ประสบการณ์ใน"ยมโลก" (อยากให้ทุกท่านได้อ่าน)

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย smiziie, 21 มกราคม 2011.

  1. smiziie

    smiziie สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2011
    โพสต์:
    6
    ค่าพลัง:
    +0
    ดิฉันไปเจอบทความนี้ในเว็บไซต์หนึ่งและคิดว่าอยากจะเผยแพร่ให้อีกหลายๆคนได้อ่านได้ทราบ และบอกต่อๆไป

    .......................................





    ทำไมจึงต้องตาย-ทำอย่างไรจึงจะไม่ตายเมื่อพูดถึงความตาย ทุกคนก็ต้องรู้ดีและมักจะร้องอ๋อไปตาม ๆ กัน แต่ท่านแน่ใจแล้วหรือว่าท่านรู้จักดี มีน้อยคนที่จะรู้จักดี ที่ว่ารู้จักในที่นี้หมายถึงรู้โดยตลอดอย่างแน่ชัดว่าความตายคืออะไร ตายอย่างไร และตายแล้วไปไหนตลอดจนรายละเอียดอื่น ๆ ที่เกี่ยวกับความตายอีกมากหลายบางคนอาจรู้ดีแต่บางคนอาจไม่เคยรู้เลย คนที่จะรู้ได้ดีจะมีก็แต่เฉพาะคนที่เคยตายมาแล้วเท่านั้น ส่วนคนที่ยังไม่เคยตายมาก่อน ไฉนจะมาอวดว่าตนรู้ ข้อนี้คงไม่ใครเชื่อ บางคนสามารถอธิบายได้คล่องแคล่ว ราวกับน้ำไหลไฟดับในเรื่องความตาย และในที่สุดก็สรุปลงเอยเอาอย่างง่าย ๆ ตามภาษาที่คิดว่าตนรู้ดี คือว่าการตายนั้นเป็นการสลบไปนั่นเอง ไม่แตกต่างอะไรกันมากนัก นอกจากว่าจะกลับฟื้นขึ้นมาอีกหรือไม่เท่านั้น ซึ่งผิดกับความเป็นจริงอย่างสิ้นเชิง ที่ข้าพเจ้ากล้าพูดเช่นนี้ก็เพราะข้าพเจ้าเคยทั้งตายและสลบมาแล้ว คนที่ไม่เคยทั้งตายและไม่เคยสลบจะรู้ได้อย่างไรว่าตายนั้นคืออะไรสลบคืออะไร ขืนพูดไปก็เปล่าประโยชน์ไร้สาระ แต่สำหรับข้าพเจ้ารู้ได้ดี เพราะในชีวิตข้าพเจ้าเองได้เคยผ่านการตายและการสลบอย่างแท้จริงมาแล้ว ข้าพเจ้าจึงกล้ายืนยันได้ว่า“ตาย” กับ“ สลบ” ต่างกัน (สำหรับตัวผู้ตายหรือผู้สลบ)เพราะเมื่อตายวิญญาณได้ออกจากร่างไปลอยอยู่ในอากาศและยังมองเห็นร่างกายของตนอยู่ในลักษณะเดิม แต่ไม่สามารถพูดจาให้ใครได้ยินได้ ส่วนการสลบวิญญาณไม่ได้ออกจากร่าง คงเป็นแต่เพียงมืดทึบมองอะไรไม่เห็น หรือบางครั้งเหมือนกับฝันเคลิ้มๆ ไปก็อาจเป็นได้ แต์ใม่เหมือนกับการตายแน่นอน เพราะข้าพเจ้าได้ตายไปแล้ว เมื่อวันที่ 16สิงหาคม เวลา 18.00 น. เศษ ด้วยโรค (ไข้มาลาเรียขึ้นสมอง)ณ ศูนย์พยาบาลหน้าเมืองพยากในเขตสหรัฐไทยเดิม (แคว้นฉานใต้ รัฐเชียงตุง) ซึ่งจะได้เล่ารายละเอียดให้ฟังต่อไป
    ส่วนการสลบนั้นข้าพเจ้าได้สลบไปโดยประสบอุบัติเหตุเนื่องจากภูเขาพังทับลงมา เมื่อวันที่ 11 มีนาคม พ.ศ 2486เวลาประมาณ 11.30 น. เศษ (โดยเหตุถูกภูเขาพังลงมาทับและฝังไว้แค่คอ) ผู้รู้เห็นเป็นพยานที่ยังอยู่ขณะนี้คือนาวาอากาศเอก แขม กุญชร หัวหน้ากองส่งกำลังบำรุงกองบัญชาการทหารสูงสุด นายสิบและพลทหารอีกประมาณ30-40 คน ที่ตำบลท่าเจียว อำเภอเมืองพยาก สหรัฐไทยเดิม(เชียงตุง) และจะได้นำมาเล่าให้ฟังภายหลังถ้ามีเวลาพอ
    แต่ไม่ว่าจะเป็นการตายหรือสลบก็ตามมีสิ่งที่น่าสังเกตอยู่อย่างหนึ่ง ซึ่งนับว่าเหมือนกันก็คือ“การพ้นจากความเจ็บปวดทนทุกข์ทรมาน” ในระหว่างที่ตายหรือสลบไป บางท่านได้สอนเรื่องการตายตามตำราพระอภิธรรม หรือทางพระปรมัติธรรมอย่างยืดยาว ซึ่งส่วนใหญ่ท่านก็สอนไปตามตำราที่ท่านเคยศึกษาเล่าเรียนมา แต่ในที่สุดก็ไม่อาจชี้ชัดลงไปอย่างแน่นอนว่า การตายจริง ๆ คืออย่างไร และต่างกับการสลบไปอย่างไร จึงทำให้นักศึกษาหรือผู้ฟังบางท่านไม่เข้าใจแจ่มแจ้งในเรื่องความตายและการตาย ซึ่งผิดไปจากความเป็นจริง ทั้งนั้นจะไปโทษท่านผู้สอนก็ไม่ได้ เพราะท่านมีหน้าที่สอนก็สอนไป จะเป็นเพราะด้วยใจรักการสอน รักธรรมะ หรือเป็นเพราะด้วยอาชีพของท่านก็ตาม ท่านมีหน้าที่ก็อธิบายไปตามหน้าที่ของท่าน ส่วนข้อเท็จจริงหรือข้อยุติมีอย่างไรท่านคงให้ไม่ได้ เพราะใครเลยจะกล้าเอาตัวเข้าเสี่ยงเป็นเครื่องทดลองกับความตาย เพื่อค้นคว้าหาความจริงมาสอนให้ตรงกับความจริงที่คนทั้งหลายได้ประสบมาแล้ว คือตายจากกันอยู่ทุกวี่ทุกวัน จึงจำเป็นอยู่เองที่จะต้องสงสัยและยังคงโต้เถียงกันอยู่จนถึงปัจจุบันนี้โดยไม่มีทางยุติลงได้
    มนุษย์เรามีความแปลกประหลาดอยู่อย่างหนึ่ง คืออยากรู้ในสิ่งที่ไม่ควรรู้ หรือเขาไม่ต้องการให้รู้ อยากเห็นในสิ่งที่เขาปกปิดเป็นความลับ แต่ครั้นได้รู้ได้เห็นมาแล้วกลับเกิดความฉงนสนเท่ห์สงสัยไม่เชื่อ แล้วก็คาดคิดเอาเองว่าคงจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ และลงผลที่สุดก็เลยทึกทักเอาว่าเป็นเรื่องโกหกเหลวไหลไร้สาระ และนี่คือข้อยุติของบรรดาปัญญาชน ผู้ยึดมั่นอยู่ในโลกอันแสนจะสกปรกโสมมทนทุกข์ทรมานนี้
    ปัญหาที่คนทั่วไปผู้ไม่เคยตาย แต่เคยพบเห็นความตายของคนอื่น หรือสัตว์อื่นมักจะสงสัยหรือถกเถียงกันอยู่ตลอดมา และคนส่วนมากต้องการรู้เกี่ยวกับความตายนั้นมีอยู่มากมาย จนไม่อาจนำมาตั้งเป็นคำถามให้หมดได้ และความอยากรู้นี้ก็มิใช่ว่าเพิ่งจะปรากฏมีแก่คนในสมัยปัจจุบัน หากแต่ว่าได้มีกันมานาน (กาเล)แล้ว แม้กระทั่งในสมัยพุทธนครคือสมัยที่องค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรายังทรงพระชนม์ชีพอยู่ ก็มีนำปัญหาเรื่องความตายเข้าไปกราบทูลถามพระองค์บ่อยๆ ด้วยความรู้พระองค์จึงรับสั่งถึงเรื่องความตายไว้ว่า :-
    ไม่ใช่ของแปลกเลยอานนท์ สำหรับความจริงที่ว่าคนเราเกิดมาแล้วจะต้องตาย แต่ในครั้งใดที่มีการตายเกิดขึ้น พวกท่านก็จะพากันมาหาเรา ต่างก็จะถามปัญหาเราถึงเรื่องความตายและปัญหาซึ่งเกี่ยวกับคนตายไปแล้ว อันทำให้เราต้องเหน็ดเหนื่อยต่อการตอบปัญหาเหล่านั้นเสมอมา ฉะนั้น เพื่อที่จะให้พวกท่านได้รู้เรื่องความตาย และเพื่อที่จะเป็นการผ่อนเบาภาระที่จะต้องมัวคอยโต้ตอบคำถาม และคอยชี้แจงแสดงเหตุแห่งความตายแก่พวกท่านทั้งหลายมิหยุดหย่อน โดยไม่มีที่สิ้นสุด เราจึงจะใคร่สอนให้ พวกท่านรู้จักวิธีค้นหาความจริงสำหรับจะได้นำไปใช้แก้ปัญหาที่พวกท่านต้องประสบอยู่ทุกเวลาสิ่งนั้นได้แก่ กระจกสำหรับส่องความจริง ได้แก่ การทำจิตใจให้บริสุทธิ์เพื่อความหลุดพ้นโดยแท้ (สมถะ และวิปัสสนากัมมัฏฐาน)” เมื่อท่านทั้งหลายที่เป็นลูกศิษย์ของเรา “ตถาคต(ผู้บรรลุสัจธรรม)”ได้เล่าเรียนศึกษาจนเป็นทางได้มาซึ่งกระจกส่องความจริงนั้นแล้ว ทั้งสามารถนำติดตัวไปด้วย เพราะเป็นสมบัติของตนโดยแท้ และอยู่ในครอบครัวของตนตลอดทุกกาลเวลาแล้ว ท่านทั้งหลายและเขาเหล่านั้นก็ย่อมจะรู้ความเป็นไปในกาลภายหน้าของแต่ละคนได้ แม้กระทั่งความตายที่เขาต้องการจะรู้ ในเมื่อเขาปรารถนาที่จะต้องการรู้”
    ท่านผู้อ่าน ท่านผู้ฟังทั้งหลายย่อมจะเห็นได้ว่า อันเรื่องความตายนั้น เป็นเรื่องที่ฝังอยู่ในดวงจิตติดอยู่ในความสนใจของมนุษย์มานานนับเป็นพันๆ ปีทีเดียว มิใช่ว่าพึ่งจะบังเกิดมีขึ้นเพียงในสมัยปัจจุบันนี้ก็หาไม่ และทั้งๆ ที่มนุษย์อยากรู้ทั้งๆ ที่มนุษย์ติดตามค้นคว้าศึกษาหาความรู้ เพื่อแก้ปัญหาและข้อสงสัยต่างๆ นานา เกี่ยวกับความตายมาแล้วนับร้อยปีพันปี แต่ก็ยังไม่ปรากฏว่ามีใครเขียนเป็นหลักหรือตำรับตำราให้คนศึกษากันได้อย่างแจ่มแจ้ง เหมือนบรรดาวิชาการอย่างอื่นๆ ที่มีเกลื่อนท้องตลาดในทุกวันนี้ และก็ยังไม่สู้ใครสามารถอธิบายให้แจ่มแจ้งจนสิ้นข้อสงสัยข้องใจของมนุษย์ได้เลยถึงปัญหาของความตายและคนที่ตายไปแล้ว และถึงจะมีผู้รู้พยายามอธิบายให้ฟังสักเพียงใด ก็ยากที่จะทำให้ผู้ฟังปลงใจเชื่อเรื่องราว หรือคำอธิบายต่าง ๆ เหล่านั้นได้ ทั้งนี้ เพราะอะไรถ้ามิใช่เพราะเรื่องความตาย เป็นเรื่องที่มองไม่เห็นและทดลองไม่ได้ และนับว่าประหลาดมากอีกอย่างหนึ่งก็คือความตายมีอำนาจสูงสุดอย่างหนึ่งในบรรดาอำนาจสูงสุดทั้งหลาย ได้แก่ อำนาจวาสนา อำนาจบันดาลให้ อำนาจที่จะทำให้เกิดเหตุทั้งหลายที่มนุษย์ไม่สามารถคาดคิดถึงได้...ฯลฯอำนาจแห่งความตายเป็นอำนาจชนิดหนึ่ง ซึ่งอยู่เหนือสติปัญญา ความรู้ความสามารถของมนุษย์ที่จะพึงเอาชนะได้และก็นับว่าเป็นเรื่องแปลกอยู่อย่างหนึ่ง ในข้อที่ว่ามนุษย์สามารถใช้สติปัญญา ความสามารถ ความฉลาดปราดเปรื่องและวิชาการทั้งหลาย ที่มนุษย์ได้พากันค้นคว้าเล่าเรียนศึกษาเอาชนะธรรมชาติไปได้หลายอย่างแล้ว แต่เรื่องความตายนี่ซิ ยังไม่มีใครสามารถเอาชนะโดยทางที่ว่า เมื่อเกิดมาแล้วจะสามารถป้องกันมิให้ตายได้ แม้มนุษย์จะได้พยายามแล้วทุกวิถีทางตั้งแต่ปางบรรพ์มาแต่จะหาผู้ใดประสบความสำเร็จคือห้ามความตายหรือป้องกันมิให้ตายได้ยังไม่มีเลย
    สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราชาวพุทธศาสนิกชนทั้งมวล เป็นผู้เลิศปัญญาวิชาและจรณะ เป็นนักศึกษาชั้นเยี่ยมยอด เป็นนักค้นคว้าชั้น (สูงสุด) แนวหน้าพระองค์ทรงเป็นยอดของนักปราชญ์ผู้มีอัจฉริยภาพทางสมอง การใช้สติปัญญาอันสูงส่งในทางวิชาการทุกอย่าง และโดยเฉพาะในทางจิตศาสตร์ จิตวิทยานั้นพระองค์ได้ทรงค้นพบทางหรือจุดสิ้นสุดยุติของการตาย และความตายอันเปรียบเสมือนบุคคลผู้เดินทางไปด้วยยานพาหนะจนสุดหนทางที่ยานพาหนะนั้นๆ ไม่สามารถเดินทางต่อไปได้อีกฉันใด ในเรื่องของความตายพระองค์ก็ได้ทรงค้นพบกฎเกณฑ์ที่แน่นอนของธรรมชาติว่าถ้าหาก “ความเกิดยังมีอยู่ตราบใดความตายก็ยังมีอยู่ตราบนั้นเ แต่ถ้าเมื่อใด “ความเกิดไม่มีความตายก็ไม่มีด้วย” หรือ “ความตายย่อมจะไม่มีไม่ได้ ในเมื่อไม่มีความเกิด” เมื่อพระองค์ทรงค้นพบกฎนี้แล้วพระองค์จึงทรงค้นคว้าต่อไปว่า ทำอย่างไรจึงจะไม่ให้มีความเกิด ในที่สุดก็ทรงพบกฎแห่งกรรม(ธรรมชาติ)อีกกฎหนึ่งว่า “ความไม่รู้จริงในสิ่งที่ควรรู้ (อวิชชา) ความดิ้นรนทะยานอยาก(ตัณหา) และความยึดมั่นถือมั่นในสิ่ที่ไม่ใช่ความจริง(อุปาทาน)” เป็นเหตุให้มีความเกิด และเมื่อมีเกิดแล้วก็ต้องมีตายเป็นธรรมดา แต่ถ้าจะไม่ให้ตายก็ต้องไม่ให้เกิดและจห้ามความเกิด (ตาย)ได้ต้องห้ามอวิชชาและอุปาทานคือทำความรู้แจ้งเห็นจริงในสิ่งที่ควรรู้ ควรเห็น ให้มีขึ้นในดวงจิต (เสมอ) แล้วดับความยึดมั่นอันเป็นความคิดความเห็นที่ผิดเสียให้สิ้นในขั้นแรก และดับความยึดมั่นทั้งสิ้นเสียในที่สุด ถ้าสามารถทำได้ดังนี้เมื่อใด หากตายไปแล้วก็จะไม่กลับมาเกิดอีกต่อไป คือไม่ตายอีกเลย แต่การทำได้ถึงขั้นนี้ย่อมเป็นสิ่งที่ยากมากเหลือเกิน แต่ก็ไม่เหลือวิสัยที่มนุษย์จะกระทำได้คือยังอยู่ในวิสัยที่เราจะพอทำได้แม้จะต้องใช้ ความพยายามมากสักเพียงใดก็ตาม แต่แม้กระนั้นก็มีคนทำสำเร็จกันมามากแล้วด้วยและในระหว่างที่พยายามทำนั้นเองก็จะได้ffice:eek:ffice" /><O:p></O:p>



    <O:p></O:p>


    ตอนที่ 1
    สัญญาณมรณะ <O:p></O:p>

    คนที่ยังมีชีวิตอยู่หรือที่ยังไม่ตาย โดยมากมักจะมีความสงสัยและอยากรู้กันนักว่า คนที่กำลังจะตายนั้นมีความรู้สึกอย่างไร และเมื่อตายแล้วจะเป็นอย่างไร หรือจะไปที่ใด“ทั้งนี้ นับว่าเป็นความแปลกประหลาดอย่างหนึ่งของมนุษย์ที่อยากรู้ในสิ่งที่ไม่ควรจะรู้ เช่นเดียวกับที่ทุกคนต้องการรู้กาลอนาคตของตนถึงกับเที่ยวไปหาหมอดูหรือมีการทรงเจ้าเข้าผีเพื่อขอให้ช่วยทำนายทายทักถึงความเป็นไปในภายภาคหน้าของตนว่าจะยากดีมีจน จะรุ่งโรจน์โดดเด่น หรือจะประสบความวิบัติล่มจมอย่างไร เรื่องความตายนี้ก็เหมือนกัน เป็นเรื่องที่ลึกลับและปกปิดซ่อนเร้นจนเกินกว่าที่เราจะเที่ยวเสาะแสวงหาความรู้ในทางนี้มาศึกษาเล่าเรียนกันได้ ทั้งนี้เพราะอะไร ถ้าจะตอบให้ฟังง่าย ๆ พอจะได้ความว่า “ผู้ที่ต้องการรู้เพราะยังไม่เคยตาย ส่วนคนที่ตายไปแล้วก็มักจะไม่ยอมกลับมาเล่าให้ฟัง ถึงแม้จะเรียกร้องให้มาเล่าสู่กันฟังสักเท่าใด หรือจะจุดธูปจุดเทียนบอกกล่าวสักกี่ร้อยกี่พันเล่มพวกญาติพี่น้องและเพี่อนฝูงมิตรสหายที่พากันตายไปมากมายแล้ว ก็ไม่ยอมทำตามคำขอร้อง คือไม่กลับมาเล่าให้เราได้ฟังกันไว้พอเป็นความรู้ประดับสติปัญญาได้บ้างเลย” ถ้าเช่นนั้นเราจะรู้เรื่องราวที่เกี่ยวกับความตายได้อย่างไร คำถามข้อนี้หากจะตอบแบบกวนโทสะก็พอจะตอบได้ว่า มีทางเดียวเท่านั้น คือลองตายดู แต่ใครเล่าจะกล้าลองต่อความตายเพราะถ้าลองตายแล้วเกิดตายจริง ๆ ขึ้นมา การจะหาความรู้ในเรื่องนี้ก็ต้องประสบกาลอวสานเสียก่อนที่จะได้รู้จริง การที่ข้าพเจ้าพูดเช่นนี้ ไม่ใช่จะเป็นการพูดเล่นลิ้น หรือเอากำปั้นตีดินซึ่งไม่มีวันผิด เพราะไม่รู้เรื่องอะไร หรือโรคอะไร ถ้าไม่เคยเกิดเป็นกับตนเองแล้ว ถึงใครจะบอกเราสักเท่าใด เราก็ไม่เข้าใจอยู่นั่นเอง ว่าความทุกข์ทรมานหรือความเจ็บปวดรวดร้าว อันหนึ่งจากพิษร้ายของโรคนั้นกำเริบถึงขีดสูงสุดจะเป็นอาการและความรู้สึกอย่างไร เช่นคนที่ไม่เคยปวดฟันย่อมไม่ทราบว่าการปวดฟันนั้น มีฤทธิ์พิษสงรุนแรงร้ายกาจสักเพียงไหน คนที่ไม่เคยปวดศีรษะก็ไม่ทราบว่า การปวดศีรษะเป็นอย่างไร โดยเฉพาะผู้หญิงหรือภรรยา เวลาจะคลอดบุตรจะได้รับความปวดเจ็บทุกข์ทรมานไม่น้อย ถ้าไม่เช่นนั้นโบราณท่านคงไม่เปรียบเทียบว่าการคลอดลูกเปรียบเหมือนออกศึก เพราะสตรีอาจตายเนื่องจากการคลอดบุตรได้เสมอ แหละก็เช่นเดียวกันอีก ถ้าผู้หญิงเขาบอกว่า เขาปวดมดลูก ผู้ชายอาจเข้าใจว่าเหมือนกับพวกผู้ชายปวดท้องจนเมื่อตนเป็นบิด เพราะได้ทราบว่าอาการปวดมดลูกนั้นเป็นอาการปวดถ่วงๆ และโรคบิดก็เป็นการปวดถ่วงๆ เหมือนกันส่วนจะปวดอย่างไร มากน้อยเพียงใด หรือมีอาการปวดอย่างอื่นใดเข้ามาแทรกอีกบ้าง พวกผู้ชายไม่มีทางที่จะรู้ได้เพราะอะไร เพราะพวกผู้ชายไม่มีมดลูกจะให้ปวดนั่นเอง ส่วนการปวดท้องจะคลอดบุตรนั้นเล่าก็เช่นกัน พวกผู้ชายอาจจะคิดว่าคงจะปวดเหมือนตอนที่ตนปวดท้องจะไปถ่ายทุกข์ ทั้งนี้เพราะผู้ชายไม่เคยมีท้อง (มีครรภ์)เราไม่เคยออกลูกนอกจากเคยถ่ายทุกข์ เหล่านี้คือข้อเปรียบเทียบ ซึ่งก็เป็นเช่นเดียวกับความตาย คงไม่มีโอกาสที่จะรู้ได้เลยว่า“ การตายนั้น เขาตายกันอย่างไร และเมื่อตายแล้วจะเป็นอย่างไรต่อไป”
    ในฐานะที่ข้าพเจ้าเป็นผู้เคยตายมาแล้ว และตายอย่างแท้จริง แต่ไม่ตายไปเลย เมื่อได้ตายไปแล้วหลายชั่วโมงก็กลับมาฟื้นขึ้นมาอีกในระหว่างศพคนอื่นๆ ที่นอนตายอยู่ข้างเคียงกันนับเป็นสิบๆ จึงมีโอกาสมาเล่าให้ท่านที่ยังไม่เคยตายฟังกันไว้บ้าง พอเป็นเครื่องประดับความรู้ เข้าทำนองรู้ไว้ใช่ว่า ใส่บ่าแบกหาม การตายของข้าพเจ้าเป็นการตายจริง ๆแต่ตายไม่ตลอด ซึ่งลักษณะเช่นนี้มักจะเรียกกันว่า สลบ ซึ่งข้าพเจ้าไม่เรียกเช่นนั้น เพราะอะไรขอให้ท่านฟังต่อไป
    เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2485 ขณะนั้นข้าพเจ้าอยู่ที่เมืองพยาก (เพียก)ในรัฐฉานใต้ (แคว้นเชียงตุง)เมื่อเอ่ยถึงเมืองพยากแล้ว ทุกคนที่เคยประสบพบเห็นและได้พักอยู่ในสมัยสงครามมหาเอเซียบูรพา (มหาสงครามโลกครั้งที่ 2) ย่อมจะหลับตานึกถึงภาพอันทุรกันดาร และสภาพความอดอยากมันน่าทุเรศสมเพชเวทนาได้เป็นอย่างดี และที่เมืองพยากเต็มไปด้วยความอดอยาก ความเจ็บไข้ได้ป่วยความทารุณของธรรมชาติและความทารุณอื่น ๆ ร้อยแปดพันประการ ความทารุณร้ายกาจอันมากมายมหาศาลจนสุดที่จะนำมาพรรณนาให้หมดสิ้นได้นี้ ได้คร่าเอาชีวิตคนไทยในสนามรบครั้งนั้นไปเสียมากต่อมาก รวมทั้งเพื่อน ๆ ของข้าพเจ้าด้วยหลายคน แม้ตัวข้าพเจ้าเองก็เกือบต้องเอาชีวิตไปทิ้งเฉยที่เมืองพยากถึง 3 ครั้ง หากแต่ได้องค์พระแก้วมรกตช่วยคุ้มครองอภิบาลรักษาไว้ จึงมีโอกาสรอดมาเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ให้ท่านฟังได้ เรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้เป็นเรื่องหนึ่งในหลายสิบเรื่องที่ข้าพเจ้าได้ประสบพบมาด้วยตัวของข้าพเจ้าเอง ในเมื่อข้าพเจ้าได้ตายไปแล้วกลับฟื้นขึ้นมาใหม่
    ข้าพเจ้ายังจำเหตุการณ์ในวันที่ 16 สิงหาคม พ.ศ.2485 นั้น เป็นวันที่ข้าพเจ้าได้ถูกความตายมาเรียกร้องอย่างรุนแรง ซึ่งไม่เคยปรากฏมีมาก่อนเลยในชีวิตได้ดี ทั้งเป็นวันที่ข้าพเจ้าได้ต่อสู้กับความตายจนสุดกำลัง แต่ในที่สุดข้าพเจ้าก็ต้องยอมพ่ายแพ้กับท่านพระยามัจจุราช ผู้ทรงอำนาจเหนือชีวิตอย่างราบคาบ เรื่องมีอยู่ว่า ข้าพเจ้าล้มป่วยมาประมาณ 7 วันแล้วด้วยโรคได้จับสั่นอย่างแรง (มาลาเรีย)ชนิดจับแล้วไม่สั่นเลย แต่หนาวเหมือนกับถูกนำเข้าไปแช่จนตัวเป็นน้ำแข็งอยู่ในห้องเย็น ความหนาวเหน็บแล่นเข้าจับหัวใจจนรู้สึกเหมือนหัวใจจะแข็งและไม่ทำงาน แม้จะเอาผ้าห่มหนา ๆ ขนาดผ้าขนสัตว์อย่างดี และผ้านวมมาทับลงไปสักกี่สิบผืนจนหายใจแทบไม่ออกเพราะความหนักก็ยังไม่หายหนาว แม้จะดื่มน้ำร้อน ๆ ขนาดคนธรรมดาดื่มไม่ได้ก็ไม่อาจบรรเทาความหนาวลงไปได้ (ด้วยความหนาวเหมือนอยู่ในเมืองนรกเช่นนี้เอง พวกชาวเมืองจึงเรียกความไข้ชนิดนี้ว่า ความได้ความหนาว โอมันช่างเป็นความหนาวที่แสนน่ากลัว และสยดสยองอะไรเช่นนั้น) ข้าพเจ้าเคยเป็นไข้มาหลายชนิดแล้ว ยังไม่เคยรู้สึกหนาวเหมือนไข้มาลาเรียชนิดที่เป็นที่เมืองพยากนี้เลย พอเวลาประมาณ 16.00 นข้าพเจ้าก็รู้ดีกว่าอาการไข้ของข้าพเจ้าถีบตัวขึ้นสูงมาก เพราะในระหว่างตั้งแต่ 11.00 น. มาแล้ว ความปวดศีรษะกับความหนาวที่เริ่มเข้าลงอยู่ร่างกายของข้าพเจ้ามันทวีความรุนแรงยิ่งขึ้นทุกที ความรู้สึกอื่นๆ ตลอดจนสติและสัมปชัญญะของข้าพเจ้าก็ชักจะลดน้อยถอยลง กำลังวังชาก็ค่อย ๆ ฉันไปเหมือนถูกสูบเอาออกไปเสียจากร่างกาย อาการแห่งความทรุดโทรมทั้งทางจิตใจและร่างกายปรากฏให้เห็นชัดขึ้นเรื่อย ๆจนกระทั่งข้าพเจ้ารู้สึกว่า จะไม่สามารถต่อสู้กับความไข้อีกต่อไปได้แล้ว ข้าพเจ้าจึงบอกกับทหารประจำตัวของข้าพเจ้าพลฯ มา ซึ่งไม่ค่อยจะสบายอยู่เหมือนกันให้ไปตามบรรดานายสิบกับหัวหน้าสถานีวิทยุและโทรศัพท์ทั้งหมด ในความบังคับบัญชาของข้าพเจ้า ซึ่งเฉพาะหัวหน้าเท่านั้นมีอยู่ประมาณ10 นายมาพบกับข้าพเจ้า และสั่งให้นายคนหนึ่งไปตามหมอมาฉีดยาให้ (การไปตามครั้งนี้ จัดได้ว่าเป็นครั้งที่ 5 เพราะให้ไปตามครั้งไร ก็ได้รับคำตอบว่าหมอยังไม่ว่างๆ มาไม่ได้คนไข้มาก ต้องให้ข้าพเจ้าไปหาหมอ ไม่ใช่ให้หมอมาหาข้าพเจ้า) การไปตามครั้งนี้ข้าพเจ้าได้สั่งนายสิบผู้นั้นไปว่าข้าพเจ้ารู้ตัวดีว่า คงจะต้องตายภายใน 2-3 ชั่วโมงนี้แล้ว ถ้าหมอไม่เชื่อว่าข้าพเจ้าเจ็บหนักจนไม่สามารถจะพาตัวไปหาหมอได้ ข้าพเจ้าก็ต้องยอมตาย เพราะไม่ได้รับการเยียวยารักษา เมื่อสั่งนายสิบไปตามหมอแล้ว ก็พอดีคนในบังคับบัญชาของข้าพเจ้ามาพร้อมกันขณะนั้น ข้าพเจ้ายังพอมีสติดีมีกำลังพอจะพูดจาสั่งงานได้อยู่บ้าง จึงสั่งการทุกอย่างเสร็จแล้วในตอนท้ายข้าพเจ้าได้สั่งว่า เมื่อข้าพเจ้าตายแล้ว ให้ ส.ทล้วนฯ นายสิบผู้มีอาวุโสสูงที่สุดเป็นผู้บังคับบัญชาแทนข้าพเจ้าชั่วคราว แล้วรีบรายงานให้ ผบ.พัน.ส.พล. 3 ที่เชียงตุงทราบโดยเร็ว เพื่อจะได้ส่งนายทหารมาเป็นผู้บังคับศูนย์การสื่อสารที่พยากแทนข้าพเจ้าต่อจากนั้นความรู้สึกของข้าพเจ้าก็ค่อย ๆหมดไป ความปวดศีรษะ และความเจ็บปวดรวดร้าวได้แล่นไปทั่วสรรพางค์กาย มันช่างเจ็บไปหมดทุกเส้นขน เหมือนถูกทิ่มแทงด้วยเข็มนับหมื่นแสนเล่ม ศีรษะก็ปวดเหมือนมันจะระเบิดออกเป็นเสี่ยง ๆ ส่วนหัวใจก็ค่อย ๆ อ่อนลง ๆ ความรู้สักในตอนนี้ คล้ายกับเราดึงก้อนตังเมออกจากกัน เส้นตังเมค่อย ๆ เล็กลงๆ ทุกที ในระหว่างนั้นก็เกิดมีเสียง (เข้าใจว่าสัญญามรณะ) มากระซิบที่หูว่า “จะอยู่หรือจะไป” จะไปหรือยัง ถามอยู่เช่นนี้ จนกระทั่งไม่มีได้ยินเสียงอื่นใดทั้งหมดเสียงนั้นใกล้เข้ามาใกล้เข้ามา ทั้งได้ยินดังขึ้นและดังขึ้นทุกทีจนกลบเสียงอื่นๆ หมดความดังของเสียงที่ถามนั้นราวกับจะทำให้แก้วหูแตกหรือระเบิด จนหูอื้อหมด ความเจ็บปวดรวดร้าวก็เร่งเร้าทวีขึ้น ความรู้สึกที่ว่าเหมือนดึงก้อนตังเมนั้นเล่า เส้นตังเมก็ค่อย ๆ เล็กลง ๆ เส้นตังเมยิ่งเล็กลงเท่าใดความตายก็คืบใกล้เข้ามาเพียงนั้น ต่อเสียงถามนั้นเล่าเนื่องจากข้าพเจ้ายังห่วงงานในหน้าที่อยู่ จึงตอบว่า“ อยู่ ๆ ๆไม่ไป ๆ ๆ” เสียงถามยิ่งดังขึ้น เสียงตอบของข้าพเจ้าก็ยิ่งแผ่วเบาลง จนในที่สุดเกิดความรู้สึกอึดอัดหายใจไม่ค่อยออกและดูเหมือนมีก้อนหินหนัก ๆ ใหญ่ๆ มาทับอก เรี่ยวแรงก็สิ้นไป อย่าว่าแต่จะยกมือขึ้นได้เลย แม้แต่ปากก็อ้าไม่ขึ้นแรงจะพูดก็ไม่มีหมดแล้วสิ้นแล้วทุกอย่าง ยังเหลืออยู่ก็แต่สติความแข็งแกร่งของจิตใจเท่านั้น ความเจ็บปวดก็ทวีขึ้นสูงสุดจนกระทั่งคำตอบของข้าพเจ้าคำสุดท้ายก็คือ “อยู่ ยังไม่ไป”ครั้นแล้วก็รู้สึกเหมือนว่าเส้นตังเมที่ถูกดึง ยืดออกจนเหลือเล็กกว่าเส้นผมก็ขาดผุยลง ความรู้สึกอีกอย่างหนึ่งที่มีอยู่ในขณะนั้น คือเหมือนกับดวงเทียนที่ขาดไขมัน และมีแสงริบหรี่อยู่นั้นได้ดับวูบลง ความมืดเข้ามาแทนที่ แต่น่าประหลาดที่ความรู้สึกเจ็บปวดรวดร้าวหายไปหมดสิ้นราวกับหยิบทิ้งรู้สึกตัวเบาหวิวและลอยละลิ่วปลิวไปในอากาศ กลับกลายเป็นความสบายอย่างประหลาด ปราศจากความทุกข์ทรมานด้วยความเจ็บปวดหิวโหยอ่อนเปลี้ยเพลียแรงและความวิตกกังวลใด ๆ ทั้งสน ร่างกายก็กลับรู้สึกแข็งแรงกระปรี้กระเปร่าอิ่มเอิบเสมือนกับคนดีๆ ที่แข็งแรง ไม่ได้มีการเจ็บไข้ได้ป่วยแต่อย่างใด จะไปทางไหนมาทางไหนดูไปมาได้รวดเร็ว และข้อสำคัญรู้สึกว่าไม่ได้เดินเลย พอนึกจะไปร่างกายก็ลอยไปเองทันที<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>

    ตอนที่ 2
    มัจจุราชมารับ<O:p></O:p>

    ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นโดยรวดเร็ว จนจับต้นชนปลายไม่ถูก มันช่างรวดเร็วเสียจนข้าพเจ้าไม่ทราบเลย ทั้งไม่เข้าใจด้วยว่าอะไรเป็นต้นเหตุให้สภาพการณ์เปลี่ยนแปลงไปอย่างฉับพลันกะทันหันเช่นนั้น โดยที่ข้าพเจ้ายังมีความรู้สึกต่อเนื่องกันตลอดเวลา (ความมีสติ) ทำให้ข้าพเจ้าระลึกได้ว่า เมื่อก่อนหน้านี้สักครู่หนึ่งชั่วพริบตาเดียวเท่านั้นข้าพเจ้ากำลังเจ็บหนัก ข้าพเจ้าถูกความไข้ทรมานอย่างรุนแรง และพระยามัจจุราชกำลังเรียกร้องคุกคาม จะเอาชีวิตข้าพเจ้าอยู่อย่างเหี้ยมโหด โดยปราศจากความเมตตาปรานี ไม่มีการให้เวลาได้เตรียมตัวนึกถึงผู้ใดทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นญาติพี่น้องเพื่อนฝูง หรือคนรักและผู้มีพระคุณ แม้จะนึกถึงพระก็ไม่ทันจะได้นึก คงมีอยู่อย่างเดียวคือการโต้เถียงกันอย่างรุนแรงกับเสียงที่ดังก้องมาจากที่อันแสนไกลโน้น จนแก้วหูแทบจะแตกระหว่างการอยู่กับการไป แต่มาบัดนี้เพียงชั่วระยะไม่นานเท่าใด เหตุไฉนจึงกลับเป็นผู้อยู่ในสภาพอันแสนสุขสบายเช่นนั้น หรือว่าเราตายเสียแล้ว แต่ความรู้สึกก็ยังเถียงอยู่ว่าเรายังอยู่ เรายังไม่ตาย เพราะงานของเรายังไม่สำเร็จเรายังมีภารกิจที่จะต้องทำตามหน้าที่ที่ได้รับมอบอยู่ต่อไปแต่โดยที่เราต้องตกอยู่ในความมืด (เพราะขณะที่ความรู้สึกครั้งสุดท้ายจะขาดิ้ นลง ข้าพเจ้าลืมตาขึ้นดูโลกเป็นครั้งสุดท้าย ปรากฎว่าตะวันตกดินและเริ่มมืดสนิทแล้ว) มองอะไรไม่เห็น ทำให้รู้สึกฉิวพวกทหารที่อยู่ด้วย ว่ามืดแล้วทำไมจึงยังไม่จุดตะเกียงแต่ก็ไม่อาจบอกใครให้จุดตะเกียงได้เพราะจิตใจมัวไปนึกถึงเหตุการณ์อันประหลาดที่ผ่านมาหยกๆ นี้เอง ครั้นแล้วจึงถามตัวเองว่า ถ้ายังไม่ตายคงนอนหลับฝันไปกระมังแต่เจ้าความรู้สึกที่ยังมีอยู่ก็ตอบให้ทราบว่า“เปล่า ไม่ได้หลับ และไม่ได้ฝัน” เอ...ถ้าเช่นนั้นอะไรเล่าที่กำลังเผชิญหน้าเราอยู่ในขณะนี้ในเมื่อตายก็ไม่ใช่ ฝันก็ไม่ใช่ถ้าเช่นนั้นคงจะต้องมีอะไรเกิดขึ้นกับเราสักอย่างหนึ่ง และที่น่าแปลกที่สุดก็คือ ร่างกายเกิดมีอาการเคลื่อนที่ได้โดยรวดเร็วอย่างประหลาดขึ้นมาในขณะนั้น เช่นพอนึกจะไปไหนก็ลอยละลิ่วไปทันที นั่นแหละที่ยังคงงุนงงสงสัยอยู่มากว่าเป็นเพราะเหตุใด แต่ความรู้สึกในขณะนั้นบอกว่าเราตายแล้วอย่างแน่นอน
    ต่อมาอีกสักครู่หนึ่ง ความมืดก็ค่อยๆ จางหายไปกลายเป็นความสว่างสลัวๆ คล้ายตอนที่เรียกว่ามีแสงเงินแสงทองส่องจับท้องฟ้า คือตอนรุ่งอรุณ หรือตอนโพล้เพล้ ใกล้จะค่ำสนธยา ทั้งนั้นจะเป็นด้วยเกิดจากความเปลี่ยนแปลงตามธรรมชาติ หรือจะเป็นเพราะสายตาของข้าพเจ้าค่อยชินกับความมืดขึ้นบ้างก็บอกไม่ถูก แต่พอรู้สึกว่ามีแสงสว่างรางๆพลันก็มองเห็นภาพผู้คนมากมาย เดินไปเดินมาอยู่ขวักไขว่ไปหมด ซึ่งล้วนแต่เป็นคนแปลกหน้าทั้งสิ้น ข้าพเจ้าไม่เคยรู้จักมาก่อนเลย ส่วนมากเป็นพวกเงี้ยว หรือพวกไทยใหญ่ชาวพื้นเมืองทั้งหญิงชาย เด็กผู้ใหญ่พูดกันพอรู้เรื่องบ้าง แต่เวลาเขาพูดนั่นเองเราฟังไม่รู้เรื่องเลย คนเหล่านั้นพากันมามองดูข้าพเจ้าด้วยความแปลกใจ แต่ก็ไม่พูดว่ากระไร ดูๆแล้วก็ผ่านเลยไป ในขณะที่ข้าพเจ้ากำลังงงงันต่อเหตุการณ์ประหลาดเฉพาะหน้าอยู่นั้นก็ได้ยินเสียงคนเรียกชื่ออยู่ข้างหลังพอข้าพเจ้าหันไปดูก็พบชายคนหนึ่งแต่งกายเรียบร้อย ลักษณะท่าทางภูมิฐาน ดูเป็นคนมีตำแหน่งหน้าที่ใหญ่โตมิใช่น้อย(ตอนนี้ข้าพเจ้าสงสัยมาก เพราะชื่อที่เขาเรียกนั้นไม่ใช่ชื่อของข้าพเจ้า เป็นชื่อฟังดูคล้ายๆ กับนารทๆ อะไรนี่แหละแต่ในความรู้สึกบอกว่าเขาเรียกข้าพเจ้า) เมื่อมองเห็นกันชัดเขาก็แสดงความเคารพ และทักทายข้าพเจ้าเหมือนกับรู้จักคุ้นเคยกันมานาน ทำเอาข้าพเจ้าเกิดความงงงวย (ฉงนสนเท่ห์) เป็นอันมาก พยายามนึกอยู่นานว่าเคยรู้จักหรือพบเห็นชายคนนี้มาก่อนที่ไหนบ้างหรือเปล่า ก็นึกไม่ออกครั้นจะถามก็กลัวจะเสียมารยาทจึงพูดจาเออออห่อหมกกับเขาไปตามเรื่อง เมื่อเราทักทายปราศรัยกันพอหอมปากหอมคอแล้ว เขาก็ขอโทษที่ทำให้ข้าพเจ้าต้องมาคอยอยู่นานเพราะเขามัวติดราชการที่ท่านพ่อทรงสั่งใช้เขาอยู่ ส่วนการที่เขาต้องมารับก็เนื่องได้รับพระบรมราชโองการว่าท่านพ่อของข้าพเจ้ามีพระราชประสงค์อยากพบจึงให้เขามารับ และสั่งให้เขาพาไปเฝ้าเพราะรู้ว่าข้าพเจ้าคงไปไม่ถูก ข้าพเจ้าเองก็สงสัยเหลือเกินว่า ท่านพ่อองค์ใดที่ไหนหนอที่ต้องการจะพบเรา หรือจะเป็นคุณพ่อของข้าพเจ้าที่ท่านถึงแก่กรรมไปนานแล้วประมาณ 20 ปีเศษ ขณะที่กำลังนึกอยู่ ท่านผู้นั้นก็พูดออกมาเหมือนรู้ความคิดในใจของข้าพเจ้าว่าไม่ใช่คุณพ่อของข้าพเจ้าแท้ ๆ ดอก เพราะคุณพ่อแท้ ๆ ของข้าพเจ้านั้นได้ไปจุติแล้ว ข้าพเจ้าก็มานึกอีกว่า ถ้าเช่นนั้นคงจะเป็นท่านพ่อพระแก้วมรกตของข้าพเจ้า เขาก็พอดีพูดออกมาเหมือนรู้ความคิดนึกของข้าพเจ้าอีกว่า ไม่ใช่ท่านพระแก้วมรกตเช่นกันเพราะท่านพระแก้วมรกตเทพบุตรนั้น ท่านคอยติดตามช่วยดูแลปกปักรักษาข้าพเจ้าอยู่ตลอดเวลา เอ! ถ้าเช่นนั้นจะมีท่านพ่อที่ไหนอีก หรืออาจจะเป็นท่านจ้าวพ่ออะไรก็ได้ละกระมัง แต่พอข้าพเจ้าจะถามเขาก็พูดว่า ขอให้ข้าพเจ้าเก็บความสงสัยไว้ก่อน เมื่อไปถึงที่เฝ้าแล้วจะรู้เอง เพราะเขาไม่สามารถจะบอกได้ เขาถามข้าพเจ้าว่าพร้อมที่จะเดินทางไปหรือยัง ข้าพเจ้าตอบว่าพร้อมแล้ว เขาพูดว่า ถ้าพร้อมแล้วเราก็ควรจะไปได้และเราก็พากันเดินทางไป เขาออกนำข้าพเจ้าลอยไปโดยเร็ว สักครู่หนึ่งก็ถึงกำแพงสูงใหญ่สีขาวคล้ำ ๆบอกไม่ถูกว่าเป็นสีอะไร เพราะดูมืด ๆ มัวชอบกลอยู่ เขาพาข้าพเจ้าไปที่ประตูเหล็กใหญ่สีดำ แล้วเคาะประตูด้วยค้อนเหล็กที่แขวนอยู่ใกล้ๆ ประตูนั้นขึ้น 3 ครั้ง ต่อมาสักประเดี๋ยวหนึ่ง ผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่โต 2 คน ผิวกายสีดำหน้าตาเคร่งเครียดน่ากลัว ในมือถือหอกใบพายด้ามเหล็กใบหอกโตสักเท่าฝ่ามือกาง คมขาววับจับดูน่าหวาดเสียว เปิดประตูเหล็กออกแล้วทำความเคารพด้วยการก้มศีรษะเชิญเรา เราพากันเดินเข้าประตูนั้นไปพลาง ข้าพเจ้าก็นึกในใจว่าคนที่มากับเราคงจะเป็นเจ้าหน้าที่หรือขุนนางชั้นผู้ใหญ่อยู่ในเมืองนี้เพราะสังเกตดูคนเฝ้าประตู หรือนายทหารแสดงความนอบน้อมมาก เราเดินตรงเข้าไปในสถานที่แห่งหนึ่ง ซึ่งมีลักษณะคล้ายปราสาทหรือพระราชวังที่ใหญ่โตมากอยู่ภายในกำแพงสีขาวประตูสีทอง ซึ่งภายในกำแพงนั้นมีผู้คนมากมายสังเกตดูว่าคนเหล่านั้นล้วนมีรูปร่างใหญ่โต หน้าตาดุและเคร่งขรึมเอาจริงเอาจัง บ้างก็แต่งกายด้วยเครื่องแบบทหารโบราณ บ้างก็แต่งกายอย่างพลเรือน บางคนก็นั่งอยู่กับโต๊ะบางคนก็ยืนคล้ายอยู่ยามรักษาการณ์ บางคนก็ยืนถือแผ่นกระดาษขาวบ้าง สีเทาหรือสีคล้ำๆ บ้าง บ้างก็เดินจากโต๊ะนี้ไปโต๊ะโน้น รู้สึกว่าต่างคนต่างก็มีงานทำกันเต็มมือชุลมุนไปหมด อากาศในท้องพระโรงของปราสาทนั้น แม้จะไม่สว่างมากแต่ก็ไม่มืดนัก เราเข้าไปเห็นแผ่นหินอ่อนใหญ่สีดำขัดเป็นมันตั้งขวางอยู่ บนแท่นหินมีโต๊ะเก้าอี้สีทองหรือดูเหมือนจะทำด้วยทองคำ มีลวดลายสลักเสลาเป็นรูปสิงห์หรือราชสีห์ขนาดใหญ่อยู่ในท่านั่งเหนือพนักเก้าอี้สีทอง เบื้องหลังแท่นหินสีดำและเก้าอี้สีทองนั้น กั้นไว้ด้วยม่านกำมะหยี่สีเลือดนกเมื่อมองไปดูตามข้างฝาของท้องพระโรงเห็นประดับไว้ด้วยเครื่องศาสตราอาวุธมากมายหลายร้อยชนิดทั้งของสมัยโบราณและสมัยปัจจุบัน ส่วนบนเพดานก็มีลวดลายแกะสลักแสดงภาพของสถานที่และบุคคลที่กำลังถูกทรมานด้วยเครื่องประหารต่าง ๆ อย่างน่าสยดสยอง แม้กระทั่งถูกสัตว์ร้ายและอสรพิษต่าง ๆ ขบกัดทำให้ดูน่าหวาดเสียว สังเกตดูใบหน้าของผู้ถูกทรมานบิดเบี้ยวบูดบึ้งด้วยความเจ็บปวดและบางคนก็แสดงความหวาดกลัวอย่างสุดขีด ตาเหลือก ปากแบะ ลิ้นห้อย เป็นการแสดงออกซึ่งความตกใจกลัวสุดขีด และเจ็บปวดรวดร้าวอย่างแสนสาหัส..... ฯลฯ ล้วนเป็นภาพที่น่ากลัวทั้งนั้น แต่ก็เพลินดีไม่เบื่อโต๊ะทำงานที่ตั้งอยู่สองฟากทางเดินในท้องพระโรงใหญ่นั้น ข้างขวาสีแดงข้างซ้ายสีเขียว<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    <O:p></O:p>

    ตอนที่ 3
    ข้าพเจ้าเข้าเฝ้าพญายม<O:p></O:p>

    ขณะที่ข้าพเจ้ากำลังแหงนดูภาพต่าง ๆ อยู่ด้วยความสนใจ พลันหูก็ได้ยินเสียงประกาศดัง ๆ สามครั้งว่า“ พระยมราชาผู้ทรงความยุติธรรม เสด็จออกว่าราชการแล้ว” เมื่อสิ้นเสียงประกาศพระวิสูตรสีเลือดก็เผยออก ฉันใดก็มองเห็นพระราชาองค์หนึ่งมีพระวรกายสูงใหญ่ พระพักตร์แม้จะไม่ดุร้ายแต่ก็เคร่งขรึมน่าเกรงขาม มีผิวกายค่อนข้างคล้ำทรงเครื่องอย่างกษัตริย์โบราณ พื้นสีม่วง ยกทองเป็นดอกทานตะวันงดงาม บนพระเศียรทรงมงกุฎ พื้นดำประดับลวดลายทองคำเหลืองอร่าม ส่วนทางด้านพระนลาตมีนิลเม็ดใหญ่ล้อมเพชรติดอยู่บนแผ่นอุณาโลมทองคำงดงามมากพระหัตถ์ขวาทรงคธาทองคำ หัวคธาเป็นรูปพญานาคราชเจ็ดเศียร ดวงตาทำด้วยทับทิมสีแดงสดเป็นประกายแวววาวพระหัตถ์ซ้ายทรงเชือกบาศก์สีทอง มีข้าราชบริพารยืนเรียงแถวอยู่ด้านหลังสะพรั่งพร้อม ทั้งทหารราชองครักษ์และเลขานุการที่เป็นพลเรือนแต่ละคน ล้วนแต่งกายงดงาม มีเครื่องประดับเป็นดวงตาติดและห้อยอยู่ตามอกและคอพอน่าดู เมื่อพระยมราชาเสด็จออกแล้ว บรรดาข้าราชการของพระองค์ในท้องพระโรงต่างก็พากันลุกขึ้นถวายคำนับพร้อมกับข้าพเจ้า และผู้ที่นำข้าพเจ้ามาถวายคำนับด้วย และกล่าวคำถวายพระพรขึ้นว่า “ ขอให้พระองค์ (ยมราชธัมมิกราชา)ผู้ทรงพระมหากรุณาธิคุณจงทรงพระเจริญ พระองค์จึงทรงตอบว่า เราขออวยพรให้ทุกท่านจงทรงไว้ซึ่งความยุติธรรมอำนาจ และจงเจริญเช่นกัน” เมื่อทรงมีพระราชดำรัสตอบแล้วจึงทรงดำเนินมาประทับลงบนเก้าอี้ใหญ่สีทอง ประดับด้วยพระยาราชสีห์นั้น เมื่อประทับเรียบร้อย และบรรดาพนักงานชาวที่ประโคมแตรสังข์และตั้งเครื่องต่าง ๆ เสร็จพระยมราชาจึงทรงทอดพระเนตรมาที่ข้าพเจ้า และท่านผู้นำทางของข้าพเจ้าพลางรับสั่งด้วยพระสุรเสียงที่ทรงอำนาจก้องกังวาลไปทั่วท้องพระโรง (ไม่ใช่ตะโกน) ถามขึ้นว่า“ ท่านมัจจุราชท่านไปรับลูกเรามาหรือยัง” ข้าพเจ้าเองก็ตกตะลึงเมื่อทราบว่าข้าพเจ้าได้มายืนเฝ้าอยู่เฉพาะพระพักตร์ของพระยายมราชาธัมมิกราช ผู้ทรงไว้ซึ่งอำนาจแล้วความเป็นธรรมอยู่เหนือดวงวิญญาณของสัตว์ทงปวง และยิ่งกว่านั้นอีกก็คือ ผู้ที่ไปพาตัวข้าพเจ้ามา ซึ่งบัดนี้ข้าพเจ้ามองดูที่ตัวของท่านผู้นั้นกลับเห็นว่าทรงเครื่องใหม่พื้นสีดำ ปักดิ้นทองทั้งตัว มีสนับเพลาเชิงงอนงดงามอร่าม แต่บนเศียรนั้นทรงมงกุฎีแดงประดับไปด้วยลวดลายทองและตรงพระนลาตมีทับทิมเม็ดใหญ่ล้อมเพชรติดอยู่ตรงกลางแผ่นทองคำอุณาโลมและมีลักษณะน่าเกรงขาม ซึ่งที่แท้จริงก็ไม่ใช่อื่นไกล คือองค์พระยามัจจุราชนั่นเอง
    เมื่อได้ยินพระยายมราชรับสั่งถามเช่นนั้น พระมัจจุราชจึงทูลตอบว่า“ ได้ไปรับแล้วนำตัวมาเฝ้าแล้วและกำลังยืนคอยรับพระกระแสรับสั่งอยู่ ณ บัดนี้ เมื่อได้ยินดังนั้นพระยายมราชจึงรับสั่งว่า“ พาตัวลูกเราเข้ามานี่ พระมัจจุราชจึงนำข้าพเจ้าเข้าไปยืนอยู่หน้าพระแท่นศิลาสีดำเป็นมันนั้น แล้วข้าพเจ้าก็ก้มลงถวายคำนับ องค์ธัมมิกราชายมราชมีพระดำรัสสั่งให้พระมัจจุราชประทับข้างพระเก้าอี้ของพระองค์ ซึ่งมีเก้าอี้ทองคำพื้นแดงลายทอง สลักเป็นรูปพระยาพยัคฆ์ในท่ากำลังตะครุบเหยื่อเป็นภักษาหารอยู่ทางขวาของพระองค์ส่วนข้าพเจ้านั้นได้รับพระมหากรุณาธิคุณให้เข้าไปยืนอยู่ข้างพระเก้าอี้ทางด้านซ้าย เมื่อข้าพเจ้าถวายบังคมแล้วยืนนิ่งอยู่ด้วยไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรถูก จะว่ากลัวก็ไม่ใซ่ กล้าก็ไม่เชิงแต่จิตใจเต็มไปด้วยความฉงนสนเท่ห์ และงุนงงต่อเหตุการณ์ที่ผ่านมาอย่างบอกไม่ถูก แต่เมื่อได้ยินพระกระแสรับสั่งถามว่า “ลูกพ่อ เจ้ารู้สึกเป็นอย่างไรบ้าง” นั่นแหละจึงได้สติกราบทูลตอบว่า “ เป็นความรู้สึกที่ประหลาดและตื่นเต้นมากอย่างบอกไม่ถูกพะย่ะค่ะ” ต่อไปนี้เป็นคำถามคำตอบระหว่างข้าพเจ้ากับท่านพ่อยมราชของข้าพเจ้า
    พระยม เจ้ารู้สึกกลัวหรือไม่ที่เจ้าเข้ามาในที่นี้
    ข้าพเจ้า หามิได้ ไม่กลัวพะย่ะค่ะ
    พระยม เจ้ารู้หรือเปล่าว่าเจ้ามาที่ใด และที่นี่คืออะไร
    ข้าพเจ้า ไม่ทราบเกล้ามิได้พะย่ะคะ คงทราบเพียงว่าเป็นที่ประทับของพระองค์
    พระยม ถ้าไม่รู้พ่อจะบอกให้ ที่นี่เรียกว่า “ ยมโลก"เป็นสถานที่แห่งแรกซึ่งดวงวิญญาณของคนที่ตายลงจะต้องถูกนำมาที่นี่ก่อน เพื่อตรวจสอบบัญชีดวงวิญญาณที่จุติ และปฏิสนธิ (ตายและเกิด) และถ้าเจ้าต้องการจะรู้อะไรอีกพ่อจะบอกให้อย่างไม่ปิดบัง ก่อนอื่นพ่อใคร่จะบอกเล่าให้ทราบเสียก่อนว่าทำไมเจ้าถึงต้องมาที่นี่ เพราะอะไรและเหตุใดผู้ที่ไปรับเจ้าจึงต้องเป็นมัจจุราช แทนที่จะเป็นจตุโลกบาลหรือบริวารคนอื่นๆประเดี๋ยวเจ้าจะไม่เข้าใจ จะหาว่าพ่อกลั่นแกล้งทำให้เจ้าลำบากทั้งกายและจิตใจ ที่ต้องทนทุกข์ทรมานต่อความเจ็บปวดอย่างโหดร้ายทารุณ เพราะการที่จะมาถึงยมโลกหรือเทวโลกได้นั้นไม่ใช่ของง่าย ถ้ามิใช่ผู้ที่สำเร็จทางจิตแล้วต้องถอดวิญญาณออกมาด้วยการใช้อำนาจบังคับ หรือด้วยชะตาชีวิตสิ้นสุดลงคือความตายหรือที่เรียกว่าชะตาขาดนั่นเอง
    การที่เจ้าต้องมาที่นี่ เนื่องจากความประสงค์ของเทพเจ้าเบื้องบนหรืออาจเรียกว่าฟ้าดินกำหนดไว้ก็ได้ส่วนที่ว่ามาทำไมนั้น พ่อตอบได้ว่า มาเพื่อรับทราบเรื่องราวต่าง ๆ ที่มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องติดต่อถึงกันระหว่างยมโลกกับมนุษยโลกซึ่งเจ้าจะได้รู้ได้เห็นด้วยตนเองไม่ต้องไปเชื่อใคร และถ้าหากมีใครต้องการรู้ ถ้าบอกได้ก็ให้บอกเล่าแก่เขาไป นอกจากบางสิ่งบางอย่างที่ต้องห้ามตามกฎเกณฑ์ของฟ้าดินอันไม่อาจขัดขืนได้ หรือจะเรียกว่าเป็นเทวโองการก็ได้ และเหตุใดจึงต้องให้ท่านมัจจุราชไปรับเจ้ามาด้วยพระองค์เอง เรื่องนี้เป็นเทวบัญชาของเทพชั้นผู้ใหญ่เบื้องบน และเป็นความประสงค์ของพ่อด้วยที่จะให้เกียรติแก่เจ้า และเพื่อมิให้เจ้าต้องตกใจจนเสียสติสัมปชัญญะจนเอาความอะไรไม่ได้ เมื่อเจ้าจำอะไรไม่ได้เลยแม้แต่คำพูดและเหตุการณ์ต่างๆ ที่เจ้าได้พบเห็นมารับรู้ด้วยตนเอง การมาของเจ้าก็จะหาประโยชน์อันใดมิได้คงจะเป็นความผิดที่ขัดต่อเทวประสงค์ขององค์เทพเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ด้วย อันจะพาให้ต้องพลอยได้รับโทษและเดือดร้อนไปทั่วกัน ต่อจากนี้ไปพ่อจะเล่าและตอบคำถามที่เจ้าต้องการจะรู้เท่าที่จะควรนำไปเล่าสู่มนุษย์ฟังได้ เพื่อให้ทราบถึงความเป็นไป การทำงานและความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกันระหว่างสัตว์ทั้งหลายในมนุษย์โลกกับดวงวิญญาณของสัตว์ทั้งหลายที่พากันมาสู่ยมโลกนี้ เมื่อเจ้าต้องการอยากรู้อะไรก็ถามได้แล้วจะได้เอาไปเผยแพร่ให้พวกมนุษย์ที่ในมนุษย์โลกรู้ไว้เพื่อประดับสติปัญญากันทั่วๆไป แต่ก่อนที่จะพูดอะไรต่อไปพ่ออนุญาตให้เจ้านั่งข้าง ๆ พ่อนี้ได้ เมื่อทรงรับสั่งเช่นนั้นแล้วก็ปรากฏว่ามีเจ้าหน้าที่สองคนยกเก้าอี้ทองคำสลักลวดลายเป็นพญานาค (มังกร)ทอง ตัวใหญ่มาตั้งข้างซ้ายของพระองค์ข้าพเจ้าจึงถวายบังคมแล้วนั่งลงในเก้าอี้อันอ่อนนุ่มนั้น.
    ต่อไปนี้เป็นการสนทนาโต้ตอบระหว่างท่านพ่อยมราชกับ ข้าพเจ้า<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>

    เรื่องราวในอดีตชาติ<O:p></O:p>

    ข้าพเจ้า พระองค์เป็นถึงพระยมราช หรือที่เรียกกันอีกด้านหนึ่งว่าท้าวธัมมิกราชา (พระผู้ทรงธรรมะหรือให้ความเป็นธรรมแก่ปวงสัตว์ทั้งหลาย) ใช่หรือไม่ ถ้าใช้พระองค์กับข้าพเจ้ามีความเกี่ยวข้องกันอย่างไรแต่ในอดีตชาติ ?
    พระยม เจ้าถามถูกแล้ว พ่อคือยมราชหรือธัมมิกราชส่วนความเกี่ยวข้องระหว่างเรากับเจ้าในอดีตนั้น คือในชาติก่อนที่เจ้าจะยุติลงไปปฏิสนธิในมนุษย์โลกนั้น เจ้าเคยเป็นลูกที่พ่อแม่รักมาก แต่เจ้าหนีพ่อแม่ไปในขณะพอติดราชการสำคัญ ชั่วพริบตาเดียวด้วยความหลงใหลในคำชักชวนของวิญญาณบางดวง ทำให้เจ้าเคลิบเคลิ้มไปชั่วครู่ นึกอยากจะไปเที่ยวเมืองมนุษย์ที่เขาว่าสนุกสนานนัก เจ้าจึงหนีพ่อลงไปตำแหน่งของพ่อข้างบนคือ “ ศรีไชยพร” ผู้มีหน้าที่ดูแลรักษาสัจธรรมและการสร้างบาปของปวงมนุษย์สัตว์และเทพทั้งหลาย ส่วนตำแหน่งในเบื้องล่างคือ “ยมโลก” นี้ เมื่อเจ้าหนีไปแล้วด้วยความเศร้าโศกเสียใจทั้งพ่อและแม่เจ้าคือ“ พระนางศรีจันทราเทวี” ทำให้พ่อและแม่โกรธเจ้ามาก จึงสาปตามลงไปให้เจ้าต้องประสบกับความทุกข์ทรมาน ยากลำบากทั้งกายและใจอย่างแสนสาหัสอยู่ชั่วระยะหนึ่ง เพื่อจะให้เจ้าเกิดความกลัวและเข็ดหลาบ พร้อมกับส่งกรรมที่เจ้าได้ทำไว้ในอดีต แต่ยังบำเพ็ญบารมีใช้หนี้ไม่หมด ลงไปให้เจ้าใช้หนี้ต่อไปในเมืองมนุษย์ด้วย ทั้งนี้เพื่อเจ้าจะได้รู้ถึงความทุกข์ยากลำบากต่าง ๆ มีเวทนา โศกเศร้า อดอยากยากจน ตลอดจนการได้รับความทรมานทั้งทางร่างกายและทางจิตใจ โดยเฉพาะหนี้กรรมเก่าที่เจ้าจะต้องใซ้ให้หมดสิ้นด้วยตัวของเจ้าเอง ซึ่งสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ หากเจ้าอยู่กับพ่อเจ้าจะไม่ต้องรับทุกข์ถึงเพียงนั้นเลย เพราะเพียงแต่บำเพ็ญสร้างสมบารมีด้วยความดี แล้วแผ่กุศลไปก็จะเป็นการใช้หนี้กรรมเหล่านั้นให้หมดสิ้นลง แต่ความหลงเข้าใจผิดในความสุขสนุกสบายของเมืองมนุษย์ จึงเป็นเหตุให้เจ้าจะต้องได้รับความระทมทุกข์อยู่อีกนาน เป็นกาลเวลาอย่างน้อยถึง 78 ปี และถ้าเจ้าสามารถบำเพ็ญกรณียกิจติดตามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปได้ เจ้าก็จะหลุดพ้นจากบ่วงกรรม และคำสาปทั้งมวลภายในอายุ 53 ปี ต่อจากนั้นเจ้าก็จะประสบความสำเร็จในบุญกุศลที่เจ้าปรารถนาตามบารมีที่เจ้าสร้างขึ้น
    ข้าพเจ้า การที่จะบำเพ็ญกรณีสร้างสมบุญกุศล เพื่อให้หลุดพ้นจากบ่วงกรรมและความบาปทั้งปวงนั้น จะควรทำอย่างไร จึงจะเป็นผลเต็มที่รวดเร็ว ทั้งนี้รวมทั้งมนุษย์คนอื่น ๆ ด้วย
    พระยม การบำเพ็ญกรณียกิจเพื่อให้หลุดพ้นโดยเร็วและได้ผลเต็มที่นั้น ต้องกระทำตามพระพุทธโอวาทของพระบรมศาสดาที่ได้ทรงสั่งสอนไว้มีกิจใหญ่และสำคัญเป็นยอดอยู่ 3 ประการ คือ
    1. การบริจาคทาน (เสียสละในการให้)
    2. การรักษาศีล (รักษากายวาจาให้เป็นปกติ)
    3. การเจริญภาวนา (ฝึกฝนอบรมจิตให้สงบจากกิเลส)
    เมื่อปฏิบัติกิจทั้ง 3 ประการนี้แล้ว ย่อมได้กุศลถ้าจะให้เกิดผลอย่างเต็มที่ และโดยรวดเร็วจะต้องแผ่เมตตาจิต และอุทิศส่วนกุศลนี้ไปให้ทั่วถึงทั้งใน 20 ชั้นพรหมโลก 6 ชั้นเทวโลกในมนุษย์ มารโลก ยมโลก ในอบายภูมิทั้ง 4 มีนรกเปรต อสุรกาย เดรัจฉาน และในหมื่นโลกธาตุ กับอีกแสนจักรวาลพิภพ ทั้งที่เป็นมนุษย์ อมนุษย์ รูปวิญญาณ อรูปวิญญาณ และสรรพสัตว์ทั้งหลาย ทั้งที่เป็นมิตรและศัตรูตลอดจนเจ้ากรรมนายเวรของตนด้วย และต้องสร้างบารมีด้วยการบริจาคทาน และทำการกุศลช่วยมนุษย์สัตว์ทั้งหลายให้พ้นทุกข์ทุกโอกาส
    ข้าพเจ้า การบำเพ็ญกรณียกิจ 3 ประการข้างต้นนั้นคืออย่างไร มีอะไรบ้าง ?
    พระยม การบำเพ็ญบารมี สร้างสมกุศล ดังข้างต้นนั้น ได้แก่ : -
    1. บริจาคทาน มีทานภายนอกทานภายในรวม 5 อย่าง
    ก. พาหิรกทาน ได้แก่ ทานภายนอกทั้งปวง รวมทั้งบุตร ภรรยา (สำหรับผู้หวังเป็นพระพุทธเจ้า)
    ข. อัชฌัขติกทาน ได้แก่ ทานภายใน มีร่างกายอวัยวะทั้งภายนอกและภายใน ตลอดจนเลือดเนื้อและชีวิตเป็นที่สุด(สำหรับผู้หวังเป็นพระโพธิญาณ)
    1. การรักษาศีล มีศีล 5 ศีล 8 ศีล 10 และ ศีล 327
    2. การเจริญภาวนา คือ การทำจิตใจให้สงบฝึกอุเบกขาอารมณ์ด้วยพระกัมมัฏฐาน มีสมถะและวิปัสสนา เป็นต้น
    ข้าพเจ้า มนุษย์ทั้งหลายคงไม่มีใครทำได้ครบถ้วนเป็นแน่ ถ้าจะทำให้เกิดผลบ้างควรจะทำอย่างไร ?
    พระยม ถูกแล้ว ทำให้หมดไม่ได้ แต่ก็ควรทำไว้เพราะดีกว่าไม่ทำอะไรเสียเลย มัวแต่สร้างบาปสะสมกิเลสมีความโลภ ความโกรธ และความหลง อิจฉา เป็นต้น ฉะนั้นจงเลือกเดินหรือปฏิบัติเป็นกลาง ๆ คืออย่าให้เคร่งครัดตึงหรือหย่อนยานจนเกินไป จงคิดพิจารณาดูฐานะความเป็นอยู่ของตนว่ามีสภาพอย่างไร ก็ทำให้สมกับอัตภาพของตน ๆเท่านั้นก็พอ เพราะการสร้างกุศลนั้นย่อมประกอบด้วยองค์ 3
    1. เจตนา จะทำกุศล
    2. เวลา และสถานที่ที่จะทำกุศล
    3. การกระทำซึ่งการกุศลตามเจตนานั้น
    เจ้าต้องเข้าใจด้วยว่า เพียงแต่ตั้งใจหรือมีเจตนาจะทำบุญเท่านั้น เจ้าก็ได้กุศลแล้ว แต่ยังเป็นส่วนน้อย ถ้าจะให้ได้ผลเต็มที่ก็ต้องทำให้ครบทั้ง 3 ประการ เมื่อทำแล้วต้องอุทิศให้ด้วย จึงจะได้กุศลแรงและสูงยิ่งขึ้นอย่างสมบูรณ์ถ้าสร้างกุศลบารมีแล้ว ไม่อุทิศอนุโมทนาการกุศลนั้น ก็ไม่เป็นผลสมบูรณ์
    ข้าพเจ้า พระองค์กับพระมัจจุราชมีหน้าที่แตกต่างกันอย่างไร และดวงวิญญาณของสัตว์ทั้งหลายเมื่อออกจากร่างแล้วไปไหน ?
    พระยม พ่อมีหน้าที่ใหญ่ ๆ อยู่ 4 ประการคือ :-
    1. คุมบัญชีมนุษย์และสัตว์ทั้งหลายที่ตาย เกิด เมื่อใดถึงคราวจะตายก็ส่งชื่อให้ท่านมัจจุราชไปจัดการต่อไป
    2. ดูแลสอดส่องตรวจตราการกระทำดี ทำชั่ว ของมนุษย์สัตว์ในโลกทั้งปวง แล้วทำบันทึกไว้เป็นประวัติ
    3. พิจารณาตัดสิน ให้ความดีความชอบแก่ดวงวิญญาณทั้งปวงที่ได้สร้างสมคุณงามความดี และลงโทษแก่ดวงวิญญาณที่ชั่วถ้าสร้างแต่บาปกรรมเป็นอกุศล
    4. ส่งมอบดวงวิญญาณที่เป็นกุศลวิญญาณ โดยทำบัญชีรายงานให้แก่เทพองค์อื่น ๆ เช่น พระวิฆเนศวรพระอินทร์ และท่านท้าวมหาพรหมต่อไป เพื่อนำขึ้นสู่สรวงสวรรค์ รับตำแหน่งหน้าที่ตามผลแห่งกุศลธรรมของตน
    ข้าพเจ้า พระยามัจจุราชเล่า มีหน้าที่อย่างไร ?
    พระยม สำหรับท่านมัจจุราชนั้น มีหน้าที่ไปนำเอาดวงวิญญาณของมนุษย์และสัตว์ทั้งหลายที่ชะตาถึงฆาต หรือสิ้นสุดมายังยมโลกนี้ เพื่อส่งให้แก่พ่อหรือเจ้าหน้าที่บัญชีของพ่อเพื่อสอบทานว่า ดวงวิญญาณที่ไปเอามานั้นถูกต้องตามบัญชีที่ระบุไว้หรือไม่ ถ้าถูกต้องก็รับไว้พิจารณา และถ้าผิดก็รีบนำส่งคืนโดยเร็ว และดวงวิญญาณส่วนมากเมื่อออกจากร่างแล้วต้องมายังยมโลกนี้ก่อนเสมอ แล้วจึงจะไปที่ อื่น
    ข้าพเจ้า ตามที่เคยเป็นมามีบ้างหรือไม่ที่ปรากฏว่าไปเอาดวงวิญญาณที่ผิด ๆ จากบัญชีลงมา ?
    พระยม มีซิลูกเอ๋ย เพราะมนุษย์สัตว์ทั้งหลายเพียงมนุษย์โลกก็มากมายหลายล้านโกฏิ แล้วยังมีตั้งหมื่นโลกธาตุกับอีกแสนจักรวาลพิภพ ดังนั้นดวงวิญญาณทั้งหลายจึงมีมากเหลือเกินที่จะคณานับ เมื่อเป็นเช่นนี้ก็อาจผิดไปบ้างหรือบางทีก็ช้าไปบ้างเร็วไปบ้าง แต่สวนมากไม่ใคร่ผิด จะมีผิดบ้างก็นาน ๆ ครั้ง หรือน้อยเต็มที่โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่มีชื่อเหมือนกับรูปร่างเหมือนกัน ทำกรรมดีกรรมชั่วอย่างเดียวกัน
    ข้าพเจ้า ดวงวิญญาณนั้น เมื่อออกจากร่างของตนที่ตายแล้วจะไปที่ไหน และไปที่นั้นทำไม ?
    พระยม ดวงวิญญาณที่ออกจากร่าง (คนตาย) นั้นในตอนแรกจะวนเวียนอยู่สักครู่หนึ่งก่อน พอให้ได้สติกลับคืนแล้ว ท่านมัจจุราชหรือบริวารของท่านก็จะรับพามายังยมโลกนี้ เพื่อให้เจ้าหน้าที่ทำการตรวจสอบพิจารณาความดีความชั่วที่ดวงวิญญาณนั้นได้กระทำไว้แต่ครั้งยังไม่ตายครั้งได้ทราบแจ่มแจ้งแล้วจะนำตัวเข้ามาซักถามชี้แจงถึงผลกรรม หรือวิบากกรรมให้ทราบ ต่อจากนั้นก็จะส่งลงไปนรกทั้ง 8 ขุมใหญ่ ซึ่งแต่ละขุมมีสาขารองลงไปอีก ขุมละ 36สาขา แต่ละสาขามีแหล่งลงทัณฑ์และทรมานอีกสาขาละ 800แหล่ง แต่ละแหล่งมีเครื่องทรมานนับไม่ถ้วน วิญญาณบางดวงอาจตกนรกทั้ง 8 ขุมก็มี โดยเฉพาะพวกที่กระทำกรรมชั่วอันหนักที่สุดห้าประการ มีฆ่าบิดา ฆ่ามารดา ฆ่าพระอรหันต์ยุแหย่คณะสงฆ์ให้แตกความสามัคคีกัน และคิดหรือทำร้ายพระพุทธเจ้าถึงห้อเลือด หรือตกพระโลหิต (คือ ทำให้พระพุทธเจ้าห้อเลือดหรือเลือดออกด้วยเจตนาทำร้ายพระองค์ )
    ข้าพเจ้า การพิจารณาของพระองค์และเจ้าหน้าที่ในยมโลกใช้เวลานานเท่าใด ?
    พระยม ใช้เวลาชั่วพริบตาเดียวก็เสร็จ แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อตายแล้วใหม่ ๆ 7 วันแรกของเมืองมนุษย์ ดวงวิญญาณนั้นจะต้องตกอยู่ในยมโลกนี้ก่อน จะยังไปที่อื่นไม่ได้จนกว่าจะได้ทำบัญชีและส่งมอบตัวเสร็จจึงจะไปจากที่นี่ได้ส่วนจะไปจากที่ใดก็ต้องแล้วแต่กุศล หรืออกุศล บุญหรือบาปความดีหรือความชั่ว ที่ดวงวิญญาณนั้นๆ ได้ประกอบไว้แต่ครั้งยังไม่ตาย คือ
    - ถ้าสร้างกุศลทำบุญบริจาคทานไว้มาก ก็ได้ไปอยู่ในเทวโลกหลังจากใช้กรรมในยมโลกเสร็จแล้ว
    - ถ้าไม่สร้างกุศลไว้ ก็ล่องลอยไป ไม่มีที่อยู่อาศัยหลังจากใช้กรรมในยมโลกหมดแล้ว
    - ถ้าสร้างทางสมาธิอบรมจิตใจไว้ จนได้ฌานและญาณ ก็จะได้ไปอยู่ในพรหมโลกและเทวโลกด้วย สุดแต่การกระทำอันใดจะยิ่งกว่ากัน
    - ถ้าสร้างทั้งบุญกุศล และอบรมจิตใจเข้าฝึกฌานด้วยก็จะได้อยู่ในเทวโลกเป็นเทพ และได้อยู่ในพรหมโลกเป็นพรหมด้วย คือมีทั้ง กายเทพ และกายพรหม
    ข้าพเจ้า วิญญาณเป็นอย่างไร และมีกี่พวก ?
    พระยม วิญญาณเป็นอมตะ คือไม่มีการสูญหาย มีแต่คงอยู่ตลอดไป หากแต่เปลี่ยนที่ เปลี่ยนรูป มีรูป กับไม่มีรูปสามารถเข้าสิ่งสถิตอยู่ในรูปใด ๆ หรือวัตถุใดๆ ก็ได้ อาจอยู่ชั่วนิรันดร์กาลหรือชั่วขณะก็ได้ แต่ถ้าเข้าสู่สภาพรูปมนุษย์และสัตว์ทั้งหลายแล้ว จะต้องมีอายุขัยตามกำหนดของฟ้าดินและฝ่าฝืนไม่ได้ วิญญาณมี 6 พวก คือ :-
    1. พวกสูงที่สุด ได้แก่ วิญญาณของพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์เจ้า พระอรหันต์เจ้า พระพรหมในชั้นสุทธาวาส และองค์เทวในเทวโลก คือท่านผู้สิ้นกิเลสอาสวะทั้งปวง
    2. พวกที่สอง ได้แก่ วิญญาณของท่านผู้สำเร็จเป็นพระอนาคามี ท่านผู้เป็นเทพชั้นสูงห้าพระองค์ คือ พระอิศวรพระนารายณ์ พระวิฆเนศวร พระนเรศวร พระมหาราช และพระพรหมที่ถัดจากชั้นสุทธาวาสลงมา
    3. พวกที่สาม ได้แก่ วิญญาณเทพชั้นสูง และท่านผู้สำเร็จขั้นสกิทาคามีและโสดาบัน พระอินทร์กับเทพที่อยู่ในชั้นเดียวกันอีกมากมาย รวมทั้งพระพรหมตั้งแต่ปริสัชชาพรหมถึงพรหมโลกชั้นที่ 12ไป และในเทวโลกอันมีเทพบุตรเทพธิดาทั้งปวง
    4. พวกที่สี ได้แก่ วิญญาณของท่านที่ทำความดีเป็นเศรษฐี พระราชา ราชินี เทวดา นางฟ้า เทพารักษ์ ทั้งรุกขเทวดา อากาศเทวดา พฤกษเทพ พระภูมิเทวาทั้งหญิงชาย ถ้าเป็นมนุษย์ก็เป็นทั้งมุขอำมาตย์ราชการชั้นสูง... ฯลฯคนชั้นสูงที่ทรงคุณงามความดี
    5. พวกที่ห้า ได้แก่ วิญญาณของพวกคนชั้นกลางมีสภาพกึ่งสุขกึ่งทุกข์ลุ่มๆดอนๆตลอดไปจนถึงพวกวิญญาณร่อนเร่พเนจร ไม่เป็นหลักเป็นแหล่งแห่งที่เพราะมีกุศลไม่ตลอด ทำดี ทำชั่ว คละเคล้ากันไป ดีไม่ตลอด ชั่วบ้าง ดีบ้าง
    6. วิญญาณพวกที่หกนี้ ได้แก่ วิญญาณชั้นต่ำที่สุดซึ่งได้รับทุกข์อยู่ในยมโลก อบายภูมิ 4 มี นรก เปรต อสุรกายเดรัจฉาน กับพวกที่ชอบก่อกรรมทำเข็ญสร้างแต่อกุศลโหดร้าย ทารุณ กิเลสหนา โลภมาก มักได้ไม่มีสิ้นสุดแสวงหาความสุขบนทุกข์ของผู้อื่น และกินเลือดกินเนื้อของผู้อื่น พวกนี้เมื่อสิ้นชาติสิ้นเชื้อไปแล้วย่อมจะต้องไปรับทุกข์ทรมานอยู่ช้านาน รวมทั้งผู้ที่ได้สร้างครุกรรม หรือกรรมอันหนักทั้ง 5 ประการนั้นด้วย
    ข้าพเจ้า พวกวิญญาณชนกลางและชั้นต่ำ จะมีโอกาสเลื่อนขึ้นเป็นวิญญาณชั้นสูงได้หรือไม่ ถ้าไม่ได้เพราะเหตุใดถ้าได้จะต้องทำอย่างไร ?
    พระยม ก่อนจะให้คำตอบ พ่อจะใคร่ขอถามลูกว่าการที่ลูกอยู่ในเมืองมนุษย์นั้น เมื่อลูกทำความดีเช่นในหน้าที่ราชการ ลูกได้รับการพิจารณาเลื่อนยศเลื่อนบำเหน็จ ได้รับความดีความชอบใช้หรือไม่ ถ้าใช่ในปรโลกนี้ก็มีการปกครองพิจารณาให้ความดีความชอบเหมือนมนุษย์โลก ถ้าวิญญาณดวงใดพ้นจากโทษความวิบากของตนแล้วยังไม่ไปจุติ และได้พยายามสร้างคุณความดีไว้ในปรโลก เช่นช่วยเหลือผู้อื่นให้พ้นทุกข์ บำเพ็ญกรณียกิจในทางพระพุทธศาสนา (หรือศาสนาอื่นใดก็ตามที่ตนยึดถือเพื่อความดี) รักษาศีล เจริญภาวนา บำเพ็ญฌานให้แก่กล้า รับฟังคำสั่งสอนธรรมและประพฤติธรรมประกอบกับตั้งจิตยึดมั่นอยู่ในเทวธรรม คือหิริและโอตตัปปะ และตั้งอยู่ในพรหมวิหารธรรม คือ ธรรมอันเป็นเครื่องอยู่แห่งพรหม ได้แก่ เมตตา กรุณา มุทิตาอุเบกขา และมีเมตตากรุณาเป็นอัปปมัญญา คือแผ่ไปไม่เลือกบุคคล สัตว์ทั้งตั้งอยู่ในความสันโดษ ไม่โลภมากมักได้ ไม่เบียดเบียนเอาทรัพย์หรือหาทรัพย์ในทางที่ผิดตัดกิเลสให้เบาบางลงจนเหลือน้อยที่สุดไม่ผูกพยาบาทอาฆาตจองเวร ไม่มีจิตคิดอิจฉาริษยาผู้อื่น โดยเฉพาะสิ่งสำคัญที่สุดในหมู่เทพและพรหมก็คือ การรักษาสัจจะและมีความซื่อสัตย์กตัญญูต่อผู้มีพระคุณ นับแต่ บิดา มารดา ครูบาอาจารย์ท่านผู้มีอุปการะคุณ บรรดาอารักขเทวดา... ฯลฯ แล้ว เทพเบื้องบนซึ่งเป็นชนผู้ใหญ่ จนถึงองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าย่อมจะช่วยให้ดวงวิญญาณนั้นมีความสุขความเจริญ เลื่อนขึ้นสู่ชั้นสูง มีเกียรติเป็นที่นิยมเคารพนับถือของดวงวิญญาณดวงอื่นๆ ได้ ถ้ายิ่งสร้างสมบารมีให้มากยิ่งขึ้น ก็ยิ่งจะเป็นกุศลให้ได้เลื่อนชั้นสูงไปได้เรื่อย ๆ ไม่มีขีดขั้นจนสูงสุดตามแรงกุศลที่ตนได้สร้างไว้<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>

    ตอนที่ 5
    ตายแล้วไปไหน<O:p></O:p>

    ข้าพเจ้า ดวงวิญญาณทุกดวง เมื่อออกจากร่างของคนที่ตายแล้วจะต้องมาสู่ยมโลกก่อนเสมอไปหรือไม่ ถ้าไม่เป็นเช่นนั้นจะไปที่ไหนไปที่นั้นทำไม อยู่นานสักเท่าใดจะเกิดอีกหรือไม่ ?
    พระยม ตามที่เคยได้บอกกับเจาไวัแต่ต้นว่า ดวงวิญญาณของคนที่ตายแล้ว เมื่อออกจากร่างส่วนมากมักจะต้องถูกนำมาสู่ยมโลกก่อน เพื่อตรวจสอบดูบาปบุญคุณโทษที่ตนได้เคยกระทำไว้แต่ครั้งยังมีชีวิตอยู่ แต่มีดวงวิญญาณบางดวงเมื่อออกจากร่างแล้วไม่ต้องมาสู่ยมโลก คงล่องลอยอยู่ในอวกาศ หรืออาจขึ้นสู่สุคติในชั้นบนเลยก็มี ในเมื่อวิญญาณดวงนั้นได้สร้างกุศลบารมีไว้สูงมากและเกือบตลอดชีวิตไม่เคยทำบาปเลย หรือถ้ามีการทำบาปบ้างก็เป็นไปโดยมิได้เจตนา ซึ่งในกรณีนี้ ดวงวิญญาณนั้นจะมีโทษเบามาก
    เพราะอกุศลธรรมที่เขาได้ทำไว้เป็นอโหสิกรรมบ้างหรือตามมาให้ผลไม่ทันบ้าง และโดยที่กุศลธรรมมีแรงมากกว่าจึงให้ผลก่อนในกรณีเช่นนี้ เมื่อบุคคลผู้นั้นตายลง กุศลกรรมก็ให้ผลทันทีทำให้ดวงวิญญาณของเขาไม่ต้องมายังยมโลกนี้คงขึ้นไปเสวยผลบุญอยู่ในสวรรค์เลยทีเดียว แต่เมื่อผลบุญที่ตนได้ทำไว้สิ้นสุดลงหรือหมดลง ดวงวิญญาณนั้นก็จะต้องมาเสวยกรรมชั่วที่ตนได้เคยทำไว้เป็นการใช้หนี้จนกว่าจะหมดเมื่อใช้หนี้กรรมหนี้เวรหมดสิ้นแล้ว ดวงวิญญาณนั้นก็จะต้องกลับไปจากยมโลกเพื่อยุติหรือปฏิสนธิ (เกิด) ต่อไป ตามแรงอธิษฐานหรือตามความปรารถนาของตน และด้วยอาศัยบารมีอันเป็นกุศลที่ได้เคยสร้างไว้ด้วย
    ในบางกรณี ดวงวิญญาณที่ออกจากร่างของผู้ตายอาจเข้าสู่เขตพรหมโลกชั้นสุทธาวาสเลยก็มี เช่นพวกท่านที่ไดสำเร็จเป็นพระอรหันต์ ได้อรหัตผลเข้าสู่พระนิพพานไปไม่ต้องมาใช้กรรมที่ตนได้ก่อไว้อีก มีดังเช่น พระองค์คุลีมาลอรหันต์ เป็นต้น แม้นว่าท่านจะได้ฆ่าฟันคนเสียตั้ง 999 คนเพื่อหวังความสำเร็จตามที่ได้รับคำสั่งสอนมาจากครูของท่านแต่ท่านก็ทำไปโดยความหลงเข้าใจผิด คิดว่าการทำเช่นนั้นจะเป็นทางให้ประสบความสำเร็จ ท่านจึงทำไปโดยที่ไม่เจตนาจะทำด้วยความพยาบาทอาฆาต ครั้งเมื่อท่านได้พบพระพุทธองค์ และได้ทรงรับคำสั่งสอนที่ถูกต้องให้รู้แจ้งเห็นจริงในทุกวิถีทางว่า การเที่ยวไล่ฆ่าฟันผู้คนแล้วตัดเอานิ้วมาร้อยเป็นพวงมาลัยคล้องคอให้ได้ครบ 1,000 คนนั้นไม่ใช่หนทางที่จะทำให้ประสบความสำเร็จเป็นพระอรหันต์ ตรงข้ามก็จะเป็นทางนำไปสู่อบายภูมิ 4 คือ นรก เปรต อสุรกาย และเดรัจฉาน ส่วนทางที่จะนำไปสู่ความสำเร็จ เป็นทางที่พระองค์จะได้ทรงสั่งสอนต่อไป ทั้งนี้ ท่านองคุลีมาลจะต้องหยุดทำการสร้างบาปเสียก่อน แล้วมาเดินในทางใหม่ที่พระองค์จะสอนให้ อันเป็นทางนำไปสู่ความสำเร็จคือพระอมตมหานิพพาน เมื่อท่านองค์คุลีมาลได้ฟังเช่นนั้น ก็เกิดความสนใจรับฟังคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อเข้าใจแล้ว ก็ปฏิบัติตามจนได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ เมื่อตายแล้วดวงวิญญาณก็ดับสูญเข้าสู่ปรินิพพานอันเป็นทางสุคติเพราะกุศลธรรมที่ท่านได้ทรงบำเพ็ญเพียรมากมายเหลือล้นจนอกุศลธรรมไม่อาจตามมาให้ผลได้ทัน ดวงวิญญาณเช่นพระอรหันต์องคุลีมาลนี้ไม่มีโอกาสจะได้มาสู่ยมโลกเลยเพราะได้เข้าไปสู่ประตูนิพพานไปเสียก่อน ซึ่งดวงวิญญาณเช่นท่านพระอรหันต์พระองค์นี้ย่อมมีน้อยนัก ตั้งแต่พ่อมารับหน้าที่ในยมโลกนี้ ก็เพิ่งจะเห็นมีเพียงดวงเดียวเท่านั้นส่วนมากมักจะไม่พ้นที่จะต้องมาทนทุกขเวทนารับกรรมอันหนักอยู่ในยมโลกนี้จนกว่าจะสิ้นเวรสิ้นกรรมของตนที่ได้ทำไว้แม้พระมหาโมคคัลลาน์ และนางอุบลวรรณารี ซึ่งต่างก็สำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้วทั้งสองพระองค์ ยังถูกพวกโจรประหารจนเสียชีวิตเข้าสู่พระนิพพานไป เพราะหนีกรรมขั้นสุดท้ายที่ตามมาให้ผลในชาตินั้นไม่พ้น แม้กระนั้นก็ตามดวงวิญญาณของท่านทั้งสองนั้นก็ไม่มีโอกาสได้ส่งลงมาในยมโลก เพราะท่านได้เข้าสู่ประตูนิพพานไปเสียก่อนแล้ว เป็นอันสิ้นชาติสิ้นทุกข์กันไปเพียงเท่านั้นเอง ไม่ต้องกลับลงมารับกรรมรับโทษในเมืองนรกนี้อีกต่อไป ดังนี้เป็นต้น เจ้าคงเข้าใจดีแล้ว
    ข้าพเจ้า เหตุใดคนที่จะต้องตาย เมื่อถึงเวลาจะตายก็ให้มีอาการแสดงออกต่าง ๆ กัน บางคนก็ตายไปด้วยอาการสงบ บางคนก็ตายด้วยอาการอันลำบากทนทุกข์ เวทนาทรมานทรกรรม ดิ้นรนคร่ำครวญ เจ็บปวดรวดร้าวอย่างแสนสาหัส บางคนก็ตายด้วยอุปัทวเหตุต่าง ๆ นานา ถูกยิงถูกแทง ถูกฟัน ถูกไฟครอก ถูกน้ำร้อนลวก รถคว่ำตายเรือแตก เครื่องบินตก....ฯลฯ ดูน่าทุเรศเวทนาเหลือที่จะทนดูได้นั้น เป็นเพราะเหตุใด ?
    พระยม การตายด้วยอาการกิริยาต่าง ๆ นั้นแหละเขาเรียกว่า“ กรรมนิมิต” ละลูกเอ๋ย คนใดที่ทำกรรมชั่วอย่างใดไว้แต่ในอดีต เมื่อถึงคราวจะต้องตายและกรรมนั้นได้ติดตามมาให้ผลทันก่อนจะตาย เมื่อตอนใกล้จะตายก็ให้นึกถึงแต่กรรมชั่วที่ตนได้ทำไว้นั้นจนหมดสติที่จะคิดถึงกรรมดีที่ตนได้ทำ ก็แสดงออกมาทางร่างกาย ด้วยการทรมานอันแสนจะน่าทุเรศเวทนาจนกว่าจะตาย โดยอาศัยกรรมชั่วที่ตนได้สร้างไว้ทำไว้ในระหว่างที่ยังมีชีวิตอยู่ หรือในอดีตชาตินั่นเอง ก็แสดงนิมิตออกมาให้เห็นเป็นที่ประจักษ์ชัดว่า เมื่อดวงวิญญาณนั้น ๆ ออกจากร่างไปแล้ว ที่ไปในเบื้องอนาคตข้างหน้าก็คือยมโลกหรืออบายภูมิทั้ง 4 ดังที่ได้เคยพูดให้ฟังมาแล้ว เพื่อไปใช้หนี้กรรมเก่าที่เจ้าเวรนายกรรมเขามาทวงเอากลับคืนไป ตามที่ตัวได้เคยกระทำกับเขาไว้แต่ในครั้งก่อน หนี้ต่าง ๆ เหล่านี้เรียกกันว่า “หนี้กรรมเก่าที่เขาจะต้องใช้ให้หมดสิ้นไป” ตราบใดที่ยังใช้หนี้รายต่าง ๆ ไม่หมดสิ้น ตราบนั้นดวงวิญญาณที่ออกจากร่างไปแล้วก็ไม่มีวันที่จะหาความสงบสุขได้ ต้องไปทนทุกข์ทรมานอยู่ในนรกแดนใหญ่หรือขุมใหญ่ต่าง ๆ ขุมใดขุมหนึ่งใน 8 ขุม หรืออาจต้องไปใช้หนี้รับความทรมานทั่วทั้ง 8 ขุม ก็ได้ลูกเอ๋ยทั้งนี้สุดแล้วแต่ว่ากรรมที่มนุษย์คนนั้นได้สร้างขึ้นไว้ จะหนักหนามากมายร้ายแรงสักเพียงใดตามกฎเกณฑ์ที่ว่าผู้อื่นผู้จะต้องตายสร้างกรรมอย่างใดอย่างหนึ่งไว้ กรรมนั้นก็จะติดตามผู้นั้นไป ประดุจล้อแห่งเกวียนที่ติดตามกระทบเท้าโคไปฉันนั้น” เมื่อโคลากเกวียนไปถึงไหน ล้อเกวียนก็ตามลบรอยเท้าโคไปจนถึงที่หมายปลายทางนั้นเทียวละลูกเอ๋ย นี่แหละที่เรียกว่ากรรมนิมิตละ
    ข้าพเจ้า สำหรับคนที่จะต้องตาย และกำลังจะตายอยู่ด้วยความทรมานอันน่าสังเวชสลดใจนั้น จะมีหนทางอย่างใดบ้างหรือไม่ที่จะช่วยให้ตายด้วยอาการอันสงบปราศจากความทุรนทุราย หรือแสดงความเจ็บปวด
    พระยม มีซิลูกเอ๋ย ยังพอมีทางที่จะช่วยได้บ้าง แต่ก็ไม่ใช่จะช่วยได้ทุกคนไปดอกนะ จะช่วยได้ก็เพียงบางคนเฉพาะคนที่ได้เคยก่อสร้างทางกุศลไว้มาก ๆ เท่านั้น เพราะคนที่ได้ทำบุญไว้มาก แต่ก็สร้างกรรมอันเป็นบาปไว้ก็มากด้วยนั้น เมื่อใกล้จะตายมักจะไม่สามารถระลึกถึงทางกุศลที่ตนได้เคยสร้างไว้ได้ดอก ส่วนมากมักจะนึกได้ก็แต่บาปอกุศลที่ตนได้เคยทำมาไว้แต่ในอดีต เพราะอกุศลนั้นมีอำนาจแรงมาก และมักจะมาให้ผลก่อนเสมอ โดยเฉพาะถึงคราวที่ดวงจิตจะดับ อันเป็นเหตุให้แสดงกรรมนิมิตอันน่าสยดสยองและหวาดเสียวออกมา เพราะขณะนั้นดวงจิตหมดกำลังและอำนาจที่จะคุมสติได้ ด้วยเหตุนี้ จึงได้มีการบอกพระอะระหังให้แก่คนที่กำลังจะตาย คือเท่ากับเป็นการช่วยเตือนความทรงจำให้คนที่กำลังจะตายได้ระลึกถึงความดีหรืออกุศลธรรมที่ตนได้เคยสร้างสมอบรมมาแต่เก่าก่อนอย่างน้อยเมื่อเขานึกอะไรไม่ออกเลย เมื่อจากโลกนี้ไปแล้วขอให้เขานึกถึงคุณพระไว้ในดวงจิต เพื่อเป็นที่พึ่งที่ระลึกถึงอย่างมีแก่นสารบ้างก็ยังดี หรือบางทีถ้าคน ๆ นั้นได้เคยสร้างกุศลไว้มากมายในบั้นปลายของชีวิต พอใครไปเตือนความทรงจำให้เขาระลึกขึ้นมาได้ เขาก็จะเบนดวงจิตเข้ามาสู่ทางกุศลที่เขาได้ทำไว้ ดวงจิตที่กำลังทุรนทุราย ก็จะกลายเป็นเข้าสู่ความสงบโดยยึดเอาธรรมและกุศลที่ตนได้เคยทำไว้เป็นหลักมั่นเกาะเกี่ยวเหนี่ยวยึดพาดวงวิญญาณไปสู่ปรโลกในสัมปรายภพโน้นได้ เมื่อดวงจิตได้มีกุศลธรรมเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวแล้วสงบก็จะพลันเกิดขึ้น กรรมนิมิตที่ร้ายก็จะละลายสูญหายไป ความตายอย่างสงบสุขก็จะเข้ามาแทนที่ต่อจากนั้นเมื่อดวงจิตจะดับลงก็ดับลงอย่างง่ายดาย เหมือนไฟที่ปราศจากเชื้อสิ้นไส้สิ้นน้ำมัน ดวงวิญญาณก็จะหลุดลอยออกจากร่างไปโดยง่าย ส่วนจะไปสู่สุคติภูมิอย่างไรนั้น เป็นเรื่องของกุศลธรรมหรืออกุศลธรรมจะตามสนองไปทัน ถ้ากุศลกรรมตามไปทันก่อนดวงจิต หรือดวงวิญญาณที่ออกจากร่างไปสู่สุคติภูมิ แต่ตรงข้ามถ้าอกุศลกรรมตามไปถึงก่อนดวงวิญญาณนั้น ก็จะพลันไปสู่ทุกข์คติภูมิ เท่าที่กล่าวมานี้ก็เป็นวิธีหนึ่งที่จะช่วยให้คนที่จะต้องตายนั้น ให้ตายไปด้วยอาการอันสงบ แต่ถ้าเป็นดวงวิญญาณที่มีแต่ความบาปชั่วสกปรกโสมมแล้วละก็ ไม่มีทางใดที่จะนำมาช่วยได้ดอกลูกเอ๋ย เพราะแรงแห่งความชั่วมันมาก จนมีอำนาจอยู่เหนือสติสัมปชัญญะทั้งมวลของผู้ที่จะต้องตาย ซึ่งตามธรรมดาคนที่ใกล้จะตายนั้น ความมีสติสัมปชัญญะมีเหลืออยู่น้อยเต็มทีเปรียบเสมือนดวงไฟที่ริบหรี่ๆใกล้จะดับเพราะสิ้นไส้สิ้นเชื้อสิ้นน้ำมัน แหละยิ่งเมื่อตอนที่ตนยังมีชีวิตอยู่ ได้สร้างความชั่วช้าสามานย์ความสกปรกโสมมไว้มากเพียงใด สิ่งร้าย ๆเหล่านั้นก็ย่อมจะต้องติดตามทวงถามอย่างกระชั้นชิด และเร่งเร้าเอาจนไม่มีเวลาจะนึกคิดถึงเรื่องอื่น ๆ ได้ เหตุไฉนจึงจะมานึกถึงคุณงามความดีที่ตนมีอยู่เพียงเท่าขี้เล็บมือหรือไม่มีเอาเสียเลยได้เล่า เมื่อเป็นเช่นนี้แม้จะชวนคนตั้งร้อย ๆมาโก่งคอหอยร้องเรียกพระอะระหังให้ช่วย หรือจะมาพร่ำพรรณนาสาธยายมนต์คาถา อ้างถึงคุณงามความดีขึ้นมาสักเท่าใด ๆ คนๆ นั้นที่ใกล้จะตายซึ่งเป็นคนบาปร้ายใจอาธรรม์ก็ไม่มีโอกาสได้ยินและนึกถึงพระอรหันต์ให้ช่วยตนได้เป็นแน่พ่อจึงว่าถ้าจะช่วยได้ก็เป็นเพียงบางคนเท่านั้น ไม่ใช่ช่วยได้ทุกคน ไม่ว่าคนๆ นั้นจะยิ่งใหญ่สักเพียงใดในโลกมนุษย์
    ข้าพเจ้า การช่วยคนตายให้มีความสุข นอกจากจะในขณะที่กำลังจะตายแล้ว ยังมีวิธีอื่นอีกหรือไม่ เช่นการช่วยด้วยการทำบุญแผ่ส่วนกุศลไปให้เป็นต้น และการช่วยเช่นนั้นผู้ตายจะได้รับหรือไม่ เพราะเหตุใด ?
    พระยม มีซิลูก ยังมีวิธีที่คนเป็นจะช่วยดวงวิญญาณของคนตายให้ได้รับความสุขอีกมากมายหลายวิธีที่จะทำได้ง่ายที่สุดตามทางขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่พระองค์ได้ทรงสั่งสอนไว้ก็ได้แก่ การทำบุญให้ทาน ถวายอาหารบิณฑบาตยังไงล่ะ นอกจากวิธีง่าย ๆ ซึ่งขณะนี้มักจะไม่ใคร่มีใครค่อยนึกค่อยทำกันแล้ว ยังมีการบริจาคทานอันเป็นมหากุศลอีกมากมาย โดยเฉพาะได้แก่การเข้าบวชในพระศาสนาการถวายกฐินทาน หรือการสร้างโบสถ์ วิหาร สถานศึกษาโรงพยาบาล ฯลฯ และอาคารสาธารณกุศลอื่น ๆ หรือวิธีถวายพระธรรมคัมภีร์ ถวายตำรับตำราทางศาสนาเป็นวิทยาทานการกุศลโดยเฉพาะการถวายปัจจัยสี่แก่ทางพระศาสนาได้แก่อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย และยารักษาโรค เป็นต้น ก็นับว่าเป็นหนทางที่จะช่วยให้คนตายได้รับความสุขเหมือนกันแต่ข้อสำคัญเมื่อได้ทำการกุศลบริจาคทานไปแล้ว ต้องมีการอุทิศส่งไปให้ อาจด้วยใจแผ่เมตตาอุทิศส่วนกุศลให้หรือกรวดน้ำไปให้ก็ยิ่งดี เพราะการทำเช่นนี้จะเป็นทางให้ผู้ตายได้รับส่วนกุศลผลบุญที่คนอยู่ทำไปให้คนตาย แต่ก็ไม่เสมอไปดอกนะลูกเอ๋ย เพราะดวงวิญญาณบางดวงที่ได้ก่อกรรมทำเข็ญไว้มากมาย ในสมัยที่ตนยังมีชีวิตอยู่ ครั้นเมื่อตายไปแล้วดวงวิญญาณนั้นต้องถูกลงโทษตามกรรมอันหนักของตนต้องตกไปอยู่ในนรกชนต่ำที่สุดเช่นมหาอเวจีหรือมหาโรรุวนรก หรือโลกันต์นรกซึ่งเป็นนรกชั้นที่มีการทรมานทรกรรมกันอย่างหนักและร้ายแรงที่สุดในนรกชั้นดังกล่าวนี้ ไม่มีใครจะอุทิศส่วนกุศลส่งไปให้ถึงได้ ยกเว้นพระพุทธองค์และพระอรหันต์เท่านั้น ฉะนั้น ถ้าวิญญาณดวงใดตกลงไปในนรกเหล่านั้นก็เป็นอันหมดโอกาสที่จะได้รับส่วนบุญจากญาติหรือมิตรสหายที่อุทิศส่วนกุศลไปให้ ทั้งนี้ จนดวงวิญญาณนั้นจะรับใช้กรรมจนหมดสิ้น แล้วกลับขึ้นมานรกชั้นที่มีความรุนแรงหรือบาปกรรมทำชั่วน้อยกว่าจึงจะพอได้บ้าง และเมื่อขึ้นพ้นจากนรกเมื่อใด ก็จะได้รับส่วนบุญกุศลที่เขาอุทิศไปให้ได้เต็มที่
    ข้าพเจ้า ลูกเคยได้ยินและได้เห็นมาจากเมืองมนุษย์กับตาของลูกเองถึงพิธีกงเต็ก ซึ่งพระในพระพุทธศาสนาลัทธิมหายานเป็นผู้ทำ และในพิธีนั้นมีการสร้างรูปพระยายมหรือที่จีนเรียกว่า เงี่ยมฬ่ออ๋อง และสร้างเครื่องใช้ตลอดจนเงินทอง ผู้คนต่าง ๆ เทียมขึ้นมากมาย รวมทั้งเคหสถานบ้านช่อง สิ้นเงินทองนับเป็นหมื่นๆครั้นแล้วก็เผาของเหล่านั้นว่าเพื่อเป็นการส่งไปให้ผู้ตาย เช่นนี้ลูกอยากทราบว่าผู้ตายจะได้รับหรือไม่ เป็นการทำที่ถูกต้องหรือไม่ เพราะเห็นว่าเป็นการสิ้นเปลืองมากมาย ทางที่ดีน่าจะเอาเงินที่สร้างของเทียม หรือปลอมเหล่านั้นเข้าบำรุงวัด หรือพระพุทธศาสนาเสียจะมิดีกว่าหรือ ?
    พระยม ถูกของเจ้าลูกพ่อ เป็นการกระทำที่สิ้นเปลืองมากมายจริง ๆ ส่วนการที่เขาเผาไปแล้ววิญญาณของผู้ตายจะได้รับหรือไม่นั้น พ่อจะขอพูดตามหลักทางพระพุทธเจ้าว่าถ้าการทำเช่นนั้นมีการทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปก็ได้ประโยชน์จริง ผู้ตายก็ได้รับส่วนกุศลที่ผู้อยู่ได้ทำส่งไปให้ แต่ตรงข้ามถ้าทำไปเฉย ๆ โดยมิได้มีการทำบุญอุทิศให้ไปด้วย ผู้ตายก็ไม่ได้รับเหมือนกับเราเผาเศษกระดาษที่ทิ้งไว้ในตะกร้าหาประโยชน์อันใดมิได้ กลับจะกลายเป็นความสิ้นเปลืองโดยเปล่าประโยชน์ การที่ลูกพูดว่าถ้าเขาจะนำเอาเงินไปบำรุงวัดหรือสิ่งต่าง ๆ ในพระพุทธศาสนาไม่ได้นั้น ข้อนี้พ่อเห็นด้วยทีเดียวลูก เป็นความจริงดังที่ลูกพูดทุกอย่าง เพราะดวงวิญญาณนั้นย่อมจะรู้ว่าอะไรจริงอะไรปลอม เขารู้ดีกว่ามนุษย์มาก ฉะนั้นการที่จะไปตามตบตาเขานั้นไม่ได้ดอก แต่ข้อสำคัญลูกต้องไม่ลืมว่า การทำเช่นนั้นต้องมีการทำบุญกุศลประกอบไปด้วย นั้นแหละดวงวิญญาณผู้ตายจึงจะได้รับ แต่ถ้าหนี้กรรมมากก็ต้องนำเอาไปใช้หนี้เขาก่อน จนกว่าจะหมดหนี้กรรมของตนที่เหลือจึงจะเป็นของตนได้แต่การทำเช่นนั้นจะเป็นผลหรือไม่อยู่ที่ผู้ให้ จะให้หรือไม่เพียงใด ซึ่งเจ้าจะได้เห็นด้วยตาตนเองเมื่อเข้ามีเวลาไปดูและรู้เรื่องราวต่าง ๆจากบรรดาเจ้าหน้าที่ของแต่ละแผนกที่เขาจะพาเข้าไปดูฉะนั้นพ่อจึงใคร่ขอให้เจ้านำไปเล่าให้พวกในเมืองมนุษย์ฟังด้วยว่า ถ้าจะทำอะไรขอให้ทำโดยมีหลัก ถ้าจะเชื่ออะไรขอให้เชื่อด้วยมีเหตุมีผล จงเจริญตามรอยตามคำสั่งสอนของพระพุทธองค์ผู้ทรงอยู่เหนือเทพเจ้าและมนุษย์ อมนุษย์ทั้งปวง เพราะบรรดาดวงวิญญาณที่เป็นทิพย์ทั้งหลายจะต้องขึ้นเฝ้าพระพุทธองค์หมด ไม่มีทิพย์วิญญาณดวงใด จะอยู่เหนือพระองค์ขึ้นไปได้เลย
    ข้าพเจ้า ลูกได้เห็นความวุ่นวายในโลกมนุษย์มามากแล้ว ลูกได้รับความทุกข์ทรมานมาด้วยตนเอง ก็เหลือแสนจนแทบจะสุดความทนทานได้ ลูกรู้สึกเบื่อหน่ายต่อโลกมนุษย์เต็มที พูดกันตามความรู้สึกของดวงใจที่แท้แล้ว ลูกไม่อยากกลับไปเมืองมนุษย์อีกเลย ไม่อยากกลับไปรับความทุกข์ทรมานอีก ทำไมหนอเมืองมนุษย์นั้นมันจึงมีเรื่องยุ่งยากวุ่นวายกันมากนัก ทำไมมนุษย์จึงเวียนเกิดเวียนตายกันไม่รู้จักหยุดหย่อน ไม่รู้จักหมดสิ้น เพราะเหตุใด ?
    พระยม ลูกยังใช้เวรใช้กรรมและหนี้สินของลูกที่ได้สร้างเอาไว้ในอดีตชาติยังไม่หมด ลูกจะเบื่อหน่ายสักเท่าใดลูกก็ไม่อาจหลบหนีเสียได้ ลูกยังจะต้องกลับขึ้นไปใช้หนี้กรรมเก่าเคยให้หมดก่อน เมื่อใช้หนี้หมดแล้วเมื่อใดจึงจะพ้นได้ บัดนี้ยังไม่ถึงเวลาที่ลูกจะกลับมาจากเมืองมนุษย์ยังอยู่อีกนานนักกว่าที่เจ้าจะใช้หนี้เวรกรรมที่เจ้าได้ทำไว้ในชาติปางก่อนได้หมด ฉะนั้น เจ้าจึงต้องกลับไปทนรับกรรมจนกว่าจะสิ้นสุด แล้วจึงจะพ้นทุกข์ในมนุษย์โลกได้
    ที่เจ้าถามว่า อะไรเป็นเหตุให้มนุษย์และสัตว์ทั้งหลายเวียนว่ายตายเกิดนั้นเป็นเรื่องใหญ่และต้องพูดกันยืดยาวมากแต่พอจะรวบรัดตัดความเอาสั้น ๆ ว่า“อวิชชา” คือความไม่รู้แจ้งเห็นจริง ความรู้ครึ่ง ๆ กลาง ๆ แค่หางอึ่ง เป็นเหตุให้เกิดสังขารเป็นตัวตน สังขารเกิดแล้วก็มีวิญญาณเข้าสิงสู่เมื่อมีวิญญาณแล้วก็เกิดมีนามรูปว่าคนหรือสัตว์ ที่มีรูปร่างหน้าตาอย่างนั้นอย่างนี้มีนามว่าอย่างนี้อย่างนั้น ชื่อนี้ เมื่อมีนามรูปขึ้นแล้ว ย่อมประกอบด้วยอายตนะ คือสิ่รับรู้ต่างๆได้แก่ ตารับรูป หูรับเสียง จมูกรับกลิ่น ลิ้นรับรส กายรับความสัมผัสอ่อนนุ่ม แข็งกระด้าง ร้อนหนาวต่างๆ ใจรับธรรมคือความเป็นจริงต่างๆ ที่มีในโลกทั้งที่เป็นรูปธรรมคือมีรูปและที่เป็นนามธรรมคือไม่มีรูป มีแต่อาการกับความรู้สึกเมื่อเกิดมีอายตนะแล้วก็เกิดมีผัสสะ คือความรู้สึกต่าง ๆ ที่อายตนะทั้ง 6 อย่างรับเข้ามาสู่ดวงจิต เพื่อพิจารณาไตร่ตรองและจดจำไว้ หรือให้หลงลืมไป ครั้นแล้วก็เกิดมีเวทนาคือความรู้สึกเป็นสุข เป็นทุกข์ ไม่สุข ไม่ทุกข์ เป็นกลางๆ และเกิดตัณหาคือความอยากได้ ใคร่ดีไม่อยากได้ สิ่งใดที่ชอบว่าดีเป็นความสุขก็อยากได้ สิ่งใดใจไม่ชอบเพราะเห็นว่าเป็นความทุกข์เดือดร้อนก็ไม่อยากได้ เมื่อเกิดความอยากและไม่อยากแล้ว ก็เกิดอุปาทาน คือความยึดมั่นว่าสิ่งนั้นดีสิ่งนั้นเป็นทางทำให้เรามีความสุข ควรจะเป็นของเรา ส่วนสิ่งนี้ไม่ดีไม่เป็นทางนำความสุขมาให้ มีแต่ทำให้เกิดความทุกข์ยากลำบากเดือดร้อน ไม่ควรเป็นของเรา เราไม่ควรเอามา ควรเป็นของคนอื่น ควรให้คนอื่นรับเอาไป เมื่อมีอุปาทานความยึดมั่นขึ้นเช่นนี้ดวงจิตเราก็ติดอยู่ในอุปาทาน อยากมีความสุขเพราะเห็นว่าสิ่งนั้นเป็นสุข เป็นของเรา เราต้องเอาให้ได้ทำให้มีชาติคือความเกิด (ใหม่)เพื่อจะมาเอาสิ่งที่เราต้องการให้ได้เพราะยังติดใจอยู่ เมื่อมีชาติคือความเกิดแล้ว ก็ต้องมีภพ คือความอยู่ในที่ใดที่หนึ่ง อยู่ในรูปอยู่ในโลกอันยุ่งเหยิงวุ่นวายอลวน ดังที่เจ้ารำพันมาแล้ว เมื่อมีภพหรือภว คือความอยู่ในสภาพอย่างใดอย่างหนึ่งแล้ว ก็เลยเป็นเหตุให้เกิดชรา คือความเก่าแก่คร่ำคร่า ความชำรุดเสื่อมโทรมลงไปทุกคืนทุกวัน ทุกชั่วโมงนาทีและวินาที มีแต่ความร่วงโรยเหี่ยวเฉาเหมือนต้นไม้ที่ขาดน้ำ เหมือนดอกไม้ที่เหี่ยวไปร่วงโรยไม่คงทนอยู่ได้ เมื่อมีเราแล้วก็มีพยาธิ คือความเจ็บไข้ได้ป่วยเข้าเกาะกินร่างกายอวัยวะทุกแห่งจนกว่าจะตายไป คือมรณะนั้นเอง ครั้นแล้วดวงจิตก็จะดับ ดวงวิญญาณที่อาศัยรูปร่างอยู่ก็จะออกไปทำให้เกิดโศกะ คือความเศร้าโศกเสียใจอาลัยรักแก่ตนและญาติมิตรสหาย ก่อให้เกิดปริเทวะความคร่ำครวญร่ำไห้รำพันพิลาปต่าง ๆ นานา ต่อมาก็เกิดอุปายะสะ คือความรู้สึกคับใจ อยากจะใคร่เอาชนะก็กลับมาเกิดใหม่ ตายใหม่ เวียนไปเขียนมาไม่รู้จักจบสิ้นอยู่เช่นนี้ตลอดไปอย่างไรเล่าลูกเอ๋ย
    ข้าพเจ้า มนุษย์เราจะมีทางอย่างไรบ้างหรือไม่ ที่จะห้ามความตายมิให้มาเกิดกับตัวเรา (หรือว่าเมื่อเราตายแล้วไม่ต้องให้กลับมาเกิดใหม่อีกต่อไป) ถ้าจะมี มีอย่างไร และจะต้องทำอย่างไรจึงจะสำเร็จสมความตั้งใจปรารถนา
    พระยม ทางที่จะต้องทำให้ไม่ตายนั้น ไม่มีเลยลูกเอ๋ยในโลกมนุษย์หรืออื่นอีกหมื่นโลกธาตุและแสนจักรวาลพิภพก็ยังไม่มีผู้ใดที่สามารถค้นพบวิธีที่จะทำให้สิ่งทั้งหลายไม่ตายในเมื่อเกิดมาแล้วได้ทุกสิ่งในโลกล้วนเกิดมาเพื่อความตายด้วยกันทั้งสิ้น ไม่มีผู้ใดหรือสิ่งใดจะหลีกเลี่ยงให้หลุดพ้นไปจากความตายหลังการเกิดแล้วได้ และก็คงจะไม่มีใครค้นพบอีกนานนัก ฉะนั้นเรื่องไม่ให้ตายนี้จึงไม่ต้องพูดกันอีก เป็นอันว่าไม่มีทางเพราะแม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ทรงเป็นอัจฉริยะเลิศกว่าเทวดาและมนุษย์ ตลอดทั้งพระอรหันต์ผู้สำเร็จแล้ว ยังต้องตาย ที่เรียกว่าดับขันธ์เข้าสู่ปรินิพพาน แต่เป็นการตายอย่างที่จะไม่ต้องกลับมาเกิดอีกซึ่งก็ตรงกับคำถามของเจ้าว่า การตายอย่างไม่เกิดนั้นมีทางทำได้หรือไม่ พ่อขอตอบว่าทำได้แน่นอน เพราะการทำตายโดยไม่ต้องกลับมาเกิดนี้ พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ไม่ว่าจะทรงบารมีทางไหน และพระอรหันต์ขีณาสพทั้งหลายล้วนเป็นผู้ไม่เกิดอีกและได้พากันไปแล้วด้วยดีทั้งนั้น โดยที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายได้ทรงค้นพบวิธีที่จะไม่ต้องกลับมาเกิดอีกได้ สำเร็จด้วยการดับอวิชชา คือทำสิ่งที่ไม่รู้ให้รู้ ทำทั้งที่รู้ไม่จริงให้รู้จริงๆ เมื่อท่านดับอวิชชาได้แล้ว อย่างอื่นที่จะตามมาก็พลันจะดับไปด้วยจนหมดสิ้น เมื่อชาติคือความเกิดดับไป ความเกิดไม่มี ไม่ต้องกลับมาเกิดอีกแล้วหมดสิ้นกันที สิ้นเวรสิ้นกรรมหมดหนี้เก่ากรรมเก่า หมดความมีชีวิตนั่นคือหมดความตายเพราะไม่มีความเกิด คงมีแต่วิญญาณอันเป็นอมตะล่องลอยอยู่ในแดนสุขาวดี คือ กุศลสวรรค์ ซึ่งดวงวิญญาณที่ได้รับการชำระให้บริสุทธิ์แล้ว จะขึ้นไปสถิตอยู่ได้เสมอกันหมด ทั้งนี้ย่อมจะกระทำได้ด้วยการบำเพ็ญญาณจนได้ญาณและวิมุตติ คือความหลุดพ้นนั่นเอง หากแต่เป็นเรื่องยากมาก และมนุษย์ไม่ใคร่จะเชื่อกันว่า มีจริงทำได้จริง

    >>ต่อตอนจบ<<<O:p</O:p<O:p</O:p
     
  2. smiziie

    smiziie สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2011
    โพสต์:
    6
    ค่าพลัง:
    +0
    > </O:p>


    <O:p> </O:p>


    ตอนที่6 ตอนจบ
    บัญชีดวงวิญญาณ (มนุษย์-สัตว์)<O:p></O:p>

    ข้าพเจ้า ตามที่ท่านพ่อรับสั่งมาให้ท่านมัจจุราชพาลูกมาครั้งนี้ นับว่าเป็นบุญของลูก ที่ได้มารับคำสอนและคำตอบในปัญหาที่บรรดามนุษย์พากันสงสัยเป็นอันมากมานานแล้วอย่างแจ่มแจ้ง ลูกต้องขอกราบถวายบังคมเทิดทูนพระมหากรุณาไว้เหนือเกล้า ด้วยดวงจิตที่มีแต่ความเคารพสักการะเพราะคำสั่งสอนเหล่านั้น ล้วนเป็นประโยชน์ใหญ่หลวงที่ลูกยังไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อนเลย และถ้าลูกยังมีโอกาสมีชีวิตต่อไป ลูกจะได้นำไปปฏิบัติบ้างเป็นทางกุศล
    พระยม เออดี ถูก ถ้าเจ้าเข้าใจตามที่พ่อเล่าให้ฟังและมองเห็นประโยชน์อย่างแท้จริงแล้วก็จะได้นำไปประพฤติปฏิบัติและบอกกล่าวกันต่อ ๆ ไป เพราะมนุษย์ในปัจจุบันนี้มันมีสันดานโหดร้ายทารุณ ฆ่าฟันกันตายราวกับผักปลา ด้วยความโลภอันเป็นกิเลสหนาเข้าครอบงำดวงจิต แม้ตัวเจ้าเองก็ต้องพลอยมาได้รับความอดอยาก และลำบากตรากตรำกับการกระทำอันร้ายกาจของคนชั่วเพียงไม่กี่คนบนโลกมนุษย์นั้นด้วย พ่อเชื่อว่าเจ้าคงไม่เห็นดีกับเห็นชอบการกระทำอันเลวร้ายของผู้ได้อำนาจเหล่านั้น ซึ่งเขาจะลงมาใช้หนี้กรรมชั่วที่เขาพากันประกอบขึ้นในขณะนี้ในไม่ช้า ซึ่งโทษที่เขาจะได้รับย่อมจะสาสมกับกรรมชั่วที่เขาได้กระทำลงไปโดยทั่วกันอันเป็นกฎเกณฑ์และบทบัญญัติของฟ้าดินที่ไม่มีใครจะละเมิดได้ เวลาเหลือน้อยเต็มทีแล้ว จะถามอะไรก็รีบถามมาเพราะจะต้องรีบส่งเจ้ากลับไป
    ข้าพเจ้า ลูกอยากขอกราบทูลว่า สงครามนี้มันจะยืดเยื้อไปอีกนานสักเท่าใด แล้วตัวลูกเองจเป็นอย่างไรต่อไป ?
    พระยม มนุษย์จะยังคงฆ่าฟันกันตายอีกไม่นาน ต่อไปนี้การตายของมนุษย์และสัตว์บนพื้นโลกจะมีมากขึ้น ถ้าจะคิดเป็นเวลาในโลกมนุษย์ก็อยู่ในราวอีกหนึ่งปีเศษ แล้วทุกสิ่งทุกอย่างก็จะสิ้นสุดลง ทั้งนี้ในเมื่อต่างฝ่ายต่างก็พากันล้มตายลงฝ่ายละมาก ๆ พ่อบอกอะไรมากกว่านี้ไม่ได้ เพราะจะเป็นการฝ่าฝืนอำนาจฟ้าดินและกรรมของพวกมนุษย์เหล่านั้นส่วนตัวของลูกเองจะไม่มีอันตรายถึงชีวิต เจ้าจะยังไม่ตายจนกว่าเจ้าจะใช้กรรมของเจ้าจนสิ้นแล้ว สำหรับชะตาชีวิตของเจ้าต่อไปในภายหน้านั้น ย่อมเป็นไปตามกฎแห่งกรรมดีและชั่วที่เจ้าจะสร้างสมขึ้นเอง พ่อขอเตือนเจ้าว่าเจ้าจงทำดีเพื่อความดี สำหรับลาภยศ บุญวาสนาเป็นผลที่ได้รับจากการประกอบกรรมดี การที่พ่อพูดเช่นนี้ก็เพราะไม่มีใครที่จะล่วงอำนาจฟ้าดินได้ แม้แต่ตัวพ่อเองก็พยายามทำดีที่สุด ตามหน้าที่ที่ได้รับเทวบัญชามา ถ้าพ่อขาดความเป็นธรรมและไม่มีสัจจะ พ่อก็ต้องได้รับโทษตามกรรมนั้นด้วยเหมือนกันไม่มีใครฝ่าฝืนหรือต่อต้านอำนาจสูงสุดของฟ้าดินได้เลยเจ้ายังจะต้องกลับขึ้นไปอยู่ในโลกมนุษย์อีกนาน เพราะเจ้ายังมีภาระที่ได้มอบหมายตามเทวโองการ ซึ่งเจ้าจะต้องปฏิบัติหน้าที่ให้เสร็จสิ้นเสียก่อน จึงพ้นจากโลกมนุษย์มาได้ แต่จะไม่มีใครช่วยเจ้าได้ ไม่ว่าทางดีหรือชั่ว เจ้าจะต้องช่วยตัวของเจ้าเอง ข้อนี้จงจำไว้ให้มั่นเพื่อจะได้ไม่เสียอกเสียใจ ในเมื่อเจ้าคิดถึงว่า ถึงคราวที่เจ้าควรจะได้ดีแล้วไม่ได้ หรือถึงเวลาที่เจ้าจะต้องเผชิญกรรมรับทุกข์ทรมาน ด้วยความเวทนาจะได้นึกถึงคำพูดของพ่อที่บอกกับเจ้าไว้ นี่ก็จวนจะหมดเวลาแล้วที่จะต้องอนุญาตให้จนกว่าจะถึงเวลาที่เจ้าจะต้องกลับ หรือเจ้าอยากดูพวกสัตว์นรกถูกทรมานก็ได้ พ่ออนุญาตและให้เขานำเจ้าไป
    ข้าพเจ้า เรื่องนรก และการถูกทรมาน ลูกพอรับรู้มาบ้างแล้ว ลูกไม่อยากดูเลยเพราะมันทำให้เกิดความสลดสังเวชใจแต่ลูกใคร่ขออีกว่า เวลานี้ คุณพ่อคุณแม่ผู้บังเกิดเกล้าของลูกอยู่ที่ไหน เทวาท่านตายจากลูกมาตั้ง 20 ปีแล้ว ท่านพ่อจะกรุณาบอกลูกให้ทราบได้บ้างหรือไม่ และพี่ของลูกซึ่งหายไป10 กว่าปีแล้ว ขณะนี้อยู่ที่ไหน ?
    พระยม แม่ของเจ้าขณะนี้ได้ไปจำศีลภาวนาปฏิบัติพระอย่างสุขสบายแล้ว ส่วนพ่อของเจ้าเมื่อใช้หนี้กรรมหมด ก็กลับไปอยู่กับท่านอาจารย์ของเขาเจ้าไม่ต้องเป็นห่วงอีกต่อไปถ้าเจ้ายังระลึกถึงด้วยความกตัญญูอยู่ ก็จงพยายามทำความดีแล้วแผ่เมตตาส่งบารมีอันเป็นกุศลไปให้ ก็พอเป็นกตเวทิตาคุณเทพเจ้าก็จะสรรเสริญเจ้าส่วนพี่ของเจ้านั้นอย่าไปตามเลยถึงจะค้นให้ทั่วแผ่นดินก็ไม่มีวันพบได้ เพราะเขาเปลี่ยนชื่อเปลี่ยนนามสกุลใหม่ ขณะพวกผิวขาวพาเอาตัวไปด้วย อีกไม่นานก็จะสิ้นกรรมเก่าแล้ว เขาจะมีความสุขมาก เพราะพี่ของเจ้าเป็นคนดี แต่ก็กรรมมากจึงอาภัพ เจ้าก็ช่วยอะไรเขาไม่ได้ ข้อสำคัญเจ้าต้องช่วยตัวของเจ้าให้มากก่อน แล้วจึงค่อยช่วยคนอื่นโดยอาศัยบารมีที่เจ้าจะต้องสร้างขึ้นเอง ด้วยตัวของเจ้านั่นแหละ จะเป็นหนทางให้ช่วยผู้อื่นด้วยได้ อย่าไปห่วงถึงคนอื่นให้มากนัก ถ้าตราบใดที่เจ้ายังช่วยตัวเองไม่ได้แล้ว เจ้าจะช่วยคนอื่นได้อย่างไร เปรียบเหมือนคนที่ว่ายน้ำไม่เป็น ครั้นพอเห็นคนตกน้ำก็โดดลงไปช่วย โดยหาได้สำนึกไม่ว่าตนนั้นว่ายน้ำไม่เป็น ผลที่เกิดขึ้นก็คือพากันตายด้วยกันทั้งคู่ ฉันใดก็ดีที่ไม่เคยสร้างบุญคุณงามความดีอะไรไว้เลย จะเอาบุญกุศลบารมีอะไรไปช่วยคนอื่นเขาได้ขืนยังดื้อไปช่วยเขาเข้า ตัวเองก็จะยิ่งเข้าตาร้ายหนักขึ้นซ้ำร้ายคนนอกจะไม่สร้างบุญกุศลแล้ว ยังสร้างแต่บาปอยู่เสมอ คนชั่วเหล่านั้นถ้าลงไปช่วยใครเข้าแล้ว จะยิ่งทำให้คนอื่นพลอยมัวหมองไปด้วย ฉะนั้น ถ้าเจ้าจะคิดช่วยคนอื่นแล้วพึงสะสมคุณงามความดีสร้างบารมีไว้ให้มากพอ นั่นแหละจะเป็นทางอำนวยให้เจ้าช่วยคนอื่นได้แน่นอน เจ้าจะต้องการอะไรอีกให้รีบบอกมา เพราะเวลาใกล้จะหมดแล้ว
    ข้าพเจ้า ไหน ๆ ลูกก็ได้มีโอกาสมาเฝ้าท่านพ่อแล้วลูกใคร่ขอประทานพรอันประเสริฐจากท่านพ่อสักอย่างหนึ่งคือ ขอให้ลูกสามารถต่ออายุมนุษย์และสัตว์ที่กำลังจะตายได้หรือไม่ ?
    พระยม พรข้อนี้สำคัญมาก ก่อนที่พ่อจะให้นั้นจะต้องบอกให้เจ้ารู้เสียก่อนว่า เมื่อเจ้าได้พรนี้ไปแล้ว เจ้าช่วยได้แต่เฉพาะดวงวิญญาณที่มุ่งหวังจะทำความดีเท่านั้น อย่าได้นำไปช่วยคนชั่วเป็นอันขาด ข้อนี้เจ้าจะต้องให้สัจจะ และเมื่อพ่อให้ไปแล้ว ก็มิใช่ว่าเจ้าจะนำไปใช้ได้ทันที เจ้าจะต้องกลับขึ้นไปสร้างสมบารมีของเจ้าให้มากพอเสียก่อนจึงจะทำได้แต่จะทำได้เมื่อใด เจ้าจะรู้ได้ด้วยตนเอง ซึ่งพ่อจะบอกให้เมื่อถึงเวลานั้น คือเมื่อเจ้าได้สร้างสมบารมีได้มากพอแก่การที่จะช่วยคนอื่นได้ และเมื่อถึงเวลานั้นถ้าหากเจ้าต้องการจะช่วยผู้ใด เจ้าจะตรวจชะตาของเขา และรู้ชัดว่าพอจะช่วยได้แล้ว เจ้าจะต้องทำพิธีขออนุญาตตามลำดับชั้นสูงสุด คือองค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า และต้องบอกให้ พ่อรู้ด้วยทุกครั้งไป เจ้าจะทำตามอำเภอใจของเจ้าเองไม่ได้เพราะจะเป็นการฝ่าฝืนอำนาจฟ้าดินที่ท่านได้แล้ว พ่อขออนุญาตให้เจ้าต่อชีวิตได้ แต่ต้องอีก 20 ปีข้างหน้า” ถ้าเจ้าปรารถนา อนึ่ง เจ้าจะต้องแผ่เมตตาไปในหมู่สัตว์ทั้งหลายไม่เลือกหน้า เมื่อเจ้าจะขอต่อชีวิต (อายุ) ให้ใครก็ตาม ถ้าได้รับอนุญาตให้ต่อได้เท่าใด จะต้องยึดถือจำนวนนั้น ๆ ไว้ตามที่ได้รับมา จะทำผิดบิดเบือนหรือต่อรองขอร้องให้ยืนยาว กว่านั้นอีกไม่ได้ และสำหรับผู้ที่จะขอให้ต่ออายุก็จะต้องอธิษฐานจิตให้สัจจะว่า เมื่อยังมีชีวิตอยู่ต่อไป ตนจะต้องทำอะไรในทางบุญทางกุศล เช่น ทอดกฐินบวชสร้างพระประธาน สร้างถนน บูรณปฏิสังขรณ์วัดวาอาราม..... ฯลฯ เหล่านี้เป็นต้น
    ก่อนจะทำพิธีขอต่ออายุ (ชีวิต) ให้แก่ผู้ใด เจ้าจะต้องตรวจบารมี คือกุศลธรรมความดีของเขาเหล่านี้เสียก่อนว่ายังมีอายุพอแก่การที่จะขอต่ออายุได้หรือไม่ ถ้ามี มีมากหรือน้อยเพียงใด พอแก่การจะขอต่ออายุให้นานสักเท่าใด เช่น7 วัน 15 วัน 1 เดือน 1 ปี หรือกี่ปี เมื่อได้ตรวจดูละเอียดถี่ถ้วนแน่นอนแล้วจึงเริ่มทำพิธีขอต่ออายุได้ตามกำลังบารมีของเขาเหล่านั้น เมื่อได้รับอนุญาตตามเทวโองการแล้ว เจ้า จะต้องเร่งให้บุคคลนั้น ๆ หรือญาติพี่น้องครอบครัวของเขาลงมือประกอบการกุศล ตามที่ถวายสัจจะไว้โดยเร็ว อย่าให้มีการผัดผ่อนเนิ่นนานออกไป ถ้าหาไม่แล้วจะต้องถูกลงโทษฐานเสียสัจจะ หรือผิดคำพูด คำปฏิญาณ (สาบาน) โดยเร็วพลัน เมื่อถูกลงโทษแล้วจะมาเสียใจภายหลังไม่ได้ และจะโทษผู้ใดก็ไม่ได้ เพราะตัวเป็นผู้ผิดเอง ที่ไม่รักษาสัตย์ต่อเทพเจ้าผู้ศักดิ์สิทธิ์
    แต่ต่อไปนี้เจ้าก็นับได้ว่า เป็นผู้ที่สามารถจะช่วยปลดเปลื้องความทุกข์ของบุคคลและสัตว์ทั้งหลายได้ พ่ออนุญาตและประสิทธิ์ประสาทพรให้แก่เจ้า อนึ่ง เมื่อเจ้ามีเหตุทุกข์ร้อนอะไร หรือเข้าสู่ที่คับขันอับจนอย่างใด ให้ระลึกถึงพ่อทันทีด้วยการสำรวมจิต แล้วพ่อจะไปช่วยคุ้มครองป้องกันให้เจ้า บางทีอาจด้วยอำนาจบารมีของพ่อที่จะส่งไปช่วยเจ้าก็ได้ หรือไม่ก็จะส่งท่านท้าวเวสสุวรรณไป เมื่อลูก จะนอนหรือจะไปที่ใด ให้สวดมนต์ (คาถา) ของท่านพ่อยมราช<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>

    พระมนต์ (คาถา)
    ของท่านพ่อยมราช<O:p></O:p>

    พระพุทโธ พระเวสสุวัณโณ พระอรหังขันโธ พระพุทธังล้อมรอบ พระสังฆังล้อมรอบ สารพัด บังศัตรู ให้วินาศสันติ ให้วินาศสันติ ให้วินาศสันติ พุทธังล้อม ธัมมังล้อม สังฆังล้อม สารพัดศัตรูวินาศสันติ พระพุทธเจ้าสัจมา ให้กุมภัณธ์รักษา (แก่ (สมาน) ลูกข้า ทุกแห่งหน) พระพุทธังแคล้วคลาด พระธัมมังแคล้วคลาด พระสังฆังแคล้วคลาด วินาศสันติ พระพุทธังบังศัตรู พระธัมมังบังศัตรู พระสังฆังบังศัตรู ให้วินาศสันติ
    พระเวสสุวัณโณพระยมราชสั่งมา ปัญญะ ปัญญะ (ให้) ช่วยป้องกันศัตรูทั้งหลาย ทั้งพวกผีพรายทั้งภายนอกและภายใน (จง) ปกปักรักษาลูกข้าให้พ้นภัยจากอุปัทวันตราย ความวิบัติทั้งปวง ความวิบัติทั้งปวง (โอมะ โอมะ)
    พ่อประสิทธิ์ประสาทพระคาถาบทนี้ให้ลูกไว้คนเดียว คนอื่นจะเอาไปใช้ด้วยไม่ได้เพราะเป็นของต้องห้าม อันผู้ที่จะใช้คาถา (มนต์) อันศักดิ์สิทธิ์บทนี้ได้จะต้องเป็นคนที่ดีพอมีบุญบารมีมาก เนื่องจากเป็นคาถาที่พวกเทพใช้กันอยู่บนสวรรค์ เดิมเป็นพระคาถาขององค์พระวิฆเนศวร ท่านได้ ทรงประทานให้แก่พ่อในฐานะที่เป็นเทพเจ้าผู้ปกครองยมโลกและพระองค์เป็นเทพเบื้องบนในจำนวนหกพระองค์ ทั้งทรงเป็นปรมาจารย์ในทางวิชาการ และเป็นผู้ใหญ่ในหมู่ภูตผีปีศาจทั้งปวง พ่อขอมอบพระคาถานี้ให้แก่เจ้าไว้ด้วยความรักและเมตตาปรานีที่เจ้าเป็นผู้มีความซื่อสัตย์กตัญญูรู้คุณในที่ทั้งปวง และเป็นผู้อยู่ในศีลธรรม ไม่ก่อกรรมอกุศลบาปเบียดเบียน เจ้าจงใช้ภาวนาเพื่อความปลอดภัยแก่ชีวิตของเจ้า และผู้อยู่ในความปกครองดูแลรับผิดชอบของเจ้า ไม่ว่าอยู่ใกล้หรือไกล และเพื่อความเจริญรุ่งเรืองแก่ชีวิตในอนาคตของเจ้า เมื่อถึงเวลาที่เจ้าจะเจริญต่อไปนี้ เจ้าจะได้ไปดูสิ่งที่ เจ้าต้องการดูทุกอย่างตามแต่เจ้าปรารถนา
    ข้าพเจ้าลูกขอกราบพระบาท ด้วยความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างสุดชีวิตของท่านพ่อ ลูกจะจารึกถึงท่านพ่อตลอดไปจนกว่าสิ้นชีวิต หากมีทางใดที่ลูกจะตอบแทนพระคุณและความกตัญญูต่อท่านพ่อ หากท่านพ่อประสงค์สิ่งใดจากลูก ขอได้โปรดรับสั่งเรียกทุกเวลา
    พระยม เออ ดีแล้ว ขอบใจลูกพ่อ ขอให้เจ้ายึดมั่นในความกตัญญูกตเวทีไว้ แล้วจะไม่มีใครทำอันตรายเจ้าได้ไม่ว่ามนุษย์หรืออมนุษย์ สำหรับพ่อคงจะไม่มีเรื่องอะไรที่จะรบกวนเจ้ามากนัก เพียงเอาเจ้ามานี้เจ้าก็เดือดร้อนพอแล้ว ถ้าเจ้าไม่มีอะไรจะถามอีก พ่อจะให้เขาพาไปดูงานในหน้าที่ของพ่อ แล้วท่านมัจจุราชจะพาเจ้ากลับไปส่งยังที่เก่าของลูก เอาละเจ้าไปได้ลูกของพ่อ เสียดายที่เจ้าไม่ได้มีโอกาสพบแม่ของเจ้า แต่เป็นการดีไปอย่างหนึ่ง เพราะถ้าพบแม่เจ้าแล้วเรื่องจะไปกันใหญ่ ประเดี๋ยวจะกลับไม่ทันจะเกิดเดือดร้อนกันทั่ว เพราะจะเป็นการฝ่าฝืนอำนาจฟ้าดิน และเทวบัญชาของพระมหาเทพเบื้องบน พ่อและท่านมัจจุราชจะพากันถูกตำหนิโทษไปด้วย ลาทีละนะลูกรัก พ่อจะเข้าไปข้างในเสียที แล้วท่าน (มัจจุราช) พาลูกไปดูสิ่งที่เขาปรารถนาด้วย ท่านมัจจุราชรับคำสั่ง ท่านพ่อยมราชเสด็จขึ้น ทุกคนถวายบังคมส่วนข้าพเจ้านั่งลงหมอบกราบที่พระบาท ท่านพ่อยมราชทรงก้มลงเอาพระหัตถ์ลูบบนศีรษะเบา ๆ สามครั้ง ทำให้ขนลุกซู่ซ่าไปทั้งตัว
    เมื่อท่านพระยายมราชเสด็จขึ้นแล้ว ท่านมัจจุราชก็พยักพระพักตร์เรียกให้ข้าพเจ้าเดินตามท่านลงมาจากพระแท่นที่ตั้งพระเก้าอี้ ท่านพาข้าพเจ้าเดินไปทางโต๊ะด้านซ้ายมือ มีพวกเจ้าหน้าที่แต่งกายสีแดง โต๊ะแดง บัญชีแดง ส่วนกระดานป้ายชื่อแผ่นใหญ่ทาสีดำ เหมือนกระดานดำเขียนด้วยหมึกสีแดงเหมือนสีเลือด กระดานดำมีมากมายหลายร้อยแผ่น แต่ละแผ่นมีชื่ออยู่เต็มไปหมดและกระดานดำนี้ซ้อน ๆ กันอยู่หลายสีบชั้น พลางมัจจุราชทรงชี้แจงว่า “บรรดารายชื่อของผู้ที่จะต้องตายในไม่ช้านี้รวมทั้งผู้ตายแล้วแต่ดวงวิญญาณยังอยู่ ในระหว่างการสอบสวนถึงบาป-บุญ คุณ-โทษ ที่ดวงวิญญาณเหล่านั้นได้ประกอบกรรมดีและกรรมชั่วไว้ในขณะที่ยังไม่ตายเมื่อต้องตายลงและดวงวิญญาณถูกนำมาที่นี่ บรรดาเจ้าหน้าที่เหล่านี้จะรีบตรวจสอบ แล้วบันทึกหลักฐานไว้ โดยเฉพาะของวิญญาณแต่ละดวง เพื่อ นำไปประกอบการซักถามสอบสวน เมื่อเสร็จการสอบสวนซักถามและนำขึ้นทูลถวายพระยายมราชให้ทรงพิจารณาตัดสินเรียบร้อยแล้วจะจดลงไว้ในสมุดบัญชีเล่มแดงใหญ่นั้น ถ้าเป็นดวงวิญญาณที่ดีปราศจากโทษ หรือรับโทษครบตามกำหนดแล้ว เจ้าหน้าที่ก็จะคัดชื่อไปลงในสมุดเล่มเขียวหรือ เขียนไว้ในกระดานสีเขียว เพื่อดำเนินการต่อไป พร้อมส่งประวัติไปด้วย ส่วนดวงวิญญาณที่ทำความชั่วเป็นบาปอกุศลไว้มาก ต้องไปรับโทษอยู่ในนรกขุมต่าง ๆ รายชื่อก็จะปรากฏอยู่ในสมุดเล่มแดงนี้จนกว่าจะหมดกำหนดโทษ ในระหว่างนั้นก็จะมีเจ้าหน้าที่นำไปส่งยังแหล่งลงทัณฑ์ตามลำดับชั้นที่ได้ระบุไว้ว่าจะต้องไปรับโทษทัณฑ์ทรมานในขุมใดบ้าง เจ้าหน้าที่ของขุมนั้นก็จะแจ้งมาให้ทางฝ่ายบัญชีใหญ่นี้ ทราบทุกระยะ เพื่อจะได้บันทึกให้รู้ไว้ว่าดวงวิญญาณของคนชื่อนั้น ๆ ขณะนี้กำลังอยู่ในนรกขุมใด สำหรับผู้ที่พ้นโทษหรือไม่มีโทษก็จะมีข้อบันทึกการลงชื่อในบัญชีไว้อย่างละเอียดว่าส่งไปที่ใด เมื่อใด เพื่อให้สามารถสอบถานติดตามได้ แม้จะจุติหรือปฏิสนธิเกิดเป็นอะไรก็ตาม ทางเจ้าหน้าที่ฝ่ายบัญชีนี้ ย่อมทราบอยู่เสมอ ไม่มีทางหลีกเลี่ยงไปได้เลย
    ส่วนเจ้าหน้าที่บัญชีซึ่งแต่งกายสีเขียว ทำงานที่โต๊ะสีเขียวและมีกระดานกับบัญชีเขียวนั้น เป็นเจ้าหน้าที่บันทึกเกี่ยวกับดวงวิญญาณที่เป็นกุศลวิญญาณ เมื่อได้รับรายชื่อมาจากบัญชีแดงแล้ว ก็จะต้องเขียนไว้ที่กระดานเขียวก่อนจนกว่าจะได้สอบความดี อันเป็นกุศลบารมีถูกต้องหมดทุกอย่าง แล้วจึงจะนำไปส่งยังชั้นเทพ ชั้นพรหม หรือให้โลกอื่น หรือจักรวาลอื่นไป เสร็จแล้วจึงจะจดบันทึกลงไว้ ในสมุดเล่มเขียวนั้น พร้อมด้วยรายละเอียดพอสมควรให้สามารถติดตามค้นหาได้ว่า ขณะนี้ดวงวิญญาณดวงใด อยู่ที่ใด เมื่อเจ้าหน้าที่บัญชีเขียวรับแจ้งรายชื่อ และรายการต่าง ๆ มาจากเจ้าหน้าที่ฝ่ายบัญชีแดงและดำเนินการทุกอย่างเสร็จแล้ว ย่อมเป็นอันสิ้นสุดสำหรับดวงวิญญาณแต่ละดวงที่ต้องลงมาสู่ยมโลกนี้ ส่วนการไปปฏิสนธิ (เกิด) หรือจุติไปที่ใดก็ตามแต่ กุศลธรรมหรืออกุศลธรรมที่ส่งผลเป็นวิบาก(กรรม) ให้ เช่น อาจไปเกิดเป็นมนุษย์ เป็นสัตว์ หรือจุติเป็นเทพ เป็นพรหม ตลอดจนเป็นดวงวิญญาณล่องลอยอยู่ในปรโลก แม้จนกระทั่งไปเป็นเทพารักษ์นางไม้ เป็นภูต เป็นปีศาจ เป็นเปรต เป็นอะไรต่อมิอะไรก็ตาม แล้วแต่กรรมที่ยังมีอยู่ เนื่องจากการทำบาปทำชั่วหรือทำบุญกุศล แล้วแต่คุณงามความดีที่ทำไว้มากน้อยเพียงใด ซึ่งถ้าจะอธิบายให้ละเอียดก็ยืดยาวมาก บัดนี้ถึงเวลาที่จะต้องส่งกลับไปยังมนุษย์โลกตามเดิมแล้ว จะรีบออกเดินทางเสียแต่บัดนี้ถ้าช้าเกินไปจะเสียการหมด ทุกคนจะพลอยได้รับการตำหนิโทษ
    จากนั้นมาเราก็พากันรีบออกจากท้องพระโรงใหญ่พอพ้นหลังคาออกมาสู่ที่แจ้ง ตัวก็ลอยขึ้นไปในอากาศอย่างรวดเร็ว พอมาถึงที่แห่งหนึ่ง ท่านพระยามัจจุราชก็หายวับไปทันที ทำให้ข้าพเจ้าตกใจ พอจะร้องเรียกก็พลันรู้สึกเหมือนก้าวเท้าตกไปหลุมลึกหรือเหวลึก เสียววูบที่หัวใจในทันทีนั้น ความเจ็บปวดรวดร้าว ก็ค่อย ๆ ทวีขึ้นทีละน้อย ๆ และรุนแรงขึ้นทุกทีจนรู้สึกปวดหัวแทบจะแตก คอแห้งเหมือนอยู่ในทะเลทรายที่กันดารน้ำจนปากขมไปหมด พูดก็พูดไม่มีเสียงจะออก ติดอยู่แค่ลำคอเพราะความแห้งผาก แรงจะพูดก็ไม่มีแต่รู้สึกว่าอากาศค่อนข้างเย็นจัดจึงร้องเต็มเสียงขอน้ำดื่มพวกทหารที่เฝ้าอยู่ในโรงเรือนที่พักคนไข้หนักและคนตายซึ่งติดตามข้าพเจ้ามาโดยใกล้ชิดไม่ยอมทอดทิ้ง รวมทั้งพลทหารมา ทหารประจำตัวข้าพเจ้าผู้เคยร่วมทุกข์ร่วมสุขร่วมเป็นร่วมตายกับข้าพเจ้ามาตั้งแต่ครั้งสงครามอินโดจีนด้วย เมื่อได้ยินข้าพเจ้าพูดเสียงแผ่ว ๆ ขอน้ำกิน จึงรีบนำเอาน้ำร้อนมาให้ ข้าพเจ้าดื่มจนอิ่ม พ้นความกระหาย พอดื่มเข้าไปความอ่อนเพลียและความเจ็บปวดก็ค่อยทุเลาลงอย่างน่าประหลาด คงอยู่แต่ความมึนงง แต่ยังไม่แข็งแรงพอถึงกับจะยกมือหรือเคลื่อนไหวร่างกายทุกส่วนได้ นอกจากหันหน้าไปมาดูพวกพลทหารผู้มีบุญคุณของข้าพเจ้า 7-8 คนที่หามและติดตามข้าพเจ้า มาเฝ้าดูแลข้าพเจ้าอยู่ด้วยความรู้สึกขอบคุณเขาอย่างเหลือล้น เพราะถ้าเขาทิ้งข้าพเจ้าไว้ในหมู่คนไข้หนักและซากศพคนตาย ข้าพเจ้าก็คงไม่มีโอกาสนำเรื่องนี้มาเล่าให้ฟังได้ ข้าพเจ้าฟื้นขึ้นเมื่อตอนตีห้าเศษ (05.00 น. เศษ) เกือบ 06.00 น. ต่อจากนั้นอาการป่วยก็หายวันหายคืน อีก 3-4 วันต่อมาหมอก็อนุญาตให้กลับหน่วยเดิมในสนามได้ แต่เมื่อหายแล้วต้องหัดเดินใหม่ใช้เวลาประมาณ 15 วันจึงพอเดินได้ แต่ก็ต้องอาศัยไม้เท้ายันกาย ต่อมาอีกประมาณ 1 เดือนจึงทิ้งไม้เท้าได้ และรับคำสั่งให้รีบเดินทางนำหน่วยทหารขึ้นไปเชียงตุงโดยด่วนตอนนั้นถ้าใครเห็นข้าพเจ้าเข้าก็คงตกใจนึกว่าศพเดินได้เพราะผอมจนเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก ผมยาวเกือบถึงบ่าหนวดก็ยาว เพราะไม่ได้ตัดไม่ได้โกนเกือบ 2 เดือน เมื่อหายดีแล้วจึงได้จัดการกับเรื่องผมและหนวด เรียบร้อยแล้วนั่นแหละค่อยดูเป็นผู้เป็นคนขึ้นใหม่ เหมือนผีตายซาก แต่เรื่องนี้ข้าพเจ้าได้ปกปิดไว้นานไม่ได้เล่าให้ใครฟังเพราะเกรงจะไม่มีใครเชื่อ เพิ่งจะมาเปิดเผยเมื่อเร็ว ๆ นี้และก็ขอจบบันทึกการตายจริง ๆ ของข้าพเจ้าไว้เพียงเท่านั้นเพื่อเป็นเครื่องชี้ให้เห็นว่า คนเรานั้นตายอย่างไร ตายแล้วไปไหนทำไมจึงต้องตาย ถ้าจะไม่ให้ตายจะได้หรือไม่ ถ้าได้จะต้องทำอย่างไร และนรก สวรรค์ พญายม พระยามัจจุราชนั้นมีจริงหรือไม่ ข้าพเจ้าขอยืนยันว่ามีจริงแน่นอน และหวังว่า เมื่อเราต่างก็ตายไปแล้วคงจะได้พบกันอีก


    อนุโมทนาสาธุ <O:p></O:p>
     
  3. magnagiled

    magnagiled เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    596
    ค่าพลัง:
    +1,444
    ยาวมากเลยครับ เลยเลือกอ่านเป็นข้อๆ

    แต่ละเอียดและได้ประโยชน์มากๆเลย

    อนุโมทนาบุญครับ สาธุ
     
  4. zetsubo

    zetsubo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    670
    ค่าพลัง:
    +751
    อนุโมทนาสาธุค่ะ

    ยาวมากๆเลยแต่ก็สนุกดี

    เป็นบทความที่เป็นเครื่องเตือนสติได้ดีมากๆเลยค่ะ
     
  5. ยุพา

    ยุพา Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    57
    ค่าพลัง:
    +53
    อนุโมทนาสาธุค่ะสำหรับเจ้าของเรื่อง และต้องขอบคุณ คุณจขกท.ที่นำสิ่งดีๆ มีสาระมาให้อ่าน ขณะที่กำลังมีเรื่องกลุ้มๆ อ่านแล้วทำให้หายกลุ้มใจไปได้ เพราะมัวแต่อ่านเลยลืมเรื่องกลุ้มใจไปลย ขอบคุณมากๆนะคะ ขอให้บุญรักษาคุณจขกท.ด้วยค่ะ({)
     
  6. ปรกติสุข

    ปรกติสุข เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    36
    ค่าพลัง:
    +182
    ขออนุโมทนาบุญกับเจ้าของกระทู้ที่แบ่งปันค่ะ แ่ต่ขอติงนิดนึงนะคะ ว่า ควรจะบอกที่มาของบทความ รวมถึงชื่อเจ้าของบทความ/เจ้าของเรื่องด้วย เป็นการให้เครดิตค่ะ :d
     
  7. เกิดมานาน

    เกิดมานาน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กันยายน 2009
    โพสต์:
    167
    ค่าพลัง:
    +2,547
    ผมขอขอบคุณ คุณsmiziieมากที่ท่านได้นำสิ่งดีๆมามอบแด่ทุกๆท่าน ผมขอไห้ท่านจงประสพแต่สิ่งดีๆตลอดไปเลยครับ สาธุ
     
  8. ศิษย์manusmonk

    ศิษย์manusmonk สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มกราคม 2011
    โพสต์:
    14
    ค่าพลัง:
    +0
    ไม่อยากไปยมโลกเลย ทรมาน น่ากลัว
     
  9. กสิณพจน์

    กสิณพจน์ สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    2
    ค่าพลัง:
    +1
    ขอขอบพระคุณครับท่าน ขออนุโทนา สาธุ
    ที่เป็นธรรมทาน เพื่อนำไปปฏิบัติสะสมบุญบารมีครับ
     
  10. นภัสดล

    นภัสดล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    236
    ค่าพลัง:
    +433
    ขออนุโมทนา สาธุ ขอบคุณที่นำกระทู้ดีๆมาให้อ่านครับ ขอให้เจิญในธรรม
     
  11. shorewattana

    shorewattana Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    10
    ค่าพลัง:
    +66
    ขออนุโมทนาสาธุกับเจ้าของกระทู้ด้วยครับ เนื่้อหาและสาระยอดเยี่ยมจริงๆ เอาไว้เตือนสติเวลาที่คิดจะทำสิ่งที่ไม่ดีไม่ควร
     
  12. aoyleo

    aoyleo Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    212
    ค่าพลัง:
    +99
    ขออนุโมทนา และขอนำเรื่องราวนี้ไปเล่าต่อให้เพื่อนๆได้รู้ด้วยนะคะ
     
  13. sleela

    sleela เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    26
    ค่าพลัง:
    +220
    น่าจะเป็นบุคคลคนเดียวกันกับเรื่องข้างบน
    เหตุการณ์เบื้องหลังความตายของพล.ท.สมาน วีระไวทยะ
    โดย คุณทองทิว สุวรรณทัต

    พล.ท.สมาน วีระไวทยะ ผู้ปฏิบัติธรรมจนสามารถติดต่อกับเทพชั้นสูงเบื้องบนได้ตลอดเวลาที่ต้องการนั้น ท่านเคยถึงแก่กรรมมาครั้งหนึ่งแล้วที่โรงพยาบาลแพทย์ปัญญา เมื่อต้นปีพ.ศ. ๒๕๒๓
    ผู้เขียนได้ไปพบบันทึกของท่านโดยบังเอิญ จึงได้ขออนุญาตจากคุณพี่ผู้หญิง (คุณศศิธร วีระไวทยะ) ภรรยาของท่าน ที่ผู้เขียนเคารพรักประดุจพี่ นำมาเผยแพร่ ด้วยเหตุที่ว่าผู้ประพฤติปฏิบัติธรรมนั้น แม้เวลาคับขันก็ยังได้พุทธบารมีปกเกศคุ้มเกล้า จนสามารถหลุดพ้นจากความตายมาได้ อันเป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์ยิ่ง ดังที่ท่านผู้อ่านจะได้ติดตามต่อไปนี้

    ป่วยหนัก
    เมื่อประมาณปลายปี๒๕๒๒ ข้าพเจ้าจำได้ว่า วันนั้นเป็นวันที่ ๒๙ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๒๒ ข้าพเจ้าเจ็บป่วยหนักมาหลายวันแล้ว จนไม่อาจจะรับประทานอาหารได้ เป็นเวลาประมาณสิบกว่าวันแล้ว
    ร่างกายหมดกำลังลงไปทุกที เรี่ยวแรงก็ไม่มี ร่างกายก็ผ่ายผอม ทั้งนี้เกิดจากความรู้สึกเบื่ออาหารและโรคหัวใจกำเริบมากขึ้น
    ทางภรรยาและบุตรก็เกิดความเป็นห่วงอย่างยิ่ง เคี่ยวเข็ญให้ข้าพเจ้าไปโรงพยาบาล
    เผอิญก่อนที่ข้าพเจ้าจะเจ็บหนักคราวนี้ นายแพทย์จากโรงพยาบาลแพทย์ปัญญา คือ นายแพทย์ปัญญา กับภรรยา คือคุณชลูด หรือเรียกกันเล่นๆว่า คุณแดง ได้มาเยี่ยมข้าพเจ้าที่บ้านและปวารณาตัวว่า ถ้าข้าพเจ้ามีอาการเจ็บไข้ได้ป่วยอย่างไร ก็ขอให้บอกไป ทางโรงพยาบาลจะส่งรถมารับโดยทันทีและโดยเร็วที่สุด แต่เนื่องจากความเกรงใจคุณหมอและภรรยา ซึ่งเป็นผู้ที่แสนดีและมีบุญคุณแก่ข้าพเจ้า ทำให้ข้าพเจ้าไม่กล้ารบกวน
    แต่เมื่อเห็นว่าไม่สามารถจะทนต่ออาการเจ็บไข้ได้ป่วยที่รุนแรงยิ่งขึ้นทุกขณะได้ ภรรยาและบุตรของข้าพเจ้าก็พาข้าพเจ้านั่งรถที่บ้าน ภรรยาเป็นผู้ขับไปส่งที่โรงพยาบาลแพทย์ปัญญา ซึ่งอยู่ที่หัวหมาก ประมาณ ๓ ทุ่มเศษเกือบ ๔ ทุ่มแล้ว
    ตอนที่ไปนั้นข้าพเจ้าใกล้จะหมดสติเพราะโรคหัวใจกำเริบอย่างรุนแรง และความอ่อนเพลียเนื่องจากขาดอาหาร
    ตอนไปถึงโรงพยาบาล ข้าพเจ้ารู้สึกสะลึมสะลือไม่ค่อยได้สติ แพทย์ก็พาข้าพเจ้าเข้าห้องฉุกเฉิน มีการตรวจหัวใจด้วยเครื่องคาดีโอกราฟ ทำเอกซเรย์ทำอะไรต่ออะไรต่างๆทุกวิถีทางของทางการแพทย์ ตามระบบของการแพทย์
    ต่อจากนั้นก็พาข้าพเจ้าไปเข้าห้องเอกซเรย์ ฉายเอกซเรย์ ถ่ายภาพเอกซเรย์ ข้าพเจ้าก็หลับบ้าง ตื่นบ้าง ครึ่งหลับครึ่งตื่น ไม่ค่อยได้สติอยู่ตลอดเวลาจนกว่าจะเสร็จ
    มารู้สึกอีกทีก็ปรากฏว่า ร่างกายข้าพเจ้านอนอยู่บนเตียงภายในลิฟท์ ลิฟท์กำลังขึ้นสู่ตึกชั้นสูงของโรงพยาบาล และเมื่อลิฟท์หยุดก็ได้ถามหมอและเจ้าหน้าที่ที่คุมไป รวมทั้งภรรยาและบุตรที่ไปด้วยว่าชั้นอะไร ? ก็ได้รับคำตอบว่า ชั้น ๔
    จากนั้นข้าพเจ้าก็หลับตา เขาก็เข็นเตียงออกจากลิฟท์ แล้วก็ไปเข้าห้อง ข้าพเจ้าก็ไม่เห็นว่าสภาพภายนอกลิฟท์เป็นอย่างไร
    เมื่อเข้าไปสู่ห้องคนไข้แล้ว เขาก็เตรียมจัดการวางให้นอนเรียบร้อย จัดหยูกยาอะไรต่ออะไร จัดนางพยาบาลเฝ้ารักษาดูแล ข้าพเจ้าก็หลับไปพักหนึ่ง ก็หลับๆตื่นๆ เขาก็มีเจ้าหน้าที่พยาบาลคอยมาดูแลให้ยาทุกๆ ๒ ชั่วโมง
    ใส่ท่อออกซิเจน ๒ ท่อ แล้วก็ให้น้ำเกลือ ข้าพเจ้าเองก็หมดแรงนอนแผ่อยู่บนเตียง
    ครั้นพอตอนตี ๕ เศษๆ ระหว่างตี ๕ ถึง ๖ โมงเช้า ข้าพเจ้าก็ได้สติขึ้นมา ก็ปรากฏว่าคุณหมอปัญญาผู้แสนดีและภรรยารีบมาเยี่ยมแต่เช้า ถามว่าคืนนี้มีอาการเป็นอย่างไร
    ข้าพเจ้าก็ตอบไปด้วยเสียงอ่อนระโหยว่า ตั้งแต่มานอนพักที่โรงพยาบาลก็รู้สึกสบายขึ้น แต่ว่ามันยังมีอาการเจ็บหน้าอกและแน่นในหน้าอก ท้องว่าง ปวดแสบท้อง เรี่ยวแรงก็ไม่มี
    คุณแดงหรือคุณชลูดซึ่งเคยเป็นพยาบาลมาก่อน ภรรยาของคุณหมอปัญญาก็บอกว่า คุณพ่อจะทานอะไร หนูจะไปจัดการให้ แล้วคุณแดงก็ออกไปจากห้อง ปรากฏว่าจัดหาหม้อเคลือบอย่างดีมา ๒ ใบ ซื้อโจ๊ก ซื้อเกี๊ยวน้ำมาให้
    แต่ว่าในขณะนั้น ข้าพเจ้าเบื่ออาหารเหลือที่จะพรรณา ไม่สามารถจะกินอาหารเหล่านั้นได้ ตรงข้าม เมื่อได้กลิ่นอาหารกลับเหม็นยิ่งกว่าอุจจาระเน่าเสียอีก
    ทั้งนี้ แม้แต่น้ำก็ไม่สามารถจะดื่มลงไปได้ เพราะดื่มลงไป ความแน่นในหน้าอกและในท้องที่ว่างมีแต่ลม ก็ดันเอาน้ำสำลักออกมาหมด ทั้งน้ำทั้งอาหารเป็นอันกินไม่ได้
    ส่วนอาหารนั้นเหม็นเหลือแสนที่จะพรรณา แต่ก็แกล้งทำเป็นเอออห่อหมกกลับคุณหมอปัญญาและคุณแดงหรือคุณชลูดว่า เต็มอกเต็มใจจะทาน เอาไว้ให้หิวแล้วจะทาน
    แต่พอคุณหมอและภรรยาออกจากห้องไปแล้ว ข้าพเจ้าก็บอกให้ลูกเมียเอาอาหารที่ท่านผู้มีพระคุณทั้งสองนำมาให้ รีบเอาออกห่างตัวโดยเร็ว เพื่อไม่ให้ได้กลิ่น เพราะว่าได้กลิ่นแล้ว มันจะทำให้หัวใจหยุด จึงทำให้ร่างกายขาดอาหารอย่างหนัก
    เป็นอยู่เช่นนี้ตั้งแต่เมื่อวันที่ ๒๙,๓๐,๓๑ ธันวาคม ๒๕๒๒
    วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๒๓ ย่างเข้าวันที่สี่ของการไปนอนเจ็บอยู่ที่โรงพยาบาแพทย์ปัญญา ซึ่งตามธรรมดาตั้งแต่เช้าระหว่าง ๖-๘ นาฬิกา จะมีคณะแพทย์ซึ่งนำโดยคุณหมอปัญญาเข้ามาตรวจ
    แพทย์และนางพยาบาลเข้ามาตรวจแล้ว ก็เอาเครื่องวัดกราฟหัวใจอะไรต่ออะไร มาจัดการทำให้เป็นที่เรียบร้อย
    วันหนึ่งๆปรากฏว่าในระยะนั้นต้องตรวจถึง ๔ ครั้ง คือระหว่าง ๐๖.๐๐ น.- ๐๘.๐๐ น. ครั้งหนึ่ง, ๑๐.๐๐ น.- ๑๒.๐๐ น. ครั้งหนึ่ง, ๑๔.๐๐ น. - ๑๖.๐๐ น. ครั้งหนึ่ง หรือไม่ก็ ๑๕.๐๐ น. - ๑๗.๐๐ น. และ ๑๘.๐๐ น. - ๒๐.๐๐ น. อีกครั้งหนึ่ง

    ได้หนุนตักสมเด็จฯ โต
    ครั้นวันที่ ๑ มกราคม ขึ้นพ.ศ.๒๕๒๓ เป็นวันที่ข้าพเจ้ามีอาการป่วยหนักรุนแรงที่สุด
    วันนั้นจำได้ว่า คุณหมอปัญญาและคณะแพทย์พยาบาลมาตรวจข้าพเจ้าตั้งแต่เวลา ๐๖.๐๐ น. ซึ่งในเดือนมกราคมต้นเดือนนั้น อากาศยังค่อนข้างจะหนาวเย็นและไม่สว่างยังมืดอยู่ ประกอบกับในห้องนอนที่ข้าพเจ้าพักเป็นห้องใช้แอร์คอนดิชั่น เป็นห้องปรับอากาศปิดม่านหมด ดับไฟมืด
    หมอมาตรวจแล้วก็พูดเป็นภาษาอังกฤษถึงอาการของข้าพเจ้าว่า "หนักมาก กลัวจะลำบากในวันนี้"
    ข้าพเจ้าได้ยินคุณหมอพูดปรึกษากันเช่นนั้น ข้าพเจ้าก็ทำใจตั้ง อภิณหปัจจเวกขณ์ กล่าวคือ นอกจากระลึกถึงองค์พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์แล้ว ก็กล่าวถึงว่า
    ชะราธัมโมมะหิ ชะรัง อะนะตีโต
    พะยาธิธัมโมมะหิ ชะรัง อะนะตีโต
    มะระณะธัมโมมะหิ มะระณัง อะนะตีโต
    สัพเพหิ เม ปิเยหิ มะนาเปหิ นานาภาโว วินาภาโว
    กัมมัสสะโกมะหิ กัมมะทายาโท กัมมะโยนิ กัมมะพันธุ กัมมะปะฏิสะระโณ ยัง กัมมัง กะริสสามิ กัลยาณัง วา ปาปะกัง วา ตัสสะ ทายาโท ภะวิสสามิ เอวัง อัมเหหิ อะภิณหัง ปัจจะเวกขิตัพพัง
    การกล่าวนี้ก็กล่าวเป็นภาษาบาลีก่อน แล้วจึงกล่าวเป็นภาษาไทยในจิตใจทีหลังว่า
    เรามีความแก่เป็นธรรมดา ล่วงพ้นความแก่ไปไม่ได้
    มีความเจ็บไข้เป็นธรรมดา ล่วงพ้นความเจ็บไข้ไปไม่ได้
    มีความตายเป็นธรรมดา ล่วงพ้นความตายไปไม่ได้
    เราต้องพลัดพรากจากของรักของเจริญใจทั้งหลายทั้งปวง
    เราเป็นผู้มีกรรมเป็นของตน เราเป็นผู้มีกรรมเป็นกำเนิด เราเป็นผู้มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ เราเป็นผู้มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย เรากระทำกรรมอันใดไว้ ดีหรือชั่ว เราก็จะต้องได้รับผลของกรรมนั้น
    เมื่อรำลึกเช่นนี้แล้วก็ได้กราบสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) พระมหาสมณะ หรือหลวงพ่อสมเด็จฯ พระอาจารย์ของข้าพเจ้า และกราบหลวงพ่อทวด วัดช้างไห้ (สมเด็จพระสวามีธัมสังโฆนันทมหามุนี หลวงพ่อทวด) ว่า ลูกถึงคราวจะไปแล้ว ขอให้ไปสะดวก อย่ามีความทรมานเลย เพราะเวลานี้หมดสิ้นเรี่ยวแรงแล้ว
    แต่ปรากฏว่า ขณะนั้นข้าพเจ้ารู้สึกว่านอนตักเจ้าประคุณสมเด็จอาจารย์ของข้าพเจ้าอยู่ !
    ซึ่งในระหว่างที่ป่วยอยู่นั้น คุณหมอปัญญาและคุณชลูดหรือคุณแดงได้นำรูปของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) พระมหาสมณะ มาวางไว้ที่โต๊ะหัวนอนพร้อมทั้งพานใส่ดอกไม้บูชา และรูปหลวงพ่ออีกองค์หนึ่ง ส่วนข้าพเจ้ามีหลวงพ่อทวดไปด้วย ก็เอาวางบูชาไว้กับพระสมเด็จของข้าพเจ้าที่อยู่หัวนอน
    ปรากฏว่า ข้าพเจ้ารู้สึกว่า หัวข้าพเจ้าหนุนตักหลวงพ่อสมเด็จพระพุฒาจารย์อยู่
    ข้าพเจ้าขออารธนา ขอสักการบูชา ขอขมา และขอกล่าวว่า เมื่อข้าพเจ้าป่วยหนักคราวนี้ ถ้าถึงคราวจะตายก็ขอให้หนักคราวนี้ ถ้าถึงคราวจะตายก็ขอให้ได้นอนหนุนตักหลวงพ่อเป็นที่ตาย ท่านก็อนุญาตให้ข้าพเจ้านอนหนุนตักท่าน
    ข้าพเจ้ารู้สึกว่าข้าพเจ้านอนหนุนตักหลวงพ่อสมเด็จพระพุฒาจารย์โต อยู่ตลอดเวลา แม้ในขณะที่ข้าพเจ้ากำลังพิจารณามรณสติ และอภิณหปัจจเวกขณ์อยู่
    แต่ในทันทีที่ข้าพเจ้ากล่าวกับหลวงพ่อสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) พระมหาสมณะ หรือหลวงพ่อสมเด็จฯ พระอาจารย์ของข้าพเจ้าว่า ถ้าข้าพเจ้าจะตายก็ขอให้ตายคาตักของหลวงพ่อนี่แหละ
    ทันใดนั้น ข้าพเจ้าได้ยินเสียงหลวงพ่อสมเด็จพูดว่า เจ้ายังไม่ตาย ลูกสมานเจ้ายังตายไม่ได้ เจ้าตายแล้วใครจะมาทำงานให้หลวงพ่อ วัดพรหมรังสี จะสำเร็จได้อย่างไร เพราะว่ายังอยู่อีกมาก อีกนานกว่าจะครบบริบูรณ์ตามแผนที่ได้กำหนดไว้
    ข้าพเจ้าก็กล่าวว่า ไม่เป็นไรถึงลูกตาย ลูกศิษย์คนอื่นก็ยังมี
    ท่านบอกว่า ลูกศิษย์อื่นๆก็ตายกันไปหมดแล้ว ลูกหิรัญก็ตาย ลูกอื่นๆที่เป็นกำลังสำคัญก็ตายหมด ในรุ่นเจ้านี่ก็เหลือเจ้าอยู่คนเดียว
    ข้าพเจ้าก็กล่าวกับหลวงพ่อสมเด็จฯ ว่า ถึงลูกตายแล้ว เมียของลูกก็ยังอยู่พอที่จะทำต่อจากลูกได้
    ท่านบอกว่า ไม่เหมือนกัน คนเราบารมีไม่เหมือนกัน
    ถูกละ เมียเจ้ายังอยู่ แต่ว่าจะทำให้สำเร็จนั้นได้ยาก ไม่เหมือนกับเจ้ามีชีวิตอยู่
    เอาเหอะ อย่าพุดมากเลย เวลานี้สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากำลังเสด็จ หลวงพ่อจะต้องไปเฝ้าพระพุทธองค์ก่อน
    ข้าพเจ้าได้ยินดังนั้น ก็กล่าวว่า เมื่อหลวงพ่อจะไปเฝ้า ลุกก็ขอไปเฝ้าด้วยคน
    หลวงพ่อก็รับสั่งว่า เออ ! เอ็งไปก็ได้ ไปเฝ้า ข้าจะไปก่อนนะ แล้วท่านก็หายไป

    พระพุทธองค์มาโปรด
    พอร่างของหลวงพ่อสมเด็จฯ หายไป ข้าพเจ้าก็รู้สึกว่าจิตมันวูบดับลง แล้วมารู้สึกอีกทีหนึ่งก็ปรากฏว่า ข้าพเจ้าออกมายืนอยู่นอกห้องคนไข้แล้ว ห้องก็ปิดประตูเรียบร้อย แต่ตัวข้าพเจ้ายืนอยู่นอกห้อง !
    เมื่อมองไปทางเฉลียงด้านขวาของห้องที่ข้าพเจ้านอนก็เห็นพระภิกษุกลุ่มหนึ่ง กำลังเดินมาตามเฉลียงกลุ่มใหญ่ มีรูปองค์พระแก้วมรกตหน้าตักประมาณ ๒ ฟุต ลอยนำหน้ามา และก็ท้ายๆของกลุ่มก็มีคุณหมอปัญญานำหน้า มีคุณชลูดภรรยาพร้อมทั้งนายแพทย์และพยาบาลตามหลังคุณหมอมา
    ส่วนตรงหน้าข้าพเจ้าก็เป็นทางเดินตรงลิ่วไป สองข้างเป็นห้องคนไข้ ส่วนทางซ้ายมือข้าพเจ้าเป็นห้องถัดไป ๓ ห้อง ห้องที่ ๓ เปิดประตูอ้ากว้างอยู่ทั้ง ๒ บาน ปรากฏว่าห้องนั้นเป็นห้องพระเท่าที่ข้าพเจ้ารู้สึก แต่ไม่เคยเห็นมาก่อนเลย
    ครั้นพระภิกษุเดินใกล้เข้ามา องค์พระแก้วมรกตก็หายไป ข้าพเจ้าก็มองเห็นว่า ผู้ที่เดินนำหน้ากลุ่มพระภิกษุนั้นคือ องค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ข้าพเจ้าเคยเห็นทั้งด้วยตาเปล่าและในนิมิต
    จนชินตาแล้ว
    ข้าพเจ้าลงนั่หมอบกับพื้น พอทรงพระพุทธดำเนินใกล้เข้ามา ข้าพเจ้าก็คลานเข้าไป พระองค์ก็ทรงหยุดอยู่ ข้าพเจ้าก็เข้าไปกราบถวายสักการบูชาที่พระพุทธบาทของพระองค์ ได้ยินพระพุทธดำรัสว่า
    "ตถาคตทราบว่า ท่านกำลังได้รับทุกขเวทนาอย่างสูง ด้วยโรคาพยาธิเกาะกินร่างกายและหัวใจอยู่ ตถาคตปรารถนาอวยพรให้ท่านหายจากโรคภัยไข้เจ็บที่กำลังเป็นหนักอยู่ในขณะนี้โดยเร็วที
    ่สุดในทันที"
    ข้าพเจ้าก็กราบทูลขอรับพุทธพรของพระองค์ว่า
    "ขอให้พุทธพรของพระองค์ที่ทรงพระมหากรุณาด้วยพระปัญญา และพระบริสุทธิคุณของพระองค์นั้น จงเป็นที่ประสิทธิ์ประสาทศักดิ์สิทธิ์แก่ข้าพเจ้าด้วยเถิด"
    เสร็จแล้วข้าพเจ้าก็ก้มลงกราบที่พระบาทอีก ๓ ครั้ง แล้วพระองค์ก็ทรงพระดำเนินต่อไป
    เมื่อกลุ่มพระสงฆ์ได้เดินผ่านข้าพเจ้าไปแล้ว ก็มาถึงพวกกลุ่มหมอ ข้าพเจ้าก็ลุกขึ้นเดินไปกับกลุ่มหมอด้วย
    พอเดินไปถึงหน้าห้องพระ ก็ปรากฏว่าห้องนั้นเป็นห้องที่ไว้พระพุทธรูป เป็นห้องที่เรียกว่า ห้องพระจริงดังความเข้าใจของข้าพเจ้า
    เมื่อถึงหน้าพระแล้ว พระพุทธองค์ก็ทรงประทับยืนนิ่ง แล้วมีพุทธดำรัสว่า
    "พระธรรมเสนาบดีอัครสาวกเบื้องขวา พระสารีบุตร ตถาคตขอให้เธอเจริญพระพุทธมนต์ เพื่อเป็นสิริมงคลแก่สถานที่นี้ และขอให้พระธรรมเสนาบดีอัครสาวกเบื้องซ้าย พระโมคคัลลานะ จงสวดพระสูตรคาถาขับไล่ดวงวิญญาณที่ร้ายๆในสถานที่นี้ออกไปให้หมด ด้วยตถาคตปรารถนาว่าสถานที่แห่งนี้จะเป็นที่สร้างกุศลบำเพ็ญบารมีเพื่อช่วยพระพุทธศา
    สนา มหากษัตริย์ และประชาชนพลเมืองให้พ้นจากทุกข์"
    เมื่อกล่าวเช่นนี้แล้ว พระโมคคัลลานะก็สวดพระคาถาขับไล่วิญญาณที่เลวร้ายในสถานที่แห่งนั้นไปหมด ด้วยพระอภิญญาบารมี เสร็จแล้วพระสารีบุตรก็สวดพระธรรมคาถา พระสูตรอันเป็นสิริมงคลแก่สถานที่แห่งนั้น ซึ่งข้าพเจ้าพอจะมีความรู้ในการสวดพระพุทธมนต์ เจริญพระพุทธมนต์ได้ เพราะได้สวดเจ็ดตำนาน สิบสองตำนาน มาเป็นเวลาหลายปี ก็คิดจะสวดตาม แต่ก็สวดไม่ได้ เพราะว่าภาษาที่สองพระอริยสงฆ์อรหันตเจ้าทั้งสององค์สวดนั้น เหลือที่จะติดตามได้ ด้วยฟังไม่ค่อยรู้เรื่อง รู้บางคำ ส่วนใหญ่ไม่รู้ ก็ไม่สามารถจะติดตามได้ ได้แต่ยืนนิ่งฟังอยู่
    ครั้นสองพระองค์เจริญพระพุทธมนต์เสร็จแล้ว องค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าก็หันไปทางเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) พระมหาสมณะ แล้วมีพระพุทธดำรัสว่า
    "พระมหาสมณะ ตถาคตขอฝากสถานที่นี้ไว้แก่พระมหาสมณะด้วย ได้ช่วยปกครองดูแลขจัดปัดเป่าสิ่งที่เลวร้ายเป็นอวมงคลทั้งหลายให้พ้นจากที่นี้ไป อย่าให้มากล้ำกรายได้ และขอให้นำแต่สิ่งที่เป็นสิริมงคลมาสู่ที่นี้ ถ้าหากสถานที่นี้ จะมีเภทภัยอันหนึ่งอันใด ก็ขอให้พระมหาสมณะได้ช่วยขจัดปัดเป่าภัยอันตรายเหล่านั้นให้หมดสิ้นไปด้วย"
    สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) พระมหาสมณะหรือหลวงพ่อสมเด็จฯ อาจารย์ของข้าพเจ้าก็ยกมือพนมฟังพระพุทธดำรัสและพระพุทธบัญชาจากองค์สมเด็จพระบรมศาส
    ดาสัมมาสัมพุทธเจ้าจอมไตร แล้วก็ยกมือขึ้นสาธุการ เป็นอันว่าทุกสิ่งทุกอย่างเรียบร้อย แล้วพระพุทธองค์ก็ลอยขึ้นสู่นภากาศจางหายไป

    ดีขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ
    ในลำดับนั้น สิ่งที่น่าประหลาดที่สุดก็ได้เกิดขึ้นแก่ข้าพเจ้า กล่าวคือเมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประทานพรเสร็จขาดพระโอฐษ์ ทันทีก็รู้สึกว่าความเจ็บปวดที่หัวใจก็ดี ความแน่นในหน้าอกหายใจไม่ออกก็ดี ความเจ็บปวดแสบท้องก็ดี หายไปทันที ! ประดุจหยิบทิ้งอย่างประหลาดมหัศจรรย์สุดแสนจะพรรณา แล้วร่างกายของข้าพเจ้าก็รู้สึกว่า วูบกลับเข้าสู่เตียงนอนของคนไข้อย่างเดิม
    และเมื่อข้าพเจ้ารู้สึกตัวลืมตาขึ้น ก็ปรากฏว่ากระปรี้กระเปร่าแข็งแรง และการเหม็นอาหารก็ไม่เหม็น หายเหม็นดังปลิดทิ้ง กลับมีกลิ่นหอมอย่างเดิม
    อันนี้เป็นความประหลาดเหลือที่จะพรรณา เป็นความรู้สึกที่แท้จริง ด้วยความรู้สึกยินดีอย่างสุดจะพรรณาได้
    ในขณะนั้น เมื่อข้าพเจ้าลืมตาขึ้นก็ปรากฏว่าหิวน้ำ กระหายน้ำขึ้นมาทันที จึงบอกกับผู้เฝ้ารักษาพยาบาลอยู่ คือบุตรของข้าพเจ้าว่า ขอกินน้ำหน่อย
    แต่เดิมที่ข้าพเจ้าได้บอกแล้วว่า แม้แต่น้ำก็ดื่มไม่ได้ เพราะว่าภายใน ลมมันดันน้ำสำลักออกมาหมด แต่มาบัดนี้ ข้าพเจ้าดื่มน้ำได้ ๒ แก้วเต็มๆ ด้วยความกระหาย และร่างกายก็รู้สึกสดชื่น
    พอตอนแปดโมงเช้าพวกหมอและนางพยาบาลกลุ่มที่มาตรวจตอนหกโมงเช้า ได้เข้ามาถามอาการ ข้าพเจ้าก็รู้สึกทุกสิ่งทุกอย่างเรียบร้อยหมด แข็งแรงขึ้น อะไรดีขึ้นทุกอย่าง
    พอสิบโมง กลุ่มหมอมาตรวจอาการอีกครั้งหนึ่งเป็นครั้งที่สอง ก็พากันแปลกใจว่า เอ๊ะ ! ทำไมข้าพเจ้าจึงหายดีขึ้นอย่างรวดเร็วผิดปกติเช่นนี้ ไม่น่าเชื่อเลย
    หัวใจก็ดีขึ้น ร่างกายอ่อนเพลียก็ดี การสูบฉีดโลหิตก็ดีไปหมดทุกอย่าง กลับเป็นปกติอย่างเดิมหมด
    แต่ข้าพเจ้าก็ไม่สามารถจะเล่าให้ใครฟังได้ในขณะนั้น เพราะถ้าเขาเชื่อไปก็ดีไป ถ้าเขาไม่เชื่อจะหาว่าข้าพเจ้าหลงงมงายอะไรไม่เข้าเรื่อง เชื่อถือสิ่งที่ไม่น่าเชื่อ ทำให้ข้าพเจ้าซึ่งก็เป็นผู้ใหญ่อยู่แล้ว อายุก็มาก ยศก็สูง เป็นที่นับถือของคนทั้งหลายอยู่มาก ก็จะทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างเสียหายไปหมด
    พอตอนเที่ยงคุณแดงหรือคุณชลูดกับคุณหมอปัญญาก็เข้ามาเยี่ยมอีกครั้ง
    คุณแดงบอก เอ๊ะ ! เขารายงานในบันทึกประวัติของคุณพ่อว่า คุณพ่อดีขึ้นมากอย่างน่าประหลาด ทั้งๆที่เมื่อเช้านี้จะไปไม่รอดเสียแล้ว และคุณแดงก็ถือเอาเกี๊ยวกับข้าวต้มปลามาให้ เพราะอาหารที่โรงพยาบาลให้มา ไม่สามารถรับประทานได้
    ข้าพเจ้าก็ขอบอกขอบใจในความใจดีของคุณหมอและภรรยา แล้วลุกขึ้นทานอาหารได้ตั้งเยอะทั้งข้าวต้มปลาและเกี๊ยว ซึ่งเมื่อวานนี้เหม็นยิ่งกว่าอุจจาระเน่าๆ แต่มาบัดนี้กลับหอมชวนรับประทาน
    และตั้งแต่วันนั้นมา ข้าพเจ้าก็หายวันหายคืน
    พอรุ่งเช้าอีก ๓ วัน ก็ถอดสายท่อออกซิเจนออก น้ำเกลือที่ว่าจะให้ ๕ ขวด ก็ให้เพียง ๓ ขวด ก็เป็นอันว่าสิ้นสุด
    ต่อจากนั้น ข้าพเจ้าก็พักอยู่ จนกระทั่งถึงวันที่ ๖ มกราคม ก็ออกจากโรงพยาบาลกลับบ้าน เป็นอันสิ้นสุดความเจ็บป่วยแสนสาหัสถึงกับวิญญาณออกจากร่าง เมื่อวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๒๓ เมื่อเวลาประมาณ ๐๖.๑๕ น. เพียงเท่านี้
    <!--IBF.ATTACHMENT_675-->
    <!-- THE POST -->
     
  14. ปรินิพาน

    ปรินิพาน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2010
    โพสต์:
    72
    ค่าพลัง:
    +176
    ขออนุโมทนาบุญเป็นอย่างสูงนะค่ะ ด้วยบุญกุศลที่ข้าพเจ้าได้ทำทั้งหลาย ขอให้ส่งผลแก่ผู้ที่ได้นำความรู้นี้มาได้เล่าสู่กันฟัง และแก่ท่านพยายามราชด้วยนะค่ะ สาธุค่ะ
     
  15. smiziie

    smiziie สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2011
    โพสต์:
    6
    ค่าพลัง:
    +0
    ขอขอบพระคุณทุกคอมเม้นนะค่ะ ขอให้พรทุกประการส่งผลกลับไปหาทุกท่านให้มีแต่เรื่องดีๆสิ่งดีๆคนดีๆเข้ามา คิดสิ่งใดก็ขอให้สมปราถนาและมีดวงตาเห็นธรรมเป็นเนื้อนาบุญ ได้ขึ้นเรือสำเภาแก้วด้วยกันด้วยนะค่ะ บุญรักษาค่ะ ♥
     

แชร์หน้านี้

Loading...