ความรู้เรื่องคนมีองค์

ในห้อง 'จักรวาลคู่ขนาน' ตั้งกระทู้โดย nouk, 12 มีนาคม 2011.

  1. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="90%" align=center><TBODY><TR><TD>
    เทวดาประจำตัว เทพพรหม องค์ใน ญาณบารมี คนทรงเจ้า คนมีองค์ คืออะไรกันแน่?




    ยากนักที่จะได้เกิดเป็นคน คนนั้นเป็นสัตว์ประเสริฐที่เกิดได้ยากยิ่ง คนเราทุกคนจึงมีค่ามาก เราเกิดมาหลายชาติภพ บางภพไม่ใช่ภพมนุษย์ เช่น ภพนรก ไม่สามารถบำเพ็ญเพียรภาวนาได้ บางภพเช่นภพสวรรค์ เห็นความสวยงามไม่ค่อยเห็นอนิจจัง จึงยากนักที่จะละคลายกิเลส บางชาติ เกิดเป็นสัตว์บำเพ็ญไม่ได้ บางชาติเป็นตาบอด อ่านหนังสือไม่ได้ บางชาติ ไม่มีศาสนาสอนมนุษย์ จึงไม่เข้าใจธรรม ดังนั้น ได้เกิดเป็นคนปกติ มีพระพุทธศาสนาจึงยากยิ่งแล้ว ดังนั้น ระบบการดูแลสามภพ จึงจัดให้คนนั้นต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษจากเทวดาบนสวรรค์ แตกต่างจากสัตว์ชนิดอื่นๆ เช่น สัตว์นรก ได้รับการลงโทษแทนการดูแล สัตว์เดรัจฉาน ได้รับการปล่อยไปตามยถากรรม ให้กินกันเอง ชดใช้กรรมกันเอง เพื่อบรรเทากรรมที่มีต่อกันให้เบาบางก่อนมาเกิดเป็นคน เมื่อได้มาเกิดเป็นคนแล้ว จึงจะมี “เทวดาประจำตัว” เพื่อคอยดูแล และเทวดาประจำตัวเหล่านี้ จะมีจำนวนมากกว่ามนุษย์ (เพราะมนุษย์เกิดได้ยาก จึงมีจำนวนน้อย) เทวดาประจำตัวจึงต้องมีเวรผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันมาบำเพ็ญบุญบารมี โดยมีพระอินทร์ เป็นผู้จัดสรรที่สำคัญที่สุด ให้เทวดาในชั้นดาวดึงส์ (สวรรค์ชั้นที่สอง) ซึ่งเป็นบริวารของท่านลงมาทำกิจ ในขณะที่ท้าวจตุโลกบาล ซึ่งปกครองสวรรค์ชั้นที่หนึ่ง ซึ่งอยู่ติดกับพื้นโลก จะไม่ได้รับผิดชอบเรื่องเทวดาประจำตัว เพราะท่านจะดูแลพื้นที่เขตต่างๆ ทั้งดินน้ำและอากาศของโลก ในรูปของการดูแลจัดการเจ้าที่ เจ้าทาง เจ้าป่า เจ้าเขาแทน ซึ่งเป็นการปกป้องคุ้มครองด้วยการอ้างอิงตามอาณาเขต ไม่เกี่ยวกับตัวบุคคล นับเป็นคนละกิจกัน เทวดาประจำตัว จะมาตั้งแต่ตอนจุติ เพราะต้องคอยระวังปกป้องไม่ให้เจ้ากรรมนายเวรรบกวนทำลาย จิตที่จุติฟักตัวในรูปตัวอ่อนในท้องแม่ เพราะง่ายต่อการตายมาก ถ้าเทวดาประจำตัวทำงานได้ดี การตายในท้อง แล้วจุติใหม่ซ้ำๆ ก็จะไม่เกิดขึ้น จวบจนกระทั่งถึงวาระสิ้นอายุขัย เทวดาประจำตัวก็จะออกไป เปิดโอกาสให้ยมทูตหรือเทวทูตมารับตัวแทน ซึ่งจะเป็นเทวดาอีกชุดหนึ่ง คนละชุดงานกัน ลงมาทำหน้าที่รับช่วงต่อนี้




    เมื่อคนเกิดมา พระอินทร์จะจัดเวรเทวดาชั้นดาวดึงส์มาดูแลเรา เช่น ที่เรียกว่า แม่ซื้อ ฯลฯ โดยนำเทวดาที่มีกรรมเกี่ยวข้องกับเรามาดูแลเรา จะไม่สะเปะสะปะสับสน ไม่สุ่มมั่วซั่ว เพราะการที่คนที่ไม่มีบุญกรรมต่อกัน มาสร้างบุญกรรมกันระหว่างชาติภพนี้ จะก่อให้เกิดกรรมใหม่ๆ ที่ต้องไปชดใช้กันยุ่งเหยิงมากขึ้น ส่งผลให้การบรรลุธรรมนั้น ต้องมีชาติภพยืดยาวออกไป เพราะต้องใช้ชดใช้เวรกรรมกันให้หมดนั่นเอง ดังนั้น เทวดาประจำตัวเราจึงมาจากคนที่เคยช่วยเหลือจุนเจือ มีบุญสัมพันธ์กับเรามาทั้งสิ้น ตามแต่วาระที่พระอินทร์จะจัดสรรลงมา ได้แก่ พ่อแม่ปูย่าตายายของเราที่ตายไปแล้วจุติบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ทั้งหลายนั่นเอง ทั้งนี้ โปรดเข้าใจว่าเทวดาชั้นยามา จะไม่มาทำกิจนี้มากนัก เพราะส่วนใหญ่จะปฏิบัติธรรมภาวนากันมาก ไม่ค่อยยุ่งกันเรื่องทางโลกเหมือนเทวดาชั้นที่สอง ส่วนเทวดาชั้นที่สี่สูงขึ้นไป คือ ดุสิต ก็จะไม่มาทำกิจเล็กๆ น้อยๆ นัก การที่ลงมาดูแลคนเป็นคนๆ จึงไม่ควรเป็นกิจของพระโพธิสัตว์แห่งดุสิตสวรรค์ เพราะท่านจะรับกิจภาพกว้างมากกว่านั้น เอื้อต่อสรรพสัตว์จำนวนมาก คราวละมากๆ มากกว่านั้น ในขณะที่ชั้นสูงบกว่าดุสิตขึ้นไป จะไม่สนใจมาช่วยเหลือมนุษย์นัก อันได้แก่ ชั้นนิมารดี และปรนิมมิตวสวัตตี ทั้งสองชั้นนี้ เป็นชั้นของมาร ที่มีแต่เห็นแก่ตัวเป็นสำคัญ




    ดังนั้น ทุกคนจึงมีเทวดาดูแลประจำอยู่แล้วทั้งสิ้น แต่จะไม่เรียกว่ามี “องค์ใน” บุคคลที่จะถูกเรียกว่า “มีองค์” หรือมีเทพชั้นสูงๆ มาดูแล ก็ต่อเมื่อเขาถึงวาระแห่งการบำเพ็ญเพียรภาวนาแล้ว เบื้องบนก็จะส่งเทพพรหมที่มีฤทธิ์มาก แตกต่างกันลงมาคุ้มครองดูแล และทำกิจมากกว่าเทวดาประจำตัว เพราะมีอิทธิฤทธิ์ส่งผลต่อชีวิตของคนมีองค์ได้มาก และเทพพรหมเหล่านี้ จะมี “กิจเฉพาะ” ที่ได้รับจากเบื้องบนลงมากระทำต่อบุคคลนั้นๆ ดังนั้น จึงมีผลให้วิถีชีวิตต้องเปลี่ยนไปอย่างมากนั่นเอง นี่เป็นสาเหตุว่าทำไม จู่ๆ วิถีชีวิตเกิดเปลี่ยนแปลงอย่างมากมายระทันหันในระยะเวลาสั้นๆ และถูกทักว่า “มีองค์ใน”




    เทพพรหม ฯลฯ ที่ลงมาทำหน้าที่เกี่ยวข้องกับผู้คนนั้น มีกิจเฉพาะหลากหลายมาก ดังที่ได้เกริ่นมาว่าแต่ละองค์มีฤทธิ์และกิจเฉพาะที่รับมาจากเบื้องบนต่างกันไป ในบรรดาเทพพรหมที่ลงมาทำกิจเหล่านี้ สามารถจำแนกได้ออกเป็นสามกลุ่ม คือ




    ๑) กลุ่มสมณเทพ

    คือ กลุ่มที่มีเทพสองประเภทลงคุ้มครองดูแลหรือทำกิจ ได้แก่ กลุ่มพระสมณะ (เทพที่มีลักษณะเป็นพระตัดกามไร้เพศบำเพ็ญภาวนาทางพุทธะ) และกลุ่มเทพพรหม หรือเทพที่มีฤทธิ์ต่างๆ แต่ไม่ได้ละเพศ ยังมีกามกิเลสตามปกติ กลุ่มคนที่จัดว่ามีองค์ในแบบ “สมณเทพ” นี้ จะถือว่ามีทั้งสองแบบ ดังนั้น จะสามารถล่วงรู้ด้วยญาณของตนได้ว่า ผู้ใดมีองค์ในแบบเทพพรหม และผู้ใดมีองค์ในแบบสมณะดูแลอยู่ สามารถบริหารจัดการคนที่มีองค์ได้ทั้งสองแบบ ซึ่งกลุ่มนี้มีจำนวนน้อย และมีแนวทางในการบำเพ็ญภาวนาที่แตกต่างกัน




    ๒) กลุ่มพระสมณะ

    คือ กลุ่มที่มีเทพประเภทพระสงฆ์ ผู้ตัดกาม ละเพศ บำเพ็ญภาวนาจิตเพื่อพุทธะเพียงอย่างเดียวคอยดูแลคุ้มครองปกป้อง หรือสอนธรรม หรือเปลี่ยนวิถีชีวิตอยู่ กลุ่มนี้ หากได้รับการคุ้มครองก็จะพบปาฏิหาริย์ เช่น รอดตายหวุดหวิด หากได้รับการสอนธรรม ก็อาจได้เห็นนิมิตที่แฝงปริศนาธรรม หรือได้ยินเสียงทิพย์ หากกำลังถูกปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตก็จะถูกบีบเค้นอย่างหนักให้เข้าสู่ทางธรรมแต่ฝ่ายเดียว ไม่มีเส้นทางอื่นให้เลือกเลย สำหรับคนที่มีองค์ในแบบสมณะเหมือนกัน มักมองกันก็เข้าใจ คุยกันง่าย เข้าใจกันง่าย ในกลุ่มนี้ มักเป็นผู้นิยมเข้าวัดประจำๆ และนับถือพระมาก เช่น องค์ในเป็นหลวงปู่ทวด




    ๓) กลุ่มเทพพรหม

    คือ กลุ่มที่มีเทพประเภท มหาเทพฮินดู, พรหม, เทพจีน ฯลฯ ผู้ยังมีกาม มีเพศอยู่มาคอยดูแลคุ้มครองปกป้อง หรือช่วยการงาน หรือเปลี่ยนวิถีชีวิตอยู่ แต่ปกติ จะไม่มีหน้าที่สอนธรรมะ ยกเว้นบางองค์ที่มีปางอวตารเป็นโพธิสัตว์ เช่น องค์ศิวะ, องค์อุมา (บางปางก็คือพระกวนอิม) เป็นต้น หากมีองค์ที่มีปางอวตารแบบนี้ จะมีการสอนธรรมได้ แต่หากไม่มีก็จะไม่สามารถสอนธรรมได้ จะบำเพ็ญเพียรช่วยเหลือคนในด้านอื่นๆ เช่น ช่วยในมูลนิธิต่างๆ ส่วนใหญ่คนเหล่านี้ มักได้รับการช่วยเหลือแบบพิเศษจากเทพพรหมก่อน แต่หากไม่ทำความดีเลย สุดท้าย เทพพรหมจะถูกเรียกกลับ แล้วปล่อยทิ้งให้ร่างนั้น ถูกเจ้ากรรมนายเวรและภูตผีต่ำช้าอื่นๆ รุมทึ้งเอาแทน ดังนั้น หลายท่านจึงมักบอกว่าอย่าไปรับขันธ์ อย่าเป็นร่างทรง ด้วยเหตุนี้ แท้แล้วการรับขันธ์ไม่ใช่การเป็นร่างทรง ส่วนบุคคลที่เป็นร่างทรงนั้น คือ “อาชีพ” อุปมาเหมือนพระ ที่ไม่มีอาชีพ แต่หากทำตัวเรียกเก็บเงินค่าช่วยเหลือผู้อื่น ก็กลายเป็นอาชีพไป คนที่รับขันธ์ ไม่ควรเป็นร่างทรง แต่ควรบำเพ็ญบารมีช่วยเหลือคนไป โดยไม่สนใจเรื่องเงินและอาชีพ แล้วสุดท้ายจะดีเอง




    ๔) กลุ่มนอกรีต

    คือ กลุ่มสุดท้ายที่เข้ามาครอบงำจิตของคน หลังจากที่ร่างเปิดรับจิตวิญญาณอื่นแล้ว จะปิดได้ยาก หรือปิดเองไม่ได้ เมื่อหลงทะนงตนเย่อหยิ่ง มักจะถูกทอดทิ้งจากเทพพรหมองค์ก่อน เพราะพฤติกรรมที่ตกต่ำเป็นเหตุให้เทพชั้นสูงๆ ไม่สามารถมาช่วยได้ เมื่อท่าจากไป บรรดาเจ้ากรรมนาย
    เวร สัมภเวสี</PERSONNAME> เปรต สัตว์นรก ฯลฯ ก็มาเข้าร่างแทน ซึ่งยังผลให้ชีวิตพบกับความวิบัติหายนะในที่สุด เหล่านี้ รวมเรียกว่า “จิตวิญญาณนอกรีต” เพราะไม่ได้อยู่ในการดูแลบริหารจัดการของเบื้องบน แต่เกิดจากการ “ลักลอบ” หนีจากนรก แล้วมาสิงสู่อาศัยร่วมกับคนเท่านั้นเอง ซึ่งบางท่านถึงกับต้องกลายเป็นปอบ




    คำว่า “ญาณบารมี” ก็เกิดจากการสัมผัส คนมีองค์ต่างๆ นี่เอง เพื่อดูว่าแต่ละท่านมีองค์ใดช่วยอยู่ ในที่นี้ของให้เข้าใจว่า องค์เทพใหญ่ๆ จะไม่ลงมาทั้งองค์ แต่จะแบ่งส่วนบารมีท่านลงมา เรียกว่า “ญาณบารมี” ดังนั้น จึงไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมจึงพบคนที่มีองค์เหมือนกันหลายคน เพราะเป็นการแบ่งญาณบารมีของเทพใหญ่ๆ มาช่วยคนพร้อมกันจำนวนมากๆ เท่านั้นเอง ในการบำเพ็ญให้จิตเป็นหนึ่งเดียวกับเทพเหล่านี้ ให้ระลึกเสมอว่าเราคือท่าน ท่านคือเรา จึงจะราบเรียบ ไม่เกิดการยื้อดึงของร่าง การสั่นของร่าง อย่างที่เราเห็น “คนทรง” เป็นกัน คนที่บำเพ็ญถูกต้องแบบพราหมณ์ฮินดู คือ เข้าใจว่าเราเหมือนอาตมัน เทพเหมือนปรมาตมัน ก็จะหลอมรวมทั้งสองเป็นหนึ่งเดียว ทำกิจได้เหมือนคนปกติ อย่างราบเรียบกลมกลืน ไม่กระตุก ไม่สั่น ไม่ใช่ร่างทรง และสามารถดึงความสามารถพิเศษที่องค์เทพนั้นๆ มีมาใช้ได้อย่างเป็นธรรมชาตินั่นเอง




    อนึ่ง พึงเข้าใจว่า เราและจิตวิญญาณที่มาคุ้มครองเรานั้นคนละส่วนกัน แต่จิตวิญญาณที่มาคุ้มครองเรานั้น มักพูดเสมอว่า เราคือท่าน และท่านคือเรา เพื่อให้เราหลอมรวมแนบสนิทเป็นหนึ่งเดียวกับองค์ท่าน และท่านจะทำกิจได้ง่าย ไม่ขัดขืน ไม่ลังเล หรือยื้อกันไปมาระหว่างจิตสองดวง ดังนั้น หลักการบำเพ็ญของพราหมณ์ฮินดูจึงมักพูดถึงการหลอมรวมระหว่างอาตมัน และปรมาตมันด้วยเหตุนี้ เพื่อเปิดทางให้เทพเบื้องบนทำงานกับเราได้สะดวกนั่นเอง และเราก็จะดึงพลังของเทพที่ท่านมีอยู่ ที่เบื้องบนประทานมาให้นี้ นำมาใช้ในการดำเนินชีวิต ประกอบกิจการงานต่างๆ ได้อย่างง่ายดายมากขึ้น แต่ทว่า ต้องไม่หลงตัวเอง ไม่หลงลืมไปว่า เราก็ส่วนหนึ่ง คือ อาตมัน และเทพก็ส่วนหนึ่ง คือ ปรมาตมัน (ปรมาตมัน หมายถึง เทพมีความเป็นหนึ่งเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นจิตวิญญาณไหนก็ตาม เพราะรับคำสั่งเดียวกันมาจากเบื้องบน แม้จะทำกิจต่างกัน รูปนามต่างกัน) ซึ่ง คนส่วนใหญ่ที่มีอัตตา ตัวกูของกู มากแล้ว มักพบกับความวิบัติภายหลัง เพราะนิยมยึดถือว่าตนเองเป็นเทพยิ่งใหญ่มีฤทธิ์มากอยู่คนเดียว ผู้อื่นไม่ใช่ ผู้อื่นเป็นตัวปลอมผิดไปหมด (ทั้งๆ ที่เทพท่านแบ่งญาณบารมีได้ จึงโปรดช่วยคนได้หลายคนพร้อมกัน) สิ่งนี้ต้องระวังให้มาก เมื่อใดก็ตามหลอมรวมจิตคิดว่าเป็นหนึ่งเดียวแล้ว ต้องไม่ยึดเป็นอัตตา




    ญาณบารมี มากหรือน้อย เทพจะองค์ใหญ่องค์น้อยนั้นไม่สำคัญเท่ากับการบำเพ็ญของเรา ยกตัวอย่างเช่น พระนารายมาช่วยคนๆ หนึ่ง ท่านเป็นเทพใหญ่มาก แต่หากบำเพ็ญด้อยแล้ว ตัวเองก็จะแย่ ไปสู้กับคุณไสย ก็ถูกคุณไสยเข้าตัวเสียอย่างนั้น สุดท้ายไม่ได้เป็นผลดีเลย ในขณะที่คนอีกคนหนึ่ง มีองค์พิฆเนศ ซึ่งเป็นมหาเทพระดับลูกของพระมหาเทพทั้งสาม (นับว่าอิทธิฤทธิ์รองลงมา) แต่ผู้นั้นคิดสร้างสรรค์งานเพื่อพุทธศาสนา แล้วด้วยบารมีแห่งองค์เทพพิฆเนศ เป็นองค์เทพแห่งความสำเร็จ ท่านลองไตร่ตรองดูเถิดว่าคนประเภทที่สองที่ได้รับองค์พิฆเนศซึ่งรองจากมหาเทพทั้งสามนี้ อิทธิฤทธิ์แม้น้อยกว่าองค์นารายนี้ กลับได้บุญบารมีมากกว่า เพราะช่วยงานพุทธศาสนาจนสำเร็จ ในขณะที่คนแรก ไปต่อสู้กับมนต์ดำ จนตัวเองต้องถลำเข้าไปสู่วังวนการต่อสู้ทางจิต แทบไม่ได้บุญอะไรเลยในบางครั้ง เพราะเอาแต่ปะลองฤทธิ์กัน เช่นนี้ จึงกล่าวได้ว่า เทพองค์ใหญ่หรือเล็กนั้นไม่สำคัญ สำคัญที่ตัวเราทำอะไร หากมีองค์เทพอยู่ด้วย ขอให้ดึงพลังของท่านมาใช้ ให้เกิดประโยชน์สุขให้มากที่สุด ไม่ใช่ใช้ไปนอกลู่นอกทาง ซึ่งยังผลให้บั้นปลายสุดท้าย ต้องรับกรรมอย่างหนักหนาสาหัส ไม่เป็นผลดีต่อตนเองเลย



    การดึงญาณบารมีลงมาประทับ และการดึงญาณบารมีกลับ ในบางครั้ง จำเป็นต้องทำ เพื่อปรับให้การบำเพ็ญสมดุลไม่มากไม่น้อยเกินไป ยกตัวอย่างเช่น บางท่านมีญาณบารมีแบบสมณเทพ คือ มีทั้งพระสมณะและเทพพรหม หากมีเทพพรหมมากช่วงไหน ก็บำเพ็ญบารมีมาก หากมีพระมากช่วงไหนก็ปฏิบัติจิตมาก บางครั้ง จำต้องปรับญาณบารมีให้ตัวเอง เช่น การไปวัด ทำบุญ สัมผัสพระธาตุ ไหว้พระธาตุ เหล่านี้ทำให้ญาณบารมีฝ่ายสมณะเพิ่มขึ้น (หากต้องการ) หรือ การไปทำพิธีพราหมณ์ ไหว้องค์เทพ ทำให้ญาณบารมีองค์เทพมากขึ้น (หากต้องการ) บางท่านมีพลังจิตพิเศษสามารถติดต่อสื่อสารกับเบื้องบนได้ และอัญเชิญญาณบารมีองค์เทพต่างๆ ลงมาประทับคุ้มครองผู้คนได้ และบางท่านก็สามารถดึงญาณบารมีขององค์เทพกลับได้ หากพบว่ามากเกินไป หลงเกินไป หรือเดินทางผิดพลาด ก็สามารถดึงญาณบารมีเก็บกลับได้เช่นกัน ซึ่งบุคคลผู้ที่ทำหน้าที่เหล่านี้ได้แท้จริง มีจำนวนน้อย และมักถูกมองหาว่าบ้า เพราะทำหน้าที่ในกิจที่ตาเนื้อมองไม่เห็น ที่เรียกว่า “อนุตรธรรม” ซึ่งจะมีเรื่องของการเปิดจิตญาณต่างๆ นั่นเอง


    </TD></TR><TR><TD align=right>ที่มา okanation.net
    โดย physigmund_foid

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  2. ตะหลิว

    ตะหลิว Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กันยายน 2007
    โพสต์:
    78
    ค่าพลัง:
    +96
    องค์ใน

    ขอบคุณมากค่ะที่ให้ความกระจ่างในสิ่งที่กำลังค้นหา เป็นอีกคนหนึ่งค่ะที่บำเพ็ญบารมีมาจนคิดว่าได้เวลาแล้วค่ะ ยังกลัวๆอยู่ค่ะ ... กลัวอัตตามันจะสูงขึ้น
     
  3. pearl8

    pearl8 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    335
    ค่าพลัง:
    +154
    อนุโมทนา ขอบคุณมากที่นำสิ่ง ดี ดี มาให้อ่านค่ะ.....
     
  4. อู๊ดบางพลี

    อู๊ดบางพลี สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    22
    ค่าพลัง:
    +11
    อนุโมทนาด้วยครับ ได้ความรู้ใหม่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับเรื่องเทพฯ
     
  5. e20ehq

    e20ehq เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    334
    ค่าพลัง:
    +770
    ยึดพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง ดีที่สุดครับ....
    เทวดา เหล่านี้ ก็ยังไม่ได้บรรลุพระนิพพาน ก็ยังคงเวียนว่ายตายเกิดอยู่
     
  6. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    ใช่ค่ะ แต่ทุกพระองค์ล้วนแล้วแต่ได้รับบัญชาจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้มีหน้าที่ในการดูแล รักษา ค้ำชู พระพุทธศาสนา และปกปักรักษาผู้ที่ถูกเลือกให้ทำงานด้านพระพุทธศาสนาค่ะ จะเห็นได้ว่าคนมีองค์ทุกคนล้วนแล้วแต่มีจิตใจโน้มเอียงมาทางพระพุทธศาสนาเป็นหลักทั้งสิ้น คอยช่วยเหลืองานด้านนี้อยู่ แต่บางคนที่ยังระลึกไม่ได้ในฐานะของตน ก็มักจะแสวงหาตัวตนของตนกันไปตามอวิชชาที่มีอยู่ จนทำให้บางครั้งหลงเข้าไปในวังวนของพวกมิจฉาทิฏฐิ ทำให้เสียเวลาในการบำเพ็ญเพียร ดังนั้น จึงได้นำความรู้เรื่องนี้มาเผยแพร่เพื่อให้ผู้มีองค์ทั้งหลายได้กระจ่างแจ้ง ไม่หลงกลของหมู่มาร ดำเนินชีวิตให้เป็นปกติ ทำตามหน้าที่ของมนุษย์ ไม่ให้คิดหลงว่าตนเป็นคนพิเศษอะไร จนไปก่อเวรสร้างกรรม...ก่อภพสร้างภพ...ไม่จบไม่สิ้น เสียเวลาค่ะ เพราะชาติที่เป็นมนุษย์นี้ไม่ใช่ว่าจะได้มาง่ายๆ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 มีนาคม 2014
  7. พระจิรวัฒน์ ญาณวโร

    พระจิรวัฒน์ ญาณวโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    5,029
    ค่าพลัง:
    +17,452
    อนุโมทนาสาธุ ที่นำความรู้มามอบให้ ทุกๆคนที่เข้ามาอ่าน ได้รู้มากขึ้น ...ตามหลักชาวพุทธเเท้ ต้องใช้ปัญญา(เเม้เเต่เรื่องนอกเหตุ เหนือผล)
    อนุโมทนาสาธุ

    กลุ่มนอกรีต (กลุ่มนี้น่ากลัวนะคุณโยม บางครั้งหลอกเอาเงินชาวบ้าน ขอโทษนะ บางคนโดนหลอกหมดเงินเป็นล้านก็มี โปรดระวัง อย่าตกเป็นเหยื่อ....

    คือ กลุ่มสุดท้ายที่เข้ามาครอบงำจิตของคน หลังจากที่ร่างเปิดรับจิตวิญญาณอื่นแล้ว จะปิดได้ยาก หรือปิดเองไม่ได้ เมื่อหลงทะนงตนเย่อหยิ่ง มักจะถูกทอดทิ้งจากเทพพรหมองค์ก่อน เพราะพฤติกรรมที่ตกต่ำเป็นเหตุให้เทพชั้นสูงๆ ไม่สามารถมาช่วยได้ เมื่อท่าจากไป บรรดาเจ้ากรรมนาย
    เวร สัมภเวสี</PERSONNAME> เปรต สัตว์นรก ฯลฯ ก็มาเข้าร่างแทน ซึ่งยังผลให้ชีวิตพบกับความวิบัติหายนะในที่สุด เหล่านี้ รวมเรียกว่า “จิตวิญญาณนอกรีต” เพราะไม่ได้อยู่ในการดูแลบริหารจัดการของเบื้องบน แต่เกิดจากการ “ลักลอบ” หนีจากนรก แล้วมาสิงสู่อาศัยร่วมกับคนเท่านั้นเอง ซึ่งบางท่านถึงกับต้องกลายเป็นปอบ <!-- google_ad_section_end -->



    <HR style="BACKGROUND-COLOR: #ffffff; COLOR: #ffffff" SIZE=1>Last edited by พระญาณนวโร; วันนี้ at 09:10 AM.
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 มีนาคม 2011
  8. สุปราณี(ปู)

    สุปราณี(ปู) เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    53
    ค่าพลัง:
    +284
    เป็นจริงอย่างที่ คุณ nouk ว่าไว้ทุกประการค่ะ ขอน้อมนับถือ ข้อความทั้งหมดนี้นะค้ะ การมีองค์ องค์รักษา ท่านมามิได้ต้องการให้คนถืออัตตา ตัวคนเองที่ได้พลังคุ้มครอง ในการช่วยเหลือผู้อื่น หากบุคคลนั้น เริ่มจิตใจเปลี่ยน จากทัศนคติที่คิดช่วยเหลือคน เป็นมีความต้องการส่วนตัว ออกทางกิเลสส่วนตนเป็นใหญ่ นั่นจะเป็นทางที่สัมภเวสี เข้าหาแทนที่จะเป็นองค์รักษา คนที่ที่จะทำหน้าที่ ร่วมกับองค์เทพได้ ก็ต้องเป็นคนที่รู้จักรักษาศีล และต้องแน่ใจว่าตัวเองจะไม่ไหลหลงไปกับกิเลส นานับประการที่จะมีเข้ามา เหมือนเป็นการสู้รบเลยทีเดียว แต่ถ้ารู้รักษาปฏิบัติเป็นประจำ หมั่นสำรวจจิต ด้วยการเจริญสติ วิปัสนา ถือปฏิบัติ โดยไม่ว่างเว้น โอกาสที่จะหลุดไปกับกิเลส ก็จะน้อยลงไป พูดง่ายๆให้เข้าใจ ก็คือ การถือศีล ปฏิบัติธรรม ทำจิตให้อยู่ในสัมมาฐิทิ โดยถือ พระรัตนตรัยเป็นสรณะ แค่นี้ก็ มีชัยไปกว่าครึ่งแล้วหล่ะค้ะ
     
  9. sasuk

    sasuk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2010
    โพสต์:
    58
    ค่าพลัง:
    +113
    ขออนุโมทนาสาธุค่ะ ขออนุญาตคัดลอกเอาไว้เพื่อเป็นความรู้ ไว้ทบทวนในโอกาสต่อไปค่ะ
     
  10. tuta868248

    tuta868248 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    563
    ค่าพลัง:
    +1,116
    ได้ความรู้เรื่อง องค์ใน ดีมาก เราก็เหมือนกันมีคนบอกว่ามีเทวดาปกป้องคุ้มครองหลายองค์มาก และบางครั้งมีคนเห็นผู้หญิงนุ่งขาวห่มขาวนั่งรถไปโรงเรียนด้วยเด็กๆเห็นวิ่งตามรถเออถามว่าคุณครูมากับใคร ผู้หญิง 2 คนที่นั่งรถมากับคุณครูหายไปไหนเรางงเลย ก็เลยบอกไปว่าอ้อ เทวดามาด้วยกลับไปแล้ว บางคนก็เห็นผู้ชายแก่ๆ นุ่งขาวห่มขาวไปไหนมาไหนกับเรา เราก็เลยบอกว่าอ้อ ปู่ทวดของเราเองท่านมาค้มครองรักษาเพราะเราให้ทาน รักษาศิล เจริญภาวนากรรมฐานทำวัตรเช้าสวดมนต์ไหว้พระเดินจงกรม นั่งสมาธิแผ่เมตตาทุกวันก่อนไปทำงาน ตื่นตี 3 ครึ่ง เสร็จ 6 โมงเช้าเอากับข้าวใส่ในรถขับไปโรงเรียนพบพระที่ไหนก็ใส่บาตรคะ บุญรักษาคะ
     
  11. แพ้เป็นพระ

    แพ้เป็นพระ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มกราคม 2011
    โพสต์:
    20
    ค่าพลัง:
    +9
    เพิ่งเข้าใจเรื่องคนมีองค์ก็วันนี้เองครับ ขอบคุณท่านมาก อนุโมทนาสาธุครับ
     
  12. nuilamai

    nuilamai สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    49
    ค่าพลัง:
    +8
    เรียนผู้ดุแลเว็บ ลิงค์โฆษณาขวามือบนที่ปิดทับข้อความและไม่มีตำแหน่งให้คลิกปิด
    ถือว่าน่าเกลียดและยัดเยียดเกินไปนะคะ ฝากดูนิดนึง เข้าใจว่าเป็นรายได้ แต่ควรสร้างทางเลือกให้กับผู้เข้ามาอ่านสามารถเลือกได้บ้างก็ดีนะคะ
     
  13. นาย บวร-foryou

    นาย บวร-foryou สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    64
    ค่าพลัง:
    +5
    ปล่อยว่าง วางเฉย

    องค์ใดให้คุณ ร่างนั้นจะมี หลายสิ่งดีๆดลนำพา ให้ได้เรียนได้รู้ในสิ่งที่ดีๆจนสังเกตุได้เลยว่า จิตเริ่มละเอียด อ่อนโยน และมีโอกาศ กระทำสิ่งชั่วๆได้ยากมากขึ้น สาธุๆที่นำมาเพิ่มให้กันและกัน:cool:
     
  14. เด็กภูเก็ต

    เด็กภูเก็ต สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    4
    ค่าพลัง:
    +2


    ตามคุณวัชรินทร์<!-- google_ad_section_end -->เลยค่ะ
    ดิฉันเองก็เพิ่งจะค้นพบว่าตัวเองมีองค์หรือเทพปกปักษ์รักษา ซึ่งการที่ท่านลงมา ท่านเองก็ปรารถนาที่จะสร้างธารบารมี ถือศีลภาวนา ซึ่งไม่ว่าจะเป็นเทพชั้นไหน หากไม่สั่งสมบุญบารมี ก็จะสามารถลงมาจุติบนโลกมนุษย์เราได้อีก

    ขออนุโมทนากับผู้ศึกษาและเรียนรู้ธรรมทุกๆท่านด้วยนะค่ะ :cool:
     
  15. thontho

    thontho เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    398
    ค่าพลัง:
    +612
    เห็นมาเยอะแล้ว มีองค์แล้วเหลิง คิดว่าตัวเองเก่ง เพี้ยนไปกันแยะ แต่ถ้าเป็นคนดีขึ้น ไม่ลืมตนอาจจะมีจริง เทวดาประจำตัว ไม่มีง่ายๆหรอก มิฉนั้น คนทุกคนก็สบายกันหมดแล้วซิ ทำไมเทวดาไม่ช่วยละ อยากมี ให้ไปอัญเชิญ เทวะประจำใบโพธิสัตว์ ที่สำนักปู่สวรรค์ซิ อันนี้ รับรองแน่ๆ แต่ช่วยได้ในกฏแห่งกรรมนะ เพียงแค่นี้ก็ดีเหลือหลาย
     
  16. aum222

    aum222 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    35
    ค่าพลัง:
    +344
    คนตั้งใจไปหากบ เห็นคางคกก็ว่ากบ ฉันใด คนเราก็เห็นตามภูมิตนขณะนั้นเป็นใหญ่ ฉันนั้น ไม่มีผู้ใดถูกผิด หากเป็นเพียงภูมิเชื่อแล้วปฎิบัติดี ก็ดีแล้วไม่ต้องต้องแสวงหาหรอกว่าเราคิดถูกหรือผิด หรือมัวแต่กำหนดอะไรให้ปวดหัวมันวุ่น ดีทั้งนั้นละ ของดีนะ
     
  17. สงบระงับ

    สงบระงับ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    660
    ค่าพลัง:
    +2,919
    อนุโมทนาบุญกับเจ้าของกระทู้" คุณnouk" และลิงค์เจ้าของข้อมูลเดิมที่มา okanation.net โดย physigmund_foid

    และผู้ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบแล้วทุกท่านค่ะ
     
  18. จิดา

    จิดา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    447
    ค่าพลัง:
    +1,505
    ขอบคุณน่ะค่ะ ได้ความรู้เพิ่มขึ้นมาอีกค่ะ
     
  19. พระจิรวัฒน์ ญาณวโร

    พระจิรวัฒน์ ญาณวโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    5,029
    ค่าพลัง:
    +17,452
    อานิสงส์ผลบุญที่ได้ (ขอเชิญร่วมสร้างเมรุเผาศพ ที่วัดป่าเเห่งนี้กัน)
    จากการได้สร้างเมรุนั้นมีมากมายจริงๆ
    1.พ่อเเม่จะได้มีสุขภาพเเข็งเเรงเเละตัวท่านเอง จะมีอายุ ยืนนาน
    2.วิญญาณของบรรพบุรุษเเละญาติพี่พี่น้อง ที่จากโลกนี้ไปเเล้ว จะได้ไปสู่สุคติ
    3.วิญญาณของเด็กที่เเท้ง ที่เราตั้งใจทำให้เเท้งหรือเเท้งเองจะได้ ไปเกิดใหม่
    4.หนี้กรรมจะได้คลี้คลาย พ้นภัยจากทะเลทุกข์ เพื่อทำบุญควรอุทิศให้เจ้ากรรมนายเวรด้วย
    5.กรรมจากอดีตชาติ จะได้เบาบางลง ด้วยผลบุญของการสร้างเมรุเผาศพ
    6.โรคภัย ไข้เจ็บ ที่เกิดกับตัวเรา หรือญาติพี่น้อง ที่กำลังป่วยหนัก จะค่อยๆทุเลาเเละหายในที่สุด ด้วยเดชเเห่งบุญที่เราได้สร้างเมรุ ไว้สำหรับเผาศพคนที่เสียชิวิตนี้
    7.การเดินทาง ด้วยรถ ก็ดี ด้วยเรือก็ดี เครื่องบินก็ดี จะไม่เกิดอุบัติเหตุ เพราะเราได้สร้างเมรุ เผาศพ เป็นการสะเดาะเคราะห์ ต่อชะตา เหมาะสำหรับคนที่ ดวงไม่ดี หรือตกปีชง ด้วย อานสงส์ที่เราได้สร้างเมรุเผาศพ...

    การสะเดาะเคราะห์ ที่อาตมายืนยันว่าได้ผลมากที่สุด คือการสร้างเมรุเผาศพ <!-- google_ad_section_end -->

    <FIELDSET class=fieldset><LEGEND>รูปขนาดเล็ก</LEGEND>[​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG]

    </FIELDSET>
     
  20. blackky

    blackky Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มกราคม 2009
    โพสต์:
    109
    ค่าพลัง:
    +27
    ไหงเคยมีคนทักผมว่าผมมีองค์เป็นพระอ่ะครับ แต่ไม่เห็นจะรู้สึกไรเลยนะครับ
    ตัวผมเองก็คบกิเลสตั้งเยอะแยะไหงมีได้
     

แชร์หน้านี้

Loading...