ขอเชิญท่านที่มีความจงรักภักดีและเทิดทูนในสมเด็จพระนเรศวรมหาราช

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย จงรักภักดี, 28 เมษายน 2009.

  1. จงรักภักดี

    จงรักภักดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,229
    ค่าพลัง:
    +2,466
    ยินดีต้อนรับครับคุณ zelphyroth

    ถ้าพอมีโอกาสและเวลาก็ศึกษาพระราชประวัติและพระวีรกรรมของพระองค์ท่าน

    ดูนะครับ หรืออาจจะย้อนไปอ่านกระทู้นี้ตั้งแต่ตอนต้นๆ อาจจะช่วยให้คุณคลาย

    สงสัยในข้อที่คุณเคยสงสัยก็ได้นะครับ
     
  2. จงรักภักดี

    จงรักภักดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,229
    ค่าพลัง:
    +2,466
    สัจจะวาจา!!!

    ....ต้องการให้ทุกท่านได้ยึดมั่นในสัจจะ วาจาที่พวกเราไปถวายต่อองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทุกวันที่ 5 ธ.ค.ของทุกปี ที่เป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษา ว่า ข้าพระพุทธเจ้าจะยอมตายเพื่อรักษาไว้ซึ่งพระบรมเดชานุภาพในพระมหากษัตริย์เจ้า ข้าพระพุทธเจ้าจะจงรักภักดี และถวายความปลอดภัยต่อใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทกว่าชีวิตจะหาไม่ ข้าพระพุทธเจ้าจะคงรักษาไว้ด้วยเกียรติยศและเกียรติศักดิ์ของทหารรักษาพระองค์ จะประพฤติและปฏิบัติตนให้เป็นที่ไว้วางพระราชหฤทัยทุกประการ นี่คือสัจจะ วาจา...


    สัจจะวาจา ของทหารรักษาพระองค์ นำมาโพสให้ได้อ่านกันชัดๆ หากต้องการ
    รายละเอียดเพิ่มเติมมากกว่านี้ คลิกเข้าไปอ่านได้ที่ลิงค์ข้างล่างนี้ครับ

    http://www.thaipost.net/news/200411/37382
     
  3. จงรักภักดี

    จงรักภักดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,229
    ค่าพลัง:
    +2,466
    ....กองทุนปลูกรากแก้วศาสนทายาท วัดพระราม ๙ กาญจนาภิเษก
    ขอเชิญท่านศรัทธาสาธุชน ร่วมเป็นเจ้าภาพสร้างเนกขัมบารมี ในพิธีบรรพชาสามเณรศาสนทายาท บวชเรียน ๑๐ ปี จำนวน ๖๐ รูป ณ พระอุโบสถวัดพระราม ๙ กาญจนาภิเษก กรุงเทพมหานคร
    เพื่อเดินทางไปเข้ารับการศึกษาต่อ ณ โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย ด่านซ้าย จ.เลย
    ครับ..ก็ขอแทรกระหว่างบรรทัดตามที่เห็นสมควรว่า พอจะคั่น-จะขัดได้ตรงไหน ผมก็จะแทรกตรงนั้น "เนกขัมบารมี" คือการออกบวช บวชเณรถือศีล ๑๐ บวชพระถือศีล ๒๒๗ หรือนักบวชถือศีล ๘ เรียกว่าบำเพ็ญเนกขัมมบารมี
    แต่ถ้ารักษาศีล ๕ จัดอยู่ในระดับ "ศีลบารมี" มีลูกเมียได้ กินข้าวเย็นได้ (ไม่ถึงขั้นออกบวชอย่างเณร-อย่างพระ) คืออยู่ในระดับผู้มีศีลเป็นปกติ และทั้งศีลบารมี-เนกขัมมบารมีนี้ นับเนื่องอยู่ใน "ทศบารมี" หรือบารมี ๓๐ ทัศ อันเป็นบารมีขั้นต้นที่พระโพธิสัตว์บำเพ็ญ
    และมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย (มมร.) นั้น เป็นมหาวิทยาลัยสงฆ์ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ โปรดเกล้าฯ ให้ตั้งขึ้น พูดภาษาชาวบ้านก็ว่า เป็นมหาวิทยาลัยสงฆ์ฝ่ายธรรมยุต ตั้งอยู่วัดบวรนิเวศฯ บางลำพู เช่นเดียวกับมหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร.) เป็นมหาวิทยาลัยสงฆ์ฝ่ายมหานิกาย ที่โปรดเกล้าฯ ให้ตั้งขึ้น ตั้งอยู่วัดมหาธาตุฯ ท่าพระจันทร์
    ตามที่วัดพระราม ๙ จะบวชสามเณรศาสนทายาท ๖๐ รูปนี้ บวชแล้วจะให้ไปเรียนที่โรงเรียนสาธิตของมหามกุฏฯ ตั้งอยู่ที่ด่านช้าง "โรงเรียนสาธิต" ท่านคงเข้าใจความหมายกันนะครับ ก็เหมือนโรงเรียนสาธิตทั่วไป จะต่างกันบ้างตรงที่สาธิตของ มมร.มีพระ-เณรเป็นนักเรียน
    และนอกจากต้องเรียนวิชาหลักๆ ทั่วไปเหมือนทางโลกแล้ว โรงเรียนสาธิตพระ-เณรนี้ ต้องเรียนพระปริยัติธรรม-บาลีเพิ่มเป็นภาคบังคับ เรียกว่าเอาแต่ทางโลกอย่างเดียวไม่ได้ ต้องเคี่ยวกรำทางธรรมเป็นหลักด้วย
    แต่ที่ผมทึ่งโครงการนี้ ด้วยปลาบปลื้มบนจิตท้าทายเป็นอย่างสูง ก็มาจากคำว่า "บวชเรียน ๑๐ ปี" นี่แหละ!?
    ตรงนี้...บอกตรงๆ ว่า ผมเกิดจิตเลื่อมใสจนต้องรีบนำมาบอกกล่าวกับท่านทั้งหลาย ท่านต้องเข้าใจนะครับว่า โดยทั่วไปแล้ว "บวชเณร" เรียกว่าบรรพชา คือเด็กที่โตอายุยังไม่ครบ ๒๐ ปี ยังไม่สามารถบวชเป็นพระภิกษุถือศีล ๒๒๗ ได้ ก็บรรพชาเป็นสามเณร ถือศีล ๑๐
    สามเณร ล้วนมาจากเด็กที่กำลังโตขึ้นสู่วัยรุ่น-วัยหนุ่ม ปกติบวชหน้าศพกันวัน-สองวัน มากหน่อยก็บวชเณรภาคฤดูร้อนเดือน-ครึ่งเดือน แค่นั้นยังเหมือนจับปูใส่กระด้ง ไม่มีเด็กคนไหนพับเพียบเรียบร้อย สำรวมระวังรักษาศีลสงบระงับได้นานๆ หรอก ถ้าพระที่เป็นอาจารย์ไม่เคี่ยวกรำจริงๆ
    อย่าว่าเป็นปีเลย แค่อาทิตย์เดียวก็แอบตั้งวงตะกร้อ ล่อมาม่าแล้ว!
    ดูตัวอย่างตอนสงกรานต์ ยิ่งกว่าโคถึกคึกหน่อเสียอีก...เห็นมั้ย เณรเล็ก-เณรโค่ง ๒-๓ วัด ออกมาเล่นน้ำสงกรานต์ชนิด "สมภารก็ห้ามบ่ได้" เหลืองร่อนว่อนปลิวตามหน้าหนังสือพิมพ์
    แต่การบวชเณรของวัดพระราม ๙ ครั้งนี้ ไม่ใช่ "สักแต่ว่าบวช" เพราะผู้ขอบรรพชาต้องใคร่ครวญทวนทบข้างหน้า-ข้างหลัง ตัดสนุก-ตัดใจแน่วแน่สู่เป้าหมายชนิด หนักแน่น-มั่นคงจริงๆ ไม่กลับกลาย และกลับกลอกในภายหลัง
    ผู้บวช ใจต้อง "เด็ด" สละแล้วซึ่งทางโลกจริงๆ จึงจะสามารถเข้าสู่โครงการของวัดพระราม ๙ นี้ได้ เพราะนี่คือการบวช บำเพ็ญตบะสะสมดีเป็นบารมี ด้วยการฝึกปรือ เคี่ยวกรำสู่ความเป็น "ศาสนทายาท"
    รับภาระ-หน้าที่ผู้สืบต่อตระกูลพระพุทธศาสนา เผยแผ่ธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จรรโลงโลก เกื้อกูลสัตว์มนุษย์ผู้น่าสงสารให้ก้าวผ่านโอฆสงสารแห่งนี้
    ฉะนั้น ต้องเคี่ยวกรำ ทั้งด้านปริยัติ คือการเรียนหนังสือ และทั้งด้านปฏิบัติ คือการบำเพ็ญภาวนาทางจิต จริงๆ จังๆ นานถึง ๑๐ ปีเต็มเชียวนะครับ ไม่ใช่ ๑๐ วัน...ขอย้ำ!
    บวชเคี่ยวกรำอยู่ที่โรงเรียนสาธิตมหามกุฏฯ ๑๐ ปี ไม่ใช่ตอนไหนคึก-อยากบวช ก็โกนหัวมาห่มเหลือง ตอนไหนคึก-อยากสึก ก็ไว้ผมยาว เปลื้องผ้าเหลืองไปสวมเสื้อผ้าเข้าบาร์-เข้าผับได้ตามใจชอบ
    เสื้อผ้า เราย้อมสี ๑ วัน ก็ติดแล้ว
    โดยนิยามนั้น มนุษย์ย้อมด้วยธรรม ๑๐ ปี ศรีแห่งธรรมจะไม่ติดอยู่ในใจก็ผิดไปแล้ว ใจสามเณรเยี่ยงนี้แหละ วัดพระราม ๙ ตั้งมั่นเคี่ยวกรำสู่ความเป็น "ศาสนทายาท"!
    นับจากนี้ไปอีก ๑๐ ปี ถึง พ.ศ.๒๕๖๔ ถ้าพบว่าสามเณรศาสนทายาททั้ง ๖๐ รูปที่บรรพชาครั้งนี้ ยังอยู่ครบทั้ง ๖๐ รูป ทั้งผู้เป็นเจ้าภาพและผู้บรรพชา นอกจากได้สร้างเนกขัมมบารมีร่วมกันสำเร็จแล้ว ยังนับเนื่องว่าได้เสริมสร้างบารมีให้กับตนเองสำเร็จอีกข้อหนึ่งด้วย คือข้อ "สัจบารมี"
    เพราะการบวช ๑๐ ปีนี่ การจะดำรงอยู่ได้ดังเจตนา ต้องตั้งสัจจะเป็นบารมีสูงจริงๆ ผมคนหนึ่งละ สารภาพเลยว่า "ทำไม่ได้" ซัก ๑๐ วัน ตบะก็คงแตกแล้ว!
    เอาละครับ อ่านข้อความจากแฟกซ์ต่อดีกว่า.....
    ศุกร์ ๒๙ เมษายน ๒๕๕๔ เวลา ๑๗.๐๐ น.
    เยาวชนจำนวน ๖๐ คนจากจังหวัดต่างๆ ที่สมัครบวชเรียนเป็นศาสนทายาท เดินทางมาถึงวัดพระราม ๙ กาญจนาภิเษก เข้ากราบนมัสการ "พระธรรมบัณฑิต" เจ้าอาวาส และขออยู่พักอบรมถึง ๓๐ เมษายน ๒๕๕๔
    วันอาทิตย์ที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๕๔ เวลา ๑๗.๐๙ น. บรรพชาเป็นสามเณรศาสนทายาท เริ่มต้นดังนี้
    เวลา ๐๙.๐๐ น. ทำพิธีโกนผมห่มขาว (พิธีภายใน)
    เวลา ๑๖.๓๐ น. พิธีขอขมาพ่อแม่อุปถัมภ์ หรือเจ้าภาพที่รับอุปการะมาร่วมพิธีขอขมาพร้อมมอบรับผ้าไตรแก่นาค ณ ศาลาพระ ระเบียง
    เวลา ๑๗.๐๙ น. นาคทั้ง ๖๐ เดินแถวเข้าสู่พระอุโบสถ ประกอบพิธีขอบรรพชากับพระธรรมบัณฑิต เจ้าอาวาสวัดพระราม ๙ กาญจนาภิเษก พระอุปัชฌาย์ เสร็จแล้วเดินแถวออกมาพักรอที่ศาลาพระระเบียง เพื่อให้เจ้าภาพถวายบาตร
    จันทร์ที่ ๒ พฤษภาคม ๒๕๕๔ เวลา ๑๓.๐๐ น.
    เดินทางไปนมัสการพระแก้วมรกต วัดพระเชตุพนฯ และวัดบวรนิเวศฯ
    อังคารที่ ๓ พฤษภาคม ๒๕๕๔ เวลา ๑๓.๐๐ น. เดินทางไปชมมหาวิทยาลัยมกุฏราชวิทยาลัย ศาลายา ไปพุทธมณฑล และไปกราบนมัสการพระปฐมเจดีย์ จ.นครปฐม
    พุธที่ ๔ พฤษภาคม ๒๕๕๔ เวลา ๐๖.๓๐ น. คณะสามเณรศาสนทายาท พร้อมพี่เลี้ยงและคณะศรัทธาสาธุชน เดินทางโดยรถบัสปรับอากาศ ไปเข้าโรงเรียนที่โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย อ.ด่านซ้าย จ.เลย (ผู้ต้องการร่วมเดินทาง กรุณาแจ้งความประสงค์ล่วงหน้า)
    อาทิตย์ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๕๔ เวลา ๐๙.๓๐ น. ประกอบพิธีเปิดภาคเรียน ณ รร.สาธิต มมร.
    ผู้มีจิตศรัทธาต้องการเป็นเจ้าภาพบวชเณร เพื่อเป็นค่าบาตร ผ้าไตร อุปกรณ์การศึกษา เครื่องเขียนแบบเรียน ภัตตาหาร ค่ารักษาพยาบาล ค่าน้ำ-ค่าไฟฟ้า
    ติดต่อได้ที่ : กองงาน วัดพระราม ๙ กาญจนาภิเษก โทรศัพท์ ๐-๒๓๑๘-๕๙๒๖-๗ โทรสาร ๐-๒๓๑๙-๑๑๒๓
    นายเรืองศิลป์ ดลสมบูรณ์ โทร.๐๘-๕๗๕๙-๙๕๐๑
    ม.ล.อาภาวดี เทวกุล โทร.๐๘-๑๖๕๗-๕๗๕๕
    ผศ.ทรรศนีย์ จันทรสมบัติ โทร.๐๘-๖๘๘๕-๒๘๒๙
    หรือโอนผ่านบัญชีเงินฝาก ชื่อบัญชี "วัดพระราม ๙ กาญจนาภิเษก เพื่อสร้างวิทยาลัยศาสนทายาท" ธนาคารกรุงไทย สาขาพระราม ๙ ซอย ๑๓ บัญชีออมทรัพย์เลขที่ ๐๗๖-๐-๑๖๘๙๑-๑...


    http://www.thaipost.net/news/200411/37383


    นำโครงการดีๆมาฝากกันครับ
     
  4. จงรักภักดี

    จงรักภักดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,229
    ค่าพลัง:
    +2,466
    วันนี้วันพฤหัสบดี ที่ ๒๑ เมษายน พ.ศ.๒๕๕๔ เหลืออีกเพียง ๔ วันก็จะถึง
    วันคล้ายวันสวรรคตขององค์มหาราชผู้ยิ่งใหญ่ของชาติไทย สมเด็จพระนเรศวรมหาราชเจ้า จึงขอนำเรื่องราวเกี่ยวกับพระองค์ท่านมาเกริ่นนำเพื่อเป็นการรื้อฟื้นและทบทวนความจำไปพรางๆก่อน ครับ





    <TABLE style="WIDTH: 100%" border=1 cellSpacing=1 cellPadding=1><TBODY><TR><TD>๒๕ เมษายน
    วันสวรรคต สมเด็จพระนเรศวรมหาราช




    </TD></TR><TR><TD>
    สมเด็จพระมหากษัตริย์ผู้ทรงมีพระราชกรณียกิจ เป็นคุณประโยชน์ต่อชาติบ้านเมืองด้วยการทรงอุทิศพระวรกายทำราชการสงครามเกือบตลอดรัชสมัย พระบรมเดชานุภาพอันยิ่งใหญ่ของพระองค์นั้นแผ่ไพศาล ทำให้อริราชศัตรูเกิดความยำเกรงในอำนาจ ส่งผลให้แผ่นดินไทยร่มเย็นเป็นสุขว่างจากการศึกสงคราม เป็นเวลาถึง ๑๐๐ ปีเศษ สมเด็จพระวีรมหาราชของชาติไทยพระองค์นี้คือ สมเด็จพระนเรศวรมหาราช

    สมเด็จพระนเรศวรมหาราช เสด็จเถลิงถวัลย์ราชสมบัติ เมื่อวันที่ ๒๙ กรกฎาคม พ.ศ.๒๑๓๓ ขณะพระชนมพรรษา ๓๕ พรรษา ทรงเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์ที่ ๑๘ แห่งกรุงศรีอยุธยา เมื่อเสด็จขึ้นครองราชย์แล้วได้ทำราชการสงครามเพื่อป้องกันพระราชอาณาเขต อาทิ

    พ.ศ.๒๑๓๓ เสด็จนำกองทัพขับไล่พม่าออกจากแผ่นดินไทยทางด่านเจดีย์สามองค์

    พ.ศ.๒๑๓๕ ทรงกระทำสงครามยุทธหัตถี ชนะพระมหาอุปราชาแห่งเมืองหงสาวดี

    เมื่อวันที่ ๑๘ มกราคม

    พ.ศ.๒๑๓๖ ตีได้เมืองละแวก

    พ.ศ.๒๑๓๗ ตีได้หัวเมืองมอญฝ่ายใต้และเมาะตะมะ

    พ.ศ.๒๑๓๘ นำกองทัพไทยไปตีเมืองหงสาวดีเป็นครั้งแรกแต่ไม่สำเร็จ

    พ.ศ.๒๑๔๒ นำกองทัพไปตีเมืองหงสาวดีเป็นครั้งที่สอง ได้รับชัยชนะ

    พ.ศ.๒๑๔๗ สงครามอังวะ เมืองอังวะบุกรุกเข้ามายังเมืองนายและเมืองแสนหวี ได้เสด็จกรีธาทัพพร้อมสมเด็จพระเอกาทศรถขึ้นไปยังเมืองเชียงใหม่ โดยแยกเป็นสองทาง สมเด็จพระเอกาทศรถยกทัพไปทางเมืองฝาง ส่วนพระองค์ยกทัพไปทางเมืองหาง ขณะประทับแรมที่ทุ่งแก้ว เกิดประชวรเป็นหัวละลอก ขึ้นที่พระพักตร์จนเป็นพิษ ถึงกับเสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ ๒๕ เมษายน พ.ศ.๒๑๔๘ ขณะพระชนมพรรษา ๕๐ พรรษา เสด็จอายุในราชสมบัติ ๑๕ ปี พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับสมเด็จพระนพรัตน์ วัดพระเชตุพนได้กล่าวถึงเหตุการณ์ในครั้งนั้นว่า

    “ในขณะที่สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงทรงพระประชวรหนัก ก็ตรัสให้ข้าหลวงให้ไปกราบทูลพระกรุณาถึงเมืองฝาง พระบาทสมเด็จพระเอกาทศรถอิศวรบรมนาถบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัว ก็เสด็จจากเมืองฝางมายังสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงในเมืองห้างหลวง และเสด็จไปถึงวันเสาร์ เดือนหก ขึ้นหกค่ำ ปีมะเส็งเบญจศก รุ่งขึ้นวันจันทร์ เดือนหกขึ้นแปดค่ำ เพลาชาย แล้วสองบาท สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงเสด็จสวรรคต”

    สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงทำสงครามป้องกันประเทศและแผ่พระราชอาณาเขต รวมทั้งสิ้น ๑๕ ครั้ง ทำให้เขตแดนของกรุงศรีอยุธยาแผ่ออกไปได้กว้างไกลที่สุดนับแต่สถาปนากรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีเป็นต้นมา คือ ครอบคลุมทั้งเขตแดนมอญ พม่า ล้านนา ไทยใหญ่ ล้านช้าง และเขมร

    นับว่าแผ่นดินไทยได้รอดพ้นจากอริราชศัตรูมีความเจริญวัฒนาสถาพร ดำรงความเป็นชาติเอกราชก็ด้วยพระมหากรุณาธิคุณที่ทรงกอบกู้เอกราชรักษาชาติบ้านเมืองมาตราบจนทุกวันนี้


     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 เมษายน 2011
  5. จงรักภักดี

    จงรักภักดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,229
    ค่าพลัง:
    +2,466
    สมเด็จพระนเรศวรมหาราชเสด็จไปตีกรุงหงสาวดี ครั้งแรก

    [​IMG] [​IMG]
    กองทัพของสมเด็จพระนเรศวรมหาราชเข้าสู่กรุงหงสาวดีในปี พ.ศ. 2142


    การที่สมเด็จพระนเรศวร ได้หัวเมืองมอญฝ่ายใต้มาเป็นเมืองขึ้น นับว่าเป็นจุดหักเหที่มีนัยสำคัญ ของการสงครามไทยกับพม่า จากเดิม ฝ่ายพม่าเป็นฝ่ายยกทัพมาย่ำยีไทยมาโดยตลอด การได้หัวเมืองมอญฝ่ายใต้ ทำให้ไทยใช้เป็นฐานทัพ ที่จะยกกำลังไปตีเมืองหงสาวดีได้สะดวก
    สมเด็จพระนเรศวรเสด็จยกกองทัพหลวงไปตีเมืองหงสาวดี ออกจากพระนคร เมื่อวันอาทิตย์ ขึ้น3 ค่ำ เดือนอ้าย ปีมะแม พ.ศ. 2138 มีกำลังพล 120,000 คน เดินทัพไปถึงเมืองเมาะตะมะ แล้วรวบรวมกองทัพมอญเข้ามาสมทบ จากนั้น ได้เสด็จยกกองทัพหลวงไปยังเมืองหงสาวดี เข้าล้อมเมืองไว้ กองทัพไทยล้อมเมืองหงสาวดีอยู่ 3 เดือน และได้เข้าปล้นเมือง เมื่อวันจันทร์ แรม 13 ค่ำ เดือน 4 ครั้งหนึ่ง แต่เข้าเมืองไม่ได้ ครั้นเมื่อทรงทราบว่าพระเจ้าแปร พระเจ้าอังวะ พระเจ้าตองอู ได้ยกกองทัพลงมาช่วยพระเจ้าหงสาวดีถึงสามเมือง เห็นว่าข้าศึกมีกำลังมากนัก จึงทรงให้เลิกทัพกลับ เมื่อวันสงกรานต์ เดือน 5 ปีวอก พ.ศ. 2139 และได้กวาดต้อนครอบครัวในหัวเมืองมณฑลหงสาวดี มาเป็นเชลยเป็นอันมาก และกองทัพข้าศึกมิได้ยกติดตามมารบกวนแต่อย่างใด

    การสงครามครั้งนี้ สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงสันนิษฐานว่า สมเด็จพระนเรศวรเสด็จยกทัพไปครั้งนี้ เป็นการจู่ไป โดยไม่ให้ข้าศึกมีเวลาพอตระเตรียมการต่อสู้ได้พรักพร้อม และพระราชประสงค์ที่ยกไปนั้น น่าจะมีอยู่ 3 ประการคือ
    • ประการแรก ถ้าสามารถตีเอาเมืองหงสาวดีได้ก็จะตีเอาทีเดียว
    • ประการที่สอง ถ้าตีเมืองหงสาวดียังไม่ได้ครั้งนี้ ก็จะตรวจภูมิลำเนา และกำลังข้าศึกให้รู้ไว้ สำหรับคิดการคราวต่อไป
    • ประการที่สาม คงคิดกวาดต้อนผู้คนมาเป็นเชลยให้มาก เพื่อประสงค์จะตัดทอนกำลังข้าศึก และเอาผู้คนมาเพิ่มเติม เป็นกำลังสำหรับพระราชอาณาจักรต่อไป
    ข้อสันนิฐานอื่น ๆ มีอยู่ว่า การกวาดต้อนผู้คนกลับพระราชอาณาจักรไทยครั้งนี้ น่าจะได้ช่วยนำคนไทย ผู้ซึ่งถูกพม่ากวาดต้อนเอาไปเป็นเชลย แล้วเอาตัวไว้ใช้งานตามเมืองต่าง ๆ กลับมาด้วย ประการต่อมา สาเหตุที่ยกทัพกลับนั้น นอกจากจะทรงเห็นว่า กองทัพข้าศึกกำลังระดมยกมาจากอีกสามเมืองใหญ่ มีกำลังมากแล้ว เสบียงอาหารของกองทัพไทยก็น่าจะขาดแคลน เพราะมีกำลังพลมาก และล้อมเมืองหงสาวดีอยู่นานถึงสามเดือน ประกอบกับใกล้เข้าสู่ฤดูฝนแล้ว และประการสุดท้าย การที่พระองค์ถอนทัพกลับ โดยที่พม่าไม่ได้ยกติดตามตีหรือรบกวนแต่อย่างใด ทั้งที่มีพลเรือนที่ถูกกวาดต้อนมาเป็นจำนวนมาก เช่นเดียวกับครั้งสงครามประกาศอิสรภาพที่เมืองแครง ก็น่าจะเป็นเพราะพระองค์ดำเนินการถอนทัพ และนำผู้คนพลเรือนกลับมาอย่างมีระบบ โดยให้พลเรือนล่วงหน้าไปก่อน อย่างครั้งสงครามประกาศอิสรภาพ พม่าไม่กล้าติดตาม เพราะได้ทราบบทเรียนจากครั้งนั้น ประกอบกับความเกลงกลัวในพระบรมเดชานุภาพของสมเด็จพระนเรศวร และความเข้มแข็งเก่งกล้าสามารถของกองทัพไทยในครั้งนั้น ทำให้กองทัพไทยถอนทัพกลับได้โดยราบรื่น ปราศจากการรบกวนใด ๆ


    แหล่งที่มา :สมเด็จพระนเรศวรมหาราช - วิกิพีเดีย
     
  6. จงรักภักดี

    จงรักภักดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,229
    ค่าพลัง:
    +2,466
    [MUSIC]http://palungjit.org/attachments/a.922771/[/MUSIC]

    พระนเรศวรมหาราช

    เนื้อร้อง/ทำนอง/ขับร้อง / กัญญนัทธ์ ศิริ
    เผยแพร่เพื่อเป็นธรรมทาน สงวนลิขสิทธิ์ในการใช้หาผลประโยชน์ส่วนตน


    เสด็จไปตีหงสาวดีครั้งที่ ๒

    พ.ศ. 2142 สมเด็จพระนเรศวรทรงมุ่งหมายจะตีเอาเมืองหงสาวดีให้ได้ จึงตระเตรียมทัพยกไปทั้งทางบกและทางเรือ ได้ออกทำการเกลี้ยกล่อมหัวเมืองต่างๆ ให้อ่อนน้อมต่อไทยได้อีกหลายเมือง แม้แต่เชียงใหม่ซึ่งได้ตั้งแข็งเมืองต่อพม่าแล้ว แต่คิดเกรงว่ากรุงศรีสัตนาคนหุตและไทยจะยกทัพไปรุกราน ก็ได้ตัดสินใจยอมอ่อนน้อมมาขอขึ้นต่อกรุงศรีอยุธยาด้วย ส่วนเมืองตองอูกับเมืองยะไข่เมื่อเอาใจออกห่างจากกรุงหงสาวดีไปแล้ว ก็หันมาฝักใฝ่กับไทยและรับว่า ไทยยกทัพไปตีกรุงหงสาวดีแล้ว ก็จะเข้าร่วมช่วยเหลือพระเจ้ายะไข่นั้นอยากได้หัวเมืองชายทะเล ส่วนพระเจ้าตองอูอยากได้เป็นพระเจ้าหงสาวดีแทน สมเด็จพระนเรศวรจึงทรงรับเป็นไมตรีกับเมืองทั้งสองนั้น ในระหว่างนั้นพระมหาเถระเสียมเพรียมภิกษุรูปหนึ่งได้เข้ายุยงพระเจ้าตองอูมิให้อ่อนน้อมแก่ไทย และแจ้งอุบายให้พระเจ้าตองอูคิดอ่านเอาเมืองหงสาวดีเสียเอง พระเจ้าตองอูเห็นชอบด้วยจึงชวนพระเจ้ายะไข่ให้ไปตีเมืองหงสาวดี แล้วพระเจ้าตองอูจะทำทีเป็นยกกองทัพมาช่วยหงสาวดี พอเข้าเมืองได้แล้วก็หย่าศึกกันเสีย และจะแบ่งประโยชน์ให้ตามที่พระเจ้ายะไข่ต้องการ คือจะยกหัวเมืองชายทะเลให้แก่พระเจ้ายะไข่ แต่ครั้งทัพพระเจ้ายะไข่และทัพพระเจ้าตองอูเข้าประชิดเมืองหงสาวดีแล้วก็หาเข้าเมืองไม่ ทั้งนี้เพราะพระเจ้าหงสาวดีเกิดทรงระแวงขึ้น ทัพพระเจ้าตองอูและพระเจ้ายะไข่จึงได้แต่ตั้งล้อมเมืองหงสาวดีไว้
    สมเด็จพระนเรศวรทรงเห็นว่าทางกรุงหงสาวดีกำลังปั่นป่วนจึงเสด็จยกทัพหลวงไปตีหงสาวดี แต่ต้องไปเสียเวลาปราบปรามมอญซึ่งพระเจ้าตองอูได้ยุยงให้กระด้างกระเดื่องเป็นเวลาถึง 3 เดือนเศษ จึงเดินทัพถึงเมืองหงสาวดีช้ากว่ากำหนดที่คาดหมายไว้ ทางฝ่ายพระเจ้าตองอูพระเจ้ายะไข่ซึ่งกำลังล้อมเมืองหงสาวดีอยู่ พอได้ทราบข่าวว่าสมเด็จพระนเรศวรยกกองทัพขึ้นไปกำจัดมอญเมืองเมาะตะมะกำลังเดินทัพมาก็เกรงกลัว และแจ้งให้พระเจ้าหงสาวดีทราบ พระเจ้าหงสาวดีก็จำใจอนุญาตให้พระเจ้าตองอูยกทัพเข้าไปในเมืองหงสาวดีได้ และมอบหมายให้พระเจ้าตองอูบัญชาการรบแทนทุกประการ พระเจ้าตองอูจึงทำการกวาดต้อนผู้คนและทรัพย์สมบัติ รวมทั้งพระเจ้าหงสาวดีไปยังเมืองตองอู ทิ้งเมืองหงสาวดีไว้ให้กองทัพพระเจ้ายะไข่ทำการค้นคว้าทรัพย์ที่ยังเหลืออยู่ต่อไป พอพระเจ้าตองอูออกจากหงสาวดีไปได้ประมาณ 8 วัน กองทัพไทยก็ยกไปถึงเมืองหงสาวดี ครั้นสมเด็จพระนเรศวรได้ทรงทราบว่าพระเจ้าตองอูไม่ซื่อตรงตามคำมั่นที่ได้ให้ไว้ก็ทรงพระพิโรธ จึงเสด็จยกทัพตามขึ้นไปตีเมืองตองอู ได้เข้าล้อมเมืองตองอูอยู่ถึง 2 เดือนก็ไม่อาจตีหักเอาได้ เพราะเมืองตองอูมีชัยภูมิที่ดี ชาวเมืองก็ทำการต่อสู้เข้มแข็ง ประกอบกับฝนตกชุกและทัพไทยขาดเสบียงอาหาร สมเด็จพระนเรศวรจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ยกกองทัพกลับคืนกรุงศรีอยุธยา

    แหล่งที่มา :สมเด็จพระนเรศวรมหาราช - วิกิพีเดีย
     
  7. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,897
    ค่าพลัง:
    +6,434
    [​IMG]

    นำแผนที่ชายแดนไทย-พม่ามาเสริมบทความของพี่จงรักภักดีค่ะ เพื่อให้เห็นระยะทางของเส้นทางเดินทัพในครั้งโบราณและได้ทราบถึงที่ตั้งของเมืองแต่ละเมืองที่มีส่วนเกี่ยวข้องอยู่ในการพระราชสงครามของสมเด็จพระนเรศวรเจ้าท่าน​
     
  8. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,897
    ค่าพลัง:
    +6,434
    พระพุทธคุณมีจริง
    พระธรรมคุณมีจริง
    พระสังฆคุณมีจริง

    คุณแม่เข้าขั้นโคม่าเมื่อวันที่ 2 เมษายน หมอถามไว้ก่อนว่าจะปั้มหัวใจไหม ลูกๆ 5 คนเห็นพ้องกันว่า ถ้าปั้มหัวใจต้องผ่าเอาเส้นเลือดใหญ่ที่คอออกมาเพื่อเอาเครื่องปั้มหัวใจใส่เข้าไป ทุกคนเห็นว่าแม่ไม่น่าจะรับสภาพอันนั้นได้ ดังนั้นเห็นพ้องกันว่า ไม่ต้องปั้มหัวใจ

    ทางสายธาตุให้แม่ท่อง พุทโธ ๆ ๆ ๆ ตั้งใจส่งดวงจิตแม่ให้ถึงที่สุดของสังขารนี้ ระหว่างนี้จิตไประลึกเห็นแม่ยืนอยู่ในที่มืด บอกแม่ในจิตว่าอย่ากลัวนะแม่ ท่องพุทโธต่อไป อย่าได้หวั่นไหว แม่ก็เดินไปตามเส้นทางแสงสว่างที่ส่องมา ระหว่างเดินนะมีกลุ่มควันดำกระทบเข้ามาเหมือนจะดูดท่านไปกับสายลมควันดำนั้น แต่แม่ท่องพุทโธ ๆ ๆ ไม่ถูกควันดำนั้นดูดไป เมื่อควันจางแม่ก็เดินต่อไปตามแสงสว่างนั้น จนได้เห็นพระพุทธรูปปรากฏ แม่ก้มลงกราบ ทันใดนั้นทุกอย่างรอบๆตัวที่จิตเห็น สว่างไสวขึ้นหมด เมื่อสว่างแล้วแม่ก็ไม่กลัว สังเกตุที่ร่างของแม่มีรอยยิ้มด้วย แม่คงจะเห็นเหมือนกัน แล้วแม่ก็หันหลังกลับ เมื่อแม่หันหลังกลับ
    (แสดงว่าแม่ยังไม่ละสังขาร) พี่ชายที่ดูอยู่ที่เครื่องตรวจชีพจรของแม่บอกว่า เครื่องแสดงชัดว่าความดันแม่กลับมาเป็นปกติ หัวใจกลับมาเต้นปกติทันที จากนั้นแม่ก็ดีขึ้นจากภาวะโคม่า จนวันนี้หมอลดยาทุกอย่างและบอกว่า อีกสักอาทิตย์หนึ่งถ้าอาม่า(แม่)ไม่ทรุดลง จะให้กลับบ้านค่ะ ถือเป็นปาฎิหาริย์แห่งพระพุทธคุณโดยแท้ค่ะ

    พระพุทธคุณมี
    พระธรรมคุณมี
    พระสังฆคุณมี

    ชาวพุทธมีของดีอยู่กับตัว พวกเราพากันปฎิบัติให้มากๆจะพบความมหัศจรรย์ได้ด้วยตนเองจริงๆค่ะ

    ข้าพเจ้าขอนอบน้อมกราบพระพุทธองค์ด้วยเศียรเกล้า
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 เมษายน 2011
  9. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,897
    ค่าพลัง:
    +6,434
    ก่อนหน้านี้หนึ่งวันคือวันที่ 1 เมษายน คุณหมอให้ทำใจและเตรียมตัวได้แล้วอาการคุณแม่วิกฤติมากแล้ว ให้เรียกญาติทุกคนมาพร้อมเพรียงกันได้แล้ว ทางบ้านจึงเตรียมจองศาลา ทำรูปแม่สำหรับใช้ในงาน เตรียมพิมพ์หนังสืองานศพ จองโลงศพ เอาเสื้อผ้าของแม่มาเย็บปิดกระเป๋า โทรไปสุสานที่ฝังศพพ่อให้เตรียมสถานที่ไว้ เตรียมของชำร่วย หมดแล้ว พวกเราเตรียมใจจนแม่มีอาการวิกฤตหนักมากในวันที่ 2 เมษายน ทุกคนทำใจกันหมดแล้ว เพราะพี่ชายเขาเรียนมาทางยา เขาบอกว่าคนเราถ้าความดันตกจนถึงขึ้น 70/40 แล้วไม่มีกระเตื้องหรอก ดูเตียงข้างๆซิ (ซึ่งเตียงข้างๆแม่เขาก็เข้าขั้นโคม่าอยู่อีก 2 เตียง ทั้ง2เตียงนั้นเดินทาง(ศัพท์ที่ใช้แทนคำว่าตายนะคะ)เมื่อวันที่ 13 เมษายน หนึ่งคน เดินทางเมื่อวันที่ 14 เมษายนอีกหนึ่งคน มีคุณแม่ท่านเดินทางไปแล้วครึ่งทางแต่ท่านหันหลังกลับมาอยู่กับลูกหลานอีกระยะหนึ่ง เป็นเรื่องแปลก แม่คงมีเหตุผลของแม่ แต่ใดๆในโลกนี้ล้วนไม่เที่ยงแท้ สักวันหนึ่งก็ต้องมาถึง พวกเราทุกคนก็เช่นกัน เพียงเราทำในแต่ละวันให้ดี ไม่อยู่ในความประมาท คงจะได้เดินทางดีไม่ต้องกลัวไม่ต้องตกใจ ได้ไปในที่สว่าง (สวรรค์) คุณแม่จะอยู่กับพวกลูกๆมีนานสักเท่าใดก็แล้วแต่ ตอนนี้ถือว่าเป็นช่วงโบนัสของชีวิต จะพาแม่ทำบุญอย่างเดียว เพราะแม่ได้กำไรชีวิตกว่าคนอื่นอย่างเตียงข้างๆแม่แล้ว นะแม่นะ
     
  10. จงรักภักดี

    จงรักภักดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,229
    ค่าพลัง:
    +2,466
    พระพุทธคุณมีจริง
    พระธรรมคุณมีจริง
    พระสังฆคุณมีจริง

    สาธุ สาธุ สาธุ ครับ

    ได้ทราบว่าสมาชิกในกระทู้หลายท่านก็ได้สวดมนต์ภาวนา และทำสมาธิ แผ่เมตตา
    และบุญกุศลทั้งมวลให้กับคุณแม่ของคุณทางสายธาตุ ด้วย ขอโมทนาสาธุบุญ
    กับทุกท่านด้วยนะครับ
     
  11. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,897
    ค่าพลัง:
    +6,434
    สาธุ สาธุ สาธุ

    ขอบุญกุศลที่ท่านทั้งหลายกรุณาช่วยแผ่บุญมาให้กับคุณแม่ของข้าพเจ้านี้ได้ย้อนกลับไปเป็นบุญกุศลจำนวนมากเป็นร้อยเท่าพันทวีให้กับท่านผู้มีจิตเมตตาทั้งหลายในบัดดลด้วยเทอญ

    ขออนุโมทนายิ่งแล้ว
     
  12. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,897
    ค่าพลัง:
    +6,434
    ทางสายธาตุอ่านกระทู้การฝึกสมาธิสามารถทำให้สัมผัสพลังพุทธคุณ(กดดูเนื้อหากระทู้ที่กล่าวถึงนี้ได้ข้างล่างค่ะ) เคยมีและยังมีอาการบางอย่างที่ทางสายธาตุรับรู้ได้ นั่นคือกระแสที่ออกจากฝ่ามือและกระแสที่รับเข้าทางฝ่ามือ พอได้อ่านในไฟล์ .pdf ในกระทู้นี้แล้วทำให้รู้ว่ามีอาการแบบนี้อยู่ในบุคคลอื่นๆด้วย ได้ความรู้จากการอ่านเยอะเลยค่ะ

    พลังพระพุทธคุณเป็นคุณอย่างยิ่งของชีวิต ทางสายธาตุพยายามระลึกถึงพระพุทธองค์ตลอดเวลาทำที่จะทำได้ โดยจะรู้สึกสำนึกในพระมหากรุณาของพระพุทธเจ้าตลอดเวลา ทำให้รู้สึกสดชื่นและเบิกบานใจมากขึ้นกว่าแต่ก่อนค่ะ พลังพระพุทธคุณเป็นคุณอย่างยิ่งของชีวิตค่ะ

    http://palungjit.org/threads/การฝึกสมาธิทำให้สามารถสัมผัสพลังพุทธคุณ.284171/
     
  13. นารถะสุญญตา

    นารถะสุญญตา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    110
    ค่าพลัง:
    +676
    วันเสาร์ที่จะถึงนี้ ผมและคณะจะทำพิธีบวงสรวงเหรียญสมเด็จพระนเรศวรมหาราชและสมเด็จพระเจ้า ตากสินมหาราช รุ่น "เหรียญมหาราชกู้แผ่นดิน (แผ่นดินทอง - แผ่นดินธรรม)" ณ พระราชวังจันทร์ เมืองสองแคว พระพิษณุโลก เพื่อนำไปแจกจ่ายให้กับผู้ปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่เสี่ยงภัย อันตราย เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจ และคอยคุ้มครองป้องกัน ปัดภัยที่จะเกิดขึ้น ก็ขอเรียนเชิญทุกท่านร่วมกันตั้งจิตอธิฐานขอพลังศรัทธาจากทุกท่าน ส่งไปร่วมกันที่พิธีตั้งแต่เวลา 11: 00 น.- 13:00น.(หากท่านสามารถสวดบทพุทธคุณ "อิติปิโส ภะคะวา อะระหังสัมมาฯ" และ บทพาหุงฯได้จะเป็นการดีโดยตรงและโดยอ้อม ทั้งกับตัวท่านเองและกับงานในพิธี)
     
  14. Florence125

    Florence125 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    55
    ค่าพลัง:
    +6
    [FONT=TH SarabunIT๙]ขออนุโมทนากับคุณนารถะสุญญตา....และขอร่วมจิตอธิฐานด้วยคนนะคะ<O:p</O:p[/FONT]
     
  15. Florence125

    Florence125 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    55
    ค่าพลัง:
    +6



    [FONT=TH SarabunIT๙]ขอนอบน้อมพระพุทธองค์ด้วยเศียรเกล้า....ศรัทธาย่อมก่อให้เกิดปาฏิหาริย์.....ยินดีกับคุณทางสายธาตุและครอบครัวนะคะ.....[/FONT][FONT=TH SarabunIT๙]ป า ฏิ ห า ริ ย์ มี จ ริ ง[/FONT]”<O:p</O:p
     
  16. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,897
    ค่าพลัง:
    +6,434
    ขออนุโมทนากับคุณนารถฯค่ะ
     
  17. จงรักภักดี

    จงรักภักดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,229
    ค่าพลัง:
    +2,466
    ขออนุโมทนา สาธุการ กับคุณนารถะสุญญตาและทีมงาน

    ผมต้องขออภัยที่ไม่สามารถไปร่วมงานในครั้งนี้ได้
     
  18. จงรักภักดี

    จงรักภักดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,229
    ค่าพลัง:
    +2,466
    สงครามครั้งสุดท้ายและเสด็จสวรรคต

    สมเด็จพระนเรศวรกับสมเด็จพระเอกาทศรถ เสด็จยกกองทัพออกจากพระนคร เมื่อวันพฤหัสบดี แรม 8 ค่ำ เดือนยี่ ปีมะโรง พ.ศ. 2148 เสด็จโดยกระบวนเรือจากพระตำหนักป่าโมก แล้วเสด็จขึ้นบนที่ตำบล เอกราชไปตั้งทัพชัย ณ ตำบลพระหล่อ แล้วยกกองทัพบกไปทางเมืองกำแพงเพชรสู่เมืองเชียงใหม่ ครั้นเสด็จถึงเมืองเชียงใหม่ก็หยุดพักจัดกระบวนทัพอยู่หนึ่งเดือน แล้วให้กองทัพสมเด็จพระเอกาทศรถยกไปทางเมืองฝาง ส่วนกองทัพหลวงยกไปทางเมืองหาง ครั้นเสด็จถึงเมืองหางแล้วก็ให้ตั้งค่ายหลวงประทับอยู่ที่ทุ่งแก้ว สมเด็จพระนเรศวรทรงพระประชวรเป็นหัวระลอก (ฝี) ขึ้นที่พระพักตร์ แล้วกลายเป็นบาดทะพิษพระอาการหนัก จึงโปรดให้ข้าหลวงรีบไปเชิญเสด็จสมเด็จพระเอกาทศรถมาเฝ้า สมเด็จพระเอกาทศรถเสด็จฯ มาถึงได้ 3 วัน สมเด็จพระนเรศวรก็เสด็จสวรรคต เมื่อวันจันทร์ ขึ้น 8 ค่ำ เดือน 6 ปีมะเส็ง ตรงกับวันที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2148 สิริพระชนมพรรษา 50 พรรษา รวมสิริดำรงราชสมบัติ 15 ปี สมเด็จพระเอกาทศรถจึงได้อัญเชิญพระบรมศพสมเด็จพระนเรศวรกลับกรุงศรีอยุธยา


    ขอขอบคุณ สมเด็จพระนเรศวรมหาราช - วิกิพีเดีย


    อนึ่งในการสงครามครั้งสุดท้ายของสมเด็จพระนเรศวรมหาราชเจ้า ในครั้งนี้นั้น
    หากบางท่านยังสนใจในบางเรื่อง บางเหตุ และบางผล ท่านสามารถที่จะหาอ่านเพิ่มเติมได้ในกระทู้ http://palungjit.org/threads/ฤๅจะเป็นพระราชปณิธานที่หาญมุ่งขององค์มหาราชพระองค์ดำ.128148/
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 เมษายน 2011
  19. จงรักภักดี

    จงรักภักดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,229
    ค่าพลัง:
    +2,466

    ขออนุญาตเรียนย้ำเตือนมายังท่านที่เคารพนับถือ เพื่อจะได้ไม่ลืมว่าวันที่ ๒๕
    เมษายน เป็นวันคล้ายวันสวรรคตของสมเด็จพระนเรศวรมหาราชเจ้า และจะมี
    พิธีบวงสรวงฯ ในวันอาทิตย์ที่ ๒๔ เมษายน ๒๕๕๔ ที่วัดวรเชษฐ (นอกเกาะ)
    ตั้งแต่เวลา ๙ น.เป็นต้นไป ขอเรียนเชิญครับ

    (ปล.ได้โทร.สอบถามกับพระอาจารย์สิงห์ทน นราสโภ ที่วัดวรเชษฐ เวลาบวงสรวง ๐๙.๐๐ น.)
     
  20. จงรักภักดี

    จงรักภักดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,229
    ค่าพลัง:
    +2,466

    ยินดีต้อนรับคุณ น้องจุ๊บ ครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...