เพียงแต่ใคร่สนทนากับผู้สนใจปฏิบัติธรรมด้วยกัน
    หากผู้ใดสงสัยไม่เข้าใจ ใคร่แย้งในคำตอบ หรือต้องการเสนอสิ่งใด ก็ควรแก่การพิจารณาคับ เปิดโอกาสให้สนทนากันได้
    และผู้ใดต้องการที่จะสนทนาธรรมด้วย ก็ยินดีที่จะสนทนาต่อ คับผม หากสนใจ msn --> vhay_tama@hotmail.com
    หากคุณ อโศ ได้อ่าน กรุณาตอบรับด้วยคับผม
    สุดท้ายนี้ ก็ขออภัย หากทำให้ผู้ใดแคลงใจ หรือผิดหวังคับความเห็น
     
  13. guaregod

    guaregod เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    962
    ค่าพลัง:
    +1,009
    มีประโยชน์อะไรครับ กับสิ่งที่กล่าวมา ในชีวิตจริง แต่ก็น่าจะดีถ้าใช้ในการสร้างสมาธิ เพราะเลือกฟังแต่สิ่งที่ไม่ได้ยิน ก็ไม่สนใจว่ามีเสียงอะไรมากระทบ มองในสิ่งที่ไม่เห็น ก็ไม่สนใจที่จะมอง อะไร เห็นภาพอะไรก็ไม่ต้องสนใจ ทำในสิ่งที่ไม่มี ก็ไม่ต้องไปทำอะไร ทำสมาธิไม่เรื่อยๆ
     
  14. Kama-Manas

    Kama-Manas เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    5,351
    ค่าพลัง:
    +6,491
    ค้นเข้าไป เดี๋ยวก็เห็นเอง
     
  15. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    ฟังในสิ่งที่ไม่ได้ยิน

    คือ รู้จักฟังในสิ่งที่เราไม่เคยได้ยิน คือ ฟังแล้วผ่านๆไป หัดเอามาพิจารณาบ้าง


    มองในสิ่งที่ไม่เห็น

    หัดมองในสิ่งที่เราไม่เคยมองบ้าง เช่น นาม รูป ที่เกี่ยวกับตัวเรา ไม่ใช่ไปมองภายนอก ให้มองภายในตัวตนเอง


    ทำในสิ่งที่ไม่มี

    หัดทำในสิ่งที่เราไม่มี ไม่เป็น ให้มันพอกพูนขึ้น เช่น กุศลต่างๆ ที่เราไม่เคยมี ที่ผ่านมามันมีแต่กิเลส

    ความดังกล่าวนี้ มองได้กี่แง่ หมายถึงอะไรบ้าง
    แสดงความเห็นๆ บ้างคับผม นำมาเจริญวิปัสนาโดยทั่วกัน..
     
  16. เสขะ บุคคล

    เสขะ บุคคล เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,240
    กระทู้เรื่องเด่น:
    53
    ค่าพลัง:
    +4,021

    ขอพิจารณาด้วยคน ในมุมมองของทางเดินเพื่อสู่ธาตุเดิม (ด้วยควาฟุ้งซ่าน)

    1.สิ่งที่รับรู้คือ ?
    2.สิ่งที่ถูกรู้คือ ?
    3.สองสิ่งนี้สัจจะคือ ?


    @ ผู้ฟัง ผู้มอง ผู้กระทำ - เรากล่าวสิ่งเป็นตัวตน ว่านั้นมีอยู่ = เรากล่าวสิ่งนั้นว่าอัตตา


    @ สิ่งที่ไม่ได้ยิน สิ่งที่ไม่เห็น อาการที่ทำอยู่ - เรากล่าวสิ่งไม่ใช่ตน ว่านั้นมีอยู่ = เรากล่าวสิ่งนั้นว่าอนัตตา


    @ สิ่งทั้งหลาย มีอยู่ก่อนแล้ว และยังคงอยู่อย่างนั้นโดยความปรุงแต่ง = เรามีคำกล่าวในความเปลี่ยนแปลงว่า สมมุติ
    @ ย้อนกลับสู่ธาตุแท้อันบริสุทธิ์ เกิดขึ้นในเบื้องต้น มีอยู่ในท่ามกลาง ส่งคืนสู่ธาตุแท้ในที่สุด = เราไม่มีคำกล่าวในสมมุติ เพราะคือความจริงแท้ โดยธรรม ล้วนคืนสู่ ธาตุดินน้าไฟลมอันบริสุทธิ์และธาตุรู้อันบริสุทธิ์ ไม่มีมา ไม่มีไป คงอยู่โดยธรรมและบริสุทธิ์โดยธาตุ



    เราจึงกระทำ พูด และคิด โดยความมีอยู่ และในความไม่มี ตามความจริง เพื่อส่งคืนความปรุงแต่งกลับสู่ธาตุแท้อันบริสุทธิ์ โดยธรรม ?
    เราจึงตั้งคำถามต่อตนเองจาก การได้ยิน ได้เห็น และได้กระทำ ว่า "มี-ไม่มี ไม่มี-มี นี้คืออะไร ?"

    จึงนำมาเจริญวิปัสนา ......



    * กล่าวจากความคิดฟุ้งซ่าน ขำ ขำ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 14 ธันวาคม 2010
  17. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    ปัญญากระจ่างทุกคนเลยค่ะ แต่อยู่กันคนละระดับเท่านั้นเอง จึงเห็นไม่เหมือนกัน
     
  18. Ricky

    Ricky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    350
    ค่าพลัง:
    +682
    ถูกต้องที่สุด เดินทางคนละสาย คนละแบบ แต่จุดจบเดียวกันอยู่ดี เพราะเรามีจุดหมายเดียวกัน
     
  19. ชาวพุทธครับ

    ชาวพุทธครับ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2007
    โพสต์:
    47
    ค่าพลัง:
    +59
    ขอเขียนตอบกระทู้ด้วยคนนนะคับ

    อืม...ความคิดผมนะ เหมือนกับที่ สมเด็จพระสัมมาสัมพุธเจ้า ออกผนวชเพื่อค้นหาสัจจะธรรมที่ทำให้เข้าถึงพระนิพพาน แหละคับ


    ท่านได้เรียนมาจากพระอาจารย์ทั้งสองจนถึงที่สุดแล้ว แต่ท่านก็เชื่อว่ายังไม่ถึงที่สุด ท่านจึงออกค้นหาสัจธรรมต่อไปจนพบ

    หรือเปรียบอีกอย่างก็น่าจะ เหมือนกับคนที่หลงอยู่ในสถานที่ ที่มืดและเงียบ เขาก็ได้ตั้งใจฟังเสียงของผู้คน และมองหาแสงสว่าง เผื่อว่าจะมีใครหรือมองเห็นทางออก จากสถานที่นั้นได้ แต่ถึงไม่มีใครหรือมองไม่เห็นทาง เขาก็ยังเชื่อว่ามันต้องมีทางออกจากสถานที่นั้นได้จึงได้ทำต่อๆไป

    ฟังในสิ่งที่ไม่ได้ยิน มองในสิ่งที่ไม่เห็น และ ทำในสิ่งที่ไม่มี

    ทำอะไรที่คนปกติเขาไม่ทำกันหละคับ

    สรุปแล้วผมว่า มันน่าจะคือ"ความเชื่อ"(ส่วนบุคคล)นะคับ

    เราเชื่อใน กฎของกรรม เราจึงตั้งหน้าทำดี ทั้งที่ไม่รู้เลยว่ามันจะจริงมั๊ยกับกานให้ทาน หรือ อะไรกับอะไรอีกมากมาย (มานเยอะ)

    แต่ผมเชื่อในคำสอนของพระพุทธเจ้า
    ผมถึงได้พยายามเป็นคนดี\(^_ ^)/****

    ปัญหาที่คุณ Sotoz ตั้งมานี่ทามปวดหัวเลยคับ
    ขอแสดงความคิดเห็นในมุมมองของผมแค่นี้แหละคับ \(^_ ^)/****

    ดีคับๆทุกท่าน


    ปล. เป็นคนดีนี่ยากจัง
     
  20. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    มัน...จริงๆแล้ว...ไม่มีสิ่งใดเลยและมันมีเพราะความคิดว่ามันมีแต่ความจริงคือมันก็ไม่ได้มีขึ้นอย่างที่เข้าใจกันจริงๆ ทุกสิ่งล้วนอาศัยเหตุปัจจัยเกื้อหนุนกันเสมอ ผัสสะแล้ว...เมื่อดับมันก็ไม่มีเมื่อไม่ดับมันก็มี...แต่ถ้ามันมีแล้วไม่ยึดไว้มันก็เท่ากับว่าไม่มี
     

แชร์หน้านี้

Loading...