ขออนุญาติ..ตามหาคุณ nopphakan ว่าทำไมรู้อาการของเรา

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย Jaithai, 1 มีนาคม 2011.

  1. Jaithai

    Jaithai สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    66
    ค่าพลัง:
    +13
    อ้างอิง:ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ nopphakan
    แค่ดูเฉยๆไม่ต้องสนใจ ไม่ต้องเก็บมาคิดครับ เดี๋ยวต่อไปผมคลาดว่าคุณจะเจอเสียงคลื่น ภาพนิมิตรต่อไปก็จะมองเห็นเหมือนตอนกลางวัน บางครั้งหลับตาก็เหมือนมองเห็นข้างนอก แต่ก็อย่างว่าสักแต่ว่าดู สักแต่ว่ารู้ ก็พอครับ อย่าไปสนใจสิ่งที่อยู่ข้างๆทางจะทำให้ไปได้ช้า....แล้วต่อไปจะก้าวหน้าอีกครับ.
    อนุโมทนานะครับ..

    เออใช่อย่างที่คุณเขียนนะ...เหมือนรู้อาการของเรา ปรกติเนี่ยลมมันจะวิ่งออกหูขวา แต่อาการเหมือนที่ได้ยินเสียง
    เนี่ย มันจะได้ยินที่หูด้านซ้าย มันเหมือนเสียงก้องก็ไม่ใช่ จนเราคิดว่าหูเราผิดปรกติ ภาพนิมิตรที่มองเห็นเหมือนตอนกลางวันนี่ยัง ก็ส่วนใหญ่ก็จะเป็นภาพที่มันไม่ค่อยน่าดู บางครั้งก็เห็นเป็นแต่แขนที่
    มันเหมือนเปื่อย แต่ก็ช่วงสั้นๆ ตอนนี้ก็ปล่อยไปเหมือนที่หลายๆท่านแนะนำ แต่บางครั้งก็เผลอที่จะดูและก็พิจราณา
    ว่ามันคืออะไร บางครั้งหลับตาก็เหมือนเห็นภาพข้างนอกเนี่ย อันนี้ไม่ค่อยแน่ใจ มันเกิดขึ้นครั้งนึงที่เห็นได้ชัดหน่อย
    ก็คือลูกชายเดินออกจากห้องน้ำถือเสื้อผ้าออกมายืนอยู่ตรงข้างหน้าเรา ตอนนั้นเรานอนพักผ่อนก็หลับตานะแต่ไม่ได้หลับ ในห้องปิดไฟ แต่ก็ยังมีแสงที่มาจากทีวีอยู่ ก็หลับตาจำไม่ได้แล้วว่าตอนนั้นกำหนดลมหายใจด้วยหรือเปล่า ก็เหมือนเห็นว่าเค้ากำลังใส่เสื้อผ้าอยู่ข้างหน้าเรา
    แต่ภาพมันไม่เหมือน กับเวลาที่เรามองปรกติ ก็ไม่รู้จะอธิบายยังไง มันเหมือนโปร่งมีแสงก็ไม่ใช่ ก็ไม่รู้เหมือนกัน
    แต่ตอนนี้พอนั่งได้นิ่งดีแล้ว บางครั้งก็เผลอลืมตามาดูว่าเรานั่งหลับตาหรือลืมตากันแน่ ก็ไม่รู้ประสาทกินหรือเปล่า
    แต่ก็ไม่ได้สนใจมันเท่าไรก็ปล่อยมันไป บางทีก็คิดว่าเราคิดไปเองหรือเปล่า แต่ ที่คุณ..เขียนมาเนี่ย
    เหมือนกับคุณ..เป็นเราเลย ทำไม..เราอยากรู้ว่าคุณรู้ได้ยังไง
     
  2. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,430
    ค่าพลัง:
    +35,010
    ตอบคุณ Jaithai นะครับ
    อนุโมทนาด้วยนะครับ ...ลองฟังผมพูดนะครับ...ผมจะบอกว่าถ้าผมเปรียบการนั้งสมาธิจนถึงในระดับ ที่จิดกับกายแยกออกจากกันได้ เป็นการเดินบนอยู่บนถนนเส้นหนึ่ง..อาการที่เกิดขึ้นกับคุณ แสดงว่าคุณเดินบนถนนสายเดียวกันคุณจึงเห็นสิ่งที่อยู่ข้างทางเหมือนกันครับและเป็นถนนเส้นที่จะเดินไปสู่จุดที่ เรียกว่า สัมมาสมาธิ และวิปัสสนาจะเริ่มเปิดทางให้คุณเองนะครับ...
    1.อาการเสียงที่ได้ยินทางหูซ้ายนะ เป็นเหมือนกับคลื่นเสียงนะครับ ลองคิดดีๆ มันจะดัง ติ๊ดดดดดดดดดดดดดดด (คือเสียงเดียวแต่ลากยาวหน่อย)ไม่ก็ไม่มาอีกนานเลย ..
    2.ส่วนเห็นนิมิตร เหมือนภาพตอนกลางวัน นั้นจะอยู่ไม่นาน ถ้าคุณอยากเห็นอีก ภาพจะค่อยๆหายไป หายไปแบบค่อยๆมืดมาจากมุมใดมุมหนึ่งนะครับ ลองสังเกตุดูครับ..
    3.การเห็นภาพข้างหน้าคุณโดยที่คุณหลับตาอยู่เนี่ย ความสว่างจะเป็นไปตามความเป็นจริงของสภาพแวดล้อมครับ แต่ก็ไม่นานครับ แล้วก็หายไป..
    ..ผมขอล่วงเกินอนุญาติแนะนำคุณเลยนะครับ..ขอแยกเป็นข้อๆนะครับ
    ต่อจากนี้..1.คุณก็อย่าขาดในเรื่องการเจริญสตินะครับ..เอาให้เป็นอัตโนมัติไปเลยนะครับ..ตั้งแต่คุณตื่นนอน..จนกระทั้งหลับ
    และคุณก็เอางานของคุณ..เป็นการฝึกเจริญสติไปในตัวเลยครับ(อิทธิบาท 4)
    2. เพิ่มพรมวิหาร 4 ให้มากกว่าเดิมนะครับ และต้องเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน นะครับ รักษาเรื่องอารมย์ภายนอกที่มากระทบให้ดีๆนะครับ อย่าหงุดหงิดง่ายนะครับ ถ้าอารมย์เกิดให้ดับเค้าก่อนครับ..
    3. เพิ่มความเสียสละต่อส่วนรวมให้มากยิ่งขึ้นนะครับ อย่าไปคิดว่าเราทำงานนี้ต้องให้คนโน้นคนนี่เห็น ทำอะไรที่เป็นประโยชน์ไปเลย ไม่มีใครเห็นก็ช่าง แต่ผมจะบอกว่าจริงๆนะ มีบางอย่างกำลังดูคุณอยู่..
    และต่อจากจุดนี้ ถ้าคุณทำได้ เรื่อง อาการข้างทางทั้งหมดที่ผ่านมา คือ อาจจะพูดถามคนอื่นได้ แต่อย่าไปคิด อย่าไปสนใจ
    ให้ปล่อยไปเลยนะครับ ไม่ต้องนึกว่านั่งแล้วจะ เห็นอีกไหม หรือ ได้ยินอีกไหมนะครับ และระวังเรื่องหนี่งนะครับเรื่องความอยาก แม้แต่เล็กๆน้อยๆ ก็ต้องระวังนะครับ เช่น อยากทานข้าวเพราะเห็นว่ามันอร่อย ให้ดับความอยากซะก่อน หรือ อยากไปโน้น ไปนี่ให้ดับซะก่อน แล้วค่อยเอาสติพากายไปนะครับ
    ....**** ทำตรงนี้ได้ ตอนนั่งสมาธิ จะเกิดอะไรก็ตามให้คุณนึกว่า สักแต่ว่ารู้ สักแต่ดู สักแต่ว่าฟังนะครับ
    แล้วต่อไปจะถึงจุดที่คุณจะสามารถแยก ดวงจิดกับกายคุณได้เองนะครับ...
    จุดสังเกตุ คุณจะต้องนั่งไปจนกระทั้งคำภาวนาคุณหายไปเองนะครับ ไม่ใช่นึก หรือ กำหนดให้หาย แล้วจุดที่กายกับจิต
    แยกจากกันจะเกิดขี้นโดยที่คุณไม่รู้ตัวเองครับ ...แต่อย่าตกใจนะครับ..เพราะครั้งแรกที่แยกเนี่ย ดวงจิตคุณเนี่ยจะออกนอกกายก่อน(เป็นเรื่องธรรมดาครับ แล้วแต่เค้าจะไปไหน เพราะเค้ามีนิสัยซุกซนอยู่แล้ว)เพราะอะไรหรือคับ บางที่เค้าไปไม่ไกล คุณอาจจะเห็นตัวคุณนั่งอยู่ก็ได้ แต่คุณเองจะรู้ว่าเราไม่มีตัวตน ก็ตอนนี้หละครับ..
    จริงๆที่คุณเห็นตัวคุณ หรือเค้าไปโน้นไปนี่นั้น เพราะว่า สติ(ในทางธรรม ของเราเนี่ยกำลังยังไม่เพียงครับ เป็นธรรมดาครับ
    คนที่ปฏิบัติ มาถึ่งจุดนี้ จะเข้าใจว่า ทำไม่ การเจริญสติ กับการเจริญสมาธิถึงเป็นสิ่งที่ต้องอยู่คู่กัน)
    ..ถ้ามาถึงจุดนี้อีก ก็ทำอย่างข้อแนะนำที่ผม ล่วงเกินนะนำไปก่อนนะครับ...
    ผมเอาไว้แค่นี้ก่อนนะครับ...ถ้าคุณมาถึงจุดนี้เมื่อไรจริงๆจะมีอาการข้างทางเกิดขี้นอีกนะครับ. หรือ อยากจะให้ผมเขียนคำแนะนำอะไรให้ หรือจะเจอข้างทางยัง ก็บอกได้นะครับ เผื่อว่าจะช่วยให้การปฏิบัติ ของคุณเร็วยิ่งขี้น ...
    ขอบคุณมากนะครับ...
     
  3. เป็ดเซ็ง

    เป็ดเซ็ง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    100
    ค่าพลัง:
    +858
    น่ารักทั้งคำถาม และคำตอบ เลย มีสาระดี ครับ
     
  4. สุภิญโญ

    สุภิญโญ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    167
    ค่าพลัง:
    +325
    เห็นด้วยครับ น่ารักทั้งคำถามและคำตอบ ^^ ขอบคุณสำหรับสาระดีๆครับ
     
  5. Jaithai

    Jaithai สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    66
    ค่าพลัง:
    +13
    ขอบคุณ...คุณ nopphakan มากนะคะ ตอนนี้ก็ไม่เหงาแล้วเพราะมีเพื่อนร่วมเดินทางเดียวกัน
    เดี๋ยวลองพยายามดู แล้วทำไมต้องเพิ่มเรื่องพรหมวิหารสี่ด้วยคะ แล้วที่คุณบอกว่ามีบางอย่างกำลังดูเราอยู่
    อะไรเหรอคะ เพราะทุกวันนี้เวลานั่งสมาธิทีไรเราก็ว่ามันไม่ปรกติ จนตอนนี้เริ่มชิน....
    ถ้าคราวหน้าถ้ามีปัญหาจะรบกวนขอคำแนะนำอีกนะคะ...ขอบคุณค่ะ
     
  6. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,430
    ค่าพลัง:
    +35,010
    อนุโมทนาอีกรอบครับ...
    ผมก็อนุญาติ..ล่วงเกินตอบล่วงหน้าก่อนนะครับ..ก่อนที่จะรบกวนถามผมก่อน..
    ณ..จุดนี้ นะครับเรื่องพรมวิหาร 4 ..ผมขอยกตัวอย่างเป็นบางข้อนะครับ
    เช่น เมื่อก่อนเวลาที่คุณจะยินดีกับความสำเร็จกับบุคคลอื่นๆเนี่ย...ลองพิจารณาดูให้ดีๆนะคับ
    ว่า คุณยินดีกับบุคคลอื่นๆที่ประสบความสำเร็จเพราะว่า..คุณรู้ว่าเราควรจะต้องยินดี(จากสภาพแวดล้อม หรือจากการศึกษาหรือได้รับการอบรมมา)คือว่าจะเป็นไปในลักษณะสัญญา(ความคำได้ของคุณนะครับ)หรือโดยที่คุณทำไปโดยไม่รู้สึกตัว คือ ตอนนี้ กิเลสที่มาทดสอบตัวเราเนี่ย เค้าจะเริ่มละเอียดขี้นมาอีก ซึ่งความจริงเค้าก็มาเป็นปกติอยู่แล้วแต่คุณจะเพิ่งสังเกตุได้ เพราะตัวผู้รู้หรือสติ(ในทางธรรม)เริ่มจะมากขี้น(ต้องทำการเจริญสติอย่างต่อเนื่องนะครับ)คือประมาณว่าเค้าจะให้คุณตัดสินใจว่า คุณจะทำหรือไม่ทำ ไปเลย หรือแม้กระทั่งในเรื่องการเสียสละ เช่นในที่ทำงานคุณมองเห็นขยะตกอยู่ คุณก็จะมีอะไรทำให้คุณเห็น แล้วที่นี้ คุณอาจจะหยุดคิดนิดหนึ่งว่า คุณจะเก็บไปทิ้งดีไหม หรือปล่อยทิ้งไว้ทำเป็นไม่เห็นเพราะว่าเราไม่ใช่คนทิ้ง นี่หละครับกิเลสละเอียดจะมาประมาณนี้ ถ้าคุณตัดสินใจว่า เก็บไปทิ้งดีกว่าไม่ต้องสนใจ จะช่วยให้คุณถึงจุดที่คุณ แยกกายกับจิตออกจากกันได้เร็วขี้นหรืออุปมาประมาณว่าคุณเดินเท้าเปล่าบนถนนอยู่แต่มีคนมา
    กวาดพื้นจนสะอาดไว้ให้คุณ คุณก็เลยรู้สึกว่าเดินได้เร็วขี้น ทั้งๆที่ความเร็วในการเดินก็เท่าเดิมนั้นหละครับ แต่ถ้าไม่เพิ่มพรมวิหาร 4 ให้มากขี้นก็เหมือนกับว่าถนนจะมีเศษก้อนหินเล็กๆ มาทำให้คุณสะดุดต้องคอยกังวลว่าจะเหยียบก้อนหินอีกไหมประมาณนี้ครับ..
    (จริงๆจะมีขันธ์ 5 เข้ามาเกี่ยวด้วยนะครับเดี๋ยวรอให้คุณสงสัยก่อน)และถ้าถึงจุดที่แยกกายกับจิตได้และเห็นการเกิดของขันธ์ 5 และเห็นฐานของจิตแล้ว(ถ้ากายกับจิตแยกได้ คุณจะมีกิริยาที่คุณจะทราบว่าดวงจิตคุณที่เป็นกลมๆจะก่อขี้น)ต่อไปในเรื่อง ความเสียสละ หรือพรหมวิหาร เนื่ยจะเป็นไปโดยอัตโนมัติ ถึงแม้บางครั้งคุณจะลืมแต่ก็จะมีอะไรทำให้คุณพูดประมาณนี้ครับ..
    ปล.เรื่องจิดเนี่ยผมพอจะบอกลักษณะอาการไว้ก่อนล่วงหน้านะครับ ว่ามีประมาณ 4 ขั้นตอน
    1.ตอนที่เค้าเริ่มก่อตัว 2.ตอนที่กำลังก่อตัว 3.ตอนที่เป็นลูกกลมๆแล้ว 4.ตอนที่เข้าสู่โหมดที่แยกกายกับจิตได้ ซึ่งคุณจะเห็นจากขั้นที่ 4 ไล่ลงไปจนถึงขั้นที่ 1 นะครับ..
    ปล.เรื่องขันธ์ 5 เนี่ยสำหรับบางท่านที่ผ่านประสบการณ์ในชีวิตมามากมายหรืออาจจะอายุ
    มากหน่อยบางท่านจะไม่มีขันธ์ 5แล้วนะครับ(ยกตัวอย่างนะครับเช่น บางท่านที่ปล่อยวางเรื่องต่างๆที่เข้ามาในชีวิตได้ง่ายๆ อาทิเช่น พรุ้งนี้ต้องหาเงินไปหมุน 1ล้านบาทพอถึงเวลานอนท่านก็นอนหลับโดยไม่ได้กังวลอะไรเลยประมาณนี้ พรุ้งนี้ก็เรื่องของพรุ้งนี้ประมาณนี้ครับ) และก็จะไม่มีขั้นตอนของลักษณะอาการของจิตในขั้นที่ 1 และ 2
    อุ้ยเอาไว้เท่านี้ก่อนนะครับ....ยังไงก็
    ปล.ส่วนความคิดอะไรก็ตามที่ผุดออกมาเป็นคำที่คุณจะต้องไปค้นหาความหมาย
    ที่จะเป็นส่วนที่คอยเตือนให้คุณปฎิบัติตัวอย่างไรในช่วงขณะนั้น..นั่นหละครับอะไรที่คอยดูคุณอยู่.
    อนุโมทนาด้วยนะครับ....
     
  7. chatbong

    chatbong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    66
    ค่าพลัง:
    +120
    อ่านแล้วเข้าใจได้ง่ายจริงๆค่ะ ยิ่งตรงที่บอกว่า พรุ่งนี้ต้องหาเงินมาหมุนเนี่ย
    เราเองก้อเปนแบบนั้นอะค่ะ ปล่อยวางได้มากขึ้น แต่ยังไม่แก่นะคะ^_^ ขอบคุณคุณเจ้าของกระทู้
    และคุณ nopphakan ด้วยอีกคนค่ะ
     
  8. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,430
    ค่าพลัง:
    +35,010
    อนุโมทนาด้วยนะครับ...
    ฮ่าๆๆ.อย่างน้อยผมก็รู้ว่าคุณ chatbong ยังอายุไม่มากนะครับ..
    ผมก็ขออนุญาติพูดเรื่องเกี่ยวกับขันธ์ 5 หน่อยนิดหนึ่งนะครับ..ยังไม่พูดการตามทำความเขาใจเค้านะคับ(เอาไว้ก่อน)
    เรื่องขันธ์ 5 (หรือความคิดที่ผุดขึ้นมาโดยที่ไม่ได้ตั้งใจ)เนี่ย.ถ้าถึงจุดที่เรียกว่าแยกรูปแยกนาม
    ได้เนี่ย..คุณจะทราบว่า อะไรเป็นจิต อะไรเป็นความคิดที่เกิดจากจิต อะไรเป็นขันธ์ 5 เพราะว่าคุณจะเห็นจุดกำเนิดของทั้งสามอย่าง ทำให้คุณทราบได้เองอย่างชัดเจนด้วยตัวเอง
    ปล.ลักษณะของขันธ์ 5 ถ้าลองสังเกตุในขณะที่ลืมตา(โหมดลืมตา)นะครับมีดังนี้
    1.เค้าจะเกิดขึ้นมาเอง โดยที่คุณจะไม่รู้ว่าจะเป็นเรื่องอะไร
    2.คุณจะบังคับเรื่องที่เกิดหรือบังคับให้เค้าไม่เกิดก็ไม่ได้ และถ้าคุณสังเกตุเค้าบ่อยๆ(หรือสติคุณมากขี้น คุณจะเห็นการเกิดดับและก็เกิดดับและก็เกิดดับอีกของเค้าในเรื่องเดียวกันนะคับได้เองครับ)
    3.ถึงแม้คุณจะให้สติเข้าไปแทรกแซงคุณก็จะไปเปลี่ยนเรื่องที่เข้าขึ้นมาไม่ได้เลย
    เช่น เค้าขึ้นมาเป็นเนื้อเพลงว่า 12345 เค้าก็จะเป็น 12345 และก็ 12345
    แต่ถ้าเป็นความคิดที่เกิดจากจิด คุณจะเปลี่ยนเค้าได้ เช่นขึ้นมา 12345 อาจจะเปลี่ยนเค้าเป็น 23154 หรืออาจจะเป็น 132455และยังปรุงแต่งเพิ่มเติมเป็น13245567899 ไปตามเรื่องตามราวที่คุณจะคิดเลยครับนี่หละครับเป็นจุดสังเกตุว่า อะไรเป็นขันธ์อะไรเป็นความคิดที่เกิด
    จากจิต
    ปล.ขันส์ 5 ในขณะที่คุณนั่งสมาธินะครับหรือผมเรียกว่าโหมดหลับตาแล้วกัน(เพราะไม่จำเป็นว่าคุณจะต้องอยู่ในท่านั่งเสมอไปแต่อาจจะอยู่ให้อริบทไหนก็ได้ที่เหมาะสม
    กับสภาพร่างกายของเราในขณะนั้น เช่นเราอาจจะเจ๊บขาอยู่เราก็นั่งหย่อนขาแต่ก็หลับตาทำสมาธิประมาณนี้นะครับที่ผมขอเรียกว่าโหมด
    หลับตา) ณ ฐานอารมย์ 2.แบบ
    1.ฐานอารมย์ที่เกือบๆที่กายกับจิตจะแยกจากกัน
    2.ฐานอารมย์ที่จิตกับกายแยกกันแล้ว..ลองสังเกตุดู นะครับ
    ในขณะที่ดวงจิตของคุณว่างรับรู้อยู่ และสติ(ในทางธรรม)หรือตัวผู้รู้ตัวใหม่ที่เราสร้างจากการเจริญสติอย่างต่อเนื่อง ถ้ามีขันธ์ 5 เกิดขึ้นมา
    แล้วคุณให้สติไปชำเรืองดูเค้าหน่อยเนี่ย ขันธ์ 5 เนี่ยเค้าจะดับทันทีภายในเสี้ยววินาที และถ้าคุณยังชำเรืองดูเค้าก็จะดับตลอดเวลาและจะไม่เกิดเลย จนกว่าคุณจะเลิกใช้สติไปชำเรืองดูเค้า เค้าก็จะแอบขี้นมาตอนที่คุณเผลอ ที่สำคัญในโหมดหลับตานี้ เรื่องที่ขี้นมาจะเป็นเรื่องอื่นไม่ใช่เรื่องเดิมเหมือนโหมดลืมตา(เพราะโหมดลืมตาชำเลืองดูเนี่ยเค้าไม่ดับ มีข้อดีตรงทำให้เราตามพิจารณาได้ นอกจากคุณจะมาระลึกรู้ตัวเช่น อยู่กับคำภาวนา หรือ ใช้จิตไปจดจ่อกับหน้าที่การงานอย่างอื่นอยู่เค้าถึงจะดับ จริงๆก็คือการพักดวงจิตนั่นหละครับ)
    ไว้เท่านี้ก่อนนะครับ อนุโมทนาด้วยครับ
    ปล.ท่านที่ไม่มีเรื่องขันธ์ 5 คือ ถ้าไม่มีเนี่ยคือ จะไม่มีความคิดลักษณะที่ไม่ได้ตั้งใจขี้นมาอีกเลยนะครับ..
    ปล.ผมก็ยังอายุไม่มากครับ...ฮ่าๆๆ ขอบคุณครับที่รับฟัง..
     
  9. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,430
    ค่าพลัง:
    +35,010
    อนุโมทนาด้วยครับ...
    ผมก็ขออนุญาติบอกกล่าวนิดหนึ่งนะครับ
    จุดที่ 1 และ 2 ผมคาดว่าคุณอาจจะทราบแต่ก็ขออนุญาติแนะนำว่าอย่าลืมดับเค้านะครับ ผมคาดว่าคุณคงตัดวงจรเค้าในขั้นที่ 3 ได้แล้ว..
    เพราะตัวจิดปกติเค้าจะเป็นธาตุรู้ และก็ซุกซนมาก เราให้เค้ารับรู้ได้(เพื่อพิจารณาสภาวธรรมที่เกิดในปัจจุบันเท่านั้น ไม่มีอดีด ไม่มีอนาคต เพื่อการเดินปัญญา) แต่เราจะไม่ให้เค้าเกิด เพราะการเกิดก็เหมือนกับการสร้างกำลังให้เค้าโดยที่เราไม่รู้ตัวอาจเป็นธรรมอยู่ในการเกิดของ
    เค้าแต่ว่าจะเป็นกิเลสธรรมอยู่ ต้องให้เค้านิ่งจริงๆ และให้เค้าว่างรับรู้เฉยๆ โดยมีสติ(ในทางธรรม)เป็นตัวควบคุบ คอยดูแลเค้า
    ปล.คล้ายๆที่คุณ บดบังจิดเขียนใน ปล.ไหมครับ
    ถ้าผมจะเขียนว่า อารมย์ นี่หละสำคัญเป็นอาจารย์สอนตัวเราที่ดี เหตุเกิดจากภายในกายหรือภายนอก พิจารณาให้ดีๆ
    ปล.สุดท้ายผมก็เหมือนคุณหละครับ...ตอนนี้ผมแค่รู้ว่า ตัว ก ถึง ฮ เป็นอย่างไร แต่ผมไม่สามารถที่จะเรียบเรียงเป็นคำพูดได้ครับ คือเพิ่งเริ่มคลาน เพิ่งหัดพูดเหมือนกันครับ
    ขอบคุณนะครับที่รับฟัง...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 มีนาคม 2011

แชร์หน้านี้

Loading...