ความรักของพ่อแม่ เป็นเพียงความรักที่ไม่ได้ยิ่งใหญ่นัก

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย วรกันต์, 19 กุมภาพันธ์ 2011.

  1. วรกันต์

    วรกันต์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    190
    ค่าพลัง:
    +257
    ความรักความเมตตา ของบิดามารดา ที่มีต่อบุตร มนุษย์ทุกคน
    คงจะปฏิเสธไม่ได้ ว่า ยิ่งใหญ่ เพียงใด จะหาความรัก อันใด มาเทียบ ก็คงไม่ได้

    แต่หารู้ไม่ว่า ความจริงแล้ว ยังมีความรักอันยิ่งใหญ่กว่า นี้มากมายนัก เพียงแต่เราไม่เคยได้คิด และ มองข้ามไป


    มักจะมีคนกล่าว ว่า ความรักของบิดามารดา ที่มีต่อบุตร เป็นความรักอันบริสุทธิ์ เป็นรักแท้ ยิ่งใหญ่ ไม่มีเงื่อนไข ไม่มีสิ่งใดจะมาเทียบ


    ถ้าคิดด้วยปัญญา และ ใจเป็นกลาง จะรู้ว่า ไม่ใช่


    ความรักของพระพุทธเจ้า ทุกพระองค์ที่มีต่อสรรพสัตว์ต่างหากที่เป็นความรักที่ยิ่งใหญ่ ไม่มีข้อแม้ ยั่งยืน และ เป็นความรักที่บริสุทธิ์

    เพราะถ้าหาก ความรักของพ่อแม่ เป็นรักแท้ จริง หากตายจากกันไป เกิดมาใหม่ เวลาเจอหน้ากัน ก็จำกันไม่ได้ ต่างคนต่างอยู่

    ก็แสดงว่า ความรักนั้น ไม่แท้ ไม่ยั่งยืน

    พ่อแม่ เลี้ยงเรา แม้จะไม่ได้คิดว่าจะ ให้เรามาตอบแทน แต่ ลึกๆ พ่อแม่ทุกคน ก็ต้องอยากให้ลูกรักตนเอง (หรือใครเถียงว่า พ่อแม่อยากให้ลูกตนเองเกลียดตัวเอง) เลี้ยงดูยามแก่เฒ่า ยามเจ็บป่วย จริงไหม แสดงความ ยังเป็นความรักที่หวังผลอยู่

    หรือ หาก ลูกไปฆ่าคนมา/ขับรถชนคนตาย พ่อแม่ก็พยายามปกป้องลูกทุกวิธีทางไม่ให้ลูกติดคุก


    แต่ อย่าลืม ว่า ลูกคนอื่นที่คุณไปฆ่ามา เขาก็มีพ่อมีแม่ มีความรักลูกเช่นกัน เขาก็ควรได้รับความยุติธรรมด้วย สุดท้ายคนที่ฆ่าคนอื่น ก็ไม่มีความผิด ลูกคนอื่นตายฟรี


    ความรักที่ปกป้อง ลูกที่ฆ่าคนตาย เป็น ความรักที่บริสุทธิ์ ในการรักลูก แต่เป็นความรักที่เห็นแก่ตัว สำหรับผู้อื่น


    อย่างนี้จะเรียกว่า เป็นความรักที่บริสุทธิ์อีกหรือไม่
     
  2. วรกันต์

    วรกันต์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    190
    ค่าพลัง:
    +257
    แต่ความรักของพระพุทธองค์ ของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ ที่มีต่อสัตว์โลก
    ต่างหาก จึงเป็นความรักแท้ ที่ยิ่งยืน ยิ่งใหญ่ สุดคณา และ บริสุทธิ์ อย่างแท้จริง

    เพราะ พระองค์ ทรงลำบาก บำเพ็ญบารมี เพื่อโปรดสรรพสัตว์

    ทั้งๆที่พระพุทธองค์ สามารถพ้นทุกข์ไปนิพพานได้อย่างง่ายดาย ไม่จำเป็นต้องทำถึงขนาดนั้น แต่พระองค์ก็ทรงเลือกที่จะลำบาก

    ลำบาก ขนาดไหน ล่ะ ขนาด เอาชีวิตเข้าแลก เอาเลือดเอาเนื้อ เอาของที่เป็นที่รัก บริจาค โดยไม่คิดถึงความสุขของตนเองสักนิด และ ไม่ได้ ทำแค่ครั้งสองครั้ง

    แต่ความเพียรของพระองค์ เป็น หลายพัน หลาย หมื่น ครั้ง สุดคณา เพื่อแลกกับพระโพธิญาณ เพื่อให้สรรพสัตว์ ไปพ้นทุกข์

    ถามว่า พวกเรา (สรรพสัตว์) เคยไปมีบุญคุณ กับพระองค์ มาหรือ ไม่ พระองค์ถึงต้องลำบากขนาดนั้น

    คำตอบก็คือไม่มี ไม่เคยมีบุญคุณ อะไร กับพระองค์ หนำซ้ำ ยังก่อวิบากกรรม ทำให้พระองค์เดือดร้อน หรือแม้แต่จะเคยเป็นศัตรูกับพระองค์ด้วยซ้ำ แต่พระองค์ หาได้เลือกความรักของพระองค์ ไม่

    1.ความรักของพระพุทธองค์จึงเป็นความรักที่บริสุทธิ์ อย่างแท้จริง (ในขณะที่ความรักของบิดามารดา ก็จะรักเฉพาะลูกของตนเองเท่านั้น หาได้มีความรักความพิศวาสต่อลูกคนอื่นไม่)

    พระองค์ ทรงเมตตา สรรพสัตว์ อย่างเท่าเทียมกัน ไม่ว่าจะเป็นมิตร หรือ เป็นศัตรู 2.ความรักของพระองค์ จึงยิ่งใหญ่ ยิ่งกว่า ความรัก ของพ่อแม่

    ความรักของพระองค์ ยั่งยื่น ก็เพราะ ความรักที่พระองค์ให้พวกเรา คือ ธรรมะ หรือ ธรรมชาติ ซึ่งเป็นสิ่งสากล แม้ว่าพระองค์นิพพานไป ธรรมะ หรือ ความรักของพระองค์ ก็ยังอยู่ไม่เสื่อมคลาย หรือ แม้ แต่พระพุทธศาสนา จะสูญสิ้น ความรักของพระองค์ ก็ยังอยู่

    เพราะธรรมะของพระพุทธองค์ คือ สัจธรรม หรือ ความจริง
    3.ความรักของพระพุทธองค์ จึงยั่งยืน ยิ่งกว่า สิ่งใด
     
  3. bluebaby2

    bluebaby2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2010
    โพสต์:
    2,471
    ค่าพลัง:
    +4,288
    มันก็ขึ้นอยู่กับว่าคุณนิยามความรักบริสุทธิ์ว่าอย่างไรด้วยครับ ถ้าคุณนิยามว่าเป็นความรักที่พระพุทธองค์มีให้สรรพสัตว์ก็ไม่มีความรักของใครที่บริสุทธิ์หรอกครับ ถ้าคุณนิยามว่าความรักที่พระอรหันต์มีให้สรรพสัตว์ ลำดับตั้งแต่อรหันต์มรรคลงมาจนพระโสดาบันก็ไม่บริสุทธิ์ มันขึ้นอยู่กับว่าคุณนิยามความรักบริสุทธิ์ไว้อย่างไร
     
  4. วรกันต์

    วรกันต์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    190
    ค่าพลัง:
    +257
    ความรักของพ่อแม่ เป็นความรักที่ยิ่งใหญ่ และบริสุทธิ์ สำหรับบุตร

    แต่ความรักที่ยิ่งใหญ่กว่า ที่เรามองข้าม คือ ความรักของพระพุทธองค์


    ทุกครั้งที่กราบพระรัตนตรัย คุณจะได้ไม่ต้องกราบอิฐ กราบปูน กราบทองเหลืองอีกต่อไป


    เพราะทุกครั้งที่กราบ คุณจะระลึก ถึงพระคุณของพระองค์อย่างแท้จริง


    พระปัญญาธิคุณ พระบริสุทธิคุณ และ พระมหากรุณาธิคุณ ของพระองค์


    อย่าได้ชื่อว่าเป็นคนกตัญญูนะครับ


    เมื่อถึงสักวันหนึ่ง ที่คุณได้เข้าถึงธรรมะ อันแท้จริงของพระพุทธองค์ก็จะเข้าใจความหมายอันนี้มากขึ้น และ จะเคารพรัก และ บูชาพระพุทธองค์ ยิ่งสิ่งอื่นใด



    เนื่องในโอกาส วันมาฆบูชา และ ยังเป็นวันกตัญญู ข้าพเจ้าขอนอบน้อมรำลึกถึงพระพุทธองค์ ที่ทรงบำเพ็ญบารมี 20 อสงไขย แสนกัปป์ เพื่อมาโปรดสรรพสัตว์ทั้งหลาย และ ขอเผยแพร่ พระคุณของพระพุทธองค์ เท่าที่ความสามารถจะทำได้ให้สมกับที่พระพุทธองค์ ได้ลำบากสร้างบารมีมาด้วยเทอญ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 กุมภาพันธ์ 2011
  5. AF11

    AF11 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    80
    ค่าพลัง:
    +31
    พ่อแม่บางคนหวังแต่ให้ลูกมีความสุข ความเจริญรุ่งเรืองในชีวิต อย่างอื่นเป็นเรื่องผลพลอยได้ แต่ถ้าเขามีความกตัญญูต่อพ่อแม่เขาก็จะมีความเจริญรุ่งเรือง
    และถ้าพ่อแม่ที่รักลูกจริงและอยากเป็นแบบอย่างที่ดีให้ลูก เขาก็ควรจะรักลูกคนอื่นและรักทุกคนด้วย ต้องไม่เห็นแก่ตัว เพราะมันจะทำให้เกิดความยึดมั่น เกิดทุกข๋
    ขาดคุณธรรม
     
  6. satory

    satory สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    76
    ค่าพลัง:
    +5
    ความรักเป็นเพียงความรู้สึกที่หลงติดในสิ่งที่ชอบ ซึ่งเป็นในทางบวก
    ความเกลียดชังนั้นก็เป็นเพียงเป็นเพียงความรู้สึกที่หลงติดในสิ่งที่ชอบ แต่เป็นในทางลบ
    ซึ่งในบุคคลธรรมดาก็ต้องมีทั้งรัก-เกลียด ซึ่งเป็นของที่คู่กันมา
    คำถามว่า ความรักของพระพุทธองค์นั้นเป็นเช่นไร อาจตอบได้ว่า
    ในแง่ที่พระองค์มีต่อเรานั้น พระองค์ไม่มีทั้งรักและเกลียด เนื่องจากอาไรนั้นคงไม่ต้องอธิบายเพราะพระองค์เป็นผู้ละกิเลสความเห็นผิดได้หมดสิ้นแล้ว
    ส่วนในแง่ของเราที่มีต่อพระองค์นั้นเป็นความรักในทางบวก อาจเกิดเนื่องมากจาก
    พระปัญญาธิคุณ พระบริสุทธิคุณ และ พระมหากรุณาธิคุณ ของพระองค์ ที่ท่านมีต่อเราทำให้เรารักและเทิดทูนท่านเหนือสิ่งอื่นใด
    ส่วนในแง่พยามาร(ฝ่ายมาร) ก็มีความเห็นถูกในแง่ของตนเพียงแค่แต่เป็นความเห็นที่ตรงข้ามเท่านั้น
    กลับพระองค์

    เพราะฉนั้น ความรักอันยิ่งใหญ่ ที่ท่านเจ้าของกระทู้หมายถึงนั้นอาจสรุปได้ว่าเป็นความรักที่เรามีต่อพระองค์ท่านได้หรือไม่ มิใช้ความรักที่พระองค์มีให้แกเรา(อาจเป็นสิ่งที่รักคิดขึ้นมาเอง)

    ซึ่งพระองค์ท่านได้สอนให้เราเข้าถึงพระนิพาน ก็คือ การเซ็คทุกอย่างให้เป็น 0(ความว่างเปล่า;เป็นอนัตตา)

    ส่วนความรักของพ่อแม่นั้นก็เป็นไปตามกฎธรรมชาติ เนื่องจาก ลูกเกิดมาจากเลือดเนื้อของเราจึงคิดว่าลูกเป็นส่วนหนึ่งของเราเป็นชีวิตหนึ่งเดียวของเราที่เกิดมาเช่นกัน ยังยึดติดกับร่างกายนี้ ซึ่งก็เป็นความรักที่ยิ่งใหญ่เพราะเรารักชีวิตเรา เราจึงรักลูกเรามากเช่นกัน ไม่มีความรักใดจะมากเท่าการที่เรารักชีวิตของตัวเราเอง

    แต่ถ้าเราคิดว่ากายนี้ไม่ใช้ของเรา ไม่ใช้ของจริง เป็นเพียงที่ซึ่งที่อาศัย ที่ฝึกฝน ที่ขัดเกลา ของจิตเพื่อการที่จะไม่ต้องมาทนทุกข์ อยู่กับความเห็นผิด(อวิชชา) ซักวันเราก็จะพบพระพิพานดังเช่นพระพุทธองค์ ต้องขอขอบพระคุณพ่อ คุณแม่ ที่ให้เกิดมาในโลกนี้และได้พบกับพระพุทธศาสนา
     
  7. googgle

    googgle เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2010
    โพสต์:
    36
    ค่าพลัง:
    +152
    กล้าพูดออกมาได้อย่างไร ว่าความรักของพ่อแม่ไม่ยิ่งใหญ่ คุณปรามาส พระอรหันต์ในบ้านของคุณแล้วล่ะ อย่าได้เอาความรักของพ่อแม่ไปเปรียบกับความรักของคนอื่นเลย อย่ามัวแต่ไปแห่ เห่อ กับพระอรหันต์นอกบ้านจนลืม พระอรหันต์ในบ้านนะคุณ เราควรทำปัจจุบัน อยู่กับความจริงให้มากที่สุด ไม่มีใครรักเราเท่าพ่อแม่หรอก จำไว้ ส่วนพระพุทธองค์นั้นเรายกไว้เหนือหัว เพราะเราเป็นชาวพุทธ นับถือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ คนละส่วนกัน คนละเรื่องกัน จงจำไว้ว่า รักของพ่อแม่ ยิ่งใหญ่มหาศาล ไม่มีสิ่งใดมาเปรียบได้
     
  8. หลานศิษย์

    หลานศิษย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 เมษายน 2008
    โพสต์:
    191
    ค่าพลัง:
    +560
    อันความรักของพ่อแม่ที่มีต่อบุตร นั้นยิ่งใหญ่เพียงใด ดั่งพุทธพจน์ที่ว่า
    พ่อแม่คือพระอรหันต์ของลูก พ่อแม่คือพรหมของลูก
    และ ในบทกรณียเมตตสูตร ได้กล่าวว่า มารดารักเมตตาบุตรคนเดียวของตนเพียงใด
    บุคคลพึงทำจิตเมตตาต่อสัตว์ทั้งหลายเพียงนั้น

    แม้พระพุทธองค์ยังยกย่องคุณบิดามารดา เพียงนั้น

    แต่เมื่อความเมตตานั้นประกอบไปด้วยโลกุตรธรรม คือปัญญาอันสูงแล้ว
    จักไม่ใช่ความรักของปุถุชน แต่เป็นความเมตตา กรุณา อันมีเข้าใจในเรื่องกรรมและผลของกรรม มิใช่เพียงเพราะเขาเป็นลูกหลาน หรือญาติของเราเท่านั้น
    แม้สัตว์โลกทั่วไปก็มีความกรุณาดุจเดียวกัน
     
  9. ชุนชิว

    ชุนชิว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    722
    ค่าพลัง:
    +780
    การเรียนรู้ทั้งหลายล้วนเริ่มจากสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ใกล้ๆ ตัวก่อนครับ แล้วค่อยๆรู้ในสิ่งที่ใหญ่กว่านั้นขึ้นไป หรือไกลออกไป รักของพ่อ แม่นั้นยิ่งใหญ่นักหนา และอยู่ใกล้ๆ ตัวเราที่สุด จึงจำเป็นต้องเรียนรู้ก่อน เริ่มจาก รักตนเอง รักผู้อื่น รักพระพุทธองค์
    พระพุทธเจ้าท่านยิ่งใหญ่นักหนา ท่านยังกล่าวสนับสนุนการกตัญญูต่อบิดา มารดาเลยครับ

    หลวงปู่ท่อนเล่าเรื่อง "พระอรหันต์ในสมัยพุทธกาลเลี้ยงแม่ชรา"<!-- google_ad_section_end -->
    <HR style="COLOR: #ffffff; BACKGROUND-COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- google_ad_section_start -->
    [​IMG]



    สาวกองค์นั้นเกิดในตระกูลมีอันจะอยู่จะกิน เป็นเศรษฐีย่อมๆ เรียกว่าคหบดี คหปตานี เป็นผู้มั่งมีศรีสุข คฤหาสน์ใหญ่โต มีบริวารเป็นจำนวนมาก มีนาตั้งหลายทุ่งมีเกวียนตั้งหลายร้อยเล่ม มีสวนมีไร่หลายอย่าง ให้บริวารเป็นผู้ทำอยู่แต่ไม่มีบุตร เบื้องต้นไม่มีบุตรเลยอยู่แต่งงานกันมาหลายปีดีดัก ตั้ง ๔๐ ปี อายุย่างเข้า ๔๐ ปีแล้ว ยังไม่มีบุตร มีพิธีไหว้อ้อนวอน ขอวอนเทวดาอารักษ์ที่ไหนก็ไม่รู้ ธรรมเนียมเป็นอย่างนั้น คนไม่มีบุตรอยากได้บุตรจะต้องมีการไหว้การวอน ทำพิธีไหว้วอน แต่ก็ได้สมใจจริงๆ อายุ ๔๐ ปีแล้วจึงค่อยมีบุตรตั้งครรภ์ขึ้นมา เวลาถ้วนกำหนดทศมาส ก็คลอดออกมาเป็นชาย แหมสาใจของพ่อแม่เหลือเกิน ดีอกดีใจ ฟูมฟักรักษา ไกวเปลเห่กล่อม ทะนุถนอมกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงมา ด้วยความอุตส่าห์พยายามเพื่อหวังอยากจะให้ลูกนี่สืบตระกูล สืบสมบัตินั้นเอง

    พอลูกชายเกิดขึ้นมาแล้วมีนิสัยไปทางอื่นไม่ใฝ่ใจในสมบัติเท่าไร ไม่ยินดีในสมมติ ที่มั่งมีเลยแต่มองเห็นว่ามันเป็นโทษ ถ้าผูกพันในสมบัติแล้วเราก็จะไปไหนไม่ได้ล่ะห่วงแค่สมบัตินี้ล่ะ มีความยินดีอยากจะบวชอยู่พอโตขึ้น ๒๐ ปี ล่ะมั้ง มารดาก็เลยขอร้องลูกเอ๋ยจงไปหาผู้หญิงที่ชอบใจ มาแต่งงานเสียเถอะ ถ้าแต่งงานแล้วพ่อแม่จะยกสมบัติให้ เรียกว่าทำพินัยกรรมยกให้เจ้าเป็นผู้ครองต่อไป ก็ตอบแม่ว่าอย่างไร แม่ลูกยังไม่พร้อม เรื่องเงินทองสมบัติ ลูกอยากบวช วันไหนๆ มานั่งดูชมพระผู้มีพระภาคหรือพระบรมศาสดาเดินบิณฑบาต ห้อมล้อมด้วยสาวกบริวาร งามเหลือเกิน ทำไมถึงงามอย่างนี้น้อ เหมือนดังพญาราชหงส์อันห้อมล้อมด้วยฝูงหงส์ฉะนั้น งามจริงๆ ไปสำรวมระวัง งามน่าชม

    ในพระสูตรท่านว่า การได้ดูสมณะสารูปผู้สังวรระวังดีเป็นมงคลชีวิต นั่งมีความสุข บางวันแม่ขอร้อง ให้ช่วยจัดสิ่งของไปใส่บาตรแม่จะใส่ พ่อจะใส่ นี่ก็ยินดีทีเดียวล่ะ ได้ใกล้พระบรมศาสดาได้ใส่บาตรเสียเองก็มีบางครั้ง ดีใจภูมิใจวันนั้น หนักๆ เข้า พ่อแม่ไม่ใช้บวช บวชแล้วใครจะครองสมบัติ อย่าบวชเลยนะลูกถ้าลูกบวชแล้วสมบัติไหนก็ระเทระทายไปเท่านั้นเอง แม่ก็แก่แล้วพ่อก็แก่แล้ว แม่ก็ ๔๐ กว่าแล้ว พ่อจะย่างเข้า ๖๐ แล้วล่ะมั่ง แหม ทำอย่างไรหนอ ไม่ให้บวช ทำเป็นไม่กินข้าวกินน้ำไปเรียกประชด แล้วจะอยู่ไปทำไมจะไม่ได้บวชทำไมตายเสียดีกว่าจะทำประชดแม่ทำยังกับว่าไม่กินข้าวกินน้อเลย แม่ก็กลัวลูกเอาจริงเอาจังเพราะเป็นคนนิสัยจริงจัง แล้วขอร้องว่าถ้าจะบวชจริงๆ ก็ต้องกินข้าวกินน้ำเสียก่อนสิ ถ้าไม่กินข้าวกินน้ำมีกำลังวังชาเสียก่อนไปบวช แล้วมันจะทำข้อวัตรปฏิบัติอะไรได้ละลูก จริงหรือแม่ให้บวชจริงๆ หรือ ก็จริงนะสิ ถ้าอยากจะบวชก็จงกินข้าวกินปลาเสียเถอะ บำรุงกำลังร่างกายให้แข็งแรงเสียก่อน แม่จะไปมอบให้พระเถระท่าน ดีอกดีใจกินข้าวกินปลาอาหารมีกำลังวังชาดีพอสมควร

    แม่ก็พาไปมอบเข้านาค ฝึกนาค ฝึกภาคปฏิบัติต่างๆ รู้ธรรมวินัย รู้จักอาหาร รู้จักอะไรประเคนได้ประเคนไม่ได้เสียก่อน รู้จักดีเสียก่อน พอมอบแล้วฝึกปรือเป็นนาคอยู่นั่น พอสมควรก็ได้บวช พอบวชไปแล้ว ก็ฟังเทศน์พระบรมศาสดาทุกวันล่ะ ตอนเย็นก็ไปฟังเทศน์พระบรมศาสดาทุกวันๆ พระบรมศาสดาอาจจะรู้นิสัย สาวกองค์นั้นเป็นอย่างนั้น องค์นี้เป็นอย่างนี้ ควรจะเน้นหนักให้วิเวกสถา เน้นหนักในวิเวกสถาแนะนำให้ออกวิเวกสงบสงัด ประพฤติปฏิบัติภาวนาถ้าอยู่ด้วยความคลุกคลีจิตใจจะไม่เป็นไป ไม่หลุดพ้นจากอาสวะ อาจจะคลุกคลีกันอยู่สนุกสนานในการคุย ในการเจรจา ในการดู การชมอย่างอื่นไป ไม่เป็นธรรม เป็นวินัย เอาเสียเลยต้องออกวิเวก ท่านว่าอย่างนั้นต้องหาสถานที่สงบสงัดเรียกว่าเสนาสนะสัปปายะ

    หาสถานที่สัปปายะเสียก่อน จิตใจจึงจะสงบ หาสถานที่เหมาะๆ เสนาสนะสัปปายะแล้วยังไม่พอ ต้องให้อากาศสัปปายะ ไม่เป็นพิษเป็นภัยเสียก่อน ไปอยู่ที่เช่นนั้น อาหารสัปปายะ เสนาสนะสัปปายะ อาหารสัปปายะ แล้วะก็อากาศสัปปายะ บุคคลที่จะไปมาหาสู่นั้นก็สัปปายะอีกด้วย จนจะเกิดธรรมะเป็นที่สบาย ธรรมะก็เป็นสัปปายะ มีสัปปายะทั้ง ๕ แล้ว จึงจะดำเนินประพฤติก็ปฏิบัติได้บรรลุมรรคผลนิพพานได้เร็ว ถ้ายังคลุกคลีตีโมงกันอยู่ ยังสนุกสนานในการอยู่ร่วมกันอยู่ ไม่มีวันบรรลุมรรคผลนิพพานได้เร็ว ถ้ายังคลุกคลีตีโมงกันอยู่ ยังสนุกสนานในการอยู่ร่วมกันอยู่ไม่มีวันบรรลุข้ออรรถ ข้อธรรมอันใดแล้ว มีแต่จะหนาแน่นขึ้นด้วย โลภะ โทสะ โมหะ ราคะ โทสะ โมหะ จะแก่กล้าขึ้น ท่านก็แนะนำสั่งสอนหนักไปทางวิเวกสถา วันไหนก็แนะนำอย่างนี้

    เอาวิเวกสถานเป็นใหญ่ เหตุที่จะได้ตรัสรู้พระอนุตรสัมโพธิญาณ นี่ก็เพราะอยู่สถานที่สงบสงัด ถ้าอยู่กับหมู่คณะ กับหมู่กับพวกคนหมู่มาก คงไม่ได้ตรัสรู้หรอกนะ เราตถาคตนี่เหตุที่ได้ตรัสรู้พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ ก็ได้ที่วิเวกไกลจากชุน เข้าใจหรือเปล่า พระภิกษุทั้งหลายก็เข้าอกเข้าใจ ออกพรรษาแล้วก็ขอลาแยกย้ายกันไปภาวนา แห่งละองค์ สององค์ ที่วิเวกไกลๆ โน้น ส่วนพระโสณะนี่ ขอติดตามพระเถระเข้าไปในป่าเหมือนกัน หลังประเทศเนปาล ขึ้นไปหิมวันต์ หิมาลัยใกล้ภูเขาหิมาลัย ที่นั่นน้ำดีเหลือเกิน อากาศดีเหลือเกิน แต่ดึกๆ มาได้ยินเสียง สัตว์ร้อง พิลึกกึกกือ สัตว์ร้อง สัตว์ป่า สัตว์ร้องพวกเสือ พวกช้าง พวกหมี ชะนี สิงโต มันร้องในป่า น่ากลัวดี ใจมันสงบ

    ถ้าอย่างนั้นใจมันกลัว มันก็ตั้งใจดี ที่นี่มีหมู่บ้านพอบิณฑบาตได้ห่างๆ เอาปักหลักที่นั่นละ อยู่ที่นั่นถ้าหากยังไม่บรรลุคุณธรรมเมื่อใด เราจักไม่กลับบ้าน เราจักไม่ย้อนมาตุภูมิเป็นอันขาด เด็ดเดี่ยวลงไป ทำความเพียรที่นั่นหลายปีดีดัก พอทำความเพียรไปใจสงบ จะถึงที่ได้อัปปนาสมาธิ เท่านั้นแหละเสียงแว่วเข้ามาที่หู บวชได้แล้ว ได้บุญแล้ว ก็จงสึกนะลูก ขึ้นมาที่หุ ใจมันก็สะดุ้งออกมา เสียงแม่เราชัดๆ

    ออกมาทำความเพียรไป ทำความเพียรไปวันหนึ่งๆ ก็ตั้งหลายครั้งจะให้มันสงบถึงจุดให้มันวิมุติหลุดพ้นจากอาสวะให้ได้ พอถึงจุดสงบลงไปถึงอัปปนาเข้าไปลึกๆ แว่วขึ้นมาเสียงน่ะ ทำให้ใจถอนทุกครั้ง ถ้าอยู่เฉยๆ ไม่ทำความเพียรอะไร ทำข้อวัตรอย่างอื่นน่ะไม่เป็นไร ไม่มีนิวรณธรรมมาแว่วที่หูเลยก็อยู่ที่นั่น นั่นล่ะ อยู่กับหมู่พวกที่ป่านั่นเอง ไม่ได้ย้อนกลับบ้านมั่นใจว่าจะทำให้ได้มันได้ ให้ได้บรรลุ

    แต่มาย้อนถึงมาตุภูมิของท่าน ตระกูลของท่าน พอดีลูกไปบวชแล้ว ต่อมาฝนแล้ง มันเกิดแห้งแล้ง แล้ง ๗ ปี ปลาย ๗ เดือนอะไรนี้แหละทั่วๆ ไป ในประเทศอินเดียไม่ได้ทำนาอะไรเลย มีนาตั้งหลายทุ่ง แต่ไม่ได้ทำนาเพราะฝนไม่ตก การทำนาทำไม่ได้ การค้าขาย เอาเกวียนมาตั้งหลายร้อยเล่มออกค้าขาย ขายก็ขายไม่ได้อีก เศรษฐกิจตกต่ำ ผลิตผลที่ทำไว้แล้วมันก็หมดไป หมดเนื้อหมดตัวลง หลายปีมา ผลิตผลใหม่ก็ไม่ได้ ข้าวยากหมากแพงขึ้นมา บริวารที่เคยรับใช้อยู่แต่ก่อนเป็นพ่อค้าเกวียนให้ตั้งหลายคนทำนาให้ตั้งหลายคน เขาก็ไม่อยู่แล้ว ลาไปทำมาหากินทางอื่นเขา ยังเหลืออยู่นิดหน่อยเพราะว่าเงินทองร่อยหรอลง สองตายายทำยังไง ยายเอ้ยปรึกษากันมันหลายปีแล้วนี่นะ ไม่ได้ทำไร่ทำนาเลย ผลิตผลก็หมดไปหมดไปอย่างนี้ เราจะได้อะไรมาเลี้ยงตัวล่ะ

    เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน เอาคฤหาสน์หลังใหญ่นี้ล่ะไปจำนองไว้กับสหายผู้มีอันจะอยู่จะกินคนหนึ่งก็แล้วแต่จะเป็นแล้วแต่พ่อเป็นล่ะ ก็ไปพูดตกลงกันขอจำนองคฤหาสน์ ขอขายฝากกับสหายล่ะ ขอซื้อให้หน่อยเถอะ ข้าพเจ้าหมดเนื้อหมดตัวจริงๆ บริวารก็ตีตัวออกห่าง ถ้าได้ทำไร่ทำนาไม่เกินปีสองปี ก็ได้ถ่ายคืนหรอก บ้านน่ะ ตกลงราคาเท่าไหร่ ก็หลายพันกษาปณ์ เป็นหลายพันกษาปณ์ ตกลงแล้วก็เอาเงินให้กัน ทำสัญญา ๑๐ ปี นะสหาย สัญญากัน ๑๐ ปี ถ้าเกิน ๑๐ ปีไปคฤหาสน์ต้องเป็นเจ้าของทรัพย์ใช่ไหม เอาเลยเอาเข้าใจว่า ๑๐ ปีก็จะมีโอกาสทำไร่ทำนา ขายของ ขายข้าว ขายปลา จะมาไถ่คืน ได้เงินได้ทองแล้วก็กลับบ้านไป สัญญากันไว้แล้วกลับบ้านไป คนสนิทบริวารเห็นนายมีเงินมีทองก็ตรูกันเข้ามาขออาศัยอยู่อีก ข้าเก่าเต่าเลี้ยงปฏิเสธกันไม่ได้ หลายปีเข้า หลายปีเข้าไม่มีทีท่าว่าจะทำไร่ ทำนาอะไรเลย ชาวบ้าน ชาวเมืองก็เดือดร้อนทั่วๆ ไป

    ท่านคหบดีคิยะเศรษฐีเราเอาเงินเขามาจำนองบ้าน บ้านเขามา ไม่มีทีท่าจะได้ไถ่คืนเลย มันจวนจะเข้า ๑๐ ปีแล้ว คิดหนักนอนไม่หลับ นอนไปก็ผวาอยู่เรื่อยๆ กลัวคฤหาสน์นี้จะเป็นของคนอื่นเขาไป เลยเกิดโรคหัวใจ พูดภาษาง่ายๆ เกิดโรคหัวใจ คิดหนักอย่างนั้น มันเป็นอารมณ์หนักเหมือนกันนะ การคิดหนักเป็นโรคหัวใจโตขึ้นมา ผวาอยู่เรื่อยๆ นอนไม่หลับ ยิ่งกว่ากินกาแฟ ยิ่งกว่ากินลิโพ นอนไม่หลับเอาเสียเลย มันคิดหนัก หนักๆ เข้าหัวใจวายเรียกว่า หัวใจล้มเหลว หัวใจมันเป็นโรคมากขึ้นก็เกิดไม่ทำงานเต็มที่ ก็ล้มเหลว เรียกว่าหัวใจวายตาย ภรรยาท่านคหปตานีนั้นยังแข็งแรงดี ช่วยทำศพให้ ขอร้องให้ชาวบ้านชาวเมืองเขาให้มาช่วย เขาก็ไม่ขัดอะไร เพราะท่านเศรษฐีท่านคหบดีนี่ใจดีมาก เลี้ยงพี่เลี้ยงน้องดี เอาใจใส่พี่ป้าน้าอาดี เขาก็ไม่ขัด ก็พากันมาทำศพนั้น เอาไปเผาธรรมดา ธรรมเนียมอินเดียเขาล่ะ ในเมืองสาวัตถีเผาแล้ว

    บัดนี้ก็ไม่มีทีท่าว่าจะทำไร่ทำนาอีกต่อมาเหลือแต่ยายๆ ได้แต่อยู่ที่บ้าน คิดหนักเหมือนกัน ทำไงน้อ สามีก็ตายแล้ว บ้านจะเป็นของเขา แน่นอนหนอต่อไปก็ได้ยินข่าวโคมลอยมา เขามาแจ้งว่าลูกชายที่ไปในป่านั้นน่ะ เกิดโรคไข้ป่าไข้มาลาเรียหนักเข้าสมองหรือลงกระเพาะอะไรทำนองนี้ล่ะ ไม่มีเยียวยารักษา แล้วมรณภาพในป่าแล้ว

    ยายสามีก็ตายไปแล้ว ลูกชายก็ยังไปตายอีก บอกว่าให้สึกมาเลี้ยงแม่ มาดูแลทรัพย์สมบัติ ตายจนได้หรือนี่ โอ้ยสองกระทงแล้วเข้ามาทับท่วมหัวใจของยาย ใจยายก็ป้ำๆ เป๋อๆ ไปเลย ลืมหน้าลืมหลังบ้าง เรียกว่าอารมณ์มากระทบจิตใจสองอย่างแล้ว ต่อมา นี่มันเลยหลายสิบปีเข้ามาแล้ว สัญญามันเลยสัญญาไปแล้ว เขาก็เลยยื่นคำขาดขึ้นมาว่า ยายเอ้ย บ้านหรือคฤหาสน์นั่นน่ะหมดสัญญาแล้วยาย ถ้ายายจะอยู่บ้านนี้ก็จงอยู่อย่างคนใช้ จะมาอยู่อย่างเจ้าของบ้านก็อยู่ไม่ได้ ต้องอยู่อย่างคนใช้ของบ้านต่อไป จะมาเป็นใหญ่เป็นโตในบ้านไม่ได้แล้ว เพราะบ้านเป็นของคนอื่นไปแล้ว โหสามกระทงเข้ามาแล้ว เขายืนเข้ามานี่ สามกระทงเข้ามาว่าหมดอายุแล้ว ขออยู่ไปก่อนได้ไหมพ่อคุณ อยู่ได้แต่ต้องอยู่อย่างคนใช้ ถ้าไม่ทำอย่างนั้นก็จงหนีจากที่นี่ได้แล้วยาย ตามคำสัญญากัน

    เอ๋คิดอะไรไม่ออกแล้ว ไปก็ไป คิดอะไรไม่ออกแล้ว ไปก็ไป ข้าพเจ้าก็จะไปขออาศัยสหายอยู่เหมือนกันแหละ มีสหายอยู่ปลายเมืองโน้น ด้วยอาติมานะพอสมควรนะ คนเคยรวยเคยมั่งมีมหาศาล เคยเป็นมหารานีมาแล้ว กลับมาจนลงอย่างนี้ล้มละลายลงอย่างนี้ ก็มีอติมานะอยู่บ้าง ไปก็ไป ขอเกวียน ขอล้อม้ามาขนของไปแล้ว ไปขออาศัยสหายทางโน้น พอไปถึงแล้วก็ไปเล่าเรื่องให้สหายทางโน้นฟัง

    [​IMG]
    พระอาจารย์อินทร์ถวาย สนฺตุสฺสโก-หลวงปู่บุญเพ็ง กปฺปโก-หลวงปู่ท่อน ญาณธโร


    สหายเก่าก็ยินดี ถ้าเป็นอย่างนั้น ก็มาเถอะสหาย เรารักกันมาก ตั้งแต่เป็นหนุ่มมา ตั้งแต่เป็นสาวมา ตั้งแต่เด็กแต่เล็กแหละ เรารักกันมา เมื่อเป็นอย่างนี้ มาเถอะสหาย ไม่มีใครเลี้ยง เราเลี้ยงเอง ก็เลี้ยง แต่ว่าอยู่ข้างล่างนะสหาย ไปอยู่ข้างบนไม่ได้ คฤหาสน์หลังมันสูง บริวารมันวิ่งขึ้นวิ่งลง เราแก่แล้ว เดี๋ยวเขาชนเราตายนะสหาย

    แล้วแต่สหาย เอาตะแคร่ไม้ไผ่มาอยู่ใต้ถุน แล้วก็กั้นฝาไว้ให้พอปิดเปิดได้เท่านั้น แต่ว่าพอกันยุงกันอะไรได้หรือเปล่าก็ไม่รู้ ธรรมดานี่เขาเป็นอย่างนั้นล่ะ อยู่ข้างล่าง คนแก่อยู่ข้างบนไม่ได้ ได้ที่อยู่ที่กิน บางวันเขาก็ให้กินอิ่ม หนำสำราญ บางวันเขาลืมไป เขาทำธุระอย่างอื่นก็อดไป ธรรมดาหล่ะอาศัยเขา พักเรื่องนี้ไว้ก่อนตอนนี้ ได้ที่อยู่ที่อาศัยแล้ว

    บัดนี้จะย้อนกล่าวไปถึงลูกชายที่ปฏิบัติอยู่ในป่า บวชอยู่ในป่า ถ้ากำหนดเข้าไปอย่างเคร่งครัดจะเอาจริงเอาจัง สะดุ้งทุกคราวนั่นเอง มีเสียงแว่วเข้ามาที่หูทุกคราวว่า บวชแล้วได้บุญแล้วจงสึกมาครองสมบัตินะลูก ขึ้นมาทันทีถ้านั่งเข้าไปมีอารมณ์อย่างนี้ เลยคิดถึงบ้านขึ้นมา

    ได้ยินข่าวว่าพระบรมศาสดาประทับจำพรรษาอยู่ที่เชตวัน มหาวิหาร ปีนี้กลับมาตุภูมิสักทีก็จะดีนะ จะได้ไปกราบพระบรมศาสดาฟังโอวาทบ้าง ใจมันปฎิสานเดือดร้อนเหลือเกิน ไม่สงบเลย แต่ว่าข่าวของพ่อของแม่ไม่ได้ยินหรอก ไม่ส่ง ไม่ถามหา ไม่มีใครไปข่าวให้ ขอลาครูอาจารย์ หมู่พวกแล้ว ขออนุญาตมา เดินทางรอนแรมจากหิมวันตประเทศจนถึงเชตวัน สาวัตถี มันกี่วันกี่คืนก็ไม่รู้ มาถึงแล้ววันนั้น

    ตอนนั้น เวลาพลบค่ำ ค่ำลงแล้วมาถึงเชตวันพอดี เข้าพักพาอาศัยในที่พักแล้ว ตอนเย็นก็ไปฟังเทศน์พระบรมศาสดา เอากำลังใจเสียก่อน พรุ่งนี้เช้าเราจึงจะบิณฑบาตไปหาแม่เอง ให้แม่ตกใจ ไปกินข้าวกับแม่เลยวันพรุ่งนี้ ฟังเทศน์แล้ว จบแล้วก็กลับมาพักผ่อน จำวัดหลับนอนที่กุฏิ แต่นอนไม่ค่อยหลับหรอก สะดุ้งอยู่เรื่อยหล่ะ มันเป็นอย่างไร ดีใจที่จะได้เห็นแม่หรืออย่างไร นอนไม่หลับเลย ไปแล้ว

    เช้ามาบิณฑบาตไปตามละแวกบ้านซอยบ้านที่ตัวอยู่ ก็จำได้ พอไปถึงที่หน้าบ้าน เป็นคฤหาสน์ของเราน่ะ จำไม่ได้แล้ว ทีนี้จำไม่ได้ ต้นไม้ใหญ่ๆ ต้นลำดวน ต้นอโศก ต้นสะท้อน อะไรที่ใหญ่ๆ ที่เราเคยวิ่งขึ้นวิ่งลงเล่นสมัยก่อนไม่มี มันตายหลายปีแล้ว ก็เราไปบวชตั้ง ๓๐ พรรษาแล้วมั้ง ๒๐ กว่า อย่างน้อยนะ ๓๐ พรรษา หัวก็ล้านแล้ว ผมหงอกแล้ว อะไรๆ มันก็แก่ไปหมดทุกอย่าง

    แต่ยังไม่ได้ดวงตาเห็นธรรมเหมือนองค์อื่นท่าน จำที่จำทางก็ไม่ได้ แน่นอนๆ บ้านหลังนี้แน่นอน แต่ซอยนี้ ถนนนี้ มาอย่างนี้ ไปอย่างนี้ ก็ไปยืนอยู่นั่น

    บ้านข้างๆ เห็นพระมาบิณฑบาตก็ลงมาใส่บาตร ก็จำหน้าเขาไม่ได้สักคน ราว ๒๐ กว่าปี ๓๐ ปีมาแล้ว ใครจะไปจำใครได้ คนเป็นหนุ่มเป็นสาวจะเป็นอย่างไรเมื่ออายุ ๕๐ ปี ผ่านไปแล้ว หน้าใหม่ทั้งนั้น ก็เลยถามว่า โยมๆ คฤหาสน์หลังนี้บ้านเป็นของท่านคิยะเศรษฐี หรือคหบดีนั่นหรือเปล่า ก็ใช่ละซีพระคุณเจ้าแต่ก่อน อ้าวทำไมเป็นอย่างนั้นล่ะ ท่านเศรษฐีท่านมาขายฝากกับเจ้านายของข้าพเจ้าสัญญากัน ๑๐ ปี หมดสัญญาแล้วก็เลยเป็นของนายของข้าพเจ้า เอาเงินไปยังไม่ได้ไถ่คืน ท่านคิยะก็เกิดเป็นโรคหัวใจ คิดมากเข้าก็เลยตายแล้ว สี่ห้าปี่แล้วมั้ง พึ่งได้ยินว่าพ่อตายเดี๋ยวนี้เอง หัวใจทรุดลงไปอยู่ตาตุ่มเลย คหปตานีล่ะ โอ๋พอหมดสัญญาแล้ว คฤหาสน์เป็นของคนอื่นแล้วท่านก็อยู่ไม่ได้ อยู่ที่นี่ก็ต้องอยู่อย่างคนใช้ ต้องย้ายไปอยู่กับสหายนอกเมืองทางโน้น

    ทำไงหนอ ไปเรื่อยๆ จนกว่าจะเจอแม่ ถ้าไม่เจอแม่เราจะไม่กลับวัด มันจะเที่ยงตรงไหน จะเลยเวลาก็จะฉันตรงนั้นล่ะ ไปเรื่อยๆ จนถึงบ้านจริงๆ แต่เจ้าของบ้าน บริวาร บริษัทไม่อยู่

    มองไปใต้ถุนเห็นยายแก่ๆ คนหนึ่ง แก่มาก หัวขาวโพลนไปหมด ขาวไม่มีเส้นดำแล้ว นุ่งผ้ามอมๆ ขาวก็ไม่ใช่ เก่าๆ นานไม่ซักมันก็เป็นเหมือนสีขี้เถ้า นั่งหลังค่อมลงไป หัวเข่าสูงชันขึ้นถึงหู นั่งตำหมากหรือกำปั่นอยู่เหมือนเล่นขายของ ไม่ได้ดูอะไร พอมองเห็นก็บอกว่า พระคุณเจ้า วันนี้เขาไม่อยู่ เจ้าของบ้านเขาไปธุระ ไปทำบุญที่วัดไหนก็ไม่รู้ เหลือแต่ยายแก่แล้ว ขอนิมนต์โปรดข้างหน้าเถิดพระคุณเจ้า

    เอ๊ะเสียงยายคนนี้ ถึงแก่ไปก็เป็นเสียงแม่เรานี่หว่า เสียงอย่างนี้เราฟังถนัดหูเหลือเกิน เสียงแม่เราก็เป็นทำนองนี้ ถึงฟันไม่มีก็ตาม แต่เป็นเสียงเหมือนเสียงแม่ เสียงใสอยู่ สั่นเครือไปหน่อย นิมนต์โปรดข้างหน้าเถิดเจ้าข้า ฟันไม่มี เสียงแม่เราจริงๆ

    เข้าไปดูใกล้ๆ ซิ บางทีอาจจะเป็นแม่เราก็ได้นะยายคนนี้ คำนวณดู ตั้งแต่เราออกไปบวชอายุเรา ๒๐ ปี แม่ก็ ๖๐ ปีมั้ง เพราะ ๔๐ ปีจึงได้ลูก เราไปบวชก็ ๒๐ กว่าปีแล้ว ก็ ๘๐ กว่าปีละสิ หรือ ๙๐ แล้วหนอ แม่เราก็คงขนาดยายคนนี้แหละ เข้าไปยืนสังเกตสังกา ยายก็ทำงานกุ๊กกิ๊กๆ เรื่อยไปแหละ คนแก่ขยันไม่นั่งเฉย ยายก็มองมาเห็นพระคุณเจ้ายืนอยู่ใกล้ๆ

    เอพระคุณเจ้าหูหนวกอย่างไรนะ ฉันก็บอกแล้วนะว่า นิมนต์โปรดข้างหน้าเถิด แต่พระคุณเจ้ายังไม่ไปเลย ยังยืนอยู่ที่นี่อีก พระคุณเจ้าดิฉันได้บอกพระคุณเจ้าแล้ว พระคุณเจ้าคงไม่ได้ยินดิฉันบอกว่า นิมนต์โปรดข้างหน้าเถิด ดิฉันจำได้ แต่พระคุณเจ้าไม่ไป พระคุณเจ้ายังไม่ไปเลย ยังยืนอยู่ พระคุณเจ้าคงหูหนวก

    ดิฉันไม่เหมือนเดิมแล้วเจ้าข้า ดิฉันต้องมาอาศัยสหายอยู่ แต่ก่อนดิฉันมีคฤหาสน์ มีบริวารเป็น ๑๐๐ ได้ทำบุญทุกวัน พอสิ้นเนื้อประดาตัวลงคฤหาสน์ก็เป็นของคนอื่นไปแล้ว สามีดิฉันก็ตาย เป็นโรคหัวใจตาย ลูกชายดิฉันไปบวชเหมือนกัน ได้ยินข่าวว่าตายในป่าแล้ว ฉันไม่มีอะไร จิตใจก็ป้ำๆ เป๋อๆ นึกอะไรก็ไม่ออก

    วันนี้เรานึกอะไรออกได้มาก นึกในใจ ยายก็นึกในใจหรือหาว่า ถ้าหากลูกชายเรายังไม่ตายหนอ เป็นพระอยู่ ขอดูใกล้ๆ ทีเถอะ ก็เลยลงจากเตียงตะแคร่ไม้ไผ่ลงมา คลานลงมาใกล้ๆ มากั้งโกบดูลูก ดูพระคุณเจ้า ตาไม่ค่อยดี ขอดูใกล้ๆ บางทีอาจจำได้

    พระคุณเจ้าดูสังเกตก็สมเพชสารรูปผู้เป็นแม่ แม่แน่ๆ แม่แน่นอน เป็นคนอื่นไปไม่ได้ ถึงฟันไม่มี จมูกโด่งคมสัน ฟันร่วงแล้ว คางกับจมูกจรดกันแล้วยาย ฟันไม่มีแล้ว เวลาหัวเราะก็มีแต่เหงือก ไม่มีฟันแล้ว กั้งโกบดู ดูสังเกต มองดู คิ้ว คาง หน้าตา อะไร แม่เราจริงๆ

    แต่ก่อนน่ะ แม่เราสวยมาก แม่เรานุ่งผ้าสาหรี หรูหรา กำไรที่แขนมากมายเหลือเกิน สร้อยสังวาลย์ก็มากมายเหลือเกิน เครื่องประดับทุกอย่างไม่มีใครเทียบ

    แม่เราบัดนี้มาซอมซ่ออย่างนี้ ความสลดสังเวชเมตตามันเกิดขึ้นที่เต็มเปี่ยมทีเดียว แม่เราซอมซ่ออย่างนี้มีใครดูแลเลี้ยงดูให้บ้างหน้อ อดๆ อยากๆ มั้ง สารรูปถึงซูบซีดขนาดนี้ คล่ำดำขนาดนี้ ผ้าไม่มีใครซักให้ล่ะมั้ง แม่เราแน่นอน

    ดูไปดูมายายก็บอกว่าเหมือน คิ้ว คาง เหมือนลูกแม่ จมูกเหมือนลูกแม่ ปากก็เหมือนลูกแม่เหลือเกิน แต่ว่าผมแกล่ะ มันล้านไปแล้ว หัวล้านไปแล้ว แต่ก่อนผมดกตำ ทำไมไม่มีผม คงเพราะบวชมานานหลายปีแล้ว หรือหากว่าพระคุณเจ้าเป็นโสของแม่เหรอ

    เท่านั้นแหละ น้ำตาที่มันกลั้นไว้นานแล้ว อดไม่ได้เลยพังออกมา ใส่ผ้าจีวรจนเปียก ไหลจนสาแก่ใจเหลือเกิน มันกลั้นไว้นานแล้ว ตั้งแต่ได้ยินข่าวพ่อตายคฤหาสน์เป็นของคนอื่น แม่หนีมาอยู่บ้านสหาย เราตามมาเห็นจริง เราก็เห็นสภาพของแม่แล้วมัน แหมมันทุเรศจริงๆ นะ เสียใจที่ตัวเองทิ้งแม่ได้ทุกข์ทรมาน ขนาดนี้ หรือว่าพระคุณเจ้าเป็นโสของแม่เหรอ น้ำตามันก็ไหลออกมาพลั่กๆ เลย แต่ไม่ได้ร้องไห้ ใจมันอยากจะร้องขึ้นมาดังๆ แรงๆ อยากจะวิ่งเข้ากอดแม่เหลือเกิน แต่เป็นไปไม่ได้ เราเป็นสมณะมีสติบริบูรณ์อยู่ จะไปกอดแม่ผู้เป็นสีกาได้อย่างไร ผู้เป็นแม่ก็ว่า เจ้าประคุณ ขอให้เป็นโสของแม่ทีเถอะ อย่าได้ตายเหมือนเขาว่าเลย แล้วก็มองดูหน้าดูตาร้องไห้ซะด้วย เจ้าประคุณขอให้เป็นโสของแม่ทีเถอะ แม่จะได้มีชีวิตชีวา ตายอย่างมีความสุขบ้าง พรรณาอยู่นั่นแหละ ร้องไห้อยู่นั่นตั้งหลายนาที หรือจะว่าเป็นชั่วโมงก็ได้ ยืนร้องไห้ ไม่ดังหรอก แต่น้ำตาก็ไหลอยู่อย่างนั้น ถ้าบาตรไม่ปิด ก็คงไหลลงบาตรนะ

    ได้สติขึ้นมา ตัดพ้อตัวเองก็ไปฝึกปรือมาหลายปีแล้ว ทำไมใจอ่อนแออย่างนี้วะ เราไปฝึกปรือเข้มแข็งมาแล้ว ไปอยู่ในป่าเสือ ป่าช้างก็หลายปีดีดับ เข้มแข็งพอสมควรแล้วนะ เรามาเจออย่างนี้ ทำไมไม่มีสติสตังร้องไห้ อย่างน่าอายนักปราชญ์บัญฑิตเหลือเกิน

    ด่าตัวเองน้ำตาก็หยุดพอดี เช็ดน้ำหูน้ำตาดีแล้วก็พูดกับโยมว่า จะให้กำลังใจแม่เสียก่อน โยมๆ ข่าวดีจะมาถึงโยมแล้วนะ แล้วยายก็พูดขึ้นว่า ข่าวดีอะไรล่ะพระคุณเจ้า ข่าวดีอะไร โยมอยากฟังเหลือเกินข่าวดีนั่น ข่าวโสณะของแม่ล่ะซี เหรอ โสณะของแม่เขาว่าตายแล้วนี่ ไม่ตาย ยังไม่ตาย ยังมีชีวิตอยู่ และก็อยู่ด้วยกันกับอาตมานี้เองแหละ อาตมาก็อยู่ด้วยกัน กินด้วยกัน รู้จักดี จะมาส่งขาวให้โยมทราบ

    โยมพอมีกำลังใจฟังบ้างได้ไหม โอ้ยพาแม่ไป พาโยมไปหาลูกหน่อยเถอะ พระคุณเจ้าจะได้ไหม นั่งล้อนั่งเกวียนไปแม่ก็จะไป จะไปหาลูกน่ะ เออประเดี๋ยวจะพาไปเองหล่ะ มีกำลังวังชา เรี่ยวแรงพอไปได้หรือเปล่าล่ะ มีแข้งขาพอไปได้ เอวอะไรก็พอไปได้ แต่ตาฝ้าฟางนิดหน่อยเท่านั้นหล่ะ ขอให้เห็นลูกก็พอใจแล้ว เรียกว่าลูกจะอยู่ที่ไหนจะหอบสังขารไปดู แล้วอยู่ไกลไหมพระคุณเจ้า ยายซักถามอย่างสนใจทีเดียว

    ไม่ไกลๆ เดี๋ยวนี้ โสณะของแม่กำลังพูดกับแม่อยู่นี่เอง เหรอแล้วแม่ก็ช็อคหมดสติ เรียกว่าวิสัญญีภาพ ถ้าดีใจมากก็เกิดวิสัญญีภาพ เหมือนอย่างกับพระเวสสันดร พระเจ้ากรุงสนชัย พระแม่เจ้าผุสดี นางมัทรี ทั้งหกกษัตริย์ไปเจอกันเกิดความดีอกดีใจ เข้ากอดกัน แล้วก็หมดสติเรียกว่าถึงวิสัญญีภาพ แต่สมัยครั้งพระเวสโน้น แต่ อาศัยฝนโบกกาลพัตรตกลงมาโปรยปราย หกกษัตริย์จึงค่อยฟื้นคืนมาได้

    แต่อันนี้ชาวบ้านชาวเมืองเห็นเหตุการณ์อย่างนั้น ไม่มีฝน โบกขรพรรษตกลงมาเลย ก็พากันมานวดฝั้นคั้นตีนมือ ปั้มหัวใจให้ยายก็ค่อยเต้นคืนมาใหม่ ดีใจมากจนเกินไปก็ช็อคเลยถึงวิสัญญีภาพไปได้ ตื่นขึ้นมาแล้วก็พร่ำเพ้อว่า ลูกแม่ๆ อยากวิ่งเข้ากอดลูกเหลือเกิน แต่มันเป็นไปไม่ได้ แม่เป็นสีกา ลูกเป็นสมณะเป็นพระ แค่เห็นแล้วแม่ก็ดีใจเองละนะ เอาล่ะแม่ เอาล่ะ ดีใจซะ กินข้าวกันเถอะ ไปกินข้าวกินน้ำกันลูกบิณฑบาตมาเต็มบาตรแล้ว ก็เลยเอาบาตรเข้าไปเทใส่ชามกาละมังเก่าๆ แก่ๆ ไม่ดีเท่าไรหรอกเขาให้ใช้

    อย่าไปพร่ำเพ้อหามันเลยเรื่องของไม่เที่ยง ทรัพย์สมบัติทั้งหลายมันไม่เที่ยง ร่างกายมันก็ไม่เที่ยง ความมั่งความมีทั้งหลายมันก็ไม่เที่ยง มันเป็นทุกขัง มันเป็น อนิจจัง มันเป็นอนัตตา เทศน์ให้แม่ฟังบ้าง ได้ฟังพระบรมศาสดาเทศน์มาแล้ว แม่ไม่ต้องห่วง ลูกไม่ให้แม่ตายแล้ว ลูกจะเลี้ยงแม่เอง

    กินข้าวอิ่มแล้วก็ลาแม่ วันพรุ่งนี้จะมาใหม่นะแม่ ให้อยู่นี่ไปก่อน ให้ลูกตั้งหลักตั้งลำไปก่อนไปทำวัตร ทำข้อวัตรอื่นๆ กับหมู่กับพวก แล้วพอเช้าก็บิณฑบาตมาเลี้ยงมารดา บางวันได้มากก็ให้แม่อิ่มหนำสำราญ ตัวเองก็ได้อิ่มบางวันก็ได้น้อย ให้แม่หมด ตัวเองก็ยอมอด ไม่เป็นไร ให้แม่อิ่มพออยู่อย่างนี้จนเป็นหลายเดือน

    ทีนี้ร่างกายของโสณะก็ซูบซีด ผอดลง เส้นเอ็นเห็นไปหมด เกิดเส้นเอ็นทั่วสารพางค์กาย ร่างกายก็ผอมคล้ำดำ ไปทำข้อวัตรก็เป็นลมบ่อยๆ พระภิกษุทั้งหลายก็ติเตียนว่า โสณะเอ๋ยโสณะ บอกแล้วว่าอย่าเลี้ยงอย่าบิณฑบาตเลี้ยงคฤหัสถ์มันเป็นอาบัติ ก็ไม่ฟัง ยังทำอยู่อย่างนั้น ทุกวันๆ ตัวเองอดอาหาร ไม่มีอาหารพอ ขาดอาหารก็เป็นลมอย่างนั้นเอง นั่งกุมหัวอยู่อย่างนั้นแหละ มันเป็นอาบัติก็ไม่รู้ พระอะไรทำไมดื้ออย่างนี้ พระภิกษุตำหนิพระโสณะอยู่นั่น

    พระบรมศาสดาประทับอยู่ที่คันธกุฎีโน้น คันธกุฎีกับธรรมสภาศาลามันไกลกันนะ ในสาวัตถีเคยไปไหมอินเดีย ได้ยินด้วยทิพย์โสตญาณ ไม่ได้ยินด้วยหูธรรมดา ได้ยินพระภิกษุทั้งหลายตำหนิพระโสณะด้วยทิพย์โสตญาณ

    ก็ระลึกได้ว่า โสณะเธอทำถูกแล้วนะ แต่ว่าพระปุถุชนยังตำหนิผู้ทำถูกได้ อย่าอย่างนั้นเลย เราจะไปลงสู่ธรรมสภาศาลา จะนำเอามาตาปิตุอุปฐานธรรมขึ้นมาแสดง ประกอบด้วยเรื่องของโสณะ ตั้งแต่นั้นธรรมาภิสมัยก็จะบังเกิดขึ้นที่จิตใจของพุทธเวนัยหรือบริษัทเป็นจำนวนมากทีเดียว ถึงเขาได้ฟังแล้ว ฟัง ธรรมาภิสมัยนี้อย่างลึกซึ้งแล้ว เขาจะนำธรรมาภิสมัยอันนี้ไปบอกกล่าวแก่ลูกหลานของเขาต่อไป ธรรมาภิสมัยจะกว้างไกลออกไปจนถึงรุ่นลูก รุ่นหลาน รุ่นเหลน รุ่นโหลน ไปนาน เป็นธรรมะที่สืบต่ออายุพระพุทธศาสนาได้จริง ว่าแล้วพระองค์ก็ลงสู่ธรรมสภาศาลา

    ในเวลานั้น พระภิกษุทั้งหลายเห็นพระบรมศาสดาเสด็จมาผิดเวลาอย่างนั้น ก็ดีใจลุกขึ้นยืนรับ คนที่ไปปูลาดอาสนะก็มี ปูลาดอาสนะเรียบร้อยแล้ว พระบรมศาสดาก็เข้าประทับนั่งบนอาสนะ พระภิกษุทั้งหลายก็เข้าประทับนั่งอาสนะ พระภิกษุทั้งหลายก็เข้าถวายบังคมพระบรมศาสดา นั่งตามที่สุดควรส่วนของตนๆ ก็มี ณ กาลบัดนั้น แล้วก็เงียบ ไม่ได้คุยกันอะไร มีหลายเท่าไรก็เงียบ

    ภิกษุในธรรมวินัยไม่ได้สนทนากันโลเลๆ เหมือนดังพระสมัยนี้ ครูบาอาจารย์พระเถระมาแล้วก็ยังสนทนากันโฉงฉางๆ ไม่เคารพครูบาอาจารย์พระเถระเท่าไร สนุกสนานกันอยู่อย่างนั้น ไม่สังวรระวัง ไม่สำรวม ในสมัยนั้น พระภิกษุทั้งหลายเข้าเฝ้าพระบรมศาสดา กราบแล้วก็เงียบเลย เหมือนไม่มีคน เงียบได้เงียบดี

    พระบรมศาสดาก็ตรัสทำลายความเงียบขึ้นว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ได้ยินแว่วๆ ว่าภิกษุบิณฑบาตเลี้ยงคฤหัสถ์ นั้นมีจริงหรือ ภิกษุองค์ที่อยากได้หน้าได้ตาก็สอดขึ้นมา มีพระเจ้าข้า ประนมมือขึ้นสุดหัว มีพระเจ้าข้า ใครล่ะ อยู่ไหน พระโสณะพระเจ้าข้า มีจริงหรือบิณฑบาตเลี้ยงคฤหัสถ์ตัวเอง จนไม่มีเรี่ยวมีแรง จะทำข้อวัตรปฏิบัติอะไร ห้ามก็ไม่ฟัง ยังฝอยไปอีก พอแล้วๆ ไหนโสณะ โสณะอยู่ไหน อยู่นี่พระเจ้าข้า ยกมือสุดหัวขึ้น มานี่หน่อยซิ มาใกล้ๆ หน่อย

    ตายแล้วเรา พระบรมศาสดาจะไล่เราสึก จะทำอย่างไรก็ยอม เพราะเราเห็นว่าถูกแล้ว ทำเลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่นี่เราเห็นว่าถูกแล้วนะ มันจะเป็นอาบัติก็ช่างหรืออย่างไรก็ตาม หากว่าผิดจริงๆ พระบรมศาสดาจะไล่ให้เราสึกเราก็ยอม คลานเข้ามาๆ นั่งพอสมควรแล้ว

    ว่าอย่างไร เธอน่ะบิณฑบาตเลี้ยงคฤหัสถ์จริงหรือ จริงพระเจ้าข้า จริงอย่างที่ภิกษุทั้งหลายว่านั่นแหละ แล้วคฤหัสถ์นั่น เป็นอะไรกับเธอล่ะ เป็นมารดาบังเกิดเกล้า พระเจ้าข้า ยอด พระพุทธเจ้าว่า ยอดมาก อย่างนั้น ลูกพ่ออย่างนั้น เธอทำถูกแล้วโสณะ ไม่ผิด

    เราอนุญาตพระภิกษุบิณฑบาตเลี้ยงมารดาบิดาผู้บังเกิดเกล้า ไม่มีโทษ ภิกษุบิณฑบาตเลี้ยงครูบาอาจารย์ อุปัชฌาย์ อาจารย์อาพาธ ไปไหนมาไหนไม่ได้ ตลอดจนถึงภิกษุอาพาธอื่นๆ ก็บิณฑบาตเลี้ยงได้

    แม้พระมหากษัตริย์ ผู้ลี้ภัยมาอาศัยอาวาสนั้น ก็บิณฑบาตมาแล้วแบ่งปันถวายพระราชา แบ่งปันถวายพระราชาไว้ส่วนหนึ่งแล้ว ส่วนหนึ่งเราก็ใส่บาตรเรา ถ้าเหลือนั้นก็แบ่งไว้ก่อน อย่าเอาเดนถวายพระราชานะ มันจะเป็นโทษนะ

    เคารพในคุณวุฒิ ชาติวุฒิ เราก็เคารพในชาติ ไม่เป็นโทษ เราอนุญาตนะ แล้วนี่มารดาของเธออยู่ไหนล่ะ อาศัยบ้านสหายอยู่ทางเมืองโน้น ถ้าอย่างนั้นเธอจงไปเอามารดาเธอมาอยู่ในอาวาสนะ ในอาวาสเชตวันนี้ ปลูกกระท่อมหรือปลูกกุฏิน้อยๆ ให้อยู่ แล้วเธอต้องสั่งสอนมารดาเธอให้อยู่ในศีลห้า พระไตรสรณคมณ์ รักษาศีลห้า ถ้าแก่มากแล้ว ถ้ารักษาศีลแปดได้ ก็ยิ่งจะเป็นการดี ให้แม่อยู่ในศีลในธรรมปฏิบัติศีล ปฏิบัติธรรม เธอบิณฑบาตเลี้ยงเถิดเราอนุญาต

    พระโสณะก็กราบลงแทบบาทมูลพระผู้มีพระภาคหรือพระบรมศาสดากล่าวว่า เป็นพระมหากรุณาธิคุณล้นพ้นพระเจ้าข้าที่ให้โอกาสอันสหายนี้ ไปเถอะๆ ไปเลย ไปเอาแม่มาวันนี้ ลาไปแล้วไปเอาแม่มา ภิกษุน้อย เณรหนุ่มทั้งหลายเห็นพระเถระไปทำธรุกิจ ได้รับอนุญาตจากพระบรมศาสดา ก็ตรูกันตามไปเก็บสิ่งเก็บของใส่ล้อใส่เกวียนอะไรหมดทุกอย่าง ก็ลาเจ้าของบ้านกลับมาที่วัด เบื้องต้นก็ให้อยู่ใต้กุฎิก่อน ยังจัดอะไรไม่พร้อม อยู่ที่ไหนก็ได้

    พอหลายวันมาก็ทำกระท่อมกุฏิน้อยๆ ให้อยู่ทางโน้นล่ะ ทางรั้ววัด ทางต้นข่อยมันเยอะๆ มั้งแถวนั้นรอบกำแพงมีต้นข่อยเยอะๆ ร่มรื่นดี ให้อยู่ที่นั่น

    มื้อเช้าก็บิณฑบาตมาเลี้ยงมารดา มื้อเย็นมาก็ไปเยี่ยมมารดา ดูแลสารทุกข์สุกดิบ ต้มน้ำร้อนให้อาบบ้าง ซักเสื้อซักผ้าให้มารดาบ้าง พระบรมศาสดาอนุญาตให้หมดทุกอย่าง แล้วเราจะทำทุกสิ่งทุกอย่างที่ทอดทิ้งมารดามานาน ไม่ได้ปรนนิบัติ เราจะเอาทุกอย่าง ตบผ้าขี้ตีผ้าเยี่ยวเราอย่างไร เราทำได้กับมารดาเรานะ ทำอย่างนั้นทุกวัน บิณฑบาตมาเลี้ยงมารดาทุกวัน

    มารดาก็มีกำลังใจดีขึ้น แข็งแรงขึ้น แล้วก็ปฏิบัติธรรมเหมือนกัน นั่งสมาธิภาวนาเหมือนกัน ได้รับความสงบ พระโสณะได้ปฏิบัติอุปถัมภ์ปฐากมารดาเต็มที่ มาตาปิตุอุปฐานธรรมเกิดขึ้นในจิตในใจ นั่งสมาธิภาวนาคราวนี้ไม่มีนิวรณ์ธรรม ไม่มีสักขวรณ์ มัคควรณ์ แต่อย่างใด

    เสียงที่มากระทบกระเทือนหูอย่างเก่าไม่มี บวชแล้วได้บุญแล้ว จงสึกมาครองสมบัตินะลูก ไม่มี ทำให้ใจถอนจากสมาธิไม่ได้ เข้าฌานได้เต็มที่ ตั้งแต่ ปฐมฌานจนตลอดตติยฌาน สุดยอดเลย ก็บรรลุคุณธรรม มรรคผลนิพพานเกิดขึ้น จิตก็วิมุติหลุดพ้นจากอาสวะกิเลส เป็นสมุทเฉจประหาน ได้เป็นพระอรหันต์ขีณาสพขึ้นในพระศาสนาสมดังปรารถนาแล้ว อิ่มอกอิ่มใจ เกิดขึ้นเพราะมาตาปิตุอุปฐานธรรมแท้ๆ เขาเรียกว่า ธรรมภิสมัยมันเต็มดวง เกิดขึ้นในจิตในใจเต็มดวง ไม่ตะขิดตะขวงใจแล้ว ไม่เป็นสักขวรณ์ ไม่เป็นมัคควรณ์ พระพุทธเจ้าก็นำมาตาปิตุอุปฐานธรรมต่างๆ มาเล่าต่อไปในสมัยครั้งนั้น พุทธบริษัทก็เกิดธรรมาภิสมัยขึ้นในจิตในใจ

    เพราะฉะนั้น พวกเราทั้งหลายเป็นนักปฏิบัติธรรม ก็เอาธรรมภิสมัยนี้ไปประพฤติปฏิบัติกันบ้าง อย่าทอดทิ้งนิ่งดูดายกับผู้มีพระคุณเป็นอันขาด ถึงแม้ไม่เป็นมารดาบิดาก็ตาม ท่านเลี้ยงเรามา เราก็ต้องเลี้ยงท่านตอบ เป็นแม่ใหม่ แม่เลี้ยงก็ดี แม่น้าก็ดี พ่อน้าก็ดี ท่านมาเลี้ยงเรา เราก็ถือเสมือนบิดามารดาของเรา เหมือนดังพระบรมศาสดาถือพระแม่เจ้ามหาปชาบดีโคตมี แม่น้าเป็นมารดาบังเกิดเกล้าก็ปานกัน

    มารดาบังเกิดเกล้าที่แท้จริงก็คือพระแม่เจ้าสิริมหามายาเทวีโน้น เป็นมารดาบังเกิดเกล้า พอประสูติพระบรมศาสดาหรือสิทธัตถะราชกุมารเพียง ๗ วัน ก็สวรรคตไปแล้ว พระแม่เจ้ามหาปชาบดีโคตมี อาสามาเลี้ยงพระบรมศาสดาก็เทิดทูนบูชาพระแม่เจ้ามหาปชาบดีโคตมีนี่เป็นเหมือนมารดาบังเกิดเกล้า ขออะไรๆ ได้หมดทุกอย่าง ในประวัตินะ คนอื่นขอไม่ได้ พระแม่เจ้ามหาปชาบดีโคตมี ไปขอเท่านั้น อนุมัติเลย อนุญาตเลย ขอบวชเป็นภิกษุณีก็ยังได้เลย แต่ก่อนไม่มีใครสามารถขอได้เลย

    ดังนี้ เป็นมาตาปิตุอุปฐานธรรมเหมือนกัน ใครมีบุญคุณต่อเรา เราต้องเลี้ยงท่านตอบอันนี้เป็นธรรมาภิสมัยประจำจิตใจมนุษย์ ทั้งหลาย เป็นผู้เจริญ ผู้ดูแลผู้มีพระคุณเป็นผู้เจริญ ผู้อกตัญญูกับผู้มีพระคุณนั้นเป็นคนเสื่อม ได้ดิบได้ดีไปแล้วก็ต้องเสื่อมนะ แต่ไม่ได้ยกนิทานมาเล่าให้ฟังผู้อกตัญญูทั้งหลาย เสื่อมไปแล้วมากต่อมากแล้วนะ

    ดังที่บรรยายมาเพื่อจะให้นักปฏิบัติธรรมทั้งหลายนำไปใคร่ครวญ พินิจพิจารณาด้วยปัญญาอันชาญฉลาดของตนเองดูเถิด เกิดสลดสังเวชได้เหมือนกัน ถ้าไม่ประมาทแล้ว ตั้งใจประพฤติปฏิบัติทำตามไปด้วยความไม่ประมาท ต่อแต่นั้นก็จะประสบพบเห็นแต่ความสุขความเจริญ ทั้งทางคดีโลก และทางคดีธรรมทุกประการ เอวัง ก็มีด้วยประการฉะนี้

    [​IMG]
    หลวงปู่ท่อน ญาณธโร กำลังสรงน้ำหลวงปู่เหรียญ วรลาโภ



    .............................................................

    คัดลอกมาจาก ::
    1. หนังสือพิมพ์ข่าวสด หน้า 1 คอลัมน์ มงคลข่าวสด
    วันที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2549 ปีที่ 16 ฉบับที่ 5841
    2. วารสารถาวรธรรมปีที่ 15 ฉบับที่ 1
    มกราคม-มีนาคม 2544 หน้า 39-54 ศิริบุญ พูลสวัสดิ์ ถอดเทป

    <!-- google_ad_section_end -->
     
  10. Armarmy

    Armarmy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +1,659
    เรื่องที่ควรคิด มีเยอะนะ แต่เรื่องที่ ไม่ควรคิดก็มีอยู่ เช่น เรื่อง พระพุทธเจ้ารักมากกว่าพ่อแม่

    ทำไมถึงมานั่งคิดเรื่องพวกนี้ละครับ ไม่เคารพ ท่านทั้งสองหรือครับ ถึงได้ไปสงสัย ความรัก ของท่านทั้งสอง

    เปรียบเทียบเข้าไปนะครับ เอาให้ เยอะๆ คิดให้มากๆ จะได้เพิ่ม "นรก" เข้าไปเยอะๆ

    แตะในสิ่ง ที่ไม่ควรแตะ สงสัยในบุคคลที่ไม่ควรสงสัย ทำเป็นเข้าใจใน บุคคล ที่ทุกคนไม่มีใครเข้าใจ

    สุดท้าย ก็เลยไม่เข้าใจอะไรแม้แต่อย่างเดียวเลย

    ขออภัยนะครับ ที่ต้องพิมให้อ่าน แบบนี้ คำใด ที่อ่านแล้ว มีอารมณ์ ก็ขออภัย ขอให้อโหสิกรรมให้ผมด้วยนะครับ
     
  11. Sleeping Sheep

    Sleeping Sheep สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    16
    ค่าพลัง:
    +9
    ในมาตาปิตุคุณสูตร พระพุทธองค์ทรงแสดงไว้ว่า ลูกจะให้แม่นั่งบนบ่าขวา ให้พ่อนั่งบนบ่าซ้าย ถ่ายอุจจาระปัสสาวะลงไปบนบ่าลูก ลูกเป็นผู้เช็ดให้ หาอาหารมาป้อนให้ กระทั่งจนท่านตายหรือกระทั่งลูกตายไป ก็ไม่สามารถจะตอบแทนพระคุณค่าป้อนข้าวป้อนน้ำนมที่ท่านได้ถนอมกล่อมเกลี้ยงบำรุงเลี้ยงมาอย่างดีได้

    น่าจะชัดเจนนะครับว่าพระคุณพ่อแม่ยิ่งใหญ่เพียงไหน



     
  12. ไม่เที่ยง

    ไม่เที่ยง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    386
    ค่าพลัง:
    +500
    เรียน คุณเจ้าของกะทู้ ดิฉันเคยได้ยินฟังเทศน์ทางวิทยุ แล้วมีคนเรียนถามพระสงฆ์ว่าคุณบิดามารดายิ่งใหญ่ คุณขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ยิ่งใหญ่เช่นกันเเต่สูงสุดเพียงหนึ่งเดียว ให้เลือกตอบคือพระคุณของใคร ซึ่งถามพระ ดิฉันก็ฟังมาก็แปลกดี พระสงฆ์ท่านก็ตอบว่าคุณของพระพุทธเจ้ายิ่งใหญ่กว่าเเต่มีเหตุผลลึกซึ้งกว่านั้น เเต่ไม่ได้ปฎิเสธว่าคุณพ่อเเม่ ไม่ยิ่งใหญ่ เเต่คนถาม (ช่างถาม)ถามว่าระหว่างคุณของพ่อเเม่และคุณของพระพุทธเจ้า พระคุณใดมีค่ามากมายมหาศาลกว่ากัน เพียงหนึ่งเดียว ซึ่งพระสงฆ์ท่านตอบอธิบายอย่างเเจ่มเเจ้ง เสียดายไม่มีเทปชุดนั้น ดิฉันเข้าใจ กะทู้ของคุณ ขออภัยที่ความคิดเห็นไม่ตรงกับท่านอื่น แต่เคยฟังคำถามและคำตอบจากหัวข้อนี้ ซึ่งเป็นปัญหาละเอียดอ่อน ค่ะ
     
  13. unlogi

    unlogi Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    149
    ค่าพลัง:
    +41
    ต้องดูกาลเทสะด้วยนะครับจะได้เกิดประโยชน์ยิงขึ้น..
     
  14. อภิราม

    อภิราม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +9,005
    รัก โลภ โกรธ หลง คือ กิเลส-ตัณหา

    หากกล่าวว่าความรักที่ยิ่งใหญ่ที่สุด คือ ความรักของบิดามารดานั้น ถูกต้องแล้ว

    เพราะคงไม่มีความรักจากใครที่สามารถยอมสละได้แม้แต่ชีวิตของตนเองให้แก่ผู้อื่น


    ส่วนพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ไม่ควรเรียกว่าความรัก

    เพราะท่านหมดแล้วซึ่งกิเลสและตัณหา ควรเรียกว่าความเมตตา

    เพราะเป็นความปรารถนาดีที่บริสุทธิ์ต่อสรรพสิ่งในโลกนี้


    ความรัก ปกติธรรมดา ส่วนใหญ่เจือปนด้วยความหลง เพราะเกิดจากปุถุชนคนธรรมดา

    ความรักแท้ หรือ ความรักบริสุทธิ์ ที่ปรารถนาดีต่อผู้อื่นโดยไม่หวังผลตอบแทน

    เรียกว่า ความเมตตา จะเหมาะกว่าครับ



    เมตตาธรรมค้ำจุนโลก
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 กุมภาพันธ์ 2011
  15. unlogi

    unlogi Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    149
    ค่าพลัง:
    +41
    อนันตริยกรรม ๕ ได้แก่

    ๑. มาตุฆาต ฆ่ามารดา

    ๒.. ปิตุฆาต ฆ่าบิดา

    ๓. อรหันตฆาต ฆ่าพระอรหันต์

    ๔. โลหิตุปบาท ทำพระโลหิตของพระพุทธเจ้าให้ห้อ

    ๕. สังฆเภท ทำลายสงฆ์ให้แตกกัน
    อยากเรียนถามว่าพระคุณท่านทั้งสองไม่ยิ่งใหญ่ตรงไหนครับ
     
  16. Nuthsunti

    Nuthsunti เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    133
    ค่าพลัง:
    +328
    ขอยกตัวอย่างว่ามีเด็ก 2 คน ทั้งคู่ถือมีดของเด็กเล่น (พลาสติก)ในมือ
    เด็ก 2 คน เถียงกันว่าใครเก่งกว่ากัน จึงได้นำมีดเด็กเล่นในมือ ไปตีกันจนเจ็บตัวด้วยกันทั้งคู่
    เปรียบได้กับ การตอบกระทู้นี้ ไม่ว่าจะตอบไปในแนวทางใด ก็จะได้บาป (เจ็บตัวด้วยกันทั้งคู่)

    ในความคิดของผม ผมคิดว่า ความดีมีไว้ให้ ปฏิบัติ และทำให้ดียิ่งๆขึ้นไป ไม่ได้มีไว้ให้เปรียบเทียบว่าท่านนั้นดีกว่าท่านนี้
     
  17. passakorner

    passakorner เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    284
    ค่าพลัง:
    +1,034
    ความรักมีหลายระดับ

    - กัลยาณมิตร คือ ผู้แจ้งด้วยธรรม แนะนำเหล่ามิตรร่วมทำกุศลและละอกุศลทั้งปวง
    - บิดา มารดา คือ ผู้มีธรรมว่า บุพการี คือ ผู้ไม่หวังผลตอบแทนจากการทำดีทั้งปวงทำดีเสมอตนเสมอปลาย และรัก ห่วงใย
    - พระสงฆ์ ผู้ ผู้แจ้งด้วยธรรมะอันประเสริฐเป็นมหากัลยาณมิตร ผู้เทศนาสังสอนธรรมะและ สั่งสอนธรรมที่สมควรสั่งสอน และ แนะนำให้ฆราวาสทำตามครรลองแห่งธรรม
    - พระธรรม ธรรมมะอันปราณีต อันจะนำไปซึ่งความหลุดพ้น
    - พระพุทธเจ้า ผู้ตรัสรู้ได้ด้วยตนเอง ปราถนาเพียงอย่างเดียว เพื่อให้เหล่าสัตว์ทั้งหลายพ้นจากกองทุกข์ทั้งปวงเทอญ

    ความรักทุกความที่กล่าวมานี้ ล้วนมีความสำคัญ และสอดประสานกัน อย่างลงตัว ไม่อะไรยิ่งย่อนไปกว่า ธรรมก็ล้วนแต่มีเหตุที่เกิด มีผลเป็นเบื้องปลาย แต่พระพุทธองค์ก็ย่อมเป็นมีหนึ่งเดียวในโลกนี้และโลกหน้า เอย สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 28 กุมภาพันธ์ 2011

แชร์หน้านี้

Loading...