ผมอยาก บรรลุโสดาบัน ทำไงดีครับ ?

ในห้อง 'ภพภูมิ-สวรรค์ นรก' ตั้งกระทู้โดย Sir-Pai, 3 พฤษภาคม 2010.

  1. ตรีเพชร์

    ตรีเพชร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    160
    ค่าพลัง:
    +528
    ไปฟังหลวงพ่อฤาษีลิงดำสอนสิครับ ที่หมวดเสียงธรรมฟังง่ายเข้าใจง่าย
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. หมอก้อย

    หมอก้อย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 เมษายน 2010
    โพสต์:
    185
    ค่าพลัง:
    +996
    หมอไม่ได้อ่านอะไรมากมายเลยค่ะ แต่อ่านแค่ "หัวข้อ" เท่านั้น..
    หมอตอบได้เลยว่า คุณก็ตัดความ "อยาก" สิ แล้วคุณจะบรรลุเอง...
     
  3. Jubb

    Jubb เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    1,267
    ค่าพลัง:
    +2,134
    เอาปัญหามหาวิทยาลัยมาถามเด็กอนุบาลแล้วจะได้คำตอบเรอะ?

    ถ้าบรรลุโสดาบันง่ายขนาดนั้นคงบรรลุธรรมกันหมดตั้งแต่มีพระพุทธเจ้าพระองค์แรกๆ แล้ว
     
  4. TIPDECHO

    TIPDECHO สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    29
    ค่าพลัง:
    +16
    ธรรมอยู่ใกล้ตัวท่านแล้วมองไม่เห็นจับไม่เป็นก็ไม่รู้จะว่าอย่างไรฟังพูดอ่านเขียนแล้วนำมาปฎิบัติตามปัญญาสักวันท่านจะเห็นเองแล้วจะได้ตั้งคำถามว่าจะอยู่แค่เบื้องต้นทำไมปลายทางยังไปได้อยู่
     
  5. เบองซูร์

    เบองซูร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    586
    ค่าพลัง:
    +664
  6. panup

    panup Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    94
    ค่าพลัง:
    +57
    ใช้คำว่าบรรลุถึง ดีกว่าครับ

    พระท่านเคยเปรียบเทียบว่า เปรียบเสมือนคนขุดบ่อน้ำเพื่อหาตาน้ำ เมื่อไหร่เจอน้ำก็จะพุ่งขึ้นมา

    การปฏิบัติธรรมเพื่อไปถึงตรงนั้นก็พอจะอุปมา อุปมัยได้

    ๐ เชื่อว่าไต้ดินตรงนั้นมีตาน้ำอยู่
    ๑ มีความคิดที่จะขุดบ่อน้ำ
    ๒ ตระเตรียมอุปกรณ์ และกำลังกายให้พร้อม เพราะต้องขุดเอง
    ๓ ลงมือขุด
    ๔ ถ้าเจอน้ำซึมขึ้นมาบ้างพอจะทำให้ใจชื้นขึ้น แต่ก็ขุดต่อไป
    ๕ เจอตาน้ำเมื่อไหร่รู้เอง

    ๐๐ คุณละเชื่อใน พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ หรือยัง เชื่อจนเป็น "ศรัทธา" หรือว่ากันแบบเบื้องต้น เชื่อในสิ่งที่มองไม่เห็นหรือยัง หรือยังสงสัยอยู่

    ถ้าผ่านขั้นตอนนี้ไปได้ก็มาว่ากันตรงเรื่อง "ตาน้ำ" คือเรื่อง "ทุกข์ กับ การพ้นทุกข์"
    รู้ทุกข์หรือยัง เห็นอันตรายของทุกข์หรือยัง ทุกข์ที่ผมว่าคือ "ทุกข์สัจจ"

    ถ้ารู้ทุกข์แล้ว ต้องการพ้นไปจากทุกข์หรือไม่

    ความอยาก ตัณหา เป็นความทุกข์ โลกธรรมแปดเป็นความทุกข์ แล้วคุณยังมีความอยากได้ อยากมี อยากเป็นอะไรอีกหรือไม่ หรือไม่อยากได้ ไม่อยากมี ไม่อยากเป็นอะไรอีก หรือทั้งอยากและไม่อยาก ผสมปนเปกันไป

    คำถามสำหรับข้อ ๐ สุดท้าย " คุณเบื่อโลกนี้แล้วหรือยัง "

    สนใจใหมครับสำหรับข้อ ๐ คุณผ่านไปได้กี่ด่านแล้วสำหรับข้อนี้

    มีอะไรแลกเปลี่ยนกันได้ครับ ข้อ ๑ และข้อต่อ ๆ ไปว่ากันทีหลัง ไม่มีข้ามขั้นครับผม


    - คุณเชื่อเรื่องบาป บุญ คุณ โทษ หรือยัง
    - เชื่อเรื่องโลกนี้ และโลกหน้า อย่างไร
    - มีความเกรงกลัว และละอายต่อบาปใหม
     
  7. AF11

    AF11 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    80
    ค่าพลัง:
    +31
    อยากบรรลุอรหันต์ค่ะ
     
  8. bluebaby2

    bluebaby2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2010
    โพสต์:
    2,471
    ค่าพลัง:
    +4,288
    ถ้าบรรลุโสดาบันจะมีความสุขมหาศาลในกระทู้ห้องพุทธศาสนาสำหรับผู้เริ่มต้นมีคนบอกไว้แบบนั้นครับ แต่ถ้าเป็นพระอรหันต์สุขหรือทุกข์ก็ไม่มีแล้ว
     
  9. เทพบุตร

    เทพบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มกราคม 2006
    โพสต์:
    41
    ค่าพลัง:
    +114
    ผมเคยรวบรวม ข้อมูลเอกสาร และที่เป็นเสียงเอาไว้
    ท่านใดสนใจ เอกสารความรู้เกี่ยวกับพระโสดาบัน
    โปรดทิ้งอีเมลล์ไว้ที่ ข้อมูลส่วนตัวของล็อคอินเทพบุตร
    นะครับ ผมจะทำการส่งข้อมูลที่ได้รวบรวมไว้ไปให้ครับ
    ถ้าเป็นgmailจะดีมากครับ เพราะรองรับไฟล์ขนาดใหญ่
    ได้ดีครับ
    ขอบคุณครับ
    เทพบุตร
     
  10. jeenus

    jeenus เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,513
    ค่าพลัง:
    +3,576
    นอกจากตัดสังโยชน์ 3 ได้ แล้ว นะคุณ
    คือ ความเห็น ตรง (สัมมาทิฐิ)

    สิ่งที่คุณ สำรวจ ใจตัวเอง คือ

    อุปกิเลส 16 ได้แก่

    1. อภิชฌาวิสมโลภะ
    คือ ความละโมบ อยากได้ อยากมี อยากเป็นอย่างไม่รู้จักพอ เห็นแก่ได้จนลืมตัว

    2. พยาบาท
    คือ ความคิดร้าย มุ่งจะทำร้ายเขา ใครพูดไม่ถูกใจก็คิดตำหนิเขา คิดจะทำร้ายฆ่าเขาก็มี บางครั้งทำร้ายผู้อื่นไม่ได้ ก็หันมาตำหนิตัวเอง ทำร้ายตัวเอง ตนฆ่าตัวตายก็มี ซึ่งเป็นเพราะอำนาจพยาบาท เป็นอาการอย่างหนึ่งของโทสะ

    3. โกธะ
    คือ ความโกรธ มีอะไรมากระทบก็โกรธ เป็นลักษณะโกรธง่าย แต่เมื่อหายแล้วก็เหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น คือ ไม่ผูกใจเจ็บ ไม่พยาบาท เป็นอาการอย่างหนึ่งของโทสะ

    4. อุปนาหะ
    คือ การผูกโกรธ ใครพูดอะไรทำอะไรให้เกิดความโกรธแล้วจะผูกใจเจ็บ เก็บไว้ ไม่ปล่อย ไม่ลืม เป็นทุกข์อยู่อย่างนั้น กระทบอารมณ์เมื่อไร ก็เอาเรื่องเก่ามาคิดรวมกัน คิดทวนเรื่องใดอดีตว่าเขาเคยทำไม่ดีกับเราขนาดไหน เป็นอาการอย่างหนึ่งของโทสะ

    5. มักขะ
    คือ การลบหลู่คุณท่าน ปิดบังความดีของผู้อื่น ลบหลู่ความดีของผู้อื่น เช่น เขาให้ของแก่เรา แทนที่จะขอบคุณกลับนึกตำหนิเขาว่า เอาของไม่ดีมาให้ หรือ เมื่อมีใครพูดถึงความดีของเขา เราทนไม่ได้ เราไม่ชอบ จึงยกเรื่องที่ไม่ดีของเขามาพูด เพื่อปฏิเสธว่าเขาไม่ใช่คนดีถึงขนาดนั้น เป็นต้น

    6. ปลาสะ
    คือ การตีเสมอ ยกตัวเทียมท่าน ไม่ยอมยกให้ใครดีกว่าตน แต่ชอบยกตัวเองดีหว่าเขา มักแสดงให้เขาเห็นว่า เราคิดเก่งกว่า รู้ดีกว่า ถ้าให้เราทำ เราจะทำให้ดีกว่าเขาได้

    7. อิสสา
    คือ ความริษยา เห็นเขาได้ดี ทนไม่ได้ เมื่อเห็นเขาได้ดีมากกว่าเรา เขาได้รับความรักความเอาใจใส่มากกว่าเรา เรารู้สึกน้อยใจ อยากจะได้เหมือนอย่างเขา ความจริงเราอาจจะมีมากกว่าเขาอยู่หรือ เรากับเขาต่างก็ได้รับเท่ากัน แต่เราก็ยังเกิดความรู้สึกน้อยใจ ทนไม่ได้ก็มี

    8. มัจฉริยะ
    คือ ความตระหนี่ ขี้เหนียว เสียดายของ ยึดในสิ่งของที่เราครอบครองอยู่อย่างเหนียวแน่น อยากแต่จะเก็บเอาไว้ไม่อยากให้ใคร

    9. มายา
    คือ เจ้าเล่ห์ หลอกลวง ไม่จริงใจ พยายามแสดงบทบาทตัวเองเกินความจริง หรือ จริงๆ แล้วเรามีน้อยแต่พยายามแสดงออกให้คนอื่นเข้าใจว่ามั่งมี เช่น ด้วยการแต่งตัว กินอยู่อย่างหรูหรา หรือบางกรณีใจเราคิดตำหนิติเตียนเขา แต่กลับแสดงออกด้วยการพูดชื่นชมอย่างมาก หรือบางทีเราไม่ได้มีความรู้มาก แต่ขอบคุยแสดงว่ารู้มาก เป็นต้น

    10. สาเถยยะ
    คือ การโอ้อวด หลอกลวงเขา ชอบอวดว่าดีกว่าเขา เก่งกว่าเขา พยายามแสดงให้เขาเห็น เพื่อให้เขาเกิดอิจฉาเรา เมื่อได้โอ้อวดแล้วมีความสุข

    11. ถัมภะ
    คือ ความดื้อ ความกระด้าง ยึดมั่นถือมั่นในตัวเอง ใครแนะนำอะไรให้ก็ไม่ยอมรับฟัง

    12. สารัมภะ
    คือ การแข่งดี มุ่งแต่จะเอาชนะเขาอยู่ตลอด จะพูดจะทำอะไรต้องเหนือกว่าเขาตลอด เช่นเมื่อพูดเถียงกัน ก็อ้างเหตุผลต่างๆนานา เพื่อเอาชนะให้ได้ ถึงแม้ความจริงแล้วตัวเองผิด ก็ไม่ยอมแพ้

    13. มานะ
    คือ ความถือตัว ทะนงตัว

    14. อติมานะ
    คือ การดูหมิ่นท่าน ความถือตัวว่าเราดียิ่งกว่าเขา ทำให้ดูถูกดูหมิ่นคนอื่น

    15. มทะ
    คือ ความมัวเมา หลงว่ายังเป็นหนุ่มเป็นสาว ยังไม่แก่ ยังไม่ตาย หลงในอำนาจ หลงในตำแหน่ง คิดว่าเราจะเป็นอย่างนี้ตลอดไปแล้วทำอะไรเกินเหตุ

    16. ปมาทะ
    คือ ความประมาท เลินเล่อ ไม่คิดให้รอบคอบ อาการที่ขาดสติ ขาดปัญญา


    ใน 16 ข้อ นี้ คุณๆ มี กี่ ข้อ คับ
     
  11. AF11

    AF11 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    80
    ค่าพลัง:
    +31
    อ้างอิง
    ถ้าบรรลุโสดาบันจะมีความสุขมหาศาลในกระทู้ห้องพุทธศาสนาสำหรับผู้เริ่มต้นมีคนบอกไว้แบบนั้นครับ แต่ถ้าเป็นพระอรหันต์สุขหรือทุกข์ก็ไม่มีแล้ว
    __________________
    ถ้ามีความสุขมาก ก็ยังคงเจอทุกข์ได้อีก ตามความเข้าใจเบื้องต้น โสดาบันคือผู้ที่เชื่อตาม
    แนวทางของพระพุทธเจ้า และบรรลุธรรมขั้นต้น เหมือนปุถุชนธรรมดา มีครอบครัวได้
    แต่อาจจะออกจาก
    ความสุขความทุกข์ได้เร็ว จึงมีความทุกข์เบาบางกว่าคนธรรมดา แต่ถ้าบรรลุอรหันต์
    ก็จะหลุดพ้นอยู่เหนือความทุกข์ทั้งปวง คงบรรยายยาก แต่รู้ว่าดีที่สุดค่ะ
     
  12. Junja

    Junja Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    62
    ค่าพลัง:
    +75
    อนุโมทนาด้วยค่ะ ขอให้ท่านสมความรารถนานะคะ


    แต่อย่ายึดติดกับการบรรลุพระโสดาบันจนเกินไปนะคะ เพราะยังมีสิ่งที่ประเสริฐยิ่งกว่าพระ

    โสดาบันและประเสริฐที่สุดในโลกใบนี้ นั่นคือ การนิพพานค่ะ
     
  13. Unlimited Indy

    Unlimited Indy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,228
    ค่าพลัง:
    +803
    ขออนุโมทนากับทุกท่านที่ต้องการบรรลุโสดาบันครับ สาธุ
     
  14. gentboy

    gentboy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 เมษายน 2011
    โพสต์:
    225
    ค่าพลัง:
    +240
  15. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    ...............อันนี้น่าสนใจ...ขอยกพระวจนะเรื่องอานิสงค์ อานาปานสติ พระวจนะ" ภิกษุทั้งหลาย เมื่ออานาปานสติ สมาธิ อันภิกษุเจริญแล้ว ทำให้มากแล้วอยู่อย่างนี้.....ถ้าภิกษุนั้นเสวยเวทนาอันเป็นสุข เธอย่อมรู้ตัวว่า เวทนานั้นไม่เที่ยง เธอย่อมรู้ตัวว่า เวทนานั้นอันเราไม่สยบมัวเมาแล้ว ย่อมรู้ตัวว่าเวทนานั้น อันเราไม่เพลิดเพลินเฉพาะแล้วดังนี้............... ถ้าภิกษุนั้นเสวยเวทนาอันเป็นทุกข์ เธอย่อมรู้ตัวว่า เวทนานั้นไม่เที่ยง เธอย่อมรู้ตัวว่าเวทนานั้นอันเราไม่สยบมัวเมาแล้ว ย่อมรู้ตัวว่าเวทนานั้น อันเราไม่เพลิดเพลินเฉพาะแล้ว..............ถ้าภิกษุนั้นเสวยเวทนาอันเป้น อทุกขมสุข เธอย่อมรู้ตัวว่าเวทนานั้นไม่เที่ยง เธอย่อมรู้ตัวว่าเวทนานั้น อันเราไม่สยบมัวเมาแล้ว ย่อมรู้ตัวว่าเวทนานั้นอันเราไม่เพลิดเพลินเฉพาะแล้ว ดังนี้.......................ภิกษุนั้นถ้าเสวยเวทนาอันเป้นสุข ก้เป็นผู้ไม่ติดใจพัวพันเสวยเวทนานั้น ถ้าเสวยเวทนาอันเป้นทุกข์ ก็เป็นผู้ไม่ติดใจพัวพันเสวยเวทนานั้น ถ้าเสวยเวทนาอันเป็นอทุกขมสุข ก็เป็นผู้ไม่ติดใจพัวพันเสวยเวทนานั้น...............ภิกษุนั้น เมื่อเสวยเวทนา อันเป็นที่สุดรอบแห่งกาย เธอย่อมรู้ตัวว่าเราเสวยเวทนาอันเป็นที่สุดรอบแห่งกายดังนี้ เมื่อเสวยเวทนาอันเป็นที่สุดรอบแห่งชีวิต เธอย่อมรู้ตัวว่าเราเสวยเวทนา อันเป็นที่สุดรอบแห่งชีวิต ดังนี้ จนกระทั่งการทำลายแห่งกาย ในที่สุดแห่งการถือเอารอบซึ่งชีวิต เธอย่อมรู้ว่าเวทนาทั้งปวงอันเราไม่เพลิดเพลินเฉพาะแล้ว จักเป็นของดับเย็นในที่นี่นั่นเทียว ดังนี้.......................ภิกษุทั้งหลาย ประทีปน้ำมัน ที่ลุกอยู่ได้เพราะอาศัยน้ำมันด้วย เพราะอาศัยไส้ด้วย เมื่อหมดน้ำมันหมดไส้ ก็เป็นประทีปที่หมดเชื้อดับไป ข้อนี้ฉันใด ภิกษุนั้นก็ฉันนั้น กล่าวคือเมือเสวยเวทนาอันเป้นที่สุดรอบแห่งกาย เมื่อเสวยเวทนาอันเป็นที่สุดรอบแห่งชีวิต จนกระทั่งการทำลายแห่งกาย ในที่สุดแห่งการถือเอารอบของชีวิต เธอย่อมรู้ตัวว่าเวทนาทั้งปวงอันเราไม่เพลิดเพลินเฉพาะแล้ว จักเป็นของดับเย็นในที่นี่นั่นเทียว ดังนี้----มหาวาร.สํ.19/404/1346-1347.:cool:
     
  16. sassygile

    sassygile เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    47
    ค่าพลัง:
    +217
    ต้องเห็นว่า ร่างกายเป็นของไม่เที่ยง ไม่มีตัวตนแท้จริง และไม่ใช่ของๆ เรา เมื่อตายไป ร่างกายเป็นเหมือนฝืนธรรมดาเท่านั้นเอง ที่มอดไหม้

    เมื่อเห็นตามนั้น เราก็จะเห็นว่า ความสวย ความงาม ไม่ใช่สิ่งที่จะอยู่กับเราได้ตลอดไป สักวันก็จะเหี่ยว เหมือน ดอกไม้ เหี่ยวเฉา แล้วตาย ย่อยสลาย ไป

    โลกนี้ไม่มีอะไรเที่ยง จะไปยึดติด ยึดมั่นถือมั่น ไม่ได้
     
  17. ชีวอน

    ชีวอน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2012
    โพสต์:
    246
    ค่าพลัง:
    +763
    ผมก้ออยากเป็น แต่ไม่รู้ทำไงอยากจะนิพพานเลยด้วยครับ แต่หาทางอยู่ ครูท่านสอนเอาไว้แล้วครับพระพุทธเจ้าไง และท่านเคยบอกเอาไว้ว่า วิสัยพระโสดาบันก้อต้องพระโสดาบันเท่านั้นที่รู้ว่าเป็นยังไงตอบได้ยังไงครับ ส่วนคนที่บอกว่าวิสัยพระโสดาบันต้องเป็นอย่างงั้นต้องเป็นอย่างงี้เขียนซะสวยหรู ถ้าท่านถึงขั้นนั้นจริงๆผมก้ออนุโมทนาครับ แต่ถ้ายังไม่รู้ถึงตัวหนังสือที่ท่านเองเขียนบอกคนอื่นก้อไม่ควรครับ ผมไม่ได้มีเจตนาไม่ดีนะครับแต่แค่อยากให้รู้ว่าถ้าไม่รู้ก้อไม่ควรสอนคนอื่นครับ ผมเด็กน้อยคนธรรมดา ความรู้แค่หางอึ่ง อายุแค่25 ไม่บังอาจไปลบหลูผู้รู้ทั้งหลายครับ ผิดถูกประการใด บอกด้วยครับ ขอบคุณครับ ปล ในพระไตรปิฎกมีบอกครับศึกษาเลยครับ
     
  18. banana366

    banana366 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    250
    ค่าพลัง:
    +1,345
    ดีแล้วครับ ที่คิดเหมือนๆกัน แต่ก็น่าสงสารอีกหลายคนนะครับที่ยังคิดไม่ได้กันอ่ะครับ
    แต่ก็ดีแล้วครับ
     
  19. spharm

    spharm เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    133
    ค่าพลัง:
    +389
  20. นิธิธรรม

    นิธิธรรม Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    14
    ค่าพลัง:
    +29
    การเป็นโสดาบันบุคคล

    ต้องตัด สังโยชน์ 3 ข้อแรก คือ ตัดความเห็นว่าร่างกายเป็นของเรา ข้อสอง ต้องตัดความลังเลสงสัยต่อพระรัตนตรัยอย่างร้อยเปอร์เซน ข้อสาม มีศีลแบบเข้มข้นเป็นปรกติ ทั้งหมดนี้คือโดยรวม
     

แชร์หน้านี้

Loading...