ชุมชนชาวศีล ๕

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย สิกขิม, 17 เมษายน 2011.

  1. สิกขิม

    สิกขิม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    1,310
    ค่าพลัง:
    +6,034
    ชาวพุทธในนามอโศก พากันกระจายกิ่งก้านสาขา

    ตั้งบ้านเรือนชุมชน ทั่วไปในแผ่นดิน

    ล้วนวิถีเกษตรปลอดสารเคมี กินอยู่สมถะละเนื้อ

    ชอบแต่พึ่งพาตนเอง พ้นอบาย ทิ้งวิสัยทุนนิยม

    ด้านจิตใจ ตั้งอยู่ในศีล เปรียบปาน ชาวลับแล



    [​IMG]


    [​IMG]

    [​IMG]


    เมื่อวานนี้ ชวนแม่บ้านไปเที่ยวชุมชนศีรษะอโศก ซึ่งเป็นชุมชนพึ่งตัวเองที่ถูกชวนแล้วหลายครั้ง เป็นแต่ว่ายังอี๋อ๋อรีรอด้วยจังหวะเวลา

    เมื่อมีสิ่งเร้าว่าจะออกแบบหมู่บ้านแซ่เฮอย่างไร จึงตัดสินใจใหม่ ตราบใดที่ยังเดินได้ควรรีบไป ดีกว่ารอให้ถึงเวลาที่งกๆเงิ่นไป

    คิดได้ จึงทำตามที่คิด ยกโทรศัพท์ไปถามคุณขวัญดิน วันนี้อยู่ไหมครับ ท่านแก่นอยู่ไหม ถ้าว่างจะไปคารวะ

    ผมทราบดีว่า นักปฏิบัตินั้นไม่มีวันไหนหรอกที่เขาจะว่าง แต่เมื่อเห็นว่าเราจะไปเยี่ยม ก็เมตตาสละงานรอคอย ผมออกจากสวนป่า ผ่านอำเภอจอมพระ-อำเภอรัตนะบุรี-อำเภอราศีไสล-เข้าตัวจังหวัดศรีษะเกษ

    ต่อไป อำเภอกันทรลักษณ์ อยู่ห่างจากเขาพระวิหารประมาณ 30 กม. ก่อนถึงตัวอำเภอกันทรลักษณ์ 8 กม.มีป้ายศรีษะอโศกต้อนรับอาคันตุกะ เราเลี้ยวแว๊บเข้าไปประมาณ 200 เมตร ก็ถึงจุดศึกษาดูงานเฉพาะกิจในครั้งนี้

    คุณเปิ้นกรุณาถีบจักรยานมารอรับที่ปากทาง ชวนกันเข้าไปอีก 100 เมตร ก็ถึงที่พำนัก ทักทายกันแล้วก็เปิดฝาชี น้ำปั่นสมุนไพรสดถูกนำมาเสิร์ฟ เมนูมังสะวิรัตที่ปรุงด้วยผู้ที่อยู่กับสิ่งนี้มาค่อนชีวิต ผักลวกจิ้มนานาชนิด น้ำพริก ซุปเต้าหู้ผสมเห็ด ผัดแบบขลุกคลิก ผลไม้ปลอดสาร

    นับเป็นมื้อหนึ่งที่เราได้รับประทานอาหารที่อร่อยจนลืมเนื้อ สัตว์ กินไปคุยไปในบรรยากาศกันเอง ช่วยเติมชูรสสติที่ภัตตาคารไหนๆก็จัดให้เราไม่ได้


    [​IMG] [​IMG]

    : การพึ่งพาตนเองด้านอาหารนั้นกระทำได้ไม่ยากนัก
    สุขภาพดีมีค่ากว่าทองคำ

    ดูแลสุขภาพด้วยอาหาร อารมณ์ ออกกำลัง และสมุนไพร
    เราเน้นการป้องกันมากกว่าการรักษา

    จึงประหยัดตัดค่ายาแผนปัจจุบันได้อย่างเบ็ดเสร็จ

    กินเป็น อยู่เป็น คิดเป็น คำตอบก็ผุดพรายขึ้นมา


    [​IMG]

    หลังจากนั้น น้าแก่นได้นำเราออกไปสัมผัสกับกระบวนการเศรษฐกิจพอเพียงที่เกิดจากการ เหนี่ยวนำอย่างสุดฤทธิ์สุดเดช ในการที่จะหาวิธีพึ่งพากันเอง พึ่งพาตนเองให้ครบวงจร

    เราเดินออกไปทางทิศเหนือ มีแปลงนาข้าว อ้อย ไม้ไผ่ และกล้วย ที่แซมด้วยไม้ยางนาเป็นแถว ทุกพื้นที่กำลังบ่มเพาะธรรมชาติให้ฟื้นคืนสภาพอย่างมุ่งมั่น

    [​IMG] [​IMG]


    : น้าแก่นเล่าว่า หลังคณะกลับจากมหาชีวาลัยอีสาน
    ทีมงานตระหนักเรื่องการปลูกไม้ยืนต้นกันคึกคัก

    ต้นไม้ที่ปลูกไปแล้วปีนี้ เราจะให้ปุ๋ยเต็มที่


    เราปลูกเงาะ ทุเรียน ทำไม เราดูแลใส่ปุ๋ยดีนัก

    เราปลูกไม้ยืนต้น ทำไม เราไม่ดูแลใส่ปุ๋ยให้เต็มที่บ้าง


    เราเดินผ่านสระน้ำขนาดใหญ่ แท็งค์น้ำสูง ปัมน้ำส่งกระจายให้ตามแปลงเพาะปลูก แล้วพาไปชมโรงงานผลิตปุ๋ยอินทรีย์ชีวภาพ มีทั้งแบบอัดเม็ดและเป็นผง วัตถุดิบกองเป็นภูเขา ประกอบด้วยแกลบเผา โมลาสจากโรงงาน หินภูเขาไฟบด

    ถ้ามีมูลคนด้วย น้าแก่นบอกว่ายิ่งยอดเยี่ยม เอามาผ่านกระบวนการหมักแล้วจะไม่มีกลิ่นใดๆ ฝ่ายผลิตก็ผลิตไป ฝ่ายบรรจุ ช่างเย็บปากกระสอบ แบกขึ้นรถ 10 ล้อ ทำหมุนเวียนกันไม่ให้ขาดตอน เอาไปใช้เอง และจำหน่ายให้พี่น้องเอาไปทดลองใช้

    เป็นกิจการที่ให้คำตอบในเชิงนโยบายว่า ถ้าจะลดปุ๋ยเคมี จะเอาปุ๋ยอะไรมาทดแทน ที่นี่มีคำตอบ

    [​IMG] [​IMG]


    : ปุ๋ยเป็นปัจจัยการผลิตที่นับวันจะเป็นตัวแปรต้นทุนสูงขึ้นๆ
    ถ้าเราเอาของเสียโรงงานมาผลิตปุ๋ยจะประหยัดได้มาก

    ทดลองผลิต ทดลองใช้ ได้ผลดีมาก
    เครือข่ายไหนสนใจจะผลิตเองก็จะสอนให้


    น้าแก่นพาไปยังโรงครัว ที่นี่มีการหมักเศษอาหารทำแก๊สใช้หุงต้ม มีมาตรวัดปริมาณแก๊ส มีถังเก็บแก๊สขนาดใหญ่ จุดหมักแก๊สอยู่ติดกับโรงครัว

    ที่มีเตากระทะใบบัวเรียงอยู่ 5-6 เตา กิจการนี้อธิบายการพึ่งตนเองด้านเชื้อเพลิงหุงต้มได้อย่างเบ็ดเสร็จ


    [​IMG] [​IMG]


    : เศษอาหารเปลี่ยนมาเป็นสิ่งที่มีค่าด้วยกระบวนการหมัก
    น้ำหมักที่ได้เอาไปรดผักงามกว่าปุ๋ยชนิดใด

    เรื่องเชื้อเพลิงหุงต้มสามารถจัดการได้อย่างพอเพียง
    ปิดบัญชีค่าเชื้อเพลิงได้แล้ว เดินหน้าไปปิดเรื่องอื่นๆ ต่อไป

    น้าแก่นพาเราเดินเข้าไปในหมู่บ้าน ทุกหลังซ่อนตัวอยู่ใต้ต้นไม้ที่ร่มรื่น นอกจากนั้นยังมีศาลาหลังเล็กๆ เรียงแถวสำหรับผู้ที่อยู่อย่างเจียมใจ แบบนกน้อยทำรังแต่พอตัว


    [​IMG] [​IMG]

    : บ้านหลังใหญ่เท่าใด ค่าใช้จ่ายดูแลก็มากขึ้นเท่านั้น
    เป็นภาระให้ต้องเสียเวลามาจัดการทุกวัน

    บ้านแบบพอเพียง จึงมีความหมายต่อคำว่าพอดีพอใช้

    กินอิ่มนอนอุ่นก็พอแล้ว


    เราเดินไปชมโรงสีขนาดใหญ่ ที่น้าแก่นชวนลูกหลานก่อสร้างเองด้วยน้ำพักน้ำแรง ข้าวสารที่ผลิตได้นอกจากบริโภคภายในแล้ว ยังส่งออกไปจำหน่ายให้กับเครือข่ายในต่างประเทศ

    ในส่วนของชาวอโศกเอง จะรับประทานข้าวกล้องที่ทำเป็นข้าวงอก วันต่อวัน เราเดินต่อไปยังโรงงานผลิตเครื่องมือทำการเกษตร โรงงานผลิตสมุนไพรสำเร็จรูป

    จุดสุดท้ายเป็นห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ เต็มไปด้วยสินค้าที่จำเป็นสำหรับชาวบ้านทั่วไป ใครใคร่มาซื้อแบบขายส่งขายปลีกก็ได้ ใครมีสินค้ามาฝากขายก็ได้ เป็นการจัดการที่แม็คโคร - โลตัส ต้องสะดุ้ง


    [​IMG] [​IMG]


    : น้าแก่นเล่าว่า จุดแข็งอยู่ที่ราคาสินค้าเราถูกกว่าที่อื่น
    ชาวบ้านไม่โง่งมงายกันทั้งหมดหรอก

    ทุกคนเริ่มคิดถึงข้อเท็จจริงของประโยชน์ที่ได้รับ
    เป็นการจัดการพึ่งตนเองด้านการตลาดได้อย่างน่าทึ่ง


    เลิกเดินขบวนต่อต้านกันตั้งห้างพวกนั้น
    หันมาตั้งห้างแข่งแบบนี้ สู้ได้สบายมาก
    รายได้หมุนเวียนตกอยู่กับชาวบ้านหลายสิบล้าน


    เรานั่งลงคุยกันเรื่องปัญหาสุขภาพชุมชน เห็นตรงกันว่าควรจะเน้นป้องกันจะง่ายกว่าการรักษา

    จากการค้นคว้าวิจัย ทำให้ได้ความรู้ด้านการป้องกันรักษาโรคในระดับดีมาก มีใครต่อใครเดินทางมาเข้าครอส์สุขภาพคิวไม่ว่างทั้งปี

    ตามเมนูฟื้นฟูสุขภาพจะใช้เวลา 5 วัน 4 คืน ยาสมุนไพรที่ผลิตได้ช่วยลดปัญหาค่าใช้จ่ายเรื่องยารักษาโรคได้มาก เป็นการพึ่งตนเองด้านสุขภาวะที่น่าสนใจมาก


    [​IMG]

    : เรื่องรักษาโรคที่เกิดขึ้นแล้วยกให้โรงพยาบาล
    เรื่องป้องกันการเจ็บป่วยเราจะหาทางช่วยเหลือกัน

    ชวนชาวบ้านปลูกและใช้สมุนไพร
    นำวัตถุดิบไปผลิตเป็นเภสัชชุมชนจำหน่ายราคาเยา

    เราจะไม่เอากำไรจากคนเจ็บป่วยเป็นอันขาด
    ใครอยากเรียนรู้เรื่องการผลิตสมุนไพรก็จะสอนให้


    [​IMG]

    http://lanpanya.com/sutthinun/archives/1780
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 21 เมษายน 2011
  2. สิกขิม

    สิกขิม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    1,310
    ค่าพลัง:
    +6,034
    เครือข่ายชุมชนชาวอโศก <table align="center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"><thead> <tr> <td colspan="6" align="right">
    </td> </tr> </thead> <tfoot> <tr> <td colspan="6" class="sectiontablefooter" align="center">
    </td> </tr> <tr> <td colspan="6" align="right">
    </td> </tr> </tfoot> <tbody> <tr> <td class="sectiontableheader" height="20">
    </td> <td class="sectiontableheader" height="20" width="180">
    </td> <td class="sectiontableheader" height="20" width="150">
    </td> <td class="sectiontableheader" height="20">
    </td> <td class="sectiontableheader" height="20">
    </td> <td class="sectiontableheader" height="20">
    </td> <td class="sectiontableheader" height="20">
    </td> <td class="sectiontableheader" height="20">
    </td> </tr> <tr class="sectiontableentry1"> <td> 01 </td> <td> จังหวัดเชียงราย (ชุมชนดอยรายปลายฟ้า)

    </td> <td> นายสมพงษ์ กุระปะ </td> <td> ๒๕๙ หมู่ที่ ๘ บ้านห้วยบง ต.ท่าสาย </td> <td> เมืองเชียงราย </td> <td> เชียงราย </td> <td> 081-9503163 </td> <td>
    </td> </tr> <tr class="sectiontableentry2"> <td> 02 </td> <td> เครือข่ายชาวอโศก จังหวัดชัยภูมิ (ชุมชนหินผาฟ้าน้ำ)

    </td> <td> นายแผนผา คงนาวัง </td> <td> ๔๒๘ หมู่ที่ ๑๗ บ.นาแก ต.นาหนองทุ่ม </td> <td> แก้งคร้อ </td> <td> ชัยภูมิ </td> <td> 087-2409058 </td> <td>
    </td> </tr> <tr class="sectiontableentry1"> <td> 03 </td> <td> เครือข่ายชาวอโศก จังหวัดชุมพร (กลุ่มธรรมชาติอโศก)

    </td> <td> นายมงคล จันทร์ทรง </td> <td> ๑๒๖ หมู่ ๔ ต.ปากทรง </td> <td> พะโต๊ะ </td> <td> ชุมพร </td> <td> 086-0498448 </td> <td>
    </td> </tr> <tr class="sectiontableentry2"> <td> 04 </td> <td> เครือข่ายชาวอโศก จังหวัดขอนแก่น (กลุ่มแก่นอโศก)

    </td> <td> ไม่ระบุ </td> <td> ๒๓๙ หมู่ที่ ๕ ต.โนนท่อน </td> <td> เมืองขอนแก่น </td> <td> ขอนแก่น </td> <td> 089-7124955 </td> <td>
    </td> </tr> <tr class="sectiontableentry1"> <td> 05 </td> <td> เครือข่ายชาวอโศก จังหวัดตรัง (ชุมชนทักษิณอโศก)

    </td> <td> นางบุษกร กุลมาตย์ </td> <td> ๔๑ หมู่ที่ ๓ ต.บ้านควน </td> <td> เมืองตรัง </td> <td> ตรัง </td> <td> 089-8537162 </td> <td>
    </td> </tr> <tr class="sectiontableentry2"> <td> 06 </td> <td> เครือข่ายชาวอโศก จังหวัดนครปฐม (ชุมชนปฐมอโศก)

    </td> <td> นางสาวใบพุทธ อโศกตระกูล </td> <td> ๖๖ หมู่ที่ ๕ ต.พระประโทน </td> <td> เมืองนครปฐม </td> <td> นครปฐม </td> <td> 085-1790297 </td> <td>
    </td> </tr> <tr class="sectiontableentry1"> <td> 07 </td> <td> เครือข่ายชาวอโศก จังหวัดนครพนม (ชุมชนศรีโคตรบูรณ์อโศก)

    </td> <td> นายประทิน นาชัยเวียง </td> <td> ๑ บ้านปากอูน หมู่ที่ ๗ ต.ศรีสงคราม </td> <td> ศรีสงคราม </td> <td> นครพนม </td> <td> 097-119224 </td> <td>
    </td> </tr> <tr class="sectiontableentry2"> <td> 08 </td> <td> เครือข่ายชาวอโศก จังหวัดนครราชสีมา (ชุมชนสีมาอโศก)

    </td> <td> นางสาวส่องฟ้า ศิริโชติ </td> <td> ๑๔ หมู่ที่ ๑๑ บ้านน้ำซับ ต.วังน้ำเขียว </td> <td> วังน้ำเขียว </td> <td> นครราชสีมา </td> <td> 081-9660227 </td> <td>
    </td> </tr> <tr class="sectiontableentry1"> <td> 09 </td> <td> เครือข่ายชาวอโศก จังหวัดนครสวรรค์ (ชุมชนศาลีอโศก)

    </td> <td> นางสาวศิริวรรม ปั้นวิชัย </td> <td> ๑๑๖ หมู่ที่ ๓ ต.โคกเดื่อ </td> <td> ไพศาลี </td> <td> นครสวรรค์ </td> <td> 087-8485728 </td> <td>
    </td> </tr> <tr class="sectiontableentry2"> <td> 10 </td> <td> เครือข่ายชาวอโศก จังหวัดบุรีรัมย์ (กลุ่มเมฆาอโศก)

    </td> <td> นางสาวกอไผ่ ชาวหินฟ้า </td> <td> ๕๖ หมู่ ๗ ต.บึงเจริญ </td> <td> บ้านกรวด </td> <td> บุรีรัมย์ </td> <td> 081-2679905 </td> <td>
    </td> </tr> <tr class="sectiontableentry1"> <td> 11 </td> <td> เครือข่ายชาวอโศก จังหวัดปราจีนบุรี (กลุ่มบูรพาอโศก)

    </td> <td> นางสาวโกสุม หล้าสมบูรณ์ </td> <td> ๕๑ ถนนหน้าเมือง ต.หน้าเมือง </td> <td> เมืองปรา่จีนบุรี </td> <td> ปราจีนบุรี </td> <td> 089-2074085 </td> <td>
    </td> </tr> <tr class="sectiontableentry2"> <td> 12 </td> <td> เครือข่ายชาวอโศก จังหวัดแพร่ (กลุ่มฮอมบุญ)

    </td> <td> นางจงรักษ์ คลี่ใบ </td> <td> ๔/๑ หมู่ที่ ๕ บ้านป่าไผ่ ต.ไทรย้อย </td> <td> เด่นชัย </td> <td> แพร่ </td> <td> 081-7643436 </td> <td>
    </td> </tr> <tr class="sectiontableentry1"> <td> 13 </td> <td> เครือข่ายชาวอโศก จังหวัดร้อยเอ็ด (ชุมชนร้อยเอ็ดอโศก)

    </td> <td> ไม่ระบุ </td> <td> ๑๑๐ หมู่ที่ ๖ บ้านเหล่าแขม ต.เกาะแก้ว </td> <td> เสลภูมิ </td> <td> ร้อยเอ็ด </td> <td> ไม่ระบุ </td> <td>
    </td> </tr> <tr class="sectiontableentry2"> <td> 14 </td> <td> เครือข่ายชาวอโศก จังหวัดเลย (ชุมชนเลไลย์อโศก)

    </td> <td> นายหินชนวน อโศกตระกูล </td> <td> ๒๔๖ หมู่ที่ ๗ บ้านเอราวัณ ต.ผาอินทร์แปลง </td> <td> เอราวัณ </td> <td> เลย </td> <td> 084-6041141 </td> <td>
    </td> </tr> <tr class="sectiontableentry1"> <td> 15 </td> <td> เครือข่ายชาวอโศก จังหวัดศรีสะเกษ (หมู่บ้านศีรษะอโศก)

    </td> <td> นางสาวนุชนาถ พูลลาภ </td> <td> หมู่ที่ ๑๕ ต.กระแซง </td> <td> กันทรลักษ์ </td> <td> ศรีสะเกษ </td> <td> 085-1176669 </td> <td>
    </td> </tr> <tr class="sectiontableentry2"> <td> 16 </td> <td> เครือข่ายชาวอโศก จังหวัดสิงห์บุรี

    </td> <td> นายก้อนดิน นาวาบุญนิยม </td> <td> ๒ หมู่ที่ ๗ ต.อินทร์ </td> <td> อินทร์บุรี </td> <td> สิงห์บุรี </td> <td> 089-6678245 </td> <td>
    </td> </tr> <tr class="sectiontableentry1"> <td> 17 </td> <td> เครือข่ายชาวอโศก จังหวัดสุรินทร์ (กลุ่มสุรินทร์อโศก)

    </td> <td> นายเจ็ดแก้ว ชาวหินฟ้า </td> <td> 161 หมุ่ 11 บ้านสำโรงน้อย ต.สลักใด </td> <td> เมืองสุรินทร์ </td> <td> สุรินทร์ </td> <td> 0813338001 </td> <td>
    </td> </tr> <tr class="sectiontableentry2"> <td> 18 </td> <td> เครือข่ายชาวอโศก จังหวัดอำนาจเจริญ (กลุ่มสวนส่างฝัน)

    </td> <td> นายอดุลย์ โคลนพันธ์ </td> <td> ๒๑๖ สวนส่างฝัน หมู่ที่ ๑๑ บ้านยาง ต.บุ่ง </td> <td> เมืองอำนาจเจริญ </td> <td> อำนาจเจริญ </td> <td> 089-4241368 </td> <td>
    </td> </tr> <tr class="sectiontableentry1"> <td> 19 </td> <td> เครือข่ายชาวอโศก จังหวัดอุดรธานี

    </td> <td> นางกอใจ ชาวหินฟ้า </td> <td> ๑๕๙ หมู่ที่ ๑๑ ต.บ้านตาด </td> <td> เมืองอุดรธานี </td> <td> อุดรธานี </td> <td> 086-2232394 </td> <td>
    </td> </tr> <tr class="sectiontableentry2"> <td> &nbsp
    </td> <td> เครือข่ายชาวอโศก จังหวัดอุบลราชธานี (หมู่บ้านราชธานีอโศก)

    </td> <td> นางดาวธรรม สิทธิสงค์ </td> <td> หมู่ที่ ๑๐ ต.บุ่งไหม </td> <td> วารินชำราบ </td> <td> อุบลราชธานี </td> <td> 081-7905138 </td> <td>
    </td> </tr> <tr class="sectiontableentry1"> <td> 21 </td> <td> เครือข่ายชุมชนสันติอโศก

    </td> <td> นางสาวฟ่องฟ้า ศรีวรพรกุล </td> <td> ๖๕/๑ ซอยนวมินทร์ ๔๔ ถนนนวมินทร์ </td> <td> บึงกุ่ม </td> <td>
    </td> <td> 081-2782659 </td> <td>
    </td> </tr> <tr class="sectiontableentry2"> <td> 22 </td> <td> เครือข่ายชาวอโศก จังหวัดแม่ฮ่องสอน

    </td> <td> นางสาววิไลวรรณ ศรัทธาธรรม </td> <td> กลุ่มแม่ฮ่องสอนอโศก ๗๒๘ หมู่๑ บ้านหนองปลาก่อ ต.ขุนยวม </td> <td> ขุนยวม </td> <td> แม่ฮองสอน </td> <td> 081-9509754 </td> <td>
    </td> </tr> <tr class="sectiontableentry1"> <td> 23 </td> <td> โรงเรียนสัมมาสิกขาสันติอโศก

    </td> <td> นางสาวฟ่องฟ้า ศรีวรพรกุล </td> <td> ๖๕/๑ ซอยนวมินทร์ ๔๔ ถนนนวมินทร์ </td> <td> บึงกุ่ม </td> <td>
    </td> <td> 081-2782659 </td> <td>
    </td> </tr> <tr class="sectiontableentry2"> <td> 24 </td> <td> โรงเรียนสัมมาสิกขาปฐมอโศก

    </td> <td> นางสาวช่วยบุญ จันทร์รักษา </td> <td> ๖๖/๖๕ หมู่ที่ ๕ ต.พระประโทน </td> <td> เมืองนครปฐม </td> <td> นครปฐม </td> <td> 034-258470 </td> <td>
    </td> </tr> <tr class="sectiontableentry1"> <td> 25 </td> <td> โรงเรียนสัมมาสิกขาศีรษะอโศก </td> <td> นายขวัญดิน สิงห์ดำ </td> <td> 188 ม.8 ถ.สินประดิษฐ์ ต.น้ำอ้อม </td> <td> กันทรลักษ์ </td> <td> ศรีสะเกษ </td> <td> 045-635601 </td> <td>
    </td></tr></tbody></table>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 17 เมษายน 2011
  3. ถาวโร(ถา-วะ-โร)

    ถาวโร(ถา-วะ-โร) เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กันยายน 2007
    โพสต์:
    645
    ค่าพลัง:
    +672
    กินเป็น อยู่เป็น คิดเป็น คำตอบก็ผุดพรายขึ้นมา

    อนุโมทนาครับ ชุมชนน่าอยู่จังเลย
     
  4. สิกขิม

    สิกขิม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    1,310
    ค่าพลัง:
    +6,034
    เป็นชุมชนต้นแบบ เหมาะแก่ยุคนี้ ถึงยุคหน้า

    ย้อนรอย ใช้ชีวิตดีงาม เยี่ยงปู่ย่าตายาย

    พึ่งพิง หนึ่งสมอง สองมือ กับพลังใจใฝ่ดี

    คือใบเบิกทาง ให้รอด ปลอดพิบัติ โดยยั่งยืน



    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]

    [​IMG]
     
  5. tum399

    tum399 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    732
    ค่าพลัง:
    +2,908
    สวยมากมากกกกกกกกก ที่ไหนเนี่ย เมืองไทยเราหรือเปล่า
     
  6. สิกขิม

    สิกขิม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    1,310
    ค่าพลัง:
    +6,034
    เรื่องชาวกายทิพย์ที่เรียกว่าชาวลับแล ซึ่งนำมาจาก


    http://pansuwan-br.blogspot.com/p/blog-page_8994.html

    อันเป็นประสบการณ์ ของพระคุณเจ้าท่านหนึ่ง


    ไม่เกี่ยวข้องกัน กับใจความเรื่องชาวอโศก


    การนำมารวมไว้ ด้วยเห็นว่า ชาวอโศกเป็นผู้มีศีลธรรมหนักแน่น


    เปรียบได้กับชาวลับแล



    [​IMG]


    ประสบการณ์จริง
    จาก พระอาจารย์บำรุง อุปฏฺฐาโฏ




    ในช่วงก่อนเข้าพรรษา อาตมามีโอกาสได้ขึ้นไปเจริญกัมมัฏฐานบนยอดเขาสารพัดดี ซึ่งทราบว่า ก่อนหน้านี้ ไม่เคยมีพระ/ชี องค์ใด กล้าขึ้นไปองค์เดียวในเวลากลางคืน

    เพราะว่า หลวงพ่อใหญ่ (สังวาลย์ เขมโก) และหลวงพ่อสำรวม สิริภทฺโท สั่งห้ามไว้ ด้วยเกรงว่าจะมีภัยอันตราย ที่คิดไม่ถึงจะเกิดขึ้น หากควบคุมสติไม่อยู่ แล้วก็เกิดขึ้นจริงๆ​

    ในคืนนั้น เป็นคืนเดือนมืดสนิท หลังจากทำวัตรเย็น/ปฏิบัติกัมมัฏฐานเสร็จเรียบร้อย (๒๑.๐๐ น. กว่า) อาตมาก็แบกกลดขึ้นไปองค์เดียวทุกอย่างเงียบกริบ จนรู้สึกน่าวังเวง ไม่มีเสียงลม, ไม่มีเสียงสัตว์ แม้เสียงนกสักตัว ก็ไม่มีร้องเลย

    ในระหว่างทาง มีความรู้สึกว่ามีแสงไฟปรากฏตามหลังไปเป็นระยะๆ ตลอดทาง ครั้นเหลียวกลับไปดู ก็ไม่พบใคร

    เมื่อใกล้จะถึงยอดเขา ในโค้งสุดท้าย พลันก็ได้ยินเสียงร้อง “แบ๊ะ” ใกล้ตัว เสียงนั้นดังมาก เมื่อฉายไฟไปตามต้นเสียง สิ่งที่พบ ก็คือ เลียงผาตัวมหึมา กำลังกระโจนหนีอาตมา ด้วยความตกใจกลัวภัยจะมาถึงตัว เล่นเอาใจหายเหมือนกัน

    ครั้นถึงยอดเขา มีพระกัสสปะ ล้ำค่าคู่โบสถ์เก่า พระก่อนนี้ ที่นี่เคยเป็นวัดร้างมาก่อน ถัดไปด้านหลัง เป็นพุทธบาทจำลองขนาดใหญ่ สวยงามมาก หลังจากกราบพระประธานเรียบร้อยแล้ว ก็เจริญกัมมัฏฐาน ภาวนาไปเรื่อยๆ

    บนยอดเขาคืนนี้ ลมแรงมาก เสียงใบไม้ไหวกระทบกัน ดังสลับกับเสียงลมตลอดเวลา ผสมกับเสียงกระดิ่งชายคาโบสถ์และเสียงไม้บนหลังคา หดตัวด้วยความเย็น ดังสลับกันอยู่อย่างนั้นตลอดเวลา

    ตกดึก อากาศเริ่มเย็นลง พลันก็ได้ยินคล้ายมีเสียงคนมาเดินวนอยู่ใกล้ๆ ไป-มา ครั้งแล้วครั้งเล่า เสียงนั้นก็ยังไม่หยุด พลันก็นึกถึงคำของครูบาอาจารย์เคยบอกว่า

    “ขณะเจริญกัมมัฏฐาน หากได้ยินเสียงอะไร ไม่ต้องไปสนใจให้เจริญกัมมัฏฐานไปเรื่อยๆ”

    เสียงนั้นก็ยังไม่ยอมหยุดสักที อาตมาคิดในใจ “ใครกันนะ มาเดินอยู่ได้”

    ด้วยความอยากรู้ จึงตัดสินใจลืมตาขึ้นดูทันที สิ่งที่พบตรงหน้า ก็คือ ความว่างเปล่า แล้วเสียงนั้นมาจากไหนละ.

    เวลาผ่านไปจนรุ่งเช้า ๐๒.๐๐ น. หลังจากเก็บกลดและกราบลาพระประธานแล้ว ก็ลงจากยอดเขา (ต้องทำวัตรเช้า เวลา ๐๓.๐๐ น.)

    แต่พอลงพ้นโบสถ์ได้สักหน่อย ไฟฉายที่ใช้ประจำ ก็ดับไม่ยอมติดซะงั้น “เอาอีกแล้ว” อาตมาคิดในใจ ค่อยๆกำหนด พุท-โธ ลงไปเรื่อยๆ อย่างมีสติช้าๆ เพราะเป็นคืนเดือนมืด

    เกือบจะถึงครึ่งทาง ก็ชนเข้ากับลำไผ่ที่ล้มลงมาขวางทางได้อย่างไร ไม่ทราบเหมือนกันถึง ๒ ต้น ก็กำหนดไผ่หนอ ไม่ตกใจ

    พอถึงช่วง ๒ โค้งสุดท้าย มีต้นไม้ปกคลุมทางหนาทึบมาก เดิมก็มองอะไรแทบไม่เห็นอยู่แล้ว ที่ลงมาได้ก็อาศัยความจำและความชินทางบ้างเท่านั้น

    แต่ช่วงนี้ยิ่งมืดสนิทจนจำอะไรไม่ได้เลย จะไปถูกหรือคงตกเขาตายคืนนี้กระมังเรา อาตมาคิดในใจยังไม่คิดขาดคำ ก็ปรากฏแสงสีขาวนวลลอยเด่น สว่างขึ้นจนเห็นทางเดินได้อย่างชัดเจน

    ก็พิจารณาว่า ต้นกำเนิดแสงนั้นมาจากไหน เพราะช่วงนี้ เขาชันและทึบมาก จากกุฏิพระหรือก็ไม่ใช่ เพราะแถวนั้นไม่มีกุฏิ แสงลอดมาจากยอดเขาหรือ ก็ไม่ใช่อีก แล้วแสงนั้นมาจากไหน แถมซ้ำยังไม่ยอมดับอีก สว่างไสวอยู่ตลอดเวลา ลอยตามมาตลอดทาง

    จนอาตมาลงถึงเชิงเขาข้างล่าง แสงนั้นก็พลันหายไปอาตมาคิดว่า คงจะเป็นแสงจากบ้านของชาวลับแล หลังใดหลังหนึ่ง หรือไม่ก็คงเป็นแสงที่เกิดจากอำนาจของเทพยดาองค์ใดองค์หนึ่ง ตั้งใจส่องทางให้อาตมา คิดได้ดังนั้นก็นึกขอบคุณท่านอยู่ในใจ

    อาตมาคิดว่า ในคืนนั้น ถ้าหากอาตมาเกิดความตกใจ หวาดกลัวแล้วรีบลงมาจากยอดเขาเลย ถ้าไม่เสียสติ ก็คงจะตกเขาตาย เช็คบิลล์ไปเรียบร้อยแล้วในคืนนั้นเอง

    ในคืนที่ ๒ ถัดมา เมื่อขึ้นไปถึงโค้งกลางทาง ตรงที่มีลำไผ่ล้มขวางทางคืนก่อน มีความรู้สึกว่า มีชายผิวคล้ำ ร่างสูงใหญ่มายืนขวางทางอยู่

    พลางอาตมาก็นึกขึ้นในใจว่า “อาตมา จะขึ้นไปบำเพ็ญเพียรภาวนาบนยอดเขา โยมมีธุระอะไรกับอาตมาไหม หากไม่มี อาตมาขอทาง”

    ร่างนั้น ถอยหลังไป ๒ – ๓ ก้าว แล้วก็หายไปในความมืด เมื่อผ่านโค้งไป ประมาณสัก ๕ เมตร ก็มีชายในชุดขาวล้วน ๓ คน มานั่งพนมมือ ต้อนรับ ส่งอาตมาอยู่ข้างทางขวามือ

    อาตมาเดินต่อไปเรื่อยๆ จนถึงยอดเขา หลังจากนั้น อาตมาก็ขึ้นไปเจริญกัมมัฏฐานภาวนา องค์เดียวบนยอดเขาอีกหลายครั้ง

    ในระหว่างทาง ทุกครั้งเต็มไปด้วยความอบอุ่น มีความรู้สึกว่า มีใครมาคอยรับ ส่งอยู่ข้างทางมากมาย ตลอดเวลาทั้งไปและกลับ รวมทั้งพบเห็นสัตว์ป่าเรียงรายอยู่ข้างทางมากมายตลอดทาง

    ในช่วงปี ๒๕๓๕ นั้น อาตมามีโอกาสได้พบเห็นแสงประหลาด สีขาวนวลนั้น อีกครั้งหนึ่ง เมื่อคราว เก็บอารมณ์ เข้าห้องปฏิบัติกัมมัฏฐานภาวนา

    ๘ ธ.ค. ๒๕๓๕ (เวลาประมาณ ๐๔.๐๐ น.) อาตมาไปสอบอารมณ์กับหลวงพ่อสำรวม สิริภทฺโท ที่กุฏิของท่าน เป็นครั้งแรกโดยลัดไปตามชั้นของไหล่เขา เพราะความไม่ชินทาง

    ประกอบกับความมืด จึงหลงทางคนละชั้นของไหล่เขา เดินเลยกุฏิของท่านไปไกลโดยไม่รู้ตัว พลันปรากฏแสงสีขาวนวลมาทางด้านหลัง ตรงกับกุฏิของหลวงพ่อพอดี สักครู่หนึ่ง แสงนั้นก็หายไป

    หลังจากที่หลวงพ่อสอบอารมณ์เรียบร้อยแล้ว ก็เรียนถามท่านว่า “ก่อนที่กระผมจะมาถึง หลวงพ่อได้เปิดไฟนีออนบ้างหรือเปล่า” ท่านตอบ “เปล่า” แล้วแสงสีขาวนวล ที่อาตมาเห็นนั้นล่ะ! เป็นแสงอะไร แล้วมาจากไหน?




    เรื่องชาวลับแลที่เล่าสืบกันมา

    ความมัวในหมอกเมฆ

    เมื่อวัดไกลกังวลกลับสภาพย้อนยุคอีกครั้ง จำเนียรกาลนานเนิ่นก็กลายเป็นถิ่นที่ศักดิ์สิทธิ์เหมือนคนรุ่นเก่าๆ เล่ากันสืบมา น้อยคนนักที่บุกป่ารกทึบจนถึงยอดเขา เพราะเกรงกลัวจะเผชิญกับ... “ชาวลับแล”



    ชาวลับแล

    ในความรู้สึกของคนทั่วไป ชาวลับแล คือ ผู้สำเร็จวิชากลุ่มหนึ่ง จึงมีกายเป็นทิพย์ อายุยืน ใจบุญอยู่ในศีลในสัตย์ อาศัยในโลกหยาบๆ ของมนุษย์ แต่คนธรรมดามองไม่เห็น

    ในขณะเดียวกัน คนเราธรรมดาถ้ามีศีลสัตย์หรือมีบุญ ชาวลับแลจะจำแลงให้เห็นให้สัมผัสให้อยู่ร่วมด้วยก็ยังได้ บางท่านกล่าวว่า แม้หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค ก็ยังสร้างบารมีอยู่ในเมืองลับแล ฟังแล้วงุนงงสงสัย

    ใกล้ๆ ยอดเขา เดิมทีมีถ้ำเก็บสมบัติส่วนกลางมี หม้อ ไห โตก ถาด ชาม ช้อน คือ สารพัดชนิด ที่ชาวบ้านจะยืมเอาไปใช้ในงานบุญกุศลได้ ถ้ำนี้เปิดเสมอสำหรับผู้มุ่งมาเพื่อเอาไปใช้ในงานสำคัญ ถ้ามาเที่ยวมาชมจะไม่มีโอกาสเห็นได้เลย ทุกบ้านทุกงานยืมไปแล้วต้องนำมาคืนให้ครบ

    ในสมัยนั้น ความศรัทธาและความนับถือผนวกกัน ทำให้รู้สึกกลัวๆ กล้าๆ ฉะนั้นสิ่งของทุกชิ้นเอาไปเท่าไรเอามาคืนเท่านั้น ไม่มีใครจงใจและตั้งใจเก็บงำเอาไว้เพื่อตน เพราะเป็นของเขาสารพัดดี มันงามแตกต่างจากของชาวบ้านอย่างไม่ต้องสังเกตก็รู้ได้

    เวลาที่ผ่านไป ใจคนก็แปรเปลี่ยนไปด้วย ในที่สุด ชาวลับแลก็ต้องปิดถ้ำสมบัติกลาง เพราะผู้ยืมไปแล้วเจตนาส่งคืนไม่ครบ ชาวลับแลถือว่า คบกันไม่ได้ เหตุจากคนคิดไม่ซื่อ ขโมยจากบ้านเจ้าภาพบ้าง เจ้าภาพหมกเม็ด เอาของเทียมผสมมาคืนบ้าง เป็นต้น

    แต่เล่ากันว่า ของเหล่านั้นก็กลายเป็นหิน เป็นใบไม้ไปจนหมด ไม่มีใครได้ครอบครองสมบัติของชาวลับแลไว้ในสภาพที่เคยเห็น


    น้ำฝนปนน้ำท่า

    มีชายชราเดินลงมาจากเขาสารพัดดี ลัดเลาะเข้าสู่หมู่บ้าน แล้วถามหาหมู่ญาติ ซึ่งชาวบ้านรุ่นเก่าเล่าว่า คนที่ชายชราถามหานั้น เป็นคนรุ่นทวด คือ พ่อของปู่อีกทีหนึ่ง ซึ่งพอจะจำชื่อจากการบอกเล่าของพ่อแม่ไว้ได้

    ชายชรานี้อ้างว่าเป็นลูกหลานของเขา เมื่อต้อนรับเลี้ยงข้าวเลี้ยงน้ำเสร็จ จึงได้เล่าประวัติชีวิตให้ฟังด้วยเสียงแผ่วเบาเศร้าสร้อยว่า

    “เมื่อรุ่นหนุ่ม อายุ ๑๗ – ๑๘ ปี ขณะฝูงควายที่เลี้ยงไปเล็มหญ้าเขียวขจีง่วนอยู่ เขาก็ได้เดินชมแมกไม้ บริเวณชายเขาสารพัดดี เลาะตามเนินขึ้นไปๆ แล้วพบหมู่บ้านเป็นทรงไทยเรือนไม้ มีคนอยู่ในหมู่บ้านนับได้เป็นร้อยๆ หลังคาเลยทีเดียว

    เขาเดินเข้าไปในหมู่บ้านพบคนอัธยาศัยดีพูดจาสุภาพ เขาเดินชมบรรยากาศรอบหมู่บ้าน ทักทายคนแปลกหน้าเหล่านั้นไปเรื่อยๆ จนรู้สึกคอแห้งกระหายน้ำ ได้ขอน้ำบ้านหนึ่งดื่ม แล้วได้คุยกัน เขาถูกชวนขึ้นบ้าน

    เป็นบ้านสะอาด กระดานพื้นถูกถูจนขึ้นเงา ได้ทานข้าว ได้พบหน้าลูกสาว เขาชวนให้อยู่ด้วย แปลกที่ความรู้สึกต่างๆ หนหลังเริ่มเลือนไปจากความเป็นห่วง ช่วยเขาทำงาน ในบ้าน นอกบ้าน และที่สุดก็ได้เป็นเขยใหญ่ในหมู่บ้านนั้น

    เขามีความสุข ปราศจากความระแวงใดๆ เพราะในหมู่บ้านสอนกันสืบมาว่า ต้องมีความซื่อสัตย์ ขยันทำดี และอดทนต่ออารมณ์ที่ทำใจให้เร่าร้อน ทะยานอยากทั้งปวง เป็นสังคมที่น่าอยู่อย่างยิ่ง

    เรามีบุตรด้วยกันคนหนึ่งน่ารักน่าชัง เขาซนแต่เชื่อฟัง นี่เขาเพิ่งได้ ๓ ขวบ เมื่อวานเขาตามไปไร่ด้วยกัน เขาชอบวิ่งเล่น เราเลยขู่เขาว่“อย่าวิ่งไปไกลนะเดี๋ยวเสือมันเห็นมันจะกินเอา”

    เขาวิ่งไปพักหนึ่งแล้วกลับมาบอกว่าไม่เห็นมีเสือสักตัว เราก็เลยขู่ต่อไปว่า “เห็นไหมเสืออยู่หลังพุ่มไม้นั่น มันหิวด้วย”

    ลูกเขาชะเง้อมองโยกซ้ายขวา อยากจะเห็นแต่เขาไม่กล้าเข้าไปใกล้ หลังจากเรากลับบ้าน พอดื่มน้ำแก้กระหาย เมียและพ่อตาแม่ยายก็มาพร้อมหน้า เขาว่าเราอยู่ด้วยกันไม่ได้อีกต่อไป เพราะเราพูดปดมดเท็จ

    เรางงมากว่าเรื่องอะไร ก็เรื่องหลอกลูกให้กลัว เสือไม่ได้อยู่หลังพุ่มไม้อย่างที่เราพูด นี่คือความเท็จ มันเป็นเรื่องปัจจุบันทันด่วน เราตั้งตัวไม่ติด อะไรจะมาไล่เราออกจากบ้านง่ายๆ เราก็โกรธ เมียเราก็รัก ลูกเราก็ห่วง ทุกคนตกอยู่ในความเศร้า

    เราเองมันเหมือนฝันไปหรือเปล่า แต่มันคือความจริง แม่ยายเอาหัวขมิ้นมากำหนึ่งส่งให้แล้วบอกว่า นี่คือสมบัติจะให้ติดตัวไป เราเห็นเป็นขมิ้นก็ใส่กระเป๋าเสื้อมาด้วย พอลงจากบ้าน ก็เลยควักมันทิ้งเสียส่วนหนึ่งด้วยความโกรธ และไม่รู้ว่าจะไปไหนดี จึงก้มหน้าก้มตาเดินออกจากบ้าน

    ไม่ถึงอึดใจ เงยหน้าขึ้นมาหมู่บ้านหายไปหมด เราตกใจมากไปทางไหนก็ไม่ถูก สำรวจตัวเองยังอยู่ครบ แต่มันแก่จนเดินจะไม่ไหวก็ย่องแย่งลงมาทางตีนเขาอย่างเดียว

    เหนื่อยมากคอแห้ง นึกถึงขมิ้นที่แม่ยายให้มา คิดว่า ถ้าได้เคี้ยวสักหน่อยคงเรียกน้ำลายแก้คอแห้งไปได้ ล้วงเข้าไปในกระเป๋าเหลืออยู่ ๓ ชิ้น

    มันไม่ใช่ขมิ้น แต่มันเป็นทองอย่างที่เห็นอยู่ที่นี่แหละ เสียดายถ้าไม่ควักทิ้งน่าจะมีไม่น้อยกว่า ๖–๗ ตำลึง (หนัก ๒๔–๒๘ บาท)

    เมื่อมาพิเคราะห์ดู เวลาน่าจะผ่านไปไม่น้อยกว่า ๑๒๐ ปี ในเมืองเขาลูกเราแค่ ๓ ขวบ เราอยู่กันประมาณ ๔ ปีเต็มๆ ก็เท่ากับว่า ๓๐ ปีบ้านเรา เท่ากับ ๑ ปีบ้านเขา” (๖ เดือน เท่ากับ ๑๕ ปี, ๑ เดือน เท่ากับ ๒ ปีครึ่ง)



    ลับแลสร้างบุญ

    เล่ากันว่า ที่เขาดินสอ มีหินก้อนกลมๆ มากมาย ถ้าขึ้นไปงัดเอาก็ได้ แต่ต้องมาสกัดให้มันกลม เพื่อทำลูกนิมิต โบสถ์หลังหนึ่งใช้หิน ๙ ก้อน ต่อมามีคนเอาดีต่อดี เอาบุญต่อบุญเป็นไวยาวัจมัย ก็ใช้วิธีจุดธูปขอต่อชาวลับแล ขอตอนเย็นๆ ใกล้ค่ำ รุ่งเช้าไปขนได้เลย

    จะได้หินที่กลมกลึงขนาดเดียวกัน ๘ ลูก ขนาดใหญ่ ๑ ลูก เป็นนิมิตลูกเอก เรื่องนี้เล่าลือกันไปทุกสารทิศ ในที่สุดด้วยความคิดเอาง่ายๆ ของคน เมื่อได้ไปแล้วแทนที่จะเอาไปทำจริงๆ กลับเอาหินอื่นทำนิมิตแทน

    เอาของชาวลับแลตั้งไว้บนศาลปิดทองเป็นของศักดิ์สิทธิ์ หลังจากงานฝังลูกนิมิตผ่านไป หินนั้นก็กลายเป็นดินก้อนกลมๆ เมื่อถูกฝนเปียกน้ำก็กร่อนยุ่ยผุพังไปในเวลาอันสั้น ด้วยเหตุดังกล่าว ชาวลับแลเลยไม่เชื่อใจมนุษย์ ไม่ทำลูกนิมิตแจกอีกเลย


    “เมื่อสัจจะ วาจาหาไม่ได้ จะเชื่อเพียงไร ก็ไร้ผล

    เมื่อสัจจะไม่อยู่ ในหมู่คน เทวดาก็จน ปัญญาเอย”


    โอ่งลับแล

    ด้านทิศตะวันออกของเขาสารพัดดี เป็นที่ราบต่ำลงไปจนถึงบึงฉวากไกลลิบ ในฤดูแล้งวันหนึ่ง เวลากลางวันแสกๆ แดดร้อนจัด พลันก็เกิดมีเสียงลมอื้ออึงทั่วบริเวณยอดเขาสารพัดดี ใบไม้ต้นไม้ไหวเอนไปตามลม

    ในพริบตานั้นเอง ก็มีโอ่ง ๓ ใบ กลิ้งลงมาจากยอดเขา ลงไปทางบึงฉวาก เหล่าเด็กเลี้ยงควายเห็นเข้าก็ตกใจไม่ทันตั้งสติ โอ่งใบแรกจึงกลิ้งหายลงไปในบึงฉวาก ช่วงนี้เด็กเลี้ยงควายเริ่มมีสติมากขึ้น จึงช่วยกันดักกั้นตีโอ่งใบที่ ๒ แตกกระจายตรงนั้นเอง

    ส่วนโอ่งใบที่ ๓ ดักกั้นไว้ไม่ทัน จึงกลิ้งตรงไปยังหมู่บ้านสาวชุม-หนุ่มหลง (ปัจจุบัน คือ บ้านเชี่ยน) แล้วกลิ้งเลย ลงไปในสระบัว ด้านเหนือกุฏิเจ้าอาวาส วัดบ้านเชี่ยน (วัดพิชัยนาวาส) ปัจจุบัน สระนี้ได้ถมแล้ว

    ทางวัดได้เก็บโอ่งแตกใบนี้ไว้อย่างดี มาจนสมัยสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ บิดาแห่งประวัติศาสตร์ไทยเสด็จหัวเมืองต่างๆ เพื่อชำระและหาข้อมูลทางประวัติศาสตร์ จึงขอโอ่งอภินิหารนี้ ไปเพื่อสืบค้นว่า โอ่งนี้มาจากสมัยใด ใครนำมาจากไหน และแล้วก็เงียบหายไปตราบจนทุกวันนี้


    [​IMG]
     
  7. Aqua-ma-rine

    Aqua-ma-rine เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 เมษายน 2008
    โพสต์:
    820
    ค่าพลัง:
    +1,242
    ชาวลับแล (ของจริง) คงจะเป็นคนในอีกมิติ บางทีอาจจะมีมิติอย่างนี้อยู่หลายจุด เคยได้ยินตำนานของชาวลับแลหลายแบบเหมือนกันนะ ของฝรั่งก็มีอะไรคล้ายกัน ประมาณว่า เป็นเรื่องมิติประตูเวลาเปิดออก แล้วมีคนบังเอิญหลงเข้าไป

    ถ้าของไทย คนที่มักจะได้เจอก็จะเป็นพระที่ท่านเก่งวิปัสนา
     
  8. สิกขิม

    สิกขิม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    1,310
    ค่าพลัง:
    +6,034
    ควรเร่งแล้ว ถึงเวลาเปลี่ยน รหัสกรรม


    ต่างคน ต่างเปลี่ยนได้ โดยตน


    มิต้องรอ เบื้องบน ปลดเปลื้อง


    ผู้ใดเคย กระทำล้วน กรรมร้าย


    เร่งสลาย ให้เป็น กรรมประเสริฐ


    เมื่อมวลรวมกรรม ประชาชาติ


    กลายเป็นกรรมสะอาด ดุจเกลือ


    เมื่อนั้น จึงผ่านยุคเข็ญ
     
  9. ชัยมงคล

    ชัยมงคล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กันยายน 2007
    โพสต์:
    426
    ค่าพลัง:
    +2,473
    กลุ่มสันติอโศกมีสายตาที่ยาวไกลมาหลายสิบปี
    มองได้ทะลุว่าอนาคตสังคมโลกจะเป็นอย่างไร
    ตอนนี้ภาพเริ่มชัดแล้ว
    พวกเราสายตาสั้นเพิ่งมาเริ่มได้ไม่นาน
    เพราะมันยากเหลือเกินที่จะสลัดออกจากสังคมยุคนี้
    มันมีผังชีวิตทุนนิยมขีดเส้นให้เราต้องเดินตาม
    ต้องเรียนให้สูง ต้องมีงานที่ดี มีเงินเดือนเยอะๆ
    ตัวเราเองมาได้แต่ลูกเมียยังรับไม่ได้
    คงต้องรอให้ผังมันพังเสียก่อน อีกไม่นาน
    เพราะเรียนสูงๆแต่ไม่มีอาหารจะกิน
    วันนี้หมูเป็ดไก่ไข่ขึ้นราคาอีก
     
  10. สิกขิม

    สิกขิม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    1,310
    ค่าพลัง:
    +6,034
    อโศกเขา ก้าวไปก่อน จึงผลิดอกออกผลให้เห็นแล้ว

    ว่าหาอยู่หากินอย่างสมถะ จะกลมกลืนกับยุคเข็ญ เช่นไร

    รูปรอยวันนี้ มีบ่งบอกโดยทั่ว ทั้งภัยธรรมชาติ ภัยคน

    แม้ปิดตาลงหนึ่ง ปิดหูอีกหนึ่ง ยังได้รับรู้
     
  11. สิกขิม

    สิกขิม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    1,310
    ค่าพลัง:
    +6,034
    พึ่งตนได้เป็น ดี

    ไม่ว่า ที่นี่ หรือ ที่ไหน



    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%"><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>หมู่บ้านยางดอง รุ่มรวยวิถีชนบท มรดกโลกใหม่แห่งเกาหลีใต้</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=middle><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=4><TBODY><TR><TD class=body vAlign=middle align=left></TD><TD class=date vAlign=middle align=left>www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9540000049758]Travel


    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 2 กันยายน 2011
  12. Aqua-ma-rine

    Aqua-ma-rine เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 เมษายน 2008
    โพสต์:
    820
    ค่าพลัง:
    +1,242
    <TABLE id=threadslist class=tborder border=0 cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%" align=center><TBODY id=threadbits_forum_178><TR><TD id=td_threadtitle_287924 class=alt1 title="">[​IMG] [/RIGHT]
    </TD><TD class=alt1 align=center>11</TD><TD class=alt2 align=center>333</TD></TR></TBODY></TABLE>


    ดูเลข 333 = 9 + 11 = 2 -----> 11 เจอเลขนี้บ่อยตั้งแต่ปีที่แล้ว
     
  13. สิกขิม

    สิกขิม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    1,310
    ค่าพลัง:
    +6,034
    ฝึกฝนกาย ใจ ให้เดินตามรอยวิถีพอเพียง


    แห่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ศูนย์ภูมิรักษ์ธรรมชาติ




    [​IMG]




    [​IMG]



    [​IMG]




    หลักสูตรการฝึกอบรม



    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    ศูนย์ภูมิรักษ์ธรรมชาติ
    เลขที่ ๙๘/๑ ม.๒ บ.ท่าด่าน ต.หินตั้ง อ.เมือง จ.นครนายก ๒๖๐๐๐
    ห่างจากเขื่อนขุนด่านปราการชล ๒๐๐ เมตร
    ผู้ประสานงานศูนย์ภูมิรักษ์ธรรมชาติ จ.นครนายก

    อันธิกา สโมสร ธุรการประสานงาน เบอร์โทรศัพท์สำนักงาน 037-384-049, โทรสาร 037-384-049

    โทรศัพท์มือถือ 08-6549-0918


     
  14. ขุนพิฆาต

    ขุนพิฆาต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    415
    ค่าพลัง:
    +1,704
    น่าไปพักค้างแรมชื่นชมธรรมชาตินิ....ขอบคุณที่นำมาฝากให้ได้ชมกัน
     
  15. 99kansita

    99kansita เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    77
    ค่าพลัง:
    +310
    ชอบบรรยากาศค่ะ ดูแล้ว สงบกาย สงบใจดีจัง อยากทราบว่ามีโฮมสเตย์ในเครือข่ายชุมชนชาวอโศก สาขาไหนที่เปิดให้เข้าไปพักเพื่อเรียนรู้วิถีชีวิตเรียบง่ายได้บ้างไหมคะ ขอบคุณค่ะ
     
  16. ทารา

    ทารา Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    169
    ค่าพลัง:
    +78
    น่าอยู่จังเลยคะนี่แหละวิถีชีวิตคนไทย
    ที่อยู่อย่างพอเพียงตามรอยพ่อหลวงของเรา
     
  17. 99kansita

    99kansita เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    77
    ค่าพลัง:
    +310
    จขกท. ไม่มีอะไรอัพเดทเลยเหรอคะ รอติดตามอยู่นะคะ:cool:
     
  18. สิกขิม

    สิกขิม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    1,310
    ค่าพลัง:
    +6,034
    บางที อาจแลเห็นลู่ทาง ชุมชนคนพอเพียงอื่น ด้วยการสืบค้น แหล่งข้อมูลแห่งนี้

    www.chumchon.go.th/index1.php
     
  19. ลุงไชย

    ลุงไชย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    645
    ค่าพลัง:
    +2,436
    วิถีชีวิตเป็นเรื่องง่ายๆ แต่เราทำให้ยากกันไปเอง..
    เราหาสิ่งพะรุงพะรัง มาใส่ชีวิต..ตามระบบทุนนิยม
    เราไขว่ขว้าแก่งแย่ง ทำทุกอย่าง เพื่อสนองกิเลสตนเอง
    เราทำร้ายธรรมชาติทุกวิถีทาง เพื่อสนองความต้องการของเรา

    หลักแห่งศีลธรรมได้หายไปจากจิตใจของผู้คนทั่วไป
    โลก.. มีแต่การแก่งแย่ง เบียดเบียนกันทุกวิถีทาง

    วันหนึ่ง... เมื่อเกินขีดสูงสุดที่โลกจะรับได้
    ภัยพิบัติใหญ่จะมาสู่มวลมนุษยชาติ...
    สูงสุด ....จะกลับคืนสู่สามัญ

    กลับสู่..วิถีชีวิตแห่งความพอเพียง.. อยู่กับธรรมชาติ
    ผู้คนที่เหลือรอด มีแต่คนดี มีศีลธรรม ...
    ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันอย่างเรียบง่าย. พึ่งพิงและพึ่งพากัน
    คงอีกไม่นาน...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 ตุลาคม 2011
  20. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,288
    ค่าพลัง:
    +12,620
    ใครเป็นคนลากประเทศไทยเข้าระบบเศรษฐกิจแบบบริโภคนิยม
    แล้วมาบอกเหตุผลว่าเราจะอยู่โดดเดี่ยวไม่ได้ แต่วันนี้ทำไมสันติ
    อโศกอยู่ได้ แบบพึ่งตนเองอย่างมีความสุขสันติอยู่กับธรรมชาติได้
    และมีจิตสำนึกต่อสังคม และประเทศชาติดีด้วย
    อีกทั้งไม่กลายเป็นสัตว์เศรษฐกิจในสายตาของพ่อค้านักธุรกิจ
     

แชร์หน้านี้

Loading...